Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1486-1488
ตอนที่ 1486 อ่อนแอกันทุกคน?
โดย
Ink Stone_Fantasy
“นี่ตาข้ามีปัญหากระมัง? แม่นางหลี่จีกำลัง…ชอบพอผู้ชาย?”
“บัดซบ! แม่นางหลี่จีเปรียบเสมือนนางในฝันของข้า ปรากฏว่านาง…มีคนที่ชอบอยู่แล้วจริงๆ! บุปผางามติดอยู่บนกองขี้วัว!”
“เจ้าตาบอดกระมัง? หากเปรียบกับเด็กนั้น หาใช่เจ้ารึที่เป็นกองขี้วัว?”
“ไอ้เด็กนั้นดูเหมือนมนุษย์ชัดๆ หัวหอกดูดีดั่งทำจากเงิน แต่ความจริงกลับไร้ประโยชน์! ข้าไม่คิดเลยว่า แม่นางหลี่จีจะขุดเอาขยะเช่นนี้มาจริงๆ!”
…
เมื่อเย่หยวนและหลี่จีเดินบนถนนตัดผ่านภายในเมืองหลวง พลันเกิดเสียงอุทานแซ่ซ้อนดังขึ้น
หากภายใต้สถานการณ์เช่นนี้สามารถฆ่าแกงกันได้ เย่หยวนคงตายนับหมื่นครั้งแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าปีศาจหรือเผ่ามนุษย์ พวกเขาล้วนมีความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามเหมือนกันทั้งสิ้น หาได้มีเผ่าใดดีเลิศไปสักหมด
หลีจี่ได้ฉายาดั่งว่าบุปผางามอันเยือกเย็นแห่งเมืองหลวงโคโปน มีเหล่าบุรุษเพศเฝ้าตามจีบติดตามนับไม่ถ้วน รวมไปถึงไคซิน ชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์อันโดดเด่น
แต่ไม่มีใครสักคนเดียวที่สามารถทำให้นางใจเต้นได้เลย
ทั่วทั้งถนนอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นเปรี้ยว
นี่หาใช่การกระทุ้งขวดน้ำส้มสายชู ทว่ากลับเป็นการเทน้ำส้มสายชูลงในทะเล จนยามนี้ท่วมทั้งถนนสิ้นแล้ว
ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินออกไปนอกประตู หลี่จีก็โผเข้ากอดเย่หยวนอย่างกล้าๆกลัวๆ กลิ่นอรชรหอมหวานซึมซาบเข้าเตะรูจมูก จนทำให้เขารู้สึกใจสั่นโดยไม่ตั้งใจ
ต้องยอมรับก่อนเลยว่า หลีจี่เป็นหญิงสาวสายรุกที่งดงามอย่างยิ่ง
ปราศจากกิริยาข่มกลั้น ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ และไร้ซึ่งความเขินอาย สิ่งเหล่านี้ช่างแตกต่างไปจากสตรีเผ่าอื่นๆ
นางมิได้โปรยเสน่ห์ให้ผู้คนหลงใหลนาง แต่กลับเป็นคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่ถูกเสน่ห์ของนางดึงดูดเข้าหาแทน
เย่หยวนพยายามช้อนคางขึ้นและต้องพานพบกับเนินเขาลูกให้อันภาคภูมิของอิสตรี
ทว่าอย่างไรภายในใจของเย่หยวนกำลังร่ำร้องด้วยึความขมขื่นใจไม่มีหยุด
ไม่ว่าหลี่จีจะดีแค่ไหน แต่นางก็ไม่มีทางมาแทนตำแหน่งของเยวี่ยเมิ่งลี่และมู่หลินเสวียภายในใจของเขาได้เช่นกัน
มันเพียงว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้สถานการณ์บีบบังคับ เขาจึงต้องจำใจแสดงตามน้ำไปพลาง
“โถงโอสถปีศาจ? คุณหนูหลี่จี ไฉนเราไม่เข้าไปดูหน่อยสักเที่ยว”
เมื่อทั้งสองเดินผ่านโถงใหญ่เข้ามา มีแผ่นป้ายขนาดใหญ่ติดอยู่ด้านบนเขียนว่า‘โถงโอสถปีศาจ’ สามคำนี้ทำให้เย่หยวนใจเต้นแรงขึ้นมาทันใด
เขาต้องการหลอมกลั่นโอสถทองคำลึกล้ำสำหรับการวิวัฒนาการครั้งที่สอง และตอนนี้ดูเหมือนว่ายังขาดสมุนไพรบางอย่างพอดี
ขณะนี้ พวกเขาทั้งคู่ก็เดินผ่านเข้าไปในโถงโอสถปีศาจ เพื่อเข้าไปเดินดูก่อนสักรอบหนึ่ง
ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นฉายสะท้อนออกมาผ่านนัยน์ตาของหลี่จี นางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า
“หรือเป็นไปได้ไหมที่เจ้าคือนักปรุงโอสถปีศาจ?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“จะเข้าใจเช่นนั้นก็ไม่ผิด”
ทันทีทันใดหลี่จีพลันเปล่งเสียงหวานดังขึ้นว่า
“ข้าจะไปกับเจ้า…ในทุกที่ที่เจ้าต้องการ”
เย่หยวนแทบสำลักถึงกับพูดไม่ออก
…
ทั้งสองตรงเข้ามาถึงโถงโอสถปีศาจ คลื่นเสียงดังกึกก้องผ่านเข้ามาทันทีจากภายใน
เนื่องจากการหลอมกลั่นโอสถต้องใช้ไฟเผาผลาญตลอดเวลา จึงทำให้ภายในโถงโอสถปีศาจมีอุณหภูมิสูงมาก
ไม่รู้ว่าคนของโถงโอสถปีศาจกำลังคิดอะไรอยู่ ไฉนถึงจัดห้องหลอมกลั่นโอสถไว้ที่โถงด้านนอก
ขณะเดียวกัน มีชายชราสี่ถึงห้าคนกำลังจับมือช่วยกันเร่งไฟใต้หม้อหลอมไม่หยุดหย่อน สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยพร้อมธารเหงื่อที่ไหลรินบนหน้าผาก
เย่หยวนเพียงกวาดสายตามอง ก่อนส่ายหัวไปมาโดยไม่มีเจตนา
มาตรฐานหลอมกลั่นเช่นนี้ ยังไม่ถึงขั้นเป็นผู้ช่วยหลอมกลั่นโอสถของเขาได้ด้วยซ้ำ
เผ่าพันธุ์บนมหาพิภพถงเทียนมีมากมายเกินคนานับ ศาสตร์แห่งโอสถจึงถูกแบ่งแยกได้หลายรูปแบบ ดังนั้นแล้วจึงไม่มีองค์กรศูนย์รวมเฉพาะศาสตร์ที่คล้ายกับสมาคมนักหลอมโอสถ
มาตรฐานทักษะการหลอมกลั่นโอสถจึงแตกต่างกันไป บ้างก็ขึ้นอยู่กับระดับชั้นโอสถที่หลอมกลั่น
แต่วรยุทธการหลอมกลั่นของนักปรุงโอสถปีศาจเหล่านี้ เข้าขั้นหยาบถึงหยาบที่สุด เย่หยวนแทบทนมองมิได้
แน่นอน เพราะว่าระดับชั้นของเขาสูงเกินไป
ตอนที่เขาอยู่ในระดับชั้นจอมเทพโอสถหนึ่งดาว เขาสามารถให้คำแนะนำแก่เซียวเฟิงที่อยู่ในระดับสามดาวขั้นสุดได้แล้ว นี่แสดงให้เห็นความขอบเขตของเขามันเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้แล้ว
ตอนนี้เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า ระดับชั้นในศาสตร์แห่งโอสถย่อมเลื่อนสูงขึ้นเป็นธรรมชาติ
เย่หยวนสร้างบัญญัติเทพแห่งถงเทียนขึ้นมาด้วยศาสตร์แห่งโอสถ ความลึกซึ้งของเขาต่อศาสตร์แห่งโอสถมันเกินกว่าที่ผู้คนจะสามารถเข้าใจได้แล้ว
เมื่อมีศิลาจารึกบัลลังก์พิภพอยู่ในมือ ขอเพียงมีเวลามากพอ เย่หยวนจะศึกษาศาสตร์แห่งโอสถเท่าไหร่ก็ได้ตามใจอยาก
ในตอนนี้มีกระทั่งนักปรุงโอสถปีศาจวัยกลางคนไม่น้อยที่รุมล้อมอยู่รอบชายชรา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเรียนรู้ศึกษาอย่างขยัยขันแข็ง
ทันใดนั้นเอง เย่หยวนก็หันไปหาหลี่จีพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“นักปรุงโอสถปีศาจของเมืองหลวงคาโปน อ่อนแอเช่นนี้ทุกคนเลยงั้นรึ?”
หลี่จีเงยหน้ามองเย่หยวนด้วยความประหลาดใจ
อ่อนแอ?
เหล่าผู้คนที่ยืนอยู่ที่นี่ล้วนเป็นปรมาจารย์ในหหมู่นักปรุงโอสถปีศาจสองดาวทั้งสิ้น!
แม้แต่คนจากสี่ตระกูลใหญ่ยังต้องร้องขอให้พวกเขาช่วยหลอมกลั่นโอสถบางชนิดให้ และไม่มีใครกล้ายั่วยุพวกเขาเลย
แต่เย่หยวนกลับบอกว่าคนเหล่านี้อ่อนแอ!
วูบ! วูบ! วูบ!
ปุด ปุด ปุด!
ทันใดนั้นเอง ทุกคนต่างหันศีรษะและเข้าจับจ้องไปที่เย่หยวนจนเป็นตาเดียว
เม็ดโอสถในหม้อหลอมแทบถูกทิ้งไว้แบบนั้นในทันทีทันใด
เย่หยวนเองก็ตกใจเช่นกัน เขาเอ่ยถามน้ำเสียงแผ่วเบายิ่งแล้ว และคิดว่าคนเหล่านี้ไม่มีทางได้ยินแน่นอน
แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่า ทุกคนจะได้ยินคำพูดของเขาจริงๆ!
สิ่งหนึ่งที่ต้องทราบคือ เมื่อนักหลอมโอสถกำลังหลอมกลั่นโอสถ ทุกคนล้วนต้องจดจ่ออยู่กับมันโดยตัดขาดปราศจากสิ่งใดเข้ารบกวน
แม้แต่ในขณะที่กำลังเรียนรู้ศึกษาอยู่นั้นเอง พวกเขาก็ต้องใส่ใจเพ่งสมาธิกับสิ่งนั้นเป็นอย่างมาก
แล้วพวกเขาเหล่านี้จะไปได้ยินเสียงกระซิบของเย่หยวนได้อย่างไร
เย่หยวนยังคงไม่เข้าใจมาตรฐานของนักหลอมโอสถของเผ่าปีศาจเท่าไหร่นัก และหลงคิดไปว่า ชายชราสองสามคนนี้เป็นเพียงบุคคลชั้นผู้น้อย ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามคำถามนี้ขึ้น
แต่ดูเหมือนว่า เขาจะสร้างเรื่องโกลาหลเสียแล้ว
“ไอ้เด็กเหลือขอ คางคกยังไม่ทันหาว! เสียงอึงโขใหญ่ดีหนิ!”
ชายชราคนหนึ่งสีหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่ง พร้อมสาดสายตาใส่เย่หยวนในทันใด
เย่หยวนยังไม่ทันจะได้กล่าวอันใด หลี่จีเร่งกล่าวขึ้นมาว่า
“ฮ่าๆ ท่านปู่เหมิ่งฉี ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ในเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้ ใครจะไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้มีทักษะในศาสตร์แห่งโอสถสูงสุดที่สุด! บรรพกาลราตรียังไม่ค่อยเข้าใจหัวหางมากนัก ไฉนยังไม่รีบขอโทษท่านปู่เมิ่งฉี!”
หลี่จีขยิบตาส่งสัญญาณให้เย่หยวนอย่างแรง เพื่อให้เขารีบขอโทษ
เว้นเสียว่า เมิ่งฉีไม่ปล่อยให้เย่หยวนออกไปได้ง่ายๆ เขาตะคอกน้ำเสียงเย็นสะท้านดังว่า
“เป็นคนของตระกูลฟางนี่เอง คงเป็นของเล่นที่เจ้าเลือกสรรมากระมัง? อาจแข็งแกร่งแต่ไม่ทรงพลัง น้ำเสียงหาได้เล็กน้อยไม่! แท้จริงแล้ว ข้าจะบอกอะไรเสียหน่อย เด็กไก่อ่อนอย่างเจ้า หลังหูยังเปียกแฉะ! ฮ่าๆ น่าสนใจไม่น้อย น่าสนใจจริงๆ!”
หลี่จีเผยท่าทีประหม่าเสียหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า
“ท่านปู่เมิ่งฉี ท่านต้องล้อเล่นแล้วเป็นแน่ ในเมืองหลวงคาโปน ใครกันที่ไม่รู้จักห้าผู้อาวุโสแห่งโถงโอสถปีศาจ บรรพกาลราตรีคนนี้เพิ่งมาใหม่จึงยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร เช่นนี้โปรดละเว้นได้หรือไม่? เจ้ากล่าวไม่ถูกต้อง ไฉนยังไม่รีบขอโทษเสีย?”
เย่หยวนยักไหล่ตอบและกล่าวว่า
“แม้ข้าอยากจะประจบพวกเขาเสียหน่อย แต่จะให้กล่าวกลับไม่สามารถจริงๆ ไม่มีแม่แต่สมาธิหลอมกลั่นโอสถ แล้วพวกท่านจะหลอมกลั่นโอสถชนิดใดได้?”
หลี่จีหน้าถอดสีทันที โดยคาดไม่ถึงเลยว่าเย่หยวนจะหัวรั้นจนถึงขั้นไม่ยอมก้มศีรษะลงจริงๆ
นางทราบดีว่าเย่หยวนเป็นคนทระนงในศักดิ์ศรีและภาคภูมิในตัวเองเพียงใด แน่นอน เขามีทุนรอนมากพอที่จะหยิ่งผยอง แต่นักปรุงโอสถปีศาจเหล่านี้เป็นชายชราที่เก็บเกี่ยวผลงานสร้างชื่อให้ตัวเองมาเนิ่นนานยิ่งแล้ว
วาจาของเย่หยวนกล่าวได้ว่าโอ้อวดเกินไป
เพียงปราดตาเดียว หรือจะบอกว่าเย่หยวนทราบถึงระดับชั้นทักษะการหลอมโอสถของพวกเขาได้ในทันที?
เด็กคนนี้โอหังเกินไปแถมยังอวดดีอย่างยิ่ง!
นางพยายามช่วยไกล่เกลี่ยแล้ว แต่ชายคนนี้กลับยังคงยืนยันคำเดิม
อย่างไรกด็ตาม หลี่จีกลับไม่ทราบว่า เย่หยวนสามารถเอ่ยกล่าวประณีประนอมได้หากเป็นเรื่องอื่น แต่สำหรับเรื่องหลอมกลั่นโอสถแล้ว เขาไม่ยอมพบกันครึ่งทางแน่นอน
ชายชราคนนี้ไร้ซึ่งฝีมือไม่เหมาะสมกับตัวงานจริงๆ และเย่หยวนไม่มีทางปล่อยไว้เช่นนี้แน่
“ฮ่าๆๆ ดี! ดีมาก! เด็กน้อยที่ผมยังไม่ขึ้นเต็มที่อย่างเจ้า แต่กลับเอ่ยลั่นวาจาเช่นนี้จริงๆ! เช่นนั้นก็ขอดูหน่อยว่า ระดับชั้นของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด!”
เมื่อเห็นท่าทีของเย่หยวน เมิ่งฉีก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นด้วยความโกรธจัด
ตอนที่ 1487 จะลองดู
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่เย่หยวนกลับยิ้มและกล่าวว่า
“หากให้ข้าเดา คงสูงกว่าพวกท่านเล็กน้อย”
ประโยคเดียวทำเอาทุกคนแทบกลั้นใจตาย
ก่อนหน้านี้ว่าหน้าด้านแล้ว แต่ไม่ยักรู้ว่าเขาจะหน้าด้านขนาดนี้!
ทักษะการปีนเกลียวของเย่หยวนนับว่าสำเร็จถึงขั้นสุดแล้วจริงๆ!
“ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มาโผล่มาจากไหน? ไฉนถึงกล้าหยิ่งผยองปานนี้?”
“ผู้อาวุโสทั้งห้าหมกมุ่นอยู่กับศาสตร์แห่งโอสถมาทั้งชีวิต ความแข็งแกร่งต่อศาสตร์แห่งโอสถของพวกท่านนับว่าประสบความสำเร็จถึงจุดสูงสุด พวกเขาจะปล่อยให้ไอ้เด็กเหลือขอนี่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้อย่างไร?”
“ท่านเมิ่งฉี ปล่อยให้เจ้าเด็กนี่อวดดีหยิ่งยโสเพื่ออันใด? ฆ่าทิ้งเลย!”
…
คำกล่าวของเย่หยวนได้สร้างความโกรธแค้นให้แก่สาธารณชนกันถ้วนหน้า
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์มันพัฒนาจนเกินว่าจะควบคุมได้แล้ว หลี่จีก็ขยิบตาใส่เย่หยวนด้วยความโกรธจัด เริ่มมองอีกฝ่ายด้วยความกังวล
นางแอบระบายความอัดอั้นภายในใจไม่รู้จบ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พี่สาวคนนี้กลับไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้แล้ว!
สายตาของเมิ่งฉีเริ่มทอประกายเยียบเย็น เขาเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอ มาพล่ามวาจาก่อปัญหาถึงโถงโอสถปีศาจเช่นนี้ ต่อให้ตระกูลฟางก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น! ข้าจะโยนมันออกสวนสมุนไพรให้เหมือนกับปุ๋ย!”
ภายใต้คำสั่งของเมิ่งฉี ปรากฏชายร่างใหญ่กว่าสิบคนตรงเข้ามาในโถง สิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งคือ พวกเขามิได้อ่อนแอแน่นอน
สีหน้าการแสดงออกของหลี่จีเปลี่ยนไปอย่างมาก นางเร่งตรงเข้าไปดึงแขนของเมิ่งฉีและกล่าวว่า
“ท่านปู่เมิ่งฉี ท่านเฝ้าดูหลี่จีเติบใหญ่ตั้งแต่ยังเยาว์วัย เขา…เขาเป็นคนของข้า ข้าขอร้องเถิด โปรดให้ทางออกแก่เขาด้วย!”
น้ำเสียงของหลีจี่สั่นคลอนแทบน้ำตาไหล
นางตระหนักชัดแจ้งดีเยี่ยมเกี่ยวกับขุมพลังอำนาจของโถงโอสถปีศาจแห่งโถงโลหิตปรโลก แค่ตระกูลฟางไม่มีทางก่อศึกสงครามกับโถงโอสถปีศาจได้แน่นอน เพียงเพื่อแค่บรรพกาลราตรีตัวน้อยคนเดียว
ด้วยความโกรธแค้นของโถงโอสถปีศาจ มันก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้ตระกูลฟาง นี่หาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
เมิ่งฉีเหลือบมองไปยังหลี่จี ก่อนจะกวาดสายตาใส่เย่หยวนอีกครั้ง เขาเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอ อย่ามาตำหนิว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า! หม้อหลอมทั้งห้านี้จงเลือกมาหนึ่ง และหากสามารถแยกองค์ประกอบของเศษโอสถภายในนั้นได้เกินสามในสิบส่วน ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
หลี่จีตื่นตะลึงหนักเมื่อได้ยินแบบนั้นและย้ำขึ้นว่า
“ท่านปู่เมิ่งฉี!”
เมิ่งฉีกรนเสียงเย็นกล่าวว่า
“แม่หนู หากข้าไม่เห็นแก่หน้าเจ้า เราชายชราย่อมไม่มอบโอกาสเช่นนี้ให้แน่นอน! หากเขายังพอมีทักษะในศาสตร์แห่งโอสถ ก็ลืมเรื่องนี้ไปซะ แต่หากเขาแสร้งทำเป็นรู้ และยังมากล่าวหาทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของเราชายชรา เช่นนั้นเป็นไปได้ไหมว่า เราชายชราจะยอมปล่อยไปง่ายๆ?”
การแยกองค์ประกอบของเศษโอสถเหล่านี้ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ปรุงโอสถปีศาจ พวกเขายังไม่สามารถเอ่ยกล่าวได้ถูกต้องทั้งหมด
แยกองค์ประกอบของเศษโอสถแตกต่างจากการแยกองค์ประกอบของหัวเชื้อโอสถโดยสิ้นเชิง
เพราะส่วนประกอบต่างๆได้ถูกหลอมรวมเข้าหากันและผ่านกระบวนการหลอมกลั่นภายในหม้อหลอมเรียบร้อย กล่าวได้ว่าแทบแยกแยะไม่ออก
หากต้องการแยกว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง เกรงว่าเป็นเรื่องยากลำบากครั้งใหญ่หลวง
แม้แต่เมิ่งฉีเอง หากอยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกันโดยที่เขาไม่รู้สูตรโอสถอยู่ก่อน เขาคงแยกแยะได้มากสุดแค่เจ็ดในสิบส่วนเท่านั้น
คำร้องขอของเย่หยวนในคราวนี้ไม่ถือว่ามากเกินไป นี่เป็นการให้หน้าหลี่จีมากแล้ว
แต่เขาเอายังต้องถนอมใบหน้าตัวเองเช่นกัน
สุดท้ายนี้…สามในสิบส่วนก็หาใช่น้อยๆไม่!
แต่เย่หยวนกลับยิ้มและกล่าวว่า
“แค่แยกองค์ประกอบ ง่ายดายนัก”
“ง่ายงั้นรึ? เกรงว่าเจ้าจะเอ่ยวาจาโอ้อวดเกินไป! แม่หนูเจ้าไม่ไว้หน้าแม้แต่ไคซิน แต่กลับเลือกไอ้เด็กสร้างปัญหาเช่นนี้รึ?”
เมิ่งฉีจับจ้องนางพร้อมสายตาสุดเคร้งขรึม
ใบหน้าของหลี่จีแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นทันที และอดเหลียวมองเย่หยวนมิได้
เย่หยวนมิเอ่ยกล่าวอันให้มากความ เขาเดินตรงมาที่หม้อหลอมโอสถใบหนึ่ง และตบฝ่ามือใส่ยังฝาหม้อ พลันปรากฏเถ้าตะโกสีดำลูกหนึ่งพุ่งออกมา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ร่องรอยความประหลาดพลันยปรากฏขึ้นประดับใบหน้าของเมิ่งฉีชั่วครู่
ไม่ว่าจริงแท้หรือเท็จปลอม หากผู้เชี่ยวชาญเคลื่อนไหวออกโรงจะมองออกในพริบตา
ความเข้าใจของเย่หยวนต่อหม้อหลอมโอสถสำแดงออกมาชัดแจ้ง ลงมือคล่องแคล่วราวกับอยู่ติดมือ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนมีประสบการณ์อย่างมาก
ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ
เพียงว่า หากจะบอกว่าเย่หยวนสามารถแยกแยะองค์ประกอบได้จริงๆ เรื่องนี้กลับยากเกินจะเชื่อลง
เย่หยวนเพียงสังเกตเล็กน้อยพลางสูดดมกลิ่น เขาก็เอ่ยกล่าวขึ้นทันที
“ข้างในนี้มีรากเครามังกร ผลึกเพลิงปีศาจ หญ้ากระเรียนไม้กุหลาบ…”
เย่หยวนยังคงเอ่ยอธิบายแยกแยะองค์ประกอบต่อไป อย่างละเอียดรายตัว
เมื่อได้ยินชื่อส่วนประกอบเหล่านั้น สีหน้าการแสดงออกของแต่ละคนพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก ตะลึงงันอย่างยิ่ง
คล้อยหลังอธิบายองค์ประกอบทั้งหมดเสร็จสิ้น เย่หยวนก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า
“น่าเสียดาย ที่ทักษะการควบคุมไฟของท่านยังไม่เสถียรพอ ในขั้นตอนแรกแบ่งไฟร้อนเกินสามส่วน ในขั้นตอนที่สามอ่อนเกินไปสองส่วน แถมขั้นที่สี่… นอกจากนี้แล้ว สมาธิระหว่างหลอมกลั่นยังกระจัดกระจายไม่มุ่งรวมเป็นจุดเดียว จึงมิอาจระดมเต๋าได้สมบูรณ์แบบ แม้ว่าในท้ายที่สุดท่านจะบังเอิญหลอมกลั่นสำเร็จ แต่อย่างมากคงได้เพียงขั้นต่ำเท่านั้น”
ทุกคนต่างเหลียวสายตาจับจ้องไปที่เมิ่งฉี พวกเขาโดยรอบไม่สามารถกล่าวได้ว่าสิ่งที่เย่หยวนพูดออกไปผิดหรือถูก จึงจำต้องรอฟังมุมมองของเมิ่งฉี
ไม่ปรากฏสีหน้าใดบนใบหน้าของเมิ่งฉี ดูเหมือนว่าเขาจะถูกเย่หยวนจูงจมูกไปเสียแล้ว
ซึ่งในความเป็นจริง คลื่นความกังขาของเขาที่มีต่อเย่หยวนได้ถูกทำลายลงไปนานแล้ว
เด็กคนนี้น่าเกรงขามยิ่งนัก! สามารถแยกแยะสิ่งต่างๆมากมายได้โดยละเอียดจากก้อนตะโกดำๆก้อนนี้!
ส่วนเรื่องระหว่างหลอมกลั่นนับเป็นเรื่องส่วนตัว แม้ว่ามาตรฐานของเมิ่งฉีจะไม่ค่อยดีนัก แต่เขาเองก็มีประสบการณ์เจนจัดด้านการหลอมกลั่นมามากเช่นกัน ดังนั้นเขาจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าตนผิดพลาดตรงไหนบ้าง?
แต่การที่รู้เช่นนี้ก็หาใช่ว่าจะแก้ไขกันได้ง่ายๆ
ขีดความแข็งแกร่งของแต่ละคนมีจำกัด และเมื่อพยายามต่อไปอย่างไรจุดหมาย บางครั้งไม่ว่าจะทำงานหนักเพียงใด แต่ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็ยังมิอาสจฝ่าฟันก้าวข้ามปัญหาได้
การหลอมกลั่นโอสถเป็นงานละเอียดอ่อน และไม่สามารถผิดพลาดได้แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามแต่ เมิ่งฉีนับเป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจในบรรดานักปรุงโอสถปีศาจชั้นนำ โดนเด็กน้อยเทศน์ซะหูชาเช่นนี้ เขาจะไปเอาหน้าไปไว้ที่ใด?
เขาเกาศีรษะเล็กน้อยและเอ่ยแถตอบไปว่า
“เหอะ! เจ้ารู้หรือไม่ว่า โอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจมันหลอมกลั่นยากเย็นเพียงใด สิ่งที่เจ้าถกเถียงไปนับว่ามีเหตุมีผล แต่หากเจ้ามีความสามารถจริง เช่นนั้นไม่ลองหลอมกลั่นให้ข้าดูล่ะ?”
โอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจเป็นโอสถปราบเซียนระดับสองดาว ในบรรดานักปรุงโอสถปีศาจทั้งหมดในเมืองหลวงคาโปน มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถหลอมกลั่นขึ้นมาได้สำเร็จ
แม้แต่คนอื่นๆ ในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหลอมกลั่นได้เลย
ดังนั้นเขาจึงแถใช้ประโยคนี้เพื่อปิดปากของเย่หยวน กล่าวให้ฟังโดยง่ายคือ เขาแถ‘วาจาไร้สาระ’เพื่อมิให้ตัวเองหน้าแตก
อย่างไรก็ตาม คำตอบของเย่หยวนกลับจำต้องให้เขาผิดหวัง
เย่หยวนช้อนสายตามองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านต้องการให้ข้าหลอมกลั่นให้ดูจริงๆ หรือ?”
เมิ่งฉีตกตะลึงอย่างมากเมื่อได้ยิน สีหน้าของเขาพลันบูดบึ้งยิ่งยวด
“ไร้สาระ! ใครมันกล้าพล่ามไร้สาระ หากกล่าวราวกับว่าทุกคนสามารถหลอมกลั่นได้จริงๆ เช่นนั้นก็จงทำให้ดูเป็นขวัญตา! หากทำไม่ได้ก็รีบๆไสหัวไปซะ!”
เขาไม่เชื่อว่า ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้จะสามารถหลอมกลั่นโอสถผนึกมังกรเพลิงปีศาจได้จริงๆ!
แม้คำกล่าวเหล่านี้ฟังดูยากเพียงพื้นผิว แต่แท้จริงแล้วนัยแฝงกลับหมายถึง เมิ่งฉีได้ยอมรับเย่หยวนในระดับหนึ่งแล้ว
องค์ประกอบที่เย่หยวนกล่าวไปล้วนถูกต้องครบถ้วน ไม่มีจุดผิดพลาดแม้แต่น้อย
เมิ่งฉีคิดว่า เบื้องหลังของเย่หยวนควรจะมีปรมาจารย์สุดน่าเกรงขามคอยสั่งสอน จึงทำให้รากฐานการหลอมกลั่นโอสถของเขามั่นคงขนาดนี้
แต่หากจะให้บอกว่า เย่หยวนสามารถหลอมกลั่นโอสถผนึกมังกรเพลิงปีศาจได้จริงๆ ต่อให้ตายเขาก็ไม่มีทางเชื่อ
หากปราศจากการบ่มเพาะฝึกปรือนับพันปี การจะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองดาวมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย!
เย่หยวนยิ้มกล่าวว่า
“โอสถผนึกมังกรเพลิงปีศาจ ข้าเองก็ไม่เคยหลอมกลั่นมาก่อนเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ภายในใจของเมิ่งฉีที่บีบตัวแน่น ยามนี้พลันผ่อนคลายลงทันที ในที่สุดไอ้เด็กบ้านี่ก็ยอมแพ้เสียที
แต่ในขณะที่เขากำลังจะกล่าว จู่ๆ เย่หยวนก็กล่าวแทรกขึ้นว่า
“แต่หากยืนกรานเช่นนี้ ข้าจะลองหลอมกลั่นดูสักรอบก็ได้”
เมิ่งฉีแทบกระอักพ่นเลือดสดออกมา ถ้ายังจะกล่าวต่อ ก็อย่าเว้นช่วงนานปานนี้!
เดี๋ยวก่อน หลอมกลั่นครั้งแรก?
“เจ้าเด็กคนนี้กินยาลืมเขย่าขวดกระมัง? หรือคิดว่าตัวเองเป็นเทพบรรพชนโอสถ? หรือเป็นไปได้ไหมว่า ไม่ว่าโอสถชนิดใดล้วนถูกผลิตขึ้นจากหัวของเจ้า?”
“เจ้าไม่เคยหลอมกลั่นโอสถผนึกมังกรเพลิงปีศาจมาก่อน? หรือนี่เห็นเราเป็นของเล่นกระมัง?”
“ท่านเมิ่งฉีอุตส่าห์ไว้ชีวิตเจ้าแล้ว ไฉนยังผลักดันผู้คนไปไกลปานนี้?”
คำกล่าวของเย่หยวนได้ก่อให้เกิดคลื่นเสียงเหยียดหยั่นดูถูกขึ้นมาทันใด
ตอนที่ 1488 ขอยืมไฟศักดิ์สิทธิ์มาใช้
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เทพบรรพชนโอสถ? เทพบรรพชนโอสถคือใครกัน? หรืออาจเป็นหนึ่งใน…เก้าบรรพกาลเต๋า?”
เมื่อเย่หยวนได้ยินชื่อนี้ขึ้นมา ภายในใจของเขาพลันปั่นป่วนไปหมดโดยมิตั้งใจ และเริ่มสื่อสารกับหวูเฉินทันทีผ่านห้วงความคิดของเขา
หวูเฉินกล่าวว่า
“เทพบรรพชนโอสถหาใช่นามขานของเก้าบรรพกาลเต๋า แต่เป็นสถานะศักดิ์ของเขาที่สูงมากบนมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ กล่าวกันว่าเขาผู้นั้นเป็นมหาบรรพชนนักหลอมโอสถผู้เก่าแก่ที่สุดบนมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ ทั้งสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่นักหลอมโอสถทุกคนมีติดบ้าน ล้วนแล้วมีรากฐานมาจากสิ่งประดิษฐ์ของเขาผู้นั้นทั้งสิ้น บางทีอาจมีป้ายบูชาของเขาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ!”
เย่หยวนเอ่ยตอบด้วยความประหลาดใจว่า
“มีบุคคลเช่นนี้อยู่จริงๆ! เขาเรียกตัวเองว่าเทพบรรพชนโอสถเช่นนี้โดยมิได้รับอนุญาต แล้วเป็นไปได้ไหมว่า บรรพกาลเต๋าทั้งเก้าจะปล่อยผ่านไปโดยหาไม่ตรวจสอบอันใด?”
หวูเฉินยิ้มกล่าว
“ท่านบรรพกาลเต๋าทั้งเก้าผู้ยิ่งใหญ่อยู่เหนือขอบเขตของพวกเราไปแล้ว โดยปกติพวกเขาหาได้สนใจเรื่องราวบนมหาพิภพถงเทียนอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งของเทพบรรพชนโอสถยังพิเศษอย่างมาก บรรพกาลเต๋าทั้งเก้า แต่ละคนจะกระจายกันปกครองและควบตุมเต๋าในแต่ละพื้นที่ และสิ่งนี้มิอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ผู้ครอบครองเต๋าแห่งโอสถที่แข็งแกร่งที่สุดคือ เทพบรรพชนโอสถ ถึงจะควบคุมเต๋ามิได้ แต่ก็ต่างเป็นที่ยอมรับของบรรพกาลเต๋าทุกคน แน่นอน มิจำต้องกล่าวถึงเทพบรรพชนโอสถเลย แม้แค่จักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้าแห่งโอสถก็อยู่เหนือขอบเขตของพวกเราทุกคนแล้ว”
สิ่งที่เย่หยวนแสวงหามาตลอดชีวิตก็คือเต๋าแห่งโอสถอันไร้ขอบเขต
การดำรงอยู่อันยิ่งใหญ่ของเต๋าแห่งโอสถที่ว่า ทำให้เย่หยวนรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า บนมหาพิภพถงเทียนจะมีบุคคลเช่นนั้นดำรงอยู่จริงๆ! ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สักวันข้าจะได้นั่งสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับเขา!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมอารมณ์ที่ผันแปร
…
สีหน้าการแสดงออกของเมิ่งฉีพลันมืดขรึมลงเล็กน้อย ยามนี้เขามิอาจเข้าใจเย่หยวนได้อีกต่อไป
อยากจะบอกว่าเย่หยวนไม่มีทางหลอมกลั่นได้ แต่เขากลับสามารถแยกแยะองค์ประกอบจากเศษซากโอสถได้จริงๆ
แต่ท้ายที่สุดนี้ หากบอกว่าเย่หยวนสามารถหลอมกลั่นโอสถผนึกมังกรเพลิงปีศาจขึ้นมาได้ เขาไม่มีวันเชื่อแม้นต้องถูกทุบตัจนตาย
“หึ! ไปเตรียมสมุนไพรวิญญาณมา! ข้าอยากจะเห็นเสียเหลือเกินว่า เด็กเหลือขอคนนี้จะหลอมกลั่นอะไรได้บ้าง! เด็กน้อยอย่าตำหนิข้าว่าไม่ให้โอกาส ข้าจะเตรียมวัตถุดิบให้เจ้าสามชุด! หากหลอมกลั่นไม่สำเร็จก็จงรับผลที่ตามมาด้วยตัวเจ้าเอง!”
เมิ่งฉีเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม
เย่หยวนร่วนหัวเราะเล็กน้อย
“ผ่อนคลายเถิด โอสถระดับนี้มิอาจทำให้ข้าฉงนมึนงงได้ ไม่ต้องถึงสามหรอก แค่ชุดเดียวก็เกินพอ”
“ฮ่าๆ ช่างเป็นวาจาที่น่าฟังนัก! ชายหนุ่มเจ้าควรลดศีรษะลงมาบ้าง มิฉะนั้นลมเหนือรุนแรงอาจพัดเจ้าจนเสียศูนย์!”
เมิ่งฉีหัวเราะเยาะเจือโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก
เย่หยวนยิ้มแต่หาได้เอ่ยตอบไม่
ในไม่ช้าสมุนไพรวัตถุดิบสำหรับหลอมกลั่นโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจก็พร้อมสรรพตรงหน้า
จู่ๆ เย่หยวนก็กล่าวกับเมิ่งฉีว่า
“ขอยืมไฟศักดิ์สิทธิ์ของท่านมาใช้ที!”
เมื่อวาจาคำกล่าวนี้ดังออกมา สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันเผยความประหลาดใจขึ้นทันที
เป็นนักปรุงโอสถปีศาจแท้ๆ แต่กลับไม่มีไฟศักดิ์สิทธิ์เป็นของตัวเอง?
ชายหนุ่มคนนี้หลอมกลั่นโอสถเป็นจริงๆรึ?
ไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าก็คือ ปราณแห่งไฟที่ทะลวงขึ้นสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้นเอง
เพลงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวของเย่หยวนได้ทะลวงขึ้นสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์นานแล้ว และกลายมาเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่าหลังจากที่เย่หยวนสำเร็จขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า ไฟศักดิ์สิทธิ์ของเขากลับไม่สามารถพัฒนาต่อไปพร้อมกับเขาได้
ตอนนี้เย่หยวนเตรียมจะต้องหลอมกลั่นโอสถแล้ว แต่กลับไม่มีไฟศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงหายืมจากเมิ่งฉี
“ดูเหมือนว่าข้าจำต้องหาโอกาสให้เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวยกระดับพัฒนาขึ้นแล้ว นี่คงหาใช่ปัญหาแน่นอน หากภูตเพลิงอยู่เคียงข้างข้า”
เย่หยวนถอนหายใจเล็กน้อยพลันหลากอารมณ์ ยามนี้หวนพินิจคิดถึงภูติเพลิงขึ้นมาโดยมิตั้งใจ
บนเส้นทางแห่งการอพยพครั้งนี้ เย่หยวนจำต้องประหยัดเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อทำความคุ้นชินกับคุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณระดับสอง
เมื่อเขาออกมาจากเมืองหลวงหวูเมิ่ง เย่หยวนมีผลึกปราณเทวะติดตัวอยู่ประมาณแปดสิบล้าน
ศิลาปราณเทวะที่หอมหาสมบัติให้มาอีกสี่สิบล้าน
นอกจากนี้เย่หยวนยังสังหารฉินเทียน เช่นเดียวกันหลินซิ่ง ฉินเจิ่งและคนอื่นๆ แน่นอนว่าแหวนเก็บของทั้งหมดล้วนตกอยู่ในมือของเย่หยวนทั้งสิ้น
เมื่อนับรวมกันแล้ว คล้อยหลังที่เย่หยวนจากไป เขามีผลึกปราณเทวะติดตัวอยู่มากมาย
ระหว่างทางที่อพยพหนีจากมา เย่หยวนมักจะเข้าเมืองและกวาดสินค้าทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องหลอมกลั่นโอสถ รวมไปถึงซื้อสมุนไพรวิญญาณมา
ปัจจุบันเย่หยวนมีเงินเหลือเฟือสำหรับหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง
แต่สำหรับโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจนี้กลับเป็นครั้งแรกของเย่หยวนจริงๆ
จอมเทพนิรันดร์เคยศึกษาโอสถปีศาจมาไม่น้อย ซึ่งเย่หยวนเองก็ได้เรียนรู้มาจากหวูเฉินอีกที ทว่าสำหรับรายละเอียดปลีกย่อย เขาไม่เคยทดลองหลอมกลั่นมาก่อน
แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวน การหลอมกลั่นโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจกลับหาใช่เรื่อยากอยู่ดี
เมิ่งฉีกรนเสียงเย็นเจือรำคาญก่อนยื่นฝ่ามือออกมา พลันปรากฏต้นกล้าเพลิงสีขาวขึ้นมาบนมือของเขา
“นักปรุงโอสถปีศาจที่ไม่มีแท้แต่ไฟศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง แต่กลับพูดจาอึงโขใหญ่โตนัก! ข้าอยากจะเห็นเสียจริงว่า เจ้าจะหลอมกลั่นโอสถได้อย่างไร! หึ!”
เมิ่งฉีเค้นเสียงเย็นใส่คำโต
ต้นกล้าเพลิงค่อยๆลอยไปหาเย่หยวน ส่วนเขาเองก็ยื่นมือกวักเรียกเข้ามา เพียงขยับปลายนิ้วเล็กน้อย ต้นกล้าเพลิงก็เริ่มเจริญพันธุ์เติบโตขึ้นเป็นต้นไฟเพลิงทันที
ความประณีตของนักปีปรุงโอสถปีศาจมิอาจมองผ่านอ่านออกกันได้ง่ายๆ!
“เพลิงปีศาจกระดูกขาว อืม…ไม่เลว เช่นนั้นข้าขอยืมไปใช้ก่อน”
เย่หยวนกล่าวขึ้น
แต่เมื่อเมิ่งฉีเห็นภาพฉากนี้ เขาพลันตื่นตะลึงหนักเป็นคำรบสอง
โดยไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นใด เพียงทักษะการควบคุมไฟของเย่หยวนก็เหนือชั้นกว่าเขามากแล้ว!
แท้ที่จริงไฟศักดิ์สิทธิ์มักคุ้นชินกับเจ้าของมากที่สุด แต่เมื่อมันสามารถเชื่อมต่อกับเย่หยวนได้โดยตรงเช่นนั้น พลันก่อเกิดคลื่นยักษ์ในใจเขาทันใด
นี่…นี่ทำให้เขาชักจะเสียขวัญแล้ว
อย่างไรก็ตามแต่ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
เมื่อเย่หยวนเริ่มหลอมกลั่นโอสถ ความมั่นใจของเมิ่งฉีก็เริ่มถูกกัดเซาะเข้าเรื่อยๆ ดั่งคลื่นทะเลกลืนชายฝั่ง
“ช่างเป็นทักษะการควบคุมไฟที่น่าประทับใจนัก! ปรากฏว่าเด็กคนนี้รู้จักวิธีหลอมกลั่นจริงๆ! นอกจากนี้…ทักษะยังอยู่ในระดับสูง!”
“นี่มันวิธีหลอมกลั่นแบบใดกัน? ไฉนข้าไม่เคยเห็นมาก่อน!”
“ถูกต้อง! วิธีหลอมกลั่นกลับแตกต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง! แต่ไยข้ารู้สึกว่าวรยุทธที่เขาสำแดงใช้มันอยู่เหนือกว่าพวกเราหลายขุมเพียงนี้!”
“เจ้าโง่! นั้นคือเต๋า! วรยุทธที่เขาสำแดงใช้มีเต๋าอยู่ด้วย! เขาได้รับความช่วยเหลือจากเต๋าเหล่านั้น!”
…
เสียงเอ่ยอุทานดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เมิ่งฉีเองพลันตื่นตะลึงเป็นที่สุด
นี่คือผู้เชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์ของจริง!
เพียงแค่วรยุทธหลอมกลั่นนี้ มันก็อยู่คนละระดับจากเมิ่งฉีโดยสิ้นเชิง!
ผู้อาวุโสทั้งห้าแห่งโถงโอสถปีศาจต่างจับจ้องเย่หยวนไม่วางตา เพราะกลัวว่าจะพลาดฉากสำคัญไป
ยิ่งไปกว่านั้นคือ…การหลอมกลั่นระดับปรมาจารย์เช่นนี้ มิได้มีโอกาสพบเห็นกันได้ง่ายๆ!
ริมฝีปากบางสีแดงหวานของหลี่จีเปิดขึ้นเล็กน้อย ยามนี้นางอ้าปากค้างอยู่แบบนั้นเป็นเวลานานแล้ว
เท่มาก!
เท่เกินไปแล้ว!
นางเฝ้ามองเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถอยู่แบบนั้นด้วยความหลงใหล
ตั้งแต่เด็กจนโตขึ้นมา นางเองก็เห็นนักปรุงโอสถปีศาจของโถงโอสถปีศาจมาก็หาใช่น้อยๆ
แต่ไม่เคยมีใครเคยทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นและสุขใจเช่นนี้สะท้านขึ้นขั้ววิญญาณ
“ขึ้นรูป!”
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด เพียงได้ยินเสียงเย็นตะโกนเบาๆ โอสถเม็ดนั้นก็เริ่มขึ้นรูปทันที!
เย่หยวนถอนหายใจกล่าวอย่างเสียอกเสียใจว่า
“เนื่องจากเป็นการหลอมกลั่นครั้งแรก การควบคุมไฟจึงไม่ดีเท่าที่ควร คุณภาพโอสถจึงออกมาไม่ดีนัก”
เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็ยกมือกวักเรียก มีโอสถเม็ดหนึ่งพุ่งวางลงในภาชนะหยก
“ขั้นยอดเยี่ยม! โอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจขั้นยอดเยี่ยม!”
ทุกคนต่างสูดไอเย็นจัดเข้าสุดขั้วปอด ก่อนเหลียวเข้าจับจ้องเย่หยวนราวกับเห็นผี
โอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจขั้นยอดเยี่ยม ยังถูกเย่หยวนกล่าวว่า คุณภาพโอสถไม่ดีนัก?
เมิ่งฉีเจียนจะตบหน้าตัวเองแรงๆ สักครั้ง นี่เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่ สิ่งที่ทำให้เขาเสียขวัญเกินไป!
เขาหลอมกลั่นโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจได้ดีที่สุดแค่ขั้นกลางเท่านั้น และเขาไม่เคยหลอมกลั่นได้ชั้นสูงมากก่อนเลย
ทว่าอีกคนกลับหลอมกลั่นคราวนี้เป็นครั้งแรก และก็ได้ขั้นยอดเยี่ยมอย่างน่าเหลือเชื่อ!
ความแตกต่างนี้…ช่างมากมายเกินไป!
เขาไม่สงสัยข้อแก้ตัวของเย่หยวนใดๆ เมิ่งฉีตระหนักดีว่านี่เป็นครั้งแรกของเย่หยวนจริงๆที่หลอมกลั่นโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจ
แม้วรยุทธหลอมกลั่นของเย่หยวนจะลึกซึ้งอย่างมาก แต่ความอึดอัดเก้ๆกังๆและความไร้ประสบการณ์ของเขากลับไม่สามารถปิดบังได้
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ พวกเขาเคยเห็นกันนับครั้งไม่ถ้วนแล้วจากพวกมือใหม่
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เย่หยวนเริ่มปรับตัวให้คุ้นชินและเริ่มเข้าสู้สภาวะสมดุล ดังนั้นยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ การเคลื่อนไหวของเขาก็ยิ่งดูนุ่มนวลมากขึ้นเท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น