Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1477-1485
ตอนที่ 1477 ในที่สุดปริศนาก็กระจ่าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อกลับไปถึงตระกูลฟาง เย่หยวนก็ได้รับป้ายตราแสดงตัวตนในฐานะอาคันตุกะ พวกเขาต่างจัดเตรียมที่พักอาศัยให้เขา รวมไปถึงเงินเดือนและทาสอีกสี่คน เท่านี่เป็นอันเสร็จสรรพ
เมื่อมาถึงลานกว้างหน้าเรือนพัก เย่หยวนก็นำคนอื่นออกไปเหลือไว้แค่เพียงหลงซาน
หลงซานในปัจจุบันอายุมากกว่าร่างปลอมที่เย่หยวนเคยพบในดินแดนมรดกในตอนนั้นเสียอีก
เห็นได้ชัดว่าหลายปีมานี้ในฐานะทาส ทำให้เขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
หากมิใช่เพราะตรามังกรศักดิ์สิทธิ์มีปฏิกิริยาตอบสนอง เย่หยวนเองยังจำหน้าเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
สำหรับร่างปลอมที่เคยเจอในตอนนั้น เห็นได้ชัดว่า เขาไม่สามารถผ่านประตูผนึกดินแดนเดินทางมายังมหาพิภพถงเทียนเข้ามาได้
เย่หยวนปรับขนาดสายตาจับจ้องพร้อมท่าทีขบขันเล็กน้อย แต่นี่ทำให้หลงซานไม่สบายใจอย่างมาก
ภายในเผ่าปีศาจ หากพวกเขาไม่พอใจทาสคนใดย่อมสามารถฆ่าทิ้งได้ตลอด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า…ไฉนข้าถึงรั้งเจ้าให้อยู่กับข้าคนเดียว?”
ทันใดนั้นเองเย่หยวนก็เอ่ยปากถามขึ้นทันที
หลงซานประสานมือกล่าวตอบพร้อมท่าทีลุกลี้ลุกลนว่า
“นายท่าน…ควรมีเรื่องสั่งการทาสคนนี้!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“เฮ้อ.. ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ประมุขเผ่ามังกรผู้สง่างามท่านนั้น จะมาลงเอ่ยด้วยสภาพเวทนาเช่นนี้ …ช่างน่าเศร้านัก!”
ทั่วกายาหลงซานสั่นสะท้านหนัก เขาจับจ้องไปที่เย่หยวนพร้อมคลื่นผวนอารมณ์ที่โหมซัดเข้าใส่หัวใจทันที
“เหตุใด…เหตุใดนายท่านถึงกล่าวเรื่องนี้”
คลื่นความตกใจที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจของหลงซานเกินจินตนาการนัก บนมหาพิภพถงเทียน ไม่มีใครเคยทราบเรื่องนี้เลย นอกจากเซียนที่เดินทางมาจากดินแดนพฤกษานิรันดร์ด้วยกันแล้ว ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย
แต่จู่ๆนายท่านคนใหม่ของเขาก็เอ่ยกล่าวขึ้นมา
เย่หยวนยื่นฝ่ามือออกไป ทันใดนั้นพลันปรากฏแท่งโลหะสีนวลงามขึ้นในมือของเขา
หลงซานไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป ทั่วทั้งร่างกายของเขาสั่นสะท้านหนัก จับจ้องไปที่ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ในมือเย่หยวน เขาอ้าปากกว้าง ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออก
“เจ้าคงคุ้นเคยกับสิ่งนี้ดีใช่หรือไม่?”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
พรึบ!
หลงซานคุกเข่าและโขกศีรษะสามทีให้แก่ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ทันที
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ก็พลันเห็นธารน้ำตาอาบทั่วใบหน้าของเขา
เป็นเวลากว่าหนึ่งแสนปีแล้ว ครั้นหนึ่งมหาสมุทรเลยเป็นทุ่งรวงทอง
ทว่าอดีตประมุขแห่งเผ่ามังกรอันยิ่งใหญ่ กลับลงเอยด้วยการเป็นทาสของคนอื่น ความเป็นความตายกลันถูกกำหนดโดยผู้คนที่เป็นนาย
ความปั่นป่วนพลุ่งพล่านเข้าสู่จิตใจขของเขาเป็นชั่วเวลาหนึ่ง หลงซานในตอนนี้ยังควบคุมตัวเองได้อย่างไร?
“นะ-นายท่าน…เป็นไปได้ไหมว่า ท่าน…ท่านเคยเดินทางไปยังบ้านเกิดของหลงซาน?”
หลงซานเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
เขาไม่สามารถมองผ่านอ่านภูมิหลังของเย่หยวนออกได้เลย และคิดว่าเย่หยวนแอบเดินทางเข้าไปยังดินแดนพฤกษานิรันดร์และได้รับตรามังกรศักดิ์สิทธิ์มาโดยบังเอิญ
“หึ!”
เย่หยวนเค้นเสียงหัวรัคำหนึ่ง ทันใดนั้นตรามังกรศักดิ์สิทธิ์พลันเปล่งแสงแพรวพราว ห้วงวายุโหมกระหน่ำขึ้นจากผืนดิน แต่ระยะจำกัดอยู่เพียงสามสิบฉื่อรอบตัว
สายตาที่จับจ้องของหลงซานฉายแววตื่นตะลึงหนัก เขาอุทานขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า
“ตรา…ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์…ยอมรับท่านในฐานะเจ้านาย! นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?!”
สมาชิกเผ่าปีศาจได้ลอบเร้นเข้าไปยังดินแดนพฤกษานิรันดร์ ทั้งยังได้รับตรามังกรศักดิ์สิทธิ์มาโดยบังเอิญ แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่กลับเป็นไปไม่ได้เลยที่ ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์จะยอมรับปีศาจเป็นนายของมัน!
ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ถูกสร้างขึ้นโดยท่านบรรพชนรุ่นแรก มีพลังสายเลือดที่แกร่งกล้าอย่างยิ่ง แม้แต่สมาชิกเผ่ามังกรด้วยกันเองยังมิอาจได้การยอมรับจากตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นกัน
ผู้ที่สามารถได้การยอมรับจากตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ได้ ผู้นั้นมีเพียงประมุขแห่งเผ่ามังกร!
แต่ตอนนี้ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์กลับยอมรับปีศาจในฐานะเจ้าของคนใหม่ นี่จะไม่ทำให้เขาตกใจได้อย่างไร?
ทันทีทันใดรัศมีกลิ่นอายบนร่างของเย่หยวนก็เปลี่ยนไป พลังปราณปีศาจได้โคจรย้อนกลับไปกลายเป็นพลังปราณเทวะอีกครั้ง และเปลี่ยนกลับเป็นเย่หยวนคนเดิม
หลงซานตกใจแทบพังพลายลงต่อหน้า ปรากฏว่าเจ้านายของเขาเป็นมนุษย์!?
เขาปลอมตัวเป็นปีศาจ และแม้แต่ปีศาจด้วยกันเองก็ยังไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้!
ทันใดนั้นเองสายตาที่จับจ้องของหลงซานพลันแปรเปลี่ยนทันที เขาเอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึงยิ่งว่า
“นายท่าน…ท่านมาจากดินแดนพฤกษานิรันดร์ใช่หรือไม่?”
เย่หยวนแสยะยิ้มกล่าวตอบว่า
“ถือว่าเจ้าไม่โง่เกินไป ข้าเองก็มีบ้านเกิดเช่นเดียวกับเจ้า ข้ามาจากดินแดนพฤกษานิรันดร์”
สีหน้าการแสดงออกของหลงซานพลันเปลี่ยนไปทันทีท เขาเอ่ยอุทานขึ้นด้วยความไม่อยากเชื่อขึ้นว่า
“เป็นไปไม่ได้! ศาสตร์แห่งสวรรค์ของดินแดนพฤกษานิรันดร์ได้สูญหายไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครสักคนสามารถข้ามผ่านห้วงอวกาศมาได้!”
ทันใดนั้นเองสีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนพลันเปลี่ยนไป เขาเอ่ยกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นว่า
“ข้าเพียงบอกกล่าวตามความจริง ตอนนี้ข้ายังไว้ใจเจ้าไม่ได้ และอย่าลืมสถานะของตัวเองในยามนี้!”
ทั่วกายาหลงซานสั่นสะท้านหนัก จากรัศมีกลิ่นอายร้อนระอุ กลายเป็นเย็นลงทันทีและประสานมือกล่าววาจานอบน้อมขึ้นว่า
“โปรดยกโทษให้ข้าด้วยนายท่าน!”
น้ำเสียงของเย่หยวนดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย กวาดสายตามองไปยังหลงซาน เขาเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“เจ้ากับข้าก็คนบ้านรากเหง้าเดียวกัน นอกจากนี้ที่ข้าได้รับมรดกอย่างตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดก็ควรต้องขอบคุณเจ้าอย่างไม่รู้จบ เช่นนั้นให้ข้าช่วยปลดปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระดีหรือไม่?”
หลงซานใจเต้นกระหน่ำดั่งจมสู่ก้นบึ้ง
สิ่งที่เย่หยวนกล่าวไปนั้นถูกต้อง หลังจากตกใจที่ได้ฟังดังนั้น เขาก็แอบดีใจอยู่ลึกๆ
เนื่องจากเย่หยวนได้รับมรดกอย่างตรามังกรศักดิ์สิทธิ์มา ยิ่งไปกว่านั้นยังมาจากดินแดนพฤกษานิรันดร์ที่เดียวกันอีก จึงเป็นไปไม่ได้ที่เย่หยวนจะไม่ช่วยเขา!
ยามนี้เขารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมากขึ้นแล้ว
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้กลับไม่ถูกต้องนัก
“เอ่อ…ผู้ต่ำต้อยมิกล้า!”
หลงซานเอ่ยกล่าวเจือน้ำเสียงเศร้าใจ
ทันใดนั้นดวงตาของเย่หยวนหรี่แคบลงทันที แววตาสาดสะท้อนจิตสังหารไอเย็นออกมา ก่อนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นสะท้านดังว่า
“หากมิใช่เพราะตรามังกรศักดิ์สิทธิ์อันนี้ ทันทีที่ข้าเห็นเจ้า ข้าคงคิดหาวิธีฆ่าเจ้าลงไปแล้ว!”
ทันทีทันใดจิตสังหารอันเย็นยะเยือกพลันปะทุขึ้นมาจากศีรษะ ทำเอาหลงซานแทบสลบมอด
ขณะที่เย่หยวนจับตราทาส หยิบใช้เพียงความคิดเท่านั้น เขาก็สามารถบดขยี้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีกฝ่ายให้สลายได้ในพริบตา!
“อย่าคิดแก้ตัวว่า พวกเจ้าเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าทุกคนจะมิได้ล่วงรู้การมาถึงของมหันตภัยร้ายในดินแดนพฤกษานิรันดร์! พวกเจ้าละทิ้งพวกเรานับพันล้านชีวิจหนีออกไปจากดินแดนพฤกษานิรันดร์ เพราะความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น! ดังนั้นแล้ว…ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร?”
สำหรับพวกเขาที่ถือครองขุมพลังอาณาจักรพระเจ้าในเวลานั้น กลับหนีออกไปจากดินแดนพฤกษานิรันดร์อย่างเห็นแก่ตัว ได้สร้างความขุ่งเคืองใจให้แก่เย่หยวนอย่างมาก
หากมิใช่เพราะเย่หยวนสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายพอดี ท้ายที่สุดนี้ดินแดนพฤกษานิรันดร์คงกลายมาเป็นนรกบนดินไปแล้วในปัจจุบัน!
หลงซานนิ่งเรียบอยู่นานดั่งจักจั่นในฤดูหนาว และไม่กล้าเอ่ยวาจาหักล้างหรือปฏิเสธแต่อย่างใด
ชีวิตทาสอันแสนยาวนานนี้ทำให้เขากลายมาเป็นคนที่ขี้กลัวและระมัดระวังคำพูดคำจามากขึ้น
เขาในตอนนี้รู้ดีว่า หากตนเอ่ยปากกล่าวออกไปอีกสักคน อาจสร้างหายนะแก่ตัวเองได้
“เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาโดยละเอียด! หากคิดปกปิดก็เตรียมรับผลที่ตามมาได้เลย!”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
หลงซานมิกล้าปิดบังความจริงและเล่าอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดในตอนนั้นให้ฟังทันที
ในตอนนั้น พวกเขากระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะเดินทางออกจากดินแดนพฤกษานิรัรดร์ อนึ่งเป็นเพราะศาสตร์แห่งสวรรค์ที่ลดฮวบลงอย่างผิดปกติ และในทางตรงข้าม พวกเขาก็หวาดกลัวต่อการรุกรานของเผ่าปีศาจเช่นกัน
เนื่องจากในเวลานั้น ดินแดนพฤกษานิรันดร์ไม่สามารถให้กำเนิดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้อีกต่อไป พวกเขาไร้ซึ่งพลังอำนาจที่จะไปต่อกรกับการตื่นขึ้นอีกครั้งของเผ่าปีศาจได้เลย
ปัญหาทั้งสองข้อนี้เปรียบเสมือนหุบเขาสองลูกใหญ่ที่กดทับหัวใจของเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าทั้งหมดไว้
ในที่สุดหลังสถานการณ์ทุกอย่างสงบดีนับหมื่นปี ในที่สุดเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าทั้งหมดก็เห็นเป็นประจักษ์ เดินทางออกจากดินแดนพฤกษานิรันดร์ทันที!
และอดีตประมุขเผ่ามังกรเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ริเริ่มแผนการนี้เช่นกัน
กลุ่มผู้ริเริ่มแผนการนี้คือเหล่าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า
พวกเขารวบรวมเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าทั้งหมดบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และวางแผนการหลบหนีออกไป
หากผู้ใดกล้ารั้งรอนตัวเองและยังยืนยันจะอยู่ในดินแดนพฤกษานิรันดร์ต่อ พวกเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นที่หมายหัวและถูกคนอื่นกล่าวล้อดูถูก
โดยปกติแล้ว มิใช่ว่าพวกเขาต้องการดูถูก แต่การที่มีคนเดินทางออกไปพร้อมกันมากขึ้น มันก็ยิ่งเพิ่มหลักประกันให้พวกเขารอดชีวิตในห้วงอวกาศนี้ได้
และจุดนัดพบของทุกคนในเวลานั้นก็อยู่ที่ ทะเลมารคลั่ง!
สถานที่แห่งนี้ยังเคยเป็นสนามรบใบยุคโบราณของมนุษย์และเผ่าปีศาจมาก่อน
เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าทิ้งมรดกมากมายภายในที่แห่งนั้น
ต่อมาพวกเขานับร้อยก็เดินทางผ่านกระแสวายุอันปั่นป่วนในห้วงอวกาศ โดยอาศัยจำนวนเป็นกลุ่มเข้าต้านรับ และหนีออกมาจากดินแดนพฤกษานิรันดร์
…………………………………
ตอนที่ 1478 บรรลุศาสตร์แห่งดาบชั้นสวรรค์ระดับสองขั้นสุด!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ใครบ้างที่รอดชีวิตและเดินทางมาถึงมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ แล้วเจ้าลงเอ่ยกลายเป็นทาสของเผ่าปีศาจได้อย่างไร?”
เย่หยวนเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นสะท้าน
เมื่อได้ยินคำกล่าวเล่าของหลงซาน ความโกรธภายในใจของเย่หยวนก็ยิ่งทวีลุกโชนเข้าไปใหญ่
กลุ่มคนเหล่านั้นย่อมเสี่ยงตายเพื่อหนีออกไป แทนที่จะเต็มใจอยู่ต่อไปเพื่อปกป้องดินแดนพฤกษานิรันดร์ การกระทำเช่นนี้ช่างเป็นอะไรที่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่งยวด
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่คืบคลานออกมาจากร่างเย่หยวน หลงซานก็รู้สึกสับสนรวนเรอย่างไม่น่าเชื่อ
“ในตอนนั้นพวกเราเหลือรอดกันมาทั้งหมดเจ็ดคน คล้อยหลังเดินทางเข้ามายังมหาพิภพถงเทียน พวกเราก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ พวกเราไม่รู้ว่าเดินทางไปเนิ่นนานเท่าไหร่ แต่จู่ๆก็วิ่งไปชนเข้ากับกลุ่มพ่อค้าทาส! เนื่องจากอาการบาดเจ็บรุนแรง พวกเราจึงไม่มีเรี่ยวแรงไปต่อกรพวกมันได้ ในท้ายที่สุดคล้อยหลังพวกเขาถูกซื้อขายผ่านมือผ่านนายจากสถานที่ต่างๆนาๆ ท้ายที่สุดเราก็ถูกขายให้แก่เผ่าปีศาจ ระหว่างทางสหายสี่คนเสียชีวิตลง ณ ปัจจุบันเหลือกันแค่สามคนเท่านั้น”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า
“พวกเจ้าทุกคนในฐานะที่เป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์ กลับไร้ซึ่งความรับผิดชอบใดๆ แทนที่จะเต็มใจยอมสละชีพเพื่อต่อต้านดผ่าปีศาจ แต่กลับหนีออกไปทั้งแบบนั้น! ชั่วชีวิตที่เหลือกลับต้องกลายเป็นทาสรับใช้ของพวกปีศาจ บางที…นี่อาจเป็นผลกรรมของเจ้าเอง!”
เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าทั้งหมดล้วนล้มหายตายจากกันเกือบหมด บางทีนี่อาจเป็นลิขิตของสวรรค์ล่วงหน้าแล้ว
หลงซานกล่าวขึ้นพร้อมน้ำเสียงสั่นกลัวว่า
“ถูกต้องแล้ว”
เย่หยวนกวาดสายตามองเขาอย่างเยือกเย็นและกล่าวต่อว่า
“นอกจากเจ้าแล้ว คนที่เหลืออยู่ที่ใด?”
หลงซานกล่าวตอบว่า
“ยังมีอีกคนอยู่ในเมืองคาโปน ส่วนอีกคนอยู่ในเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ ส่วนเป็นตายอย่างไรกลับมิทราบ!”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“สำหรับเรื่องการปลดตราประทับทาสของเจ้า เลิกหวังไปได้เลย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผลงานในอนาคตของตัวเจ้าเอง”
หลงซานดูผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาต้องจำใจยอมรับอย่างหมดหนทางว่า
“รับทราบนายท่าน!”
เย่หยวนมิได้ปลดผนึกตราทาสของหลงซานออกมา ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการกระทำของเขาเอง
เมื่อเขาทอดทิ้งดินแดนพฤกษานิรันดร์ไป หลงซานก็ถูกกดขี่รังแกเป็นเวลากว่าหนึ่งแสนปี สันดานความเป็นทาสมันฝังรากลึกลงไปถึงไขกระดูกแล้ว
หลงซานในปัจจุบันหาใช่ผู้นำเผ่ามังกรอย่างในอดีตอีกต่อไปแล้ว
สำหรับเขาที่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้จวบจนวันนี้ เป็นเพราะความหัวหมอและไหลลื่นตามสถานการณ์เข้าประจบเป็นยอดดี
เขาในตอนนี้กลายเป็นขี้ข้าโดยสมบูรณ์แล้ว!
บุคคลเช่นนี้ เมื่อถูกปลดผนึกตราประทับทาสออก เย่หยวนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะถูกขายหรือทรยศเมื่อใด
“โอ้ใช่แล้ว เจ้าอยู่ในเมืองหลวงคาโปนมาเนินนาน ข้าขอถามอะไรเสียหน่อย ใครคือเจ้าเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้เมื่อหนึ่งล้านปีก่อน? แล้วตอนนี้เขายังอยู่ในเมืองคาโปนหรือไม่?”
หลงซานที่ได้ฟังดังนั้นพลันตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนส่ายหัวกล่าวว่า
“เจ้าเมืองเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน คงมิใช่ว่าตายไปแล้ว?”
โดยปกติเผ่าปีศาจมีอายุขัยยืนยาวและตายได้ยากมาก
ยิ่งเป็นปีศาจอาณาจักรพระเจ้า ชีวิตของพวกมันยิ่งยืนยาวถึงหลายล้านปีและไม่มีทางตายลงโดยง่ายแน่นอน
อาณาเขตดินแดนของเผ่าปีศาจมิได้สงบสุขดั่งของเผ่ามนุษย์ แม้แต่ระหว่างสองเมืองหลวงยังก่อศึกสงครามใส่กันและกันเป็นครั้งคราว
การที่เจ้าเมืองตายในสรมภูมิรบนับเป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น หากเมืองหลวงคาโปนถูกกลุ่มอำนาจใดบุกยึด พวกมันย่อมสามารถเข้าท้าทายเจ้าเมืองได้โดยตรง
ตราบเท่าที่อีกฝ่ายสามารถสังหารเจ้าเมืองคนเก่าได้ มันก็สามารถขึ้นแทนที่ได้เลยเช่นกัน
ดังนั้นการสับเปลี่ยนตำแหน่งเจ้าเมืองในดินแดนปีศาจจึงเป็นอะไรที่ถี่มาก
ในหนึ่งศตวรรษ บางเมืองหลวงอาจสับเปลี่ยนเจ้าเมืองไปนับสิบครั้ง!
ดังนั้นแล้ว เจ้าเมืองเมื่อยุคล้านปีก่อนเป็นใคร นับเป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบนัก
แต่ก็เป็นที่แน่นอนเช่นกัน เพราะเซียนของเผ่าปีศาจมีจำนวนมากมายราวกับก้อนเมฆ ดังนั้นความแกร่งกล้าของพวกมันจึงเหนือชั้นกว่ามนุษย์ หากเปรียบเทียบในระดับชั้นเดียวกัน
เหล่าเซียนของเมืองกระแสพิรุณสามารถต้านรับกองกำลังปีศาจได้ นับเป็นร้อยพันศึกสมรภูมิ
มนุษย์ธรรมดาทั่วไปจำนวนสามถึงสี่คนยังไม่สามารถรับมือกับปีศาจในระดับชั้นเดียวกันได้
ทั้งหมดนี้เย่หยวนย่อมตระหนักทราบดีโดยธรรมชาติ ที่เอยถามเรื่องนี้เป็นเพียงเพราะยืนยันความคิดของคนว่าเข้าใจถูกต้องแล้ว
“แล้วเจ้าทราบหรือไม่ว่า ที่แห่งใดในเมืองหลวงคาโปนที่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากที่สุด?”
เย่หยวนเอ่ยถามอีกครั้ง
หลงซ่านโพล่งตอบขึ้นทันทีว่า
“หากต้องการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ แน่นอนว่าต้องเป็นโถงโลหิตปรโลก! เพียงว่าการจะไปสอบถามคนพวกนั้นกลับมิง่าย”
ดวงตาของเย่หยวนหรี่แคบลงเล็กน้อย พร้อมกล่าวพรางพยักหน้าให้ว่า
“เข้าใจแล้ว แยกย้ายไปได้”
…
ภายในห้วงมิติบ่มเพาะพลังแห่งความตาย หยาดเหงื่อเย่หยวนรินไหลลงมาราวกับเม็ดฝน
เย่หยวนอีกคนที่ยืนอยู่ตรงข้าม เข้าจู่โจมราวกับสายฟ้าฟาด หนึ่งดาบรุกหน้าอีกหนึ่งดาบต้านรับปะทะแรงกดดันสุดน่าสะพรึง เย่หยวนยามนี้ถูกไล่ต้อนจนถึงขีดสุดแล้ว
“เจ้าช่างอ่อนแอนัก! ข้าไม่เชื่อหรอกว่า ครั้งนี้ข้าจักฆ่าเจ้าไม่ได้! ลงนรกไป!”
ร่างปลอมกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชัง แววตาสาดสะท้อนจิตสังหาร จันทร์สลายปราดพุ่งแทงทะลวงขึ้นกลางอกของเย่หยวนด้วยความเร็วสูงประดุจสายฟ้า
นับตั้งแต่ที่เย่หยวนรอดตายอย่างหวุดหวิดในห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตายในครั้งแรก เย่หยวนก็เข้าฝึกปรือวนเวียนอยู่ภายในนี้นับสิบครั้งแล้ว
แต่ละครั้งราวกับว่าเขากำลังร่ายรำอยู่บนคมมีดไปพร้อมกับยมทูต
ทว่าทุกครั้งที่เขาสามารถผ่านมันไปได้ ก็ราวกับได้ขยายขอบเขตความรู้ความเข้าใจไปในตัว
ด้วยเหตุนี้ เย่หยวนจึงมีพัฒนาการที่รวดเร็วอย่างมาก
สำหรับเขาที่ต้องยืนหยัดต่อกรตามลำพังท่ามกลางกองทัพปีศาจนับพันหมื่น เขายังคงเพียรฝึกปรืออย่างหนักในห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตายแห่งนี้
หากเป็นก่อนหน้า เย่หยวนย่อมสามารถสังหารหลางเก๋อได้ก็จริง แต่เขาลงไม่สามารถโค่นลงโดยง่ายเช่นนี้
ความแกร่งกล้าของหลางเก๋อมิได้รับพิจารณาหรือสนใจมากนักในเผ่าปีศาจทั้งหมด ปีศาจตนอื่นๆเองก็มิได้แย่หรือดีไปกว่าหลางเก๋อมากนัก
แต่การข้ามระดับต่อสู้จะเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไร?
ทุกครั้งที่เย่หยวนเดินทางเข้าสู้ห้วงมิติบ่มเพาะแห่งคาวมตาย เขามันจะรัดเค้นศักยภาพแฝงออกมาได้ตลอดในยามหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ
มิฉะนั้นหากเขาเอาชนะร่างปลอมของตนมิได้ ก็เท่ากับความตายรออยู่ตรงหน้า!
ดังนั้นทุกครั้งที่เตรียมใจเข้ามา เขาต้องกลับออกไปพร้อมความก้าวหน้า!
แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตามที
แล่นไปตามกระแสน้ำไม่รู้ทิศทาง จะถอยหลังหรือเดินหน้ากลับไม่ทราบแน่ชัด
เว้นเสียว่าครั้งนี้อาจเป็นคำสาปส่งชั่วนิรันดร์!
เย่หยวนค่อยๆล่าถอยมากขึ้น พร้อมความรู้สึกที่รุดเข้าใกล้ความตาย
เขาค้นพบได้ว่า จอมเทพนิรันดร์ท่านนี้ เป็นยอดอัจฉริยะที่ค้นคนวิธีบ่มเพาะฝึกปรืออันน่ามหัศจรรย์เช่นนี้ได้
เพราะการเข้าไปแต่ละครั้ง เย่หยวนมักจะเก็บเกี่ยวผลกำไรได้อย่างดีเยี่ยมเสมอ
และความรู้สึกที่สามารถทำลายขีดจำกัดตัวเองภายใต้สภาวะกดดันสุดขีดเช่นนี้เอง มันก็รู้สึกดีนัก
เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เย่หยวนจะสามารถเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้แบบตอนนั้น ทุกครั้งที่เขาสามารถเอาชนะตัวปลอมได้ แสดงว่าขอบเขตแนวคิดของเขาได้พัฒนาขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว
เขาที่สามารถเข้าร่วมตระกูลฟางได้นับว่าภารกิจสำเร็จแล้ว ยามนี้ก็ถึงเวลาฝึกปรือขัดเกลาตัวเองแล้ว!
จุดปเปลี่ยนชีวิตระหว่างความเป็นความตาย เย่หยวนสามารถบรรลุอะไรได้บางอย่าง ทันทีทันใดร่างของเขาปราดพุ่งออกมาประดุจสายอัสนีฟันฟาด!
จันทร์สลายปะทะจันทร์สลาย!
แต่กระบวนดาบของเย่หยวนกลับรวดเร็วและเฉียบคมกว่า!
แม้ออกโรงช้ากว่า ทว่าปราดลุถึงได้เร็วกว่า!
ซวบบบ!
คมดาบของเย่หยวนแทงทะลวงเข้ากลางอกทันที!
ปราศจากเลือดสดไหลรินออกมา ร่างปลอมจับจ้องเย่หยวนด้วยสายตาสุดเกลียดชัง และเอ่ยกล่าวอย่างเศร้าหมองว่า
“ทำไม?! ทำไมเจ้าถึงสามารถเอาชนะข้าได้ทุกครั้ง! ข้า…จะมีสักวันที่ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้!”
ตัวตนในห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตายมีความนึกคิดและความทรงจำเป็นของตัวเองจริงๆ
ร่างปลอมของเย่หยวนรุกต้อนเย่หยวนจนถึงขีดจำกัดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายมันก็พ่ายลงภายใต้เงื้อมมือของเย่หยวนทุกครั้งไป อารมณ์ความขุ่นเคืองหม่นหมองของมันเปี่ยมล้นจนถึงขีดสุดแล้ว
เย่หยวนปาดเหงื่อบนหน้าผากและกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า
“ได้! ข้าจะรอเจ้า!”
ตันตนจำลองแบบดูไม่ค่อยเต็มใจนักก่อนที่จะอันตรธานหายไป
แต่เย่หยวนในปัจจุบันดูค่อนข้างตื่นตกตื่นเต้น เขากล่าวว่า
“ในที่สุดก็บรรลุศาสตร์แห่งดาวชั้นสวรรค์ระดับสองขั้นสุดแล้ว!”
ตอนที่ 1479 ความผิดของข้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เย่หยวนฝึกปรือเพลงดาบโดยลดความซับซ้อนสู่ความเรียบง่ายที่มากขึ้น และบิดพลิ้วปราศจากแบบแผนที่ตายตัว
สำหรับกระบวนดาบอย่าง‘สยบดารา’ แก่นแท้สำคัญจะอยู่กับคำว่า‘สับ’
ในขณะที่‘จันทร์สลาย’ แก่นสำคัญจะขึ้นอยู่กับคำว่า‘แทง’!
แทงหนึ่งครั้งสามารถพัฒนาขึ้นไปสู่การแทงทะลวงนับแสนล้าน อย่างไรก็ตามแต่ แท่นแท้ยังคงเดิมคือคำว่า‘แทง’
ความฉลาดขัดเกลากลยุทธ์ปรับเปลี่ยน
การยึดมั่นเคร่งครัดอยู่ในกรอบไร้ซึ่งความบิดพลิ้ว กลับเป็นการจำกัดขีดความสามารถตนเองเท่านั้น
ศาสตร์แห่งดาบชั้นสวรรค์ระดับสองขั้นสุดนี้ ทำให้ความแข็งแกร่งของเย่หยวนเพิ่มทวีไปอีกระดับ
เพียงหนึ่งกระบวนเคลื่อนไหวก็มากเกินพอแล้วที่จะสังหารหลางเก๋อ!
ในเวลานั้นเอง สุ้มเสียงของหลงซานก็ดังขึ้นจากด้านนอก
“นายท่าน คุณหนูหลี่จีมาขอพบท่าน”
“เข้าใจแล้ว”
เย่หยวนเอ่ยตอบกลับไป
เมื่อเขาเห็นหลี่จี ปรากฏว่ายังมีเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าอีกสองคนคล้อยหลังติดตามนางมา
ทันทีที่พวกเขาทั้งสองเห็นเย่หยวน ดูท่าจะไร้ซึ่งความเป็นมิตรอย่างยิ่ง
เย่หยวนพอจะเข้าใจได้ในทันที พวกคนเหล่านี้ควรจะเป็นอาคันตุกะของตระกูลฟางเช่นกัน และพวกเขาก็รู้ว่าเงินเดือนที่เย่หยวนได้รับมากกว่าพวกตนถึงสองเท่า ใครทราบย่อมรู้สึกขมขื่นใจเป็นธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งตนเป็นศัตรูกับเย่หยวนทันที
ข้างกายหลี่จีมีชายหนุ่มเผ่าปีศาจอีกตนหนึ่ง
เขาปรับขนาดสายตาจับจ้องเย่หยวนและกล่าวขึ้นกับหลี่จีว่า
“หลีจี ยอดฝีมือที่เจ้าบอก มันดูธรรมดามาก!”
หลี่จีกลอกตาไปมาก่อนกล่าวว่า
“ฟางอวี้ เจ้าเพียงจัดการคนของเจ้าให้ดีเถอะ! คนของข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้ารบกวน!”
ฟางอวี้ยิ้มและกล่าวตอบว่า
“เอาล่ะ ไม่เป็นไร ข้าจะไม่ยุ่ง! แต่ของกล่าวตามจริง เจ้าหนุ่มคนนี้ดูหล่อเหลามาก จนบางคนต้องอิจฉา!”
หลี่จีเม้มปากเล็กน้อยและกล่าวว่า
“พวกมันทำตัวของมันเอง แล้วเกี่ยวเนื่องอันใดกับข้า”
ฟางอวี้ตนนี้เป็นพี่ชายของหลีจี่
ในสถานะของสตรีแห่งเผ่าปีศาจ พวกนางนับเป็นชนชั้นต่ำจึงมิได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อสกุลนำหน้า
แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของหลี่จีจะงดงามเพียงใด แต่นั่นก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
เมื่อกล่าวจบ นางก็เอ่ยปากพูดกับเย่หยวนว่า
“บรรพกาลราตรี พี่ใหญ่กับข้าต้องเข้าร่วมพบปะกับท่านผู้สูงศักดิ์ไคซิน ไฉนเจ้าไม่มาด้วยกันกับลั่วฉีกับเป่ยหลาน?”
เย่หยวนไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธจึงพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าตกลง
…
เดิมทีเย่หยวนคิดว่าเหล่าขุนนางของเผ่าปีศาจจะไม่ค่อยสนใจเรื่องสถาปัตยกรรมหรือศิลปะเท่าไหร่นัก แต่เการตกแต่งภายในตำหนักเจ้าเมืองกลับมีความซับซ้อนและดูประณีตอย่างมาก
เพียงเข้ามาเห็นกับตามันก็เปลี่ยนความเข้าใจของเย่หยวนที่มีต่อเผ่าปีศาจไปโดยสิ้นเชิง
หุบเขาจำลองศาลาย่อนใจ ลานระเบียงธารน้ำตกหลากสายไหลรวมกันช่างวิจิตรงามตา สามารถบอกได้เลยว่าเรื่องศิลปะการตกแต่งมิได้ด้อยไปกว่ามนุษย์เลย
“ว้า! น้องชายตัวน้อยหล่อเหลาอะไรเยี่ยงนี้! หุหุ ใครๆต่างก็พูดว่าน้องสาวหลี่จีทั้งบริสุทธิ์และมีเกียรติ แตกต่างจากอิสตรีเผ่าปีศาจทั่วไป แต่ดูเหมือนว่า…เจ้าเองก็เลือกสิ่งดีๆให้ตนเองเช่นกัน!”
เบื้องหน้าปรากฏชายหญิงออกมาต้อนรับพวกเขา
เมื่อสตรีนางนี้เห็นเย่หยวนอยู่ด้านหลังหลี่จี ดางตากลมโตทั้งสองของนางพลันสว่างแพรวพราวทันที ดวงเนตรคู่งามนั้นจับจ้องเย่หยวนไม่คลายอ่อน
สตรีนางนี้ใบหน้างดงามมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบไม่ รูปลักษณะหน้าตาของนางคล้ายกับหลีจี่อยู่หลายส่วน
อย่างไรก็ตาม สายตาของชายอีกคนหนึ่งกลับมองเย่หยวนอย่างเยือกเย็น เปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหาร
วาจาคำกล่าวของสตรีนางนั้นทำให้ใบหน้างามของหลี่จีเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ นางกล่าวสวนกลับไปทันทีว่า
“พี่เหลียนฮวาท่านกล่าวอันใดกัน บรรพกาลราตรีเป็นอาคันตุกะคนใหม่ของข้าเอง”
เหลียนฮวาดึงมือเรียวนวลของหลี่จีเข้าไปจับและยิ้มกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ มีหรือทีพี่สาวคนนี้จะไม่เข้าใจเจ้าได้อย่างไร?”
ขณะที่หลี่จีกำลังจะขยับตอบโต้ เหลียนฮวาก็เลื่อนใบหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูนางเบาๆว่า
“น้องชายคนนี้หล่อเหลาจริงๆ ไฉนไม่…แบ่งให้พี่สาวคนนี้เล่นสักวันสองวันล่ะ?”
หลี่จีหันควับมองเย่หยวนโดยไว สีหน้าของนางบูดบึ้งกล่าวตอบไปว่า
“พี่เหลียนฮวา หากท่านยังแกล้งข้าเล่นเช่นนี้อีก หลีจีไปแล้ว!”
คู่คิ้วของชายคนนั้นขมวดเข้ม คล้ายท่าทีไม่ค่อยมีความสุขนัก แต่ยังคงกล่าวขึ้นว่า
“เหลียนฮวา ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้จักหลีจี่ เจ้าหยุดแกล้งนางเล่นได้แล้ว”
ชายคนนี้ใบหน้าคมเข้มดูหล่อเหลามิใช่น้อย และเป็นที่หาได้ยากในหมู่เผ่าปีศาจ
แต่เมื่อเทียบกับเย่หยวนแล้ว เขาจะดูเป็นรอง
บุคคลนี้มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากไคซินผู้สูงศักดิ์ หรือก็คือนายน้อยแห่งตำหนักเจ้าเมือง
เหลียนฮวากลอกตาไปมาเล็กน้อยก่อนจะเหลียวจับจ้องไปที่ไคซิน และกล่าวว่า
“พี่ชายที่แสนดีของข้า ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่แท้ๆ ไฉนต้องมาดุกัน?”
แต่ไคซินกลับหาได้สนใจนางไม่ และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า
“ฟานอวี้ หลี่จี เชิญเข้าไปข้างใน”
ไม่นานก่อนหน้านี้ สมาชิกเผ่าปีศาจมากมายในชุดแพรพรรณหรูต่างทยอยเดินทางเข้ามา พร้อมเข้าทักทายพวกไคซิน
แต่เมื่อพวกนางเหล่านั้นเห็นเย่หยวนที่เดินตามหลังหลี่จีมา สายตาของพวกนางก็เปลี่ยนไปเผยสีหน้าสุดน่าสยดสยองออกมา
เห็นได้ชัดว่าพวกนางทั้งหมดต่างเห็นเย่หยวนเป็นชิ้นเนื้อชั้นยอดในสายตา แต่นี่กลับยิ่งเพิ่มทวีความเกลียดชังของหลี่จีที่มีต่อคนเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น
เย่หยวนมีระดับพลังอยู่ที่แม่ทัพปีศาจสองดาว แต่สามารถเป็นอาคันตุกะของหลี่จีได้ พวกเขาไม่มีทางเชื่อแน่นอนแม้นต้องตายว่า นางเลือกเขาที่ความแข็งแกร่งหาใช่หน้าตาไม่
ในมุมมองของพวกนาง ที่เย่หยวนได้รับตำแหน่งนี้เป็นเพราะหน้าตาล้วนๆ
ตรงกันข้าม เมื่อเหล่าบุรุษชายภายในงานจับจ้องเย่หยวนด้วยสายตาสุดรังเกียจ ลั่วฉีกับเป่ยหลาน ทั้งคู่ต่างจับจ้องเย่หยวนด้วยแววตาสุดยืนดีปรีใจ
ด้วยท่าทางที่ไม่เป็นมิตรของคนพวกนั้น เย่หยวนเองก็อดถอนหายใจมิได้
ก็ข้าหน้าตาดี เป็นความผิดของข้าหรืออย่างไร?
รูปลักษณะหน้าตาของพวกเจ้าปีศาจทุกตน ก็ดูเหมือนพ่อแม่ของพวกเจ้า เช่นนั้นมันน่าผิดหวังขนาดนั้นเชียว?
หลังจากสนทนากันพอหอมปากหอมคอ ก็มีคนตรงเข้ามาเอ่ยปากกล่าวว่า
“ท่านไคซิน ใกล้ถึงเวลาแล้ว ไปซ้อนกันดีหรือไม่?”
เผ่าปีศาจชื่นชอบการต่อสู้เป็นที่สุด
แต่ไคซินกลับยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวขึ้นว่า
“ซ้อนที่นี่แบบเดิมทุกวัน พวกเขาต่างทราบฝีมือพวกเราจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ไฉนเราถึงไม่ลองเปลี่ยนบ้างล่ะ?”
ทันทีที่ทุกคนได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างก็ให้ความสนใจขึ้นมาทันที
“โอ้ ท่านไคซินมีสิ่งใดแปลกใหม่มาแนะนำ?”
ไคซินคลี่ยิ้มบางพร้อมกล่าวตอบไปว่า
“ความแกร่งกล้าของตระกูลมิได้ขึ้นอยู่กับพวกเราเสาหลักเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้พิทักษ์ตระกูลที่เป็นเสาสำคัญอีกด้วย ไฉนวันนี้พวกเราถึงไม่ปล่อยผู้พิทักษ์ของแต่ละคนออกมาแข่งขันกันล่ะ?”
ทันทีที่ทุกคนได้ยินแบบนั้น พวกเขาต่างคลี่ยิ้มกว้างออกมาทันที
แผนการครั้งนี้เล็งเป้าไว้ที่เย่หยวนอย่างชัดเจน
“นับเป็นความคิดที่ดี! สิ่งที่ท่านไคซินกล่าวมาล้วนถูกต้องแล้ว ความแข็งแกร่งของเหล่าผู้พิทักษ์ตระกูลมีความสำคัญเป็นอย่างมาก!”
ทันทีที่สิ้นเสียงไคซิน เหล่าบุรุษคนอื่นๆต่างกล่าวเสริมขึ้นมาโดยไว
แต่ในขณะที่หลี่จีได้ยินเช่นนั้น นางก็พยายามจะกล่าวค้านนี้มาทันที แต่กลับถูกฟางอวี้รั้งไว้เสียก่อน
ฟางอวี้ยิ้มและกล่าวว่า
“สิ่งที่ท่านไคซินกล่าวไป ฟางอวี้คนนี้เองก็เห็นด้วย!”
“เจ้า!!”
หลี่จีโพล่งคำรามขึ้นด้วยความโกรธ
ฟางอวี้เลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมจ้องเขม็งไปที่หลี่จี
ทั่วกายาของหลี่จีสั่นสะท้านหนัก และไม่กล้าเอ่ยกล่าวอีกต่อไป
งานเลี้ยงนี้เหมือนจะดูเรียบง่าย แต่แท้จริงแล้ว มันยังเป็นงานชุนนุมระหว่างหลายตระกูลใหญ่ที่แข่งกันอวดอเงความแข็งแกร่งอีกด้วย
เหล่าฝูงชนในเวลานี้ ต้องการทำให้ตระกูลฟางเสียหน้าอย่างชัดเจน
ไคซินยิ้มกล่าวว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราทั้งแปดคนที่ที่ จะส่งผู้พิทักษ์ของตนออกมาสามคน ให้มาต่อสู้กันจนกว่าจะเหลือผู้ชนะ อ่อ…เนื่องจากเป็นผู้พิทักษ์ประจำตระกูล เช่นนั้นข้าขอเพิ่มเดิมพันของการแข่งเสียหน่อย”
ขณะที่กล่าวอยู่นั้นเอง ไคซินก็หยิบขวดเล็กๆขวดหนึ่งออกมา ภายในขวดนั้นเต็มไปด้วยสารสีดำคล้ายผงแป้ง
ทันทีที่เหล่าผู้พิทักษ์ตระกูลเห็นดังนั้น ทุกคนต่างอุทานขึ้นลั่นระเบิดออกมาทันที
“นั้นผงวิญญาณทมิฬเลิศ! มันคือโอสถเทวะปรับสภาพกายา!”
“ด้วยสิ่งนี้ข้าอาจเลื่อนชั้นขึ้นกลายเป็นจอมทัพปีศาจสามดาว!”
“เหอะ! ผงวิญญาณทมิฬเลิศต้องเป็นของข้า! ใครกล้าแย่งของข้ามันผู้นั้นตาย!”
…
แม้แต่ดวงตาของเย่หยวนเองพลันสว่างขึ้นเช่นกัน
ผงวิญญาณทมิฬเลิศนี้เป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง มีฤทธิ์ช่วยในการขัดเกลาร่างกายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และตอนนี้กายเนื้อของเย่หยวนเองก็ติดอยู่ในระดับหนึ่งขั้นสุดอยู่นานแล้ว และมิอาจทะลวงขึ้นสู่ระดับสองได้เสียที
ด้วยผงวิญญาณทมิฬเลิศนี้ จะทำให้กายเนื้อของเย่หยวนเลื่อนระดับได้ในที่สุด!
เหลียนฮว่ายิ้มหวานกล่าวว่า
“ในเมื่อพี่ใหญ่ใจกว้างขนาดนี้ ข้าเองจะยอมได้อย่างไร? ข้าขอใช้ไข่มุกฤทัยมรกตเป็นเดิมพันเช่นกัน!”
“ฟ่อ…”
เสียงสูดไอเย็นดังขึ้นกระจายไปทั่วทุกมุม
เมื่อเห็นของเดิมพันเหล่านี้ เหล่าผู้พิทักษ์ตระกูลต่างพากันอิจฉาและโลภเป็นอย่างยิ่ง สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังสิ่งของทั้งสองร่างกายนี้อย่างเร่าร้อนนัก
ตอนที่ 1480 เสียหน้ากระมัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เบื้องหน้าของไคซินมีสมบัติทั้งแปดชิ้นวางไว้อยู่
แต่ละอย่างล้วนเป็นของหายากยิ่งทั้งสิ้น
“สมบัติทั้งแปดชิ้นนี้เจะเป็นของสามคนที่อยู่ในอันดับแรก! หลังจากที่ทุกคนตัดสินใจลงสนามแล้ว จะไม่มีการยอมแพ้เด็ดขาด ไม่เข้ารอบต่อไปก็มีแต่ตายเท่านั้น มีแต่เข้ารอบไปเรื่อยๆจนกว่าจะหาผู้ชนะได้ ทุกคนมีสิ่งใดขัดข้องหรือไม่?”
“ไม่! ไม่! ไม่มี!”
“ไม่มีแน่นอน!”
…
เหล่าผู้พิทักษ์ประจำตระกูลของแต่ละฝ่ายต่างโบกมือปัดไปมา พวกเขาไม่มีสิ่งใดต้องค้านคำกล่าวของไตซินเลย
กฎประเภทนี้ถือว่าโหดและหายากยิ่งในดินแดนของเผ่ามนุษย์
แต่ในดินแดนของเผ่าปีศาจนับเป็นเรื่องธรรมดามาก
หากการต่อสู้นี้ไร้ซึ่งคนเจ็บและไม่มีการสูญเสีย นั่นแหละที่เป็นเรื่องแปลกแทน
แต่อย่างไรก็ตาม การจะสังหารปีศาจกลับมิใช่เรื่องง่าย
จุดสำคัญถึงชีวิตของเผ่าปีศาจคือแกนวิญญาณปีศาจ ตราบใดที่แก่นวิญญาณปีศาจยังไม่ถูกทำลายลง พวกมันก็สามารถฟื้นคืนชีพได้ตลอด
ดังนั้น เว้นเสียตาความแข็งแกร่งจะอยู่ห่างชั้นกันมาก มิฉะนั้นการจะฆ่าเหล่าปีศาจให้ตายจริงๆกลับเป็นเรื่องยากมาก
เมื่อโอกาสนี้มาถึง เหล่าตระกูลใหญ่ต่างต่อสู้ห้ำหั่นกันในเงามืดอยู่แล้ว คนที่พวกเขาพามาก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่พวกเขามั่นใจที่สุด
แต่มีเพียงคนเดียวที่เป็นแม่ทัพปีศาจสองดาวคือเย่หยวน
เจตนาของการแข่งขันในคราวนี้ชัดเจนเกินไป
การแข่งขันจะมีทั้งหมดสามรอบ ในมุมมองของคนอื่นๆ ความเป็นไปได้ที่เย่หยวนจะมีชีวิตรอดถึงรอบที่สามเท่ากับศูนย์
ผู้พิทักษ์ที่มีดีแค่รูปลักษณ์หน้าตา คนเช่นนี้จะมีพละกำลังเพียงใดกัน?
“สุริยันดารา เจ้าเป็นหนึ่งในสามที่ข้าเลือก! ข้าเห็นว่าทุกคนล้วนมีความแกร่งกล้าที่น่ากลัวยิ่ง ดังนั้นเจ้าห้ามทำให้ตำหนักเจ้าเมืองเสื่อมเสียชื่อเสียงเด็ดขาด!”
ไคซินตรงเข้ามากล่าวกับผู้พิทักษ์ของฝ่ายตนเอง ซึ่งความหมายของเขาก็ค่อนข้างชัดแจ้งมีนัยสำคัญเร้นแฝงอยู่
ตราบใดที่เขาคนนี้วิ่งเข้าหาเย่หยวน เขาต้องฆ่าอีกฝ่ายแน่นอน
“ขอให้นายท่านจงเชื่อใจ สุริยันดาราผู้นี้จะไม่ทำให้เสียหน้าแน่นอน และจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
สุริยันดาราก้มศีรษะกล่าว
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง หลี่จีกระซิบบอกเย่หยวนว่า
“น้องบรรพกาลราตรี เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของคนพวกนั้นเลย พอเริ่มเมื่อใด เจ้าแสร้งทำเป็นเจ็บและขอยอมแพ้ไปซะ! ทางฝั่งพี่ใหญ่ยังมียอดฝีมืออีกสองคน ตระกูลฟางของเราไม่แพ้แน่นอน!”
หลี่จีไม่ต้องการให้เย่หยวนถูกฆ่าทิ้งแน่นอน ท้ายที่สุดนี้ เขาที่สามารถฆ่าหลางเก๋อได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแม่ทัพปีศาจสองดาวขั้นสุดเท่านั้น
แต่ผู้พิทักษ์ตระกูลเหล่านี้ล้วนหาใช่ยอดฝีมือธรรมดาทั่วไปไม่
ความแข็งแกร่งของหลางเก๋อไร้ซึ่งคุณสมบัติยืนเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ
เหตุผลที่หลี่จีเชิญชวนให้เย่หยวนเข้ามาเป็นอาคันตุกะและผู้พิทักษ์ประจำตัวนาง เป็นเพราะหลี่จีเห็นถึงศักยภาพแฝงในตัวของอีกฝ่าย และมองข้ามเรื่องความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาไป
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“คุณหนูหลี่จีมั่นใจได้ บรรพกาลราตรีคนนี้รู้ดีว่าควรทำอย่างไร?”
…
“เหอะ มีภารระเฉกเช่นมันอาจทำให้เรามิได้รับสมบัติเหล่านั้นก็เป็นได้! หากมิใช่เพราะมีเด็กนี่เป็นตัวถ่วง พวกเราสามารถคว้าชัยได้แน่!”
ลั่วฉีเอ่ยลั่นอย่างเกลียดชัง
“มีเด็กจูงไข่อยู่แบบนี้ อย่าหาเกะกะมือเขาก็เป็นพอ มิฉันั้นเจ้าจักต้องได้รับผลแน่นอนในอนาคต!”
เป่ยหลานกัดฟันด้วยความเกลียดชังและกล่าวขึ้น
ณ สนามฝึกซ้อนลานเล็กแห่งนี้ หลังจากที่พวกเขาลงสู่สนามฝึกซ้อม ทั้งคู่ก็แยกเขี้ยวใส่เย่หยวนทันที
เย่หยวนกวาดสายตามองพวกนั้นและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า
“หวังว่าพวกเจ้าจะไม่เป็นตัวถ่วงข้า”
“ตัวถ่วงเจ้า? ฮ่าๆๆ หากมิใช่เพราะเจ้าสนิมชิดเชื้อกับคุณหนูหลี่จี และใช้หน้าตาหลอกล่อนาง มีหรือที่เจ้าจะมีคุณสมบัติได้มายืนอยู่ตรงนี้?”
หลัวฉีระเบิดหัวเราะเยาะ
เย่หยวนกลอกตาพลางกล่าวว่า
“เจ้าสมองทึบ!”
“เจ้าพูดอันใด?!”
หลัวฉีระเบิดความโกรธออกมาทันที แต่โชคยังดีที่เป่ยหลานทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร จึงรีบรั้งอีกฝ่ายไว้และกล่าวว่า
“เอาล่ะ เอาล่ะ นี่มิใช่เวลามาทะเลาะกันเอง! ไม่ว่าบาดหมางกันอย่างไร กลับไปคอยคุยกัน!”
หลัวฉีสาดสายตาใส่เย่หยวนอย่างเลือดเย็นและกล่าวว่า
“จำใส่กะโหลกไว้ซะ! เมื่อเขากลับไป เจ้าโดนดีแน่! อย่างคิดว่าเจ้าจะทำตัวอย่างไรก็ได้! คุณหนูหลี่จีช่วยเจ้ามิได้ทุกเรื่อง!”
สี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงคาโปนได้แก่ ตระกูลไค, ตระกูลโหย่ว, ตระกูลโม่ และตระกูลฟาง
คู่ต่อสู้ของตระกูลฟางในรอบแรกคือ องค์รักษ์ประจำตระกูลโหย่ว
เมื่อทั้งสามเห็นคู่ต่อสู้ตรงหน้า พวกเขาก็เผยสีหน้าดูถูกเข้าทันที พลางหัวเราะเยาะขึ้นว่า
“เฮ้ออ..โชคดีจริงๆที่มาเจอเจ้าโง่ทั้งสามหน่อ ก่อนจะสู้กับพวกมัน พวกมันคงตีกันเองก่อน ฮ่าๆๆ”
“ฮ่าๆๆ นายน้อยเนี่ยเองก็ตามจีบคุณหนูหลี่จีอยู่นานแล้ว เขาก็สั่งให้พวกเราจำกัดไอ้เด็กเหลือขอนั้นเช่นกัน!”
“ปล่อยเด็กนั้นให้ข้าเอง เตรียมส่งลงปรโลก!”
“เหอะ หนานฉี เจ้าเลือกแต่เป้าหมายง่าย! งั้นรีบปิดฉากให้ไว! ยามเสร็จแล้วรีบมาสมทบพวกเราทันที!”
“ได้!”
ทันทีทันใดทั้งสามก็ลงดาบโทษประหารใส่เย่หยวนกันเสร็จสรรพ
กฎของการต่อสู้เป็นแบบสามต่อสาม
หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้หรือเสียชีวิตลง ผู้ชนะย่อมสามารถเข้ารุมเป็นสามต่อสอง หรือสองต่อหนึ่งจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแพ้ลง!
ดังนั้นแล้ว หากยอดฝีมือคนใดมีฝีมือโดดเด่นเป็นพิเศษ พวกเขาจะเข้าจัดการคนที่อ่อนแอที่สุดของอีกฝ่ายก่อน
หนานฉีจับจ้องไปที่เย่หยวนพร้อมกล่าววาจาเหยียดหยามขึ้นว่า
“ตื่นได้แล้วเจ้าหนู ข้าไม่ยอมให้เจ้าแกล้งเจ็บยอมแพ้ไปก่อนแน่นอน!”
เย่หยวนกลอกตาไปมาพลางกล่าวล้อเล่นขยับปากตามอีกฝ่ายแบบไร้เสียง และกล่าวขึ้นว่า
“ไฉนที่แห่งนี้มีแต่พวกหัวทึบ?”
“ไอ้สารเลว คอยดูเลยว่าอีกสักพักเจ้าจะได้ตายอย่างไร!”
หนานฉีแสยะยิ้มกล่าววาจาเสียงเย็น
โหย่วเนี่ยเฝ้าดูภาพฉากนั้นด้วยความสนใจ พลางเอ่ยกล่าวกับโหย่วตันที่อยู่ข้างๆว่า
“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าไอ้เด็กนั้นจะแสร้งเจ็บทำเป็นยอมแพ้ทุกรอบเลยหรือไม่?”
โหย่วตันยิ้มและกล่าวตอบว่า
“แล้วเจ้าคิดว่าไคซินจะยอมปล่อยให้เขาทิ้งการแข่งไปง่ายๆรึเปล่าล่ะ?”
คู่สายตาของโหย่วเนี่ยมืดลงเล็กน้อย ขณะกล่าวว่า
“ช่างโง่เขลาและตาบอดเสียจริง กล้าออกมาพร้อมกับหลี่จี ข้าหวังว่าหนานฉีจะเผด็จศึกให้จบเร็วไว!”
“การแข่งขันในรอบแรก เริ่มขึ้นได้!”
ในเวลานี้เองผู้พิทักษ์ของฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองตะโกนให้สัญญาณโดยตรง
วูบบบ!
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เพียงเห็นเป็นริ้วแสงสีเย็นกระตุกวูบพ้นผ่าน!
ร่างของหนานฉียังคงยืนนิ่งอยู่อบบนั้น ทว่าแสงสีเย็นกลับพุ่งโฉบผ่านทะลวงร่างของเย่หยวนไปเสียแล้ว
เมื่อโหย่วเนี่ยเห็นดังนั้น เขาก็อหัวเราะมิได้พร้อมระเบิดเสียงขึ้นลั่นว่า
“ฮ่าๆๆ! มันช่างอ่อนแอเหลือเกิน! ไม่สามารถต้านรับไว้ได้แม้แต่กระบวนเดียว! หลี่จี ผู้พิทักษ์ของเจ้าตัวนี้อ่อนแอเกินไป!”
แต่ทันทีทันเสียงหัวเราะลั่นของโหย่วเนี่ยพลันแข็งทื่อไปชั่วขณะ ก่อนจะค้นพบว่าไม่มีใครสนใจเขาเลยสักคน
ช่างเป็นการหัวเราะที่น่าอึดอัดนัก
โหย่วเนี่ยยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่เมื่อช้อนสายตามองไปที่สนามอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นกลับแข็งค้างไปในทันที
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด เย่หยวนและหนานฉีกลับสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันไปเฉยๆ!
และเย่หยวนมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!
“มะ-เมื่อครู่มันอะไรกัน? ภาพซ้อนอย่างงั้นรึ?”
ในพริบตาเดียว ทั้งสองกลับพุ่งสวนกันพร้อมสลับตำแหน่งการยืนโดยตรง
สิ่งนี้ย่อมบ่งบอกได้ทันทีว่า เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นการเคลื่อนไหวที่เร็วเกินไป จนเกิดภาพซ้อนขึ้นจากทั้งสองฝ่าย
ลืมไปเลยสำหรับหนานฉี แต่ทำไม…เย่หยวนถึงทำได้เช่นกัน?
โหย่วตันเหลือบมองน้องชายของเขาอย่างช่วยมิได้ และกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจว่า
“ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ฝึกปรือให้นานกว่านี้! แต่เจ้ากด็ไม่ฟัง! อย่างไรล่ะ…เสียหน้าหรือไม่?”
ยามนี้ทุกคนกลับแข็งค้างท่ามกลางความตื่นตะลึง
ทุกคนต่างไม่คิดฝันมาก่อนเลยว่า แม่ทัพปีศาจสองดาวชั้นกลางจะรักษาความเร็วจนเทียบชั้นได้กับจแม่ทัพปีศาจสองดาวขั้นสุดได้จริงๆ!
นอกจากนี้ความเร็วยังดูเหนือชั้นกว่าหนานฉีอีกเวย
แม้ว่าความแข็งแกร่งโหย่วเนี่ยจะอ่อนแอดที่สุดในบรรดากลุ่มคนพวกนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงแม่ทัพสองดาวขั้นสุดอยู่ดี
แม้แต่เขาเองยังไม่สามารถไล่ตามความเร็วของหน่านฉีได้ทัน ทว่าเย่หยวนกลับสามารถทำได้จริง!
“นี่…อาจบังเอิญกระมัง?”
ไคซินขมวดคิ้วพลางเอ่ยกล่าวขึ้น
แต่เหลียนฉวากลับส่งยิ้มหวานประดับใบหน้างามของนางและกล่าวว่า
“หุหุ ดูเหมือนว่า…เขาคนนี้จะค่อนข้างน่าสนใจมิน้อย! ข้าเริ่มสนใจในตัวเจ้าหนุ่มตัวน้อยมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว!”
ยามประสบความล้มเหลว สีหน้าการแสดงออกของหนานฉีพลันบูดบึ้งถึงขีดสุด
“ไอ้เด็กเหลือขอ ลงนรกไปซะ!”
หนานฉีคำรามลั่นพร้อมปราดพุ่งใส่เย่หยวนทันที
ตอนที่ 1481 ง่วงนอน
โดย
Ink Stone_Fantasy
วูบ! วูบ! วูบ!
หนานฉีและเย่หยวนเคลื่อนทะยานร่างโฉบเฉี่ยว ด้วยความเร็วถึงขีดสุด
โหย่วเนี่ยเฝ้าจับจ้องภาพฉากนี้ด้วยความตื่นตาตรึงใจนัก ดั่งปรากฏเพียงภาพทับซ้อนทิ้งทวนเป็นเงาไล่หลัง ทุกคนที่จับจ้องต่างมึนงงกันเป็นแถบ
โหย่วเนี่ยนับเป็นผ้าไหมลายครามอย่างแท้จริง แม้เขาจะมีระดับพลังอยู่ที่แม่ทัพปีศาจสองดาวขั้นสุด ทว่าความแข็งแกร่งของเขายังขาดตกอยู่มาก
เขาไม่สามารถมองตามความเร็วของทั้งสองได้ทันเลย
หนานฉีคลี่กรงเล็บคู่ยาวออกมาจากข้อมือ ทันทีทันใดปราดพุ่งทะลวงกรงเล็บยาวเข้าใส่โดยตรง
ทว่าทุกครั้งไปเย่หยวนกลับเลี่ยงหลบพ้นผ่านออกไปได้
แต่ละคราที่กรงเล็บปราดพุ่ง มันเฉี่ยวซ้ายเฉี่ยวขวารอดมาได้หวุดหวิด
กรงเล็บเหล่านี้มิอาจเข้าสัมผัสร่างเย่หยวน แม้จะขาดไปเศษเสี้ยวนิ้ว แต่กลับมิอาจสัมผัสร่างได้ นี่แทบทำให้หนานฉีคลั่ง
“ไอ้เด็กเหลือขอ แน่จริงก็โจมตีข้าหากมีปัญญา! เอาแต่หนีเลี่ยงหลบนับเป็นความสามารถได้อย่างไร?”
กลางลานประลอง เสียงคำรามของหนานฉีดังขึ้นมา
“นี่คือสิ่งที่เจ้าอยากพูด?”
ร่างของเย่หยวนเคลื่อนหลบพลิ้วไปมาด้วยความเร็วสูง ทว่าเนื้อเสียงที่เอ่ยกล่าวยังคงเรียบนิ่งดูไม่เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
“เศษสวะ! แน่นอนนี่คือสิ่งที่ข้าอยากกล่าว! หากเจ้ามีความสามารถจริงๆ ก็จงสู้อย่างเปิดเผย! ไอ้เด็กเหลือขอหน้าหวานเป็นแต่หลบกระมัง?”
หนานฉีตะโกนอย่างสุดจะเดือดดาล
ซวบบบ!
ทันใดนั้นเอง คมดาบยาวทะลวงกะโหลกศีรษะของหนานฉีโดยตรง กระทั่งแกนวิญญาณปีศาจยังแหลกเป็นเสี่ยงๆ
เสียงคำรามของมันหยุดลงกะทันหัน
“ตอนที่ข้าเริ่มโจมตี เจ้าก็กลับตายเสียแล้ว”
ช้อนสายตาจับจ้องศพของหนานฉี เย่หยวนเอ่ยปากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“บัดซบ! สำแดงกระบวนท่านับร้อย แต่ไม่สามารถสัมผัสปลายเสื้อมันได้! มันกลับหาตระหนักถึงความแตกต่างไม่ แล้วยังท้าทายให้อีกฝ่ายโจมตี! รนหาที่ตายแล้วจริงๆ!”
โหย่วตันเค้นเสียงเย็นสะท้านเอ่ยกล่าว
โหย่วเนี่ยเอ่ยขึ้นอย่างโง่งมว่า
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ในสายตาของหนานฉี มันมั่นใจอย่างมากว่าต้องสามารถจัดการเย่หยวนได้แน่นอน
แล้วไฉนกลับเป็นตัวมาเสียเองที่ถูกจำกัดในพริบตาเดียว?
สีหน้าการแสดงออกของไคซินแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬ ยามนี้ฉายแววประหลาดใจออกมาอยู่คู่ดวงตา เจืออารมณ์โกรธปะทุ แต่ท้ายที่สุดเขาก็เงียบสงัดไป
สายตาคู่งามของหลี่จีจับจ้องด้วยความมึนงงไม่คลายอ่อน
ทุกท่วงท่ากระบวนเคลื่อนไหวของเย่หยวน ช่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติอย่างแท้จริง
หากพินิจให้ดี ความแกร่งกล้าของเขาช่างดูน่าเกรงขามนัก และไม่สามารถจับผิดหรือหาจุดติได้เลยแม้สักนิด!
นอกจากนั้น นางยังไม่คิดไม่ฝันเลยว่า เย่หยวนจะทรงพลังขนาดนี้!
ดูท่าแล้ว ตอนที่เขาสังหารหลางเก๋อ เย่หยวนยังมิได้ใช้พลังเต็มที่
“เจ้าหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก! ดูเหมือนว่าพวกเราจะประเมินเขาต่ำเกินไป!”
“แต่เดิม ใครๆต่างก็คิดว่า เขาอ่อนแอที่สุดในบรรดาทั้งสาม แต่ข้าไม่คิดเลยว่า เขากลับเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด!”
“เขาเป็นแค่แม่ทัพปีศาจสองดาวชั้นกลาง น่าเหลือเชื่อจริงๆ!”
“เอ๊ะ? เขา…เขากำลังทำอะไร?”
…………………..
ท่ามกลางเสียงอุทานแซ่ซ้องของทุกคน เย่หยวนกลับเก็บดาบเข้ามากอดและค่อยๆถอยกลับไปนั่งที่ขอบสนาม สักครู่หนึ่งได้มุมดีจึงเหยียดตัวนอนลงทันที
ลั่วฉีกับเป่ยหลานเข้าสัประยุทธ์ต้านรับอย่างขมขื่น ในขณะเดียวกัน พวกมันยก็ทราบแล้วว่า ศึกด้านนั้นเย่หยวนเป็นฝ่ายชนะแล้ว
เดิมทีพวกเขาคิดว่าเย่หยวนจะมาช่วยพวกมันอีกแรง แต่ในท้ายที่สุด เมื่อสบโอกาสเหลียวมอง กลับพบว่าเย่หยวนเหยียดตัวยืดนอนบนข้างสนามไปเสียแล้ว ยามเห็นดังนั้นควันพิโรธแทบพุ่งออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของทั้งคู่
“เจ้าเด็กนี่! รีบมาช่วยพวกเราเร็ว!”
“นี่! เจ้าบรรพกาลราตรี! เจ้าไม่ต้องการสมบัติพวกนั้นรึไง?”
ทั้งสองเริ่มตะโกนโห่ลั่นด้วยความเป็นกังวลสุดขีด แต่สิ่งที่ดังตอบกลับให้พวกเขากลับเป็นเสียงกรนของเย่หยวน
ไอ้เด็กเวรตัวนี้มันหลับจริงๆ?
มันต้องบ้าแค่ไหน!
หรือไอ้เด็กเวรนี่ไม่รู้จักคำว่า วาดภาพให้ใหญ่โตก่อนเป็นอันดับแรก?
แม้ว่าทั้งคู่ขุ่นข้องหมองใจเพียงใด แต่ว่าอย่างไรพวกมันต้องชำระบัญชีแค้นแน่นอนหลังสู้เสร็จ!
ฝ่ายของโหย่วเนี่ยที่เห็นอยู่สองคน เดิมทีพวกมันคิดว่าดเย่หยวนจะเข้ามาช่วยเป็นกำลังเสริม
แต่ในท้ายที่สุดเย่หยวนกลับหลับไปจริงๆ แถมยังกรนเสียงดังมาก!
ความสุขใจนี้ล้นปรี่ขึ้นกลางอกของพวกเขาในทันทีทันใด
ความขัดแย้งกันเองก่อเกิดผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมนัก!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาเอาชนะได้แน่นอน คล้อยหลังจัดการสองตัวนี้เสร็จ จะเป็นการสัประยุทธ์แบบสองต่อหนึ่ง ซึ่งพวกมันไม่มีทางแพ้แน่นอน
ดังนั้นพวกมันจึงมีแรงฮึดขึ้นทันทีและปราดพุ่งโจมตี เล่นเอาลั่วฉีกับเป่ยหลานวุ่นวายพัลวัน
โชคยังดีที่ลั่วฉีกับเป่ยหลานยังคงแกร่งกล้าสามารถอยู่ข้าง คล้อยหลังการสัประยุทธ์แสนขมขื่นใจ ในที่สุดก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ลงได้แบบหวุดหวิด
รอบแรกผ่านไปได้แต่ก็เจียนตาย!
ทันทีที่รอบแรกจบลง ลั่วฉีแทบระเบิดอารมณ์ใส่เย่หยวน
“ไอ้หนู นี่หมายความอย่างไร? เจ้าสามารถจัดการคู่ต่อสู้ของตนได้เร็วมาก แต่กลับหาที่นอนกรนไม่หยุดอยู่ที่นี่!”
เย่หยวนเบิดตาทั้งสองข้างขึ้นอย่างช่วยมิได้ พลางขยี้ตาแลดูง่วงหาว
“หื้ม? จบแล้วรึ? ขอโทษที เมื่อวานข้านอนดึกไปหน่อย ง่วงมากเลย”
“อุ๊บ!”
ทุกคนต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที เพราะเหตุผลของเย่หยวน…ค่อนข้างไร้สาระอย่างยิ่ง
ในฐานะแม่ทัพปีศาจสองดาว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้นอนมาเป็นสิบปี แต่ก็มิอาจทำให้พวกเขาอ่อนเพลียได้เลย แต่เย่หยวนเมื่อสักครู่กลับบอกว่าตัวเองนอนดึกเลยง่วงเสียได้
ลั่วฉีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชังยิ่งยวด
“เจ้า!!”
ลั่วฉีโมโหจัดแทบคลั่ง
เย่หยวนลุกขึ้นยืนพร้อมบิดตัวขี้เกียจพลางหาวเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวท่าทีมิค่อยสบอารมณ์นัก
“เอ๊ะ? ก็ไม่มีใครวิ่งมาหาข้าเลย? เอ๊า พวกเราชนะหรือนี่? อืมม…ท่านพี่ทั้งสองช่างน่าเกรงขามจริงๆ บรรพกาลราตรีคนนี้ขอชื่นชม ศึกต่อสู้หลังจากนี้ข้าจำต้องพึ่งพาพวกท่านทั้งสองแล้ว”
ในขณะที่เย่หยวนเอ่ยกล่าว เขาก็ประสานมือโค้งให้ด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมาก นี่ทำเอาพวกมันทั้งคู่เดือดดาลหนักแทบอาเจียนเป็นเลือดสด
ท่าทีตลกขำขันของเย่หยวนได้ทำให้หลี่จีสะดุ้งเนื้อตัวสั่นเพราะเสียงหัวเราะ
สมาชิกของเผ่าปีศาจล้วนโหดเหี้ยมและบ้าคลั่งไร้ขีดจำกัด เอะอะก็คำรามฆ่าทุกครั้งไป แล้วจะมีปีศาจสักกี่ตนที่มีอารมณ์ขันแบบเย่หยวน?
หน้าตาก็ดีเลิศ ฝีมือเลิศล้ำ ทั้งยังมีอารมณ์ขันอีก
ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ ล้วนเป็นที่ใฝ่ฝันของเหล่าสตรีเผ่าปีศาจ
นี่หาใช่แค่หลี่จีเท่านั้น แม้แต่สายตาของเหลียนฮวาในขณะนี้ ยังจับจ้องเย่หยวนด้วยความหลงใหลใคร่รักยิ่ง
หลังผ่านเรื่องขำขันมา กลุ่มอื่นๆก็เริ่มจับคู่ประลองกันต่อไป
แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของกลุ่มไคซินไร้เทียมทานอย่างมาก ศึกสัประยุทธ์ของกลุ่มนี้จบลงอย่างง่ายดายราวกับปัดฝุ่น
กลุ่มของโหย่วต้าสามารถเอาชนะกลุ่มของเหลียนฮวาไปได้ โดยผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ
ในขณะที่กลุ่มของฟางอวี้เองก็เอาชนะกลุ่มของตระกูลโม่ได้ ส่งผลให้ขึ้นติดสี่อันดับแรกเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ตระกูลฟางจึงกำจัดกลุ่มของตระกูลโม่ได้โดยตรง
คล้อยหลังการจับฉลากรอบนี้ ปรากฏว่าคู่พี่ชายและน้องสาวตระกูลฟาง กลับถูกจัดคู่ให้มาเจ้ากันในรอบต่อไป
หลี่จีเอ่ยกล่าวด้วยวาจาสุภาพว่า
“พี่ใหญ่ มิใช่ท่านเคยบอกรึว่า คนของข้าอ่อนแอดูธรรมดา คราวนี้กลุ่มของท่านพี่กับน้องสาวคนนี้กำลังจะเข้าสัประยุทธ์กันแล้ว!”
ต่อหน้าความแข็งแกร่งของเย่หยวน ฟางอวี้เองก็ประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน
เพียงแค่นี้เขาก็ทราบแล้วว่า ตนเข้าใจน้องสาวนางนี้ผิดไปจริงๆ
บรรพกาลราตรีมิได้มีดีแค่รูปลักษณะเท่านั้น แต่เขายังทรงพลังอย่างมากอีกด้วย!
ข้อโต้แย้งที่เย่หยวนอาศัยรูปลักษณ์มาได้ไกลขนาดนี้เป็นอันยุติลงในที่สุด ปรากฏว่าเรื่องนี้เป็นเท็จ
“หุหุ ถ้าเช่นนั้นพวกเราพี่น้องคงต้องแข่งกันสักตั้ง! ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยว่า พวกเขาหาใช่เรื่องง่ายที่จะโค่นล้ม ต่อให้ข้าบอกให้พวกเขาล้มมวย แต่ดูท่าพวกเขาเองกลับไม่เต็มใจเช่นกัน!”
ฟางอวี้เอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
หลี่จียิ้มและกล่าวว่า
“ข้าเองก็ไม่ยอมง่ายๆเช่นกัน!”
คู่แรกของรอบนี้คือ กลุ่มของไคซินปะทะกับกลุ่มของโหย่วตัน หลังจากการต่อสู้อันดุเดือด ผลกลับกลายเป็นกลุ่มของไคซินที่ได้รับชัยชนะไป
ศึกการต่อสู้ดังกล่าว สิ่งที่ต้องถูกทดสอบมากที่สุดคือ ความสมดุลและร่วมมือกันระหว่างสามคน
และเห็นได้ชัดว่า ความสามัคคีและความแข็งแกร่งของกลุ่มไคซินทั้งสามเองก็เหนือชั้นจนน่ากลัว
ข้อได้เปรียบ ณ จุดนี้ เป็นสิ่งที่ฝ่ายสามตระกูลใหญ่ไม่สามารถโค่นฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองได้เลย
เมื่อคู่ที่สองกำลังจะเริ่มศึกประลอง เป่ยหลานก็ดึงลั่วฉีเข้ามากระซิบว่า
“รอบนี้ หากมันยังกล้านอนหลับอีก เราจะแกล้งทำเป็นไม่ไหวและขอยอมแพ้โดยตรง! คราวนี้เด็กนั้นมีหวังหน้าถอดสีแน่นอน! กลุ่มของนายน้อยฟางอวี้เองก็หาใช่ชนชั้นกินเจไม่ ต่อให้พวกเราจะทำอย่างไรก็แพ้อยู่ดี เช่นนั้นปล่อยให้ไอ้เด็กฉลาดนั้นจัดการที่เหลือไป บางทีอาจยังพอมีหวังที่จะชนะ”
ลั่วฉีพยักหน้าและกล่าวว่า
“ตกลงตามนั้นเลย!”
ตอนที่ 1482 เปลี่ยนกฎ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทางด้านของฟางอวี้ กลุ่มผู้นำทั้งสามมีนามว่าซิวหนิง
คู่ต่อสู้ของเขาคือเย่หยวนอย่างแม่นยำ
อย่างไรก็ตามแต่ซิวหนิงได้เห็นฝีไม้ลายมือของเย่หยวนไปแล้ว และเห็นได้ชัดว่ามันค่อนข้างเกรงขามต่ออีกฝ่ายอย่ามาก
“น้องบรรพกาลราตรี เจ้ามีทักษะฝีมือที่ยอดเยี่ยม ซิวหนิงของชื่นชม อย่างไรก็ตาม ลั่วฉีและเป่ยหลานกลับอ่อนแอเกินไป พวกเขาไม่สามารถเอาชนะสุริยันดาราได้แน่นอน ไฉนเจ้าถึงไม่ยอมแพ้ไปตั้งแต่ตอนนี้ สมบัติทั้งแปดที่ได้รับ พวกเราค่อยนำมาแบ่งกันอีกทีคนละสองชิ้น เจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
ซิ่วหนิงจับจ้องไปที่เย่หยวนพร้อมเอ่ยปากสนทนาด้วย
ลั่วฉีและเป่ยหลานที่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าการแสดงออกพลันเปลี่ยนไปทันที พวกเขากล่าวเสียงขรึมว่า
“ซิ่วหนิง ที่เจ้าหมายความอย่างไรกัน?”
ซิ่วหนิงเอ่ยตอบเสียงเย็นว่า
“พวกเราย่อมรู้ตื้นลึกหนาบางของพวกเรากันเอง แม้ว่าพวกเจ้าจะพึ่งพาน้องบรรพกาลราตรีเพื่อเอาชนะเราได้ แต่กลับเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะเอาชนะสุริยันดารา ดังนั้นพวกเจ้ายอมแพ้ไปก่อนดีกว่า”
ลั่วฉีที่ได้ยินเช่นนั้นพลันโกรธจัดแทบสำลัก มันคำรามเสียงเย็นชาขึ้นว่า
“ความหมายของเจ้าคือ พวกเราไม่สามารถเอาชนะพวกเจ้าได้หากไม่พึ่งพาไอ้เด็กนั้น?”
ซิ่วหนิงกล่าวตอบว่า
“กล่าวตามสัตย์จริง ก็ตามที่เจ้าพูด อย่างน้อยพวกเราก็มีโอกาสชนะในรอบต่อไปมากกว่าพวกเจ้า?”
ลั่วฉีกับเป่ยหลานจากที่มีสีหน้าสดใน ยามนี้กลับดูไม่เต็มใจขมขื่นอย่างยิ่ง
แต่ทั้งคู่ก็ทราบดีว่า สิ่งที่ซิ่วหนิงกล่าวไปล้วนถูกต้องแล้ว
จากศึกสองรอบก่อนหน้า ทำให้พวกเขาตระหนักดีว่าจุดแข็งของสุริยันดาราและอีกสองตน มันมิได้อยู่ในระดับชั้นเดียวกับพวกเขาเลย
“พวกเจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าได้ เช่นนั้นให้ข้าไปเองดีกว่า”
เย่หยวนเอ่ยปากล่าวขึ้น
สีหน้าการแสดงออกของซิวหนิงพลันแปรเปลี่ยนไป แต่ลั่วฉีและเผ่ยหลาน สีหน้าทั้งคู่เผยถึงความสุขใจขึ้นมาทันควัน
“เริ่มได้!”
เย่หยวนกล่าวขึ้น
สีหน้าของซิ่วหนิงเคร่งขรึมขึ้นทันที พร้อมกระซัดหมัดเหล็กเข้าซัดจู่โจมพร้อมเสียงดังก้อง
ในขณะที่เขาปลดปล่อยกระบวนโจมตีออกมา ราวกับสามารถพลิกสมุทรโค่นบรรพตได้อย่างใดอย่างนั้น
ความแข็งแกร่งของซิวหนิงหาใช่สิ่งที่ลั่วฉีหรือเป่ยหลานจะเปรียบเคียงได้ก็จริง แต่สำหรับหนานฉี ทั้งคู่อาจอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
หากให้เปรียบเทียบกันจริงๆคือ ฉินเทียนอ่อนแอกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ
สิ่งนี้น่าตกใจอย่างมากเพราะในท้ายที่สุดนี้ซิวหนิงมีพลังเพียงสองดาวขั้นสุด ในขณะที่ฉินเทียนเป็นถึงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าครึ่งขั้น
ความเข้าใจต่อแนวคิดของซิวหนิงลึกซึ้งอย่างมาก รวมไปถึงประสบการณ์การต่อสู้ด้วยเช่นกัน เขาสวมหมัดเหล็กซึ่งเป็นถึงเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำคู่แกร่ง นี่นับเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีของเย่หยวน
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนในปัจจุบันหาใช่เย่หยวนในอดีตอีกต่อไป
หากเขาพบฉินเทียนตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นเลยด้วยซ้ำ เพียงบิดาผู้นี้ก็เพียงพอแล้ว
ฉินเทียนทรงพลังก็จริง แต่นั่นก็ทรงพลังแค่ภายในสถานศึกษาหวูเมิ่ง
ในบรรดาเหล่ายอดฝีมือในระดับชั้นเดียวกันของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ ผู้ที่เหนือชั้นกว่าเขามีมากมายมหาศาลเกินไป
เย่หยวนที่เข้าฝึกปรือภายในห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตายแทบตลอด มันช่วยขัดเกลาสัญชาตญาณการต่อสู้ของเขาให้เฉียบคมขึ้นทุกวัน
ระดับชั้นอย่างซิวหนิงไม่มีทางคุกคามเขาได้เลย
วูบบบ!
ดาบพิชิตมารฟ้าร่ายรำประดุจภูตผีเป็นประกายเงา พร้อมดิ่งตรงถึงหน้าซิ่วหนิงในชั่วพริบตา
อีกเพียงเสี้ยวนิ้วเดียว ชีวิตของซิ่วหนิงจะพลันดับสูญในทันที
“ทุกคนจงยอมแพ้เดี๋ยวนี้ พวกเราเป็นพวกเดียวกัน ข้าเองก็ไม่อยากให้ทุกคนประสบความสูญเสียเช่นกัน”
เย่หยวนเอ่ยลั่นวาจาดั่งคำขาด
อีกสองคนไม่คิดไม่ฝันว่าทุกอย่างจะลงเอยเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าซิ่วหนิงพ่ายลงแล้วอย่างรวดเร็ว
พวกเขายังคิดที่จะโค่นลั่วฉีและเป่ยหลานให้ไวที่สุด เพื่อล้อมปราบปรามรุมเย่หยวนในตอนท้าย
และทันทีทันใด อีกสองคนกลับต้องชะงักฝีเท้าทันที
เย่หยวนกล่าวเสริมขึ้นว่า
“ข้าจะให้โอกาสเพียงครั้งเดียว หากเจ้ายังผืนต่อไป ก็อย่าตำหนิว่าข้าไร้ซึ่งเมตตา!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงคมดาบที่ลุถึงปลายจมูกของตน ร่างของซิ่วหนิงพลันชโลมชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นจะเปียกแฉะ
“ข้า…ข้าขอยอมแพ้!”
ซิ่วหนิงกล่าวอย่างไม่เต็มใจนัก
สีหน้าการแสดงออกของทั้งสองดูรวนเรอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็จำใจกล่าวยอมแพ้ลงในท้ายที่สุด
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มของเย่หยวนจึงสามารถคว้าชัยชนะไปได้โดยไม่ต้องคลั่งโลหิตออกมาเลยสักหยด
ลั่วฉีและเป่ยหลานสีหน้าท่าทางดูร่าเริงอย่างมาก พวกเขาในตอนนี้อยู่ห่างจากสมบัติทั้งแปดเพียงไม่กี่ก้าวแล้วเท่านั้น
เย่หยวนจะไม่ทราบได้อย่างไรว่า ทั้งสองตนนี้ดีใจขนาดนี้เพราะเหตุใด เขาเพียงหัวเราะเยาะเย้ยหยันทั้งคู่อยู่ภายในใจ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดบนผืนพิภพหาใช่ศัตรูที่ทรงพลัง แต่เป็นการประเมินความสามารถตนเองที่สูงเกินไป
แม้สมบัติเหล่านั้นจะเป็นของดี แต่ก็ควรรับมันไปพร้อมกับชีวิตที่ยังมีอยู่ด้วย!
ไคซินจับจ้องภาพฉากตรงหน้า ยามนี้ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวแลดูน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่
เขาเอ่ยเรียกสุริยันดารามาข้างกายและกระซิบถามเบาๆว่า
“ข้าไม่คิดเลยว่า ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้จะแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อหลอกกินเสือเช่นนี้! หลังจากที่เจ้าเฝ้ามองการต่อสู้นี้ คิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
สุริยันดารากล่าวตอบขึ้นว่า
“ในความเห็นของข้า เด็กคนนั้นยังรั้นรอนออมมือให้กับซิ่วหนิงอยู่!”
ไคซินขมวดคิ้วกล่าวว่า
“แล้วเจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะเอาชนะมันได้?”
สุริยันดาราคลี่ยิ้มกว้างและกล่าวว่า
“นายน้อยโปรดมั่นใจ แม้สุริยันดารามิอาจรั้งมันไว้ได้ แต่อย่าลืมเสีย นี่เป็นยการสัประยุทธ์แบบสามต่อสาม ทั้งหู่เหยียนและหู่หลัว จุดแข็งของสองพี่น้องคู่นี้ก็แข็งแกร่งกว่าสองคนนั้นมาก! ศึกสุดท้ายนี้พวกเราชนะแน่นอน!”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวอันเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจของสุริยันดาราแล้ว สีหน้าของไคซินก็เผยรอยยิ้มออกมาทันทีและกล่าวว่า
“มิใช่แค่ชัยชนะ แต่ยังต้องเอาชีวิตของมันมาด้วย!”
สุริยันดาราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า
“วรยุทธเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วเป็นอย่างมาก อย่ายุ่งยากอยู่บ้าง แต่…สุริยันดาราคนนี้จะทำให้ดีที่สุด!”
ไคซินที่ได้ยินเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ
ในห้องจัตุรัส ณ มุมหนึ่ง หลี่จีจับจ้องไปที่ฟางอวี้พร้อมคลี่ยิ้มบานอย่างพึงพอใจ ก่อนกล่าวว่า
“เป็นอย่างไร? ตอนนี้ยังต้องการส่งยอดฝีมือคนใดออกไปสู้อีกหรือไม่? ฮิฮิ…”
ฟางอวี้เอ่ยกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า
“เอาล่ะ เจ้าน่าประทับใจยิ่งนัก เจ้าไปพบชายหนุ่มคนนี้จากที่แห่งใด ไฉนถึงแข็งแกร่งปานนี้!”
หลี่จียิ้มตอบว่า
“แถวริมถนน!”
ฟางอวี้กลอกตาเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า
“ความแข็งแกร่งของเขาเหมาะสมยิ่งแล้วที่จะจับคู่กับสุริยันดารา แต่โชคร้ายเกินไป ที่อีกสองคนนั้นอ่อนแอเกินไป รอบสุดท้ายอาจก่อเกิดผลลัพธ์อันน่ากลัวก็เป็นได้”
ทว่าหลี่จีกลับหาได้สนใจไม่
“การที่สามารถสู้ได้ถึงขนาดนี้ ข้าเองก็พอใจแล้ว รอบต่อไปจะชนะหรือไม่กลับมิได้สำคัญอีกต่อไป อย่างน้อยที่สุดพวกนั้นก็ได้เผชิญพบกับตระกูลฟางแล้ว”
ฟางอวี้ผงกศีรษะพลางเห็นพ้องต้องกันกับหลี่จี คำกล่าวของนางค่อนข้างสมเหตุสมผลเช่นกัน
ทรัพยากรของตำหนักเจ้าเมืองเหนือกว่าทั้งสามตระกูลใหญ่จนมิอาจเทียบชั้นได้เลย
การที่พ่ายแพ้ลงในรอบต่อไปกลับเป็นเรื่องธรรมดา เพราะแต้มที่เป็นต่อห่างกันมาก
…
ณ รอบนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างขึ้นประจันหน้ากันบนลานประลอง
สุริยันดาราแสยะยิ้มแสนน่าสยดสยองและกล่าวว่า
“เจ้าหนุ่ม ความแข็งแกร่งของเจ้าช่างน่าเกรงขามยิ่ง! ไฉนรอบนี้ เราไม่มาต่อสู้เพื่อความสนุกล่ะ?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงเย็นว่า
“ความสนุกอย่างไรกัน?”
สุริยันดารากล่าวอธิบายว่า
“รอบนี้เรามาเปลี่ยนกฎกันหน่อยดีหรือไม่? รอบนี้ไม่อนุญาตให้ขอยอมแพ้ได้! มีเพียงความตายระหว่างการสัประยุทธ์หรือออกนอกสนามเท่านั้น การแข่งจึงจะยุติลง เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
เย่หยวนยักไหล่และกล่าวว่า
“ข้าไม่มีข้อขัดข้อง”
แต่สีหน้าการแสดงออกของลั่วฉีกับเป่ยหลานกลับแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เป็นที่ชัดเจนว่าทั้งคู่อยากจะถอนตัวตั้งแต่ตอนนี้
เผ่าปีศาจกระหายการต่อสู้ก็จริง แต่นั่นมิได้หมายความว่า พวกมันจะไม่กลัวตาย
ทั้งคู่ตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า พวกตนหาใช่คู่ต่อสู้อีกฝ่ายในรอบนี้ได้เลย การต่อสู้เพื่อความตายที่รออยู่เบื้องหน้า กลับหาใช่วิถีของคนฉลาด และพวกมันเองก็มิได้โง่เช่นกัน
ตามกฎที่สุริยันดาราเสนอไป ความอันตรายจากศึกนี้ย่อมเพิ่มขึ้นเป็นทวี
สุริยันดาราเหลือบมองทั้งสองที่อยู่เคียงข้างเย่หยวน และเอ่ยวาจาอย่างเหยียดหยามขึ้นว่า
“หากพวกเจ้ากลัวนักก็จงยอมแพ้ไปตั้งแต่ตอนนี้! สมบัติทั้งแปดชิ้นยังไงก็เป็นของพวกเรา! เหอะ เหอะ ผงวิญญาณทมิฬเลิศ ข้าได้ขอของสิ่งนี้มาจากนายน้อยมาเนิ่นนานแล้ว และเขาก็อดใจมอบให้ข้าไม่ไหวแล้วเช่นกัน!”
สีหน้าการแสดงออกของลั่วฉีกับเป่ยหลานรวนเรสลักซับซ้อนหนัก แต่สุดท้ายพวกเขายังคงกัดฟันกล่าวขึ้นว่า
“ใครกันแน่ที่ควรกลัวใคร!”
ต่อหน้าความกล้าแกร่งของหู่เหยียนและหู่หลัว พวกเขาเฝ้ามองสังเกตเห็นจากข้างสนามมานานแล้ว
แม้พวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่มันก็มิได้แข็งแกร่งจนลั่วฉีกับเป่ยหลานจะหลบเลี่ยงหนีมิได้
หากพวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้จริงๆ อย่างมากก็เพียงวิ่งออกนอกสนามให้ทันก็พอ
“ฮ่าๆ ดี! ใจกล้าดี!”
สุริยันดาราระเบิดเสียงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินดังลั่น
ทว่าสีหน้าการแสดงออกของหลี่จีกลับแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก นางได้กลิ่นไม่ชอบมาพากล ยามนี้โพล่งคำรามค้านขึ้นทันทีว่า
“ไม่มีทาง!”
แต่ไคซินกลับยิ้มกล่าวว่า
“หลี่จี นี่เป็นข้อเสนอที่ทั้งสองฝ่ายนั้นตกลงกันเองด้วยความเต็มใจ พวกเรามิอาจเข้าแทรกแซงได้ หรือเจ้าไม่เชื่อมั่นในผู้พิทักษ์ของตนเอง? จนรู้สึกว่า แม้แต่หนียังไม่มีปัญญา?”
ตอนที่ 1483 ดับเงาสยบมาร
โดย
Ink Stone_Fantasy
เรื่องแบบนี้จำต้องตัดสินเช่นนี้!
ศึกสัประยุทธ์เริ่มขึ้นได้!
วูบบบ!
แท่งโลหะสีดำทมิฬทุบลงไปยังหัวของเย่หยวน พร้อมเสียงฉีกกระชากห้วงอากาศ
“เร็วมาก!”
“สุริยันดาราเร้นซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้!”
“ไม่! เดี๋ยวก่อน! พวกเขาทั้งสามล้วนปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้!”
…
แท่งโลหะสีดำทมิฬเป็นตันหนาคล้ายบังคับเคลื่อนไหวอย่างง่ายดายราวกับใช้นิ้วมือได้อย่างคล่องแคล่ว
ในขณะที่มันเปิดฉากโจมตีทั่วบริเวณสะเทือนฟ้าสะท้านแผ่นดิน!
นี่เป็นแนวคิดที่แตกต่างจากก่อนหน้าที่สำแดงนำใช้ออกมาในรอบก่อนๆโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเป็นด้านความเร็วหรือพละกำลัง ความลึกซึ้งต่อแนวคิดกลับอยู่ต่างระดับจากก่อนหน้าราวกับฟ้ากับเหว
ไม่ใช่แค่สุริยันดาราเท่านั้น กระทั่งสองพี่น้องหู่เหยียนและหู่หลัวพลังมือกลับปะทุเพิ่มทวีในพริบตา ขณะเดียวกันทั้งสองก็เข้าสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของลั่วฉีและเป่ยหลานได้โดยสมบูรณ์
อย่างก็ตามแต่ ความแกร่งกล้าของสุริยันดาราก็เหนือชั้นที่สุดในบรรดาทั้งสามอย่างไม่ต้องสงสัย!
หากผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของสุริยันดาราในยามนี้ มันย่อมสามารถเปาหัวของฝ่ายตรงข้ามได้กระจุยในชั่วอึดใจเดียว
ฝ่ายตรงข้ามที่เคยเผชิญหน้ากับสุริยันดาราในยามนี้ ต่างเผยสีหน้าแสดงความหวาดกลัวขึ้นในทันใด
โชคยังดีนักที่เป้าหมายของสุริยันดาราในยามนี้คือเย่หยวน มิฉะนั้นกลับเป็นฝ่ายพวกมันที่แหลกเหลวกลายเป็นศพไม่เหลือชิ้นดีนานแล้ว
มุมปากเย่หยวนกระตุกขึ้นเล็กน้อย ยามนี้เผยรอยยิ้มอันเหยียดหยันประดับใบหน้า เขาหาได้ถอยหนีไม่ แต่ย่างก้าวขึ้นหน้าแทน ทันใดนั้นร่างของเย่หยวนพลันไสววูบพุ่งออกไปในทันใด
เกร๊งง!
เสียงดังกึกก้องส่งผ่านออกมาชัดแจ้ง ปลายคมดาบของเย่หยวนสวนกระแทกลงบนแท่งโลหะอย่างแม่นยำ ส่งแรงผลักกวาดแท่งโลหะกระเด็นออกไป
แรงสั่นสะเทือนที่ปะทะชนส่งผ่านมาถึงปลายด้ามกระชับจับแน่น สุริยันดารารู้สึกถึงความชาที่ลามมาถึงท่อนแขน สั่นสะท้านแทบคลายอ่อนออกจากด้ามจับ
ในยามนี้สุริยันดารารู้สึกตื่นตกใจอย่างมาก
กระบวนเมื่อครู่ดูเรียบง่ายไร้พิษสง ทว่าความเป็นจริงกลับยากยิ่งที่จะต่อกรนักหนา
เขาเคยเผชิญหน้ากับยอดนักดาบมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเห็นกระบวนดาบใดที่สามารถตอบโต้เขาด้วยวิธีการนำใช้ชนิดนี้
หากเกิดความผิดพลาดแม้นเพียงเล็กน้อย แท่งโลหะจะเหวี่ยงอัดศีรษะแหลกเละ ศาสตร์แห่งเต๋าภายในตัวสูญสลายดับอนาถ
ทว่าชายหนุ่มคนนี้กลับผิดประหลาดยิ่งนัก!
เกร๊ง! เกร๊ง! เกร๊ง!
เสียงโลหะปะทะชนสาดสะท้อนกึกก้อง เพียงเสี้ยวพริบตาทั้งสองสัประยุทธ์แลกเปลี่ยนกระบวนนับหลายสิบ ทั้งต้านรับจู่โจมสลับไปมา
เหล่าผู้พิทักษ์จากตระกูลอื่นๆ โดยรอบลานประลองต่างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“บรรพกาลราตรีเองก็ปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้เช่นกัน!”
“แม่ทัพปีศาจสองดาวชั้นกลางสามารถสำแดงฤทธิ์เดชได้ปานนี้ ช่างน่าเกรงขามโดยแท้!”
“เจ้าหนุ่มคนนี้บ่มเพาะพลังมาอย่างไรกัน? แม้ระดับพลังมิได้สูงค่านัก ทว่าพลังการต่อสู้กับเหนือชั้นเป็นอย่างยิ่ง!”
…
แต่ในตอนนั้นเอง ลั่วฉีและเป่ยหลานก็มิอาจต้านรับได้ไหวอีกต่อไป
ภายใต้แรงกดดันของสองพี่น้องหู่เหยียนและหู่หลัว พวกเขาทำได้เพียงต้านรับขับสู้ และมิอาจหาจังหวะโต้ตอบกลับได้เลย
ในเวลานี้เอง พวกเขาทราบแล้วว่าทำไมสุริยันดาราถึงยื่นข้อเสนอให้ทั้งคู่ยอมแพ้ไปตั้งแต่แรก
เมื่อพวกเขาต้องการจะหนียามนี้ กลับไม่สามารถทำได้เลย!
“ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแล้ว! ขอร้องเถิด ปล่อยข้าออกไป!”
ลั่วฉีกรีดร้องขึ้นลั่น
หู่เหยียนแสยะยิ้มน่าสยดสยองนักพลางกล่าวขึ้นว่า
“เหอะ เปล่าประโยชน์ ตายซะ!”
“พร๊วดดด!”
แท่งเหล็กหนาของหู่เหยียนทุบใส่ลั่วฉีแหลกเละกลายเป็นเนื้อบดในทันใด
ในขณะเดียวกันเป่ยหลานก็ถูกหู่หลัวฆ่าตายไปแล้วเช่นกัน
ณ ปัจจุบัน บนลานประลองกลายมาเป็นการสัประยุทธ์แบบสามต่อหนึ่งทันที!
สุริยันดารา หู่เหยียนและหู่หลัว ทั้งสามกระจายตีล้อมอีกฝ่ายประจำตำแหน่งเป็นทรงสามเหลี่ยม โดยมีเย่หยวนอยู่ ณ ใจกลางถูกตัดขาดจากทางหลบหนีทั้งหมด
“ฮ่าๆ คาดไม่ถึงใช่หรือไม่ว่า เจ้าโง่ทั้งสองตัวนั้นยังคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสหนีรอดไปได้? แท้ที่จริงแล้ว เป้าหมายของเราทั้งสามคือเจ้าตั้งแต่ทีแรกแล้ว! ข้าขอดูหน่อยว่า เจ้าจะหนีไปไหนได้หรือไม่?!”
สุริยันดาราเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมแผดเสียงดังลั่น
เย่หยวนส่งสายตาให้พวกนั้นราวกับกำลังมองคนโง่ และเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมยขึ้นว่า
“แล้วใครบอกว่าข้าจะหนี?”
“เหอะ เจ้าหนูตัวนี้ยังต้องการสำแดงความหาญกล้า? คิดหรือว่าจะปราบปรามพวกเราทั้งสามได้?”
หู่เหยียนหัวเราะเสียงเย็น
“คนโง่กลับประเมินความสามารถตนเองสูงส่งเกินไป คิดหรือว่าตนเองจักไร้เทียมทานปานนั้น?”
หู่หลัวเอ่ยล้อเล่น
“หึ! คนโง่หาเคยดูเงาตนเองไม่! เจ้าคิดหรือว่าตนเองจักท้าทายสวรรค์ได้จริงๆ? ข้าจักสำแดงพลังที่แท้จริงของข้าให้ดูเป็นขวัญตา!”
สุริยันดาราเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มอันแสนเยียบเย็น
“สุสานมารปีศาจ!”
สุริยันดาราแผดเสียงคำรามลั่น ปรากฏร่างภูตปีศาจเข้าทักทายเย่หยวนนับไม่ถ้วน
ศาสตร์แห่งปีศาจของมันบรรลุชั้นสวรรค์ระดับสามแล้ว มันแทบจะสามารถกวาดล้างเซียนในระดับเดียวกันได้จวนจะทั้งหมด
ตอนนี้มันกำลังใช้เพื่อปราบปรามแม่ทัพปีศาจสองดาวชั้นกลาง อาจกล่าวได้ว่าเกินพอแล้ว
ในขณะเดียวกันนั้นเอง หู่เหยียนกับหู่หลัวเองก็เคลื่อนไหวโจมตีพร้อมกัน!
ชั่วขณะเวลาหนึ่ง คลื่นพลังวิญญาณอันโหมกระหน่ำแทบพลิกลานประลองทั้งหมดจนคว่ำลงได้
เย่หยวนดูอ่อนแอไปในทันทีเสมือนเรือพายลำเล็กภายใต้ภัยพิบัติจาการผสานโจมตีของทั้งสาม!
เมื่อไคซินเห็นดังนั้น รอยยิ้มอันแสนเยือกเย็นพลันปรากฏขึ้นบนมุมปากของมันทันที
เขามั่นใจอย่างมากว่า ภายใต้การโจมตีของทั้งสามที่ผสานรวมกันเป็นหนึ่ง เย่หยวนไม่มีทางรอดชีวิตออกมาได้แน่นอน
“เฮ้ออ…น้องสาวที่แสนดีของข้า ครั้งหน้าพี่ใหญ่จะหาคนดีๆให้เจ้าแน่นอน ข้าสัญญา ทว่าเจ้าเด็กคนนี้มันล้ำเส้นเกินไป ไม่ว่าอย่างไรข้าจำต้องฆ่าเขา!”
สายตาของเขาจับจ้องไปที่หลี่จีพลางกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม
เมื่อเห็นท่าทางประหม่าของหลี่จี ความรู้สึกแสนยินดีปรีใจก็ท่วมทะลักเข้าสู้จิตใจของไคซินทันที
เขาให้ความสนใจกับหลี่จีมาโดยตลอด และในตอนแรก เขาก็ค้นพบว่า ตนน่าจะเข้าใจหลี่จีดีที่สุดแล้ว
แต่ต่อมา สายตาของหลี่จีที่จ้องมองเย่หยวนกลับดูยิ่งหลงใหลมากขึ้น สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตนทำตัวเอง
ดังนั้นแล้ว เย่หยวนจักต้องตาย!
เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมยว่า
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก แต่หลี่จีกลับไม่แน่ บางทีท่านอาจไม่สามารถแบกรับผลที่ตามมาได้”
สีหน้าการแสดงออกของไคซินแปรเปลี่ยนเป็นสีทมิฬเข้ม มันกล่าวว่า
“เรื่องขุ่นเคืองในวันนี้ย่อมค่อยๆจางหายไปเองในอนาคต แต่หากเจ้าหนุ่มคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ มันกลับเป็นภัยคุกคามที่ใหญที่สุดในภายภาคหน้า!”
ในเวลาเดียวกัน การผนวกการโจมตีของพวกสุริยันดาราทั้งสามก็ได้เริ่มขึ้น!
บูมมม! บูมมม! บูมมม!
คลื่นโจมตีนับไม่ถ้วนปราดตรงมาถึงจุดที่เย่หยวนยืนอยู่ ทั่วผิวลานประลองแตกระแหงเป็นเสี่ยงๆทางยาว
อนุภาพทำลายล้างอันทรงพลังนี้ได้หลั่งไหลล้นออกมาจากค่ายกลป้องกัน จนทุกคนสัมผัถงคลื่นความรุนแรงได้อย่างชัดเจน
นี่คือยอดฝีมือที่แท้จริง!
แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
“มันจบแล้ว ระดมโจมตีขนาดนี้ แม้แต่จอมทัพปีศาจครึ่งขั้นยังไม่สามารถป้องกันได้เลยกระมัง?”
“บรรพกาลราตรีชะตาขาดแล้วแน่นอน ใครบ้างจะเต็มใจให้จบเช่นนี้กัน”
“น่าเสียดายอัจฉริยะเช่นนี้นัก ไม่ทราบว่าเขาไปให้ให้ท่าไคซินขุ่นเคืองอันใดกัน”
…
เหล่าผู้พิทักษ์ของแต่ละตระกูลต่างเห็นใจบรรพกาลราตรีเป็นอย่างยิ่ง เขาคืออัจฉริยะโดยไม่ต้องสงสัย แต่กลับน่าเสียดายนัก โดยไม่ทราบว่าเหตุใด ไฉนเขาถึงทำให้ท่านไคซินขุ่นเคืองถึงขั้นต้องฆ่าเอาชีวิตกัน
ไคซินจับจ้องภาพฉากบนลานประลอง พร้อมกลุ่มควันที่ลอยอยู่เหนือสนาม ยามนี้ปรากฏรอยยิ้มแสยะเย็นฉีกกว้างบนมุมปาก
แต่ในเวลานั้นเอง ประดุจมีสุ่มเสียงดังเข้าทะลวงรูหูของทุกคน ประดุจว่าเสียงนี้ดังขึ้นมาจากในนรก
“จันทร์สลาย…ดับเงาสยบมาร!”
สายตาที่จับจ้องของสุริยันดาราแปรเปลี่ยนดูจริงจังขึ้นหลายส่วน ก่อนจะฉายแววประหลาดใจ!
โพละ โพละ โพละ…
ทว่ายังไม่ทันได้ตื่นตกใจอันใด พวกมันกลับไม่รู้สึกตัวอีกต่อไปแล้ว
เสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่องกลางลานประลอง จากนั้นร่างทั้งสามพลันระเบิดเป็นก้อนเลือดสดโดยตรง
ร่างของเย่หยวนยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ราวกับว่าเขามิได้ขยับเคลื่อนไปไหน
เย่หยวนมิได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด เพียงว่าสีหน้าดูซีดเซียวขึ้นเล็กน้อย พลังปราณปีศาจภายในร่างลดฮวบต่ำลงอย่างมาก
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามของเขาตายยิ่งกว่าตาย
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? พวกเจ้าเห็นหรือไม่?”
“ไม่! ข้าไม่เห็นอะไรเลย!”
“เร็ว! เร็วเกินไปแล้ว! ช่างเป็นเพลงดาบที่ไวยิ่งนัก!”
…
พวกเขาแต่ละคนหน้าถอดสีกันใหญ่ โดยไม่ทราบเลยว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เย่หยวนเดินลงจากลานประลองอย่างแช่มช้าและตรงมาหาไคซินพร้อมกล่าวว่า
“ขอบพระคุณเป็นอย่างมากสำหรับของรางวัล ท่านไคซิน”
ตอนที่ 1484 ฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงตื่นขึ้นอีกครั้ง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่าทีของไคซินดูทมิฬเข้มสุดขีดเจียนกลั้นเป็นหยดน้ำ
ส่วนคนอื่นๆที่เหลือต่างเงียบสงัดดั่งจักจั่นกลางฤดูหนาว มองข้างเรื่องที่เย่หยวนฆ่าสุริยันดาราไปได้เลย เพียงสามรุมหนึ่งและเย่หยวนก็สามารถเอาชนะได้ แค่เพียงเท่านี้ก็เป็นการตบหน้าไคซินต่อหน้าฝูงชนพอแล้ว จากภาพฉากปัจจุบันที่ปรากฏต่างก็ทำให้ฝูงชนหวาดกลัวจนกระวนกระวายใจยิ่งแล้ว
“รับไป เจ้าสมควรได้รับมัน!”
วาจาไม่กี่คำที่ไคซินรีดเร้นออกมาจากช่องฟัน กรนเสียงขรึมเข้มออกมา
เย่หยวนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและรับสมบัติทั้งแปดไว้ในครอบครอง
“หากคราวหน้ามีเรื่องดีๆเช่นนี้มาแบ่งปันกันอีก หวังว่าท่านไคซินจะไม่ลืมบรรพกาลราตรีคนนี้”
เย่หยวนคลี่ยิ้มกว้างเอ่ยกล่าวอย่างร่าเริงแจ่มใส
ดวงตาของไคซินหรี่แคบลงเล็กน้อย แสงสีเย็นสว่างวาบผ่านนัยน์ตา พลางกัดฟันด้วยความเกลียดชัง กล่าวว่า
“ผ่อนคลายเถิด ข้าไม่ลืมเจ้าแน่นอน!”
หลี่จีเห็นว่าบรรยากาศเริ่มมืดทมิฬลงเรื่อยๆ นางจึงลุกพรวดขึ้นและกล่าวพร้อมรอยยิ้มอันแสนอึดอัดใจไม่น้อย
“ขอบพระคุณมากสำหรับน้ำใจครั้งนี้ท่านไคซิน เช่นนั้นพวกเราขอลา”
จากนั้นพวกเขาก็ลาจากไปพร้อมกับบรรยากาศแปลกๆ
แต่เย่หยวนหาได้สนใจไม่ พร้อมเก็บรวบของรางวัลไว้เต็มมือ
สมบัติทั้งแปดนี้ช่างแต่เป็นของดีทั้งสิ้น
หลังจากที่ทุกคนจากไป เหลียนฮวาพลันยิ้มให้ไคซินและกล่าวว่า
“ภายในเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้ นานมากแล้วที่ไม่มีใครเคยทำให้ท่านเสียหน้าครั้งใหญ่ ฮิฮิ…บรรพกาลราตรีคนนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ”
ไคซินเอ่ยเสียงเคร่งขรึมว่า
“โทษสำหรับที่ยั่วโมโหข้า มันต้องตายเท่านั้น! เร่งไปยังโถงโลหิตปรโลกและสั่งการลงไป ถ่ายทอดภารกิจพร้อมรางวัลสามสิบล้านผลึกปราณปีศาจระดับต่ำ ข้าต้องการศีรษะของมัน!”
เหลียนฮวายิ้มและกล่าวว่า
“เจ้าคิดจะฆ่าเขาจริงๆ สังหารเพียงแม่ทัพปีศาจสองดาวชั้นกลางทั่วไปใช้เพียงสามล้านก้อนเท่านั้น แต่นี่เพิ่มราคากว่าสิบเท่า แพงเสียยิ่งกว่าราคาของแม่ทัพปีศาจสองดาวขั้นสุดมหาศาลนัก!”
“หึ! แล้วเจ้านั่นมันใช่แม่ทัพปีศาจสองดาวชั้นกลางธรรมดาทั่วไปหรือไม่?”
ไคซินกล่าวเสียงเย็นเอ่ยตอบ
…
เมื่อกลับไปถึงตระกูลฟาง เย่หยวนก็ปลีกวิเวกแยกออกมาเก็บตัวอย่างเงียบงันอีกครั้ง และเริ่มใช้ผงวิญญาณทมิฬเลิศทันที
กายทองคำเก้าอรหันต์ของเย่หยวนติดอยู่ที่ระดับแรกมานานแล้ว และก็ยังไม่สามารถทะลวงผ่านไปได้เสียที
เพื่อที่จะพัฒนาไปอีกระดับจำเป็นต้องมีทรัพยากรที่มากขึ้นเพื่อเลี้ยงบำรุง โอสถธรรมดาทั่วไปแทบไม่มีผลเลย
กว่าที่กายทองคำเก้าอรหันต์จะเลื่อนระดับชั้นได้แต่ละครั้งนับว่ายากเย็นแสนเข็ญเป็นอย่างยิ่ง
การจะวิวัฒนาการจากระดับหนึ่งสู่ระดับสอง มันยากเย็นเสียยิ่งกว่าการเลื่อนระดับชั้นจากอาณาจักรปฐมพระเจ้าสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าหลายเท่านัก
คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถรองรับการบริโภคทรัพยากรครั้งละมหาศาลขนาดนั้นได้เลย
หากมิใช่เพราะเย่หยวนพึ่งพาโอสถในครั้งนั้น แม้แต่จะวิวัฒนาการสู่ขั้นสุดก็แทบเป็นไปได้ยากมากเช่นกัน
ผงวิญญาณทมิฬเลิศนี้เป็นโอสถวิเศษที่ใช้สำหรับขัดเกลาร่างกายโดยเฉพาะ ภายในนั้นประกอบไปด้วยสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขัดเกลาร่างกายที่หายากยิ่งมากมาย นับเป็นสมบัติล้ำค่าชนิดหนึ่งได้เลย
เพื่อต้องการฆ่าเย่หยวน ไคซินนับว่าต้องกรีดเลือดลงทุนมิใช่น้อย
แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดไม่ฝันว่า เย่หยวนจะสามารถเอาชนะและฝ่าฟันความยากลำบากทั้งหมดมาได้ และสุดท้ายนี้ผู้ได้ครอบครองสมบัติเหล่านั้นก็เป็นเย่หยวนเสียเอง
เย่หยวนใช้ผงวิญญาณทมิฬเลิศทาลงบนร่างกายให้เสมอกัน และเริ่มโคจรพลังเพื่อดูดซับฤทธิ์สมุนไพร
ในไม่ช้า เย่หยวนพยักรู้สึกปวดแสบปวดร้อนขึ้นบนร่างในทันใด
เมื่อเวลาผ่านไป ระหว่างขั้นตอนวิวัฒนาการกายเนื้อของเย่หยวนเป็นไปอย่างเชื่องช้าและทรมานอย่างยิ่งยวด
พลาดพลั้งเพียงครั้งเดียว เย่หยวนอาจตกสู่วงเวียนแห่งความทรมานชั่วนิรันดร์
หากย้อนกลับไป เย่หยวนที่กลืนโอสถจอมมังกรจ้าวพยัคฆ์ลงไป ความรู้สึกทรมานเจียนตายยังคงใหม่สดอยู่ตลอดเวลาจดจำสลักใจ
ความเจ็บปวดที่โฉบแล่นอยู่ในขณะนี้ก็มิได้ต่างกันเลย
ครึ่งเดือนต่อมา หลังจากที่เย่หยวนอดทนอดกลั้นต่อความทรมานมาได้ คลื่นกำลังใจแห่งความปีติดีใจพลันถาโถมเข้ามาใส่ ในที่สุดเขาก็วิวัฒนาการสู่กายทองคำเก้าอรหันต์ระดับสองได้!
ร่างของเย่หยวนปรากฏแผ่นขี้ไคล ก้อนตะกอนสีดำหลุดลุ่ยราวกับกำลังลอกคราบ สกัดนำสิ่งสกปรกออกไปจากร่างกาย คล้อยหลังเสร็จสิ้นเป็นอันจบการวิวัฒนาการสู่ระดับสองโดยสมบูรณ์
ในเวลานี้ ร่างกายของเย่หยวนเปล่งสีทองอร่ามออกมา ยามเปรียบเทียบกับการวิวัฒนาการครั้งแรก รัศมีกลิ่นอายในตอนนี้สว่างเจิดจรัสกว่ามาก
“ในที่สุดก็เลื่อนระดับชั้น! นับตั้งแต่ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าการบ่มเพาะกายเนื้อก็มีแต่จะช้าลง สุดท้ายก็ยกระดับขึ้นเสียที!”
เย่หยวนกล่าวขึ้น
“เคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำที่เจ้าฝึกปรือมา นับวันยิ่งค่อยๆขัดแย้งกันพลังสายเลือดในกายเจ้า หากฝึกปรือวรยุทธป้องกันชนิดนี้มากเกินไป มันอาจฝืนกฎแห่งสายเลือดมังกรในกายเจ้าจนเกิดเรื่องเลวร้าย ยามนี้เคล็ดวิชาดังกล่าวกลับกลายเป็นสิ่งโง่เขลาไปเสียแล้ว!”
หวูเฉินเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างไม่มีความสุขนัก
“ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว!”
ณ ดินแดนพฤกษานิรันดร์ กวนควานเทียนจามอย่างแรงถึงสามครั้งติด พลันเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความสงสัยว่า
“เอ๊ะ? สงสัยว่ามีคนกำลังกล่าวไม่ดีเกี่ยวกับข้ากระมัง? ไฉนถึงจามแรงเพียงนี้?”
เย่หยวนยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า
“แต่นอกเหนือจากเคล็ดวิชานี้แล้ว ข้าก็ไม่รู้เรื่องวรยุทธบ่มเพาะกายเนื้อชนิดอื่นเลยเช่นกัน”
มิอาจปฏิเสธได้เช่นกันว่า ในอดีต เคล็ดสมบัติกายาเต่าดำได้ช่วยเหลือเย่หยวนไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
หากมิใช่เพราะเคล็ดสมบัติกายาเต่าดิน เย่หยวนคงไม่สามารถผ่านห้วงอวกาศสุดปั่นป่วนมาได้
แต่เคล็ดวิชานี้เริ่มเข้าใกล้ขีดจำกัดเรื่อยๆแล้ว และเขาเองก็ไม่มีวรยุทธอื่นเช่นกัน
วรยุทธบ่มเพาะพลังหาได้ทรงพลังแข็งแกร่งพอ แต่กลับสามารถเข้ากันได้
นี่เป็นสาเหตุที่หนึ่งที่เย่หยวนยืนยันที่จะสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังเป็นของตัวเองขึ้นมา
หวูเฉินยิ้มและกล่าวว่า
“เผ่ามังกรเองก็มีวรยุทธบ่มเพาะกายเนื้อเช่นกัน เจ้าที่วิวัฒนาการกายทองคำเก้าอรหันต์ถึงระดับสองได้แล้ว คิดว่าเจ้าน่าจะหาเรียนรู้เองได้!”
เย่หยวนตัวแข็งค้างไปในบัดดล ทันใดนั้นภายในหัวของเขาก็พลันส่งเสียงคำรามลั่น ก่อนจะถูกกระชากสติสัมปชัญญะลงสู่ห้วงมิติแห่งหนึ่ง
“กรรรร!!”
เสียงมังกรคำรามลั่นดังสะท้านโลกันตร์ เงาร่างมังกรฟ้าโคจรหมุนรอบตัวเย่หยวนไม่หยุดหย่อน
ในที่สุดมันก็จมลงสู่ทะเลแห่งจิตสำนึกของเย่หยวน
เมื่อเย่หยวนลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็พลันตระหนักได้ถึงองค์ความรู้ใหม่ๆที่เพิ่มพูนขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาผุดรอยยิ้มออกมาทันทีด้วยความดีใจ
“รอมาเนิ่นนาน! ในที่สุดมันก็ตื่นขึ้นอีกครั้งเป็นคราที่สอง! วรยุทธมังกรทรราชจุติระดับสอง เสียงแห่งจอมเทพมังกรระดับสอง กรงเล็บมังกรจักรวาล และกายพุทธะมังกรสวรรค์! การตื่นขึ้นในครั้งนี้ ข้าได้รับของดีไม่น้อยเลยจริงๆ!”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นทันทีด้วยความตื่นเต้น
การตื่นขึ้นในครั้งที่สอง เย่หยวนได้รับสุดยอดวรยุทธของเผ่ามังกรมาถึงสี่ชนิดติดต่อกัน
มิต้องกล่าวถึงวรยุทธมังกรทรราชจุติ หลังจากที่กายเนื้อของเย่หยวนวิวัฒนาการสู่ระดับสองได้ เพียงเท่านี้ความเร็วในการฟื้นฟูก็เพิ่มเป็นทวีแล้ว
เสียงแห่งจอมเทพมังกรเป็นวรยุทธต่อสู้ด้วยคลื่นเสียง และเป็นวรยุทธโจมตีที่ไม่ค่อยได้เห็นเย่หยวนใช้นานแล้ว เพราะสำหรับเขาในปัจจุบัน สิ่งนี้กลับไม่เป็นประโยชน์เท่าไหร่
ในระดับสองนี้ ตราบเท่าที่เย่หยวนผสานใช้กับกายเนื้อสุดแกร่งกร้าว มันจะกลายมาเป็นไพ่ตายอีกใบหนึ่งที่สำคัญยิ่ง
สุดท้ายนี้ กรงเล็บมังกรจักรวาล เป็นถึงหนึ่งในสามวรยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งเผ่ามังกร!
ขุมพลังอานุภาพการทำลายล้างของมันมิได้ด้อยไปกว่า เสียงแห่งจอมเทพมังกรเลย
แต่สิ่งที่ทำให้เย่หยวนตื่นเต้นที่สุดมิใช่ใดอื่นนอกเสียจากกายพุทธะมังกรสวรรค์!
ก่อนหน้านี้ เพิ่งสนทนากับหวูเฉินไปหมาดๆว่า เขาไม่มีวรยุทธบ่มเพาะกายเนื้ออื่นให้ฝึกอีกแล้ว แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ ตอนนี้กลับมาประเคนถึงที่!
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะอยู่ในการคำนวณของหวูเฉินหมดแล้ว เขาจึงเลือกกล่าวขึ้นมาในเวลานี้
เย่หยวนใช้เสียงแห่งจอมเทพมังกรและกรงเล็บมังกรจักรวาล ควบคู่ไปกับกายพุทธะมังกรสวรรค์ ลองคิดดูสิว่าอนุภาพการทำลายล้างจะมหาศาลขนาดไหน!
“เหอะ เผ่ามังกรยังคงเป็นการดำรงอยู่สูงสุดบนมหาพิภพถงเทียนเช่นกัน! ตราบใดที่ฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงยังคงตื่นขึ้นเรื่อยๆ เจ้าเองก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุด!”
ดวงตาเย่หยวนพลันสว่างวาบและกล่าวขึ้นว่า
“ท่านอาวุโส จะว่าไปแล้ว บรรพชนของเผ่ามังกรมีต้นกำเนิดมาจากอะไรกันแน่? แล้วพวกเขาทรงพลังเทียบเท่าอาณาจักรพลังใด?”
อาณาจักรต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มังกรในดินแดนพฤกษานิรันดร์ ประเมินฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงของเย่หยวนไว้สูงมาก การจะเข้าถึงมันในระดับต่อๆไปทำให้เย่หยวนเป็นกังวลอย่างยิ่
หวูเฉินกล่าวว่า
“อ้าวฉินมีพลังอยู่ที่อาณาจักรเทพถ่องแท้! ตราบใดที่ฤทัยแห่งฟ่าจู้หลงของเจ้ายังสามารถตื่นขึ้นได้อยู่ การจะวิวัฒนาการไปให้ถึงระดับหกก็หาใช่ปัญหาไม่!”
ม่านตาดำของเย่หยวนถึงกับตีบตันในทันใด ยามนี้เขาเพิ่งทราบว่าบรรพชนของเผ่ามังกรจะมีขุมพลังอำนาจเกินจินตนาการได้ขนาดนี้ เขาไม่คิดเลยว่าบรรพชนต้นกำเนิดจะทรงพลังอย่างยิ่ง!
อาณาจักรเทพถ่องแท้ยังคงเป็นการดำรงอยู่ที่เป็นปริศนาที่ผู้คนโดยส่วนใหญ่บนมหาพิภพถงเทียนตามหาอยู่เช่นกัน
“ผู้อาวุโส แล้วบรรพชนต้นกำเนิดของสี่ตระกูลหายไปไหนกัน?”
เย่หยวนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
ตอนที่ 1485 โถงโลหิตปรโลก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“บรรพชนต้นกำเนิดที่เจ้าเอ่ยกล่าวไปนั้นหมายถึง สัตว์เทวะผู้พิทักษ์ทั้งสี่แห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์ และพวกเขาทั้งสี่ยังเป็นสหายที่สำคัญที่สุดกับจอมเทพนิรันดร์อีกด้วย และเมื่อจอมเทพนิรันดร์ล่วงลับจากไป สถานการณ์ของพวกเขาเองก็ดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก ส่วนที่พวกเขาหายไปไหน ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่ในตอนนั้นข้าได้ตกลงสู่ห้วงนิทราไปแล้ว และถูกส่งไปยังดินแดนย่อยโดยจอมเทพนิรันดร์ เหตุการณ์หลังจากนั้นข้ากลับไม่ทราบแล้ว”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ สีหน้าการแสดงออกของหวูเฉินก็ดูหดหู่อย่างมากเช่นกัน
เมื่อได้ชัดว่า เหตุการณ์ในตอนนั้นกลับหาใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไหร่นัก
“ท่านอาวุโสอย่าได้เป็นกังวล จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชาง ข้าไม่ปล่อยให้มันรอดแน่นอน!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมน้ำเสียงเคร่งขรึม
หวูเฉินมองไปที่เย่หยวน สีหน้าการแสดงออกของเขาดูคลายอ่อนลงและสีหน้าที่ดูสงบลงเล็กน้อย
เขาทราบดีว่า หากเย่หยวนยังคงเติบโตเช่นนี้ต่อไป การจะกลับไปล้างแค้นให้แก่จอมเทพนิรันดร์กลับหาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ในเวลาต่อมา เย่หยวนทำการปรับสภาพร่างกายของเขาอีกครั้งตามวรยุทธกายพุทธะมังกรสวรรค์ ทันทีทันใดขีดกำจัดที่เคยรู้สึกในทีแรกราวกับถูกปลดออกเป็นอิสระในทันใด
ความรู้สึกอ่อนล้าก่อนหน้าพลันหายเป็นปลิดทิ้งเช่นกัน
นอกจากนี้ เย่หยวนยังค้นพบด้วยว่า กายพุทธะมังกรสวรรค์นี้ ยังเป็นวรยุทธบ่มเพาะกายเนื้อระดับสูงมาก และน่าประทับใจยิ่งกว่าเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำนัก
เย่หยวนใช้เวลากว่าสามปีเต็มเพื่อควบคุมกายเนื้อของเขา คล้อยหลังเสร็จสิ้นการปรับสภาพร่างกาย เขาก็บรรลุขึ้นสู่ระดับสองชั้นต้นเป็นที่เรียบร้อย
เพียงก้าวเดียว เขาก็จะสามารถหยั่งถึงอาณาจักรปราณเทวะได้แล้ว
“อันที่จริงแล้ว วรยุทธบ่มเพาะของเผ่ามังกรเป็นอะไรที่ราบรื่นที่สุดแล้ว ตั้งแต่ฝึกปรือบ่มเพาะพลังมาก!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ก่อนหน้าที่จะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า เย่หยวนยังคงไม่รู้สึกถึงอะไรเท่าไหร่นัก เมื่อบ่มเพาะเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำ
แต่หลังจากที่กายทองคำเก้าอรหันต์ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก เย่หยวนก็เริ่มรู้สึกทันทีว่า ความเร็วในการฝึกปรือกายเนื้อของเขากลับช้าลงและช้าลงเรื่อยๆ
หาใช่วรยุทธบ่มเพาะพลังที่เป็นสิ่งผิด แต่ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างจึงทำให้เขาไม่สามารถพัฒนาขึ้นไปมากกว่านี้ได้
แต่ตอนนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นกลับอันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์
สามปีภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เท่ากับสามเดือนของโลกภายนอกเท่านั้น
เมื่อเย่หยวนออกจากการเก็บตัว ก็พบว่าหลี่จีกำลังยืนรอเขาอยู่นอกประตูนานแล้ว
“คุณหนูหลี่จี ท่าน…”
ยามนี้เขาพบว่า สายตาที่หลีจีมองมาทางเย่หยวนกลับเต็มไปด้วยไปด้วยความรักใคร่และอ่อนโยน เสมือนกับเหล่าสตรีเผ่าปีศาจที่หลงเสน่ห์ในตอนนั้น
แก้มเนียนขาวของหลี่จีพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ นางเอ่ยขึ้นด้วยความเขินอายว่า
“น้องบรรพกาลราตรีเพียรขยันฝึกปรือตลอดเวลา จึงไม่แปลกว่าไฉนเจ้าถึงแกร่งกล้าตั้งแต่อายุยังน้อย หลี่จียืนรอเจ้าเช่นนี้มาสองเดือนแล้ว”
เย่หยวนที่ได้ยินดังนั้น พลันแอบรู้สึกปวดเศียรอย่างยิ่ง หญิงสาวนางนี้ต่างตามตื๊อและดื้อรั้นจริงๆ!
แม้หลี่จีจะมิได้หลงใหลจนบ้าคลั่งเหมือนกับสตรีเผ่าปีศาจนางอื่นๆ แต่เมื่อนางชอบพอใครสักคน กลับติดตามเขาคนนั้นอย่างไม่ลดละ
และนี่…นางก็กำลังเปิดฉากรุกใส่เขาอย่างหนัก!
ไคซินนับเป็นหนึ่งในบุรุษชายที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบรรดาเยาว์ชนหนุ่มสาวทั้งหมดของเมืองหลวงคาโปน
แต่นางกลับไม่ชอบเขา
สำหรับเย่หยวนกลับค่อนข้างแตกต่างกัน เขาเป็นคนพิถีพิถันและละเอียดอ่อน แข็งแกร่งแต่ไม่ป่าเถื่อนเลือดเย็น เขาแตกต่างไปจากบุรุษเผ่าปีศาจทั่วไป
เดิมที นางรู้สึกเพียงว่า เย่หยวนเป็นคนมีรูปลักษณ์หล่อเหลาดูดี ทว่าก็หาให้รู้สึกกับอีกฝ่ายมากเกินไป
แต่ฝีไม้ลายมือของเย่หยวนก่อนหน้ากลับสะดุดตาสะดุดใจเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดักเงาสยบมารที่เย่หยวนปลดปล่อยออกไปก่อนหน้า ก็ทำให้หลี่จีใจเต้นแรงขึ้นในทันใด
“เอ่ออ… คุณหนูหลี่จีเดินทางมาหาบรรพกาลราตรีมีเรื่องอันใดหรือไม่?”
เย่หยวนเอ่ยถามขึ้น
ดวงเนตรคู่งามของหลีจีมองเย่หยวนด้วยหลงใหล นางยิ้มกล่าวว่า
“ทำไม? ข้ามาหาเจอเฉยๆมิได้งั้นรึ?”
เจอนางเปิดฉากรุกเช่นนี้ เย่หยวนเหงื่อแตกพลั่กทันที
“เอ่อ…มิใช่แบบนั้น มาหาได้แน่นอน!”
หลีจีกล่าวขึ้นอย่างเศร้าหมองว่า
“บรรพกาลราตรี ข้าในตอนนี้ค้นพบแล้วว่า เจ้าแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ! หากเป็นหญิงสาวคนอื่นที่ตามรุกอีกฝ่าย พวกเขาเหล่านั้นคงมิอาจหักห้ามใจได้ แต่ดูเจ้าสิ กลับพยายามหลบหน้าข้าราวกับโรคระบาด”
เย่หยวนครืนหัวเราะเสียงอ่อนและกล่าวว่า
“มิใช่คุณหนูหลี่จีเองก็ต่างจากคนอื่นหรอกรึ? ไคซินเป็นถึงหนึ่งในสุภาพบุรุษอันดับต้นๆของเมืองหลวง มีหญิงสาวมากมายหลงใหลเขา แต่ท่านกลับพูดจาไม่เหลียวแลเขาเลย”
หลี่จียิ้มและกล่าวตอบว่า
“เพราะเขา…หาได้ดูดีเท่ากับเจ้า!”
เย่หยวนยังยิ้มคลี่ยิ้มบางกล่าวตอบว่า
“หุหุ นั้นเป็นความจริง!”
ตอนนี้เย่หยวนยังคงอาศัยภายใต้หลังคาเดียวกับคนอื่น และมิอาจแสดงท่าทีต่อต้านใดๆได้ มิฉะนั้นอาจทำให้คนอื่นระแวงสงสัยได้
หลี่จีหัวเราะลั่นจนตัวสั่นเทา เห็นได้ชัดว่าเย่หยวนคนนี้มีอารมณ์ขันมิใช่น้อยเลย
“หุหุ ข้าว่ามันคงน่าเบื่อมิใช่น้อยที่ต้องเพียรฝึกปรือเช่นนี้อยู่ทุกวัน ไฉน…เราไม่ออกไปเดินเล่นรอบๆเมืองหลวงกันหน่อยล่ะ?”
หลี่จีเอ่ยถามขึ้นทันทีพร้อมนวลแก้มแดงอย่างสงสัย
เย่หยวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนกล่าวว่า
“เป็นความคิดที่ดี ข้าอยากไปที่โถงโลหิตปรโลกสักเที่ยว ไฉนคุณหนูหลีจีไม่พาข้าไปที่นั่น?”
หลี่จีเผยแววสงสัยเล็กน้อย นึกเอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้าจะไปที่โถงโลหิตปรโลกเพื่ออันใด?”
เย่หยวนกล่าวตอบว่า
“บรรพกาลราตรีคนนี้มีญาติที่พลัดหลงหายตัวไป ข้าต้องการเดินทางไปยังโถงโลหิตปรโลกเพื่อการณ์นี้”
หลี่จีเข้าใจได้ในทันทีและกล่าวว่า
“เช่นนี้นี่เอง งั้นคุณหนูคนนี้จะพาเจ้าไปเอง”
…
โถงโลหิตปรโลกเป็นองค์กรใต้ดินที่ทรงอำนาจอย่างยิ่งในเมืองหลวงคาโปน
และองค์กรแห่งนี้ก็มิได้มีอยู่แค่ในเมืองหลวงคาโปนเท่านั้น เครือข่ายและอิทธิพลอำนาจขจรไกลไปทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ
ขุมพลังอำนาจใหญ่โตและแข็งแกร่งเกินจินตนาการ แม้แต่ตำหนักเจ้าเมืองยังไม่กล้าเจรจาตกลงได้โดยง่าย
แตกต่างจากตำหนักเจ้า เป้าหมายของโถงโลหิตปรโลกที่ตั้งขึ้น ณ เมืองหลวงแห่งนี้ก็เพื่อ หารายได้เข้ามา
เพียงว่าวิธีหาเงินของพวกมันแตกต่างไปจากวิธีการของคนทั่วไป
โถงโลหิตปรโลกถูกแบ่งออกเป็นโถงย่อยดังนี้ โถงลานประลองเลือด โถงนักฆ่า โถงร้อยปัญญา โถงโอสถปีศาจ
โดยสรุปแล้ว วิธีหาเงินของพวกมันโดยส่วนใหญ่ เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและมิอาจเปิดเผยต่อสาธารณะได้
เมื่อทุกคนได้ยินนาม โถงโลหิตปรโลกก็ย่อมมีทั้งคนที่รักและคนที่เกลียด
ตัวอย่างเช่น โถงโอสถปีศาจ สถานที่แห่งนี้ตรงตามชื่อเหมือนกับโถงนักฆ่า มันเป็นสถานที่เฉพาะ สำหรับหลอมกลั่นโอสถโดยเฉพาะ
นักหลอมโอสถของเผ่าปีศาจจะถูกเรียกว่า นักปรุงโอสถปีศาจ ชื่อหรือคำเรียกอาจดูแตกต่างกัน แต่ความจริงแล้วก็เหมือนกันกับนักหลอมโอสถของเผ่ามนุษย์
เว้นเสียแต่ว่าโอสถของเผ่าปีศาจกลับแตกต่างไปจากของเผ่ามนุษย์ ดั่งสองแนวทางที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
สถานะของนักปรุงโอสถปีศาจนับว่าสูงส่งอย่างมาก และล้วนได้รับความเคารพนับถือจากบรรดาปีศาจโดยทั่วกัน เพราะเผ่าปีศาจค่อนข้างด้อยพัฒนาในด้านนี้
เผ่าปีศาจนั้นดิบเถื่อนและกระหายศึก แต่เรื่องหลอมกลั่นโอสถกับเป็นงานละเอียดอ่อน มีเพียงปีศาจจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ใจเย็นพอจะทำเรื่องเหล่านี้ได้
สรุปได้ว่า เผ่าปีศาจหาได้ขาดแคลนยอดฝีมืออันไร้เทียมทาน แต่ขาดนักปรุงโอสถปีศาจที่ทรงพลัง
ดังนั้นทุกคนจึงชอบโถงโอสถปีศาจอย่างมาก ในขณะที่พวกเขาต่างหวาดกลัวโถงนักฆ่า
สำหรับโถงโลหิตสัประยุทธ์ คือทุ่งสังหารชั้นยอดสำหรับเหล่าขุนนางชั้นสูงที่ชื่นชอบการพนัน และบ้าเลือดโดยเฉพาะ
ส่วนโถงร้อยปัญญา เป็นสถานที่ที่รวบรวมข้อมูลไว้มากมาย รอให้เหล่าผู้คนได้เข้ามาสอบถามใช้บริการ
ขณะที่เย่หยวนและหลี่จีกำลังจะออกไป พวกเขากลับถูกใครบางคนเพ่งเล็งไว้จากระยะไกล
ฮ่าวเอ๋อร์เป็นนักฆ่าระดับแม่ทัพปีศาจแห่งโถงนักฆ่า ความแข็งแกร่งของเขานับเป็นที่สุดของบรรดานักฆ่าปีศาจชั้นแม่ทัพในโถงนักฆ่า
เขามีหน้าที่เฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของตระกูลฟางมาตลอดสามเดือน และในที่สุดเขาก็พบเย่หยวนจนได้ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ เขาจะออกมาพร้อมกับหลี่จี
โถงนักฆ่ามีกฎเหล็กระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามกระทำการณ์เคลื่อนไหวต่อผู้คนที่มีสายเลือดของสี่ตระกูลใหญ่
แน่นอนว่าพวกเขาอาจได้เงินในจำนวนมหาศาล แต่ท้ายที่สุดก็มิอาจพ้นโทษอยู่ดี
อำนาจอิทธิพลของสี่ตระกูลใหญ่มากมายมหาศาลยิ่งในเมืองหลวงแห่งนี้ เพียงกระตุกเส้นผมแค่เส้นเดียว อาจกระทบทั้งตัว
แม้แต่กลุ่มอิทธิพลใหญ่อย่างโถงโลหิตปรโลกเองก็ยังไม่ค่อยเต็มใจที่จะรุกรานยั่วยุมากนัก
“ไม่น่าแปลกใจที่ไฉนไคซินถึงต้องการฆ่าเจ้าเด็กนี่มากนัก เขาสามารถเอาชนะใจของบุปผาน้ำแข็งที่งดงามที่สุดแห่งเมืองหลวงคาโปนได้นี่เอง จงคิดไปเสียว่าตนเองยังโชคดีได้อีกสักพัก! หื้ม? พวกเขากำลังเดินทางไปที่โถงโลหิตปรโลก?”
คู่คิ้วของฮ่าวเอ๋อร์กระตุกขึ้นทันที พร้อมแสยะยิ้มกว้าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น