Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1472-1476
ตอนที่ 1472 หนีรอดหวุดหวิด!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางป่าทึบปรากฏเป็นทัพมนุษย์จำนวนมหาศาลเคลื่อนพลออกมาประดุจเกลียวคลื่นมหาสมุทร พร้อมเสียงคำรามกึกก้อง
การมาของกำลังเสริมในคราวนี้ทำให้กองทัพปีศาจแทบพังทลายแตกพ่าย หมดสิ้นทุกความหวัง
ในขณะเดียวกัน กองทัพมนุษย์ถาโถมเข้าใส่กองทัพของฝ่ายปีศาจทันที
กลยุทธ์ปิดล้อมเช่นนี้หากใช่สงครามไม่ แต่เป็นการไล่ฆ่าอยู่ฝ่ายเดียวเสียมากกว่า
วันแล้ววันเล่าระหว่างศึกพัลวันกับเผ่าปีศาจ สุดท้ายพวกมันจำต้องถึงคราวล่มสลาย
กำลังเสริมของฝ่ายมนุษย์ที่โหมเข้ามาในครั้งนี้ ได้ผลักดันกองทัพของเผ่าปีศาจถึงทางตัน
ณ ด้านบนกำแพงเมืองขณะนี้ สายตาที่สาดสะท้อนออกของซิ่วเหล่ยเผยแววสิ้นหวังออกมา เมื่อเห็นทัพกำลังเสริมของอีกฝ่ายบุกโหมเข้าใส่
มันตระหนักทราบทันทีว่า กองกำลังกว่าสามหมื่นนายกำลังจะจบลงที่นี่!
“ซิ่วเหล่ย วันนี้คือวันตายของเจ้า!”
ทันใดนั้นเอง ร่างหนึ่งพุ่งทะยานฉีกห้วงอากาศออกมา พร้อมมุ่งตรงมาที่ซิ่วเหล่ยด้วยความเร็วสูงสุด
เมื่อหวังอี้เฟินเห็นการมาถึงของบุคคลนี้ เขาก็โพล่งอุทานขึ้นทันทีด้วยความประหลาดใจว่า
“ท่านอู๋เทียนเซียง!”
ยามนี้เองเขาเปรียบเสมือนลูกธนูตีปลายที่กำลังจะหมดแรง ภายใต้การโจมตีหลากกระบวนอันทรงพลังของซิ่งเหล่ย ดูท่าเขากำลังจะพ่ายลงในไม่ช้า
โชคยังดีที่อู๋เทียนเซียงออกโรงตรงมาถึงในท้ายที่สุด ทำเอาหวังอี้เฟิงถอนหายใจเสียงยาวด้วยความโล่งอก
การมาถึงของหวังเทียนเซียงในปัจจุบันเพิ่มแรงกดดันให้แก่ซิ่วเหล่ยที่บาดเจ็บสาหัสเป็นทุนเดิมได้อย่างมหาศาล ยามนี้ความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองหาได้อยู่ในระดับเดียวกันไม่
ยามนี้ซิ่วเหล่ยด้อยกว่าอีกฝ่ายทุกด้าน
ท่ามกลางกองทัพกำลังเสริมของฝ่ายมนุษย์ ในที่สุดเหลียงเฟิงที่เห็นดังนั้นพลันถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
ไม่กี่วันก่อน เขารีดเร้นพลังทั้งหมดวิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่งตลอดทั้งวันคืน ในที่สุดเขาก็สามารถนำกำลังเสริมมาช่วยได้ทันท่วงที!
มิฉะนั้นแล้วผลลัพธ์ที่ได้อาตน่ากลัวเกินจินตนาการ!
หลังจากที่ถูกช่วยไว้ในเหวสนามแม่เหล็กนั้น เย่หยวนก็บอกให้เขาเดินทางไปยังเมืองคังติงเพื่อขอกำลังเสริม
ในตอนนั้นเหลียงเฟิงรู้สึกว่า ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว แต่เย่หยวนก็ยังยืนกรานบอกให้เขาไปขอความช่วยเหลืออยู่ดี โดยบอกว่าทุกอย่างต้องทันเวลาแน่นอน
และเขาก็คาดไม่คิดเลยสักนิด กำลังเสริมกลับเข้ามาช่วยได้ทันท่วงทีจริงๆ!
สถานการณ์ในสมรภูมิรบแสนดุเดือดเช่นนี้ แม้แต่เหลียงเฟิงเองก็ยังไม่สามารถช่วยอะไรได้
กองทัพที่ปกป้องกำแพงเมืองก็ดูเหมือนจะมีไม่มากแล้ว ดังนั้นพวกเขาจะปกป้องกำแพงเมืองจากกองทัพปีศาจกว่าสามหมื่นนายได้ไหวอย่างไร?
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ การป้องกันทางตอนเหนือของเมือง มิอาจเทียบชั้นกับทางใต้ได้เลย ปราการทุกชนิดทางตอนเหนืออ่อนแอกว่าอย่างเทียบไม่ติด
ภายใต้สถานการณ์ที่เสียเปรียบทางด้านจำนวนอย่างมาก ทว่าฝ่ายมนุษย์กลับสามารถต้านรับถ่วงเวลาได้นานมาก!
ทันทีทันใด เหลียงเฟิงพลันนึกถึงใบหน้าอันสงบเยือกเย็นของเย่หยวน ยามนั้นพลันอดสะดุ้งเฮือกมิได้
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ทั้งหมดจะเป็นฝีมือของเย่หยวน? เป็นไปไม่ได้! เขามีอยู่ตัวคนเดียว มีหรือจะต้านรับทัพเผ่าปีศาจนับสามหมื่นนายได้?”
ทันใดนั้นเขาพลันกวาดสายตาไปยังหน้าไม้ที่ทุกทำลายเกลื่อนกลาด นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งอย่างอดมิได้
เห็นได้ชัดว่า มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ฝ่ายมนุษย์ซึ่งประจัญบานกับกองอสูรอยู่แนวหน้า จะบุกทำลายหน้าผาที่อยู่ด้านท้ายหลังได้!
เช่นนั้นแล้ว ใครกันที่ทำลายหน้าไม้?
คงมิใช่เพราะเผ่าปีศาจทำลายกันเองใช่ไหม!?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า มันจะเป็นฝีมือของเย่หยวนจริงๆ?
เหลียงเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ่งคิดอย่างไรก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น!
เขาตรงเข้าสำรวจสภาพแวดล้อม แต่กลับไม่เห็นร่างของเย่หยวนเลย
กองกำลังเสริมของเมืองคังติงเปรียบเสมือนรถไถ่ปราบหน้าดิน พวกเขาปราดพุ่งจู่โจมทัพปีศาจกันเป็นขบวน!
ในเวลานี้เอง เมืองกระแสพิรุณไม่จำเป็นต้องปิดกั้นด้านประตูเมืองหนาแน่นแบบทีแรกอีกต่อไป หลังจากที่หวังอี้เฟิงถอนตัวออกมา เขาก็สั่งให้ผู้คนเร่งเปิดประตูเมืองเพื่อต้อนรับกำลังเสริมของเมืองคังติงเข้ามาทันที
“ปล่อยพวกมันอีกห้าพันนายไปก่อน ยามนี้เร่งรุดเข้าไปช่วยประตูเมืองทางตอนใต้! เราจำต้องปกป้องเมืองกระแสพิรุณเอาไว้ให้ได้!”
ทางตอนใต้ของเมือง ทั้งสองฝ่ายยังคงระดมยิงโจมตีกันไม่ยั้งมือจนมืดฟ้ามัวดิน
“ซิ่วเหล่ย เตรียมตัวตาย! วันนี้เป็นเพราะเจ้าสะดุดกับดักเข้าอย่างจังเอง! เช่นนั้นอย่างว่าผู้บัญชาการคนนี้เสียมารยาท!”
อู๋เทียนเซียงหัวเราะเสียงดังลั่นพลางเอ่ยกล่าวออกมา
รัศมีกลิ่นอายของซิ่วเหล่ยเริ่มอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่ามันกำลังจะพ่ายลงในอีกไม่ช้าแล้ว
มันคำรามเสียงเย็นตอกกลับไปว่า
“ต้องการฆ่าข้างั้นรึ? ฝันไปเถอะ! จ้าวปีศาจสวรรค์เคลื่อนโลหิต!”
ทันใดนั้นเองกายเนื้อของซิ่วเหล่ยก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆกลายเป็นหมอกโลหิตโอบล้อมโดยมีแก่นจิตวิญญาณปีศาจอยู่ ณ ใจกลาง และบินหนีหายออกไปในพริบตา
สีหน้าการแสดงออกของอู๋เทียนเซียนเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ซิ่งเหล่ยยังเก็บงำไพ่ตายแบบนี้เอาไว้
ทอดสายตายาว มองออกไปที่ทิศทางที่ซิ่วเหล่ยหนีเตลิดออกไป อู๋เทียนเซียนพลันถอนหายใจเสียงยาว เอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“ช่างน่าเสียดายนัก สหายตัวนี้หนีออกไปได้ เช่นนั้นเราคงมีปัญหาแน่ในอนาคต!”
มีเผ่าปีศาจแทรกซึมอยู่ในอาณาเขตของเผ่ามนุษย์ นอกจากนี้อีกฝ่ายยังเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นเสียด้วย
ผลที่ตามมาหลังจากนี้คงยากเกินจะบอกได้จริงๆ
หวังอี้เฟินปรี่เร่งตรงเข้ามาทักทายโดยไว พร้อมประสานมือกล่าวว่า
“ท่านเทียนเซียง คนที่พวกเราส่งไปให้ออกไปเรียกกำลังเสริม ล้วนถูกฆ่าตายโดยสิ้น แล้วท่านได้รับแจ้งข่าวจากทางใดกัน เฮ้ออ…อย่างไรก็เถิด ครานี้ข้าคิดว่าพวกเราตายแน่!”
อู๋เทียนเซียงเอ่ยตอบดูมึนงงเล็กน้อยว่า
“เจ้ามิได้ส่งเหลียงเฟิงมาหรอกรึ?”
หวังอี้เฟินที่ได้ยินเช่นนั้นพลันตกตะลึงเช่นกันและกล่าวว่า
“เหลียงเฟิงหรอกรึ…ชื่อนี้ดูคุ้นมากนัก อืม…ข้าจำได้แล้ว! เขามิได้ออกไปสอดแนมพวกศัตรูหรอกรึ? กลับเป็นเขาจริงๆ! เจ้าคนนี้มีส่วนช่วยพวกเราครั้งใหญ่หลวงในคราวนี้!”
ไม่เห็นเหลียงเฟิงกลับมาจากการสอดแนมจนกระทั่งทัพปีศาจบุกเข้ามา หวังอี้เฟินจึงพลันคิดไปว่าเขาตายไปนานแล้วด้วยน้ำมือของปีศาจ
ท้ายที่สุดนี้ ด้วยระดับพลังความแข็งแกร่งของเขา มีโอกาสสูงมากเหลียงเฟิงจะถูกเผ่าปีศาจจับตัวได้
แน่นอนว่ากลุ่มทหารเหล่านั้นที่เพิ่งกลับมาบอกว่า เหลียงเฟิงกำลังไปสอดแนมอยู่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้น หวังอี้เฟินจึงหาได้สนใจอันใดอีกต่อไป
แต่เขาคาดไม่ถึงจริงๆว่า เหลียงเฟิงจะเดินทางไปขอกำลังเสริมมาช่วย!
ผลงานในครั้งนี้นับว่าใหญ่หลวงนัก!
…
ทางตอนใต้ของเมือง กัวชางหมิงยืนอยู่บนกำแพงเมืองอย่างสง่าภาคภูมิ เอ่ยวาจาสั่งการเสียงดังฟังชัดว่า
“เจ้าพวกปีศาจโง่ แผนการของพวกเจ้าได้พังพินาศไปหมดสิ้นแล้ว! กองกำลังปีศาจกว่าสามหมื่นนายที่เดินทางข้ามผ่านมาจากเหวหุบเขาอัญเชิญปีศาจล้วนตายสิ้นแล้ว! ซิ่วเหล่ยถูกประหารดับสูญ! กำลังเสริมของเมืองคังติงเข้าสมทบเป็นที่เรียบร้อย พวกเจ้ายังคิดจะสู้ต่อหรือไม่?”
สีหน้าการแสดงออกของผู้บัญชาการปีศาจเปลี่ยนไปอย่างมาก มันเอ่ยปากกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า
“เป็นไปไม่ได้! กองกำลังปีศาจที่จัดเตรียมอยู่ในหุบเขาอัญเชิญปีศาจมีมากกว่าหนึ่งแสนนาย! แต่ไฉนถึงเหลือแค่สามหมื่นนายได้อย่างไร?”
เมื่อได้ฟังข้อสรุปเช่นนั้น ช่างเกินความคาดหมายของมันไปมาก
แม้ว่าข่าวนี้จะรั่วไหลออกไป แต่กองกำลังจากหนึ่งแสนนาย จะเหลืออยู่แค่สามหมื่นนายได้อย่างไร?
แต่เมื่อมองไปยังกองกำลังที่ปิดล้อมหน้าแน่นอยู่บนกำแพงนั้น มันเองแทบอยากเชื่อสายตา!
ตอนนี้ผู้บัญชาการปีศาจรู้สึกหดหู่สุดขีด ขมขื่นใจเจียนกระอักพ้นโลหิตสดออกมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แผนการอันสมบูรณ์แบบนี้มีอะไรผิดพลาด?
การเตรียมการมากว่าหลายสิบปีกลับได้ข้อสรุปเป็นความพ่ายแพ้แสนย่อยยับเช่นนี้? แล้วเขาจะไปรายงานผู้บัญชาการใหญ่ว่าอย่างไรเมื่อมันกลับไป?
สูญเสียกองกำลังไปกว่าครึ่งในศึกครั้งนี้ คล้ายว่าฝ่ายมันกำลังจะทำลายประตูทางตอนใต้ได้แล้ว แต่จู่ๆกำลังเสริมก็มาถึงและบุกเข้าประชิดตีฝ่า สถานการณ์ณ์พลิกผลัน
แต่ผู้บัญชาการปีศาตตนนี้กลับไม่ทราบเลยว่า คำกล่าวของมันก็ทำเอากัวชางหมิงตื่นตะลึงมากเช่นกัน!
ปรากฏว่ามีกองกำลังของเผ่าปีศาจเร้นแฝงอยู่ในหุบเขาอัญเชิญปีศาจกว่าหนึ่งแสนนาย!
ซึ่งเขาเองก็เชื่อว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้บัญชาการปีศาจตนนั้นมิได้โกหกแน่นอน
แต่…กองกำลังอีกเจ็ดหมื่นนายหายไปไหน?
หากกองกำลังปีศาจมีกว่าหนึ่งแสนนายจริงๆ แม้แต่เขาจะดักทางส่งคนไปป้องกันทางตอนเหนือได้ทัน แต่เมืองกระแสพิรุณแห่งนี้จำต้องถูกยึดครองไปแล้วเช่นกัน
ไม่กี่พันต่อหนึ่งแสนนาย ความแตกต่างของตัวเลขขนาดนี้ บทสรุปเป็นอย่างไรกลับไม่จำต้องสงสัย
สงครามครั้งนี้ ฝ่ายมนุษย์ได้รับชัยชนะเพราะความบังเอิญโดยแท้!
ราวกับว่ามีมือขนาดใหญ่ที่มองเห็นกำลังช่วยพวกเขาอยู่เบื้องหลัง
กัวชางหมิงสะกดความประหลาดใจลงไป และเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมยว่า
“บางทีปีศาจอีกเจ็ดหมื่นนายที่เหลืออาจตกเหวสนามแม่เหล็กตายไปนานแล้ว! หากเจ้ายังต้องการสู้ต่อไป เช่นนั้น กัวคนนี้จะขอสัประยุทธ์จนตายไปข้าง!”
สีหน้าการแสดงออกของผู้ชัญชาการปีศาจตนนั้นบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่ง ยืนแข็งทื่ออยู่นานท้ายที่สุดจำต้องกัดฟันกรอดกล่าวว่า
“ทั้งหมดจงฟัง! ถอยทัพ!”
“ไชโย!”
“ไชโย!”
“ไชโย!”
ด้านบนตามแนวกำแพงเมือง เสียงโหร้องด้วยความปีติดีใจดังกระหึ่มขึ้นทันที!
ตอนที่ 1473 ขอขมาสามครั้งแสดงความกตัญญู!
โดย
Ink Stone_Fantasy
บนกำแพงเมือง เหล่าทหารนับหลายหมื่นนายเงยหน้ามองไปยังหอประตูหอคอย ฉากภาพสุดแสนจะยิ่งใหญ่นัก
กัวชางหมิงกวาดสายตาสำรวจสภาพแวดล้อม พร้อมเอ่ยกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า
“ในศึกสัประยุทธ์ครั้งนี้ พวกเราเสียสละพวกพ้องไปมากเพื่อขับไล่ศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าเราหลายสิบเท่า ข้าผู้นี้ภาคภูมิใจในตัวพวกเจ้าอย่างยิ่ง!”
“ท่านผู้บัญชาการจงเจริญ!”
“ท่านผู้บัญชาการจงเจริญ!”
“ท่านผู้บัญชาการจงเจริญ!”
เหล่าทหารทั้งหลายต่างแผดเสียงตะโกนโหร้องลั่นโดยพร้อมเพรียงลั่นทั่วนภา
สิ่งหนึ่งที่สามารถบอกได้ทันทีว่า แต่ละคนต่างรู้สึกสรรเสริญและเคารพในตัวกัวชางหมิงอย่างมาก
ในศึกสมรภูมิครั้งนี้ มีเดิมพันเป็นชีวิตและความตาย พลาดพลั้งเพียงก้าวเดียว อาจส่งผลเลวร้ายเกินจินตนาการ ค่ายขบวนรบแตกพ่าย เมืองถูกยึดครองในพริบตา
กัวชางหมิงยิ้มและกล่าวว่า
“พวกเราทุกคนจงเจริญ! ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเราสามเหล่าทัพจะได้รับรางวัลความดีความชอบ อย่างไรก็ตาม วีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศึกคราวนี้ กลับยืนอยู่ข้างกายข้า! หลายคนอาจรู้จักหรือไม่รู้ประปราย แต่ทุกคนควรทราบตระหนักว่า เขาเป็นคนแรกที่ตรวจพบความผิดปกติของเผ่าปีศาจ และพวกมันที่รอบเร้นอยู่ในหุบเขาอัญเชิญปีศาจ นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เสี่ยงตายเดินทางไปเรียกกำลังเสริมจากเมืองคังติง จึงเป็นเหตุให้สถานการณ์พลิกกลับมาได้เปรียบ และเป็นฝ่ายมนุษย์ที่คว้าชัยชนะ นามผู้นั้นคือ เหลียงเฟิง!”
ข้างกายกัวชางหมิง เหลียงเฟิงดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก
ภาพฉากที่ผู้คนนับหมื่นจับจ้องเขาเป็นตาเดียว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังไม่ค่อยคุ้นชิน
“เรียนท่านบัญชาการ ความดีความชอบเช่นนี้ ผู้น้อยไม่กล้ารับไว้! วีรบุรุษที่แท้จริงในศึกคราวนี้กลับมิใช่ข้า!”
ทันใดนั้นเองเหลียงเฟิงรวบรวมความกล้าโพล่งกล่าวออกมาทันที
กังชางหมิงที่ได้ยินเช่นนั้น พลันนึกไปว่าเหลียงเฟิงผู้นี้ขี้เกรงใจ รักความสันโดษเสียมากกว่า เขาจึงตบไหล่พลางรวนหัวเราะกล่าวว่า
“หุหุ หากมิใช่ความดีความชอบของเจ้า แล้วใครกันที่ควรรับไป? หากมิใช่เพราะเจ้าส่งคนมาแจ้งข่าวให้พวกเราล่วงรู้เตรียมการล่วงหน้า ปานนี้กำแพงทางตอนเหนือของเมืองคนถูกทำลายจนสิ้นซากไปแล้ว แม้ตาผู้บัญชาการคนนี้ยังอาจถูกกลบฝังลงดินเช่นกัน! ในขั้นต้น เจ้าได้ช่วยเหลือชีวิตพวกเราเอาไว้อยู่เบื้องหลัง!”
เมื่อเหลียงเฟิงได้ฟังดังนั้น เขาก็รีบกล่าวขึ้นทันทีว่า
“เรียนท่านผู้บัญชาการ ศึกคราวนี้มิอาจยกความดีความชอบให้ข้าคนเดียว แต่…แต่ยังมีใครคนอื่นที่อยู่เบื้องหลัง! หากมิใช่เพราะเขาคนนั้น บางทีกลุ่มของข้าอาจถูกทัพปีศาจที่แฝงตัวอยู่ในหุบเขาอัญเชิญปีศาจจัดการสิ้นไปแล้ว และตอนนั้นคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะส่งคนกลับมารายงาน”
กัวชางหมิงฉายแววประหลาดใจเมื่อได้ยิน จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“ยังมีใครอีกรึ?”
เหลียงเฟิงกล่าวตอบ
“เขามีนามว่า เย่หยวน เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่เดินทางผ่านหุบเขาอัญเชิญปีศาจ จากนั้น…”
เหลียงเฟิงเอ่ยกล่าวเล่าความทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้จัดเหน็ดไม่รู้จักเหนื่อย ช่วงเวลานั้นเองต่างทำให้ทุกคนต่างถอนหายใจต่อเนื่องไม่หยุด
ทำลายพลหน้าไม้และพลหอกอสูรมังกรที่อยู่แนวหลังโดยสิ้น ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็เปรียบดั่งตำนานอย่างใดอย่างนั้น
“เดิมทีข้าคิดว่า คงเป็นยอดเซียนของฝ่ายมนุษย์ที่เจตนาไม่เผยตัวช่วยเหลือเอาไว้ แต่ต่อมายิ่งคิดเท่าไหร่กลับยิ่งเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น! แท้ที่จริงแล้วคนที่สังหารหัวหน้าปีศาจทั้งห้าในตอนแรกก็คือ ชายหนุ่มที่ชื่อเย่หยวน! จากนั้นตอนที่เขาเอ่ยกล่าวว่าให้ข้าไปขอกำลังเสริมมา ทีแรกข้ายังคิดว่าสายเกินไปแล้ว แต่เขากลับพูดและย้ำกับข้าว่า กำลังเสริมจักต้องมาทันท่วงทีแน่นอน!”
เหลียงเฟิงเอ่ยอธิบายคำสันนิษฐานของเขาไป
กัวชางหมิงก่อนหน้ายังคงฉงนงุนงง ว่าเหตุใดกองกำลังของเผ่าปีศาจจากหนึ่งแสน กลับเหลือเพียงสามหมื่นนายได้?
พอได้ฟังเหลียงเฟิงเอ่ยอธิบายเช่นนั้น เขาก็รู้ตัวทันที
ในเวลานั้นเอง หวังเฟิงอี้เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงกล่าวเสริมไปว่า
“ที่เหลียงเฟิงกล่าวไปข้ารู้สึกว่ามันแปลกมาก! อันที่จริงแล้ว ตอนที่ทัพปีศาจบุกขึ้นมาทางตอนเหนือ พวกมันปีนไต่ขึ้นกำแพงเมืองหลายต่อหลายคน แต่ทหารปีศาจเหล่านั้นกลับอ่อนแอจนผิดปกติ ไม่สามารถต้านรับพวกเราได้เลยแม้แต่กระบวนโจมตีเดียว นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทางเหนือ พวกปีศาจแตกพ่ายออกไป! ต่อมาซิ่วเหล่ยออกโรงขึ้นรุกด้วยตนเอง ทว่าจู่ๆคล้ายว่าทัพหลังของพวกปีศาจเกิดความโกลาหลขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุจนทำให้ ซิ่วเหล่ยไม่สามารถระดมกำลังทหารได้เต็มที่ จนกลายเป็นช่องโหว่ให้พวกเราตอบโต้สวนกลับไปได้!”
เหลียงเฟิงยังกล่าวอีกว่า
“ข้าเองก็เห็นเช่นกัน ด้านหลังของกองทัพปีศาจมีศพพวกมันล้มตายกันเป็นจำนวนมาก พลหน้าไม้และพลหอกอสูรมังกรถูกทำลายไม่เหลือ แต่ข้ากลับไม่เห็นทหารของเมืองกระแสพิรุณสักคนในนั้น!”
ยิ่งพวกเขาสองคนพูดคุยกันมากเท่าไหร่ กัวชางหมิงก็ยิ่งตื่นตะลึงมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งหมดที่ได้ฟังมานี้เปรียบเสมือนนิยายยามค่ำคืนชัดๆ แต่การที่สถานการณ์พัฒนามาถึงจุดนี้ได้ คงไม่มีอะไรสมเหตุสมผลไปกว่าสิ่งที่พวกเขาเล่ากล่าวอีกแล้ว
อย่างไรก็ตามแต่ เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า สามารถต้านรับกองทัพปีศาจนับแสนได้อย่างไร?
นี่…นี่มันไม่เกินจริงไปหน่อยรึ?
“เย่หยวนคนนี้เป็นคนเช่นไรกัน? สามารถทำหลายสิ่งอย่างด้วยตัวคนเดียวได้จริงรึ?”
“สร้างเมฆขึ้นมาด้วยมือคนอื่น กลั่นเม็ดฝนด้วยมืออีกคน! เขาเพียงคนเดียวสามารถคุมชะตากรรมของสงครามได้! เรื่องแบบนี้แม้แต่ท่านกัวชางหมิงก็ยังไม่สามารถทำได้!”
“เย่หยวนผู้นี้อาจถูกสวรรค์ส่งมาเพื่อช่วยเหลือพวกเรา!”
“เหลียงเฟิงกล่าวว่า เย่หยวนเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า หรือเป็นไปได้ไหมว่า เขาจะบดขยี้กองทัพปีศาจได้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆ? ชายคนนี้…มีสามหัวหกแขนกระมัง?”
…
เหล่าทหารตกตะลึงหนักจนปิดปากไม่อยู่ ไม่มีใครคิดใครฝันเลยว่า วีรบุรุษเบื้องหลังผู้นี้ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน จะช่วยเหลือพวกเขาทั้งหมดไว้จริงๆ
กัวชางหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆและกล่าวว่า
“เหลียงเฟิง มิใช่ว่าผู้บัญชาการคนนี้ไม่เชื่อเจ้า แต่ความจริงที่เจ้ากล่าวออกมามันไม่น่าเชื่อเกินไป! ในเมื่อสหายน้อยแซ่เย่ผู้นั้นมีจุดประสงค์เข้าร่วมกองทัพ เช่นนั้นตอนนี้เขาอยู่ไหนเสียแล้ว?”
เหลียงเฟิงคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า
“หลังการต่อสู้จบลง ข้าเองก็คอยตามหาเขาอยู่เช่นกัน แต่จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่พบเขาเลย”
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นพลันปรากฏเสียงลั่นดังสนั่นขึ้นทั่วน่านนภาว่า
“วีรบุรุษลาจากไปแล้ว จงคุกเข่าขอขมาสามทีไปทางทิศตะวันออก!”
เสียงนี้มิใช่ว่าดัง แต่กลับดังก้องอยู่ในหูทุกคน
“ใครกัน?! ใครกันที่พูด?!”
“วีรบุรุษลาจากไปแล้ว? หรือเป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นเย่หยวน?”
“ทางทิศตะวันออกงั้นรึ? นั้นมิได้เป็นทิศทางหุบเขาอัญเชิญปัศาจหรอกรึ? แล้วเขาสามารถข้ามผ่านช่องเหวได้อย่างไร?”
“นี่เจ้าหูหนวกรึไงกัน? เหลียงเฟิงเพิ่งกล่าวไปหมาดๆเองว่า วีรบุรุษท่านนี้สามารถเคลื่อนที่เหาะเหินได้อย่างอิสระเหนือช่องเหว! เดี๋ยวก่อน…หรือเขากำลังข้ามไปยังเผ่าปีศาจ?!”
ทันทีที่ทุกคนตระหนักได้เช่นนี้ สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันเปลี่ยนไปทันที
สำหรับมนุษย์แล้ว การข้ามไปยังเขตแดนของเผ่าปีศาจเท่ากับความตาย นับเป็นสถานที่ต้องห้าม และไม่มีใครกล้าข้ามผ่านไปเลยสักคน
แต่สีหน้าการแสดงออกของกัวชางหมิงเปลี่ยนไปอย่างมาก พร้อมคุกเข่าโค้งขอขมาไปบนท้องนภาและกล่าวว่า
“เราต้องปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเจิ่นเยียน!”
“ท่านเจิ่นเยียน? ท่านเจิ่นเยียนเป็นใครกัน?”
“ข้าเคยได้ยินมาว่า ในเมืองกระแสพิรุณแห่งนี้มียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าประจำการอยู่! แต่ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย!”
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ในเมืองกระแสพิรุณจะมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าอยู่จริงๆ?!”
“หากมีการดำรงอยู่ระดับชั้นในเมืองจริง ไฉนเขาถึงไม่ออกโรงลงมือ ก่อนที่เราจะได้รับบสดเจ็บสาหัสปานนี้กัน?”
“ใช่แล้ว พวกเราถูกกำจัดเกือบพินาศย่อยยับ แต่กลับไม่เห็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าเคลื่อนไหวออกมาเลย!”
…
สุ้มเสียงนี้กระตุ้นทุกคนจนเกิดความโกลาหลขึ้นฉับพลัน
ตำนานเล่ากล่าวไว้ว่า ภายในเมืองกระแสพิรุณแห่งนี้ยังมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคอยปกป้องอยู่
แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันกลับกลายมาเป็นเพียงตำนานเท่านั้น
แน่นอนว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกขุ่นเคืองใจอย่างมาก ที่ไฉนยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าไม่ออกโรงช่วยเหลือ ทั้งๆที่เป็นศึกใหญ่ขนาดนี้?
สีหน้าการแสดงออกของกัวชางหมิงทมิฬมืดลงทันที เขาโพ่ลงคำรามลั่นน้ำเสียงขรึมว่า
“ทั้งหมดหุบปากเดี๋ยวนี้!”
บารมีของเขาต่อกองทัพทหารทั้งหมดสูงส่งเหลือเกิน เพียงเสียงคำรามเดียวก็เพียงพอทที่จะทำให้ทุกคนเงียบลงทันใด แต่บนใบหน้าของเขายังคงเปี่ยมล้นไปด้วยความไม่พอใจ
กัวชางหมิงกวาดสายตามองทุกคนและกล่าวน้ำเสียงเย็นว่า
“เมืองกระแสพิรุณมีท่านเจิ่นเหยียนผู้ซึ่งเป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคอยปกป้องอยู่! แล้วเป็นไปได้ไหมว่าทางฝ่ายปีศาจเองจะไม่มียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคุมอยู่เช่นกัน แล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร? ยามใดที่การดำรงอยู่ในระดับชั้นนี้ออกโรง จะไม่มีใครสักคนเหลือรอด! เช่นนั้นท่านเจิ่งเหยียนจึงเปรียบเสมือนปราการด่านสุดท้าย จะอยู่หรือจะรอดท่านเจิ่งเหยียนก็ขอพักพินาศไปพร้อมกับเมือง!”
ในที่สุดเสียงตะโกนแซ่ซ้องของทุกคนก็พลันเงียบลง
“ในตอนนี้ก็จงเชื่อฟังคำสั่งของท่านเจิ่นเหยียน! พวกเจ้าทั้งหมดจงฟัง หันหน้าไปทางทิศตะวันออกและคุกเข่าขอขมาสามครั้ง!”
พรึบ!
เมื่อกล่าวจบกัวชางหมิงก็คุกเข่าลงทันที
ตอนที่ 1474 ข่าวคราวของข่านนั่ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
มวลแสงโลหิตสาดกะพริบอันตรธานหายไปในป่าทึบ กลุ่มไอหมอกสีดำทมิฬค่อยๆรวมตัวขึ้นมาอีกครั้งเป็นร่างมนุษย์
“โชคยังดีนักที่ข้าไหวตัวทัน มิเช่นนั้นชะตาชีวิตนี้คงขาดสะบั้นสังเวยให้เมืองกระแสพิรุณไปแล้ว! อย่างไรก็ตาม…อาการบาดเจ็บของข้ารุนแรงเกินไป จำต้องพักฟื้นเป็นเวลาหลายสิบปี เคล็ดวิชาลับวิญญาณปีศาจ ผนึกรวม!”
ไอหมอกโลหิตเริ่มกลั่นรวมกันในร่างมนุษย์ นั้นยังใช่ใครอื่นได้อีกนอกเสียจากซิ่วเหล่ย
แต่ปัจจุบันซิ่วเหล่ยอ่อนแออย่างหาที่เปรียบไม่ ยามนี้ถือครองพลังน้อยกว่าหนึ่งในสิบจากทั้งหมด
ซิ่วเหล่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พึมพำเอ่ยขึ้นว่า
“ศึกสมรภูมิครั้งนี้ไร้ซึ่งเหตุผลเกินไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศัตรูที่แท้จริงมันเป็นผู้ใดกัน! อนาคต…ข้าคงเป็นเพียงวิญญาณที่แสนเดียวดาย!”
มิเพียงต้องทนทุกข์ทรมานจากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้เท่านั้น แม้ว่าซิ่วเหลายจะหนีรอดกลับไปได้ แต่ก็ยากนักที่จะรอดพ้นจากความตายเช่นกัน
หลังจากวันนี้เขาจำต้องปลีกวิเวกหนีทัพ กลายมาเป็นวิญญาณเร่ร่อนอันเดียวดาย ที่ค่อยๆเก็บตัวฟื้นฟูความแข็งแกร่งอย่างแช่มช้า
“ใครอยู่ตรงนั้น?!”
ทันใดนั้นเองพลันตรวจจับคลื่นความปั่นป่วนได้ภายในป่าทึบลึกลงไป ทันให้ซิ่วเหล่ยสดุ้งโหย่งในทันที
อีกร่างหนึ่งย่างสามขุมตรงออกมาอย่างสบายอารมณ์ รูม่านตาของซิ่วเหล่ยหดเล็กตีบตันหนัด ปรากฏว่าเป็นมนุษย์จริงๆ!
สีหน้าการแสดงออกของมันพลันแปรเปลี่ยนดูเย็นชาขึ้นทันควัน เมื่อเห็นว่ามนุษย์คนนั้นเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า คลื่นปั่นป่วนภายในใจพลันสงบลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามแต่ คู่สายตาของมันพลันจับจ้องเดือดดุในทันใด
มนุษย์คนนี้คือแหล่งอาหารเลือดชั้นเยี่ยมของมัน และช่วยให้มันฟื้นคืนพลังความแข็งแกร่งได้เร็วขึ้น!
“หึหึ เจ้าหนูมาถูกเวลาแล้ว!”
ร่างของซิ่วเหล่ยปราดพุ่งเข้าคลี่กรงเล็บหวังคว้าร่างอีกฝ่ายในบัดดล
วูบบ!
เสียงฉีกห้วงอากาศดังสะท้าน รูม่านตาของซิ่วเหล่ยหดแคบเท่ารูเข็ม ยามนี้เร่งปรี่ถอยแทบไม่ทันการณ์
บูมมม!
ด้วยความตกใจสุดขีด ซิ่วเหล่ยซัดฝ่ามือแลกปะทะกับคมดาบเบื้องหน้าออกไปโดยตรง
คู่สายตาของมันสาดสะท้อนความหวาดกลัวอย่างชัดเจน มนุษย์คนนี้น่าสะพรึงขวัญเกินไป มันเอ่ยเสียงขรึมทันทีว่า
“เจ้าเป็นใคร?!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางพลางกล่าวตอบไปว่า
“เจ้าอยากรู้มิใช่รึ ว่าศัตรูที่แท้จริงของเจ้าเป็นใคร?”
ลูกตาดำของมันหดเล็กถึงขีดสุด จับจ้องมองร่างเย่หยวนด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำดังว่า
“เป็นเจ้า? เป็น…เป็นไปไม่ได้! เด็กน้อยอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าอย่างเจ้า จะทำให้ทัพข้าพ่ายลงได้อย่างไร?! ไม่ เดี๋ยวก่อน…เจ้าคือไอ้เด็กนั้นที่โดดลงเหว! เจ้า…เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?!”
ซิ่วเหล่ยช้อนสายตามองไปที่เย่หยวนด้วยความตกตะลึง นอกจากนี้เขายังรู้สึกว่า เย่หยวนคนนี้ค่อนข้างคุ้นหน้านัก ก่อนพินิจวิเคราะห์ครู่หนึ่งจำได้ว่า เป็นหนึ่งในสองคนที่กระโดดลงเหวนั้นไปมิใช่หรือ?
ทั้งๆที่กระโดดลงเหวไปต่อหน้าต่อตา แต่ไฉนตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่!
ยิ่งไปกว่านั้น เด็กน้อยอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้ายังบอกด้วยว่า เขาคือศัตรูที่แท้จริงของศึกสมรภูมิในครั้งนี้!
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?
ซิ่วเหล่ยรู้สึกปวดเศียรอย่างหนัก คล้ายว่าเกินรับได้แล้ว นี่มันพ่ายให้แก่เด็กน้อยอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าจริงๆอย่างนั้นรึ?
เย่หยวนจับจ้องไปยังอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยถามเสียงเย็นว่า
“จะเชื่อหรือไม่กลับมิใช่เรื่องของเจ้า ตอนนี้ข้าถามส่วนเจ้าก็ตอบมา เจ้า…รู้จักข่านนั่วหรือไม่?”
ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ้งขั้นมีน้อยจนสามารถนับได้ในเมือง
แม้จะอยู่ในเมืองจักรพรรดิ แต่ยอดเซียนระดับชั้นนี้ย่อมมีชื่อเสียงอยู่บ้างเช่นกัน
ดังนั้นเย่หยวนจึงเอ่ยถามไปตามตรง
คู่สายตาของซิ่วเหล่ยแลดูจริงจังขึ้นทันที เขาเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้า…เจ้ารู้จักท่านข่านนั่วด้วยงั้นรึ? เขา…เขาหายตัวไปกว่าล้านปีแล้ว! ไม่สิ…เจ้ารู้จักนามของเขาได้อย่างไร?”
นัยน์ตาเย่หยวนสว่างวาบ เขายิ้มกล่าวว่า
“เจ้ารู้จักมันจริงๆ! หุหุ เช่นนั้นก็ดีแล้ว!”
เมื่อเห็นสายตาแปลกๆที่เย่หยวนจับจ้องมาทางมัน ซิ่วเหล่ยพลันตื่นกลัวขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้า…เจ้าต้องการอะไร?”
ซิ่วเหล่ยร่นถอยออกไปหลายก้าวติดต่อกันโดยมิตั้งใจ พลางเอ่ยวาจาเจือเสียงตระหนก
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“อะไรงั้นรึ? ขอยืมแกนวิญญาณปีศาจของเจ้ามาใช้ยังไงล่ะ!”
ซิ่วเหล่ยหรี่ตาหดแคบลงทันที มันโพล่งคำรามขึ้นอย่างเดือดดุว่า
“ฝันไปเถอะ!”
ทันทีท่าสิ้นเสียง ซิ่วเหล่ยก็แปรสภาพกลายเป็นไอหมอกโลหิตพยายามหนีออกไปทันที
ทว่าเย่หยวนกลับเร็วกว่ามันมาก!
หนึ่งกระบวนสยบดาราถูกปลดปล่อย คลื่นคมดาบเข้าชนกับไอหมอกโลหิตนั้นอย่างจัง
ร่างเย่หยวนไสววูบติดตามมาถึงตัว พร้อมใช้มือเข้าไปคว้าแกนลูกไฟออกมาโดยตรง นั่นเป็นวิญญาณปีศาจของซิ่วเหล่ย
คล้อยหลังสิบอึดใจต่อมา แกนลูกไฟแห่งวิญญาณปีศาจก็ค่อยๆดับสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นตายคาเงื้อมมือของเย่หยวน
เย่หยวนค่อยๆลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ฉายแววผิดหวังออกมา
ข่านนั่วเป็นทหารปีศาจขในยุคหนึ่งล้านปีก่อน ในขณะที่ซิ่วเหล่ยตนนี้เป็นเพียงทหารรุ่นน้องเท่านั้น
มันทราบเพียงว่าข่านนั่วได้รับคำสั่งมาจากท่านเจ้าเมืองหลวงคาโพน ให้เสาะหาพิกัดของพิภพยุทธ์จักรแห่งหนึ่ง ก่อนที่ในท้ายที่สุดมันจะหายตัวไป
และการหายตัวไปครั้งนี้ยังเป็นเวลากว่าล้านปี
เย่หยวนเก็บงำความคิดที่จะสืบเสาะเรื่องของข่านนั่วดู นั้นจึงเป็นเหตุผลที่เขาตรงเข้ามาขวางซิ่วเหล่ย แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะได้ปลิดชีพอีกฝ่ายได้ง่ายดายจริงๆ
ความเร็วของซิ่วเหล่ยกล่าวได้ว่าเร็ว แต่นั่นก็สำหรับอู๋เทียนเซียงและคนอื่นๆ
หลังจากที่เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลางแล้ว ความเร็วของดาบขี่ของเขาก็ยื่งเหนือชั้นมากกว่าเดิมเป็นหลากทวี ยิ่งเป็ยซิ่วเหล่ยที่บาดเจ็บหนัก มันหนีไม่พ้นเย่หยวนแน่นอน
ตึง!
ทั้งเหรียญตราและป้ายประจำตัวที่ติดประดับบนร่างกายของซิ่วเหล่ยร่วงกราวลงมา เช่นเดียวกับแหวนเก็บของและสิ่งจิปาถะอื่นๆ
เย่หยวนกวักมือระดมเรียกสิ่งเหล่านั้นไว้กับตัว
แต่ในขณะนั้นเอง เขามิได้ตรวจสอบสิ่งของนี้อยู่เฉยๆ แต่พลันเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นว่า
“ท่านอาวุโส ผู้เยาว์แลเห็นว่าเฝ้ามองอยู่แล้ว ไฉนไม่เปิดเผยตัวเองให้ประจักษ์เสีย?”
ร่างหนึ่งก้าวตรงออกมาอย่างแช่มช้า คู่ดวงตาสาดสะท้อนความประหลาดใจ ขณะเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“ดูเหมือนเราผู้นี้จะประเมินเจ้าต่ำเกินไป มันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่นักที่ซิ่วเหล่ยพ่ายลงภายใต้เงื้อมมือของเจ้า!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านอาวุโสมีส่วนช่วยอย่างมาก ทั้งยังต้องประจำการดูแลเมืองกระแสพิรุณ ออกมาหาผู้เชาว์เช่นนี้เป็นการส่วนตัวเกรงว่าจะมิใช่เรื่องลำบากเกินไป?”
ชายคนนี้หาใช่ผู้ใดอื่นนอกเหนือจากยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าที่อยู่ประจำเมืองกระแสพิรุณ เจิ่นเหยียน!
แต่เย่หยวนก็ทราบดีว่า เจิ่นเหยียนที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเพียงร่างปลอมเท่านั้น
ตัวจริงของเขาไม่กล้าออกห่างจากเมืองกระแสพิรุญได้เลยสักชั่วอึดใจเดียว
มิเช่นนั้นเย่หยวนจะกล้าพูดจาลวกๆเช่นนี้ได้อย่างไร?
หากเจิ่นเหยียนผู้นี้มีเจตนาร้ายอันใดต่อตัวเขา เย่หยวนกลับไม่สามารถทนรับผลที่ตามมาได้เช่นกัน
ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ที่หวูเฉินเข้ามาใกล้เมืองกระแสพิรุณ เขาก็จับการมีอยู่ของเจิ่นเหยียนได้แล้ว
ร่องรอยความประหลาดใจเผยปรากฏออกมาในแววตาคู่นั้นของเจิ้นเหยียน ขณะเอ่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า
“ดูเหมือนว่าเจ้าหนูคนนี้จะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งนัก! ข้าสงสัยเสียจริงว่าเด็กหนุ่มอย่างเจ้าปรากฏตัวขึ้นมาในเผ่ามนุษย์ได้อย่างไรกัน! ช่างเป็นเด็กที่น่ากลัวนัก!”
เย่หยวนยิ้มกล่าวว่า
“ท่านอาวุโสใจดีเกินไปแล้ว!”
เจิ้นเหยียนโบกมือปัดกล่าวว่า
“เจ้าไม่จำต้องสุภาพกับข้าจนเกินไปนัก ศึกสมรภูมิครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ข้าขอเป็นตัวแทนของเมืองจักรพรรดิธารนิรันร์ และขอขอบใจเจ้าจากใจจริง!”
ขณะที่กล่าว เจิ้นเหยียนก็ยกมือขึ้นประสานให้เย่หยวน นี่ถือเป็นการให้ความเคารพต่อเย่หยวนเป็นอย่างสูง
แม้นี่จะเป็นเพียงร่างปลอม แต่ถึงอย่างไรเจิ้นเหยียนก็ยังเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าตัวจริงเสียงจริงผู้หนึ่ง
การจะให้อีกฝ่ายทำเช่นนี้กลับหาใช่เรื่องง่ายเลย
เย่หยวนกล่าวตอบไปว่า
“ท่านอาวุโสสุภาพเกินไปแล้ว ข้าในฐานะสมาชิกของเผ่ามนุษย์ ย่อมต้องช่วยเหลือมิตรสหายเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นเดียวกัน”
เจิ้นเหยียนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ดูจากลักษณะเจ้าแล้ว คงต้องการเดินทางไปยังดินแดนของพวกปีศาจกระมัง?”
เย่หยวนหาได้มีเจตนาปกปิดเช่นกัน จึงพยักหน้ากล่าวตอบไปตามตรงว่า
“ผู้เยาว์มีเรื่องส่วนตัวจำต้องสะสาง การเดินทางครั้งนี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้”
เจิ้นเหยียนกล่าวว่า
“เจ้าทราบหรือไม่ว่า มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดของดินแดนแห่งนี้ แม้แต่เราคนนี้ยังไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปยังดินแดนปีศาจ เช่นนั้นเจ้า…”
วาจาคำกล่าวของเจิ้งเหยียนกลับพูดไม่จบ แต่ความหมายก็ค่อนข้างชัดแจ้งดีแล้ว
พลังความแกร่งกล้าของเจ้ายังอ่อนแอเกินไป เจ้าไม่ควรเดินทางไปยังดินแดนของเผ่าปีศาจ!
แต่เย่หยวนกลับยิ้มกล่าวตอบไปว่า
“ผู้เยาว์ทราบดี ดังนั้นจึงมีวิธีป้องกันตนเองให้พ้นภัย จึงไม่น่าเป็นปัญหา”
เจิ้นเหยียนจับจ้องเย่หยวนแลดูจริงจังขึ้นถนัดตา ก่อนกล่าวว่า
“เช่นนั้นข้าจะไม่รั้งเจ้าอีกต่อไป การเดินทางต่อจากนี้ขอให้เจ้าระมัดระวังตัวให้มากขึ้น!”
เย่หยวนพยักหน้าตอบและเดินจากไป
เหนือเหวสนามแม่เหล็ก เย่หยวนกำลังก้าวย่างออกไปอย่างแช่มช้าไม่ยากเย็น ทันใดนั้นได้ยินเสียงดังลั่นสั่นสะท้านมาจากทิศทางของเมืองกระแสพิรุณ
“พวกเราเมืองกระแสพิรุณ ขอขอบคุณท่านวีรบุรุษเย่ที่ให้การช่วยเหลือชีวิต!”
“พวกเราเมืองกระแสพิรุณ ขอขอบคุณท่านวีรบุรุษเย่ที่ให้การช่วยเหลือชีวิต!”
“พวกเราเมืองกระแสพิรุณ ขอขอบคุณท่านวีรบุรุษเย่ที่ให้การช่วยเหลือชีวิต!”
ตอนที่ 1475 สู่ดินแดนใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองคาโปนเป็นเมืองหลวงทางตอนเหนือสุดแห่งเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ทางการทหารด้วย
ศึกใหญ่ของเมืองกระแสพิรุณที่เพิ่งผ่านพ้นไป เหล่าทัพอสูรออกเคลื่อนพลจากเมืองแห่งนี้
“โอ้ หนุ่มหล่อ สนใจค้างแรมกับพี่สาวสักคืนหรือไม่?”
“หุหุ เด็กหนุ่มคนนี้ช่างหล่อเหลาจริงๆ พี่สาวหลงเสน่ห์เข้าแล้ว มากับพี่สาวเถอะ”
“ไสหัวไปให้หมด! พวกเจ้าหรืองดงามนักหนา คิดจะเปรียบเคียงกับแม่ผู้นี้? หนุ่มน้อยไปกับข้า!”
…
บริเวณ ณ ประตูเมืองคาโปนยามนี้เกิดความโกลาหลอย่างหนัก มีหญิงสาวจำนวนเจ็ดถึงแปดคนกำลังเข้ารายล้อมชายหนุ่มหล่อคนหนึ่ง
สตรีเผ่าปีศาจช่างแตกต่างจากสตรีของเผ่ามนุษย์โดยสิ้นเชิง พวกนางมีอิสระเปิดกว้าง ไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ
เกี่ยวกับเรื่องระหว่างหญิงชาย พวกนางไร้ซึ่งความเขินอายเมื่อกล่าวถึงมัน
หากใครเปรียบเทียบ พวกนางล้อมรอบชายหนุ่มคนนี้ราวกับน้ำผึ้งหวานกับฝูงผีเสื้อ
บุรุษเพศของเผ่าปีศาจโดยส่วนใหญ่น่าเกลียดแถมยังดุร้าย ดังนั้นเมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามปรากฏตัวขึ้น พวกนางจึงให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มที่ถูกหญิงสาวรายล้อมอยู่ในขณะนี้มีใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นยิ่ง หากนำไปเปรียบกับชายคนอื่นๆ กล่าวได้ว่าอยู่คนละระดับโดยสิ้นเชิง
แต่ใบหน้าของชายคนนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเย่หยวนนัก
ถูกต้องแล้ว ชายหนุ่มคนนี้คือเย่หยวนที่เหาะเหินข้ามเหวสนามแม่เหล็กมา และลอบเร้นแฝงตัวในเผ่าปีศาจ!
ร่างกายของเย่หยวนในปัจจุบันแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้ามาก ใบหน้าของเขาปรากฏร่องรอยความชั่วร้ายมากขึ้น
เขาในยามนี้ดูราวกับกระหายเลือดอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่เย่หยวนฆ่าซิ่วเหลยทิ้งไป เขาก็พบวรยุทธบ่มเพาะปีศาจภายในแหวนเก็บของของมัน
จากนั้นเย่หยวนได้ใช้บัญญัติเทพแห่งถงเทียนเพื่อใช้งานวรยุทธบ่มเพาะปีศาจ ทำให้พลังปราณเทวะทั้งหมดในร่างกาย แปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณปีศาจ
บัญญัติเทพแห่งถงเทียนครอบคลุมทุกศาสตร์แขนง มันสามารถเปลี่ยนรูปแบบพลังงานได้ตามใจนึก
เรื่องความสามารถนี้ เย่หยวนค้นพบมาได้นานแล้ว
เย่หยวนค้นพบว่าพลังปราณเทวพในร่างกายของเขา ดูเหมือนจะอยู่ในระดับสูงกว่าคนทั่วไป
ตราบใดที่เขาตั้งใจที่จะเลียนแบบวรยุทธบ่มเพาะพลังใด เขาย่อมทำได้ตามอิสระเสรี
ปัจจุบันเย่หยวนปลดปล่อยรัศมีพลังปีศาจอันดิบเถื่อนชโลมทั่วร่าง ทำให้เขาไม่ต่างอะไรจากปีศาจทั่วไปเลย
ต่อให้เป็นพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า แท้จริงแล้วเย่หยวนเป็นมนุษย์
แต่ภาพฉากนี้กลับสร้างความไม่พอใจให้แก่เหล่าชายหนุ่มเผ่าปีศาจมิน้อย
“เหอะ เจ้าหนุ่มหน้าสวย ข้าขอท้าทายเจ้า!”
ชายหนุ่มผู้โหดเหี้ยมตนหนึ่งตรงเข้ามาท้าเย่หยวนโดยตรง
“สวรรค์ หลางเก๋อ เจ้าเป็นแม่ทัพปีศาจสองดาวขั้นสุด แต่กลับต้องการท้าทายพ่อหนุ่มสองดาวชั้นกลาง เจ้าไม่ไร้ยางอายเกินไปหน่อยรึ?”
สตรีเผ่าปีศาจตนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ
การแบ่งขั้นระดับพลังของเผ่าปีศาจนั้นเหมือนกับของเผ่ามนุษย์ แต่ชื่อเรียกและเงื่อนไขกับแตกต่างกันออกไปบ้าง
ไล่จากระดับต่ำไปสูง ระดับชั้นทางการทหารแบ่งได้ดังนี้
แม่ทัพปีศาจ, จอมทัพปีศาจ, จ้าวทัพปีศาจ, ราชาปีศาจ, จอมราชันปีศาจ, จักรพรรดิปีศาจ และจักรพรรดิเทพสวรรค์แห่งเผ่าปีศาจ!
อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าของมนุษย์เทียบเท่าได้กับแม่ทัพปีศาจ
หลางเก๋อคนนี้เป็นแม่ทัพปีศาจสองดาวขั้นสุด ซึ่งเท่ากับว่ามันมีพลังอยู่ที่อาณาจักรปัจฉิมพระเข้าขั้นสุด!
หลางเก๋อจับจ้องหญิงสาวนางนั้นและกล่าวเสียงเย็นว่า
“หัวหรง เมื่อวานเจ้ายังชื่นชมข้าว่าเป็นวีรบุรุษอยู่หมาดๆ ทว่าตอนนี้เจ้ากลับชอบพอชายหนุ่มหน้าสวยตัวนี้จริงๆ! บิดาเถอะ ข้าจะระเบิดหัวมันภายในหมัดเดียว! และทำให้เจ้ารู้ว่าใครกันแน่คือวีรบุรุษ!?”
หญิงสาวเผ่าปีศาจนางนั้นฉีกยิ้มกว้างกล่าวตอบว่า
“หลางเก๋อ เจ้าคงมิได้มีความคิดเหมือนมนุษย์กระมังที่ว่า สามีภรรยาอยู่กินร่วมกันตลอดไป? เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน วันนี้ก็ส่วนวันนี้! ใช่หรือไม่พ่อหนุ่มหล่อ?”
ทันทีที่หลางเก๋อได้ยินเสียงออดอ้อนเสียงหวานที่สตรีนี้มอบให้แก่เย่หยวน ภายในใจของมันก็เปี่ยมล้นไปด้วยความหึงหวง มันคำรามลั่นอย่างโกรธเกรี้ยวว่า
“เจ้าหนุ่มหน้าหวาน จงยอมรับคำท้าทายของข้าซะหากเจ้ายังเป็นบุรุษเพศ! เจ้าเป็นสุภาพบุรุษที่ไหนกันถึงเอาแต่หลบหลังผู้หญิงเช่นนี้? โอ้ เข้าใจแล้ว แท้ที่จริงเจ้าหาใช่ผู้ชายไม่ แจ่เป็นจิโกโลกระมัง? ฮ่าๆๆๆ….”
“ฮ่าๆๆๆ”
“หลางเก๋อ! เจ้าคงไม่คิดรังแกคนอื่นในที่แห่งนี้? เขาเป็นเพียงแม่ทัพปีศาจสองดาวชั้นดลาง เขาจะเป็นคู่มือของเจ้าได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว หัวหรงนางนี้อาจต้องการเปลี่ยนอารมณ์เสียบ้าง เมื่อนางเล่นกับเจ้าหนุ่มหน้าหวานนี่จนเบื่อแล้ว เดี๋ยวนาง็กลับมาหาเจ้าเอง!”
“ชายหนุ่มเผ่าปีศาจที่หน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ นอกเหนือจากท่านไคซินแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็หน้าตาพื้นๆ แต่แจกันไร้ประโยชน์เช่นนี้ เพียงสัมผัสครั้งเดียวอาจแตกได้ง่ายๆ หลางเก๋อ เจ้าควรอนุรักษ์ไว้!”
…
คลื่นเสียงหัวเราะล้อเลียนดังลั่นรอบตัวเย่หยวน
แท้ที่จริงแล้ว เย่หยวนไม่ต้องการยุ่งย่ามกับเรื่องราวพวกนี้เลย เพียงว่าการปรากฏตัวของชายหนุ่มเผ่าปีศาจตนนี้ ทำให้เขาทนดูอยู่เฉยๆไม่ได้
ต่อให้เย่หยวนอยู่ในเผ่ามนุษย์ แต่ก็ถือได้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเช่นกัน
ทันทีทันใดจิตใจเย่หยวนพลันสั่นสะท้านปั่นป่วนขึ้นโดยพลัน
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งควบม้าทะยานเข้ามาในเมือง หนึ่งในผู้นำขบวนมาเป็นหญิงสาวท่าทีเยือกเย็นและดูสูงส่งนัก
เหล่าหญิงสาวทั่วไปของเผ่าปีศาจ เนื่องด้วยวรยุทธบ่มเพาะพลังของพวกนาง โดยส่วนใหญ่จึงทำให้พวกนางมีหน้าตาที่สวยและงดงามยิ่ง รวมไปถึงโฉมสะคราญ ทรวดทรงองค์เอวโค้งเว้าเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์
แต่หญิงสาวผู้เยือกเย็นนางนี้กลับดูต่างออกไป กับผู้หญิงของเผ่าปีศาจคนอื่นๆมาก
ท่าทีของนางดูมิได้อ่อนโยนและมนุษย์สัมพันธ์ดีอย่างผู้หญิงคนอื่นๆ หาได้มาดอารมณ์ตันหาอย่างพวกนาง ในทางตรงข้ามความงามของนางสุดจะพรรณนาได้ เจือกลิ่นอายสาวห้าวดิบเถื่อนเล็กน้อย
ในขณะที่นางผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น หญิงสาวที่ล้อมรอบเย่หยวนต่างหน้าซีดลงทันที
“แม่นางหลี่จี นาง…นางช่างงดงามนัก! ข้าเต็มใจกลายเป็นผีเพื่อเข้าใกล้ตัวนาง!”
เหล่าชายหนุ่มเผ่าปีศาจต่างกระซิบคุยกัน
ผัวะ!
ทันใดนั้นทุกคนต่างได้ยินเสียงแส้ตีกระทบคมชัด ศีรษะของชายหนุ่มเผ่าปีศาจตนนั้นระเบิดออกมาทันทีราวกับแตงโม แม้แต่แกนวิญญาณปีศาจของมันยังดับสลายในพริบตาเช่นกัน นี่กล่าวได้ว่าตายยิ่งกว่าตาย!
“อยากเป็นผีนัก ข้าย่อมสนองให้!”
เสียงเย็นสุดชืดชาของหลี่จีดังออกมา
เมื่อทุกคนพบเห็นภาพฉากนี้ต่างปิดปากเงียบสงัดทันทีดุจจักจั่นท่ามกลางฤดูหนาว
ทันทีที่กล่าวจบ หลี่จี้ก็ควบม้าค่อยๆตรงเข้าเมืองต่อทันที
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนมืดขรึมลงเล็กน้อยและกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า
“รนหาที่ตาย!”
หลางเก๋อสะดุ้งตื่นตะลึงเล็กน้อย ทราบทันทีว่าประโยคนี้เย่หยวนกำลังกล่าวกับตน
“เหอะ เหอะ เจ้าหนุ่มหน้าหวานของเรากำลังโกรธแล้ว! ข้าย่อมหลีกทางให้หากเจ้ามีความสามารถพอ ยอมรับคำท้าทายของข้าเสียแต่โดยดี! ฮ่าๆๆ…”
หลางเก็อกล่าวขึ้นพร้อมระเบิดหัวเราะดังลั่น
เย่หยวนเค้นเสียงเย็นเอ่ยตอบว่า
“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายขนาดนี้ เช่นนั้นข้าย่อมสนองตามปรารถนา!”
ทันใดนั้นเองทั่วกายาเย่หยวนพลันปะทุพลังปีศาจสุดน่าสะพรึงกลัวออกมา ร่างไสววูบแปรเปลี่ยนเป็นประกายเงา ปราดพุ่งเข้าหาหลางเก๋อโดยตรง
ทีแรกหลางเก๋อยังคงรวนหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ แต่ทันทีที่เย่หยวนเคลื่อนไหว สีหน้าการแสดงออกของมันพลันเปลี่ยนไปทันที!
เร็วมาก!
อย่างไรก็ตามแต่ หลางเก๋อก็เป็นถึงแม่ทัพปีศาจสองดาวขั้นสุด ไม่ว่าอันใด สุดท้ายความแข็งแกร่งของมันก็มิอาจประเมินได้
สายตาเข้าจับจ้องเย่หยวนแปรเปลี่ยนเป็นความตั้งใจขึ้นถนัดตา เขากระชับกำปั้นซัดเข้าใส่เย่หยวนเต็มแรง
บูมมม!
ร่างทั้งสองเข้าปะทะกันปราศจากความเกรงกลัวใดๆ ร่างของหลางเก๋อกระเด็นออกไปดั่งถูกม้าดีดปลิวออกไปโดยตรง แต่ในขณะที่ร่างของเย่หยวนกลับไม่เคลื่อนขยับแม้แต่นิ้วเดียว
เมื่อเหล่าหญิงสาวโดยรอบเห็นดังนั้น สายตาที่จับจ้องพลันสาดสะท้อนความประหลาดใจอยู่เปี่ยมล้น
พวกเขาทั้งหมดล้วนคิดว่าเย่หยวนเปรียบดั่งแจกันดอกไม้ แต่ใครจะไปคิดว่า ความแข็งแกร่งของเขากลับน่าเกรงขามโดยแท้!
สองดาวชั้นกลางสามารถโค่นสองดาวขั้นสุดได้จริงๆ!
ยังไม่ทันที่ร่างของหลางเก๋อจะตกถึงพื้น ทันทีทันใดร่างเย่หยวนกลับกระตุกวูบไสวพุ่งเข้าใส่อีดครั้ง!
โผ่ละ!
หัวของหลางเก๋อระเบิดเป็นเสี่ยงโดยตรง แกนวิญญาณปีศาจของมันถูกบดขยี้แหลกเละไม่เหลือดีโดยจิตสังหารจากดาบของเย่หยวน
ภายใต้ทุกสายตาที่จับจ้องเจือล้นประหลาดใจ เย่หยวนค่อยๆเก็บดาบลงและย่างกรายเข้าเมืองไปอย่างแช่มช้า
เหล่าอิสตรีเผ่าปีศาจมีหรือจะทานทนต่อเสน่ห์ของเย่หยวนได้ไหว ทันใดนั้นพวกนางสะดุ้งได้สติขึ้นทันที สีหน้าการแสดงออกดูหลงใหลอย่างหาที่เปรียบไม่ และรุมติดตามเย่หยวนไปติดๆราวกับฝูงผึ้งรุมตอมน้ำผึ้งหวาน
“ไม่เพียงมีดีแค่ความหล่อและดูดีเท่านั้น แต่เขายังทรงพลังน่าเกรงขามนัก นี่มันเจ้าชายในฝันข้าเลย!”
“นี่มันผู้ชายของข้า! หลางเก๋อนี่ช่างอ่อนแอแค่พยายามฉายแววให้ตนเองดูดีเท่านั้น ทว่าความเป็นจริงกลับไร้ประโยชน์!”
“ทั้งหล่อทั้งเท่นัก! ข้าหัวหรงหลงรักท่านหัวปักหัวปำแล้ว! ให้พี่สาวคนนี้เถิด!”
ตอนที่ 1476 พบกันอย่างไม่คาดคิด!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หลบไป!”
สีหน้าของเย่หยวนทมิฬมืดลงทันทีขณะตะโกนไล่เหล่าอิสตรีเผ่าปีศาจเหล่านั้นอย่างเย็นชา
จิตสังหารสีเย็นแผ่ซ่านออกมาจนล้นปรี่ เหล่าสตรีเผ่าปีศาจพวกนั้นล้วนหน้าถอดสีซีดขาวอย่างหนักราวกับแผ่นกระดาษบาง และร่นถอยออกมาทันทีอย่างไม่สมัครใจนัก
หากเป็นก่อนหน้า พวกนางคงไม่ถือสาเย่หยวนแน่นอน ในทางตรงข้ามเห็นอารมณ์ดุดันเช่นนี้ คงตรงปรี่เข้าไปจีบแทน
ทว่าตอนนี้ เย่หยวนที่สังหารหลางเก๋อได้ภายในสองกระบวนกาย ใครยังกล้าขัดขืนเขาอีก?
เหล่าอิสตรีเร่งปิดทางให้เย่หยวนเดินผ่ากลางออกไปทันทีมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง
บนดินแดนของเผ่าปีศาจการฆ่าฟันกันบนท้องถนนนับเป็นเรื่องปกติมาก เหล่าผู้คุมเมืองต่างไม่มีเวลามาเหลียวมองหรือใส่ใจ
ดินแดนของเผ่าปีศาจย่อมเป็นสถานที่เช่นนี้ ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง นี่คือกฎการมีชีวิตรอด
ตราบใดที่แข็งแกร่งพอก็จะได้รับความเคารพยอมรับจากคนอื่นๆ
แต่หากอ่อนแอผลลัพธ์สุดท้ายไม่ยอมแพ้ก็ยอมตาย ง่ายดายเรียบง่ายเท่านี้
ดังนั้นเย่หยวนจึงไม่เก็บเรื่องนี้มาคิดมากแต่อย่างใดสำหรับที่ฆ่าหลางเก๋อไป
เย่หยวนที่กำลังเดินทางเข้าเมืองอยู่นั้นเอง จู่ๆก็มีชายชราคนหนึ่งตรงออกมาขวางทางเดินของเขาไว้
“สหายน้อย ประมุขตระกูลของเราเล็งเห็นว่า เจ้ามีทักษะฝีมือค่อนข้างดี และอยากจะเชิญให้เจ้าเข้าร่วมตระกูลฟาง ข้าสงสัยว่าเจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
ชายชราเอ่ยถามเข้าประเด็นในทันที
เย่หยวนกวาดสายตาจับจ้องอีกฝ่ายและกล่าวเสียงเรียบขึ้นมา
“โอ้? มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง?”
ภายในเมืองของเผ่าปีศาจ พวกเขาต้องการปีศาจที่มีความแข็งแกร่งและความสามารถเข้าร่วมฝักฝ่ายตนเอง มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกกลุ่มอำนาจอื่นกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
พอเดินเข้าเมืองมาในวันนี้ คนที่เห็นพบหน้าคุ้นตาอาจกลายเป็นศพได้ในวันต่อมา
สองหมัดมิอาจต่อกรสี่มือ ไม่ว่าความแกร่งกล้าจะไร้เทียมทานเพียงใด แต่ก็มิอาจสู้กับจำนวนที่มากกว่าได้เช่นกัน
ในเมืองหลวงแห่งนี้มิได้ขาดแคลนเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า ยามใดที่เย่หยวนบังเอิญวิ่งชนกับพวกเขา นั้นอาจชะตาขาดได้แน่นอน
ชายชรายิ้มและกล่าวว่า
“ความแข็งแกร่งของสหายน้อยโดดเด่นเป็นอย่างมาก สามารถสังหารแม่ทัพปีศาจสองดาวขั้นสุดได้ ในขณะที่เจ้าอยู่แค่สองดาวชั้นกลาง นับได้ว่าโดดเด่นกว่าอาคันตุกะคนอื่นๆ ตราบใดที่เจ้ายอมเข้าร่วมกับตระกูลฟาง ทางเราขอสัญญาจะตอบแทนรางวัลมากกว่าเป็นสองเท่าของอาคันตุกะสองดาวขั้นสุดทั่วไป!”
เย่หยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่สายตาของเขากลับมองไปทางหลี่จีที่อยู่บนหลังม้า
หลี่จีนางนี้ดูเหมือนจะให้ความสนใจกับเหตุวุ่นวายก่อนหน้ามาโดยตลอด เมื่อเห็นเย่หยวนเงยหน้าขึ้นมอง พลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นประดับบนใบหน้าของนาง
ความงดงามของนางนี้ดูจัดจ้านและดุกัน ทว่าใครเห็นต่างปฏิเสธไม่ลง!
“หุหุ สตรีเผ่าปีศาจนางนี้ช่างมีเสน่ห์เสียจริงในตอนที่นางยิ้ม!”
เย่หยวนถอนหายใจเล็กน้อยพร้อมความหวั่นไหวภายในใจ
เย่หยวนต้องยอมรับตามตรงเลยว่า หลี่จีนางนี้มีความงามที่มิได้ด้อยไปกว่าสตรีงามของเผ่ามนุษย์เลย
เย่หยวนครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ากล่าวว่า
“ตกลง! แต่ข้ามีข้อแม้!”
ชายชรายิ้มตอบว่า
“ข้อแม้อย่างไร อย่าได้ลังเลที่จะกล่าว?”
เย่หยวนเอ่ยปากขึ้นว่า
“ข้าต้องการทาสห้าคน!”
ขณะที่ชายชราได้ยินแบบนั้น เขาก็หัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ทีแรกข้าก็สงสัยว่าเป็นข้อแม้แบบใด ในเรื่องนี้ต่อให้เจ้าไม่กล่าว ทางเราก็มีจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้วสำหรับอาคันตุกะตระกูลฟาง โดยปกติจะมอบทาสให้คนละสาม แต่ของเจ้าขอเป็นห้าย่อมไม่มีปัญหา!”
เย่หยวนพยักหน้าและชี้นิ้วไปที่ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในกลุ่มคนของหลี่จี
“เข้าใจแล้ว แต่…ข้าต้องการชายคนนี้!”
ชายชราเหลียวหลังกลับไปมอง ก่อนจะเผยสีหน้าลำบากใจขึ้นทันใด
“เอ่อ…แม้เขาจะเป็นทาส แต่เขาก็เป็นหนึ่งในองครักษ์ของคุณหนูหลี่จี และเขาคนนี้เองก็ได้รับความไว้วางใจจากคุณหนูมาก นี่…นี่คงไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?”
เย่หยวนแสยะยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เฮ้ออ…นี่หรือความจริงใจที่ท่านมีให้? ข้าทราบดีว่าตระกูลฟางมีขุมกำลังแข็งแกร่งดีอยู้แล้ว แต่ข้าคนเดียวคงไม่สำคัญขนาดนั้น! มิอาจยอมรับเงื่อนไขเล็กน้อยได้ เช่นนั้นขอลา!”
เมื่อกล่าวจบเย่หยวนพลันโบกมือลาจากออกไปทันที
ทันใดนั้นพลันปรากฏโฉมสะคราญร่างบางตรงเข้ามาขวางทางเย่หยวนเอาไว้ และแน่นอนนางก็คือ หลี่จี
ดวงเนตรคู่สวยของนางจับจ้องมาที่เย่หยวน และกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“เพียงทาสเผ่าอสูรตัวเดียว ไหนเลยจะมอบให้ไม่ได้? นี่ถือเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้แก่เจ้า รับไปเถิด”
สำหรับเผ่าปีศาจแล้ว เผ่ามนุษย์และเผ่าอสูรไม่ว่าก่อนหน้าจะมีฝีมือเลิศล้ำเพียงใด แต่สุดท้ายก็ยังเป็นชนชั้นต่ำสุดอยู่ดีในดินแดนเผ่าปีศาจหรือก็คือเป็นทาสนั้นเอง
เย่หยวนรวนหัวเราะดังขึ้นและกล่าวว่า
“ยังคงเป็นคุณหนูหลี่จีที่จริงใจตรงไปตรงมา ข้า บรรพกาลราตรี จะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวัง! เพียงว่าตอนนี้ข้ามีธุระจำต้องไปทำ ชายคนนี้อยู่ภายใต้การปกครองของข้า และข้าเองก็ต้องการสหายที่มีประสบการณ์เช่นกัน ในการจัดการเรื่องต่างๆ”
บรรพกาลราตรีเป็นชื่อที่เย่หยวนตั้งขึ้นเองเมื่อมาถึงเผ่าปีศาจ
ชื่อเย่หยวนกลับดูผิดแปลกไปจากเผ่าปีศาจเกินไป
หลี่จียิ้มกล่าวว่า
“หลี่จีเข้าใจแล้ว! ความแข็งแกร่งของท่านช่างน่าทึ่งยิ่งนัก ในอนาคตต่อไป ข้าจำต้องเพิ่งพาท่านแล้ว”
เย่หยวนกวาดสายตามองไปโดยรอบ เอ่ยกล่าวรวนหัวเราะขึ้นว่า
“คุณหนูหลี่จี เห็นสีหน้าการแสดงออกของคนพวกนี้หรือไม่? การที่ข้าได้รับใช้คอยอยู่เคียงข้างคุณหนูหลี่จี ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกอิจฉาไม่รู้จบ! เราบรรพกาลราตรีเองก็เป็นบุรุษเพศเช่นกัน ดังนั้นการได้เข้ามารับใช้คุณหนูหลี่จี นับเป็นเกียรติของข้าแล้ว!”
แต่หลี่จีที่ได้ยินเช่นนั้นกลับยิ้มกว้างและกล่าวว่า
“ท่านบรรพกาลราตรีรู้จักวิธีสนทนาเอ่ยวาจาเสียจริง เอาล่ะกลับไปยังตระกูลฟางกันเถอะ”
เผ่าปีศาจย่อมชื่นชมและยกย่องผู้ที่แข็งแกร่ง และความแข็งแกร่งของเย่หยวนเองก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งดีแล้วในสายตาของหลี่จี นอกจากนี้รูปลักษณ์ใบหน้าของเย่หยวนยังช่างหล่อเหลานัก อิสตรีเผ่าปีศาจอย่างนางเองพลันรู้สึกลุ่มหลงไปตามๆกัน
น้ำแข็งอันงดงามเปรียบเสมือนบุปผาแรกแย้มบานออกเช่นกันในเวลานี้
สายตาของผู้คนโดยรอบต่างมองเย่หยวนด้วยความอิจฉา
ภายในเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้ ผู้ที่สามารถทำให้แม่นางหลี่จียิ้มหัวเราะได้อย่างมีความสุขกลับมีไม่มากนัก!
เห็นได้ชัดว่าเย่หยวนสามารถทำให้นางยิ้มได้
เพื่อสักคนที่จะมีโอกาสได้พูดคุยกับแม่นางหลี่จีอย่างสนุกสนานเช่นนี้ พวกเขาย่อมแลกชีวิตตัวเองกับความตาย!
หลี่จีนนำทาสคนนั้นออกมาและกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ในอนาคตต่อไป เจ้าต้องติดตามท่านบรรพกาลราตรี!”
ทาสคนนั้นโค้งคำนับและกล่าวว่า
“รับทราบคุณหนูหลี่จี หลงซานคาราวะนายท่าน!”
คู่ดวงตาของเย่หยวนหรี่แคบลงเล็กน้อย รอยยิ้มบางที่ยากจะสังเกตเห็นพลันกระตุกขึ้นเล็กน้อยบนมุมปาก
หลี่จีคว้าเอาตราสัญลักษณ์ออกจากหว่างคิ้วของนาง และมอบให้แก่เย่หยวนและกล่าวว่า
“นี่คือตราประทับทาสของหลงซาน ในอนาคตต่อจากนี้ เขาเป็นของท่านแล้ว”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ขอบพระคุณอย่างมากสำหรับความเมตตาของคุณหนูหลี่จี เขาคนนี้ดูค่อนข้างฉลาด ข้าจึงตัดสินใจเลือกเขาทันทีที่แรกเห็น”
หลีจี่ยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านบรรพกาลราตรีมีสายตาที่เฉียบคมนัก ในบรรดาองครักษ์ทั้งหมดของข้า เขาฉลาดที่สุดแล้ว”
เย่หยวนดูพึงพอใจมากเช่นกันที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนรับคำอย่างสุขใจ
ในเผ่าปีศาจการเจียมเนื้อเจียมตัวกลับไม่เคยถูกมองว่าเป็นมารยาท ในทางตรงข้ามมันกลับเป็นการดูถูกเสียมากกว่า
ด้วยความแข็งแกร่งที่ถือครอง คนเราจะสามารถหยิ่งผยองได้ตามต้องการ!
เพราะแข็งแกร่งจึงสามารถยืดอกรับคำชมของอีกฝ่ายได้อย่างภาคภูมิ
ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่ง!
หลักจรรยาบรรณและศีลธรรมทั้งหลายล้วนเป็นขยะในดินแดนเผ่าปีศาจ
“ท่านบรรพชนราตรี กลับไปหาตระกูลฟางกันเถอะ!”
หลี่จีควบทะยานม้านำกลุ่มคนกลับไปยังตระกูลฟางทันที
ตระกูลฟางเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองคาโปน ขุมกำลังความแกร่งกล้านับว่ายิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก
หลี่จีเป็นบุตรสาวสุดที่รักของตระกูลฟาง ความงดงามของนางนับเป็นระดับแนวหน้าของเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้ ซึ่งชื่อเสียงในด้านนี้ต่างได้รับคำชื่นชมจากเหล่าปีศาจมากมาย
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนกลับมิได้หลงเสน่ห์ของหลี่จีเลย นั้นมิใช่เหตุผลที่เขาย่อมเข้าร่วมกับตระกูลฟาง
ในความเป็นจริง ที่เย่หยวนฆ่าอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยมเช่นนั้น เพราะเขาจงใจสำแดงความแข็งแกร่งของตนให้หลี่จีได้เห็น
แน่นอน หลังจากที่หลี่จีเป็นสักขีพยานต่อความแข็งแกร่งของเขาแล้ว ดังนั้นนางจึงชักชวนเย่หยวนเข้ามา
และจุดประสงค์หลักที่เย่หยวนทำเช่นนี้ก็เพื่อทาสนามว่าหลงซาน!
เมื่อหลงซานเข้ามาใกล้เขา ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์กลับมีปฏิกิริยาตอบสนอง!
บนมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ ยังมีใครสามารถทำให้ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์มีปฏิกิริยาได้อีก?
คำตอบนั้นมันเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้ว!
เย่หยวนไม่คิดไม่ฝันเลยว่า การมาเมืองหลวงคาโปนครั้งนี้ เขาจะพานพบเข้ากับบุคคลที่ทำให้ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์มีปฏิกิริยาได้จริงๆ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น