Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1460-1461
ตอนที่ 1460 ประเมินสูงไป
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในดินแดนทุรกันดารกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุด ร่างทั้งสามกำลังทะยานพุ่งพร้อมสุดขีดแห่งความเร็ว
รัศมีกลิ่นอายของทั้งสามช่างไพศาลองอาจนัก อสูรที่อยู่โดยรอบต่างโห่ร้องกังวลลั่น
“ไอ้บัดซบน้อยนั้นตายยากตายเย็นโดยแท้! กระทั่งยามนี้ยังสามารถรอดชีวิตออกไปได้!”
ฉินจ้าวหยุนกัดฟันแน่นเอ่ยเกลียดชังสุดหัวใจ พลางเอ่ยกล่าวขึ้น
พวกฉินจ้าวหยุนทั้งสามไล่ล่าไล่ตามทุกหนทาง ในที่สุดกลับไม่สามารถติดตามอีกฝ่ายได้ทัน เช่นนั้นทั้งสามจึงร่อนลงพื้นอย่างน่าเจ็บใจ
พวกเขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เซียวเฟิงจะเลื่อนระดับชั้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้แล้วจริงๆ
เรื่องที่ไม่คาดคิดมากกว่านั้นคือ เซียวเฟิงใจเด็ดเดี่ยว ตัดสินจากถอนกิจการของหอมหาสมบัติออกจากเมืองหลวงหวูเมิ่งออกไป นี่นับเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดนัก และทั้งหมดทำไปก็เพื่อปกป้องเย่หยวนเพียงคนเดียว
ระหว่างทางฉินจ้าวหยุนกระทืบเท้าหนักด้วยความโกรธเกรี้ยว ทว่ากลับทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
“แต่มันคงลืมไปว่า เรายังสามารถติดตามตำแหน่งของเย่หยวนได้จากป้ายตราสถานศึกษา การกระทำของเซียวเฟิงนับว่าไร้ประโยชน์!”
จ่าวอี้เอ่ยกล่าวเสียงเคร่งขรึม
ได้ฟังเช่นนั้นจากความโกรธเกรี้ยวพลันแปรเปลี่ยนดูสุขใจขึ้นทันที ฉินจ้าวหยุนกล่าวว่า
“เหอะ พวกเราทั้งสามต่างเป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น ขอดูหน่อยว่า เพียงเจ้าหนูอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าคนเดียว จะทำให้พวกเราขายหน้าได้แค่ไหนกัน!? แต่เซียวเฟิงกลับมิทราบว่า แค่นี้กลับไม่เพียงพอให้เย่หยวนหลุดมือพวกเรา!”
ความสามารถของเซียวเฟิงในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะส่งเย่หยวนออกนอกอาณาเขตของเมืองหลวงหวูเมิ่ง
ในเวลานี้ทั่วทั้งอาณาเขตของเมืองหวู่เมิ่งได้ป่าวประกาศรู้เห็นเป็นทางเดียว เย่หยวนจะสามารถหลบหนีออกจากรัศมีเขตแดนของเมืองหลวงหวูเมิ่งได้อย่างไร?
หากเย่หยวนต้องการหลบหนีให้รอดพ้นสายตา เขาไม่สามารถใช้ดาบขี่เหาะทะยานไปได้ วิธีนี้มันโจ่งแจ้งเกินไป
เหวินอี้หยางถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า
“ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เซียวเฟิงจะนำหน้าพวกเราไปอีกขั้นแล้ว สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้แล้วจริงๆ! ทั้งๆที่ก่อนหน้า เขายังไม่ขึ้นแตะขอบเขตอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นเสียด้วยซ้ำ! เย่หยวนหยิบใช้วิธีการใดกันแน่ ถึงทำให้เขาทะลวงขึ้นไปได้ในอึดใจเดียว?”
ประโยคนี้ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อจิตใจของอีกสองคนอย่างมาก
พวกเขาติดอยู่ในขอบเขตพลังนี้มาไม่รู้กี่ร้อยปีแล้ว
ห่างออกไปเพียงครึ่งก้าว กลับห่างไกลดังฟ้าดินสุดขอบฟ้า และมิอาจข้ามผ่านได้ตลอดกาล
อย่างไรก็ตามแต่ เซียวเฟิงที่อยู่รั้งท้ายมาโดยตลอด ทว่ายามนี้กลับเป็นคนแรกในบรรดาพวกเขาที่ผงาดขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้ในอึดใจเดียว เรื่องเช่นนี้จะให้พวกเขายอมรับโดยง่ายได้อย่างไร?
ฉินจ้าวหยุนกัดฟันกรอดกล่าวว่า
“คิดมากไปให้ได้อันใด? ตราบใดที่จับเจ้าเด็กนั้นได้ เช่นนั้นมิอาจง้างปากให้มันคลายความลับออกมาได้?”
แน่นอน วาจาคำกล่าวนี้ของฉินจ้าวหยุนทำเอาดวงตาของทั้งสองเปล่งประกายขึ้นทันที
“พี่ฉินกล่าวถูกต้อง รากฐานพลังของพวกเราดีกว่าของเซียวเฟิงมาก ตราบใดที่เจ้าเด็กนั้นยอมคายความลับออกมา พวกเราย่อมสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้อย่างไม่ยากเย็น!”
จ่าวอี้ดูตื่นอกตื่นเต้นขึ้นทันที
ฉินจ่าวหยุนยิ้มและกล่าว่วา
“เช่นนั้นยังรออันใดอยู่อีก? เจ้าเด็กนั้นอยู่ต่อหน้าเราแล้วมิใช่รึตอนนี้? มันกำลังเดินทางไปยังเมืองอีกาฉาย หากปล่อยให้มันหนีออกจากเมืองอีกาฉายไปได้ พวกเราจำต้องลำบากมากขึ้นเพื่อตามล่าตัวมันมา”
ทั้งสองเปล่งเสียงขานตอบในทันทีและสำแดงใช้วรยุทธเคลื่อนที่ ไล่ล่าทะยานติดตามต่อทันที
เมืองอีกาฉายเป็นเขตเมืองที่ติดกับพรมแดนระหว่างเมืองหลวงหวูเมิงกับอีกเมืองหลวงหนึ่ง หากเย่หยวนสามารถหนีออกไปจากที่นั้นได้ เขาจะเดินทางเข้าไปสู่อาณาเขตของเมืองหลวงอีกแห่งได้ทันที
แม้เมืองหลวงแห่งนี้จะเป็นเขตปกครองของจักรพรรดิเทพสวรรค์คนเดียวกัน ทว่าแต่ละเมืองหลวงกลับปกครองกันแบบตัดขาด ไม่เข้ารบกวนเกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย
…
สามวันต่อมา ณ เขตชายแดนของเมืองอีกาฉาย กลุ่มคนหลายร่างกำลังพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงสุด
ในขณะที่กลุ่มร่างเหล่านี้เข้าปิดล้อมอีกหนึ่งที่กำลังพุ่งทะยานหนีสุดชีวิต
ฉินจ้าวหยุนยามนี้พินิจท่าทีเย็นชาสุด เขากล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะลั่นว่า
“น่าเสียดายจริงๆ! อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น! แม้จะติดปัญหาเล็กน้อย แต่เราก็จับเจ้าได้ทุกครั้งไป ไฉนเจ้าไม่แปลกใจหน่อยรึ?”
เหวินอี้หยางถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า
“เย่หยวน คำสั่งของท่านเจ้าเมืองยากจะขัดขืน กลับไปกับพวกเราเถอะ”
แต่แววตาของจ่าวอี้จับจ้องเย่หยวนราวกับกำลังถูกแผดเผาด้วยไฟแห่งความโลภ
“เจ้าหนู ส่งมอบวิธีในการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าแล้ว แล้วพวกเราจะช่วยเจ้าออกจากหายนะครั้งนี้เอง!”
เย่หยวนปราศจากสีหน้าสุขใจหรือเศร้าสร้อย เขาถูกทั้งสามดักล้อมไว้โดยตนเองอยู่ ณ ใจกลาง ทว่าท่าทางการแสดงออกยังคงสงบนิ่ง มิได้สิ้นหวังอย่างที่ทั้งสามจินตนาการไว้
เย่หยวนช้อนสายตามองฉินจ้าวหยุน ก่อนถ่มน้ำลายคำหนึ่งและกล่าวว่า
“กลับโง่กันทั้งตระกูล! โง่โดยแท้! ด้วยกลอุบายเด็กน้อยของเจ้า คิดหรือว่าจะจับตัวท่านปู่เย่คนนี้ได้?”
สีหน้าของฉินจ้าวหยุนพลันมืดทมิฬลงฉับพลัน ขณะเตรียมปราดพุ่งเข้าจับตัว ทว่ากลับเห็นเย่หยวนเดาะป้ายตราสถานศึกษาในมือเล่นอย่างสบายอารมณ์
เย่หยวนมองฉินจ้าวหยุนด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มและกล่าวว่า
“เจ้าสุนัขแก่ คงพอใจกับแผนการตัวเองนักใช่ไหมว่า ท่านปู่เย่คนนี้คงไม่มีทางหนีรอดพ้นมือเจ้าไปได้? หวังพึ่งแค่ของเด็กเล่นชิ้นนี้ชิ้นเดียว?”
ฉินจ้าวหยุนใจหายวาบดิ่งลึกถึงตาตุ่ม ทันทีทันใดพลันรู้สึกได้ว่าทั้งสามกลับถูกเย่หยวนต้นเสียจนเปลือย!
“นี่…หรือนี่คือร่างปลอม?”
จ่าวอี้หน้าเสียเอ่ยกล่าวอย่างเศร้าหมอง
เหวินอี้หยางถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางกล่าวว่า
“เราทุกคนประเมินเขาต่ำเกินไป!”
เย่หยวนหัวร่อครืนเสียงลือลั่น เหลียวจับจ้องฉินจ้าวหยุนด้วยหางตาเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า
“เจ้าสุนัขแก่ เตรียมใจรอข้าได้เลย! เมื่อใดที่ข้า เย่หยวนผู้นี้หวนกลับมาอีกครั้ง นั่นจะเป็นวันที่พวกเจ้าตระกูลฉินถูกกำจัดออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์! เจ้าฝากไปบอกฉินเซียวด้วยว่า จงดูแลตัวเองให้ดี ท่านปู่เย่ผู้นี้จะกลับมาสะสางบัญชีแน่นอนในไม่ช้า!”
เมื่อกล่าวจบร่างของเย่หยวนก็ระเบิดกลายเป็นสะเก็ดเพลิงทันที
กริ๊ง!
ป้ายตราสถานศึกษาตกลงกระแทกพื้นเกิดเป็นเสียงแหลมสูง
ฉินจ้าวหยุนกัดฟันกรอดด้วยความโกรธจัดจนใบหน้าสั่นคลอน ควันพิโรธแทบพวยพุ่งออกจากทวารทั้งเจ็ด
พวกเขาทั้งสามไล่ล่ากันเกือบหนึ่งเดือนเต็ม ทว่ากลับไม่คิดไม่ฝันที่ไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตายกลับเป็นแค่ร่างปลอม!
“เด็กคนนี้เจ้าเล่ห์นัก!”
จ่าวอี้กัดฟันแน่นด้วยความโกรธจัด
ในขั้นต้นนี้ พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยวิธีเพื่อทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าอย่างใจจดใจจ่อ ทว่าใครจะไปคิดที่พวกเขาลงแรงพยายามไปกว่าหนึ่งเดือนเต็ม สุดท้ายกลับไร้ประโยชน์สิ้นดี
…
ณ เขตชายแดนอีกแห่งของเมืองหลวงหวูเมิ่ง เย่หยวนกำลังรักษาบาดแผลของตนภายในถ้ำ ทันทีทันใดมุมปากพลันกระตุกยิ้มเยียดขึ้น
เย่หยวนเจนจัดมากประสบการณ์เรื่องหนีตายมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง? คิดหรือว่าเขาจะมาพลาดท่าง่ายๆเช่นนี้?
แม้สถานศึกษาหวูเมิ่งจะไม่เคยป่าวประกาศมาก่อน แต่เย่หยวนจะนำของศัตรูพกติดตัวอยู่ตลอดได้อย่างไร?
ทันทีที่เย่หยวนถูกเซียวเฟิงใช้พลังปฐพีโยกย้ายร่างของเขาออกไป เขาก็แบ่งจิตพลังปราณสร้างร่างปลอมขึ้นโดยใช้เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาว พร้อมนำตราสถานศึกษาให้และหนีออกไปอีกทาง
ตัวปลอมไปทางหนึ่ง ในขณะที่เย่หยวนตัวจริงไปอีกทางหนึ่ง
เนื่องจากภูตเพลิงให้กำเนิดกายวิญญาณดั่งเดิมขึ้นมาได้ ดังนั้นเย่หยวนจึงไม่สามารถพาเขาฝ่าห้วงอวกาศออกมาได้
แต่เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวที่เป็นขุมพลังดั้งเดิมยังคงอยู่ในร่างเย่หยวนตั้งแต่แรกแล้ว
เขาจึงสามารถนำติดตัวออกมาได้
ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งร้อยปี เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวเองก็พัฒนาขึ้นสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์แล้วเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับระดับความก้าวหน้าของเย่หยวน มันยับคงเชื่องช้ากว่ามาก
ระหว่างทางมานี้ เย่หยวนระมัดระวังตัวเองสุดขีด และพยายามไม่เปิดเผยกลิ่นอายพลังทวนทิ้งเป็นร่องรอย พร้อมแอบซุ่มตามจุดต่างๆ ตามเหลือบซอกของเขตชายแดน
ศึกสัประยุทธ์ครั้งใหญ่ก่อนหน้า ทำให้เย่หยวนบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์อย่างมาก
นอกจากนี้ ยิ่งเดินที่เย่หยวนต้องหลบหนีอยู่ตลอด มันยิ่งไปกระตุ้นอาการบาดเจ็บจนกำเริบหนักเข้าไปใหญ่ แต่เมื่อไม่นานมานี้เขากลับค้นพบถ้ำแห่งหนึ่ง เขาจึงหนีเข้ามาหลบภัยเพื่อรักษาบาดแผลของเขาให้ดีขึ้นเสียก่อน
ทันใดนั้นเอง เย่หยวนพลันถอนหายใจเสียวยาวกล่าวขึ้นว่า
“คราวนี้ข้าคิดว่าตนเองคงไม่รอดแน่นอน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพี่เซียวจะสำเร็จอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ทันท่วงที และออกมาช่วยข้าไว้”
ในขณะเดียวกัน ร่างของหวูเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นมา
“แท้ที่จริงแล้ว กลับเป็นเจ้าที่ช่วยเหลือตนเองเอาไว้ ที่เขาสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้ เป็นเพราะความช่วยเหลือของเข้าครั้นอดีต บางทีนี้อาจเป็นลิขิตสวรรค์!”
เย่หยวนยิ้มขื่นกล่าวว่า
“ตอนนั้นข้ารู้สึกพูดคุยถูกปากกับเขาเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นประโยชน์ครั้งมหาศาลเช่นนี้ เฮ้ออ…แม่นางหวางหรู นางคงผิดหวังมิใช่น้อยเมื่อได้ทราบข่าวนี้ เจ้าท้วม ข้าหวังว่าเจ้าจะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพวกเขาจนกว่าข้าจะกลับไป เมืองหลวงหวูเมิงไม่มีที่ให้ข้าพักพิงอีกต่อไป เช่นนั้นข้าควรไปที่ไหนต่อดี?”
หวูเฉินกล่าวว่า
“เจ้าไม่สามารถดำรงอยู่ในอาณาเขตของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้อีกต่อไป ด้วยความแกร่งกล้าระดับชั้นอาณาจักรราชันพระเจ้า เมื่อใดที่ฉินเซียวรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เพียงยกฝ่ามือขึ้นมันก็สามารถฆ่าเจ้าได้แล้ว ทางที่ดีควรหนีออกไปให้ไกลที่สุด”
……………………………………………………….
ตอนที่ 1461 เหลียงเฟิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขตเมืองกระแสพิรุณเป็นชายแดนแห่งเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์
เมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์มีพรมแดนติดกับเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ โดยมีแม่น้ำสายใหญ่ขวางกั้นไว้อยู่
เมืองจักรพรรดิทั้งสองเป็นสองกองกำลังที่แตกต่างกันสุดขั้ว โดยที่เมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์เป็นจักรวรรดิของเผ่ามนุษย์ ในขณะที่เมืองกล้วยไม้อริยะเป็นจักรวรรดิของเผ่าปีศาจ
สองจักรวรรดินี้ต่างเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเสมอมา ก่อศึกสงครามตลอดกันทั้งปี มีทั้งผู้บาดเจ็บเสียชีวิตในแต่ละวันเป็นอาจิณ
ภายในป่าทึบหนานอกเขตเมืองกระแสพิรุณ มีเซียนกลุ่มเล็กๆกำลังลาดตระเวนเฝ้าตรวจอยู่
พวกเขาล้วนเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าที่ได้รับการฝึกปรือมาอย่างดี พวกเขาสวมชุดเนื้อผ้าดี ทั้งลวดลายและสีเหมือนกันทั้งกลุ่ม ดูหาใช่เหล่าเซียนทั่วไป
“หัวหน้า ท่านไป๋ฟู่ซางลำเอียงเกินไปนัก เหตุใดต้องเป็นหน่วยเราที่ต้องมาลาดตระเวนให้ที่รกร้างอันตรายเช่นนี้เสมอ?”
“ใช่แล้ว! เช่นนี้เราจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้อย่างไร? ในกองทหารเราคงไม่มีโอกาสโงหัวแล้วกระมัง?”
“หัวหน้า เป็นไปได้ไหมว่า พวกเราแต่กล้ำกลืนฝืนทนไปเช่นนี้ไปตลอด?”
…
ในระหว่างที่กลุ่มทหารอาณาจักรปฐมพระเจ้าเหล่านี้กำลังลาดตระเวนกันอยู่นั้นเอง แต่ละคนต่างเอ่ยปากบ่นขึ้นทันทีอย่างไม่พอใจ
และคนที่พวกเขากำลังบ่นอยู่ก็คือ แม่ทัพกองอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นคนหนึ่ง
“หุบปากเดี๋ยวนี้! ก็พวกเราเป็นทหารศึกหาใช่ผู้ฝึกตนพเนจรอิสระ! เมื่อใดที่ท่านแม่ทัพกองสั่งให้เราไปที่ใด เราก็จำต้องรับฟังคำสั่งโดยไม่มีขัดขืน! แล้วพวกเจ้าจะบ่นอันใดให้มากความ?”
หัวหน้าของพวกเขาตะโกนเสียงเย็นดังลั่น
แน่นอนว่าเปลวไฟแห่งความพิโรธเดือดดาลของแต่ละคนพลันดับมอดลงทันที
คล้อยหลังไม่นาน มีทหารคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า
“หัวหน้า พวกเราหวังดีเพื่อท่าน! ในด้านพลังฝีมือ ท่านแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าหลิวซานกง แต่กลับเป็นมันที่ได้รับความดีความชอบอยู่เสมอ? หากมิใช่เพราะพี่เคยของมันมียศศักดิ์ใหญ่โตหรอกรึ?”
สีหน้าของหัวหน้าคนนั้นทมิฬมืดลง เขาเอ่ยปากลั่นด่าน้ำเสียงเย็นว่า
“อย่าให้วาจาเช่นนี้ดังเข้าหูข้าอีก! กล่าวพล่ามไร้สาระนับเป็นความผิดและต้องถูกลงโทษตามกฎ!”
สีหน้าของทหารคนนั้นแปรเปลี่ยนไปทันที ก่อนแลบลิ้นเชิงหยอกล้อใส่ เขามิได้เอ่ยปากกล่าวอันใดอีก
“หื้ม? มีคนมาทางนี้!”
ทันทีทันใด หัวหน้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายหอบหนึ่งไม่คุ้นเคย ประดุจเสียงระฆังดังขึ้นเตือนกลางใจ พร้อมยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนระวังตัว
ทหารเหล่านี้เจนจัดนักด้านประสบการณ์เป็นตาย ผ่านศึกสมรภูมินับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นจึงตื่นตัวต่อภัยอันตรายเร็วเป็นพิเศษ
หากมีการเคลื่อนไหวเบื้องหน้าเพียงเล็กน้อย พวกเขาจะรู้ตัวได้ทันที
ความสามัคคีของพวกเขาไม่เป็นรองฝักฝ่ายใด พลันสัมผัสการมีอยู่ได้เบื้องหน้า แต่ละคนประจำจุดค่ายกลผสานโจมตีเข้าปิดล้อมเป้าหมายโดยไว
วูบ! วูบ! วูบ!
กลุ่มคนพวกนี้ทะยานล่อนลงบนพื้นที่เปิดกว้าง เตรียมรับมือสัประยุทธ์ศึกใหญ่เข้าประจัญบาน!
ทว่าทันทีที่เห็นอีกฝ่าย พวกเขากลับอ้าปากตื่นตะลึงยกใหญ่
เบื้องหน้าปรากฏเป็น ชายหนุ่มในวัยประมาณยี่สิบปีกำลังย่างกระต่ายกินอยู่
กลิ่นหอยลอยคลุ้งหวาน น้ำลายของพวกเขาเหล่านั้นกลับหยดลงติ๋งด้วยความหิวโหย
ทันทีที่เห็นคนเหล่านั้นตั้งท่าพร้อมประจัญบาน ชายหนุ่มที่นั่งย่างกระต่ายอยู่ดูไม่แปลกใจอะไรเลย เขาพลันคลี่ยิ้มกล่าวว่า
“เหล่าทหารทั้งหลาย ดูเหมือนว่าพวกท่านจะลาดตระเวนมาทั้งวันจนเหน็ดเหนื่อย อยากลองสักคำหรือไม่?”
เมื่อเหล่าทหารเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มเผ่ามนุษย์คล้ายดูเป็นมิตร พวกเขาก็โล่งใจขึ้นอย่างมาก
อาณาจักรพลังของชายหนุ่มคนนี้มิได้ต่ำทรามเช่นกัน ทั้งยังเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้น ทว่าในมุมมองของเหล่าทหารกลับจ้องมองแลดูครั่นคร้ามมิใช่น้อย
พวกเขาต่างคิดว่า ชายหนุ่มคนนี้คงเป็นนายน้อยจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงสักแห่งหน ที่ออกเดินทางมาฝึกปรือขัดเกลาฝีมือในป่า โดยมิทางถึงภัยอันตรายที่เร้นแฝงอยู่ในป่าทึบแห่งนี้เลย
ในทางตรงข้าม ชายหนุ่มคนนี้กลับทำตัวผ่อนคลายสบายอารมณ์นัก ถึงขั้นที่ว่าย่างกระต่ายกินอย่างเอร็ดอร่อยคงมิทราบเลยว่าความตายขีดเขียนอย่างไร
“นี่เจ้าทราบหรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด?”
หัวหน้ากองทหารหาได้สนใจกินด้วยแต่อย่างใด พร้อมเอ่ยปากซักถามเสียงเย็น
ชายหนุ่มคนนี้อ้าปากกว้างฉีกเนื้อกระต่ายเคี้ยวงุบงับ พลางยิ้มกล่าวว่า
“ข้าไม่รู้เช่นกันว่าที่นี่คือที่ใด?”
ปลายคิ้วของหัวหน้าคนนี้พลันกระตุกขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าชายหนุ่มกวนบาทาตรงหน้าเป็นอย่างมาก
วาจากวนประสาทเช่นนี้ เขาอยากจะซัดมันให้ตายคามือ!
บูมมม!
หัวหน้าคนนั้นยกฝ่ามือซัดตระแกรงย่างกับกองไฟตรงหน้ากระจายไปโดยตรง
“หึ! ด้านหลังขุบเขาใหญ่แห่งนี้คืออาณาเขตของพวกเผ่าปีศาจ! แต่เจ้ายังกล้าจุดกองไฟย่างเนื้อกระต่ายหน้าระรื่น หรือเจ้าเบื่อชีวิตอยากตายมากรึไง! หากไม่อยากรีบไปยมโลก เช่นนั้นก็รีบหนีกลับไป!”
หัวหน้าคนนั้นเอ่ยเตือนน้ำเสียงเย็นสะท้าน
แม้ว่าอาณาจักรพลังของชายหนุ่มคนนี้จะใกล้เคียงกับเขามาก แต่หัวหน้ากองทหารกลับมองข้ามมิให้ความสนใจกับชายหนุ่มคนนี้เลย
เหล่าทหารอย่างพวกเจ้าเข้าสัประยุทธ์เป็นตายกับเผ่าปีศาจมาไม่รู้กี่นัดต่อกี่นัดแล้ว โดยส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นแต่ศัตรูในระดับชั้นเดียวกัน
ชายหนุ่มคนนี้คงเป็นนายน้อยผู้อ่อนต่อโลกคนหนึ่งที่เพิ่งท่องโลกกว้างครั้งแรก เมื่อใดถูกเผ่าปีศาจตีฝ่าดักล้อมไว้ เกรงว่าจะมีพลังแต่ไร้ประสบการณ์จริง เช่นนั้นก็การเดินทางใบที่แบบนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย
แต่เดิมเจ้าตัวก็ไม่ค่อยพอใจชายหนุ่มคนนี้เป็นทุนเดิม ยิ่งเห็นการกระทำอย่างการย่างกระต่าย ยิ่งดึงดูดศัตรูเข้าไปใหญ่ ยามนี้เริ่มเดือดจัด คิดจะถือโอกาสสั่งสอนอีกฝ่ายแทนพ่อแม่มันในคราวเดียว
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงชายหนุ่มคนนี้จะไม่โกรธ แต่เขายังฉีกยิ้มกว้างและกล่าวว่า
“ท่านบอกว่า ที่นี่เป็นอาณาเขตของเผ่าปีศาจใช่หรือไม่? เยี่ยมจริงๆ! ป่าแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป ข้าเกรงว่าจะหลงทางแล้วเสียอีก ที่แท้ก็มาถูกทางแล้ว โอ้จริงสิ พวกท่านเป็นกองทหารจากแห่งหนใดรึ? ยับรับคนเข้าพวกอยู่หรือไม่?”
“ฮ่าๆๆ…ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ไม่สิ ด้วยประสบการณ์ของเจ้า คงอยู่รอดไม่ถึงสิบอึดใจ ที่นี่คือสมรภูมิรบของจริงตายจริง! หาใช่สนามเด็กเล่นให้เจ้าฝึกฝน!”
“อย่าดูถูกคิดว่าตนเองเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นแล้วจะเหนือชั้นกว่า หากให้พวกเราตั้งค่ายกลผสานกันโจมตี เจ้าเองก็ไม่รอดเช่นกัน เชื่อหรือไม่?”
“เจ้าหนุ่ม เจ้ากลับไปเถอะ บุปผาเรือนกระจกที่ไม่เคยฆ่าคนอย่างเจ้า ไม่เหมาะกับที่แบบนี้หรอก เชื่อข้าสิ!”
…
คำกล่าวของชายหนุ่มคนนี้กระตุ้นให้เหล่าทหารที่เหลือระเบิดหัวเราะเยาะดังลั่น
หัวหน้าคนนั้นมองเขาเจือสายตาฉงนใจ ก่อนกล่าวว่า
“เจ้าชื่อแซ่อะไร ไฉนถึงอยากเข้าร่วมกลุ่มของเรา?”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างกล่าวขึ้นว่า
“ข้านามว่าเย่หยวน! ฟังว่าพวกเผ่าปีศาจก่อวีรกรรมชั่วช้าไร้ขอบเขต สร้างภัยหายนะให้แก่เมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์เป็นอย่างมาก เช่นนั้นข้าจึงมีใจ ต้องการจะเข้าร่วมช่วยเหลือเผ่ามนุษย์ของเรา!”
ชายหนุ่มคนนี้มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากเย่หยวน ที่หนีลี้ภัยเข้ามายังเขตปกครองของเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์!
ในเวลานี้ผ่านมากว่าสามปีแล้ว ที่เย่หยวนหนีออกมาจากเมืองหลวงหวูเมิ่ง
และเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์ก็เป็นจุดหมายของการเดินทางของเขาในครั้งนี้
หากเย่หยวนต้องการกลับไปแก้แค้นฉินเซียว เช่นนั้นเขาต้องเร่งพัฒนาตัวเองให้เก่งกาจยิ่งขึ้น
และวิธีที่ดีที่สุดในการยกระดับตัวเองก็คือการต่อสู้!
ดังนั้น จากคำแนะนำของหวูเฉิน เย่หยวนจึงเดินทางมายังจุดชายแดนระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ หรือก็คือชายแดนระหว่างสองเมืองจักรพรรดิอันยิ่งใหญ่ ฝ่ายมนุษย์คือเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์
และเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะคือฝ่ายเผ่าอสูร หรือก็คือเมืองที่จักรพรรดิเทพสวรรค์จิงชาง!
เย่หยวนเดินทางมาที่นี่เพื่อตรวจสอบเรื่องราวของจอมเทพนิรันดร์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเรื่องราวของเผ่าปีศาจในดินแดนพฤกษานิรันดร์ทั้งหมด มันเป็นคนส่งข่าวเข้ามาบุกโจมตีในกาลอดีต
เกิดอะไรขึ้นกับจอมเทพนิรันดร์กลับยังไม่ทราบ แต่ภูมิหลังจักต้องเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางแน่นอน
แต่สุดท้ายนี้ เขาดันหลงในป่าทึบกว้างใหญ่แห่งนี้
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ตนจะมาเจอกลุ่มทหารลาดตระเวนเหล่านี้โดยบังเอิญ
หัวหน้าคนนั้นเดินเข้ามาตบไหล่เย่หยวนเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ไม่เลวหนิ! เจ้าหนุ่ม เจ้ามีความกล้าหาญ แต่…ถึงแม้ระดับพลังของเราจะใกล้เคียงกัน แต่เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากเข้าสู่สมรภูมิจริง เจ้าคงตายไม่รู้ตัว!”
เย่หยวนอดใจเอ่ยปากโต้ตอบมิได้เช่นกัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“หุหุ ข้าเองก็สามารถบอกได้เลยว่า ความแกร่งกล้าของท่านน่าเกรงขามนัก แต่อย่างน้อยทุกคนต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ท่านต้องลองให้โอกาสข้าดูบ้าง มิเช่นนั้นจะเริ่มนับหนึ่งได้อย่างไร ท่านว่าจริงหรือไม่?”
คำกล่าวเหล่านี้เย่หยวนมิได้เอ่ยเยินยอไปเฉยๆเช่นกัน เพราะเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า พลังปราณเทวะภายในร่างของหัวหน้ากองทหารผู้นี้หนาแน่นและบริสุทธิ์อย่างมาก หากสัประยุทธ์กับคนในระดับเดียวกัน เขาน่าจะเหนือกว่าขุมหนึ่ง
หัวหน้าคนนั้นครุ่นคิดตามที่อีกฝ่ายกล่าวครู่หนึ่ง สิ่งที่เย่หยวนกล่าวไปล้วนสมเหตุสมผลเช่นกัน เขาจึงพยักหน้าและกล่าวว่า
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นเจ้ากลับไปยังค่ายพักกับพวกเราก่อน ส่วนเรื่องความไม่พอใจนี้ถือว่างดเว้นไป ภายในค่ายพักของพวกเราย่อมมีการทดสอบรอเจ้าอยู่เช่นกัน จะผ่านหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าแล้ว”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“ขอบคุณท่านมาก!”
หัวหน้าคนนั้นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ข้านามว่าเหลียงเฟิง หรือเจ้าจะเรียกว่าหัวหน้าเหลียงก็ได้!”
ขณะที่เอ่ยปากกล่าวกันอยู่นั้นเอง จู่ๆสีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปทันที ร่างนับร้อยปราดพุ่งออกมาจากป่าทึบโดยรอบ เข้าปิดล้อมพวกเขาทั้งหมดโดยสมบูรณ์
…………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น