Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1441-1453
ตอนที่ 1441 ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปรากฏวัตถุคล้ายผลไม้แขวนค้างอยู่เหนือเกาะอย่างเงียบงัน รัศมีกลิ่นอายที่แผ่ออกมาช่างศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งยิ่ง
“นั้นมันกลิ่นอายแห่งเต๋า! นั้นกลิ่นอายแห่งเต๋าจริงๆ! มัน…มันคือสิ่งใดกัน?”
“ข้าเองก็รู้สึกได้เช่นกัน! กลิ่นอายแห่งเต๋านี้ทั้งทรงพลังและอบอุ่น ประดุจดั่งว่าข้าได้ย้อนกลับสู่ครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่ง!”
“ช่างวิเศษโดยแท้! ไฉนข้ารู้สึกดั่งว่า ตรงหน้าเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง?”
…
เมื่อทุกคนเห็นผลไม้นั้น พวกเขาแต่ละคนต่างเผยท่าทีตื่นตะลึงอย่างหาที่เปรียบไม่
พวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งเต๋าได้อย่างชัดเจน แต่กลับไม่รู้จักว่าสิ่งนี้คือผลวิญญาณเต๋า!
แต่เย่หยวนรู้จัก!
“นั้นคือผลวิญญาณเต๋า! ผลวิญญาณเต๋าแห่งดินแดนนภาบรรพต! ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า จะได้พบมันที่นี่จริงๆ!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นเจือน้ำเสียงมากอารมณ์
“ผลวิญญาณเต๋า?”
ไป๋เฉินอุทานกล่าวพร้อมท่าทีแสนงุนงง
เย่หยวนยิ้มและกล่วว่า
“หากกินมันเข้าไปแล้วเจ้าจะกลายมาเป็นจักรพรรดิแห่งดินแดนนภาบรรพต เต๋าแห่งดินแดนนี้จะยอมรับเจ้าเป็นผู้ปกครองคนใหญ่ ในดินแดนแห่งนี้จะไม่มีใครไร้เทียมทานไปกว่าเจ้าอีกแล้ว! จากนั้นเจ้าจะสามารถเดินทางออกจากดินแดนเล็กๆแห่งนี้สู่มหาพิภพที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าได้!”
“ฟู่ววว…”
ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นต่างพากันสูดไอเย็นแช่มลึกสุดขั้วปอดด้วยความเหลือเชื่อ เจือตื่นตะลึงต่อวาจาคำกล่าวของเย่หยวน
แววตาของแต่ละคนเริ่มจับจ้องไปที่ผลวิญญาณเต๋าประดุจแผดเผามันทั้งเป็น เสมือนต้องการจะไขว่คว้ามาเป็นของตน
“หากพวกเจ้าคิดอยากแสวงหาความตายนักก็เชิญ! ข้าจะไม่ห้ามปรามใดๆ!”
เย่หยวนกล่าวเตือนเสียงเย็นชืด
เขาจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าคนพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่? ใครก็ตามที่ได้ฟังดังนั้นต่างรู้สึกโลภกันทั้งสิ้น
“ผู้อาวุโสสูงสุด ท่าน…ท่านหมายความว่าอย่างไรรึ?”
เย่หยวนเอ่ยตอบทีท่าเฉยเมยว่า
“สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ เจ้าคิดหรือว่าจะได้มาโดยง่าย? หากไม่เชื่อกลองดูได้ แต่ก่อนไปเลาะกระดูกมาให้พวกข้าสักชิ้น เผื่อเป็นของดูต่างหน้ายามเจ้าไม่อยู่แล้ว!”
เขาคนนี้ขนลุกซู่วเย็นสะท้านยันหนังศีรษะในทันใด เปลวเพลิงแห่งความโลภของแต่ละคนดับมอดลงในพริบตา
“เย่หยวน ภายในนั้นมีศิลาชีวิตนิจนิรันดร์อยู่ด้วย! มันอยู่ภายในเกาะนั้น!”
ทันทีทันใดหวู่เฉินโพล่งกล่าวขึ้นทันทีอย่างกระวนกระวายใจ
เย่หยวนเบิกตากว้างสว่างประกายตื่นเต้นสุดขีด
ส่วนเศษหินสีขาวน้ำนมทั่กระจัดกระจายอยู่โดยรอบเกาะ พวกมันเหล่านั้นหาใชใดอื่นนอกเสียจากศิลาชีวิตนิจนิรันดร์!
สำหรับเขาแล้วศิลาชีวิตนิจรันดร์เหล่านี้มีค่าเสียยิ่งกว่าผลวิญญาณของดินแดนนภาบรรพตเสียอีก
“ผู้อาวุโสสูงสุด ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี? คงมิใช่ว่าได้แต่ยืนดูอยู่เฉยๆ?”
เย่หยวนกล่าวตอบว่า
“ด้วยสภาพตอนนี้ของข้า ข้าไม่สามารถผ่านจุดนี้ไปได้เลย! รั้งรออยู่ตรงนี้ไปก่อนจะปลอดภัยกว่า รอจนข้าจะฟื้นพลังเสร็จ”
กล่าวจบเย่หยวนก็ปลีกตัวนั่งขัดสมาธิ ณ มุมหนึ่ง และตบโอสถเข้าปาก นั่งดูดซับฤทธิ์โอสถโดยไว
เวลาค่อยๆผ่านไป ความกังวลเริ่มสั่งสมมากขึ้นต่อเนื่อง
เสน่ห์ความน่าดึงดูดของผลวิญญาณเต๋ามันแสนยั่วยวนเกินไป แม้เย่หยวนจะเอ่ยปากเตือนแล้วตาม แต่หลายต่อหลายคนในยามนี้ก็เริ่มต้านทานความโลภไม่ไหวแล้วเช่นกัน
“ทุกคนอยู่นิ่งๆอย่าขยับไปไหน! หากใครผลีผลามออกไปโดยปราศจากความยั้งคิด ก็อย่าตำหนิว่าข้าไร้ซึ่งความเมตตา!”
ไป๋ซิ่วกดเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเตือนทุกคนอีกระลอก
เขายังคงรู้สึกผิดที่ตัวเองบันดาลโทสะตบฝ่ามือใส่เย่หยวน ตราบาปยังคงสลักลึกฝังใจ
ดังนั้นคำเตือนของเย่หยวนก่อนหน้า กล่าวได้เป็นคำสั่งของจักรพรรดิหยกที่จำต้องเชื่อฟังอย่างไร้ข้อกังขา
นอกจากนี้อย่างที่เย่หยวนกล่าวไปล้วนถูกต้องแล้ว ของวิเศษระดับนี้จะได้มาโดยง่ายได้อย่างไร?
ดังนั้นเมื่อเย่หยวนบอกว่ามันอันตราย แสดงว่าหนทางเบื้องหน้าต้องอันตรายอย่างแน่นอน!
ทันทีทันใดพลังปราณเทวะในร่างเย่หยวนก็ปะทุขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
เย่หยวนเบิกตาโตทั้งสองข้าง และกรอกโอสถทั้งขวดเทเข้าปากในคราวเดียว!
นอกเหนือจากผลที่ได้รับจากงานชุมนุมร้อยเมืองแล้ว เย่หยวนยังกลืนโอสถที่หลอมกลั่นมากรอกใส่ปากไม่มีลังเล
เมื่อทุกคนพบเห็นภาพฉากนี้ต่างก็ตกตะลึงกันใหญ่
“กรอก…กรอกโอสถเข้าปากไปขนาดนั้น ตัวไม่ระเบิดตายเลยรึ?”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว! ผู้อาวุโสสูงสุดหยิบใช้วรยุทธบ่มเพาะพลังวิปลาสใดกันแน่ ถึงมีวิธีการผิดประหลาดขนาดนี้?”
“ผู้อาวุโสสูงสุดกำลังจะก้าวข้ามขีดจำกัดแล้ว! ความเร็วในการบ่มเพาะขนาดนี้…ทอดสายตาเสาะคนเกรงว่าไม่มีอีกแล้ว! หรือเป็นไปได้ไหมว่า เซียนจากโลกภายนอกล้วนมีพัฒนาการรวดเร็วขนาดนี้กันทุกคน?”
…
อาการบาดเจ็บของเย่หยวนเพิ่งหายสนิทได้ไม่นาน จู่ๆหนึ่งความรู้สึกโฉบแล่นขึ้นมาสู่ห้วงจิตใจ เย่หยวนทราบทันทีว่า ในที่สุดโอกาสก้าวข้ามขีดจำกัดก็มาถึง พร้อมทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า!
แน่นอนว่านี่เกิดจากตัวเขาที่สั่งสมประสบการณ์จนบ่มได้ที่ เมื่อโอกาสมาถึงพลังปราณเทวะที่ปะทุออกมาก็พวยพุ่งอย่างแรงประดุจเขื่อนแตก
หลังจากเดินทางเข้าสู่ดินแดนธารบรรพตมา เย่หยวนก็ประสบพบเจอกับศึกสัประยุทธ์มากมาย รวมไปถึงฝ่าวิกฤตความเป็นความตายนับไม่ถ้วน ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขายังขาดตกไปก็คือโอกาส
และศึกสัประยุทธ์เดือดรอบล่าสุดกับฉินเทียน ในที่สุดเย่หยวนก็ควาโอกาสนั้นและประสบความสำเร็จ
แต่พลังเนื่องจากพลังวิญญาณภายในดินแดนนภาบรรพตเบาบางเกินไป จึงไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนให้เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าไปได้ ดังนันเขาจึงตัดสินใจกรอกโอสถศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดลงไปเพื่อชดเชยในจุดที่ขาดเหลือ
พลังปราณเทวะจำนวนมหาศาลเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งสำหรับพัฒนาการของบัญญัติเทพแห่งถงเทียน
ไม่! ยังไม่พอ!
แค่นี้ยังไม่เพียงพอ!
พลังปราณเทวะจำนวนเพียงแค่นี้กลับไม่เพียงพอสำหรับตัวเขาที่จะฝ่าปัญหาคอขวดออกไป พลังที่สนับสนุนเขายังน้อยเกินไป!
ทันทีทันใด เย่หยวนตัดสินใจกระโดดลงสู่บ่อหินหนืดอันร้อนระอุโดยไม่มีลังเล!
ผืนล่างเป็นบ่อหินหนืดขนาดมหึมาไร้ที่สิ้นสุด!
สถานการณ์ในยามนี้กะทันหันเกินไปที่จะหักห้ามได้ทัน กว่าจะรู้สึกตัวกัน เย่หยวนก็กระโดดลงไปเสียแล้ว!
“ท่านอาจารย์!”
“ผู้อาวุโสสูงสุด!”
…
ทุกคนต่างกดสายตามองเบื้องล่างหน้าซีดเซียวตื่นตกใจ พร้อมร้องอุทานลั่นจนเสียงหลง
เย่หยวนนั่งขัดสมาธิบนเสาหินขนาดมหึมาต้นหนึ่งข้างใต้นั้น เสาหินก้อนนี้พินิจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งยุคบรรพกาล กอปรคลื่นความผันผวนของชีวิตเกินคนานับ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันยังดูแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าผลวิญญาณเต๋ามาก!
ด้านล่างบริเวณบ่อหินหนืด ปรากฏเป็นเย่หยวนอยู่ ณ จุดศูนย์กลาง ทันทีทันใดเกลียวคลื่นหินหนิดพลันก่อตัวขึ้นก่อนหมุนวนเป็นพายุวังวนพลังวิญญาณอันร้อนระอุ
หากกล่าวถึงความหนาแน่นของพลังวิญญาณนี้ กล่าวได้ว่าเหนือกว่าชั้นหินด้านบนมาก มิฉะนันเหล่ายักษ์หินโลกันตร์ที่ถือกำเนิดจากบ่อหินหนืดเหล่านี้จะแกร่งกล้าทรงพลังขนาดนั้นได้อย่างไร?
ดังนั้นเย่หยวนจึงพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ และกระโจนลงในบ่อหินหนืดเพื่อดูดซับพลังวิญญาณภายในนั้นโดยตรง!
แต่เนื่องด้วยอุณหภูมิภายในบ่อหินหนืดนี้สูงเกินไปจนมนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้ เย่หยวนจึงเรียกใช้ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพออกมาเพื่อนั่งอยู่บนนั้น มิให้สัมผัสกับตัวหินหนืดโดยตรง
เขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสาหินนั้นก็มิใช่ใดอื่น แต่เป็นศิลาจารึกบัลลังก์พิภพนั้นเอง
“เสาหินก้อนนั้นต้องทนทานเพียงใดถึงสามารถทนรับบ่อหินหนืดเหล่านั้นได้! บ่อหินหนืดภายในซากอักขระเทวะ แม้แต่ยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยซ้ำ!”
“ผู้อาวุโสสูงสุดต้องการดูดซับพลังวิญญาณผ่านบ่อหินโดยตรงเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัด นี่หาใช่ติดพันความตายงั้นรึ?”
“ถูกต้อง! การดูดซับพลังวิญญาณผ่านหินหนืดโดยตรง กระแสพลังเหล่านั้นจะมีอุณหภูมิที่สูงมาก และมากเกินกว่าที่เส้นลมปราณภายในร่างจะสามารถทนไหวได้!”
…
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนกลับหาได้สนใจไม่เลย!
เขายังคงดูดซับพลังวิญญาณจากภายในบ่อหินหนืดอย่างบ้าคลั่ง โคจรพลังปราณเทวะด้วยบัญญัติเทพแห่งถงเทียนบทที่สอง แปรเปลี่ยนพลังวิญญาเหล่านั้นมาเป็นกระแสพลังปราณหอบใหญ่ ก่อนจะไหลบ่าลงในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์
กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่เริ่มจวบจนตอนนี้เป็นไปได้ด้วยความราบรื่นดี
ทันทีที่พลังวิญญาณดูดซับเข้าร่างกายไอความร้อนเหล่านั้นก็ถูกสกัดออกจากร่างไปเช่นกัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนก็หยุดขยายตัวขึ้นในท้ายที่สุด บัดนี้ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนอุดมสมบูรณ์ยิ่ง และเปี่ยมล้นไปด้วยพลังปราณเทวะอันบริสุทธิ์
แต่กระนั้นเองพลังปราณเทวะของเย่หยวนจะข้นหนืดกว่าคนอื่นเป็นพิเศษหลายสิบเท่า!
“นี่…ผู้อาวุโสสูงสุดยังเป็นมนุษย์จริงๆใช่ไหม? เขาดูดซับพลังวิญญาณจากภายในหินหนืดได้จริงๆ!”
“สวรรค์… เขาเพิ่งทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้น แต่ไฉนข้ารู้สึกว่าเขาแกร่งกร้าวดุจอสูรปีศาจระดับสูงก็มิปาน…”
“เหลือเชื่อโดยแท้! ผู้อาวุโสสูงสุดวิปลาสเกินจะตัดสินได้ด้วยสามัญสำนึกโดยแท้!”
…………………………………
ตอนที่ 1442 คิดว่าคงดีกว่าหากเจ้าไม่ขยับ?
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทีแรกก็สงสัยว่าจจะเป็นอย่างไรหากพลังปราณเทวะถูกบีบอัดจนถึงขีดจำกัด บัญญัติเทพแห่งถงเทียนนี้คุ้มค่าแก่การรอคอยแล้ว!”
สัมผัสได้ถึงพลังปราณเทวะอันไร้ขอบเขตภายในกาย เย่หยวนรู้สึกดั่งว่าทั่วทุกอณูขุมขนของของเขาถูกเปิดออก
แม้ว่าเส้นทางแห่งการหลอมสร้างวรยุทธ์เพาะพลังนี้จะยากลำบากยิ่ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับค่อนข้างคุ้มค่านัก
ในตอนนี้แม้เย่หยวนเพิ่งทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า แต่ในแง่ความหนาแน่นของพลังปราณเทวะกลับไม่แพ้จุดสูงสุดแห่งอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นเลย
เมื่อหลอมรวมเข้ากับเพลงดาบสวรรค์เบิกฟ้า เย่หยวนแทบไม่ต้องใช้ความพยายามอันใดเพื่อต่อกรกับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเขาชั้นกลางเลย
แม้แต่เซียนอาณาจักรปัจจฉิมพระเจ้าชั้นปลายยังต้องเหงื่อตกเช่นกัน!
เย่หยวนกระโดดเหยียบศิลาจารึกบัลลังก์สวรรค์ขึ้นสู่บริเวณหน้าบนในทันใด
“ท่านอาจารย์ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก! แม้กระทั่งก้าวข้ามขีดจำกัดภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็ยังทำได้!”
ไป๋เฉินร้องอุทานลั่นพร้อมตรงเข้าหา
“ถูกต้องผู้อาวุโสสูงสุด วรยุทธบ่มเพาะพลังของท่านเข้าขั้นวิปลาส แม้แต่พลังวิญญาณจากบ่อหินหนืดก็ยังสามารถดูดซับขึ้นมาได้!”
ไป๋ซิ่วอุทานลั่นด้วยความประหลาดใจ
หากเปนพวกเขาแทนที่อยู่ตรงนั้น แม้จะสามารถอยู่รอดทนความร้อนได้ แต่พลังงานความร้อนระอุที่ผูกติดขึ้นมาจากพลังวิญญาณ มันเข้าเข้าเผาไหม้เส้นลมปราณทั่วร่างของพวกเข้าพริบตา
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “นี่เป็นเหตุสุดวิสัยเช่นกัน เนื่องจากพลังวิญญาณของดินแดนนภาบรรพตค่อนข้างเบาบาง โชคดีที่ข้าอยู่ในซักอักขระเทวะแห่งนี้ หากมีโอกาสก้าวข้ามขีดจำกัดภายนอก เกรงว่าอาจจเกิดปรากฏการณ์วิปลาสครั้งใหญ่”
หากเย่หยวนก้าวข้ามขีดจำกัดด้านนอก มีความเป็นไปได้สู่ที่พลังวิญญาณทั้งหมดในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้จะถูกเย่หยวนกลืนกินไม่เหลือซาก!
ปรากฏการณ์วิปลาสเช่นนี้อาจนำมาซึ่งความโกลาหลครั้งใหญ่ เชื่อได้ว่าเหตุการณ์นี้มิอาจหลบซ่อนภายใต้สายตาของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ได้เลย
ทันใดนั้นเองก็หลุมบ่อมากมายปรากฏขึ้นบนแท่นวงแหวนยักษ์นั้น!
ตึง! ตึง! ตึง!
ในขณะเดียวกันสีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนพลันผันแปร สีหน้าทมิฬมืดลงพร้อมลางสังหรณ์สุดเลวร้าย
“นั้นมันผลวิญญาณเต๋า! มันคือผลวิญญาณเต๋าจริงๆ! ฮ่าๆๆ…ข้ากลับเจอมันโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆแม้สักนิด! สิ่งนี้ต้องเป็นของข้า!”
เมื่อฉินเทียนตรงเข้ามาแรกเห็นผลวิญญาณเต๋า เขาก็ตื่นอกตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่คิดเลยว่า ตนจะได้พบผลวิญญาณเต๋าจริงๆในที่แบบนี้!
นั้นคือผลวิญญาณเต๋าของจักรพรรดิเทพสวรรค์!
ตราบใดที่เขาได้มันมาครอบครอง การจะทะลวงขึ้นสู้อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์กหาใช่เรื่องยากเย็นอีกต่อไป
…
ในเวลานั้นมหาพิภพใต้แผ่นฟ้าใดเขายังไม่สามารถไปได้อีก
สำหรับอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ สิ่งนี้ไม่เคยมีอยู่ในห้วงความคิดของฉินเทียนมาก่อน เพราะเขาไม่มีวันไปได้ถึงระดับชั้นนั้นแน่
ยาก!
ยากเกินไป!
แต่ในเมื่อยามนี้มีขนมเปี๊ยะก้อนโตรออยู่ตรงหน้า แล้วมีหรือที่จิตใจของเขาจะไม่ปั่นป่วน?
แต่…เพิ่งผ่านไปนานแค่ไหนกัน? ไฉนเย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้แล้ว!
นี่หาใช่ขาวดีไม่!
ในยามที่เย่หยวนเป็นปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้น อีกฝ่ายก็เกือบฆ่าขำด้แล้ว แต่ด้วยความอข็งแกรงในปัจจุบันของเย่หยวน มีเพียงสวรรค์ที่ทรงทราบ ฉินเทียนต้องตายอีกกี่ครั้ง
ปลดชุดเกราะอ่อนวิกคสวรรค์ออกพร้อมกระชับดาบในมือแน่น!
“ผลวิญญาณเต๋า? มันคือสิ่งใดกัน?”
ต้วนเฟยเอ่ยถาม
แต่เมื่อพินิจากรูปการณ์ท่าทีดีใจของฉินเทียน การันตีได้ว่าสิ่งนี้เป็นของวิเศษแน่นอน
“ของดีเลยล่ะ! เหอะ เหอะ เมื่อมีผลวิญญาณเต๋าเช่นนี้ก็ตรองกันได้! ระหว่างสมบัติในตัวเย่หยวนกับผลวิญญาณเต๋าลูกนี้ เจ้าเลือกอะไร?”
ฉินเทียนเอ่ยน้ำเสียงสุดเยือกเย็น
ซึ่งเขาเองก็ไม่คิดเจตนาปกปิดเช่นกันและอธิบายถึงสรรพคุณของผลวิญญาณเต๋า สีหน้าการแสดงออกของต้วนเฟยเปลี่ยนอย่างมาก เมื่อได้ยิน
พลังที่สามารถควบคุมเต๋าแห่งดินแดนนี้ได้ และขึ้นกลายมาเป็นจักรพรรดิดินแดน!
มีหรือที่เขาจะไม่หวั่นใจ?
“ข้าเอาผลวิญญาณเต๋า!”
ต้วนเฟยระงับความปั่นป่วนภายในใจจและเร่งกล่าวตอบขึ้นทันที
ตราบใดที่เขาได้กลืนผลวิญญาณเต๋าลงไป เขาก็จะสามารถควบคุมดินแดนนภาบรรพตทั้งหมดได้
ในเวลานั้นเอง แม้แต่ประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องสยบต่อแทบเท้าของเขาเช่นกัน!
แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว!
“เอาล่ะ ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นมาจัดการตัวปัญหาหลักของเราก่อนดีกว่า!”
ฉินเทียนคำรามตอบเสียงเย็น
ต่อคำตัดสินใจนี้ของต้วนเฟย ฉินเทียนมิได้ใส่ใจหคัดค้านมากนัก
เขาย่อมรู้สึกประทับใจยิ่งต่อผลวิญญาณเต๋าลูกนี้ แต่เขาเองก็ยังรู้สึกว่า สมบัติที่อยู่ในตัวเย่หยวนล้ำตาเสียยิ่งกว่าผลวิญญาณเต๋าเหล่านี้!
พรสวรรค์ของเย่หยวนน่าสะพรึงกลัวเกินไป และหากบอกว่าเย่หยวนปราศจากโชคอันท้าทายสวรรค์ ฉินเทียนก็กล้าตอบว่า มันเป็นไปไม่ได้!
เพียงทรัพยากรของสถานศึกษาหวูเฉินย่อมไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูสัตว์ประหลาดเช่นนี้แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นฉินเทียนจะประเคนผลวิญญาณเต๋าลงบนจานเงินให้คนอื่นง่ายๆได้อย่างไร?
เมื่อบจากเย่หยวน เป้าหมายต่อไปของฉินเทียนก็คือต้วนเฟย!
“เหลยต้วน จั้วหยุน ฮั่นเทียนหยาน พวกเจ้าผนึกำลังกันโจมตี! อย่าปล่อยให้พวกวังเทวะรัตติกาลฉายเหลือรอดแต่แม้คนเดียว!”
ต้วนเฟยกล่าวสั่งการสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินคำสั่งของต้วนเฟย สีหน้าการแสดงออกของเหลยต้วนพลันเผยท่าทีรวนเรซับซ้อนออกมา
ผู้คนที่ตีฝ่าออกจากวงล้อมของยักษ์หินโลกันตร์ได้ ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งทั้งสิ้น
ดังนั้นแล้ว ณ ปัจจุบัน วังเทวะที่ยังคงสภาพขุมกำลังได้สมบูรณ์ที่สุดคงหนีไม่พ้น ฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉาย
“ฆ่า!”
ต้วนเฟยตะโกนลั่น กลุ่มคนของเขาเจ้าตีล้อมฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายทันทีจากทั้งสองฝั่ง
นี่คือแท่นรูปวงแหวน ส่วนเบื้องหน้าของฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายเป็นบ่อหินหนัดไร้จุดสิ้นสุด พวกเขาไม่เหลือทางหนีอีกต่อไปแล้ว!
“พวกเจ้าทุกคนจงฟัง! หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามทุกคนขยับเด็ดขาด! ยืนให้นิ่งหามขยับเขยื้อน! ข้าจะพยายามป้องกันพวกเจ้าทุกคนอย่างสุดความสามารถ!”
เย่หยวนโพล่งตะโกนกล่าวด้วยน้ำเสียงขรึม
สีหน้าการแสดงออกของทุกคนดูเคร่งเครียดกันอย่างยิ่ง แต่พวกเขายังคงพยักหน้ารับทราบตอบ
พวกเขาในยามนี้ยังสังเกตเห็นว่าต้วนเฟยกับฉินเทียนรวมมือกัน ทั้งยังมีฮั่นเทียนหยางอีก ทั้งสามต่างจับจ้องประดุจเสือโคร่งมองเหยื่อที่ไร้ทางหนี
ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้คือ เชื่อฟังเย่หยวน
สีหน้าเย่หยวนมืดขรึมลงเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นตบฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าออกไป!
อย่างไรก็ตามแต่ เป้าหมายที่แท้จริงของเขาหาใช่ต้วนเฟยหรือพวกมันทั้งหมด แต่เป็น…ผลวิญญาณเต๋า!
เงามังกรฟ้าอัสแสนองอาจพุ่งทะยานตรงเข้าหาผลวิญญาณเต๋าโดยตรง
“เย่หยวน! เจ้ากล้า?!”
เมื่อฉินเทียนและต้วนเฟยเห็นดังนั้น พวกเขาแทบอุทานร้องลั่นในเวลาเดียวกัน
พวกเขาคิดว่าเย่หยวนกำลังวางแผนที่จะพังที่นี่ลงมา
รอยยิ้มประดับเย็นฉีกแสยะขึ้นบนมุมปากของเย่หยวน
‘พวกโง่ คิดหรือว่าสถานที่ที่เก็บผลวิญญาณเต๋ามันจจะถูกทำลายง่ายดายปานนี้?’
บูมมม!
เมื่อเงารางมังกรฟ้าปราดพุ่งเข้าใส่ก็ดูเหมือนว่าจะมีกำแพงโปร่งแสงขนาดมหึมาปกป้องไว้อยู่ กำแพงโปร่งแสงนั้นสั่นกระเพื่อมอย่างแรง
ฉินเทียนและต้วนเฟยต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ที่ผลวิญญาณเต๋ามิได้ก่อเกิดความเสียดายอันใด
แต่ทันใดนั้นเอง พลันก่อเกิดแสงรัศมีสีเหลืองอร่ารองลอยขึ้นมาเต็มกำแพงโปร่งแสงนั้น
บูมมม!
จู่ๆรัศมีสีเหลืองเหล่านั้นควบแน่นก่อตัวขึ้นเป็นลูกไฟ ก่อนจะพุ่งโจมตีใส่ผู้อาวุโสอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าคนหนึ่งทันที
“อ๊ากก!”
ผู้อาวุโสคนนั้นส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น ถูกซัดกระเด็นออกไป
คล้อยหลังไม่นาน ทั่วทั้งร่างของเขาก็ติดไฟและเริ่มเผาร่างทั้งเป็น
ภาพฉากนี้ต่างทำเอาทุกคนเหงื่อตกกันเป็นแถบ
“ทุกคนอยู่นิ่งๆห้ามขยับเด็ดขาด! ไอ้บัดซบน้อยนั้นไปกระตุ้นให้ค่ายกลทำงาน! แต่ตอนนี้พวกเราก็ตกอยู่ภายใต้ค่ายกลนั้น!”
ต้วนเฟยกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชังขณะเอ่ยเตือนออกมา
ค่ายกลนี้ดูน่าเกรงขามเกินไปมากนัก แม้แต่ผู้อาวุโสระดับชั้นอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้ายังกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
เย่หยวนเหลือบมองเล็กน้อยและแสยะยิ้มแสนเยือกเย็นพลางกล่าวว่า
“เจ้าคิดว่าคงดีกว่าหากไม่ขยับใช่หรือไม่?”
สุ้มเสียงเย่หยวนยังไม่ทันจืดจาง ลูกไฟสีเหลืองพลันพุ่งอัดผู้อาวุโสอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าอีกครั้ง!
…………………………………
ตอนที่ 1443 เข้าถึงด้านใน!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผลลัพธ์ที่ออกมาหาได้สร้างความประหลาดใจแม้แต่น้อย ผู้อาวุโสคนนั้นถูกไฟคลอกจนไหม้เป็นเถ้าถ่านเหมือนกัน!
ฟุบ!
ลูกไฟสีเหลืองอีกลูกระดมควบแน่นก่อตัวขึ้นมา เป้าหมายในคราวนี้เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าที่อยู่ข้างเย่หยวน
เมื่อเห็นภาพฉากเช่นนี้ สีไม้ใบหน้าของฉินเทียนก็เผยให้เห็นถึงความอื่มเอมใจนัก
แม้ลูกไฟเหล่านี้มิได้พุ่งเป้าไปทางเย่หยวน แต่ก็สามารถทำให้ฝ่ายตนเองบาดเจ็บสาหัสได้เช่นกัน เห็นแบบนี้เขาก็สุขใจยิ่งนักแล้ว
เจ้าหาได้ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์สักทีเดียว?
คิดจะหลอกล่อพวกเดียวกันเองด้วยใช่ไหม?!
เมื่อเห็นลูกไฟพุ่งเข้ามาใกล้ เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนนั้นก็เหงื่อแตกพลักชุ่มเปียกทั้งหลังในทันที
ขณะที่เขากำลังจะถอนฝีเท้าถอยหนี เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูของเขา
“อย่าขยับ ข้าจะพาเจ้าไปยังที่ปลอดภัยเอง”
ดั่งเสียงแห่งสวรรค์ให้ความช่วยเหลือ สุดประทับใจอย่างหาที่เปรียบไม่
รู้สึกเพียงว่าวิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันพร่ามัวหนัก มีร่างหนึ่งฉุดร่างของเขาออกไปเพื่อหลบเลี่ยงลูกไฟสีเหลืองเหล่านั้น
การกระทำนี้ของเยหยวนเปรียบเสมือนว่าเขาไปเหยียบระเบิดที่ฝังดินเอาไว้ ส่งผลให้มีลูกไฟจำนวนมากพุ่งติดตามไล่หลังเขาไม่ห่าง
“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่มีทางตายหากไม่รนหาปัญหาใส่ตัว! เย่หยวน ทีนี้ขอดูหน่อยว่า เจ้าจะหนีรอดได้อย่างไร!” ฉินเทียนระเบิดหัวเราะอย่างเดือดดุ พลางเอ่ยกล่าวด้วยความตื่นเต้น
แต่เย่หยวนหาได้นำพาวาจาใดๆมาใส่ใจ และพาคนๆนั้นใช้วิชาข้ามมิติพุ่งสวนกลับไปทางลูกไฟเหล่านั้น!
เมื่อเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนนั้นเห็นว่าลูกไฟผ่านหน้าเฉียดแก้มเพียงนิดเดียว ทั่วร่างพลันขนลุกซู่ว รู้สึกเพียงว่าเป้ากางเกงยามนี้เปียกแฉะ ปรากฏว่าเขากลัวจนฉี่แตกแล้ว
ในเวลานี้ทุกคนต่างเฝ้ามองเย่หยวนอย่างใจจดใจจ่อ
สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ เขาสามารถเลี่ยงหลบไปมาระหว่างลูกไฟแต่ละลูกได้ และมิปล่อยให้พวกมันพุ่งสัมผัสตัวแม้แต่นิดเดียว!
รอยยิ้มแสยะกว้างของฉินเทียนพลันแข็งค้างในทันใด ก่อนจะค้างเติ่งเช่นนั้นอยู่บนใบหน้า
ร่างอันบิดพลิ้วของเย่หยวนเคลื่อนไหวหลบเลี่ยงประดุจสายลมไม่รู้กี่ท่าต่อทีท่าแล้ว
ทันทีทันใดเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนนั้นรู้สึกดั่งว่าภาพฉากหน้าตรงเบลอหนักเข้า รู้สึกตัวอีกทีคือสามารถหลบลูกไฟเหล่านั้นได้โดยปราศจากรอยขีดข่วนใดๆ!
“อยู่นิ่งๆอย่าขยับ! มิฉะนั้นต่อให้เป็นผู้อมตะก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้!”เย่หยวนกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม
“อะ-โอ้! เข้าใจแล้ว!”เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนนั้นเร่งพยักหน้าพลางนึกขึ้นได้
ตอนนี้เสมือนกับว่าเย่หยวนกำลังพาเขาร่ายรำอยู่บนคมมีด รสชาติความระทึกช่างตราตรึงใจดีจริง
“ก้าวสี่เพิ่มอีกสาม…”ภายในจิตใต้สำนึกของเย่หยวน สุ้มเสียงของหวูเฉินกำลังชี้แนะเส้นทางให้เขาฟังอย่างรวดเร็ว
ค่ายกลนี้ลึกลับซับซ้อนอย่างหาที่ใดเปรียบไม่ มีความเป็นไปได้สูงว่าสิ่งนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิเทพสวรรค์นภาบรรพตด้วยตัวเอง และขอบเขตของเย่หยวนในปัจจุบัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะวิเคราะห์หาจุดควบคุมได้
แต่เขายังมีหวูเฉิน ผู้อาวุโสมากประสบการณ์ที่อยู่ข้างกายเขา
ในขณะที่ค่ายกลเปิดใช้งาน เขาก็จดจำรูปแบบค่ายกลชนิดนี้ได้ทันที
ค่ายกลชนิดนี้มีชื่อว่า ค่ายกลจักรวาลท่องเพลิงฟ้าแห่งแปดบรรพกาล มันเป็นค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ห้าดาว ขุมพลังของมันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต
แต่ต่อหน้าค่ายกลนี้ เขาเข้าใจชัดแจ้งได้เพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้น
มิฉะนั้นผู้คนเหล่านี้ที่อยู่เบื้องหน้าคงตายกันหมดแล้ว
ทันทีที่เย่หยวนแลเห็นคนที่เหลือ เขาก็ทราบทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
นี่อาจเป็นแผนการที่ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิเทพสวรรค์นภาบรรพต เพื่อต้องการเติมเต็มพลังให้แก่ผลวิญญาณเต๋าที่อ่อนแอลง ด้วยเลือดสดและพลังชีวิตของเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้า
ดังนั้นนันจึงเป็นเหตุที่ทุกคนถูกส่งมาที่นี่
ในไม่ช้า เย่หยวนก็ย้อนกลับสู่ตำแหน่งเดิมและควาร่างไป๋เฉินทะยานจากไป
เขายังคงทำเช่นเดิมและนำผู้คนของวังเทวะรัตติกาลฉายไปส่ง ณ ที่ปลอดภัย
สีหน้าการแสดงออกของฉินเทียนและต้วนเฟยบิดเบี้ยวน่าเกลียดถึงขีดสุด ค่ายกลเบื้องหน้านี้ทรงพลังยิ่งยวด แต่มีเพียงเย่หยวนคนเดียวเท่านั้นทีสามารถทะยานฝ่าไปมาได้อย่างอิสระเสรี ซึ่งนี่หาใช่ข่าวดีไม่!
ต้วนเฟยหันขวับมองไปที่ฉินเทียนและกล่าววาจาเสียงเย็นขึ้นว่า
“หากไม่เร่งคิดหาวิธีหนีออกไป พวกเราทุกคนจะต้องตายลงตรงนี้! มิใช่ว่าพวกเจ้าเป็นเซียนต่างแดนเหมือนกันหรอกรึ? แต่ไฉนเจ้าถึงไร้ประโยชน์นัก?”
ฉินเทียนเปล่งเสียงคำรามตอกกลับด้วยความโกรธเกรี้ยว เสียงทุ้มต่ำดังว่า
“ข้าก็บอกเจ้าไปนานแล้วว่า ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มันมีสมบัติล้ำค่าพกติดตัวอยู่! ระดับชั้เขินค่ายกลนี้สูงมาก หากพลังของมันไม่ลดลงเลย มีหวังได้ตายกันหมด!”
ต้วนเฟยตะคอกสวนด้วยน้ำเสียงเย็นจัดว่า “นี่กลับมิได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า เจ้ามันไร้ประโยชน์เช่นเดิม!”
ฉินเทียนตอบกลับอย่างโกรธจัดว่า “หากเจ้ามีประโยชน์นัก เช่นนั้นก็รีบสร้างค่ายกลป้องกันให้ข้าดู!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันไปมา ก็พลันถูกลูกไฟเข้าจู่โจมพร้อมกัน!
บูม!
บูม!
ลูกไฟทั้งสองถูกทำลายในพริบตา!
อย่างไรก็ตามแต่ สีหน้าการแสดงออกของเขาก็หาได้เผยถึงความสุขใจแม้แต่น้อย เนื่องจากการโจมตีสกัดป้องกันเช่นนี้ มันกินพลังปราณเทวะของพวกเขามักเกินไป
พวกเขาสามารถป้องกันพ้นภัยร้ายได้แค่อีกไม่กี่ครั้ง แต่ใครจะไปรู้ว่าค่ายกลบ้านี้จะหยุดทำงานตอนไหน แล้วพวกเจ้าจะต้องป้องกันเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่?
“หุหุ ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าดีเยี่ยมเลยทีเดียว! หลังจากที่ข้าได้ผลวิญญาณเต๋ามาแล้ว ข้าจะกลับมาคิดบัญชีกับพวกเจ้าอีกครั้ง!”เย่หยวนเหลือบมองภาพฉากเหล่านี้เล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากพลางหัวเราะเสียงเย็นชืด
เมื่อกล่าวจบ ร่างของเขาพลันกระตุกวูบ เคลื่อนไปหาทิศทางของผลวิญญาณเต๋าโดยตรง
ทั่วร่างของฉินเทียนสั่นสะท้านหนัก สายตาคู่นั้นจับจ้องไม่มีลดละด้วยความไม่พอใจสุดขีด
ดูเมื่อว่าเย่หยวนจะเข้าใกล้ผลวิญญาณเต๋าเข้าไปทุกทีแล้ว ฉินเทียนไม่สามารถทนดูอยู่เฉยๆได้อีกต่อไป รัศมีกลิ่นอายทั่วกายาระเบิดคลั่งพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุด
“เย่หยวน เจ้าบังคับข้าเอง! วันนี้ข้าจักต้องฆ่าเจ้าให้ได้! คิดจะฉกฉวยผลวิญญาณเต๋า? ฝันไปเถอะ!”
ฉินเทียนคำรามลั่นน้ำเสียงเดือดดุ บนมือของเขาปรากฏวัตถุคล้ายก้อนน้ำแข็งขึ้นมา
คลื่นพลังวิญญาณอันทรงพลังกวาดล้างไปทั่วทั้งโถงกว้างในทันใด
“นั้นมันผลึกมณีลึกล้ำหมื่นปี! ผลึกมณีลึกล้ำหมื่นปีชิ้นแค่นี้ มันเพียงพอแล้วทีจะทำให้เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้า! ชายคนนั้นมีของเช่นนี้อยู่ในมือจจริงๆ!”
หวู่เฉินกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ
บูมมม!
รัศมีกลิ่นอายของฉินเทียนปลดปล่อยออกมาจนถึงขีดจจำกัด แรงกดดันปริมาณมหาศาลท่วมท้นปกคลุมไปทั่วบริเวณในทันใด
เขากำลังเลื่อนระดับชั้นขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้า!
“ข้าระงับอาณาจักรพลังของตนมาโดยตลอดเพื่อศึกษาทำความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งดาบให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ในวันนี้เพื่อตัวเจ้า ช้าจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าให้ดูเป็นขวัญตา! เจ้าจงภูมิใจกับสิ่งนี้เสียเถอะ!”
ฉินเทียนระเบิดหัวเราะดั่งคนเสียสติ พร้อมกลืนผลึกมณีลึกล้ำหมื่นปีลงไปในคำเดียว
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนพลันผันเปลี่ยนในทันที ฝีเท้าเร่งกระตุกวูบเร่งความเร็วพุ่งไปหาผลวิญญาณเต๋า
ฟุบบ!
ปรากฏลูกไฟลูกหนึ่งพุ่งโจมตีใส่ฉินเทียน
ฉินเทียนไม่จำต้องเหลียวมองด้วยซ้ำ คมดาบทะยานเหินเข้าสกัดโดยตรง
บูม!
ลูกไฟนั้นถูกทำลายทันทีในพริบตาเดียว
ด้วยแรงสนับสนุนจากผลึกมณีลึกล้ำหมื่นปี ฉินเทียนไม่สนเลยว่าพลังปราณเทวะในร่างจะถูกนำจ่ายไปมากมายเท่าใด
ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยความสามารถของฉินเทียนเอง เขาสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้นานแล้ว
แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาระงับมันไว้ตลอดและมิได้พยายามก้าวข้ามขีดจำกัดแต่อย่างใด เพียงเพื่อศึกษาทำความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งดาบภายในสุสานดาบ
เมื่อระงับนานเข้าพลังปราณภายในร่างก็สั่งสมทวีทบไปเรื่อยๆจนเป็นชั้นหนา ยามใดที่เขาต้องการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้า เขาได้ทำโดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ
เรื่องการก้าวข้ามขีดจำกัดเช่นนี้นับเป็นเรื่องง่ายเกินไปสำหรับอัจฉริยะอย่างฉินเทียน ต้วนเฟยที่เฝ้าดูอยู่เคียงข้าง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างเขากับผู้บุกรุกฉินเทียนคนนี้
หากย้อนกลับไป ในตอนนั้นเขาต้องใช้เวลานานกว่าห้าหมื่นปีเต็มเพื่อจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้า!
แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับทำได้โดยแทบไม่แยแสอันใด
บูม! บูม! บูม!
ฉินเทียนชักดาบกระชับแน่น ควงฟาดฟันออกไปด้วยความเร็วดุจพายุ กำจัดลูกไฟทั้งหมดได้ในพริบตา
ฝีเท้าของเย่หยวนยามนี้พัลวันเร่งรุกคืบหน้าโดยไว
ขณะเดียวกัน ฉินเทียนเองก็พุ่งทะยานไปยังทิศทางของผลวิญญาณเต๋าเช่นกันด้วยความเร็วเต็มสูบ
เมื่อต้วนเฟยเห็นทั้งสองที่กำลังแย่งชิงผลวิญญาณเต๋ากัน ในที่สุดเขาก็มิอาจทานทนได้ไหวอีกต่อไป
“บัดซบ! เสี่ยงเป็นเสี่ยง!”
ต้วนเฟยกัดฟันกรอด คู่เท้าเร่งทะยานปราดพุ่งไปหาผลวิญญาณเต๋าเช่นกัน
ร่างทั้งสามทะลวงฝ่าค่ายกลเข้ามา พวกเขาล้วนปรารถนาที่จะเป็นคนแรกที่ได้คว้าผลวิญญาณเต๋ามาอยู่ในกำมือ
อย่างไรก็ตามแต่ ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ผลวิญญาณเต๋ามากเท่าไหร่ ลูกไฟที่ควบผลึกก่อตัวขึ้นมาโดยรอบยิ่งมีจำนวนและพลังทำลายล้างสูงขึ้นตามไปด้วย
ขุมพลังอันทรงพลังของฉินเทียนในยามนี้แกร่งกล้าอย่างไม่ต้องสงสัย
รัศมีกลิ่นอายของเขายังทวีเพิ่มพูนขึ้นไม่หยุด และเข้าใกล้อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าเต็มขั้นเข้าไปทุกทีแล้ว
ฉินเทียนสุขใจยิ่งที่ผลวิญญาณเต๋าอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น!
…………………………………
ตอนที่ 1444 สุดขอบฟ้าไพศาล!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฮ่าๆๆ เย่หยวน ในที่สุดเจ้าก็ต้องถึงฆาตในเงื้อมมือข้า! ผลวิญญาณเต๋าเป็นของฉินเทียนผู้นี้!”
เสมือนว่าเขากำลังจะได้รับผลวิญญาณเต๋ามาเป็นของตนแล้ว ฉินเทียนรู้สึกตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่
แต่กระนั้นโดยรอบเคียงกาย กลับปรากฏลูกไฟจำนวนมากขึ้นต่อเนื่อง ยามนี้เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะก้าวย่างออกไปต่อเบื้องหน้า
พลังวิญญาณที่เปี่ยมล้นภายในผลึกมณีลึกล้ำหมื่นปีทรงพลังเข้าขั้นวิปลาส รัศมีกลิ่นอายของฉินเทียนยังทวีความบ้าคลั่งต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
“ย๊ากก!”
ฉินเทียนตะโกนกู่ร้องสุดเสียง รัศมีแรงกดดันพุ่งทะยานเฉียดฟ้าย่านสวรรค์สุดขอบพิภพในอึดใจเดียว!
แรงกดดันที่เพิ่มทวีเป็นกลิ่นอายแห่งสุดยอดขุมพลังอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าอย่างชัดแจ้ง
สายตาที่จับจ้องของฉินเทียนลึกล้ำเฉียบคม ดาบยาวในมือกระชับแน่นยามนี้บิดพลิ้วประดุจอสรพิษโฉบเฉี่ยวจู่โจมใส่ลูกไฟโดยรอบด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าฟาด
“พร๊วดด!”
แม้เขาจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้แล้ว แต่ลูกไฟเหล่านี้ยังคงทรงพลังเกินรับมือ พวกมันยังสร้างความเสียหายจนได้รับบาดเจ็บหนักถึงอวัยวะภายใน
ฉินเทียนพยายามระงับอาการบาดเจ็บสุดกำลัง และปราดรุกเดินหน้าไปต่อ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฉินเทียนก้าวข้ามขีดจำกัดผ่านมาได้ เขาในยามนี้กล่าวได้ว่าทรงพลังไร้เทียมทาน แม้เขาจะก้าวย่างเดินหน้าไปได้อย่างแช่มช้า ทว่าแต่ละก้าวกลับมั่นคงดั่งหินผา!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปอาการบาดเจ็บของฉินเทียนกลับสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆและหนักขึ้นเจียนจะทานทนไหว
ในอีกด้าน ความเร็วของต้วนเฟยช้าลงอย่างชัดเจน เขาแทบมิอาจทะลวงฝ่าแนวด้านโจมตีของเหล่าลูกไฟได้อีกแล้ว
“พร๊วดด!”
ฉินเทียนกระอักพ่นเลือดสดคำโตตลอดเส้นทาง ขณะนี้ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงตรงหน้าผลวิญญาณเต๋าเป็นที่เรียบร้อย!
กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าเข้ากระทบสัมผัสกายา ทำเอาฉินเทียนรู้สึกสุขใจแทบขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น
ชวิ้ง! ชวิ้ง! ชวิ้ง!
ฉินเทียนชักดาบยาวเข้าปะทะตัดสายลมสะบั้นลูกไฟนับหลายสิบ บริเวณใกล้เคียงด้านซ้ายมือพุ่งโฉบเข้าหยิบผลวิญญาณเต๋าทันทีเสมือนอสรพิษงับเหยื่อ
ตอนนี้มันอยู่ในมือแล้ว!
หัวใจของฉินเทียนแทบกระโจนพุ่งออกจากลำคอ!
นี่คือผลวิญญาณเต๋า!
ตราบใดที่เขากลืนมันลงไป วันที่เขาจะสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ยิ่งใกล้มาถึงแค่เอื้อมเท่านั้น!
หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาจะกลายมาเป็นยอดเซียนแห่งมหาพิภพถงเทียนขนานแท้!
กระทั่งเจ้าเมืองหลวงหวู่เมิ่งยังต้องก้มศีรษะให้เขาและเรียกขานเขาว่า‘นายท่าน!’
เสาะค้นบนมหาพิภพถงเทียน ผลวิญญาณเต๋ามีค่าหาประเมินได้ไม่!
ใครก็ตามที่ได้เห็นมันต่างต้องหวั่นไหวมากแรงปรารถนาไร้สิ้นสุด!
วูบ!
ในขณะฉินเทียนฝันหวานอยู่นั้นเอง พลันปรากฏสายลมโฉบวูบหนึ่ง วัสัยทัศน์เบื้องหน้าพร่าเบลอไร้สาเหตุ
ผลวิญญาณเต๋าหายไปแล้ว+
ในช่วงเวลานั้นเอง เสมือนราวกับฉินเทียนที่เพิ่งขึ้นสวรรค์กลับดิ่งพสุธาลงเหวนรกทันใด
เห็นได้ชัดแจ้งผลวิญญาณเต๋าอยู่ในกำมือเขาแล้ว แต่กลับถูกโฉบชิงไปต่อหน้าต่อตา!
ชั่วขณะเสี้ยวอึดใจ มันเป็นความเร็วสุดน่าเหลือเชื่อ ที่แม้แต่ฉินเทียนยังจับสัมผัสไม่ทัน
“เร็วมาก! เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น?”
“ไม่รู้! สายตาข้าจับจ้องอยู่ที่ผู้อาวุโสสูงสุดตลอด แต่ร่างของเขาอันตรธานหายไปเมื่อใดกลับไม่ทราบ!”
“ผู้อาวุโสสูงสุดเป็นค้นคว้าผลวิญญาณเต๋าไปได้? แล้ว…แล้วเขาอยู่ที่ใดกัน?”
“ฮ่าๆ มันใกล้แล้ว! ตอนนี้ความหวังทุกอย่างของข้าสูญสิ้น! อีกไม่นานพวกเราจะตายกันหมด!”
…
สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้แน่นอนคือฉินเทียนมิได้ผลวิญญาณเต๋าไปครอง ผู้คนของวังเทวะรัตติกาลฉายที่เห็นแบบนั้นต่างก็ฉีกยิ้มกว้างกันใหญ่
ณ ทีแรก หัวใจของแต่ละคนเต้นระรัวแทบกระโดดออกจากลำคอ เพราะคิดว่าผลวิญญาณเต๋าจำพรากตกอยู่ในมือของฉินเทียนเสียแล้ว
แต่ไม่มีใครคิดใครฝันเลยว่า สถานการณ์จะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ และเป็นผู้อาวุโสสูงสุดที่ฉกฉวยแย่งไปจากมืออีกฝ่ายโดยตรง
บูม! บูม! บูม!
ทันทีทันกำแพงหินโดยรอบบริเวณเกิดเสียงระทึกกึกก้อง โดยรองระเบิกวินาศสูญเป็นแถวยาว
“จันทร์สลาย!”
คมดาบนี้รวดเร็วเหลือเชื่อ เย่หยวนเร่งดับลูกไฟที่ไล่หลังอย่างรวดเร็ว
มือข้างหนึ่งของเขาถือผลไม้ไว้ลูกหนึ่ง นั้นก็คือผลวิญญาณเต๋า!
“เย่หยวน ข้าจะฆ่าแก! เราสองมิอาจอยู่ร่วมแผ่นฟ้าเดียวกันได้!”
ขณะที่ฉินเทียนเข้าสะบั้นลูกไฟต่อเนื่อง พลางคำรามอย่างดือดดุใส่เย่หยวนสุดบ้าคลั่ง
ถูกฉกฉวยไปต่อหน้าภายในมือ เพลิงพิโรธของฉินเทียนเดือดปะทุสุดขีดเกินใครจะจินตนาการออก
แต่กระนั้นอย่างไร เขามิอาจทราบเลยว่า ไฉนเย่หยวนถึงรวดเร็วปานนั้น
เห็นได้ชัดแจ้งว่า อีกฝ่ายยืนอยู่ห่างจากผลวิญญาณเต๋าในมือเขามาก แต่เสี้ยวพริบตาต่อมากลับฉกฉวยไปได้ราวกับข้ามมิติมาขโมย
คล้ายแย่งชิงเนื้ออันโอชาออกจากปากเสือโดยตรง จนทุกคนมิอาจตอบสนองได้ทันท่วงที!
จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังยืนแข็งค้าง ขากรรไกรค้างเติ่งด้วยความตกตะลึง
เย่หยวนร่อนลงจอดประชิดติดพื้นดินอย่างปลอดภัย ในขณะเดียวกันโยนลูกที่อยู่ในมือเล่นหยอกล้อไปมาพลางกล่าวกับฉินเทียนว่า
“เจ้าเองก็มีส่วนเอี่ยว รออยู่ตรงนั้นจนว่าข้าจะมาคิดบัญชีสักครู่! หนี้แค้นระหว่างเราสองชำระทบต้นทบดอกให้เสร็จสรรพภายในวันนี้!”
เมื่อกล่าวจบ เงาร่างเย่หยวนกระตุกเท้าวูบเคลื่อนทะยานออกไปอีกครั้ง
ไม่นานนัก ร่างของเย่หยวนก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งข้างกายไป๋เฉิน ก่อนจะยื่นผลวิญญาณเต๋าให้พร้อมกล่าวว่า
“กินซะ!”
ไป๋เฉินจับจ้องภาพฉากตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสุดใจ ก่อนจะส่ายหัวรัวเร็วดั่งลั่นกลองและกล่าวว่า
“ไม่มีทาง! ของล้ำค่าเช่นนี้ท่านอาจารย์เย่ควรได้มันไปครอบครองหลังเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น! แล้วท่านจะมาให้ข่ากินง่ายๆเช่นนี้ได้อย่างไร?”
หากกินผลวิญญาณเต๋าเข้าไปก็เท่ากับว่า เขาจะสามารถควบคุมสรรพสิ่งในดินแดนแห่งนี้ได้!
แต่เย่หยวนกลับยอมมอบมันให้แก่เขาโดยง่ายเช่นนี้?
ไป๋เฉืนย่อมทราบรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายก่อนหน้า แม้เขาจะมองกาเคลื่อนไหวของเย่หยวนไม่ทัน แต่แรงระเบิดก่อนหน้าเหนือฟากฟ้าก็ทำให้ทราบทันทีว่าเกิดการปะทะครั้งใหญ่
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ไป๋เฉินด้วยความอิจฉา รวมไปถึงเหล่าเซียนของฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายเองก็เช่นกัน
หากกินผลวิญญาณเต๋าเข้าไปก็จะสามารถควบคุมทั้งดินแดนแห่งนี้ได้
พวกเขาจะมีพลังอำนาจอันเหลือล้นอยู่ในกำมือ ไป๋เฉินจะสามารถควบคุมความเป็นความตายของสรรพสิ่งได้ดั่งใจนึก
แล้วใครกันที่จะไม่ต้องการ?
เย่หยวนคลี่ยิ้มอย่างแผ่วเบาและกล่าวว่า
“สิ่งนี้มิได้ก่อเกิดประโยชน์อันใดให้ข้าเช่นกัน แต่หากเจ้ากิน เจ้าจะสามารถควบคุมฟ้าดินได้ดั่งใจนึก!”
ดวงตาของไป๋เฉินโพล่งเบิกกว้าง เขากล่าวด้วยความตื่นตะลึงว่า
“มันจะไร้ประโยชน์ได้อย่างไร? ก็ท่านบอกว่าหากกินไปแล้วจะสามารถควบคุมฟ้าดินได้!”
เย่หยวนยิ้มกล่าวเป็นคำตอบ
“สรรพสิ่งบนผืนพิภพ เจ้าต้องมีแพ้มีชนะบ้างผสานรวมกันไป! แม้ว่าผลวิญญาณเต๋านี้จะมีสรรพคุณน่าประทับใจ แต่ตราบใดที่กินลงไปแล้ว มันจะเข้าลบล้างความสามารถเฉพาะตัวไป หรือกล่าวได้ว่าการบ่มเพาะพลังจะยากขึ้นเป็นพันหมื่นเท่าหากเปรียบกับคนทั่วไป! หากไม่เกิดอุบัติเหตุอันใด ผู้ที่กินผลนี้เข้าไประดับพลังจะหยุดอยู่แค่อาณาจักรนภาสวรรค์ไปชั่วชีวิต! เว้นเสียแต่…คนเหล่านั้นจะพาบพบกับผลวิญญาณเต๋าที่ระดับชั้นสูงกว่านี้!”
คนที่บังเอิญพาบพบเข้าไปผลวิญญาณเต๋า รับเป็นโชคท้าทายสวรรค์ยิ่งในชั่วชีวิตหนึ่ง
แต่การจะพานพบมันอีกครั้งเป็นคำรบสอง โดยปกติแล้วมันแทบไม่มีทางเป็นไปได้!
และความทะเยอทะยานของเย่หยวนเองก็มิได้หยุดอยู่แค่ระดับพลังเล็กๆอย่างอาณาจักรนภาสวรรค์แน่นอน แต่เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น!
เย่หยวนมิได้เจตนาเร้นซ่อนเห็บเสียงอันใด ฉินเทียนที่กำลังพัลวันอยู่กับบรรดาลูกไฟที่พุ่งเข้าจู่โจมเองก็ได้ยินเช่นกัน
‘แค่อาณาจักรนภาสวรรค์?’วาจานี้ใช้ได้ดี!
อาณาจักรนภาสวรรค์ บนมหาพิภพถงเทียน กล่าวได้ว่าในบรรดาเซียนหลายร้อยล้านคนจะเสาะหาพบสักคนหนึ่ง!
แต่สหายหนุ่มคนนี้กลับใช้วาจาช่างเหยียดหยามยิ่งนัก!
“ดังนั้นเจ้าต้องไตร่ตรองให้ดี หากเจ้ากินผลวิญญาณเต๋าลูกนี้เข้าไป ชั่วชีวิตนี้ของเจ้าจะไม่สามารถทะลวงข้ามอาณาจักรนภาสวรรค์ได้อีกตลอดกาล อาณาจักรนภาสวรรค์นี้แม้จะนับเป็นยอดเซียนระดับสูงในมหาพิภพที่อยู่ภายนอก แต่ก็ยังไม่ถือเป็นขุมพลังไร้เทียมทานที่แท้จริง”
เย่หยวนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเย็น
ด้านข้างฉินเทียนอีกฝั่ง เสียงหายใจของโม่หยุนหอบตระหนี่ถี่สั้นดังรุนแรง
เมื่อเห็นไป๋เฉินยังคงลังเลใจทำอะไรไม่ถูก เขาก็อดเอ่ยปากกล่าวมิได้
“เจ้าเด็กโง่! เจ้ายังมัวรออะไรอยู่อีก! นี่นับเป็นโชคดีครั้งใหญ่ที่ท่านเย่หยวนมอบให้เจ้า! แล้วเจ้าไม่เห็นรึว่าผู้บุกรุกนั้นต้องการสิ่งนี้เพียงใด! เจ้ารีบกินผลวิญญาณเต๋านั้นเร็ว!”
ไป๋เฉินสะดุ้งเฮือก ก่อนจับจ้องไปที่เย่หยวนด้วยแววตาอันแน่วแน่ ก่อนจะคุกเข่าลง
ตึง! ตึง! ตึง!
ไป๋เฉินโขกศีรษะกระแทกพื้นสามทีให้เย่หยวน
“ขอบพระคุณยิ่งในบุญคุณอันล้นเหลือของท่านอาจารย์ หลังจากที่ข้าทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ได้แล้ว ไป๋เฉินคนนี้จักต้องตอบแทนบุญคุณแน่นอน!”
ไป๋เฉินกล่าววาจาหนักแน่น
…………………………………
ตอนที่ 1445 มันสายเกินไปแล้ว!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายใต้ทุกสายตาที่จับจ้อง ไป๋เฉินค่อยๆกินผลวิญญาณเต๋าลงไป
พวกเขาทั้งหมดต่างกลืนน้ำลายอึกใหญ่พร้อมจ้องมองไป๋เฉินด้วยแววตาสุดกระหาย แววตาเหล่านั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความอิจฉา
ทั่วกายาของไป๋เฉินสั่นสะท้าน ประกายแสงในแววตาของเขาจางลงอย่างแช่มช้า ภาพฉากเบื้องหน้ากลายเป็นแสงสีขาวประดุจมีแสงสีน้ำนมห่อหุ้มเขา
ไปเฉินเสมือนทารกในครรภ์ที่หวนย้อนกลับสู่ร่างผู้เป็นแม่อีกครั้ง มวลแสงสีน้ำนมห่อหุ้มร่างกายของเขาที่ขดตัวอยู่แบบนั้นและตกสู่ห้วงนิทราไป
กลิ่นอายแห่งเต๋าอันไร้ขอบเขตเริ่มแผ่ออกมา
ตึงง…
ทั่วทั้งซากอักขระเทวะเกิดแสงสั่นสะเทือน ขณะเดียวกันมันก็เริ่มพังทลายลงมาทีละจุดสองจุด
ตึง! ตึง! ตึง!
ค่ายกลทั้งหมดถล่มลงมา ลูกไฟที่เข้าจู่โจมกระจัดกระจายอยู่ทัวบริเวณยามนี้พลันอันตรธานหายไป
“ฮ่าๆๆ! เย่หยวน ข้าอยากเห็นเสียจริงว่า ยามนี้ยังมีใครสามารถช่วยเจ้าได้อีกในตอนนี้!”
ไร้ซึ่งลูกไฟเข้าสกัดจู่โจม ความกดดันที่ฉินเทียนต้องแบกรับก็ลดลงอย่างมาก
เขาถูกตรึงกำลังโดยค่ายกลบัดซบอันนี้จนแทบทำให้เขาเป็นบ้าตอนที่เขาพยายามจะแย่งชิงผลวิญญาณเต๋ามา ยังทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกต่างหาก
ในอีกด้านหนึ่ง สภาพของต้วนเฟยน่าเวทนากว่าเขายิ่ง
ตั้งแต่หัวจรดเท้า สามารถใช้วาจาคำพรรณนาแสนหลากหลายเกินบรรยาย แทบไม่มีจุดไหนเลยที่ต้วนเฟยอยู่ในสภาพดีหรือพอดูได้
เย่หยวนช้อนสายตามองฉินเทียนอย่างไม่แยแสและกล่าวน้ำเสียงหยามเหยียดไปว่า
“เช่นนั้นตามเงื่อนไขของเจ้า เจ้าก็ต้องฆ่าตัวเองด้วยเช่นกัน?”
สายตาอันเหยียดหยามของเย่หยวนเข้ากระตุ้นโทสะของฉินเทียนอย่างจัง เขาคำรามขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า
“ข้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสถานศึกษาหวูเมิ่ง! แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้าอันต่ำต้อยอย่างเจ้า กลับหาญกล้ากล่าววาจาเพ้อเจ้อไร้ยางอาย?! ตายซะ!”
ฉินเทียนตะโกนเสียงดังลั่น ร่างของเขาไสววูบพุ่งเข้าใส่เย่หยวนสุดบ้าดีเดือดประดุจสายฟ้า
เย่หยวนแสยะยิ้มครืนหัวร่อเสียงเย็น คู่เท้ากระตุกไสว เงาร่างอันตรธานไปจากจุดที่ยืนอยู่
บูม!
บูม!
บูม!
เงาร่างทั้งสองพัลวันโฉบเฉี่ยวกลายเป็นดั่งภูตผี แลกเปลี่ยนปะทะชนหลายกระบวน
สูสีมาก!
อวัยวะภายในของฉินเทียนบอบช้ำได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกเหนือจากนี้ยังถูกเต๋าแห่งดินแดนนี้ปราบปรามปฏิเสธ ความแกร่งกล้าในปัจจุบันจึงแย่กว่าก่อนหน้าที่ก้าวข้ามขีดจำกัดไป
กระบวนดาบอย่างจันทร์สลาย จุดที่เน้นย้ำสำคัญที่สุดคือ การหลอมรวมระหว่างคนกับดาบและเร่งเร้าอานุภาพความเร็วให้ถึงขีดสุด
เย่หยวนหยิบใช้พลังทั้งหมดออกมาไม่มีรั้งรอนปะทุเดือด ยามประจัญบานเข้าปะทะหาได้แย่กว่าฉินเทียนแม้แต่น้อย!
ภายใต้สถานการณ์เฉกเช่นนี้ ความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองกลับสมดุลสูสีกันอย่างน่าประหลาดใจ
ทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีพลังต่อสู้ที่สูงมาก การปะทะกันของทั้งคู่รุนแรงจนทำให้โถงกว้างภายในถ้ำเริ่มถล่มล้มลงมาอย่างรวดเร็ว เศษซากปรักหักพังปลิวว่อนไปทั่วทุกแห่งหน
“ต้วนเฟย ฆ่าเด็กนั้นซะ! มิเช่นนั้นยามที่เขาดูดซับผลวิญญาณเต๋าเสร็จเมื่อใด เจ้าจะตายไม่เหลือซาก!”
ระหว่างศึกสัประยุทธ์เดือด เสียงกู่ร้องแสนเดือดดุของฉินเทียนคำรามลั่น
ต้วนเฟยรู้สึกหดหู่เกินบรรยาย หลังจากถูกลูกไฟเหล่านั้นเข้าโจมตี
รากฐานแห่งเต๋าของเขาได้รับความเสียหายหนัก ต่อให้อาหารบาดเจ็บของเขาจะกลับมาหายดีสมบูรณ์ แต่ระดับพลังของเขาก็ไม่สามารถพัฒนาต่อก้าวสู่อีกขั้นได้แล้วเช่นกัน
วาจาคำกล่าวของฉินเทียนเปรียบดั่งฟ้าคำรน ตัวเขาสะดุ้งเฮือกทันทีก่อนปราดพุ่งไปหาไป๋เฉินเสมือนฟ้าผ่า
แม้ว่าต้วนเฟยจะสูญเสียพลังความแกร่งกล้าลงไปมาก แต่ในทำนองเดียวกัน เขาก็ยังเป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าวันยังค่ำ
ด้วยความแกร่งกล้าของไป๋เซิ่วและที่เหลือ ไม่ว่าอย่างไรก็มิใช่คู่มืออยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ไป๋ซิ่วปราศจากความลังเลแม้สักนิด พร้อมเข้าขวางมิให้อีกฝ่ายเข้าถึงไป๋เฉินโดยง่าย
โม่หยุนและผู้อาวุโสคนอื่นๆเองก็เช่นกัน พวกเขาปรี่รุดเข้ามาขวางหวังสกัดฝีเท้าของต้วนเฟย
ขณะเดียวกันต้วนเฟยหาได้สนใจอาการบาดเจ็บใดๆของตนไม่ พร้อมปลดปล่อยพลังปราณเทวะที่เหลือทั้งหมดในร่างกายออกมา!
“ฝ่ามือเทวะหลัวโป้หรู!”
ต้วนเฟยกัดฟันแน่นกู่ร้องคำรามกึกก้อง รัศมีกลิ่นอายสุดสะพรึงโหมกระเพื่อม ทำเอาไป๋ซิ่วกับที่เหลือหน้าเสียเปลี่ยนไปตามๆกัน
ด้วยอาการบาดเจ็บในปัจจุบันของต้วนเฟย หากพวกเขาต้องการจะเลี่ยงหลบกระบวนโจมตีนี้ย่อมสามารถทำได้เช่นกัน
แต่เบื้องหลังของพวกเขาคือไป๋เฉิน!
“ปกป้องท่านประมุขจนวาระสุดท้าย! ทุกคนผนึกกำลังผสานโจมตีพร้อมข้า!”
“รับทราบ!”
ทุกคนต่างข่านรับสั่งไม่กลัวตาย แต่ละคนหยิบใช้สำแดงกระบวนโจมตีต่างๆเพื่อต้านรับฝ่ามืออันทรงอนุภาพนี้
ต้วนเฟยระเบิดหัวเราะเสียงเย็นสะท้าน กล่าวว่า
“พวกตาบอดและโง่เขลา! ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่ตายเอาเอง เช่นนั้นผู้อาวุโสระดับสูงผูนี้จะส่งพวกเจาทั้งหมดไปสวรรค์เอง!”
คล้อยหลังกล่าวจบต้วนเฟยก็กระตุ้นพลังฝ่ามือเพิ่มอานุภาพทำลายล้างเป็นทบทวี แรงกดดันอันน่าสะพรึงเข้าลบล้างชำระน่านนภา ปกคลุมทั่วผืนพิภพเคลื่อนเข้าไปหาไป๋เฉิน
“ฮ่าๆๆ! ไอ้เด็กนั้นกำลังจะต่อหน้าต่อตาเจ้า! ความหวังทั้งหมดที่เจ้ามีหมดสิ้นไปเสีย ผ่อนคลายเถอะ เจ้ากำลังจะตามมันลงนรกเป็นรายถัดไป!”
วูบบ!
กลางเวหานภากาศ ร่องรอยอัสนีแล่นโฉบคำรนผ่าน
รอยยิ้มของฉินเทียนแข็งค้างอยู่เช่นนั้นบนใบหน้าในทันใด!
เย่หยวนอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาเขาอีกครั้ง!
สีหน้าการแสดงออกของฉินเทียนผันแปรเปลี่ยนในบัดดล เขาอุทานขึ้นดวยความประหลาดใจยิ่งว่า
“นั้นมัน…ยันต์ประกายอัสนีสวรรค์! ไอ้บัดซบ! อาจารย์อัสนีคำรน! นั้นมันยันต์ประกายอัสนีสวรรค์ของเขา!”
ก่อนหน้านี้ภาพฉากที่เย่หยวนฉกชิงผลวิญญาณเต๋าไปจากมือในเสี้ยวพริบตา กระทั่งฉินเทียนยังไม่ทันตอบสนองใดๆ
ในที่สุดเขาก็ทราบเสียทีว่า ไฉนเย่หยวนถึงรวดเร็วได้ถึงขนาดนี้!
มันเป็นเพราะจันทร์สลายและยันต์ประกายอัสนีสวรรค์!
เมื่อเย่หยวนปลดปล่อยกระบวนท่าจันทร์สลายออกไป เขาก็สำแดงใช้ยันต์ประกายอัสนีสวรรค์ออกมาเช่นกัน กล่าวได้ว่าเร่งในเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด!
ยันต์ประกายอัสนีสวรรค์นับเป็นผลงานอันภาคภูมิใจยิ่งของอาจารย์อัสนีคำรน เมื่อสำแดงใช้ออกมา แม้แต่เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าก็ไม่สามารถไล่ตามได้ทันเช่นกัน!
แม้ว่าเย่หยวนจะไม่สามารถปลดปล่อยพลังของยันต์ประกายอัสนีสวรรค์ได้เต็มที่ แต่สิ่งนี้หยิบใช้ออกมาโดยมีพื้นฐานเป็นกระบวนท่าจันทร์สลายคอยเสริมความเร็วให้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อใช้ควบคู่ไปกับยันต์ประกายอัสนีสวรรค์ จึงทำให้ความเร็วของเย่หยวนเทียบเคียงได้กับเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า
ชวิ้ง!
ฉินเทียนสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงคมดาบผ่าเนื้อสดเป็นแนวยาว
สายตาแววประกายอันมีชีวิตชีวาของต้วนเฟย ยามนี้กลับดูเลื่อนลอยมืดหม่นลงทันที
ส่วนฝ่ามืออันน่าสะพรึงนั้นกลับสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไป๋ซิ่วและที่เหลือมีทีท่าคล้ายเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ยามนี้แรงกดดันทั้งหมดก่อนหน้ากลับดับวูบไม่เหลือร่องรอย
ก่อนจะเห็นต้วนเฟยร่วงล้มลงสุดอ่อนแรงต่อหน้าต่อตาพวกเขา
ต้วนเฟยตาย!
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเสี้ยวพริบตา จนทุกคนมิสามารถตอบสนองได้ทัน
กว่าจะรูสึกฟื้นตัวอีกที ต้วนเฟยก็ตายลงไปเสียแล้ว
วูบบ…
อย่างไรก็ตามแต่ ฝันร้ายยังคงดำเนินต่อไป
ฉินเทียนสั่นสะท้านอีกระลอก พร้อมกลิ่นอายแห่งความตายที่โชยขึ้นจากบนหัว!
ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ฉินเทียนเหนเพียงเงาซ้อนเป็นสายหนึ่งพวยพุ่งเข้าหาตัว
ชวิ้ง!
ด้วยความตื่นตระหนก ฉินเทียนเหวี่ยงคมดาบฟาดฟันออกไปตามสัญชาตญาณ
ฉินเทียนรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังมหาศาลที่ส่งผ่านเข้ามา อาการบาดเจบที่ถูกระงับยับยั้งไปก่อนหน้าปะทุกำเริบขึ้นอีกครั้ง เลือดสดสายหนึ่งกระอักพ่นออกมารุนแรง ร่างของเขากระเด็นออกไปไกล
“ยังไม่จบ! อีกครา!”
สุ้มเสียงอันเยือกเย็นของเย่หยวนเสมือนเสียงกระซิบภูตผีอยู่ข้างหูฉินเทียน
ฉินเทียนเสียวสันหลังวูบ หนาวสะท้านยันศีรษะ แต่กระบวนเคลื่อนไหวของเย่หยวนในครั้งนี้น่าสะพรึงเกินไป ตอนนี้เขาจำใจทำได้เพียงตั้งกระบวนป้องกันตามสัญชาตญาณต่อภัยอันตรายเท่านั้น
คมดาบเล่มต่อไป ฉินเทียนกลับไม่ความมั่นใจเลยสักนิดว่าจจะสกัดปัดป้องออกไปได้!
ชวิ้ง!
ฉินเทียนรู้สึกเพียงเบื้องหน้ากลายเป็นภาพเบลอหนัก เย่หยวนปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง!
แกร๊ง!
ครั้งนี้เขายังป้องกันได้อีกครั้งอย่างหวุดหวิด เสมือนแมวตาบอดไล่หนูตาย!
ภายใต้แรงปะทะอันทรงพลังในคราวนี้ ดาบในมือฉินเทียนมิอาจจับแน่นกระชับมือได้อีกต่อไป จนสุดท้ายพลันหลุดมือตกลงไปในบ่อหินหนืดทันที
“ตายซะ!”
คำกล่าวนี้ของเย่หยวนเปรียบเสมือนฝันร้าย
รูม่านตาของฉินเทียนหดแคบเท่ารูเข็ม ขามนี้กรีดร้องอ้อนวอนแก่เย่หยวนด้วยน้ำเสียงอันสั่นคลอน
“ข้าผิดไปแล้ว! เย่หยวน ข้าผิดไปแล้ว! มา…มาคืนดีกันเถอะ!”
“มันสายไปแล้ว!”
สุ้มเสียงเย็นชืดของเย่หยวนปราศจากอารมณ์สงสัยใด และนี่เป็นเสียงสุดท้ายที่ฉินเทียนจะได้ยิน
ซวบบ!
ดาบพิชิตมารฟ้าเจาะทะลวงเกราะวิหคสวรรค์ทะลุผ่านอวัยวะภายในเสียบมิดด้าม!
ตอนที่ 1446 เสี่ยงชีวิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ข้า…ไม่…ยอม!”
สายตาของฉินเทียนเริ่มดูเลื่อนลอยออกไป แต่ในขณะเดียวกันเขาเองก็ไม่สามารถยอมรับความตายแบบนี้ได้เช่นกัน
เขาเป็นถึงศิษย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของสถานศึกษาหวู่เมิ่งในรอบหนึ่งแสนปี หากไมมีเรื่องเลวร้ายอันใดเกิดขึ้นก่อน เขาควรจะสามารถก้าวขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้แน่นอน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ชายซึ่งมีนามว่าเย่หยวนได้ปรากฏตัวขึ้นมา และแยงแสงสว่างทั้งหมดไปจากเขา
เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าสามารถบดบังแสงสว่างอันเฉิดฉายของเขา ผู้ซึ่งเป็นถึงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าครึ่งขั้น!
ไม่นานมานี้ เย่หยวนยังเปนแค่มดปลวกตัวน้อยที่สามารถถูกบดขยี้ให้ตายเมื่อใดก็ได้อย่างง่ายดายในสายตาของฉินเทียน
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้ค้นพบว่าจู่ๆ มดตัวนี้ก็พัฒนาเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสามารถคุกคามตัวเขาได้!
ดังนั้นเขาจึงแอบแฝงตัวเข้ามาในดินแดนนภาบรรพต เพื่อต้องการจะฆ่าเย่หยวน
แต่ผลสุดท้ายกลับลงเอยด้วยความตายของตัวเขาเสียเอง
อัจฉริยะฟาประทานอย่างต้องมาตายที่นี่ตรงนี้!
“นี่… เพียงพริบตาเดียว สามารถฆ่ายอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้ถึงสองคน! ชายคนนี้ทำสำเร็จได้อย่างไร?”
“แข็ง…แข็งแกร่งเกินไป! เขาเพิ่งอยู่ในอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นเองมิใช่รึ ไฉนถึงสามารถเล่นงานยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าทั้งสองถึงตายลงได้!?”
“นับเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับระดับชั้นเซียนอาณาจักรพระเจ้า ที่จะข้ามระดับมาสู้! แต่ความแกร่งกล้าของชายคนนี้ช่างน่าสะพรึงโดยแท้ ถึงขั้นข้ามอาณาจักรย่อยถึงสองสามระดับ!”
“เย่หยวนผู้นี้นาจะเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งบนโลกภายนอกเช่นกัน?”
…
ท่ามกลางเสียงร้องอุทานของทุกคน เย่หยวนทิ้งดาบของตนและยืนนิ่งอยูเช่นนั้น เบื้องลึกในแววตาปราศจากความสงสารแม้แต่น้อย
ตระกูลฉินไม่สนวิธีการขอเพียงทำให้เขาตายได้ก็เพียงพอ
หากมิใชเพราะเย่หยวนมีไพ่ตายซุกซ่อนไว้อยู่ ปานนี้เขาเองก็คงตายไปนานไม่เหลือซากแล้ว
แรกพบที่เจอหน้ากัน ฉินเทียนมองเย่หยวนราวกับเขาตายไปแล้ว
การฆ่าฉินเทียนทิ้งในคราวนี้ หาได้มีผลกระทบอันใดต่อจิตใจเขาเลย
บูมม…
ก้อนหินขนาดมหึมาร่วงหลนลงมาจากด้านบน กระแทกเข้าใส่เกาะที่อยู่ในจุดศูนย์กลาง
เกาะที่ลอยอยู่บนจุดศูนย์ค่อยๆ จมลงไปในบ่อหินหนืด
ตอนที่เขากำลังสัประยุทธ์เดือดอยู่กับฉินเทียน เย่หยวนมิได้สังเกตเห็นก้อนหินมหึมานี้ที่ตดกระทบเข้าใส่
หากตอนนี้คิดจะกอบหู้เกาะให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม กลับสายเกินไปเสียแล้ว!
โดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ เย่หยวนใช้ยันต์ประกายอัสนีสวรรค์แผ่นที่สาม ร่างดุจไสวทิ้งทวนเป็นเงาสายหนึ่ง เร่งรุดปรีลงไปด้าล่างบริเวณใกล้บ่อกินหนืดโดยตรง
เย่หยวนเร่งเร้ากพลังปราณเทวะโคจรจนเร็วถึงขีดสุด และพุ่งไปถึงเกาะเก็บเอาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ตามพื้นกลับมาทันที
การเคลื่อนไหวของเย่หยวนรวดเร็วดุจสายฟ้า ในเสี้ยวอึดใจ เขาก็รวบรวมศิลาชีวิตนิจนิรันดร์มาได้จำนวนเจ็ดถึงแปดก้อน
ส่วนที่เหลือเขาสิ้นไร้ไม้ตอก หมดหนทางจะทำอะไรอีกต่อไป
เส้นทางประตรงมิอาจเหนียวรัง ปราศจากเส้นทางรักษาได้อีกต่อไป
“ท่านอาวุโสสูงสุด!”
เมื่อไป๋ซิ่วและคนอื่นๆเห็นร่างของเย่หยวนพุ่งเข้าหาบ่อหินหนิดด้วยความเร็วสุดขีด แต่ละคนต่างหน้าซีดด้วยความตกใจกลัว
เพียงว่าความเร็วของเย่หยวนกลับเร็วเกินไป พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะเอ่ยเตือนด้วยซ้ำ
บูม!
ชั่วอึดใจต่อมา เย่หยวนพุ่งเข้าไปในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพในบัดดล
ภายในโลกแหงศิลาจารึกบัลลังก์พิภพดั่งลุกเป็นไฟ เนื่องจากบ่อหินหนืดเบื้องล่าง ภายในมันจึงได้รับผลกระทบตามไปด้วย
“พร๊วดดด!”
เย่หยวนกระอักพ่นเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ยามนี้ปราศจากแรงสนับสนุนฟื้นฟูแต่อย่างใด
การปะทะครั้งนี้ดุเดือดรุนแรงเกินไป แม้กายเนื้อของเย่หยวนจะแกร่งกล้าเพียงใด แต่เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บภายในค่อนข้างสาหัสเช่นกัน
นี่ไม่ต่างอะไรจากทำตัวเองเลย หากเป็นคนอื่นที่คิดไม่ดีประสงค์ร้าย เย่หยวนอาจตายไปแล้ว!
“ไอ้เด็กคนนี้ คิดว่าชีวิตตนเองมันไร้ค่าขนาดนั้นเชียว? ถึงบ้าบิ่นเล่นเสี่ยงอันตรายไปซะทุกรอบ! ในไม่ช้าก็เร็วเจ้าอาจตายจริงในวันใดวันหนึ่ง…”
ภายในห้วงจิตสำนึกของเย่หยวน หวูเฉินคำรามเสียงดังลั่น
ต่อการกระทำอันบ้าบิ่นสุดอันตรายของเย่หยวน มันทำให้หวูเฉินแทบเป็นบ้าตาย
โดยเฉพาะกับการกระทำเมื่อครู่ที่เพิ่งเกิดขึ้น
เย่หยวนไม่เพียงแค่ต้องการรวบรวมศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ แต่เขายังคิดแผนสำรองอย่างการหยิบใช้ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพอีกด้วย ยามเกิดอุบัติเหตุ หากไม่มีศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เขาอาจตกลงสู่บ่อหินหนืด กล่าวได้ว่าอาจฆ่าตัวเองตายไปแล้ว
“หุหุ ข้าดูไม่สบายตรงไหน? ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์เองก็ได้มาแล้ว!”
เย่หยวนฝืนยิ้มกล่าวตอบออกไป
เย่หยวนพยายามผยุงร่างของตนขึ้นมาโดยไม่สนใจอาการบาดเจบแต่อย่างใด และกระโดดออกจากศิลาจารึกบัลลังก์พิภพออกไปโดยตรง
“ที่นี่อยู่นานไม่ได้! หนีออกไปโดยเร็ว!”
เย่หยวนเร่งกล่าวกับกลุ่มคนของวังเทวะรัตติกาลฉาย
“แต่….ท่านประมุขวังล่ะ?”
ไป๋ซิ่วกล่าว
“เขาจะไม่เป็นอะไรแน่นอน ปล่อยให้ไป๋เฉินอยู่ภายในนี้ดูจะปลอดภัยกว่าโลกภายนอก!”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นเป็นคำตอบ
ทันทีทันใดโถงกว้างถล่มลงมาจนเปิดช่องว่างด้านบนเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่
เย่หยวนกระโจนขึ้นไปยังช่องว่างนั้นทันที
สีหน้าการแสดงออกของไป๋ซิ่วและที่เหลือรวนเรแปรเปลี่ยน คล้องหลังเร่งรุดติดตามเย่หยวนไป
วูบ! วูบ! วูบ!
ปรากฏอีกร่างหนึ่งทะยานเหินบินออกมาจากบริเวณใต้ดิน
“นั่นมันฮั่วเทียนหยาง! อย่าปล่อยให้บัดซบนั้นหนีไปได้!”
ขณะที่ไป๋ซิ่วติดตามเย่หยวนออกมา เขาพลอยเห็นฮั่นเทียนหยางกำลังทะยานหลบหนีออกไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด
เมื่อกลุ่มของวังเทวะรัตติกาลฉายเห็นดังนั้น ทุกคนต่างชะงักไปโดยพลันและต้องการจะทะยานตามล่าในทันที
“อย่าตามมันไป!”
เย่หยวนประกาศกร้าวเสียงดังฟังชัด
ไป๋ซิ่วและที่เหลือหยุดความคิดลงทันทีก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า
“ผู้อาวุโสสูงสุด แตฮั่นเทียนหยางเป็นศัตรูคู่อาฆาตของพวกเรามาเนิ่นนาน จะปล่อยให้มันหนีไปเช่นนี้จริงๆ รึ?”
เย่หยวนแสยะยิ้มเย็นกล่าวตอบว่า
“ปล่อยให้มันวิ่งเล่นไปตามาอัธยาศัยก่อน! เมื่อใดไป๋เฉินออกจากการเก็บตัว ชีวิตสุนัขอย่างมันย่อมเป็นไปตามกรรมโดยธรรมชาติ”
ทันทีทันใด เย่หยวนพลันขมวดคิ้วถักแน่น และกล่าวเสียงขรึมออกไปโดยไว
“หนีไปเร็ว!”
ภายในใจของทุกคนเย็นสะท้านจับขั้วหัวใจประดุจสายลมหนาวพัดผ่าน
บูม!
ไม่นานหลังจากทุกคนจากไป มวลหินหนืดอันเดือดดุพลันปะทุคลังตั้งแต่ใต้ผืนดินระเบิดสูงขึ้นเฉียดฟ้า!
อุณหภูมิที่สูงจนน่าสยดสยอง ทุกคนที่หนีออกมาได้ทันท่วงทีต่างสัมผัสได้ถึงมันอย่างชัดแจ้ง แมจะอยู่ห่างกว่าระยะหมื่นลี้
มวลหินหนิดเหลวระลายและพวยพุ่งออกมาดุจน้ำพุอันงดงามยิ่ง
เมื่อทุกคนเห็นภาพฉากดังนั้น สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันอดถอดสีมิได้และกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสสูงสุด เอ่อ…ท่านประมุขวังยังคงปลอดภัยกระมัง?”
มวลหินหนืดเหล่านี้น่ากลัวเกินไป มันมิได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจำต้องกังวลหรือไม่กังวล
แต่เย่หยวนยังคงเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า
“ผ่อนคลายเถอะ! ผลวิญญาณเต๋าทีไป๋เฉินกินลงไปคือเต๋าแห่งดินแดนนี้! มวลหินหนดเหล่านี้เป็นอันตรายต่อพวกเราอย่างยิ่งก็จริง แต่มันไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อเขาแม้แต่น้อย”
หลังจากได้ยินคำพูดของเย่หยวน ทุกคนโดยรอบตางก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
พวกเราทราบดีว่า เย่หยวนไม่คิดที่จะทำร้ายไป่เฉินแน่นอน
ดังนั้นในเมื่อเขากล่าวเชนนี้ แสดงว่านี่เป็นความจริง
ทันใดนั้นญาณเย่หยวนพลันเชื่อมสัมผัสได้ถึงบางคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ดูเหมือนว่าเขาคนนั้นกำลังคิดจะหลบหนีออกไป
เงาร่างไสววูบ เย่หยวนไล่ตามอีกฝ่ายไปในทันที
“พี่เหลยต้วน ท่านจะจากไปโดยไม่บอกลาน้องคนนี้หน่อยรึ?”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มแสยะเย็น
บุคคลนี้หาใช่ใครอื่นไม่ นอกเสียจากทูตแหงวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ เหลยต้วน
มีทูตสองคนที่เดินทางมาพร้อมกับต้วนเฟยในคราวนี้
แตทูตอีกคนกลับตายลงไปแล้วภายใต้ค่ายกลนั้น โชคยังดีที่เหลยต้วนรอดตายได้อย่างปาฏิหาริย์
เพราะว่าเขากลัวเย่หยวนเห็นตน ดังนั้นเลยต้วนจึงลอบย่องเบาออกไปอย่างลับๆมิให้รู้สึกตัว
แต่กลับไม่คิดเลยว่า เย่หยวนจะมีญาณสัมผัสที่ไวขนาดนี้ ถึงขั้นตรวจพบเขาได้โดยง่าย
เห็นเย่หยวนยืนดักหน้าปิดกั้นเส้นทางหนีเช่นนี้ สีหน้าการแสดงออกของเขาเหลยต้วนพลันบิดเบี้ยวน่าเกลียดในบัดดล ขณะเอ่ยปากกล่าวว่า
“เป็นน้องชายเย่หยวนนี่เอง เจ้าเองก็ควรจจะเห็นใจข้า เหลยต้วนคนนี้ต้องปฏิบัติตามคำสัง เช่นนั้นโปรดอย่าได้โกรธเคืองกันเลย”
เหลยตวนในปัจจุบันยังเหลือร่องรอยความหยิ่งผยองดั่งก่อนหน้าได้อย่างไร?
เย่หยวนสำแดงฤทธิ์เดชโดยการล่าสังหารยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าถึงสองคนติด ด้วยขุมพลังอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น
แต่ความจริงแล้ว ด้วยสภาพปัจจุบันของเย่หยวน ยามนี้จะเข้าคู่กับเหลยต้วนหรือไม่ยังยากที่จะพูด
อย่างไรก็ตาม เหลยต้วนไม่ทราบว่าเย่หยวนมียันต์ประกายอัสนีสวรรค์อยู่แค่สามใบเท่านั้น และทั้งหมดก็ถูกใช้ไปแล้ว
ทว่าท้ายที่สุดนี้ ความหวาดกลัวของเขาที่มีต่อเย่หยวนได้สั่งสมกันมานานจนยากจะลบล้างออกโดยง่าย!
“หุหุ พี่เหลยต้วน พวกเราเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ท่านต้องคิดให้ดี หลังจากที่ท่านกลับไปยังวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ พวกเราคงกลายเป็นศัตรูร่วมของดินแดนนภาบรรพตทั้งมวล! แต่เมื่อไป่เฉินดูดซับผลวิญญาณเต๋าเสร็จสิ้นเมื่อใด ท่านอาจจะหายไปตลอดกาล!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสีหนาสุดมืดมน
ตอนที่ 1447 จงยอมแพ้และสดับฟังข้าผู้นี้ ผู้ใดต่อต้านต้องวินาศบรรลัยสูญ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในไข่มุกสยบวิญญาณ เย่หยวนเฝ้ามองใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติตรงหน้า ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดเกินพรรณนา
หลายปีที่ผ่านมา มู่หลินเสวียยังคงรูปลักษณ์ดังเดิมเสมือนเจ้าหญิงนิทรากำลังรอให้ใครสักคนมาปลุก
แต่ตลอดที่ผ่านมา เย่หยวนพยายามมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทว่ากลับไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง
เย่หยวนทราบดีว่ากายหยาบด้านนอกที่งดงามนี้ ภายในไร้ซึ่งร่องรอยแห่งชีวิตหลงเหลืออยู่แล้ว
มีเพียงจิตใต้สำนึกและจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังสูญสลายเท่านั้นในปัจจุบัน
ปุ๋ ปู๋ ปุ๋…
ทันใดนั้นเองมวลแสงสีเย็นพลันสว่างไสวขึ้นจากบริเวณอันมืดมนรายล้อมรอบตัวมูหลินเสวียเสมือนแสงเทียนไออุ่น
แสงสีเย็นเหล่านี้ประดุจแสงจากเทียนไข โดยมีมู่หลินเสวียเป็นจุดศูนย์ กลุ่มแสงเหล่านั้นกำลังโอบอุ้มนางเอาไว้
“นี่คือไฟแห่งวิญญาณ สามารถซ่อนเร้นกลิ่นอายของสาวน้อยนางนี้และรักษาจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนางมิให้สูญสลายไป ตราบใดที่มีศิลาชีวิตนิจนิรันดร์คอยหล่อเลี้ยงอยู่ ไฟแห่งวิญญาณก็จะไม่มีวันดับ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหวูเฉิน เสมือนก้อนหินขนาดยักษ์หล่นทับลงมาในใจเย่หยวน
หลายปีมานี้ เย่หยวนรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก
“ท่านอาวุโส ด้วยปริมาณศิลาชีวิตนิจนิรันรันดร์ที่มี ไฟแห่งวิญญาณจะลุกโชกช่วงเช่นนี้อีกนานเท่าใด?”
เย่หยวนเอ่ยถาม
หวูเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมายามได้ยินเช่นนั้น และกล่าวว่า
“ไม่รู้ว่าสาวน้อยนางนี้ได้รับพรอันใดมา แต่ค่อนข้างคุ้มที่จะเสี่ยงเพื่อเสาะหาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์มา หากให้ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์เหล่านี้แก่นาง มันจะช่วยรักษาจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และจิตใต้สำนักของนางมิให้สลายไปอีกสองร้อยปี”
เย่หยวนขมวดคิ้วถักแน่นกล่าวว่า “แค่สองร้อยปี?”
หวูเฉินพยักหน้าและเอ่ยปากกล่าวต่อว่า
“การจะเก็บรักษาเต๋าหาใช่เรื่องง่าย”
เย่หยวนอดถอนหายใจมิได้ เขากล่าวว่า “เส้นทางนี้มันช่างยากลำบากโดยแท้! การเดินทางครานี้มีโอกาสตายถึงเก้าส่วน ในขณะรอดตายเพียงส่วนเดียว ทั้งหมดเพื่อแลกกับเวลาแค่สองร้อยปี”
สำหรับเซียนอาณาจักรพระเจ้า เวลาแค่สองร้อยปีกลับไวในพริบตา
ในชวงสองร้อยปีนี้ ไม่เพียงเย่หยวนจักต้องฝึกปรือบ่มเพาะพลังเท่านั้น แต่เขายังต้องเสาะหาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์มาเพิ่มเชื้อไฟแห่งวิญญาณจากทุกหนแห่งอีก นีเป็นเรื่องลำบากแสนเข็ญนัก
การเดินทางเข้าสู่ดินแดนนภาบรรพตในครั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า เย่หยวนต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสุดแกร่งรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นต้วนเฟยหรือฉินเทียน หรือแม้แต่ฮั่นเทียนหยาง พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะจัดการยิ่งสำหรับเย่หยวน
แม้เย่หยวนจะมีขุมกำลังแกร่งกล้าพอที่จะต่อกรกับเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าอยู่บ้าง แต่ระหว่างสู้ศึกสัประยุทธ์กลับเป็นอะไรที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเกินไปมากนัก
แล้วครั้งนี้ที่เย่หยวนรอดชีวิตออกมาอย่างปลอดภัย ทั้งหมดต้องขอบคุณยันต์ประกายอัสนีสวรรค์ที่อาจารย์อัสรีคำรนมอบไว้ให้ก่อนออกเดินทาง
มิฉะนั้นแพ้ชนะอย่างไรกลับยากเกินคาดเดาเป็นแน่
อาจารย์อัสนีคำรนมอบยันต์เพิมความเร็วให้แก่เขา เพื่อใช้หนีตายภายใต้สถานการณ์คับขัน
ท่านอาจารย์อัสนีรนเองก็คงไม่คิดไม่ฝันเช่นกันว่า เย่หยวนจะอาศัยยันต์ประกายอัสนีสวรรค์เหล่านี้ เข้าสังหารเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ารวดเดียวถึงสองคน ทั้งยังคว้าศิลานิจนิรันดร์กลับมาได้อีกกว่าเจ็ดก้อน
“เจ้าทำดีที่สุดแล้ว!” หวูเฉินตบไหล่เข้าปลอบโยนเย่หยวน
…
เวลาผ่านไปครึ่งปี
ในช่วงครึ่งปีมานี้ หลู่เฉินยังคงดูดซับพลังงานจากภายในศิลานิจนิรันดร์อย่างต่อเนื่อง
เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าของวังเทวะรัตติกาลฉายยังไม่เคลื่อนไปไหนไกล พวกเขายังคงเฝ้ารอไป๋เฉินดูดซับผลวิญญาณเต๋าจนกว่าจะเสร็จสิ้นดี
เว้นเสียว่า พวกเขาในยามนี้มีสีหน้าท่าทีดูวิตกกังวลยิ่ง
“ผู้อาวุโสสูงสุด ข้าสงสัยเสียเหลือเกิน เมื่อไหร่ท่านประมุขวังจะดูดซับผลวิญญาณเต๋าเสร็จ หาก…คนของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์มาจะทำเช่นไร?”
ไป๋ซิ่วเอยถามทันทีพร้อมสีหน้าดูกังวลยิ่ง
“สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับโชคของเขา แต่ข้าคิดว่าเวลานั้นใกล้มาถึงแล้ว”
เย่หยวนกล่าว
คล้อยหลังได้ฟังแบบนั้น ทุกคนต่างดูสงบลงเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอง รัศมีแรงกดดันสุดน่าสะพรึงขุมใหญ่พลันปรากฏขึ้น สีหน้าการแสดงออกของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก
“ระ-แรงกดดันนี่มันอะไรกัน!? นี่…นี่คือกลิ่นอายของยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด! ปรากฏว่าประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ถึงกับออกโรงด้วยตัวเอง?!”
ไป๋ซิ่วหน้าถอดสีลงในบัดดล รัศมีแรงกดดันระดับชั้นนี้ล้วนทำให้ผู้คนต่างสิ้นหวัง
สีหน้าเย่หยวนเปลียนไปอย่างมากเช่นกัน คาดไม่ถึงเลยว่าที่ซ่อนของพวกเขาจะถูกเปิดเผยในท้ายที่สุด
“หึ! เหล่าสหายทั้งหลายแหล่ ชาญฉลาดหัวไวดีนัก! ต้องให้ท่านประมุขผูนี้เสาะหาอยู่เสียนาน! เผยตัวออกมาซะ!”
“ออกไป!”
เย่หยวนยืมมือ ออกไปเคาะกำแพงอากาศเล็กน้อย ทันใดนั้นห้วงมิติพลันสลายลง ร่างของทุกคนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตา
กลางห้วงเวลาปรากฏชายชราดวงตากลมโบ๋เว้าลึก
เบื้องหน้ามีผู้อาวุโสชนชั้นยอดฝีมืออยู่เจ็ดคน
ซึ่งทั้งเจ็ดคนนี้ล้วนเป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางและปลายแทบทั้งสิ้น!
ในขณะที่ชายชราดวงตาลึกโบ๋คนนั้นเป็นถึงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด!
ขุมกำลังระดับนี้ ยามเข้าร่วมศึกสมรภูมิกลับเป็นเรื่องน่าสะพรึงขวัญยิ่ง
เมื่อเห็นเย่หยวนและคนอื่นๆเผยตัวออกมา ชายชราคนนั้นกล่าวด้วยสายตาที่จับแจ้งแสนลึกล้ำเหลือกำหนด
“ท่านประมุขผู้นี้ตามหาพวกเจ้าอยู่รอบบริเวณนี้มากว่าสิบวัน หากมิใช่เพราะท่านประมุขผู้นี้ปราศจากความฉงนขุ่นข้องใจ และหยิบใช้เครื่องรางพุทธะมิติเลิศล้ำ เกรงว่าพวกเจ้าทุกคนคงหนีรอดออกไปได้เป็นแน่!”
คู่สายตาของเย่หยวนหยุดลงไปที่เครื่องรางพุทธะเลิศล้ำที่แขวนอยู่บนคอของชายชราเล็กน้อย คลื่นพลังมิติที่แผ่สะพัดออกมาช่างรุนแรงมาก
หลังจากที่เย่หยวนออกมาจากบริเวณใต้ดินได้ เขาก็สร้างห้วงมิติชั่วคราวขึ้นมาและให้กลุ่มคนของวังเทวะรัตติกาลฉายเข้าพักผ่อนซ่อนตัวอยู่ภายในนี้ เลี่ยงการตรวจจับของพวกวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์
แต่เขาไม่คิดไม่ฝันเช่นกันว่า เพียงอีกฝ่ายย่างกรายออกมาเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็สามารถตรวจพบพวกเขาเจอเป็นผลสำเร็จ
ดินแดนย่อยเช่นนี้ระดับชั้นความแข็งแกร่งค่อนข้างแต่ต่างจากมหาพิภพถงเทียนอยู่มาก ดังนั้นด้วยพลังของเย่หยวนในปัจจุบัน ย่อมสามารถสร้างห้วงมิติทับซ้อนขึ้นมได้ไม่ยาก
เพียงแต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่า ทางฝ่ายวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์จะมีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถตรวจจับคลื่นมิติที่ผิดปกติได้
“เจ้าคือประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์?”
เย่หยวนเอ่ยปากขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ในเมื่อเจ้ารู้จักประมุขวังผู้นี้แล้ว ไยเจ้าถึงไม่บอกถิ่นที่อยู่ของตนมาบ้าง? มิฉะนั้นทานประมุขผู้นี้จะทำให้เจ้าเสียใจยิ่งที่เดินทางเข้ามาในดินแดนนี้”
จิตสังหารสุดข้นคลักถูกปลดปล่อยออกมา สีหน้าท่าทีของทุกคนแปรเปลี่ยนในทันที
แต่เย่หยวนกลับเมินเฉยต่อคำถามของชายชราตรงหน้า และกล่าวตอบน้ำเสียงเยียบเย็นไปว่า
“ผลวิญญาณเต๋าใกล้จะถูกดูดซับเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผู้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิดินแดนนภาบรรพตกำลังจะถือกำเนิด นี่เป็นเจตจำนงของสวรรค์ พวกเจ้าทั้งหลายควรหยุดเป็นปฎิปักษ์เสีย ก่อนที่ความวินาศจะบังเกิดขึ้นกับตัวพวกเจ้าเอง”
ประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ยินเช่นนั้น ระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและกล่าวว่า
“เจตจำนงของสวรรค์? ช่างน่าขันนัก! เราชายชราผู้นี้เป็นประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ครองใจผู้คนใต้แผ่นฟ้ามาหลายช่วงอายุคน แล้วเด็กน้อยไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมจากที่ใดจะขึ้นกลายเป็นจักรพรรดิดินแดนได้?”
วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ กล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มอำนาจสูงสุดของดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้
ตอนนี้ไป๋เฉินก็โผล่มาจากไหนไม่ทราบพร้อมเสียงคำรามคึกโขใหญ่โต เช่นนั้นเขาจะเต็มใจยกอำนาจการปกครองทั้งหมดให้ได้อย่างไร?
สีหน้าการแสดงออกของท่านประมุขวังพลันทมิฬมืดลง แลดูน่าสยดสยองขึ้นหลายส่วน เขากล่าวต่อว่า
“ปฏิเสธขนมเปี๊ยะเพียงริมจิบน้ำ!”
สิ้นเสียง ประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ยกฝามือขึ้นซัดใส่เย่หยวนโดยตรง หวังบดขยี้ให้เป็นเศษเนื้อบดในอึดใจ
ทันทีทันใดฟ้าดินเกิดวิปลาสเปลี่ยนสีเพราะฝ่ามือนี้!
ในดินแดนนภาบรรพต ผู้ใดสำเร็จอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด ผู้นั้นทรงพลังไร้เทียมทานเทียบเท่ากับเต๋าแห่งดินแดน
ณ ขณะนี้ที่เขาออกโรงสัประยุทธ์ คือขีดสุดแห่งพลังของดินแดนแห่งนี้อย่างแท้จริง
บูมมม!
ทุกคนต่างรู้สึกเพียงเบื้องหน้าวิสัยทัศน์พลันพร่ามัวชั่วขณะ ฝ่ามือโค่นสมุทรพลิกพิภพก่อนหน้ากลับอันตราธานหายไปกลางห้วงอากาศในพริบตา!
ชายหนุ่มคนหนึ่งลอยเคว้งอยู่น่านนภากาศ ปรากฏตัวต่อหน้าต่อตาทุกคน
“ท่านประมุขวัง!”
“ปรากฏว่าเป็นท่านประมุขวังจริงๆ! ฮ่าๆๆ… ในที่สุดท่านก็ดูดซับผลวิญญาณเต๋าเสร็จสิ้นแล้ว!”
“ท่านประมุขวังทรงพลังไร้เทียมทาน!”
…
กลุ่มคนของวังเทวะรัตติกาลฉายที่แต่เดิมเสียศูนย์หมดสิ้นความหวังไปแล้ว ทว่ายามนี้เมื่อเห็นแผนหลังของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่คุ้นเคยนัก พวกเขาต่างโหร้องดีใจขึ้นมาในทันใด
ชายหนุ่มผู้นี้มิใช่ใครอื่นนอกจากไป๋เฉิน!
ไป๋เฉินในปัจจุบันมีกลิ่นอายคล้ายคลึงกับเย่หยวนในตอนนั้นที่ควบคุมเต๋าแห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์ไม่มีผิด!
คู่สายตาของไป๋เฉินเฉียบคมดุจสายฟ้าฟาด เหลียวมองจ้องเขม็งไปยังประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ เอ่ยกล่าวน้ำเสียงสุดเยือกเย็นสุดหยั่งถึง
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าคือจักรพรรดิแห่งดินแดนนภาบรรพต! จงยอมแพ้และสดับฟังข้าผู้นี้! ผู้ใดต่อต้านต้องวินาศบรรลัยสูญ!”
ประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์สั่นสะท้านทั่วกายา มิอาจปฏิเสธได้เลยว่าตนไม่สามารถมองข้ามเด็กคนนี้ไปได้เลย
ทั้งๆที่เขามีระดับพลังอยู่ที่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเท่านั้น!
ตอนที่ 1448 กล่าวอำลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
คล้อยหลังดูดซับผลวิญญาณเต๋าได้สำเร็จ ทำให้ไป๋เฉินทะยานขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้ในอึดใจเดียว!
แม้ว่าอาณาจักรพลังของไป๋เฉินจะยังไม่เพียงพอต่อหน้าประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์
แต่หากเป็นในดินแดนนภาบรรพต เขาคือผู้ไร้เทียมทาน!
“หื้ม?”
เพียงไป๋เฉินส่งเสียงกรนรองออกไปเล็กน้อย ก็เปรียบดั่งสายอัสนีลั่นคำรนจนทำให้ประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ร่นถอยออกไปหลายสิบก้าวต่อกัน
มีธารเลือดไหลซิบออกมาจากมุมปากของประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ เพียงเค้นเสียงตอบ ก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บถึงภายในได้แล้ว
“ขะ แข็งแกร่งนัก!”
“สิ่งที่ท่านประมุขวังกำลังสำแดงอยู่เป็นแค่ขุมพลังอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเท่านั้น แต่เขากลับสามารถทำร้ายยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้จนบาดเจ็บโดยใช้เพียงเสียง! นี่…นี่คือความแกร่งกล้าของจักรพรรดิดินแดน?”
ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างยิ่งกับวิธีการนำใช้ของไป๋เฉิน!
เหล่าผู้อาวุโสอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าที่อยู่ด้านหลังประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ต่างถอดสีหน้ากันยกใหญ่ เมื่อเห็นภาพฉากนี้
“นี่…เราชายชรา มู่เจี้ยนทำความเคารพท่านจักรพรรดิดินแดน!”
แม้เขาจะไม่เต็มใจอย่างยิ่งต่อการกระทำเช่นนี้ของตน แต่มู่เจี้ยนตระหนักดีว่า ความแตกต่างระหว่างตัวเขากับไปเฉินมันมากมายมหาศาลเพียงใด!
และเขาเองก็ไม่ยอมตายเช่นนี้แน่นอน!
ขณะที่เขาคุกเข่าลง เหล่าผู้อาวุโสอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าอีกเจ็ดคนที่เหลือก็เร่งคุกเข่าตามทันที
“พวกเราเจ็ดผู้อาวุโสแห่งวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ทำความเคารพท่านจักรพรรดิดินแดน!”
ไป๋ซิ่วดูตื่นอกตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะเร่งนำกลุ่มคนของวังเทวะรัตติกาลฉายก้มศีรษะคารวะต่อหน้าไป๋เฉินว่า
“ทำความเคารพท่านจักรพรรดิดินแดน!”
ไป่เฉินเอ่ยกลาวน้ำเสียงเย็นชืดว่า
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์จะถูกยุบลงและไม่มีอีกต่อไป วังเทวะรัตติกาลฉายจะขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์แทน และปกครองดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้ต่อไป!”
สายตาคู่นั้นของมู่เจี้ยนแลดูจริงจังขึ้นทันควัน และร้องอุทานขึ้นด้วยความไม่เต็มใจว่า
“ท่านจักรพรรดิ นี่…นี่…”
ไป๋เฉินเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยและเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นสะท้านว่า
“อย่างไร? ต้องการคัดค้าน?”
สัมผัสได้ถึงจิตสังหารดุจคมมีดของไป๋เฉิน มู่เจี้ยนตื่นตระหนกยิ่งกลางใจและเร่งกล่าวตอบทันทีว่า
“มิกล้า! มู่เจี้ยนคนนี้มิกล้า!”
น้ำเสียงและท่าทีของไป๋เฉินดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อว่า
“ไป๋คนนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกในฐานะจักรพรรดิดินแดน ตราบใดที่พวกเจ้ารู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เจ้าก็สามารถขอคืนตำแหน่งได้ทุกเมื่อ”
ดวงตาของมูเจี้ยนสว่างไสวขึ้นทันทีและรีบกล่าวว่า
“มู่เจี้ยนมิกล้า! ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป มู่เจี้ยนจะเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างของท่านจักรพรรดิ ด้วยขุมกำลังที่ข้ามี จะมีเพื่อสนับสนุนวังเทวะรัตติกาลฉายต่อไปในภายภาคหน้า!”
ไป๋เฉินเค้นเสียงเป็นคำตอบอย่างแผ่วเบา และเหลียวมองไปทางเย่หยวน
ขณะเดียวกับเย่หยวนยังคงขยับขยายสายตาจับจ้องไป๋เฉินแลดูสนใจไม่น้อย หลังจากควบคุมเต๋าแห่งดินแดนนี้ได้ ท่าทางการวางตัวย่อมเปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ
ขอบเขตความรู้อันไกลโพ้นของเขามิได้อยู่ในระดับเดียวกันกับผู้คนเหล่านี้อีกต่อไป
ไป๋เฉินสะบัดแขนเสื้อยาวและคุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยวนทันที
“ศิษย์ไป๋เฉินขอบพระคุณท่านอาจารย์เย่สำหรับความช่วยเหลือที่ผ่านมาทั้งหมด ครั้งนี้ท่านทำให้ข้าราวกับเกิดใหม่อีกครั้ง ท่านอาจารย์เย่เปรียบเสมือนท่านพ่อของดินแดนนภาบรรพตทั้งมวล ขอเพียงท่านอาจารย์ให้คำชี้แนะ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ พวกเราดินแดนนภาบรรพตยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี!”
ไป๋เฉินกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าท่าทีแสนจริงจังขึงขัง
พลางได้ยินคำกล่าวของไป๋เฉินเช่นนั้น สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนในทันใด
สถานะศักดิ์ของไป๋เฉินในปัจจุบันแตกต่างไปจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
เขาเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ หากต้องการสังหารเย่หยวนกลับทำได้โดยง่าย
แต่ไป๋เฉินเคารพนับถือเย่หยวนยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวง และยังยกย่องเย่หยวนในฐานะตัวตนที่อยู่เหนือหัวเขาไปอีกขั้น ถึงขนาดเรียกว่าท่านพ่อของจักรพรรดิอีกทีหนึ่ง
ขอเพียงเย่หยวนเต็มใจต้องการปรารถนาสิ่งใด ไป๋เฉินสามารถเรียกลมฟ้าลมฝนได้ทุกเมื่อในดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้!
อย่างไรก็ตามแต่ เหล่าผู้คนพวกนี้ยังประเมินเย่หยวนต่ำเกินไป!
หากเป็นคนอื่นๆ ชีวิตและความตายของพวกเขาล้วนขึ้นอยู่กับความเมตตาของไป๋เฉินแล้วในดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้
แต่สำหรับเย่หยวนกลับไม่ใช่!
เต๋าแห่งดินแดนนภาบรรพตเป็นเพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของหุบเขาถงเทียนแห่งมหาพิภพถงเทียนเท่านั้น
เย่หยวนที่สามารถควบคุมหุบเขาถงเทียนจำลองได้ ย่อมมิได้ด้อยกว่าผู้ควบคุมเต่าแห่งดินแดนนภาบรรพตเลย
หากไป๋เฉินมีเจตนาชั่วจริงๆ เย่หยวนย่อมพึ่งพาพลังของหุบเขาถงเทียนจำลองเพื่อขึ้นต่อกรได้แน่นอน
นอกจากนั้นยังกล่าวได้ว่า เย่หยวนก็อยู่ในระดับชั้นเดียวกับไป๋เฉินเช่นกัน
ในสายตาของเย่หยวน ไป๋เฉินก็เป็นแค่เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าธรรมดาคนหนึ่ง!
ด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวน หากเขาต้องการที่จะฆ่าไป๋เฉินจริงๆ มันก็ง่ายดั่งหยิบของขึ้นจากกระเป๋า
อย่างไรก็ตามแต่ ไป๋เฉินก็มิได้ทำให้เขาผิดหวัง
ทัศนคติของเขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เย่หยวนเลือกคนไม่ผิด
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางขณะกล่าวตอบไป๋เฉินไปว่า
“ดี ข้าภูมิใจนักที่เจ้ามีความคิดเช่นนี้ แต่…อาจารย์คนนี้คงถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว!”
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินเปลี่ยนไปทันที เขากล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ โลกภายนอกนั้นมีภัยอันตรายทุกรูปแบบรั้งรอท่านอยู่ คงจะสบายกายสบายใจกว่าหากท่านดำรงชีวิตอยู่ในดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้กับพวกเรา? ท่านอยู่เบื้องหลังช่วยเหลือข้าดูแลดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้ต่อไป ท่านว่าอย่างไร?”
เย่หยวนส่ายหัวพลางยิ้มกล่าวว่า
“อาจารย์คนนี้ต้องกลับไปยังมหาพิภพถงเทียน ต่อหน้าภัยอันตรายเหล่านั้นข้าจะยอมแพ้ถอดใจง่ายๆได้อย่างไร? หลังจากนี้อาจารย์เองก็มีสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จลุล่วง!”
ไป่เฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า
“ถ้าเช่นนั้น…ข้าจะไปมหาพิภพถงเทียนพร้อมกับท่านอาจารย์! ด้วยความแข็งแกร่งของไป๋เฉินในปัจจุบัน น่าจะพอสามารถช่วยเหลือท่านได้บ้าง!”
เย่หยวนตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆและกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า
“ไป๋เฉิน อย่าได้ประมาทต่อคำว่าวีรบุรุษใต้แผ่นฟ้า! เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ! มหาพิภพถงเทียนมันยิ่งใหญ่เกินจินตนาการกว่าที่เจ้าคิดนัก เจ้าต้องอยู่ดูแลชีวิตและความตายของผู้คนภายในนี้ ปัจจุบันเจ้ายังเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าคนหนึ่ง สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือ การย่อยขุมพลังของผลวิญญาณเต๋า ตราบใดที่เจ้าขึ้นกลายเป็นยอดเซียนอาณาจักรนภาสวรรค์ ยามนั้นค่อยเดินทางขึ้นมายังมหาพิภพถงเทียนเพื่อตามหาข้า!”
ไป๋เฉินดูดซับผลวิญญาณเต๋าไปแล้วก็จริง แต่หากต้องการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ยังจำต้องใช้เวลาสะสมนานกว่านี้
อย่างไรก็ตามแต่ อาณาจักรนภาสวรรค์อยู่ไกลเกินเอื้อมนัก การจะบรรลุให้ถึงระดับชั้นนั้นกลับไม่มีทางเป็นไปได้ในระยะเวลาอันสั้น
ตามที่เย่หยวนคาดการณ์เอาไว้ สำหรับตัวไป๋เฉินแล้ว เขายังต้องฝึกปรือให้หนักอย่างน้อยสองร้อยปีขึ้นไป
แม้จะอนุญาตให้เขาขึ้นไปยังมหาพิภพถงเทียนในตอนนี้ แต่ไป๋เฉินคงช่วยเหลืออะไรเย่หยวนไม่ได้เลย
เมื่อได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ ไป๋เฉินพลันเผยแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาโดยมิตั้งใจ
“แต่… ก็ได้ ข้าจะเชื่อฟังตามที่ท่านอาจารย์บอก แน่นอนข้าไม่เคยประมาทต่อคำว่า วีรบุรุษใต้แผ่นฟ้า! เมื่อใดที่ข้าสำเร็จอาณาจักรนภาสวรรค์ได้ ข้าจะเดินทางไปยังมหาพิภพถงเทียนและตามหาท่านแน่นอน!”
ไป๋เฉินเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมสายตาอันแน่วแน่
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ดีมาก! เช่นนั้นอาจารย์คนนี้จะรอเจ้าอยู่ในมหาพิภพถงเทียน!”
คล้ายนึกอะไรได้ขึ้นมาฉับพลัน สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนดูเคร่งขรึมขึ้นทันที
“โอ้ใช่แล้ว ก่อนที่เจ้าจะสำเร็จอาณาจักรราชันพระเจ้า เจ้าห้ามทำตัวผิดปกติเด็ดขาด! หากเซียนต่างแดนจากภายนอกเข้ามาอีก เจ้าต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น อย่ากระทำการอันใดให้เป็นการล่อแมวออกจากถุงเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
เห็นเย่หยวนกล่าวกำชับสีหน้าเคร่งเครียด ไป๋เฉินสัมผัสได้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ได้ทันทีและกล่าวว่า
“ศิษย์เข้าใจแล้ว! มั่นใจได้เลย อนาคตต่อไป ข้าจะเก็บหัวเก็บหางของตนไว้เป็นอย่างดี”
ดินแดนยิบย่อยแต่ละแห่งล้วนเป็นดังห้องเก็บสมบัติอันไร้สิ้นสุด ทั้งนี้ยังเป็นสถานที่ที่ดีมากสำหรับการออกมาฝึกปรือของเหล่าศิษย์สาวกจากมหาพิภพถงเทียน
แต่ถ้าหากดินแดนแห่งนี้กระทำการอะไรบางอย่างจนหลุดจากการควบคุมของเมืองหวูเมิ่ง เจ้าเมืองไม่ยอมปล่อยปละเรื่องนี้ไปเฉยๆแน่นอน
ดีไม่ดี หากเจ้าเมืองเดินทางเข้าสู่ดินแดนนภาบรรพตเป็นการส่วนตัว ไป๋เฉินจะตกอยู่ในอันตรายทันที
“เอาล่ะ นี่สายมากแล้ว ถึงเวลาที่อาจารย์ต้องไปแล้ว!”
เมื่อกล่าวจบ เย่หยวนก็เตรียมจากไปทันที
“เดี๋ยวก่อนท่านอาจารย์!”
ไปเฉินเรงหยุดเย่หยวนไว้ทันที ก่อนหันไปหามู่เจี้ยนและกล่าวถามว่า
“วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์มีศิลาชีวิตนิจนิรันดร์อยู่หรือไม่?”
มู่เจี้ยนมิกล้ามีเจตนาปกปิดและรีบกล่าวตอบไปตามจริงว่า
“ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์หายากเกินความสามารถ หลังจากหยิบใช้กันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเหลือแค่…สามก้อนเท่านั้น”
คิ้วของไป๋เฉินกระตุกขึ้นทันใด มู่เจี้ยนหน้าถอดสีอีกระลอกพร้อมใจสั่นระรัว
เห็นได้ชัดว่า ไป๋เฉินหาได้มีความสุขไม่
“ช่างเถอะ เอามาให้หมด!”
ไป๋เฉินกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
ของล้ำค่าขนาดนี้มู่เจี้ยนต้องเก็บไว้กับตัวโดยธรรมชาติ
ในทันทีทันใด เขารีบหยิบศิลาสีขาวน้ำนมออกมาสามชิน นั้นคือศิลาชีวิตนิจนิรันดร์
ไป๋เฉินส่งมอบทั้งสามให้แก่เย่หยวนและกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า
“ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์หายากเกินศิษย์คนนี้จะนำมาให้ได้ หลังจากนี้ ยามข้าควบคุมเต๋าแห่งดินแดนนี้ได้คล่องแคล่ว ข้าจะตามเก็บสะสมศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ และไปพบท่านอาจารย์อีกครั้ง!”
เย่หยวนเองก็ไม่สุภาพเช่นกันพร้อมรับมันไว้ทันที
เรื่องอื่นใดเขาหาได้สนใจไม่ เพียงแต่ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เขาต้องการยิ่งกว่าสิ่งใด
“เอาล่ะ อาจารย์ของรับไว้ด้วยความเต็มใจ ลาก่อน!”
เมื่อกล่าวจบ ร่างของเย่หยวนก็อันตรธานหายไปทันทีจากจุดที่ยืนอยู่
ตอนที่ 1449 ส่งมอบภารกิจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ ปรากฏเหล่าศิษย์กลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มสนทนากันอย่างสนุกสนาน
พวกเขาสนทนาร่ำไปเรื่อยไร้จุดหมาย โดยส่วนใหญ่เป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไปที่หาได้มีความโดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ
“โอ้ใช่แล้ว อัจฉริยะอันดับหนึ่งของศิษย์ชั้นนอก เย่หยวนเขาไม่ได้กลับมากว่าสิบปีได้แล้ว ได้ยินมาว่าเขารับภารกิจระดับสูงและเดินทางไปยังพิภพยุทธจักร คงมิใช่ว่า…เขาไม่สามารถกลับมาได้แล้ว?”
“เหอะ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้! โดยปกติแล้ว การออกไปทำภารกิจภายนอกจะอยู่ระหว่างสามถึงห้าปี ซึ่งพวกเขาเหล่านี้มักจะกลับมาพร้อมผลงานน่าประทับใจเลยทีเดียว อย่างมากสุดก็แปดปี แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิตกลับมาได้”
“ใช่แล้ว นี่หายไปนานกว่าสิบปีได้ ดูท่าจะเป็นลางร้ายกว่าลางดี!”
“น่าเสียดายนัก พรสวรรค์อย่างเขาคนนั้น น่าจะประสบความสำเร็จไปไกลถึงอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เลย นี่นับเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่!”
“ได้ยินมาว่า ศิษย์พี่อาวุโสฉินเทียนเองก็รับภารกิจออกไปดินแดนเดียวกับเย่หยวน นี่เป็นเรื่องบังเอิญเกินไป! อย่างไรก็ตาม…ศิษย์พี่อาวุโสฉิน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่กลับมาเลย”
“ชู่ววว…เจ้าอยากตายรึไง! เรื่องนี้มีใครกล้าพูดกัน!”
“หื้ม? พวกเจ้า ดู…ดูนั้น…”
ทุกคนต่างทอดสายตามองตามออกไป แต่ละคนล้วนอดแปลกใจมิได้
เย่หยวนสาวเท้าก้าวแช่มเข้ามาอย่างแช่มช้า ดูสงบสำรวมยิ่ง
ทิศทางที่เขามุ่งหน้าไปคือ หอยุทธ์อย่างแม่นยำ
“นั้นมันเย่หยวน! เขา…นั้นเขาตัวจริงเสียงจริง!”
“สวรรค์! เขา…เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้แล้ว! สัตว์ประหลาดชัดๆ!”
“ข้ายังจำได้ว่า ตอนที่เขาออกไป เย่หยวนยังไม่สำเร็จอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายเลยมิใช่รึ? เวลาผ่านไปเพียงสิบปี ไม่เพียงสำเร็จอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้น แต่ยังทะลวงขึ้นไปยังอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นได้โดยตรง!?”
“ความสามารถของสหายคนนี้ช่างน่ากลัวโดยแท้ เขาเพิ่งเข้ามาในสถานศึกษาได้ไม่ถึงสามสิบปี แต่ก้าวข้ามจากอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางไปยังอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นได้แล้ว ความเร็วในการฝึกปรือระดับนี้วิปลาสเกินไปแล้ว!”
…
รัศมีแรงกดดันที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างเย่หยวน ต่างทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่ง
แม้ว่าผู้ที่สามารถสอบเข้าสถานศึกษาหวูเมิ่งได้ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ แต่ผู้ที่มีพัฒนาการรวดเร็วปานนี้อย่างเย่หยวน นับเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง
ที่สำคัญกว่านั้น ไม่เพียงอาณาจักรพลังของเย่หยวนจะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ความแกร่งกล้าของเย่หยวนเอง ยังสร้างความสะพรึงขวัญให้ในบรรดาเซียนในระดับชั้นเดียวกัน!
ตอนนี้เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้แล้ว เท่ากับว่าเขาก็สามารถขึ้นกลายเป็นศิษย์ชั้นในได้แล้วเช่นกัน
คล้อยหลังจากนี้ ศิษย์ชั้นในทั้งหมดจำต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
“ไปดูเถอะว่าเย่หยวนกำลังทำภารกิจอะไรอยู่กันแน่! มิใช่ว่าพลังวิญญาณภายในพิภพยุทธจักรเบาบางอย่างมากจนไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดได้ แล้วสหายคนนี้ทำได้อย่างไรกัน?”
การปรากฏตัวของเย่หยวนทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที
มีเหล่าศิษย์จำนวนมากที่ติดตามเย่หยวนไปยังหอยุทธ
สำหรับเรื่องราวที่เย่หยวนเข้าระบบภารกิจระดับสูงในวันนั้น แม้จะเป็นเวลาสิบปีแล้ว แต่ศิษย์ชั้นในคนนั้นยังคงจำได้เสมอมา
อัจฉริยะอย่างเย่หยวนผู้ถูกลิขิตให้สร้างความสั่นสะเทือนแก่เมืองหลวงหวู่เมิ่ง หรือแม้กระทั่งคนที่กำลังจะเข้าสู่เมืองราชวงศ์อินทรีสวรรค์ก็ตามที
เย่หยวนต้องเก่งกาจมากพรสวรรค์เพียงใดถึงสามารถสร้างชื่อให้แก่เมืองหลวงหวู่เมิ่งได้ โดยการเอาชนะจิ้งอวี้?
แต่ตอนนี้เขากำลังจะตายโดยเงื้อมมือของพวกเจตนาร้าย
อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ได้ผลประโยชน์ไม่น้อยเช่นกันกับเรื่องนี้
เพื่อปิดปากเป็นความลับ ฉินเทียนหนิงได้มอบค่าตอบแทนให้แก่ศิษย์ชั้นในคนนั้นเป็นจำนวนมาก
ขณะนี้เองเขากำลังหลับตาเข้าฌานอยู่ ยามนี้สัมผัสได้ว่า มีคนตรงเข้ามาทางนี้ ด้วยความหงุดหงิดรำคาญ จึงกล่าวไล่อย่างหมดความอดทนไปว่า
“ไปที่เสาหยกเพื่อเลือกภารกิจก่อน แล้วค่อยมาลงทะเบียนกับข้า!”
“ศิษย์พี่ ข้ามาที่นี่เพื่อส่งมอบภารกิจ”
ด้วยความฉงนใจ ศิษย์ชั้นในคนนั้นค่อยๆลืมตาขึ้นเล็กน้อย เงยจับจ้องผู้มาถึงท่าทีคร้านใส่ใจ แต่ทันใดนั้น เขาพลันเร่งลุกขึ้นพรวดด้วยความตกตะลึงยิ่ง
“ยะ-ยะ-เย่หยวน! เจ้า…เจ้า…เจ้ากลับมาแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าเป็นเย่หยวน ศิษย์ชั้นในคนนั้นสะดุ้งโหย่งกระโดดขึ้นทันทีด้วยความเหลือเชื่อ คู่สายตาจับจ้องพลางอ้าปากขากรรไกรค้างเติ่ง
เย่หยวนมิได้กลับมาเป็นเวลากว่าสิบปี เขาคิดว่าเย่หยวนคงสิ้นใจตายลงนานแล้วภายใต้เงื้อมมือของฉินเทียน
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับมาพร้อมสภาพร่างการสมบูรณ์ดีไร้รอยขีดข่วน เช่นนี้จะมิให้เขาตกใจได้อย่างไร?
เย่หยวนช้อนสายตามองศิษย์ชั้นในคนนั้นด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มและกล่าวว่า
“ศิษย์พี่ดูเหมือนจะประหลาดใจมิใช่น้อยที่เห็นข้ากลับมา!”
ขณะที่ธารฝูงชนจำนวนมากจับกลุ่มอยู่ด้านนอกหอยุทธ์ ศิษย์พี่คนนั้นสะดุ้งเฮือกโดยไว สีหน้าการแสดงออกดูแปรเปลี่ยนรวนเรอย่างบอกไม่ถูก
“นะ-แน่นอน! ข้าประหลาดใจอย่างยิ่งที่ศิษย์น้องเล็กเย่หลับมาอย่างปลอดภัย นั้นเป็นถึงภารกิจสามดาว แล้วเจ้าทำสำเร็จหรือไม่? เจ้า…เจ้าสำเร็จอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าแล้ว?!”
ฮือฮา!
ศิษย์พี่ชั้นในที่หาเหตุผลขึ้นมายกอ้างอันนั้น แต่ในขณะเดียวกัน นั้นกลับจุดไฟโกลาหลให้แก่ธารฝูงชนด้านนอกในทันที
“ภารกิจสามดาว! เขารีบภารกิจครั้งแรกเริ่มจากสามดาวเลยงั้นรึ?!”
“ต้องล้อเล่นแล้ว! ภารกิจระดับสามดาวที่ง่ายที่สุดก็มีโอกาสเสียงตายถึงห้าในห้าส่วน แต่เย่หยวนสามารถทำภารกิจได้สำเร็จและกลับมาได้อย่างปลอดภัย!”
“สหายคนนี้…ไม่สามารถประเมินได้ด้วยจิตสำนึกจริงๆ! สัตว์ประหลาด! นี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ!”
……………………….
ธารฝูงชนที่ยืนล้อมรอบประตูหอยุทธด้านนอกชุลมุนหนัก ศิษย์อาณาจักรปฐมพระเจ้ากล้ารับภารกิจสาวดาว!
โดยไม่ต้องสนใจสิ่งอื่นใด แค่เย่หยวนกลับมาได้โดยปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนก็ว่าสุดยอดแล้ว แต่นี่ระหว่างทางยังก้าวขึ้นขีดจำกัดจนสำเร็จอาณาปัจฉิมพระเจ้า!
แล้วแบบนี้…ยังมีใครอยากอยู่ร่วมโลกเดียวกับเขาอีก?
ในตอนนี้คนที่ตกใจที่สุดหาใช่ผู้คนภายนอก แต่เป็นศิษย์ชั้นในคนนี้!
คลื่นยักษ์มหึมากำลังถาโถมเข้าใส่หัวใจของเขา!
เขาทราบดีวาฉินเทียนตามเย่หยวนไปยังดินแดนนภาบรรพตไปด้วย เพื่อตามล่าสังหารอีกฝ่าย
แต่ตอนนี้เย่หยวนทำภารกิจสำเร็จและกลับมาได้ ถ้าเช่นนั้นแล้ว…ฉินเทียนล่ะ?
ทันใดนั้นปรากฏหนึ่งความคิดโฉบแล่นเข้าสู่ห้วงสมองของศิษย์ชั้นในคนนั้น
ไม่! เป็นไปไม่ได้!
แม้เย่หยวนจะสำเร็จอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีทางเป็นคู่มือต่อกรฉินเทียนได้เลย ตราบใดที่เขาต้องการ ฉินเทียนสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนชั้นต้นได้ทุกเมื่อ!
ในไม่ช้า ศิษย์ชั้นในคงนั้นยังตงปฏิเสธปัดความคิดนี้ลงท้ายที่สุด
หัวใจของศิษย์ชั้นในคนนั้นเต้นระรัวเร็ว
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เย่หยวนวิ่งไปเจอฉินเทียนแล้วจริงๆ และค่อยมาทราบทีหลังว่า ข้าเป็นตัวการณ์ที่เปิดเผยข้อมูลภารกิจของเขาออกไป”
แต่หากเย่หยวนเจอฉินเทียนแล้วจริงๆ เขาจะกลับมาได้อย่างไร?
ฉินเทียนไปอยู่ที่ไหนกันแน่?
คำถามต่างๆ มากมายหลั่งไหลเข้ามาภายในใจของศิษย์ชั้นในคนนั้น แต่ยิ่งคิดเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งคิดไม่ออก
เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในดินแดนนภาบรรพต
“ฮะ-ฮ่าๆ เดี๋ยวข้าจะรีบไปหยิบของรางวัลก่อนสักครู่ บันทึกข้อมูลภารกิจลงในป้ายตราประจำตัวของเจ้าด้วย”
ศิษย์ชั้นในคนนั้นไม่กล้าสบตาเย่หยวน ได้แต่หัวเราะขำแห้งไป พลางประทับป้ายตราประจำตัวของเย่หยวนลงไปเพื่อบันทึกข้อมูลภารกิจที่ทำสำเร็จ
“ศิษย์น้องเย่ รับไป ข้าลงข้อมูลภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าก็น่าเหลือเชื่อจริงๆ เป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้า กลับทำภารกิจระดับสูงสำเร็จได้!”
ศิษย์ชั้นในคนนั้นกล่าวขึ้นพรางร่วนหัวเราะแก้ความเก้อเขิน
เย่หยวนยิ้มตอบว่า
“แค่โชคดีเท่านั้น”
ในขณะที่เขาจากไป ก็แหวกกลางธารฝูงชนเดินกลับโดยไม่แยแสผู้ใด
เวลาเดียวกัน เหล่าผู้คนโดยรอบต่างวิ่งตรงเข้ามาห้อมล้อมศิษย์ชั้นในผู้นั้นทันที
“ศิษย์พี่อาวุโส บอกพวกเราทีว่าเย่หยวนทำภารกิจสามดาวอันไหน?”
“ใช่ๆ! บอกพวกเราที!”
ตามกฎของสถานศึกษาแล้ว ศิษย์จะอนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลได้ก็ต่อเมื่อทำสำเร็จแล้วเท่านั้น
แน่นอนบอกได้ทุกอย่างนอกจากพิกัดดินแดนเหล่านั้น
ศิษย์ชั้นในคนนั้นถูกรบเร้าต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน เขาเพียงคลี่ยิ้มขื่นกล่าวตอบว่า
“เป็นภารกิจลำดับที่แปด! เย่หยวนรับภารกิจสาวดาวลำดับที่แปด!”
ทุกคนต่างปิดปากเงียบสงัดในทันใด!
………………………………………………………………
ตอนที่ 1450 พิโรธ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้ากล่าวว่าอันใด? เย่หยวน มัน…มันกลับมาแล้ว?”
เมื่อทราบข่าวนี้จากปากของฉินเทียนหยู ฉินเทียนหนานแทบสะดุ้งเฮือกขึ้นทันที
สีหน้าการแสดงออกของฉินเทียนหยูดูบูดบึ้งน่าเกลียดยิ่งเช่นกัน บิดเบี้ยวแทบกลั่นเป็นหยดน้ำได้
เขาพยักหน้าช้าๆ และกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ก่อนหน้านั้นเย่หยวนได้นำผลเก้าทำนองกายาอมตะไปยังหอยุทธเพื่อส่งภารกิจ! ข้าจึงรีบมาหาเจ้าทันทีเมื่อรับทราบข่าว”
“แล้ว…แล้วข่าวของฉินเทียนล่ะ?”
ฉินเทียนหนานเร่งเอ่ยถามทันทีพร้อมท่าทีร้อนใจเป็นกังวล
ตอนนี้เขามิได้สนใจเรื่องฆ่าเย่หยวนอีกต่อไป ชีวิตของฉินเทียนสำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตามแต่ ฉินเทียนหยูกลับส่ายหัวและกล่าวว่า
“ฉินเทียนไร้ซึ่งข่าวคราว ทั้งยังไม่กลับมาเลย!”
ฉินหนานเทียนสีหน้าซีดเผือกลงในทันใดและเอ่ยรำพึงอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า
“เป็นไปไม่ได้! นี่เป็นไปไม่ได้! ฉินเทียนอาจล่าช้าเพราะทำภารกิจกระมัง!”
ฉินเทียนหยูถอนหายใจเฮือกหนึ่งขณะกล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลไป ในความเห็นของข้า เทียนน้อยนาจะประสบปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องภารกิจ จึงทำให้กลับออกมาล่าช้า ลำพังด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างภัยคุกคามแก่เขาได้”
สีหน้าการแสดงออกของฉินเทียนดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาผืนยิ้มแห้งกล่าวว่า
“พี่ใหญ่กล่าวถูกต้องแล้ว ข้า…ข้าไม่ควรกังวลอะไรเช่นนี้ แม้ความแกร่งกล้าของเย่หยวนจะวิปลาสเพียงใด แต่หากต้องการเป็นคู่มือของฉินเทียน มันยังไม่มีคุณสมบัตินั้น”
คู่คิ้วของฉินเทียนหยูกระตุกขึ้น และกล่าวต่อทันทีว่า
“ใช่ มีบางอย่างที่ข้ายังมิได้บอกเจ้า ไม่เพียงเย่หยวนจะทำภารกิจสำเร็จเท่านั้น แต่เขายังทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้แล้ว!”
สีหน้าท่าทีของฉินเทียนหนานพลันแปรเปลี่ยนในบัดดล สังหรณ์ใจที่เพิ่งสงบลงพลันกำเริบขึ้นอีกครา
“เป็นไปได้อย่างไร? ตอนที่มันออกเดินทาง มันเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย แค่สิบปีหรือจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้?”
ฉินเทียนหยูถอนหายใจอีกระลอกพลางกล่าวว่า
“ข่าวนี้เป็นที่โด่งดังทั่วสถานศึกษาหวูเมิ่ง น่าจะเป็นความจริง!”
ฉินเทียนหนานเผยสีหน้าสุดรวนเรหลากอารมณ์ไม่หยุดหย่อน ฉินเทียนหยูค่อยๆลุกขึ้นมาตบไหล่ของเขาเล็กน้อย และกล่าวให้กำลังใจไปว่า
“ใจเย็นเถิด ยามนี้รอดูไปก่อนเป็นดีที่สุด! หากเจ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็ไปตามหาเย่หยวนได้แถวลานประลอง”
…
ตลอดทางที่ผ่านมาจวบจนถึงเรือนพักของเขา เย่หยวนไม่เห็นเซี่ยะจิ้งอวี้เลยแม้แต่เงา ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก
ข่าวการกลับมาของเขาแพร่กระจายทั่วทั้งสถานศึกษาหวูเมิ่งราวกับสายลม กล่าวกันตามตรง เจ้าท้วมน่าจะวิ่งแจ้นมาหาเขาแล้วตอนนี้
“เป็นไปได้ไหมว่า เจ้าท้วมมันจะปลีกวิเวกเก็บตัวอยู่?”
เย่หยวนคาดเดาพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
“ไปดูเจ้านั้นหน่อยดีกว่า!”
เย่หยวนเป็นกังวลไม่น้อยสำหรับเรื่องนี้ จึงตัดสินใจเดินทางไปยังเรือนพักของเซี่ยะจิ้งอวี้
แต่ยังไม่ทันที่เย่หยวนจะก้าวย่างออกไป เขากลับชนเข้ากับซือฝางโดยตรง
“ท่านอาจารย์ซือ?”
เย่หยวนเอ่ยอุทานคล้ายแปลกใจ
เมื่อซือฝางเห็นเป็นเย่หยวน ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้นทันที แต่ก่อนจะหม่นลงอีกคราอย่างรวดเร็ว
“เจ้ากำลังจะไปหาเซี่ยะจิงอวี้ใช่ไหม?”
ซือฝางเอ่ยปากขึ้นถามทันที
หัวใจเย่หยวนสั่นระรัวสังหรณ์ไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าท้วม?”
ซือฝางถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า
“เจ้าตามข้ามาเถอะ!”
…
เมื่อเห็นเซี่ยะจิงอวี้ที่นอนติดเตียงพร้อมจังหวะหายใจอันแผ่วเบา ความพิโรธพลันปะทุอัดแน่นเปี่ยมล้นที่กลางอกเย่หยวน
เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีกลิ่นอายจิตสังหารเย็นสะท้านจากร่างเย่หยวน ซือฝางสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที
สภาพปัจจุบันของเจ้าท้วมดูแย่เป็นอย่างมาก แทบจะไม่มีส่วนใดอยู่ในสภาพสมบูรณ์เลย ใบหน้าของเขาถูกทุบตีจนบิดเบี้ยวเสียรูปมนุษย์ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะนับพัน เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขารู้สึกทรมานมากเพียงใด
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ร่างกายของเจ้าท้วมไม่มีร่องรอยหรือกลิ่นอายของพลังปราณเทวะแม้แต่น้อย!
ด้วยสภาพปัจจุบันของเจ้าท้วม ไม่น่าจะอยู่รอดเกินสองสามวัน
“ใครกันที่ทำเช่นนี้?”
คำกล่าวของเย่หยวนปราศจากระลอกคลื่นอารมณ์ใด ราวกับสิ่งนี้หาได้เกี่ยวข้องกับเขาแม้สักนิด
แต่ซือฝางสามารถบอกได้ทันทีว่า ณ ตอนนี้ความโกรธของเย่หยวนได้ลุถึงจุดสุดยอดแล้ว
ซือฝางไม่มีเจตนาปิดบังเช่นกัน และเริ่มเอ่ยปากเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองถึงสามวันก่อน
อันที่จริงแล้วเจ้าท้วมค่อนข้างฉลาดมาก หลังจากที่เย่หยวนจากออกไป เขาก็ทำตัวมิให้เป็นที่เตะตาโดดเด่นแต่อย่างใด โดยส่วนใหญ่เขามักใช้เวลาปลีกวิเวกเก็บตัวอยู่คนเดียว
ระหว่างนี้เอง ทั้งหวังซ่งและเจียฉงต่างเข้ามายั่วยุเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่เจ้าท้วมก็หาได้ใส่ใจไม่
เป็นเช่นนี้ตลอดจนกระทั่งครึ่งปีพ้นผ่าน จนท้ายที่สุดเจ้าท้วมก็ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้น
เจ้าท้วมตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งต่อเรื่องนี้ เขาจึงเดินทางไปยังตำหนักชั้นในที่อยู่ของศิษย์ชั้นในเพื่อตามหาหลินซิ่ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความสัมผัสระหว่างทั้งสองรุกหน้าพัฒนาขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อสิบวันก่อน หลินซิ่งนัดพบเจ้าท้วมเจอกันนอกสถานศึกษา
ส่วนเจ้าอ้วนหาได้ฉุดคิดสงสัยอันใดไม่และเดินทางออกไปตามนัดจริงๆ
ทว่าเขากลับคาดไม่ถึงว่า หลินซิ่งจะคบหากับพวกตระกูลฉินอย่าง ฉินเจิง ฉินเป่ย รวมไปถึงพวกหวังซงและเจียฉงอยู่นานแล้ว!
นี่เป็นเพียงกับดัก!
“หลังจากนั้นข้าก็เพิ่งรู้ว่าหลิวซิ่งแอบชอบฉินเทียนมาโดยตลอด แต่ไม่มีใครรู้มาก่อน ส่วนคนของตระกูลฉินเห็นว่าไม่มีโอกาสสังหารเจ้าได้อีกแล้ว จึงใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ โดยใช้หลินซิ่งเป็นเหยื่อล่อ และทำให้เซี่ยะจิงอวี้ตกหลุมรักนาง”
ซือฝางหยุดชะงักครุ่นคิดเล็กน้อยและอธิบายต่อว่า
“เมื่อตระกูลเซี่ยะได้ทราบข่าวว่าเซี่ยะจิ้งอวี้กลายมาเป็นคนพิการเพราะพวกตระกูลฉิน ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรและได้แต่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ทราบดีว่าเซี่ยะจิ้งอวี้มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้า จึงส่งตัวไปรักษาที่หอมหาสมบัติ แต่อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงเกินไป นักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติไม่สามารถรักษาได้ อย่างมากก็ทำได้เพียงต่อลมหายใจของเขาเท่านั้น”
เย่หยวนยืนฟังอย่างเงียบงันตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าการแสดงออกสุขุมเยือกเย็นราวกับปราศจากคลื่นอารมณ์ใดกระเพื่อมถาโถมเข้าสู่จิตใจ
เห็นเพียงแววตาสีเย็นทีสาดสะท้อนออกมา
เย่หยวนมิได้เอ่ยปากกกล่าวอันใด แต่หยิบโอสถออกมาเม็ดหนึ่งและยัดมันเข้าปากของเซี่ยะจิ้งอวี้ทันที
สายตาที่เฝ้าจับจ้องของซือฝ่างแลดูจริงจังขึ้นหลายส่วน ก่อนพบกว่าเขากลับไม่รู้จักโอสถในมือเย่หยวนเลย
แม้นั้นเป็นเพียงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง ทว่าเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน!
ซือฝางรู้สึกตกใจอย่างมากเมื่อนึกอะไรขึ้นได้!
นี่ต้องเป็นโอสถชนิดใหม่เช่นเดียวกับโอสถบ่มเพาะปราณ ยิ่งไปกว่านั้นประสิทธิภาพของมันเหนือกว่าโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งทั่วไป!
เย่หยวนค่อยๆผสานมือทั้งสองลงบนร่างของเจ้าท่วมและกรอกเทพลังปราณเทวะลงไป เพื่อกระจายฤทธิ์โอสถไปทั่วร่างอีกฝ่าย ทันทีทันใดร่างกายของเจ้าท้วมก็ดูดีขึ้นเล็กนอย
คู่สายตาโพล่งโตสว่างวาบ ซือฝางตระหนักได้ทันทีว่าฤทธิ์โอสถชนิดนี้แข็งแกร่งเพียงใด!
“ท่านอาจารย์ซือ ตอนนี้พวกมันอยู่ที่ไหน?”
เย่หยวนเอ่ยถามนำเสียงเย็น
เขารู้ดีว่าซือฝางต้องทราบทราอยู่ของคนพวกนี้แน่นอน
ซือฝางพลันหน้าถอดสีทันทีและกล่าวว่า
“เจ้าจะไปหาพวกนั้น?”
เย่หยวนเอ่ยต่ออย่างไม่แยแสว่า
“ครั้งนี้เป็นฝีมือของตระกูลฉินอีกแล้ว ข้ามิใช่ลูกท้อนิ่มที่จะให้พวกนั้นมาบีบนวดได้โดยง่าย! ท่านอาจารย์ซือ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง มันมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับหอมหาสมบัติ”
ซือฝางดูวิตกกังวลหนักข้อเข้าไปใหญ่ ขณะกล่าวตอบว่า
“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่…เจ้ามิใช่คู่มือของพวกนั้น!”
ในบรรดาคนพวกนั้นมีเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดอยู่ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลินซิ่ง นางเป็นที่รูจักในนามยอดอัจฉริยะอันดับสองรองจากฉินเทียน
แต่เย่หยวนที่เพิ่งทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้ กลับยังมีช่องว่างความต่างระหว่างพวกนั้นอยู่มากพอสมควร
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่สะดวกเช่นกันที่จะให้หอมหาสมบัติออกโรงเคลื่อนไหว เพราะนี่ถือเป็นเรื่องภายในสถานศึกษาหวูเมิ่ง ทางหอมหาสมบัติไม่มีสิทธิ์เข้าแทรกแซง
เย่หยวนกล่าวน้ำเสียงเย็นชืดว่า
“ท่านแค่บอกมาก็พอว่า พวกมันอยู่ที่ไหน!”
สีหน้าซือฝางรวนเรอย่างหนักแปรผันกลับไปกลับมา จนในที่สุดเขาก็ยอมกล่าวขึ้นว่า
“พวกนั้นสุมหัวอยู่ในโรงเตี๋ยมเฟิงหลาน!”
เย่หยวนพยักหน้าและเดินออกไปทันที
ในเวลานั้นเองซือฝางก็เอ่ยปากถามขึ้นว่า
“ฉินเทียน…ออกไปตามล่าเจ้าจริงหรือไม่?”
ร่างเย่หยวนหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากตอบว่า
“ถูกต้อง!”
ซือฝางถามต่อด้วยความประหลาดใจว่า
“พวกเจ้าได้ปะทะกันหรือไม่? แต่การที่เจ้ากลับมาเช่นนี้ แสดงว่า…”
“มันตายแล้ว!”
เย่หยวนทิ้งทวนหนึ่งวาจาเบาๆและจากไปทันที
………………………………………………………
ตอนที่ 1451 ฆ่าให้ตายดั่งสุนัขจร
โดย
Ink Stone_Fantasy
คล้อยหลังสูดหายใจเข้าออกไม่กี่จังหวะ ซือฝางสั่นสะท้านจับขั้วหัวใจก่อนจะฟื้นสติขึ้นอีกครั้ง
“เป็นไปไม่ได้! เขา…เขาจะฆ่าฉินเทียนได้อย่างไร?”
ซือฝางบ่นพึมพำกับตัวเอง เป็นที่ชัดเจนว่า เขามิอาจยอมรับความจริงข้อนี้ได้เลย
ทว่าเขาเองก็พึงทราบอยู่ในใจ เย่หยวนหาใช่พวกคุยโวเช่นกัน
อันที่จริงข่าวที่ว่าฉินเทียนออกไปตามล่าเย่หยวน ก็มิใช่ความลับเช่นกันในสถานศึกษาหวูเมิ่ง
ทั้งสองต่างออกไปฝึกปรือ ณ ที่แห่งเดียวกัน และหายตัวไปเป็นเวลาสิบปี
เรื่องเช่นนี้แม้แต่คนโง่ก็ยังทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
ทว่าตอนนี้เย่หยวนกลับออกมาอย่างปลอดภัย ในขณะที่ฉินเทียนหายสาบสูญ ผลลัพธ์เช่นนี้มันเกินความคาดหมายเกินไป
แน่นอนว่าเย่หยวนอาจหยิบใช้วิธีการบางอย่างเพื่อสลัดให้หลุดจากฉินเทียนก็เป็นได้ และอีกฝ่ายก็ยังไม่รู้ว่าเย่หยวนเดินทางกลับมาแล้ว ผู้คนต่างสันนิษฐานคาดเดาไปต่างๆ นานา
แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า ฉินเทียนอาจสิ้นใจตายลงในดินแดนนั้นไปแล้ว
แท้ที่จริงแล้ว ความคิดของทุกคนต่างเอนเอียงไปยังข้อสันนิษฐานแรกมากกว่า เพราะท้ายที่สุดนี้ ความแข็งแกร่งของฉินเทียน ทุกคนต่างก็ชัดแจ้งประจักษ์ดีเยี่ยม
แม้ว่าเย่หยวนจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้แล้ว แต่ก็ไม่มีทางเช่นกันที่เขาจะเป็นคู่มือของฉินเทียนได้
ในฐานะอาจารย์แห่งสถานศึกษาหวู่เมิ่ง ซือฝางตระหนักทราบดีถึงระดับพลังฝีมือของฉินเทียนว่าสูงส่งปานใด
แต่เมื่อครู่เย่หยวนเพิ่งปริปากบอกว่า ฉินเทียนตายไปแล้ว!
นี่มันเกิดบ้าอะไรกันแน่?
ทันทีทันใดซือฝางสะดุ้งโหย่ง คิดถึงผลร้ายที่ตามมาโดยไว
“เด็กคนนี้มันสัตว์ประหลาดชัดๆ เข้าขั้นวิปลาสแล้ว! ดีไม่ดีข้าควรแจ้งท่านประมุขหอก่อนดีกว่า”
………………
ภายในห้องจัตุรัสในโรงเตี๊ยมหลานเฟิง มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน
“ไอ้บัดซบนั้นทำให้พวกเราต้องวางแผนใช้สมองเป็นการใหญ่ มันไม่มีทางเต็มใจออกนอกสถานศึกษาเป็นแน่ ยังดีที่ศิษย์พี่หลินซิ่งโปรยเสน่ห์ใส่มันจนหลงหัวปักหัวปำ มันจึงเชื่องได้ขนาดนั้น”
หวังซ่งดูมีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ เพียงว่าสีหน้าการแสดงออกของเจียฉงดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าที่ควรนัก
เพราะเขาทราบดีว่า ความแตกต่างระหว่างตนกับฉินเทียนมากห่างไกลไพศาลเพียงใด ซึ่งตัวเขาไม่มีโอกาสเลย
หลินซิ่งนั่งอยู่บนหัวโต๊ะแสดงถึงความเป็นใหญ่ สีหน้าท่าทีของนางทั้งดูหยิ่งผยองและเย็นชาอย่างหาที่เปรียบไม่
เมื่อได้ยินคนอื่นพูดถึงเซี่ยะจิ้งอวี๋ นางก็ดูมีท่าทีรังเกียจยิ่งยวด ก่อนจะกล่าวว่า
“เซี่ยะจิ้งอวี๋ ต้องการทำคะแนนให้ข้าเหลียวแลสนใจ ยังคิดปถึงขั้นมีลูกกับข้าอีก ยิ่งคิดยิ่งน่าขยะแขยง! หากมิใช่เพราะพี่ใหญ่เทียนสั่งห้ามมิให้ลงมือโดยพลการ ข้าคงลงมือจัดการมันไปนานแล้ว”
ฉินเจิ้งรีบกล่าวเชิงหยอกล้อขึ้นว่า
“ก็คงเป็นเช่นนั้น! ไอ้อ้วนบัดซบชื่อคล้ายสตรีนั้น คงตระหนักไปว่า สตรีงามดั่งธิดาสวรรค์เฉกเช่นศิษย์พี่อาวุโสหาใช่หญิงสาวทั่วไปไม่ คิดหรือว่าท่านจะเอาไอ้อ้วนนั้น!”
ฉินเป่ยยิ้มกล่าวว่า
“ในสถานศึกษาหวูเมิ่งแห่งนี้ มีเพียงพี่ใหญ่เทียนและศิษย์พี่หญิงอาวุโสหลินซิ่งเท่านั้นที่เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก!”
เมื่อเอ่ยถึงฉินเทียน หลินซิ่งพลันขมวดคิ้วขมวดกังวลลงทันที นางกล่าวว่า
“พี่ใหญ่เทียนออกเดินทางไปตามฆ่าเย่หยวน นี่ก็เป็นเวลาสิบปีแล้ว ไฉนเขายังไม่กลับมาอีก? หรือว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น?”
ฉินเจิ้งมิได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากมายนัก เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ศิษย์พี่หญิงอาวุโสหลินซิ่ง ท่านกำลังเป็นกังวลเกินเหตุไปแล้ว พี่ใหญ่เทียนออกโรงลงมือเอง ไอ้บัดซบนั้นควรตายคาคมดาบของเขานานแล้ว!”
ฉินเป่ยกล่าวเสริม
“ถูกต้อง! พี่ใหญ่เทียนอาจพบขุมสมบัติภายในดินแดนนั้นโดยบังเอิญ นั้นจึงเป็นสาเหตุที่เขาเดินทางกลับมาล่าช้า เรื่องนี้ท่านศิษย์พี่หญิงอาวุโสอย่าได้กังวลเกินควร”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น หลินซิ่งค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ฟังดูเข้าท่า เมื่อมาคิดดูแล้ว เย่หยวนก็เป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้า ดังนั้นมันจะเป็นคู่มือของพี่ใหญ่เทียนได้อย่างไร? สิ่งหนึ่งที่น่าขันที่สุดคือ มันประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป คงคิดอยู่เสมอว่าตัวมันยิ่งใหญ่เทียมฟ้ากระมัง! มันคงไม่ตายดีในดินแดนนั้นไปแล้ว!”
“อ๋อ…งั้นรึ?”
ทันใดนั้นเอง สุ้มเสียงหนึ่งแสนเยียบเย็นพลันดังก้อง
บูมมม!
ประตูห้องจัตุรัสถูกทำลายโค่น เผยถึงแรงกดดันผสมจิตสังหารจุดข้นคลัก
“ใครกัน!? ใครมันกล้า…กล้า…เย่หยวน! เจ้า…เจ้ายังไม่ตาย?”
หวังซ่งแทบกระโดดเด้งสะดุ้งโหย่ง ยามรู้ว่าผู้พังประตูเป็นใคร ที่แท้กลับเป็นฝันร้ายที่สุดของเขา มันคือเย่หยวนตัวจริงเสียงจริง!
ความตกตะลึงนี้เกินพรรณนา!
และมิใช่แค่เขาเท่านั้นที่ตกใจ ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องต่างถอดสีหน้าทันทีด้วยความตะลึง
ข่าวการกลับมาของเย่หยวนแพร่กระจายไปทั่วสถานศึกษาหวูเมิ่งแล้วก็จริง
แต่ช่างบังเอิญนัก ที่คนกลุ่มนี้ออกมาเที่ยวเล่นด้านนอกจึงไม่รู้เรื่องข่าวการกลับมาของเย่หยวน
หากพวกเขาทราบล่วงหน้า มีหวังไม่กล้าทำตัวหยิ่งผยองขนาดนี้แน่นอน
“พวกเจ้าคงผิดหวังไม่น้อยทีข้ายังไม่ตายใช่ไหม? แต่เนื่องจากข้ายังไม่ตาย เช่นนั้นก็ขอให้เป็นหายนะของพวกเจ้าแล้ว!”
เย่หยวนตัดสินกลุ่มคนพวกนี้อย่างไม่ไยดี ในสายตาของเขา ผู้คนทั้งหมดนี้ล้วนได้รับโทษประหาร
หลินซิ่งและที่เหลือต่างรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แต่วาจาคำขู่เช่นนี้ของเขากลับไม่สามารถสร้างภัยคุกคามให้กลุ่มคนเหล่านี้มากนัก
เพราะท้ายที่สุดนี้ ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด ยังมีเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดถึงสามคน
ในขณะที่เย่หยวนเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น
เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อน! อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้น!
ไอ้บัดซบตัวนี้เลื่อนระดับชั้นแล้ว?!
หลินซิ่งเหลือบมองเย่หยวนด้วยหางตา เอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า
“อย่างเจ้ารึจะมีปัญญา? เย่หยวน ในเมื่อเหยื่ออย่างเจ้าหลุดมือพี่ใหญ่เทียนไป เช่นนั้นข้าจะจัดการเจ้าแทนเขาเอง!”
เย่หยวนเหลือบมองหลิ่นซิ่งด้วยสายตาสุดน่ารังเกียจ
นังผู้หญิงคนนี้สมควรตายอย่างแท้จริง!
เจ้าท้วมรักนางด้วยใจจริง แต่นางกลับใช้ประโยชน์จากจุดนี้ทำให้เขาพิการ
“ฮ่าๆๆ! เย่หยวน! สวรรค์มอบทางเดินให้เจ้า แต่เจ้ากลับปฏิเสธมันเสียได้! แต่นรกรอต้อนรับเจ้าเสมอ! อุตส่าห์รอดพ้นจากเงื้อมมือพี่ใหญ่เทียนมาได้ แต่ยังจะหาเรื่องเข้าตัวอีก! เป็นข้าหลังจากหนีรอดกลับมาได้ คงซ่อนตัวอยู่ในสถานศึกษาสักพักใหญ่ ไม่ปัญญาอ่อนส่งตัวเองออกมาถึงหน้าประตูฝ่ายตรงข้าม!”
หวังซ่งกล่าวขึ้นพลางระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
“มันกำลังใช้กิ่งไม้ค้ำจุนความอยุติธรรมกระมัง? ฮ่าๆๆ ไอ้อ้วนนั้นก็เอาแต่พูดจาวกไปวนมาว่า หลังจากวันนี้ น้องชายของเจ้าจะช่วยล้างแค้นแทนตนแน่นอน แล้วดูตอนนี้สิ! ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะหน้าโง่มาจริงๆ!”
ฉินเจิ้งกล่าวพร้อมแสยะยิ้มน่ารังเกียจ
“เช่นนั้นมาดูกันเสียหน่อยว่า ศิษย์น้องเย่ผู้มากความสามารถคนนี้จะแก้แค้นพวกเราได้อย่างไร?”
ฉินเป่ยเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็น
เย่หยวนหาได้สนใจวาจาเย้ยหยันของอีกฝ่ายสักนิด และเค้นเสียงเย็นกล่าวขึ้นคำหนึ่งว่า
“กุ้ยหยุน!”
เงาร่างวิญญาณปรากฏขึ้นข้างกายเย่หยวน และประสานมือคารวะเย่หยวน
“คารวะนายท่าน!”
ทันทีที่กุ้ยหยุนปรากฏตัวขึ้นมา สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันเปลี่ยนไปทันที
สองดาวขั้นสุด!
ความเร็วในการพัฒนาของวิญญาณชั่วตนนี้สูงมาก เพียงไม่นานก็สำเร็จสองดาวขั้น
สุดได้แล้ว!
ศึกสัประยุทธ์กับฉินเทียนในตอนนั้น ทำให้กุ้ยหยุนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ตลอดระยะเวลาครึ่งปี ไม่เพียงอาการบาดเจ็บของกุ้ยหยุนจะหายดีเป็นปกติ แต่คล้อยหลังฟื้นตัวเต็มที่ มันยังเลื่อนระดับขึ้นกลายเป็นสองดาวขั้นสุดอีกด้วย!
“สามคนนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่เจ้าจัดการ อย่าให้พวกมันรบกวนข้าได้”
เย่หยวนเอ่ยปากสั่งการอย่างเย็นชา
“รับทราบนายท่าน!”
กุ้ยหยุนโค้งคำนับรับคำสั่ง
“หึ! พูดจาคุยโม้ไร้ยางอาย! ก็แค่วิญญาณชั่วสองดาวขั้นสุดตัวเดียว คิดจะรับมือศิษย์ชั้นในพร้อมกันสามคน? ไร้เดียงสาเกินไป!”
หลินซิ่งกล่าวเย้ยหยัน
กุ้ยหยุนย่างสามขุมตรงเข้าหาอย่างแช่มช้า และแผดเสียงเย็นสะท้านดังลั่น
“กรงเล็บรัตติกาลสังหาร!”
ทันใดนั้นกรงเล็บสีทมิฬขนาดยักษ์พลันพวยพุ่งออกมาเข้าจู่โจมทั้งสาม
เมื่อเห็นดังนั้น ทั้งสามต่างหน้าถอดสีในทันใด พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า กุ้ยหยุนจะแกร่งกล้าผิดมนุษย์ขนาดนี้
ในไม่ช้าทั้งสามกลับตกสู่สถานการณ์ยุ่งเหยิงทันที
หวังซ่งเหลือบมองเย่หยวนเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เจ้าปล่อยให้พวกเราสามรับมือกับวิญญาณชั่วตัวเดียว คิดจะดูถูกเกินไปหน่อยกระมัง?”
เปลือกตาเย่หยวหรี่แคบลงเล็กน้อย ใบหน้าปราศจากร่องรอยอารมณ์ใดผันผวน พลางเอ่ยน้ำเสียงเย็นขึ้นว่า
“ข้าจะฆ่าพวกเจ้า ฆ่าให้ตายดั่งสุนัขจร!”
สุ้มเสียงของเขายังไม่จางหายดี ทันใดนั้นสยบดาราของเย่หยวนพลันสับออกมาโดยตรง
สยบดาราฉบับสมบูรณ์ประเคนตรงไปหาเจียฉง!
“พร๊วดด!”
เจียฉงยังไม่ทันตอบสนองอันใดได้ทัน จู่ๆ ร่างของเขาก็ระเบิดแหลกเละเป็นไอโลหิตกลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายออกมา!
สายตาที่จับจ้องของหวังซ่งฉายแววจริงจังขึ้นหลายส่วน สีหน้ายามนี้ปราศจากคำดูถูกกลายมาเป็นเคร่งขรึมอย่างมากแทน
หลายปีมานี้ เจียฉงเลื่อนระดับชั้นขึ้นเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นแล้วเช่นกัน
ทว่าภายใต้สยบดาราเพียงหนึ่งกระบวนดาบของเย่หยวน เขากลับตายลงในเสี้ยวพริบตา!
ตอนที่ 1452 หวังซงหาใช่คู่มือไม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ขะแข็งแกร่งมาก! เมื่อมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! เบื้องหน้าเพียงรู้สึกพร่ามัวชั่วขณะ ทันใดนั้นร่างของเจียฉงก็ระเบิดเป็นก้อนเลือดโดยตรง!”
“เจียนฉงเองก็เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นอัจฉริยะอันดับสองในบรรดาศิษย์ใหม่รุ่นล่าสุด แล้วไฉนความต่างแตกถึงมีมากขนาดนี้?”
“รู้สึกว่า…นั้นจะใช่เย่หยวนคนที่ว่า? แต่ในระยะสิบปีหลัง ข้าไม่เคยได้ยินข่าวคราวของเขาเลย กลับมาคราวนี้ความแกร่งกล้ายังทวีความวิปลาสยิ่งกว่าเดิม!”
“แต่แม้จะทรงพลังขนาดไหน สุดท้ายนี้ก็มิอาจเป็นคู่มือของหวังซ่งได้อยู่ดี อีกฝ่ายเป็นถึงศิษย์ชั้นใน นอกจากนี้ยังมีระดับพลังสูงถึงอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลาย ซึ่งสูงกว่าเย่หยวนถึงสองระดับขั้น!”
………………
โรงเตี๊ยมเฟิงหลานคึกคักธารฝูงชนหนาแน่นไม่ขาดสาย หมัดระเบิดประตูของเย่หยวนในทีแรกได้สร้างความปั่นป่วนอย่างมากให้แก่ฝูงชน จนตอนนี้กลายเป็นที่สนใจของคนทั้งโรงเตี๊ยม
ที่สำคัญยังมีกุ้ยหยุนเข้าสัประยุทธ์อยู่กับอีกเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดถึงสามคน ทว่าในความเป็นจริงกลับมิได้ดูเสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามกลับสูสีอย่างมาก ทำให้ทุกคนต่างเบิกตาโตเฝ้ามองด้วยความตกตะลึง
สัประยุทธ์ศึกใหญ่ของทั้งสี่ทำให้ห้องจัตุรัสนั้นโค่นถล่มลงมา ยันพัดผ่านโหมกระหน่ำต่อยันมุมหนึ่งของโรงเตี๊ยม
“เหอะ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เจ้าต้องกลายมาเป็นคู่มือข้า! แต่ไอ้บัดซบอย่างเจ้าจำต้องชะตาขาดแล้วในวันนี้! ทั้งบัญชีเก่าใหม่ชำระเบ็ดเสร็จในวันนี้! หวังซูน้องรัก วันนี้พี่ใหญ่จะล้างแค้นในเจ้าเอง!”
เมื่อกล่าวจบ หวังซ่งพลันกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชัง
การตายของหวังซูได้สร้างความขื่นขมภายในใจของเขามาโดยตลอด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มิอาจก้าวข้ามความรู้สึกนี้ไปได้
ครั้งล่าสุดที่เขาต้องการจะฆ่าเย่หยวน กลับเป็นเซียวเฟิ้งที่เข้ามาหยุดไว้
แต่ครั้งนี้เย่หยวนจะต้องถูกส่งลงปรโลกตามปรารถนาที่เขาต้องการ!
“หมัดไท่จี๋กระบวนดารา ตายไปซะ!”
หวังซ่งกู่ร้องคำรามลั่น ไม่มีพิธีรีตองอันใดอีก พร้อมประจันหน้าปล่อมเพลงหมัดใส่เย่หยวน
สายลมที่เพลงหมัดชักหาโหมกระหน่ำรุนแรง จนทำให้ผู้คนโดยรอบแห่อุทานด้วยความตกตะลึง
“จิตสังหารแห่งกำปั้นนี่มัน…บรรลุชั้นสวรรค์ขั้นสามแล้ว!”
“หมัดไท่จี๋กระบวนดาราเป็นสุดยอดวิชาลับของสถานศึกษาหวูเมิ่ง หวังซ่งในตอนนี้บรรลุชั้นสวรรค์ขั้นสาม อานุภาพทำลายล้างจะรุนแรงเพียงใด?”
“เย่หยวนคนนี้ใจร้อนเกินไปนัก ความแข็งแกร่งเพียงแค่นี้กลับหาญกล้าท้าทายหวังซ่ง!”
“นี่มันยิ่งกว่าความแตกต่างระหว่างอาณาจักรปฐมพระเจ้ากับปัจฉิมพระเจ้านัก ข้ามระดับต่อสู้ขนาดนี้ เย่หยวนฝืนตัวเองเกินไป!”
………………….
ยิ่งระดับพลังสูงเท่าไหร่ ความยากในการข้ามระดับสู้ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
นอกเหนือจากนี้ยังข้ามถึงสองระดับขั้น!
หากเปรียบให้การข้ามระดับสู้จากอาณาจักรปฐมพระเจ้าจับคู่กับอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเท่ากับเต็มสิบ ระดับความยากระหว่างอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นไปยังชั้นปลาย อาจสูงถึงห้าสิบหรือแปดสิบเต็ม!
แม้ว่าหวังซ่งจะมิได้ถูกขนานนามว่า เป็นศิษย์ชั้นในที่แข็งแกร่งที่สุดของสถานศึกษา แต่เขาเองก็ถือเป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้าเช่นกัน
ความแข็งแกร่งของเขาจึงไม่นับว่าอ่อนแอ
หากเย่หยวนต้องการที่จะเอาชนะเขา โดยที่อีกฝ่ายมีพลังมากกว่าถึงสองระดับ มันแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย
เพลงหมัดชักพาสายลมกระหน่ำ ควบแน่นก่อตัวขึ้นเป็นเกลียววายุพุ่งเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง ทว่าเย่หยวนเพียงยกดาบพิชิตมารฟ้าขึ้นอย่างใจเย็น
“สยบดารา!”
เสียงเอ่ยขานป่าวประกาศเบาบาง สะบั้นฉีกห้วงอากาศสรรพสิ่งเข้าชนกับหมัดไท่จี๋กระบวนดาราเต็มสูบ
บูมมม!
ยามนี้เห็นเพียงร่างของหวังซ่งที่พุ่งกระเด็นออกไปราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ ส่งบินตรงออกจากโรงเตี๊ยมทะลุไปอีกฝั่งของท้องถนน
ร่างปะทะกำแพงหนาจนแตกละเอียด พร้อมนอนกองกับพื้นพร้อมด้วยซากปรักหักพัง
ทุกคนต่างตกตะลึง!
ไฉนเย่หยวนถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้กัน?!
การเคลื่อนไหวของเย่หยวนลึกล้ำเกินขอบเขตความเข้าใจของทุกคนไปแล้ว
มันเป็นเพียงการฟาดฟันคมดาบออกไปธรรมดา ดูเหมือนไม่มีพลังอะไรเลย แม้แต่กระแสพลังวิญญาณความปั่นป่วนยังปราศจากร่องรอยใดๆ
แต่อสนุภาพทำลายล้างกลับน่าเกรงขามยิ่งยวด!
เป็นครั้งแรกของการเปิดตัวสยบดาราฉบับสมบูรณ์แบบ บนมหาพิภพถงเทียน
ก่อนหน้านี้ เย่หยวนเองก็เคยใช้กระบวนท่านี้สังหารเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้เช่นกัน ทั้งๆ ที่อยู่เพียงอาณาจักรปฐมพระเจ้า
ตอนนี้เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นเรียบร้อยแล้ว อานุภาพทำลายล้างยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามหาศาลเพียงใด
สามารถเอาชนะหวังซ่งได้ในหนึ่งกระบวนท่า ไม่นับว่ามีราคาคุยโวแต่อย่างใด
และแท้ที่จริงแล้ว ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเย่หยวนอย่างจันทร์สลายก็ยังมิได้หยิบใช้สำแดงออกมาเลยด้วยซ้ำ!
“นี่ข้าตาฝาดไปใช่ไหม? อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นสามารถโค่นอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายได้ในหนึ่งกระบวน? นี่มันไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยรึ?”
“ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างบอกว่า พรสวรรค์ที่เร้นซ่อนอยู่ในตัวเย่หยวนเหนือชั้นกว่าฉินเทียน ปัจจุบันข้าเชื่อสนิทใจแล้ว!”
“นี่…นี่มันทรงพลังเกินไป! กระบวนดาบนั้นข้ามิอาจหยั่งรู้ได้เลย! เพื่อรีดเร้นขุมพลังอันน่าสะพรึงขนาดนี้ออกมาได้ เขาทำได้อย่างไร?”
……………..
ความแกร่งกล้าของเย่หยวนไม่สามารถประเมินคาดการณ์ได้ด้วยจิตสำนึกอย่างแท้จริง
โคจรพลังด้วยบัญญัติเทพแห่งถงเทียนควบคู่ไปกับเพลงดาบสวรรค์เบิกฟ้า คิดดูเสียว่าอานุภาพทำลายล้างจะเกินจินตนาการเพียงใด? มีแค่คู่ต่อสู้ของเย่หยวนเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของมัน
และตอนนี้หวังซ่งก็ได้ลองลิ้มชิมรสชาติจนตระหนักชัดแจ้ง!
วูบ!
ทันใดนั้นร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากกำแพงปรักหักพัง เงาร่างไสววูบพุ่งหนีออกไปจุดหมายคือสถานศึกษาหวูเมิ่งด้วยความเร็วสุดขีด!
ภาพฉากนี้เกินผู้ใดคาดถึง ทุกคนได้แต่อ้าปากค้างเติ่งเกินนึกคิด
“พร๊วดด!”
ขณะที่หวังซ่งกำลังหนีตาย เขาพลันกระอักพ่นเลือดสดออกมาตลอดทาง
ในตอนนี้เขายังต่อสู้สัประยุทธ์ไว้ได้อย่างไร? เขารีดเร้นพลังทั้งหมดออกมาเพื่อหนีตายเข้าไปในสถานศึกษาหวูเมิ่งโดยไว!
ตราบใดที่เขาสามารถหนีเข้าไปในสถานศึกษาหวูเมิ่งได้ เย่หยวนจะไม่กล้าฆ่าตนอีกต่อไป
“แข็งแกร่งเกินไป! ชายหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร? เขาเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น! หากย้อนกลับไป ตอนนั้นฉินเทียนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้น อย่างมากก็ต่อกรสูสีกับอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลางเท่านั้น แต่เย่หยวน…”
คลื่นความตื่นตะลึงเข้าซัดถาโถมเข้าสู่จิตใจของหวังซ่ง เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า หลังจากที่เย่หยวนขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้แล้ว เขาจะทรงพลังน่ากลัวถึงขนาดนี้
กระทั่งภายในใจของเขาตอนนี้ยังพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวนในปัจจุบัน ประดุจว่าเขากำลังไล่ฆ่าสุนัขจรอยู่จริงๆ!
หวังซ่งจำใจหนีตายออกไปอย่างหมดหวัง เขาเร่งเร้าโคจรพลังปราณเทวะในกายจนหมุนติ้วเร็วจี๋ ทะยานหนีสุดแรงเกิด
ขณะนี้ได้แต่ขอร้องอ้อนวอนให้บิดามารดาเพิ่มขาประทานแก่เขาอีกสักคู่หนึ่ง เขาต้องการลี้ภัยหนีเข้าไปยังสถานศึกษาหวูเมิ่ง!
บิน…
ทันใดนั้นร่างหนึ่งพลันกระโดดลงมาขวางหน้าจากบนฟ้า ต่อหน้าต่อตาหวังซ่ง
ยามนี้ทั่วทุกอณูร่างกายของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความสิ้นหวัง
หวังซ่งลืมไปได้อย่างไรว่า เย่หยวนยังมีวิชาขี่ดาบอยู่?!
“วิชาขี่ดาบ! นั้นมันวิชาขี่ดาบจริงๆ! ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าเคยได้ยินว่าเย่หยวนมีวิชาขี่ดาบอันน่าเกรงขาม แต่ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า วันนี้จะได้มาเห็นกับตาตนเอง! นับเป็นวันที่ข้าได้เปิดโลกทัศน์อย่างแท้จริง!”
“ด้วยสิ่งนี้ หวังซ่งชะตาขาดแน่แล้ว! แต่สงสัยเสียจริงว่า เย่หยวนจะฆ่าเขาจริงๆรึ เบื้องหลังของหวังซ่งยังมีตระกูลฉินและตระกูลหวังอยู่ ทั้งสองล้วนเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่”
“เหอะ นี่เจ้าใช้สมองคิดหรือเปล่า กระทั่งระเบิดหัวฉินเป่ยอวี่ คุณหนูแห่งตระกูลฉิน เย่หยวนก็เคยทำมาแล้ว นับประสาอะไรกับหวังซ่ง?”
……………
ตุบ!
หวังซ่งคุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยวน พร้อมน้ำตาที่ไหลพราก
“ท่านเย่! ท่านเย่หยวน! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้วจริงๆ! เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะฉินเจิ้งกับฉินเป่ยเป็นตัวต้นคิด! ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดด้วยเลย!”
ภัยคุกคามถึงชีวิตขนาดนี้ หวังซ่งยังกล้าทำตัวหยิ่งผยองได้อย่างไร? ยามนี้ได้แต่พนมมือขอร้องอ้อนวอนเย่หยวนทั้งน้ำตา ทั้งยังทรยศต่อฉินเจิ้งกับฉินเป่ยโดยไม่สนอะไรแล้ว
เย่หยวนเพียงแสยะยิ้มตอบเล็กน้อยและกล่าวว่า
“หวังซ่ง ข้าให้โอกาสเจ้าก็มากแล้ว แต่สุดท้ายเจ้ายังก่อปัญหาให้ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นนั้นจงลงนรกไปซะ!”
“พร๊วดดด!”
สยบดาราสะบั้นห้วงอากาศเวหา หวังซ่งสภาพการตายไม่ต่างจากเจียฉงเลย ร่างของเราระเบิดเละกลายเป็นไอโลหิตฟุ้งดุจพิรุณ
ทุกคนบนท้องถนนต่างเฝ้ามองภาพฉากนี้ด้วยความตกตะลึง!
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชื่อเสียงของเย่หยวนจะดังกึกก้องไปทั่วแผ่นฟ้า!
เย่หยวนสังหารหวังซ่งทิ้งได้ภายในหนึ่งกระบวนอีกครั้ง
กุ้ยหยุนและทั้งสามยังคงพัลวันสัประยุทธ์เดือดไม่หยุดหย่อน ไล่ล่าต่อสู้ตั้งแต่อยู่ในโรงเตี๊ยมเฟิงหลาน จนยามนี้ออกมากลางท้องถนน
ความแกร่งกล้าของหลินซิ่งนับว่าน่าเกรงขามอย่างยิ่ง สามารถบังคับให้กุ้ยหยุนกระตุ้นใช้พลังจิตวิญญาณจนถึงขีดสุดได้ ยามนี้เริ่มปรากฏแนวโน้มเสียเปรีบต่อทั้งสามบ้างแล้ว
คู่ดวงตาของเย่หยวนหรี่แคบเล็กลง ร่างกระตุกวูบปราดพุ่งเข้าหาฉินเป่ยเป็นรายต่อไป!
“จันทร์สลาย!”
ตอนที่ 1453 ถนนสีเลือด
โดย
Ink Stone_Fantasy
วูบบ!
ณ ปัจจุบัน ฉินเป่ยใส่สุดกำลังเกิดเพื่อรับมือกับกรงเล็บรัตติกาลสังหาร ทันทีทันใดขนแขนทุกอณูยันหนังศีรษะพลันเสียวซ่าน สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามครั้งใหญ่ปรากฏขึ้นในใจ
ร่างของเย่หยวนแปรเปลี่ยนเป็นกระแสพลังสายหนึ่ง ปราดพุ่งมาหาฉินเป่ยด้วยความเร็วเกินพรรณนา
นี่มันกะทันหันเกินไป ความเร็วของเย่หยวนเร็วเกินไปจนไม่มีผู้ใดตอบสนองได้ทัน
ความรู้สึกดั่งภัยคุกคามนี้แสนยิ่งใหญ่เสียกว่ากรงเล็บรัตติกาลสังหารเสียอีก!
ยามนี้กลับสายเกินไปแล้วที่หันไปตอบโต้ ฉินเป่ยฟาดพลังหลังมือกลับไปทันที
ในขณะเดียวกัน มืออีกข้างของเขาก็เข้าผนวกรับมือกับกรงเล็บรัตติกาลสังหาร!
ปฏิกิริยาของฉินเป่ยมิอาจกล่าวได้ว่าไม่ช้า แต่ก็หาได้เร็วกว่าเย่หยวนไม่!
ชวิ้ง!
“พร๊วดด!”
“พร๊วดดด!”
ทั้งเย่หยวนและฉินเป่ยแทบกระอักพ้นเลือดสดออกมาพร้อมเพรียง ร่างเย่หยวนร้นถอยกระเด็นออกไป
อย่างไรก็ตาม สภาพของฉินเป่ยดูเลวร้ายกว่าเย่หยวนมาก
ผสานการโจมตีระหว่างเย่หยวนกับกุ้ยหยุนร่วมมือกัน ไม่จำต้องบรรยายเลยว่า อานุภาพทำลายล้างจะขนาดไหน
ขณะที่เย่หยวนขยับตัว กุ้ยหยุนก็เข้าใจเจตนาความคิดของอีกฝ่ายในทันใด พร้อมผนึกกำลังโจมตีใส่ฉินเป่ยอีกแรง
ถูกทั้งสองโจมตีพร้อมกันหน้าหลัง มีหรือแค่ฉินเป่ยคนเดียวจะต้านรับได้ไหว?
ภาพฉากนี้เกิดขึ้นไวเกินไปจนหลินซิ่งและฉินเจิ้งไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที
นอกจากนี้พลังโดยส่วนใหญ่ของฉินเป่ยยังมุ่งเน้นไปทางต้านทานกรงเล็บของกุ้ยหยุนมากกว่า ทำให้อาการบาดเจ็บที่เย่หยวนได้รับมิค่อยรุนแรงนัก
มิฉะนั้นแล้ว ด้วยขุมพลังของอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด ยามปะทะเต็มสูบ เย่หยวนอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงขั้นเจียนตาย
หากไร้ซึ่งความช่วยเหลือจากยันต์ประกายอัสนีสวรรค์ เย่หยวนยังคงเสียเปรียบกว่าเล็กน้อยเมื่อประจันหน้ากับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด
“จันทร์สลาย!”
เย่หยวนสำแดงกระบวนโจมตีอีกครา ครั้งนี้ใช้สัญชาตญาณการต่อสู้ผนวกเข้าตามดั่งจินอวี้ที่พึ่งพาสัญชาตญาณในตอนนั้น
แต่ ณ ขณะนี้ วิธีนำใช้ของเย่หยวนกลับแตกต่างไปจากเขาเล็กน้อย อาศัยจังหวะคาบเกี่ยวชั่วอึดใจ เหวี่ยงวงดาบให้สั้นลงเพื่อรีดเร้นความเร็วให้ถึงขีดสุด
ปิดโอกาสของฉินเป่ย แม้แต่เวลาหายใจยังไม่มี! เย่หยวนสับคมดาบใส่อีกฝ่ายไร้ปรานี!
ชวิ้ง!
คมเขี้ยวทรงจันทร์เสี้ยวพวยพุ่งเป็นกระแสพลังคลื่นคมดาบปราดใส่ฉินเป่ย
แต่หากเวลานี้คนที่รับกระบวนท่าเป็นฉินเทียน แค่การโจมตีกระบวนหนักเพียงสองท่า นับว่ายังเอาไม่ถึงตาย
เวลานี้อวัยวะภายในของฉินเป่ยสับสนอลหม่าน ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเย่หยวนจะกระหน่ำซ้ำได้ถี่เพียงนี้
ซวบบ!
ดาบพิชิตมารฟ้าเสียบทะลุกลางอกของฉินเป่ยโดยไร้ซึ่งความเมตตาใดๆ!
ดวงตาของฉินเป่ยเบิกกว้าง จนถึงยามนี้ที่เขากำลังจะตาย ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าคนที่ฆ่าตนกลับเป็นเย่หยวนจริงๆ
แน่นอน เย่หยวนไม่ให้โอกาสเขาหรือไว้ชีวิตใดๆ!
ดาบพิชิตมารฟ้ากระซวกซ้ำดั่งตอกฝาโลง
สายตาของฉินเป่ยค่อยๆคลายอ่อนดูเลื่อนลอย แต่ดวงตาคู่นั้นยังไม่ยอมปิดลงสงบใจ
เขาตายลงพร้อมกับความขมขื่นชั่วนิรันดร์!
เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นต้นจะสามารถฆ่าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดได้อย่างไร?
“นี่…เมื่อครู่มันอะไรกัน? เพลงดาบของเย่หยวนรวดเร็วเกินไป! กระทั่งข้ายังเห็นไม่ชัด!”
“ขะ-แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! เย่หยวนสำแดงใช้เพียงกระบวนดาบสองท่าก็สังหารเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดได้แล้ว! แม้จะมีวิญญาณชั่วสองดาวขั้นสุดคอยช่วยเหลือ แต่การกระทำเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเขย่าเมืองหลวง!”
“นี่ข้าต้องฝันเป็นแน่! ฉินเป่ยนับเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานคนหนึ่ง เป็นศิษย์ชั้นในระดับแนวหน้า ทว่าตอนนี้กลับถูกฆ่าโดยเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น!”
…
เดิมทีในสายตาของทุกคนต่างมองเย่หยวนเปรียบดั่งตัวตลก
แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ตัวตลกเช่นนี้จะสามารถสร้างถนนนองเลือดอันสยดสยองได้ขนาดนี้
ขุมพลังของกุ้ยหยุนนับว่าแกร่งกล้ายิ่ง ต่อให้สัประยุทธ์รับมือกับสามอัจฉริยะยังสามารถรับมือได้โดยไม่เสียเปรียบอยู่เป็นเวลานาน
แต่แน่นอนว่า เมื่อเวลาผ่านไปเขาย่อมเสียท่าอ่อนแรงลงเป็นธรรมดา
ทว่าทันใดนั้นเอง เย่หยวนก็เข้าร่วมศึกสับประยุทธ์ช่วยเหลือ ส่งผลให้สถานการณ์การต่อสู้พลิกกลับมาได้เปรียบทันที
จากการปรากฏตัวของเย่หยวน ยามนี้เขาสังหารไปถึงสามคนติดต่อกันแล้ว โดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเร็วเกินไปจนไม่มีใครตอบสนองได้ทันเลยสักคน ศึกสัประยุทธ์นี้ได้ดำเนินไปกว่าครึ่งทางแล้ว
ด้วยความแกร่งกล้าในปัจจุบันของเย่หยวน หากสู้แบบตัวต่อตัวกับหลินซิ่ง คือเขาคว้าชัยไปได้แน่นอน
เพียงว่ายามนี้มีฉินเจิ้งผูกติดมาด้วย
ถึงกระทั่งเย่หยวนแค่คนเดียวก็สร้างภัยคุกคามให้แก่ทั้งสองเป็นอย่างมาก
จันทร์สลายของเย่หยวน กระบวนท่านี้รวดเร็วเกินบรรยาย เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะป้องกันกระบวนท่านี้ได้โดยสมบูรณ์
เมื่อดเย่หยวนคว้าโอกาสโจมตีเปิดช่องโหว่ได้ พวกเขาเตรียมตัวตายได้เลย
ซวบ!
เย่หยวนกะซวกดาบออกจากกลางอกของฉินเป่ยที่ยามนี้ไร้ซึ่งวิญญาณหลงเหลือออกมา พร้อมจับจ้องไปยังทิศสัประยุทธ์อีกครั้ง
ร่างฉินเป่ยทรุดลงกับพื้นทั้งแบบนั้น จนวันตายเขาก็ยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงสายตาอันเย็นสะท้านที่จับจ้องเข้ามา หลินซิ่งและฉินเจิ้งต่างขนลุกซู่วโดยมิตั้งใจ ก่อนเบี่ยงความสนใจหันมารับมือกับกรงเล็บรัตติกาลสังหารต่อทันที
ชวิ้งง!
เย่หยวนหรือจะพลาดโอกาสทองเช่นนี้ไป? เขาปลดปล่อยจันทร์สลายอีกครั้งทันทีโดยไม่มีลังเล!
ร่างไสววูบกลายเป็นเงาซ้อน เป้าหมายจับตายในคราวนี้คือฉินเจิ้ง!
เกร๊ง!
ดาบพิชิตมารฟ้าซัดเหวี่ยง เข้าปะทะกับดาบยาวในมือฉินเป่ยได้ทันอย่างหวุดหวิด
“พร๊วดด!”
ขุมพลังอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดได้สร้างอาการบาดเจ็บแก่เย่หยวนอีกครั้ง
ทว่าฉินเจิ้งเองกลับมิได้มีสภาพดีไปกว่าเย่หยวนนัก ขณะเดียวกันกุ้ยหยุนใช้ประโยชน์ในจังหวะนี้โจมตีสวนอีกทางในทันใด
เย่หยวนเห็นเช่นนั้นกัดฟันแน่นข่มกลั้นความเจ็บปวด พร้อมปลดปล่อยจันทร์สลายเป็นระลอกสอง!
เกร๊ง!
เกร๊ง!
เกร๊ง!
แสงคมดาบสีเย็นสายใหญ่เข้าโหมปะทะอีกคราว ภาพฉากนี้ทำเอาทุกคนใจสั่นวิตกกังวลหนัก
การโจมตีแต่ละครั้งของเย่หยวนหวังเอาชีวิตมิให้เหลือซาก!
เห็นได้ชัดว่าการกระทำเช่นนี้มันค่อนข้างเสี่ยงตายไม่น้อย!
เย่หยวนในยามนี้ได้รับบาดเจ็บ แต่ฉินเจิ้งกลับแย่กว่าเขามาก
เขาหลบเลี่ยงกรงเล็บรัตติกาลสังหารได้อย่างหวุดหวิดหลายต่อหลายครั้ง ตาศาสตร์แห่งสวรรค์ที่กอปรออกมาด้วยได้สร้างอาการบาดเจ็บฝังลึกลงไป
อาการบาดเจ็บของฉินเจิ้งตอนนี้ร้ายแรงกว่าเย่หยวนเป็นอย่างมาก!
“นี่ไปโกรธแค้นกันมาจากไหน? เย่หยวนเสี่ยงตายขนาดนี้ หวังเอาชีวิตแลกชีวิตเลยกระมัง?”
“ฟังว่าฉินเทียนออกไปดินแดนนอกเพื่อฝึกปรือขัดเกลาฝีมือ แต่แท้ที่จริงแล้ว เขาออกไปตามล่าเย่หยวนต่างหาก ระหว่างเย่หยวนกับตระกูลฉินมันอยู่ใต้แผ่นฟ้าเดียวกันไม่ได้นานแล้ว!”
“เป็นไปได้ไหมว่า วันนี้เย่หยวนจะฆ่าอัจฉริยะระดับแนวหน้าของสถานศึกษาหวูเมิ่งเหล่านี้จนหมด? ข้าสงสัยเสียจริงว่าทางสถานศึกษากับตระกูลฉินจะมีปฏิกิริยากันอย่างไร?”
“เย่หยวนคนนี้ประมาทเกินไป! ตระกูลฉินหยั่งรากลึกลงในเมืองหลวงหวูเมิ่งมาเนิ่นนาน แม้เบื้องหลังเย่หยวนจะมีหอมหาสมบัติคอยคุ้มกะลาหัวอยู่ แต่นั่นก็เรียกได้ว่าเปล่าประโยชน์เช่นกัน”
…
ทุกคนต่างเฝ้าดูเย่หยวนกำลังเสี่ยงตาย พลางร้องอุทานด้วยความตกใจเจือชื่นชม
พวกเราย่อมไม่รู้ว่าเย่หยวนที่ยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายขนาดนี้หาใช่เพื่อตนเองไม่ แต่ทั้งหมดก็เพื่อล้างแค้นให้เจ้าท้วม!
ในปัจจุบัน ยิ่งหลินซิ่งต่อสู้มากเท่าไหร่นางก็ยิ่งตื่นตกใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งกุ้ยหยุนหรือเย่หยวนก็ตาม พวกมันต่างทรงพลังน่ากลัวเกินไป
ความแกร่งกล้าของนางได้ชื่อว่าเป็นอันดับสองของสถานศึกษา ในขณะที่ฉินเจิ้งอยู่ในอันดับห้า
แต่เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับการผนึกกำลังกันระหว่างเย่หยวนและกุ้ยหยุน พวกเขากลับไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะต่อกรได้เลย!
“ไม่มีทาง! ข้าไม่ยอมตายเช่นนี้แน่! ข้าต้องรีบหาทางกลับไปยังสถานศึกษา!”
หลินซิ่งเร่งคิดหาทางออกทันที
ในขณะนี้เย่หยวนกับกุ้ยหยุนยังคงผสานกำลังช่วยกันโจมตีฉินเจิ้งอยู่
เสี้ยวอึดใจต่อมาหลินซิ่งตัดสินใจเด็ดขาดฉับไว ร่างของนางกู่ถอยถีบตัวออกจากวงสัประยุทธ์และทะยานหนีออกไปทันที!
……………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น