Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1420-1433
ตอนที่ 1420 มีข้าอยู่เคียงข้าง จงทำตามใจอิสระ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหนือน่านฟ้า มีผู้คนกว่าหลายสิบร่างทะยานเหินฝ่าเมฆาชักนำกลิ่นอายสุดปั่นป่วนหอบใหญ่ การจะปรากฏภาพฉากที่เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าเคลื่อนพลออกโรงจำนวนมากมายขนาดนี้พร้อมกัน นับเป็นเหตุการณ์ที่พบเห็นได้ยากยิ่งในดินแดนนภาบรรพต เหล่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา อนึ่งอาจเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่สั่นสะเทือนไปทั้งผืนพิภพ จึงเป็นสาเหตุให้ขุมกำลังระดับชั้นนี้ออกโรงพร้อมกันเป็นจำนวนมาก
กำลังทัพเซียนอาณาจักรพระเจ้าเดินทางไกลนับหลายหมื่นลี้ด้วยความเร็วเพียงพริบตา สามวันต่อมา ฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายก็เผชิญพบกับพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยในท้ายที่สุด!
บุคคลหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสุดของฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรยเป็นชายชราผู้หนึ่ง เมื่อผู้คนของวังเทวะรัตติกาลฉายเห็นบุคคลนี้ก็อดแปลกใจมิได้เช่นกัน
บุคคลนี้ได้รับรายงานมาว่า ประมุขวังรัตติกาลเทวะไป๋เย่ไห่ถูกวางยาจนสวรรคตไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงชักนำเหล่าเซียนกลุ่มใหญ่เพื่อมาล้างบางชำระ เพียงว่าทางเขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า คนของวังเทวะรัตติกาลฉายเองก็เคลื่อนทัพตอบโต้ไวขนาดนี้เช่นกัน บุคคลนั้นกวาดสายตามองเหล่าเซียนที่ยืนประจันหน้าอยู่ตรงข้าม เขาเอ่ยปากกล่าวพลางหัวเราะคำโตขึ้นว่า
“ตาแก่ไป๋เย่ไห่ไปไหนเสีย? ไฉนเจ้านั้นถึงไม่ออกมาต้อนรับข้า? ช่างเสียมารยาทจริงๆที่ส่งเด็กน้อยมาแทน มาหาที่ตายหรืออย่างไร? ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ไป๋เฉินที่ได้ฟังดังนั้นโกรธเกรี้ยวจนตัวสั่นเทา เขาชี้นิ้วใส่หน้าอีกฝ่ายและคำรามปนโทสะจุดเดือดดาลขึ้นว่า “ฮั่วเทียนหยาง แกมันไร้ยางอายสิ้นดี!”
ฮั่วเทียนหยางผู้นี้คือประมุขวังเทวะพิรุณร่วงโรยรุ่นปัจจุบัน ทั้งยังเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดอีกด้วย! ทั้งเรื่องคนทรยศและเรื่องราวความขัดแย้งภายในวังเทวะรัตติกาลฉายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ล้วนได้รับการวางแผนอย่างแยบยลโดยเขาเพียงคนเดียว กลยุทธ์สร้างความร้าวฉานจากภายในนี้มิอาจกล่าวได้ว่าไม่โหดเหี้ยม ไม่เพียงทำให้ไป๋เย่ไห่พินาศวอดวายเท่านั้น กระทั่งถึงขั้นเปิดศึกชิงดีชิงเด่นกันอีกหลังจากนั้น
วังเทวะรัตติกาลฉายในปัจจุบันก็ไม่ต่างอะไรจากมังกรไร้หัว พวกเขาย่อมคว้าโอกาสนี้เพื่อโค่นล้มวังเทวะรัตติกาลฉายให้สิ้นซากโดยธรรมชาติ ไป๋เฉินยังไม่เติบโตพอที่จะรับตำแหน่งนี้ได้ในตอนท้าย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ระบบทุกอย่างพังพินาศไปหมด
เมื่อแปดผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังเห็นสถานการณ์ดังกล่าว พวกเขาก็แอบส่ายหัวเล็กน้อย ในเวลาแบบนี้ต้องเป็นพวกเขาที่ควรแสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความสงบเยือกเย็นจนผิดวิสัย และปล่อยให้ฮั่วเทียนหยางสับสนจนไม่สามารถตัดสินใจอันใดได้ต่อ มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะขู่ให้อีกฝ่ายกลัวและถอนทัพกลับไป อย่างน้อยก็ซื้อเวลาให้พวกเขาเตรียมกลยุทธ์ตอบโต้ได้อีกสักพัก
ทันทีที่ฮั่วเทียนหยางเห็นท่าทางการแสดงออกของไป๋เฉิน เขาก็ยิ่งได้ใจระเบิดหัวเราะเยาะลั่นและกล่าวว่า “หลานชายผู้มีเกียรติของข้า ไม่ได้เจอกันเสียนาน ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าจะกลายเป็นประมุขวังคนใหม่ไปเสียแล้ว! แต่น่าเสียดายนัก…เจ้าคงดำรงตำแหน่งนี้เป็นวันสุดท้าย!”
ไป๋เฉินสวนตอบกลับไปอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ฮั่นเทียนหยางอย่าคิดลำพองใจนัก! วันนี้แม้ข้าสู้จนตัวตายก็ขอลากแกลงนรกไปด้วย!”
ฮั่วเทียนหยางยิ่งระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น แลดูชอบอกชอบใจนักเมื่อได้ยินเช่นนั้น กล่าวว่า “ลากข้าลงนรก? ฮ่าๆๆ…เกรงว่านรกยังไม่พร้อมรับข้า! พอไม่มีไป๋เย่ไห่คอยปกป้อง ผู้คนกลับหลงทิศเหล่าทัพทหารกลับหลงทาง ถึงขั้นที่ว่าประเคนหาที่ตายถึงทีในวันนี้! วังเทวะรัตติกาลฉายของเจ้าจักต้องถูกลบออกจากหน้าประวัติศาสตร์ของดินแดนนภาบรรพต!”
ฮั่วเทียนหยางผู้นี้เจนจัดมากประสบการณ์ มีระดับความคิดอ่านที่สูงมาก ทุกวาจาคำกล่าวเปี่ยมล้นเล่ห์เหลี่ยมรอบคอบ ขณะเดียวกันขุมพลังแห่งอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดพลันถูกปลดปล่อยออกมาทันที สีหน้าการแสดงออกของเหล่าเซียนฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายต่างแปรเปลี่ยนกันไปตามๆ กัน
ภายใต้แรงกดดันนี้ สีหน้าไป๋เฉินซีดเซียวลงโดยไม่รู้ตัว เขาเหลียวมองเย่หยวนทันทีด้วยความเคยชิน อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงประดุจไร้ความรู้สึก เขาจงใจไม่ให้คำแนะนำใดๆกับไป๋เฉินเลย เห็นดังนั้นจำต้องพึ่งพาตัวเอง ไป๋เฉินรวบรวมสมาธิแน่วแน่เร่งโคจรพลังทั้งหมดยกขึ้นต้านทานแรงกดดันนี้ให้จงได้
ทันใดนั้นเอง ไป๋เฉินพลันเบี่ยงสายตาไปหาไป๋ซิ่วที่อยู่ด้างหลังและกล่าว่า “ไป๋ซิ่ว หากข้าต้องตายในวันนี้จริงๆ เจ้าจงรับสืบทอดตำแหน่งประมุขวังเทวะรัตติกาลฉายต่อจากข้าทันที! และช่วยพาทุกคนถอยทัพกลับไปโดยสวัสดิภาพ อย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาแม้แต่คนเดียว เจ้าต้องเหลือเป็นคนสุดท้าย อย่าคิดหดหัวอย่างไร้เกียรติ!”
ไป๋ซิ่วที่ได้ยินแบบนั้นพลันสั่นสะท้านทั่วร่าง เขาไม่คิดเลยว่าไป๋เฉินจะกล่าวอะไรเช่นนี้ออกมาจริงๆ
ภาพของไป๋เฉินเริ่มผุดขึ้นภายในใจของไป๋ซิ่วขยายใหญ่ขึ้น ในคราแรก ที่เขาถูกบีบให้เห็นด้วยกับเรื่องไป๋เฉินขึ้นเป็นประมุขวัง ทั้งหมดเป็นเพราะเขาหวาดกลัวในตัวเย่หยวน แต่ตอนนี้เพียงคำพูดประโยคเดียวของไป๋เฉิน กลับกระตุ้นจิตวิญญาณนักสู้ของเขาจะลุกโชนขึ้นทันที! ในความเป็นจริงแล้ว แม้เย่หยวนจะสามารถเอาชนะพวกเขาไปได้ แต่ไป๋ซิ่วก็ไม่คิดว่ากุ้ยหยุนจะสามารถโค่นฮั่วเทียนหยางลงได้ อย่างมาก มีกำลังสำคัญอย่างกุ้ยหยุนมาเพิ่มก็ทำได้เพียงช่วยเพิ่มความมั่นใจแก่พวกเขาเล็กน้อย
คู่ดวงตาไสวของเย่หยวนสว่างพราวขึ้น นัยน์ตาสะท้อนทอประกายเผยถึงความพึงพอใจอย่างชัดเจน
ใครจะไปรู้ว่าประโยคนี้ของไป๋เฉินได้ซื้อใจของไป๋ซิ่วไปมากขนาดไหน
ดวงตาคู่นั้นของไป๋ซิ่วแลดูมุ่งมั่นจริงจังขึ้นหลายส่วน ผิดจากก่อนหน้าลิบลับ เขากัดฟันแน่นพร้อมกล่าวว่า “โปรดมั่นใจได้ท่านประมุขวัง! ข้าไป๋ซิ่วขอสู้จนตัวตายเคียงข้างท่าน! ไป๋หรง! เจ้าเองก็คนสกุลไป๋ หากทั้งตัวข้าทั้งท่านประมุขวังเกิดเป็นอะไรไป ฝากเจ้ารับช่วงต่อสืบทอดตำแหน่งประมุขวังคนต่อไป! วันนี้เป็นตายไม่ทราบ แต่พวกเราขอสัประยุทธ์สู้ขาดใจ!”
ไป๋หรงยามนี้ซาบซึ้งกินใจสุดพรรณนา เขาคำรามลั่นน้ำเสียงสั่นคลอดังว่า “พวกเราขอสู้จนถึงที่สุด! จะไม่มีวันเหลียวหลังกลับเด็ดขาด!”
“ข้าเองก็เช่นกัน! ขอสู้จนถึงที่สุด! จะไม่มีวันเหลียวหลังกลับเด็ดขาด!”
“ข้าก็ด้วย! ขอสู้จนถึงที่สุด! จะไม่มีวันเหลียวหลังกลับเด็ดขาด!”
…
วาจาประโยคนี้สนั่นกึกก้องดังสะเทือนขวัญทั่วพิภพ! เจตจำนงอันร้อนแรงเช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนกับพวกเขาวังเทวะรัตติกาลฉาย
เมื่อเห็นภาพฉากเหล่านี้ สีหน้าการแสดงออกของฮั่วเทียนหยางพลันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน เขาไม่นึกเลยว่า เจ้าเด็กคนนี้ที่เอาแต่พึ่งร่มเงาคนอื่นคล้ายมีพลังวิเศษเหนือธรรมชาติสามารถกล่าวปลุกใจพวกตาเฒ่าที่ไม่ถูกขี้หน้าเหล่านี้ได้จริงๆ ขุมกำลังที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตวิญญาณแห่งต่อสู้ ย่อมเหนือชั้นนำชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มาได้เสมอ
เพราะทหารเหล่านั้นไม่กลัวตาย! ศึกครั้งนี้กลับมิใช่เรื่องง่ายที่จะชนะเสียแล้ว! อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ยังไม่ประจักษ์ คงต้องดูแนวโน้มหลังจากนี้!
ฮั่วเทียนหยางไม่เชื่อว่าขุมกำลังอันแกร่งกล้าที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิต ผนวกกับขุมพลังอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดในมือ พวกมันหรือจะสามารถพลิกสวรรค์ได้?
อย่างไรก็ตามแต่ ก่อนที่เขาจักตอบสนองใดๆ ไป๋เฉินหวดกระบวนทวนยาวกระหน่ำจู่โจมใส่เขาโดยไม่ลังเล “ฆ่า! ฆ่าให้หมด!!”
ไป๋เฉินคำรามลั่นสุดเสียงจิตวิญญาณโหมเดือดลุกโชน คู่แววตามุ่งมั่นดุจหินผาปราศจากความครั่นคร้าม พุ่งเข้าใส่ฮั่วเทียนหยาง
ในเวลานี้เอง ขอบเขตความเข้าใจของไป๋เฉินพลันลึกล้ำขึ้นอีกระดับ! เพลงทวนของเขาเชี่ยวชาญช่ำชองเพิ่มอีกขั้น! เว้นเสียว่า เขาที่เป็นแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าจะไปทำอันตรายอีกฝ่ายได้อย่างไร? ท้ายที่สุดไป๋เฉินก็ไม่มีทางต้านรับการโมตีของฮั่วเทียนหยางได้แม้แต่กระบวนเดียว
“ท่านประมุขวัง อย่า!!”
ไป๋ซิ่ววิตกหนัก เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าไป๋เฉินจะใจเด็ดกล้าพุ่งเข้าใส่ฮั่วเทียนหยางไปตรงๆแบบนั้น
หากการโจมตีนี้มิได้รั้งรอแผนรับมือไว้ เกรงว่าไป๋เฉินอาจล่วงลับไปพร้อมกับความมุ่งมั่นนั้น! คำกล่าวก่อนหน้าของไป๋เฉินมิได้แค่เพื่อปลุกใจพวกเขา แต่เขากลับแสดงความตั้งใจจริงของตนเป็นประจักษ์ชัดแก่ทุกสายตา สิ่งนี้ยิ่งกระตุ้นจิตวิญญาณนักสู้ในกายพวกเขาจนเดือดพล่าน!
บูมมม!!
ขณะฝ่ามืออัดลูกกระสุนพลังของฮั่วเทียนหยางกำลังจะปะทะชนกับทวนยาว ทันใดนั้นกลับมีกรงเล็บปีศาจนิรนามพุ่งเข้าแทรกกะทันหัน
สีหน้าการแสดงออกของฮั่วเทียนหยางเปลี่ยนไปโดนพลัน ยามนี้หันควับจ้องเขม็งมองกุ้ยหยุนประหนึ่งว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
“ยะ หยุดแล้ว! เหลือเชื่อ…เหลือเชื่อจริงๆ!”
ไป๋ซิ่วอุทานขึ้นลั่นทันทีที่เห็นภาพเหตุการณ์ เงาสายตาที่สาดสะท้อนเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ภูตเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายตนนี้ สามารถต้านรับการโจมตีของเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดได้อย่างง่ายดาย! เฉพาะเวลานี้ ไป๋ซิ่วและเหล่าผู้อาวุโสพึงตระหนักได้ว่า ที่ผ่านมาเย่หยวนแสดงเมตตาต่อพวกเขามากแล้ว! หากให้เย่หยวนเอาจริง ปานนี้พวกเขาคงตายไปนานแล้ว!
“ขะ แข็งแกร่ง!”
“ปรากฏว่ากรงเล็บปีศาจก่อนหน้า ภูตเซียนตนนี้ออมมือให้พวกเรามากแล้ว!”
“หากมีภูตเซียนแกร่งกล้าขนาดนี้อยู่ฝ่ายเรา ตอนนี้ก็สามารถต่อกรกับประมุขบัดซบนั้นได้สูสีแล้ว!”
…
เหล่าขุมกำลังทางฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรยที่เฝ้ามองสถานการณ์ไม่วางตา ยามนี้แต่ละคนสีหน้าแปรเปลี่ยนดูรวนเรไม่แน่ใจ บางคนถึงกับอุทานลั่นตื่นตะลึงสุดขีด ศึกสัประยุทธ์ที่แทบรับประกันชัยชนะในคราแรก ตอนนี้กลับเกิดเหตุการณ์พลิกผันจากหน้าเป็นหลังมือ! และฝ่ายของวังเทวะรัตติกาลฉายเองก็เห็นทุกภาพฉากที่เกิดขึ้น แต่ละคนเผยสีหน้าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก!
ฮั่วเทียนหยางเปรียบเสมือนภูเขาไท่ซานขนาดมหึมาลูกใหญ่ที่กดทับร่างพวกเขาไว้แทบหายใจไม่ออก ทว่าภูเขาขนาดมหึมานี้กลับถูกใครบางคนยกออกไปแล้ว!
“ข้าเคยกล่าวไปแล้ว ตอนนี้ยังมีข้าอยู่ข้างกาย จงทำตามที่ใจอิสระ!”
ทั่วร่างของไป๋เฉินสั่นสะท้านหนัก เย่หยวนโผล่ขึ้นจากด้านหลังของเขาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
……………………………………………………………
ตอนที่ 1421 สร้างตำนานบทใหม่!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พวกท่านยังยืนฉงนใจเพื่ออันใด? เพิ่งลั่นวาจาสัตย์ไปก่อนหน้าหรือลืมกันไปหมดแล้ว?”เย่หยวนกล่าวเสียงเย็น
ไป๋ซิ่วและที่เหลือสะดุ้งเฮือกพร้อมตวาดลั่นดุเดือด “ฆ่ามันให้หมด! จงสู้จนตัวตายไม่มีถอยกลับ!”
พวกเขาทุกคนปลุกใจฮึดสู้ประดุจถูกกระตุ้นสุดใจอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน ทุกคนต่างเก็บงำความกลัวตายไว้ในใจเบื้องลึก แต่คาดไม่ถึงเช่นกันว่า เย่หยวนกลับมีไพ่ตายที่ไว้ใช้ต่อกรกับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดอย่างฮั่วเทียน หยางได้จริงๆ!
ยามนี้เลือดร้อนเดือดพล่านหยุดไม่อยู่ พวกเขาไม่จำต้องกลัวตายใดๆ อีกต่อไป
ในเวลานั้นเองกุ้ยหยุนเข้าสัประยุทธ์เดือดกับฮั่วเทียนหยางอย่างขับเคี่ยว กรงเล็บวิญญาณอาฆาตของกุ้ยหยุน ทรงอานุภาพมาก เมื่อจับคู่ปะทะกับฮั่นเทียนหยางกลับไม่เผยให้เห็นถึงความเสียเปรียบแม้แต่น้อย!
“ท่านอาจารย์เย่ ขอบพระคุณยิ่ง!” ไป๋เฉินกล่าวขอบคุณสุดซาบซึ้งใจอย่างสุดพรรณนา เหตุการณ์เมื่อครู่เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดออก
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าตัดสินใจและลงมือทำช่างน่าประทับใจนัก!”
ไป๋เฉินเสมือนกับเด็กน้อยถูกผู้ใหญ่ชื่นชม เขาตื่นเต้นจนไม่รู้ควรทำอย่างไร ได้แต่คลี่ยิ้มเก้อเขินอายและกล่าวว่า
“จะ จริงรึท่าน?”
เย่หยวนพยักหน้าตอบว่า “ให้ลูกท้อ…ตอบแทนกลับด้วยลูกพลัม! เจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยใจจริงเช่นนี้ จงส่งผลให้พวกเขาเลือกที่จะสนับสนุนช่วยเจ้าเช่นกัน!”
คู่สายตาที่จับจ้องของไป๋เฉินเผยสะท้อนความมุ่งมั่นทอประกาย เขาพยักหน้าขณะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์เย่ ศิษย์คนนี้เข้าใจแล้ว! หากศึกครานี้เราสามารถเอาชนะวังเทวะพิรุณร่วงโรยได้ ศิษย์คนนี้จักต้องเพียรฝึกฝนให้หนัก!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “จงขยันหมั่นเพียรเป็นที่ตั้ง จักไม่มีสิ่งใดที่เราไม่สามารถเอาชนะได้!”
“คุยโม้โอ้อวดไม่อายฟ้าดิน! ข้าสงสัยเสียจริงว่า เด็กเหลือขออย่างเจ้าที่เก่งแต่ปาก สุดท้ายจะตายลงอย่างไร!”
ไป๋เฉินสะดุ้งโพล่งขึ้นในทันใด ปรากฏว่ามีเซียนจากวังเทวะพิรุณร่วงโรยโผล่มาจากไหนไม่ทราบ รุดตรงมาใกล้พวกเขาแล้ว
เย่หยวนหาได้แสดงสีหน้าท่าทีประหลาดใจใดๆ เพียงเหลือบมองปรายหางตาเล็กน้อยและกล่าวเสียงเรียบเย็นขึ้นว่า “คุยโม้โอ้อวด? เสียใจด้วย ข้าไม่เคยคุยโม้โอ้อวดแม้นสักครั้ง”
ไป๋เฉินถอดสีหน้าเล็กน้อยและกล่าวบอกเย่หยวนด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านอาจารย์เย่ เขาคือผู้อาวุโสเก้าแห่งวังเทวะพิรุณร่วงโรยนามหลานจื่อหยู เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้น! แต่ตอนนี้…เราไม่มีขุมกำลังอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าไว้รับมือเหลือแล้ว!”
ในเวลานี้ทั้งสองฝ่ายกำลังก่อศึกสัประยุทธ์ชุลมุนวุ่นวายไม่รู้หัวหาง แต่กลับมีเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าของวังเทวะพิรุณร่วงโรยหลุดรอดออกมาคนหนึ่ง! หลานจื่อหยูไม่คิดจะหาคู่ต่อสู้อยู่แล้ว และพยายามหลบเลี่ยงศึกรอบตัวเพื่อชิงจังหวะฆ่าไป๋เฉินและเย่หยวนตั้งแต่ต้นแล้ว
เย่หยวนเอ่ยกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “เจ้าถอยไปก่อน”
ไป๋เฉินปั้นหน้าเครียดก่อนเร่งโพล่งเข้าเตือนทันทีว่า “ท่านอาจารย์เย่ ท่านคิดจะต่อกรกับเขาเพียงลำพังรึ? แต่…แต่อีกฝ่ายเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า! เร็วเข้า พวกเจ้ามานี่เร็ว! ช่วยกันผนึกกำลังโค่นหลานจื่อหยู!”
เย่หยวนยกมือขึ้นหยุดไป๋เฉินมิให้ทำเช่นนั้นและเอ่ยขึ้นว่า “ไม่จำเป็น แค่ข้าคนเดียวก็พอแล้ว!”
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน เขามิอาจทราบเลยว่า เย่หยวนไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าปะทะกับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าแบบตัวต่อตัว นี่หาใช่เรื่องเกินจริงหรือไม่?
หลานจื่อหยูแหงนมองช้อนสายตาไปยังเย่หยวนและกล่าวด้วยท่าทีสุดหยามเหยียดว่า “สหายน้อยช่าลำพองตนนัก คิดหรือว่าการที่เจ้านำภูตเซียนมาเป็นองครักษ์ข้างกายเฉกเช่นนี้ จะทำให้เจ้าไร้เทียมทานเหนือสรรพสิ่ง?” จากที่เขาสังเกตเห็นปฏิกิริยาของไป๋เฉินเมื่อครู่ นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เด็กเหลือขอนามเย่หยวนคนนี้เป็นแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าเท่านั้น สันนิษฐานได้ว่า เด็กเหลือขอคนนี้คงกำลังใช้เครื่องรางของวิเศษบางอย่างเพื่อปกปิดขุมพลังเอาไว้ จึงเป็นเหตุให้เขาไม่สามารถมองผ่านสัมผัสระดับพลังอีกฝ่ายออกได้ เว้นเสียแต่ว่ายามนี้หลายจื่อหยูทราบชัดเห็นกระจ่างแล้ว ก็แค่ขุมพลังอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนหนึ่ง แต่ริอาจเผชิญหน้ากับเขาแบบตัวต่อตัว ช่างน่าขันสิ้นดี!
เย่หยวนเรียกดาบพิชิตมารฟ้าออกมาและกล่าวท่าทีสงบจิตสงบใจว่า “แล้วอย่างไร?”
หลานจื่อหยูระเบิดเสียงหัวเราะลั่นและกล่าวว่า “แล้วอย่างไรงั้นรึ? ต่อหน้าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า เหล่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้ากลับไม่ต่างจากมดปลวก! ตั้งแต่สมัยโบราณกาล เคยมีหรือไม่ เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าปราบปรามเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าสิ้นท่า? เหอะ เหอะ แล้วน้ำหน้าอย่างเจ้า…หรือคิดว่าตนถือผู้เขียนตำนานบทใหม่?”
เย่หยวนคลี่ยิ่มบางกล่าวตอบไปพลางว่า “เช่นนั้นรึ? งั้นข้า…จะเป็นผู้เขียนตำนานบทนั้นขึ้นมาเอง!”
ยังไม่ทันที่หลานจื่อหยูจะได้เปิดปากเอ่ยกล่าวอันใดต่อ เย่หยวนก็เริ่มเคลื่อนไหวเสียแล้ว!
สยบดารา!
คมดาบลมกรดทรงจันทร์เสี้ยวงามยักษ์กวาดล้างสะบั้นฉีกห้วงอากาศปราดพุ่งไปทางหลานจื่อหยู!
คมดาบกระบวนนี้เร็วสุดขีด แต่นี่ก็มิได้ทำให้หลานจื่อหยูรู้สึกตื่นกลัวใดๆ เขายังคงยืนนิ่งรอรับกระบวนดาบนั้นอย่างใจเย็น เพียงกระบวนดาบของเด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้า มันจะแกร่งกล้าสักแค่ไหนเชียว?
แต่เมื่อแสงคมดาบรุดถึงตรงหน้า กลิ่นอายหายนะหอบใหญ่พลันล้นทะลักจากคมดาบ ถาโถมเข้าใส่ร่างหลานจื่อหยูจนท่วมท้นแทบมิดร่าง!
เกร๊งงง!
ร่างของหลานจื่อหยูปลิวกระเด็นลอยลิ่วดุจกระสุนลูกปืนใหญ่ โดยที่เย่หยวนอัดดินระเบิดเข้าเต็มสูบ
บูมมม!!
ร่างสภาพรอมร่อของหลานจื่อหยูอัดกระแทกทุบพื้นอย่างแรง ผืนดินแตกระแหงเป็นหลากสาย ก่อนยุบตัวฮวบกลายเป็นหลุมลึก!
เมื่อไป๋เฉินเห็นภาพฉากนี้ ลูกตาของเขาแทบถลนหลุดจากเบ้า
นี่…นี่ไม่ทรงพลังเกินไปแล้ว? ท่านอาจารย์เย่ผู้นี้…เขาเป็นแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าจริงๆงั้นรึ?
ทันทีทันใดไป๋เฉินก็รู้สึกว่า ขอบเขตความเข้าใจเก่าๆที่เคยมีมายามนี้กลับถูกล้มล้างโดยสิ้นไม่เหลือ!
“สายตาข้ามีปัญหาแล้วกระมัง!? ท่านเย่หยวนเป็นเซียนอณาจักรปฐมพระเจ้าตัวจริงเสียงจริง แต่ไฉนถึงบดขยี้จนหลานจื่อหยูสิ้นท่าได้ภายในกระบวนดาบเดียว!”
“เจ้าเห็นไม่ผิด กระบวนดาบของท่านเย่หยวนเมื่อครู่ยังอยู่ในขอบเขตพลังอาณาจักรปฐมพระเจ้าจริงๆ และมิได้เกินเลยไปกว่านั้นเลย!”
“เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าสามารถเอาชนะเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้ในกระบวนท่าเดียว นี่…นี่ช่างน่าทึ่งเกินไปแล้ว!”
“เขาคือตำนาน! นี่จะกลายเป็นตำนานแน่นอน! แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนใดสามารถสู้ข้ามระดับ สัประยุทธ์กับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้มาก่อน! ยิ่งไปกว่านั้นยังล้มอีกฝ่ายได้ในหนึ่งกระบวนท่า… ท่านเย่หยวนช่างน่าเหลือเชื่อนัก! เขาสามารถทำได้จริงๆ!”
…
ภาพฉากนี้น่าตื่นตะลึงเกินไป แม้ยามนี้จะอยู่ระหว่างศึกสงครามความโกลาหลไร้สิ้นสุด ทว่าฝูงชนไม่ว่าฝ่ายใดกลับต้องหยุดมือไปโดยพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าของฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉาย เห็นดังนี้ยิ่งมีกำลังใจสู้เป็นหลายทวีเท่า
เหตุการณ์นี้เป็นที่ประจักษ์แจ้งถึงความแกร่งกล้าของเย่หยวนแล้วว่า ไร้เทียมทานถึงขั้นบดขยี้เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้ภายในกระบวนดาบเดียว!
มิใช่แค่ดินแดนนภาบรรพตเท่านั้น แม้แต่บนมหาพิภพถงเทียนเอง ก็ไม่เคยมีประวัติศาสตร์หน้าไหนบันทึกไว้ว่า เคยมีเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าสามารถเอาชนะเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้มาก่อนเช่นกัน!
แม้แต่จินอวี้ยอดอัจฉริยะระดับนั้นที่มีความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งดาบอันล้ำลึก เขาเองก็ไม่สามารถข้ามขีดจำกัดทำเรื่องแบบนี้ได้เช่นกัน ระหว่างอาณาจักรปฐมพระเจ้าและอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า ทั้งสองระดับชั้นพลังนี้กล่าวได้ว่ากว้างใหญ่ไพศาล ปราศจากสิ่งเข้าช่วยเข้ามาเติมเต็มหรือทดแทนได้ ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจาที่เพิ่งเลื่อนระดับมาสดๆร้อนๆ ก็สามารถบดขยี้เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดได้อย่างง่ายดาย กระทั่งบนมหาพิภพถงเทียนยังไม่มีเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ แล้วจะประสาอะไรกับในดินแดนนภาบรรพต?
แต่ตอนนี้กลับมีผู้เป็นตำนานคนแรกจุติขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาแล้วจริงๆ!
วูบบบ!
หลานจื่อหยูพุ่งทะยานขึ้นจากหลุมลึกใต้พื้นดิน และเหาะเหินลอยเคว้งกลางเวหาเข้าเผชิญหน้ากับเย่หยวนอีกคราว
“บัดซบ! เด็กเหลือขอไร้ยางอาย! เจ้ากล้าลอบโจมตีข้า?!” หลานจื่ออยูก่นด่าสาปแช่งไม่หยดปาก
มุมปากเย่หยวนกระตุกขึ้นเล็กน้อยพร้อมแสยะยิ้มเย็นแสนเหยียดหยาม เขาเอ่ยขึ้นว่า “ลอบโจมตีงั้นรึ?”
สีหน้าการแสดงออกของหลานจื่ออยูบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ มิว่าจะเต็มใจยอมรับหรือไม่ก็ตาม ทว่าคมดาบก่อนหน้านี้ก็สามารถแรงคุกคามให้แก่เขาเป็นอย่างมาก!
หากมิใช่เพราะความต่างของระดับพลังที่มาช่วยไว้ คมดาบนั้นอาจคร่าชีวิตของเขาไปนานแล้ว!
จนถึงตอนนี้แขนขาของเขายังสั่นเทารู้สึกชาไม่หาย อานุภาพการทำลายล้างของคมดาบนี้น่าสะเทือนขวัญเกินไป!เขาคาดไม่ถึงเลยแม้สักนิดว่า เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าจะสามารถปลดปล่อยกระบวนดาบที่น่ากลัวขนาดนี้ได้จริงๆ! ถึงภายนอกดูเหมือนอีกฝ่ายจะฟาดฟันออกมาส่งเดชและหาได้แฝงนัยยะสำคัญอันใด ทว่าแรงคุกคามที่ส่งผ่านออกจากคมดาบกลับสร้างพลังทำลายล้างปริมาณมหาศาลเกินคาดคิด เต๋าแห่งดาบของไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ไร้ผู้ใดสามารถทัดเทียมได้ และความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งดาบของเขาเองก็บรรลุถึงจุดสูงสุดแล้วเช่นกัน!
“หึ! อย่าลำพองใจจเกินไปนัก! ข้าผู้นี้ขอยอมรับตามตรงว่า ความแข็งแกร่งของเจ้าค่อนข้างดีเยี่ยม แต่น่าเสียดายนัก ที่ยังเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าในท้ายที่สุด! ต่อให้มีกระบวนดาบที่น่ากลัวปานนี้ แต่ด้วยขีดจำกัดของระดับพลัง อย่างมากเจ้าคงปลดปล่อยได้อีกแค่สองสามกระบวนเท่านั้น! คล้ายหลังหมดสิ้นเรี่ยวแรง จุดจบของเจ้าคือความตาย!” หลานจื่อหยูตะโกนเอ่ยลั่นเดือดสุดโกรธเกรี้ยว พร้อมกระชับดาบสะบั้นโจมตีออกไปทันที!
“เก้าปราณดาบกลืนวิญญาณ!”
“สยบดารา!”
สองสุดขั้วพลังระหว่างอาณาจักรปฐมพระเจ้ากับอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเข้าปะทะสุดแรง ภาพฉากสุดสะเทือนฟ้าดินนี้เป็นประจักษ์ท่ามกลางสายตาอันตื่นตะลึงของทุกคน
…………………………………
ตอนที่ 1422 สยบดาราฉบับสมบูรณ์!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สองร่างพัลวันไสวดุจภูตผีกลางน่านเวหา คลื่นพลังเสียดปะทะคลื่นเสียงดั่งกรีดร้องโหยหวนระงมไม่หยุดหย่อนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉานหรือฝั่งวังเทวะพิรุณร่วงโรย พวกเขาแต่ละคนใจคอสั่นคลอนคล้ายเป็นกังวลต่อศึกสมรภูมิใหญ่นี้ สีหน้าการแสดงออกของฮั่วเทียนหยานเลวร้ายลงอย่างมาก ไอ้พวกวังเทวะรัตติกาลฉายมันไปเสาะหาสัตว์ประหลาดน้อยตนนี้มาจากที่ใด?
เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าสัประยุทธ์เดือดกับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้อย่างสูสี?
นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างแท้จริง!
ในทางด้านหลานจื่อหยู ยิ่งเขาต่อสู้มากเท่าไหร่กลับเป็นเขาที่ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น เขาไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเลยว่า กระบวนโจมตีสุดน่าสะพรึงเช่นนี้ เย่หยวนสามารถปลดปล่อยได้อย่างต่อเนื่องเสมือนไม่เปลืองแรงใดๆ! หลานจื่อหยูไม่กล้าคิดต่อเลยว่า หากเย่หยวนขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า เขาจะทรงพลังไร้เทียมทานปานใด? อย่างไรก็ตามแต่ เห็นได้ชัดว่าเย่หยวนในตอนนี้มีระดับพลังอยู่เพียงอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด ยังก้าวไปไม่ถึงอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้นด้วยซ้ำ ไอ้เด็กเหลือขอตรงหน้ามันใช้ชีวิตสวนทางกับสามัญสำนึกของผู้คนโดยสิ้นเชิง! มีอย่างที่ไหน เย่หยวนไล่ล่าสะบั้นสับคมดาบใส่จนทำให้หลานจื่อหยูแทบกระอักพ่นโลหิตอยู่หลายครั้งหลายครา เผชิญหน้ากับเด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนนี้ กลับเป็นเขาที่ถูกบีบจนใกล้จนตรอกเต็มทน!
“ข้าอยากจจะเห็นเสียเหลือเกินว่า เจ้าจะมีขีดกำจัดอยู่ตรงไหน? และข้าไม่เชื่อว่าเจ้าที่เป็นแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าจะสามารถปลดปล่อยกระบวนดาบนี้ได้ไม่มีสิ้นสุด!”
หลานจื่อหยูถูกเย่หยวนไล่ต้อนอย่างหนักจนสร้างบาดแผลฉกรรจ์ทั่วร่าง ยามนี้ถึงไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้แล้วก็จริง แต่เขาก็ยังใจแข็งยืนหยัดสู้กับเย่หยวนต่อไป แน่นอนว่าอีกเหตุผลหนึ่งคือ เขาไม่มีแผนการที่ดีกว่านี้ไว้รับมือแล้วด้วยภายใต้สถานการณ์แบบนี้สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือ รอจนกว่าพลังปราณเทวะในร่างกายของเย่หยวนจะหมดลง
เมื่อถึงเวลานั้นจะเป็นโอกาสที่หลานจื่อหยูจะได้ตอบโต้จู่โจมสวนกลับไป
ไป๋เฉินยามนี้รู้สึกตื่นเต้นลุ้นระทึกใจจนใบหน้าเห่อแดง เขาทราบดีว่าท่านจารย์เย่แข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ไม่นิดเลยว่าจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้! ศึกสัประยุทธ์ครั้งนี้ท่านอาจารย์เย่ของเขาเป็นฝ่ายชนะแน่นอน!
ทันใดนั้นไป๋เฉินพลันชูทวนยาวขึ้นและคำรามลั่นสุดเสียงว่า “ฆ่า! ฆ่า! ฆ่าพวกมันให้หมด! เลือดต้องล้างด้วยเลือด! วันนี้พวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยลำพองใจหลงผิดคิดเหยียบย้ำเรา ดังนั้นฆ่าพวกมันให้หมดอย่างให้เหลือรอดกลับไปแม้แต่คนเดียว!”
ทันทีที่กล่าวจบไป๋เฉินรีดเร้นกลิ่นอายสุดน่าสะพรึงหอบใหญ่ พร้อมกระโจนเข้าสมรภูมิที่ ณ เวลานี้ปะทุเดือดถึงขีดสุด เพลงทวนของเขาเพิ่งสำเร็จหมาดๆ ก่อนหน้านี้ ทำให้ความแกร่งกร้าวเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อต้องเผชิญกับเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าของฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรย ไป๋เฉินก็หาได้เสียเปรียบตกเป็นรองแม้แต่น้อย
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน แววพ่ายศึกของฝ่ายวังพิรุณร่วงโรยเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากพวกเขาขาดแคลนขุมกำลังอาณาจักรปฐมพระเจ้าในสมรภูมินี้ จึงปรากฏภาพฉากที่ฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรยจำใจต้องต้านรับแบบหนึ่งต่อสองหรือสามคน ทอดสายตาออกไปล้วนปรากฏเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น เพราะแผนเดิมของฮั่วเทียนหยางคือ แม้ขุมกำลังที่เขานำมาจะมีปริมาณไม่เต็มรูปแบบสมบูรณ์และน้อยกว่าปกติ แต่เขาล้วนแล้วแต่คัดสรรเซียนระดับอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้ามา กล่าวได้ว่าใช้กลยุทธ์คุณภาพมากกว่าจำนวน
วังเทวะรัตติกาลฉายเพิ่งเสียกำลังสำคัญอย่างไป๋เย่ไห่ไป ดังนั้นเขาจึงต้องการบดขยี้พวกที่เหลือให้สิ้นซากโดยตรง ด้วยขุมกำลังของเหล่าเซียนระดับสูงที่คัดสรรมา
ทว่าปัจจุบันเขาถูกกุ้ยหยุนสกัดขัดขวางมิให้ไปไหนไม่พอ แต่พวกรุ่นอาวุโสลายครามของฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายเองก็พร้อมใจผนึกกำลังช่วยเหลือไป๋เฉินอีก จึงทำให้เวลานั้นเหล่าเซียนระดับสูงที่เขานำมาไม่สามารถเคลื่อนไหวคุมเชิงได้อย่างอิสระ ด้วยเหตุนี้ระดับพลังการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจึงค่อนข้างสมดุลใกล้เคียงกันอย่างมาก
สิ่งที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือ เย่หยวนเพียงคนเดียวสามารถควบคุมเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าอย่าง
หลานจื่ออยูได้อย่างอยู่หมัด! ความได้เปรียบในแง่ของปริมาณผู้คน ทางฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ไป๋เฉินเข้าร่วมศึกสมรภูมิเดือดอย่างไม่กลัวตาย เขาพึ่งสะบั้นปราบปรามข้าศึกไม่เหลือหน้าด้วยความบ้าคลั่ง เขาเกลียดฮั่วเทียนหยานยิ่งกว่าใครๆ นามนี้มีโอกาสได้ลงสนามจริง มิเพียงรั้นรอนกำลังไว้ไมตรี แต่ยังล่าสังหารอย่างไม่คิดชีวิตไร้ปรานี
เสมือนว่าคนอื่นๆ โดยรอบติดเชื้อบ้าจากไป๋เฉินไป แต่ละคนลุกฮือปลุกระดมจิตวิญญาณลุกโชน พวกเขาถาโถมฆ่าฟันไม่มีหยุดไม่รู้จักเหนื่อย จนเป็นฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรยเสียเองที่เร่งถอดชุดถอดเกราะวิ่งเตลิดถอยหนี
ในไม่ช้า จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายของฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรยก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด!
ฮั่วเทียนหยางร้อนใจวิตกกังวลหนัก ไม่ว่าจะพยายามโหมกระหน้ำโจมตีหลากกระบวนเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายกุ้ยหยุนได้เลยแม้แต่น้อย สูตรร้อยอักขระภูตเต๋าของกุ้นหยุนสำเร็จถึงอักขระที่สามแล้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่เลื่อนระดับชั้น ทว่าความแกร่งกล้ากลับพุ่งสูงขึ้นอย่างผิดหูผิดตา การจะข้ามระดับต่อสู้เช่นนี้จึงหาใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาไม่สุดท้ายนี้ สูตรร้อยอักจระภูตเต๋าก็เป็นถึงวิชาลับอันดับหนึ่งแห่งศาสตร์แห่งภูตทั้งมวล!
ฮั่วเทียนหยางไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าสถานการณ์จะกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ทีแรกเขายังคิดเย้ยในใจเล่นว่า จะถล่มพวกวังเทวะรัตติกาลฉายอย่างไรดีให้สิ้นเปลืองแรงน้อยที่สุด? ทว่าตอนนี้จำต้องคิดหนัก จะหนีอย่างไรกลับไปดี?ทางฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายล้วนแล้วแต่สู้ยิบตาไม่ตายไม่เลิกราวกับถูกฉีดกระตุ้น พวกมันเข้ารบเร้าไม่หยุดหย่อนและไม่ยอมเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ถอยทัพหนีออกไปเลย หากจะถอยทัพทั้งแบบนี้ก็เกรงว่าอันตรายเกินไป พวกเขาอาจต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนักหน่วง
บูมมม! ในขณะนั้นเอง เสียงระเบิดรุนแรงดังสสั่นกึกก้องชั่วฟ้าจากมุมหนึ่ง
ฮั่วเทียนหยางถึงกับหน้าถอดสีไปชั่วขณะ ลางสังหรณ์ไม่สู้ดีนัก คืบคลานกัดกินจิตใจ เขาเร่งปรายตาลอบมองไปทางต้นเสียงอย่างอดมิได้ และต้องตะลึงงันค้างเติ่งไปทั้งแบบนั้น
บัดนี้ร่างของหลานจื่อหยูอาบเลือดชโลมชุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูจากรูปการณ์สภาพย่ำแย่เวทนาสุดขีด ไม่สามารถยืนหยัดทรงตัวให้ตรงได้ เป็นที่ชัดเจนว่าเขาไม่สามารถต้านรับเย่หยวนได้อีกต่อไปแล้ว ซึ่งในทางตรงข้าม เย่หยวนยังคงชูดาบยาวพร้อมปราดพุ่งจู่โจมอีกระลอกมิให้อีกฝ่ายหยุดพัก
ฮั่วเทียนหยางแทบไม่อยากเชื่อสายตากับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าแกร่งกล้ามากถึงเพียงนี้? พินิจจากรูปการณ์ตามตรง หลานจื่อหยูเตรียมถูกเย่หยวนปิดฉากในไม่ช้าก็เร็ว!
ซึ่งในตอนแรกเอง ฮั่วเทียนหยางก็คิดแบบเดียวกับหลานจื่อหยู เขารู้สึกว่าเย่หยวนสามารถยืนหยัดต่อกรได้เพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยิ่งเวลาเลยพ้นผ่านไป เย่หยวนกลับปราศจากวี่แววอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อยแม้สักนิด คล้ายว่าพลังปราณเทวะในร่างกายเด็กคนนี้ไม่มีสิ้นสุด สามารถสำแดงใช้กระบวนดาบได้อย่างไร้จำกัด! หรือเป็นไปได้ไหมว่า พลังปราณของเจ้าเด็กคนนี้จะไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ?
ในขณะนี้ฮั่วเทียนหยางเริ่มถอดใจในศึกครานี้แล้ว ทว่าหากเขาในฐานะแม่ทัพยังคงลังเลอยู่แบบนี้ กลับยิ่งทำให้สถานการณ์ของฝ่ายตนเลวร้ายมากขึ้น!
หลานจื่ออยูจ้องมองไปที่เย่หยวนเผยสีหน้ารูปลักษณ์ตื่นตะลึงสุดขีด
“เจ้า…หรือเป็นไปได้ไหมที่พลังปราณเทวะในกายเจ้าจะมีไร้ขีดกำจัด? ไม่…นี่เป็นไปไม่ได้!” เสียงแหบแห้งของหลานจื่อหยูเต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง
การดำรงอยู่ของสัตว์ประหลาดน้อยตนนี้ ได้ทำหลายสามัญสำนึกที่เขาเคยรู้จักไปจนหมดสิ้น! ทุกสรรพสิ่งอย่างที่ได้เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ล้วนแต่เหนือจินตนาการไปแล้วทั้งนั้น
ตอนนี้หลายจื่อได้กลิ่น…มันคือกลิ่นอายแห่งความตาย!
เย่หยวนช้อนสายตามองไปทางอีกฝ่ายและยิ้มกล่าวว่า “คนใกล้ตายอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้อะไรให้มากความ” ใบหน้าหลานจื่ออยูบิดเบี้ยวน่าเกลียดสุดขีด เขากัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้นพร้อมคำรามเดือดว่า
“ข้าไม่มีทางเชื่อว่า เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าจะมีกำลังท้าทายสวรรค์ได้จริงๆ! เก้าปราณดาบกลืนวิญญาณ…ปราณโลหิตล่าสังหาร!” ทันใดนั้นเองธารเลือดสดก็พุ่งทะลุออกมาจากหูตาจมูกของหลานจื่อหยูประดุจน้ำพุโลหิต ยามนี้มันเสียสติถึงขั้นคิดพลีชีพแล้ว!
สีหน้าการแสดงออกของฮั่วเทียนหยานเปลี่ยนไปอย่างมาก ไอ้เด็กเหลือขอนั้นสามารถบังคับให้หลานจื่ออยูต้องทำถึงขนาดนี้ได้จริงๆรึ? ปราณโลหิตล่าสังหารคือกระบวนไพ่ตายที่ต้องสังเวยด้วยชีวิตของตน เพื่อแลกมากับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในชั่วเวลาสั้นๆ
แม้สิ่งนี้จะเป็นเคล็ดวิชาที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก แต่ยามใดที่หยิบใช้สำแดงออกมา แสดงว่าต้องเข้าตาจนแล้วจริงๆเช่นกัน หลานจื่อหยูต้องการพลีชีพเพื่อลากไอ้เด็กเหลือขอนั้นลงนรกไปด้วยกัน!
ซวบบ!
ไป๋เฉินระดมพลังปราณเทวะไปยังปลายทวนพร้อมทะลวงกลางอกของข้าศึกอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนหนึ่งลงทันที ทันใดนั้นเอง เขาพลันสัมผัสได้ถึงรัศมีอันทรงพลังหอบใหญ่ปะทุเดือดขึ้นมาก เมื่อเหลียวหลังกลับไป ไป๋เฉินถึงกับหน้าถอดสีในบัดดล
“แย่แล้ว! ท่านอาจารย์เย่กำลังตกอยู่ในอันตราย!” ท่าทีไป๋เฉินคล้ายวิตกสสุดขีด อุทานลั่นตื่นตระหนก
“กลิ่นอายอะไรทรงพลังเยี่ยงนี้! หลานจื่อหยูเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นมิใช่รึ? ไฉนตอนนี้รัศมีกลิ่นอายพลันขยับขยายเพิ่มสูงถึงจุดสูงสุดแห่งอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นไปแล้ว!”
“ชายคนนี้มันคลั่งไปแล้ว! คิดจะพลีชีพตายไปพร้อมกับท่านเย่หยวน! นี่แย่แล้ว!”
“ให้ตายเถอะ คมดาบนั้นทรงพลังเกินไปแล้ว! ท่านเย่หยวนอยู่ในอันตราย!”
…
เมื่อเหล่าเซียนทางฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ สีหน้าท่าทีของแต่ละคนก็แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก
เย่หยวนเงยมองฉากนี้พร้อมท่าทีสุดเฉยเมย พลางเอ่ยปากกล่าวอย่างคร้านใส่ใจว่า “น่าเบื่อสิ้นดี! ในเมื่อทำได้แค่นี้ เช่นนั้น…ข้าจักสำแดงสยบดาบฉบับสมบูรณ์ให้เจ้าเห็นเป็นขวัญตา!”
จากนั้นเย่หยวนก็ค่อยๆ ยกดาบพิชิตมารฟ้าขึ้น ช่างเป็นท่าและกระบวนแสนเรียบง่าย บรรยากาศโดยรอบไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง จะมีก็เพียงสายลมโชยอันโอนอ่อนพัดผ่านเท่านั้น
ผู้คนรอบข้างไม่สามารถรับรู้ได้ถึงรัศมีรังกดดันใดๆ ได้เลย จากกระบวนท่าที่เย่หยวนกำลังจะสำแดงใช้ ไม่แม้แต่ศาสตร์แห่งดาบหรือร่องรอยของพลังปราณเทวะ
“ดาบ…ดาบในมือข้า ไฉนอยู่ๆถึงควบคุมไม่ได้!”
“ของข้าก็ด้วย! มัน…มันพยายามขัดขืนข้าอยู่!”
ในเวลานี้เองดาบในมือของนักดาบทุกคนพลันสั่นเทาไม่หยุด พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่าตนไม่สามารถควบคุมมันได้เลย
…………………………………
ตอนที่ 1423 สั่งสอนศิษย์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ข้อมือเย่หยวนบิดพลิ้ว สะบัดดาบโบกสะบั้นลงอย่างแผ่วเบา
วูบบบ!
ปราศจากร่องรอยความผันผวนหรือพลังปราณเทวะใดๆ มีเพียงเสียงคมดาบแสนแผ่วเบาและสายลมอันโอยอ่อนทันทีทันใดร่างของหลานจื่อหยูพลันแข็งค้างไปดื้อๆ รัศมีคุกคามหอบใหญ่ที่ทวีสั่งสมอย่างบ้าคลั่งยามนี้กลับหยุดชะงักลงทันใด
เย่หยวนค่อยๆ เก็บดาบลงอย่างแช่มช้าชดช้อย ทว่าจังหวะหายใจของเขากลับหอบตระหนี่ถี่เร็วจนผิดแปลกสำหรับค่าใช้จ่ายในการปลดปล่อยกระบวนดาบนี้กลับค่อนข้างมหาศาลนัก
“อะไร…เกิดอะไรขึ้นกันแน่? การต่อสู้…จบลงทั้งแบบนี้?”
“นั้นสิ นี่มันเรื่องอะไรกัน? ข้าเห็นเพียงท่านเย่หยวนฟันดาบออกมาเพียงครั้งเดียว และทุกอย่างก็จบลง?”
“การเคลื่อนไหวนี้มันอะไรกัน? ข้ายังไม่ทันได้รู้สึกอันใด?”
…
“พร๊วด…”
เฉกเช่นเดียวกับทุกคนที่เผยสีหน้าสุดงุนงงฉงนใจ ยังไม่ทันที่หลานจื่อหยูจะได้กล่าวอันใด ร่างของเขาก็ระเบิดกลายเป็นหมอกไอโลหิตโดยตรง ปราณโลหิตล่าสังหารอะไรนั่นยังไม่ทันได้ใช้ก็ตายไปเสียแล้ว
ความตื่นตระหนกก่อตัวขึ้นกลางใจของฮั่วเทียนหยาง ยังไม่ทันที่หลานจื่อหยูจะได้สำแดงใช้ปราณโลหิตล่าสังหาร เขาก็ถูกเย่หยวนฆ่าทิ้งไปดื้อๆด้วยกระบวนดาบอะไรก็ไม่รู้! ความแท้หรือปลอมเปลือกที่เร้นแฝงอยู่ในคมดาบเล่มนี้ ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดก็ไม่มีทางมาออกได้แม้สักนิf คนนอกที่มองเข้ามาอาจเห็นเพียงว่า มันเป็นกระบวนดาบแสนเรียบง่ายและธรรมดาเกินไป แต่ยังไม่ทันตั้งสติฟื้นตัวกลับพบว่า…หลานจื่อหยูตัวระเบิดตายไปแล้ว
“ถอยทัพ!”
ฮั่วเทียนหยางตัดสินใจได้ในทันควัน เขารีดเร้นระเบิดพลังทั้งหมดออกมาเพื่อผลักไสให้กุ้ยหยุนจำต้องล่าถอยออกไปน้อยเล็ก เปิดจังหวะได้โอกาสนี้ ฮั่นเทียนหยางโคจรพลังปราณเทวะสุดฤทธิ์ทะยานหนีหายไปทันทีด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
เห็นท่านประมุขวังหนีเตลิดไม่เป็นท่าแบบนี้ พวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยยังกล้ารั้นรอยืนเฉยได้อย่างไร? ทั้งหมดแห่กระจายหนีตายกันไปคนละทิศละทาง แต่ความแกร่งกล้าของแต่ละคนมากน้อยไม่เหมือนกัน หากต้องการจะวิ่งหนีออกไปหาใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร?
ดังนั้นจึงเกิดภาพฉากชุลมุนยุ่งเหยิงอีกระลอกใหญ่ แต่ครั้งนี้กลับเป็นฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายที่กำลังไล่ล่าเหยื่ออันโอชา พวกเขามีกำลังใจฮึกเหิมหาญกล้าเป็นหลายทวีเท่า เหล่าเซียนของฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายวิ่งไล่กวดพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยอย่างบ้าคลั่งหวังกวาดล้างทุกชีวิต ในไม่ช้าพวกเขาก็ล่าสังหารไปไกลกว่าหนึ่งแสนลี้ตลอดทางยาว
เหล่าเซียนทางฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรยเริ่มพลาดท่าล้มตายกันมากขึ้นทีละคนสองคน ถึงขั้นที่ว่ามีผู้อาวุโสอาณาจักรรปัจฉิมพระเจ้าคนหนึ่งถูกไป๋ซิ่วที่ไล่ล่าอย่างไม่หยุดหย่อน ตบฝ่ามือสุดน่าสะพรึงตายคาที่!
ยิ่งเห็นแบบนี้ ทางฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายยิ่งรู้สึกฮึกเหิมปลุกเร้าเข้าไปใหญ่ จิตวิญญาณแห่งนักสู้ลุกโชก ตามเช็ดตามล้างถึงที่เก็บทุกรายละเอียดไม่เหลือ
ระหว่างทางเย่หยวนติดสอยอยู่รั้งท้ายกลุ่มคนเหล่านี้อย่างไม่เร่งไม่รีบ
พวกเขาไล่ล่าล้างบางอีกฝ่ายตลอดทางยาวจนมาถึงเขตชายแดนของฝั่งวังเทวะพิรุณร่วงโรย กล่าวได้ว่าตอบโต้สวนกลับจนถึงหน้าบ้านอีกฝ่ายเลยทีเดียว! เห็นเป็นเช่นนี้ เย่หยวนจึงเปิดปากตะโกนขึ้นลั่นเสียงดังฟังชัดว่า
“เอาล่ะ! พอเท่านี้!”
ในชั่วพริบตา ขุมกำลังเหล่าเซียนของฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายจำต้องหยุดมือลง ปนรู้สึกเสียดายเล็กน้อยคล้ายว่ายังไม่ค่อยเต็มอิ่ม
“ท่านอาจารย์เย่ ไฉนถึงไม่ไล่ต่อล่ะ? เราสามารถตอบโต้อีกฝ่ายได้และตามไล่ล่าฆ่าล้างอย่างหนัก อีกเพียงก้าวเดียวอาจถึงขั้นพินาศวังเทวะพิรุณร่วงโรยได้เลย ทั้งนี้ก็เพื่อล้างแค้นแทนเสด็จพ่อ?” ไป๋เฉินกล่าวขึ้นเจือสีหน้าสุดฉงนใจ เย่หยวนยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไรตอบ
โม่หยุนกล่าวขึ้นว่า “ท่านประมุขวัง ความหมายของท่านเย่หยวนคือ อย่าต้อนศัตรูจนสิ้นหวัง! ฮั่วเทียนหยางเป็นเซียนอาณาจักรรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด หากเราไล่ต้อนอีกฝ่ายจนมุมไร้ทางออกจริงๆ เกรงว่าผลที่ตามมาอาจน่ากลัวเกินจินตนาการได้”
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินเปลี่ยนไปทันที ก่อนพบว่ายามนี้กุ้ยหยุนหายตัวไปแล้ว เป็นไปได้สูงว่า สำหรับภูตเซียนตนนั้นเองก็จำต้องแลกด้วยค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมหาศาลเช่นกันต่อศึกใหญ่ในครานี้
“เข้าใจแล้ว!” ไป๋เฉินพยักหน้าและกล่าวตอบน้ำเสียงจริงจัง
ศึกนี้ในครานี้พวกเขาทุกคนต่างตกอยู่ภายใต้สถานการณ์มืดแปดด้านสุดสิ้นหวัง ทว่าในตอนท้ายกลับจบลงด้วยชัยชนะอย่างสวยงามเหนือความคาดหมายได้ขนาดนี้
ทุกคนต่างโหร้องรำเต้นครื้นเครงไปมาอย่างมีความสุขราวกับคนบ้า!
“ท่านเย่หยวนจงเจริญ!”
“ท่านเย่หยวนจงเจริญ!”
“ท่านเย่หยวนจงเจริญ!”
…
พวกเขาทุกคนทราบดีว่า ชัยชนะในครั้งนี้เกิดจากเย่หยวนที่เข้ามาพลิกสถานการณ์ทั้งหมดจากร้ายกลายเป็นดีด้วยตัวเพียงลำพัง! หากไม่มีเย่หยวน เกรงว่าวันนี้คงเป็นจุดจบของวังเทวะรัตติกาลฉายไปแล้ว
“ท่านเย่หยวน เปรียบเสมือนเทพจากสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง! ท่านปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือพวกเรา! สามารถสังหารเซียนอาณาจักรรปัจฉิมพระเจ้าได้ด้วยขุมพลังอาณาจักรรปฐมพระเจ้า!”
“นี่จะกลายเป็นตำนานที่เขย่าฟ้าดินไปอีกนานแสนนาน! ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาเกินขอบเขตความเข้าใจของพวกเราไปโดยสิ้นเชิง!”
“เจ้าเห็นกระบวนดาบสุดท้ายนั้นไหม? ช่างเป็นเพลงดาบอันไร้เทียมทาน! กระทั่งข้าที่เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าก็ยังมองไม่ออกด้วยซ้ำ!”
ทุกคนต่างจับกลุ่มพูดคุยสนทนากันจ้าละหวั่น จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาต่อภาพฉากการสัประยุทธ์อันน่าอัศจรรย์นั้นของเย่หยวน!
สยบดาราฉบับสมบูรณ์เป็นกระบวนดาบที่เย่หยวนนำศาสตร์แห่งดาบทั้งหมดที่เขาใจมากลั่นรวมกันจนตกผลึกในที่สุด มิใช่ว่ากระบวนท่านี้ปราศจากร่องรอยพลังปราณเทวะอื่นใด แต่เย่หยวนบีบอัดพลังปราณเทวะทั้งหมดให้เป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งเท่านั้น จุดพลังสุดข้นคลักอัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างอันไร้ขีดจำกัด หาได้กระจัดกระจายแต่หลอมรวมเป็นหนึ่ง!
ท่วงท่าของกระบวนดาบนี้ค่อนข้างเรียบง่ายธรรมดา ทว่าในความเป็นจริง ทุกอิริยาบถกลับกอปรไปด้วยศาสตร์แห่งดาบอันไร้ขอบเขต แน่นอนว่าสิ่งนี้ได้สร้างภาระทางร่างกายให้แก่เย่หยวนหนักหนาสาหัสมิน้อยเช่นกัน
ด้วยพลังปราณเทวะที่เขามีอยุ่ในปัจจุบัน กระบวนท่านี้สามารถปลดปล่อยออกไปได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากสยบดาราฉบับสมบูรณ์นี้ไม่สามารถเผด็จศึกให้ราบคราบได้ กลับเป็นเย่หยวนที่อาจราบคราบแทน! ศึกสัประยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ได้ยุติลงเป็นที่เรียบร้อย วังเทวะรัตติกาลฉายยามนี้ต่างอยู่ในความรื่นเริงสำราญใจ
จากผลงานในศึกครั้งนี้ ไป๋เฉินได้สร้างบารมีมากมายในหมู่ผู้อาวุโสได้เคารพเลื่อมใส แม้ความแข็งแกร่งของเขายังค่อนข้างอ่อนชั้น ยังมีอีกหลายแง่มุมที่ยังขาดตกด้านประสบการณ์ ทว่าความกล้าหาญและแน่วแน่ของเขา ทุกคนต่างยอมรับไป๋เฉินในฐานะประมุขวังคนใหม่เป็นที่เรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังของไป๋เฉิน ยังมีผู้อาวุโสสูงสุดอันไร้เทียมทานอย่างเย่หยวนคอยสนับสนุนช่วยเหลืออีกแรง
ในที่สุดไป๋เฉินก็ลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงในวังเทวะรัตติกาลฉายแห่งนี้ หลังกลับจากศึกใหญ่ ไป๋เฉินฝึกปรือเพลงทวนอย่างหนักทุกวันข้ามวันข้ามคืน ศึกสมรภูมิในครั้งนี้แสดงให้ไป๋เฉินได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง เขาตระหนักดีว่า ด้วยความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้ไม่มีทางรักษาอำนาจและความมั่นคงได้ยืนยาว ในทางตรงกันข้าม ตำแหน่งหรืออิทธิพลที่เขาได้รับกลับเป็นเพียงภาพลวงตาที่สามารถสูญสลายหายไปได้ทุกเมื่อ
ไม่แม้แต่จะสามารถสัมผัสได้!
เขาไม่รู้เลยว่า เย่หยวนจะอยู่ที่นี่อีกนานเพียงใด สิ่งเดียวไป๋เฉินทำได้คือการยกระดับให้ตนเองแข็งแกร่งโดยเร็วที่สุด
ฟุบ…
ฟุบ…
ฟุบ…
เสียงทวนยาวเสียดแทงอากาศดังขึ้นต่อเนื่อง ไป๋เฉินกำลังแทงทวนยาวซ้ำๆไปมาขัดเกลาฝีมือให้เฉียบคมและดุดัน เพลงทวนที่เขาใช้คล้ายว่าไม่ต่างอะไรจากวรยุทธต่อสู้ระดับสามัญทั่วไปนัก ทว่าในความเป็นจริงทุกท่วงท่าล้วนกอปรไปด้วยศาสตร์แห่งสวรรค์อันแกร่งกร้าว ในไม่ช้า ธารเหงื่อชุ่มพลางไหลบ่าทั่วหน้าผากและแผ่นหลังจนเปียกแฉะ
ฟุบ…กึก!
เสียดแทงทวนยาวออกไปอีกครา ทว่าทันใดนั้นมันก็ถูกหยุดลงฉับพลันคล้ายปลายทวนพุ่งชนเข้ากับศิลายักษ์ เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้า
ไป๋เฉินตกใจอย่างมากจึงพยายามที่จะชักทวนยาวกลับมา ทว่าทวนในมือเขากลับนิ่งไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย ไป๋เฉินไม่เหลือเรี่ยวแรงจนถึงขนาดชักทวนกลับมิได้เชียว? แต่เมื่อช้อนสายตาขึ้นมองร่างตรงหน้า ไป๋เฉินพลันเบิกตาโตเท่าไข่ห่านด้วยความตะลึง
“ทะ-ท่านอาจารย์เย่!” ไป๋เฉินร้องอุทาน
ปรากฏว่าเย่หยวนเพียงใช้สองนิ้วหยุดทวนไว้ได้อย่างง่ายดาย
“ช่างเป็นทวนที่อ่อนแอและไร้พละกำลัง เช่นนี้จะสามารถฆ่าศัตรูได้อย่างไร?” เย่หยวนส่ายหัวเล็กน้อยพลางเอ่ยปากขึ้น
ไป๋เฉินอดสำลักมิได้ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น และกล่าวขึ้นพินิจท่าทางไม่ค่อยยอมรับว่า
“ข้า…ข้า…เนื่องจากเมื่อครู่ฝึกเพลงทวนประจำวัน จึงมิได้กรอกเทพลังเข้าไปเต็มที่หนักดั่งตอนสัประยุทธ์จริง ท่านถึงหยุดทวนนี้ได้อย่างง่ายดาย”
เขาเพิ่งสำเร็จเพลงทวนนี้จนเชี่ยวชาญ แต่เย่หยวนกลับเทน้ำเย็นราดลงบนหัวแบบนี้ แล้วไป๋เฉินจะไม่รู้สึกหดหู่ใจได้อย่างไร? เขาตระหนักชัดแจ้ง ขุมพลังที่แท้จริงของเย่หยวนน่าสะพรึงกลัวเพียงใด แต่ไป๋เฉินก็ยังค่อนข้างมั่นใจในเพลงทวนของตนเองนัก ถึงวาจาน้ำเสียงจะนุ่มนวลและอ่อนน้อม แต่นั่นกลับแฝงไปด้วยความหัวรั้นปฏิเสธที่จะยอมแพ้
เย่หยวนยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นรึ? เอาล่ะ จงสำแดงใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าออกมา ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้” แววเจ้าเล่ห์แสนกลพลันสาดสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาไป๋เฉิน เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า
“ท่านอาจารย์กล่าวแล้วอย่าคืนคำ!”
เย่หยวนยิ้มตอบ “แน่นอน!”
ไป๋เฉินชักทวนกลับมาพร้อมยืนตั้งท่าเร่งพลังปราณเทวะโคจรเร็วจี๋ถึงขีดสุด บริเวณปลายทวนพลังปราณเทวะระดมสั่งสมจนผนึกขึ้นเป็นเกราะทวนคุมเคลือบเสริมแกร่งให้อีกชั้นหนึ่ง
“ระวังตัวด้วยท่านอาจารย์!”
เขาตระหนักชัดว่าเย่หยวนทรงพลังไร้เทียมทานเพียงใด แม้เขาจะเอาจริงรีดเร้นพลังปราณทั้งหมดออกมาใช้ แต่นั่นก็ไม่สามารถทำอันตรายอันใดให้เย่หยวนได้เลยแม้สักนิด สิ่งเดียวที่เขาต้องการจะเห็นคือตนสามารถบังคับให้เย่หยวนตั้งท่าป้องกันได้!
ไป๋เฉินอยากจะพิสูจน์ให้เป็นประจักษ์ เพลงทวนของเขาหาได้อ่อนแอและไร้ซึ่งพละพลัง หลังจากระดมพลังอยู่นาน ในที่สุดขุมพลังทำลายล้างของทวนไป๋เฉินก็บรรลุถึงจุดสุดยอด!
“ย๊ากกก!”
ไป๋เฉินวาดทวนทะลวงพุ่งเสียบออกไปเต็มสูบ คลื่นพลังอันทรงอนุภาพนี้รุนแรงจนทำให้เสื้อผ้าอาภรณ์ของเย่หยวนกระพือโบกสะบัดไม่หยุด ช่างเป็นเพลงทวนที่รวดเร็วดุจสายฟ้า เสี้ยวพริบตามันปราดลุถึงตรงหน้าเย่หยวนแล้ว แต่ทันใดนั้นเองสีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินพลันเปลี่ยนไปทันที ดวงตาโพล่งโตเบิกกว้างเผยให้เห็นรูปลักษณ์อันแสนไม่อยากเชื่อ
เย่หยวนยังคงหยุดปลายทวนของเขาได้ด้วยสองนิ้วดังเดิม ไม่ว่าเขาจะออกแรงมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถแทงทะลุผ่านปราการสองนิ้วของเย่หยวนได้เลย!
…………………………………
ตอนที่ 1424 ซักอักขระเทวะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
คู่นิ้วมือของเย่หยวนสั่นกระตุกเล็กน้อย สองมือที่ไป๋เฉินจับทวนยาวถูกปัดซัดกระเด็นออกไปโดยตรง เห็นเพียงทวนยาวควงเคว้งกลางอากาศลังกาทีสองที เย่หยวนก็รับทวนยาวอย่างเบามือ
“แม้ข้าจะไม่เคยศึกษาศาสตร์แห่งทวนมาก่อน แต่เต๋าที่แท้จริงคือทุกศาสตร์เส้นทางมุ่งสู่เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นข้าจะร่ายรำหนึ่งกระบวนทวน จงเฝ้าดูให้ดี!”
สุ้มเสียงเย่หยวนยังไม่ทันจางหาย รังศมีกลิ่นอายพลันแปรเปลี่ยนในทันใด พร้อมปราดแทงทวนยาวร่ายสะบัดออกมา สายตาของไป๋เฉินแลดูจริงจังขึ้นถนัดตาพร้อมจับจ้องทุกท่วงท่าของเย่หยวนอย่างตั้งอกตั้งใจ
เพลงทวนนี้แม้นไร้ชื่อกระบวนแต่กลับเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบระเบียบ กอปรบุ๋นบู้เข้าจังหวะทั้งความเร็วและพละกำลังผสานเป็นเนื้อเดียวสมบูรณ์แบบ ทว่าหากพินิจตั้งใจมองให้ดีที่แท้กลับเป็นเพลงทวนของไป๋เฉินฉบับปรับปรุงโดยเย่หยวนเสียมากกว่า! เพียงว่าขุมพลังของเพลงทวนนี้กลับแกร่งกล้าเสียยิ่งกว่าของเขานับหลายร้อยทวีเท่า!
บูมมม!
ทุกกระบวนร่ายรำหยุดลงทันใด ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนรุนแรง แทรกสอดคลื่นพลังโถมกระจายสารทิศ
แต่ที่น่าตกใจที่สุดคือ ทั่วทุกจุดที่ปลายหอกกรีดทำลายจนแตกละเอียดทิ้งร่องรอย ยามนี้กลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็วประดุจไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินดูตื่นตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่ ขณะเอ่ยปากอุทานลั่นด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า “นี่…เกิดอะไรขึ้นกัน?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “วิถีแห่งสวรรค์ มากเกินคือลดทอน น้อยไปคือชดเชย เพลงทวนหาใช่แต่ใช้กำลังเพื่อความแข็งแกร่ง อ่อนช้อยแต่ไม่งอ อ่อนโยนหาใช่อ่อนแอ ปรับกระบวนหยิบใช้ตามสถานการณ์ ทว่าเพลงทวนของเจ้ามีแต่พละกำลัง ยึดตามหลักกฎเกณฑ์มากเกินไปปราศจากความยืดหยุน เพลงทวนแตกสะบั้นต่อหน้าข้านับว่าประสบการณ์ แต่หากต่อหน้าคนอื่นเท่ากับตาย! ปฏิเสธไม่ได้ว่าขุมพลังแห่งทวนคือพละกำลังอันดุดัน แต่หากถูกศัตรูตีประชิดปิดวงโจมตี นั้นจะไร้ซึ่งพิษสงไปโดยปริยายจนไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป เมื่อใดที่เจ้าเข้าใจคำว่า มากเกินคือลดทอนน้อยไปคือชดเชยได้อย่างถ่องแท้ ยามนั้นเพลงทวนของเจ้าจักชดช้อยงดงามและแข็งแกร่งไร้เทียมทาน! ถูกตีประชิดพร้อมรับกระบวน ถูกผลักไสเว้นระยะเข้าทางเตรียมพิฆาต! จงเพียรฝึกฝนด้วยสติรู้คิดตลอดเวลา!”
ไป๋เฉินที่ยังฟังดังนั้นคล้ายยังดูงุนงงพลางเอ่ยถามขึ้นว่า “แต่…หากผสมพลังบุ๋นอ่อนโยนลงไปหนึ่งส่วน หาใช่ว่าเพลงทวนจะสูญเสียความแข็งแกร่งไปหนึ่งส่วนหรอกรึ?”
เย่หยวนส่ายหัวและกล่าวว่า “ตอนนี้ขอบเขตความเข้าใจของเจ้ายังคล้ายกับเส้นผมบังภูเขา ที่เหล็กกล้าแกร่งหาใช่โลหะล้วนแต่มีธาตุอื่นเจือผสมอยู่หนึ่งส่วน ความแข็งแกร่งที่หายไปหนึ่งส่วน กลับถูกความแกร่งกล้าเติมเต็มมากกว่าหนึ่งส่วน นั่นแหละคือความแข็งแกร่งที่แท้จริง! เอาล่ะ ข้าจักแสดงให้เจ้าดูอีกครั้ง แล้วเจ้าจงตอบว่ามันแข็งแกร่งหรือไม่!”
เย่หยวนยังคงร่ายเพลงทวนเหมือนเดิมทุกอย่างอีกครั้งซ้ำสอง ทว่ารัศมีกลิ่นอายกลับมิได้รั้งรอออมือแม้แต่น้อย! ไป๋เฉินเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเพลงทวนไม่วางตา ถึงขั้นที่ว่าทั่วกายาของเขาสั่นเทาโดยมิตั้งใจ
ในคราแรกที่เย่หยวนยังไม่ได้อธิบายชี้จุดให้เห็น ซึ่งไป๋เฉินยังคงมิได้สังเกตอันใด ทว่าคราวนี้มีคำใบ้คลำเส้นทางพอจับจุดได้ รายละเอียดยิบย่อยมากมายเผยให้เห็นตลอดทาง แถมเกินกว่าที่เย่หยวนอธิบายไปด้วยซ้ำ ไป๋เฉินเห็นสิ่งที่ เย่หยวนต้องการจะสื่อได้อย่างชัดเจน! เห็นได้ชัดว่า ท่านอาจารย์เย่หาได้ใส่แรงทั้งหมดไปกับทุกท่วงท่ากระบวนทวน แต่กลับมีลูกล่อลูกชน เพิ่มลดความเร็วตามวิถีเหวี่ยงให้เหมาะสมและสมดุล!
เมื่อควบคุมได้อย่างไหลลื่น ประดุจว่าคมทวนอันโอนอ่อนกำลังพัดผ่านไหลตามห้วงเวหานภากาศตามใจนึกความรู้สึกเช่นนี้ช่างแปลกประหลาดสุดจะบรรยายนัก
บูมมม!
ทั่วทุกพื้นที่เกิดเป็นรอยแตกเร้นแฝงพลานุภาพทำลายล้างอย่างเปี่ยมล้น เผลอแค่แวบเดียว กลับสร้างพลังทำลายล้างได้รุนแรงปานนี้! ช่างน่าสะพรึงกลัวโดยแท้!
ไป๋เฉินมั่นใจยิ่งว่า ขอบเขตความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งทวนของเขา ควรจะใกล้เคียงกับศาสตร์แห่งดาบของท่านอาจารย์เย่ แต่เมื่อเห็นเพลงทวนนี้ เขาก็ทราบทันทีว่ายังห่างชั้นไปหลายสิบขุมนัก! หากไป๋เฉินสามารถสำแดงใช้เพลงทวนระดับนี้ได้ เขาจะสามารถสังหารเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางได้อย่างง่ายดาย!
“พอเข้าใจแล้วรึยัง?” เย่หยวนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
ไป๋เฉินส่ายหัวเอ่ยตอบว่า “ข้า…ข้าทำไม่ได้!”
เย่หยวนรู้สึกใจชื้นขึ้นมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวขึ้นรวนหัวเราะไปพลาง
“หากเจ้าทำได้แล้วข้าจะสอนเจ้าไปเพื่ออันใด? จงสลักจำไว้ แข็งไปก็แค่ลด อ่อนไปก็แค่เพิ่มเท่านั้น ผสานรวมความแกร่งกร้าวและโอยอ่อนให้สมดุล นี่แหละคือการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด! จงจำเพลงทวนเมื่อครู่ให้ขึ้นใจและเพียรฝึกฝนให้หนัก สักวันเจ้าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้แน่นอน!”
ไป๋เฉินพยักหน้าตอบ สีหน้าแววตาในยามนี้เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เขากล่าวขึ้นว่า “ท่านอาจารย์เย่ ศิษย์คนนี้เข้าใจแล้ว ขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับคำชี้แนะ!”
เย่หยวนพยักหน้าตอบเล็กน้อย เขาตระหนักแล้วว่าไป๋เฉินในตอนนี้เข้าใจสิ่งที่เขากำลังสื่อไปแล้วจริงๆ ไม่มีเส้นทางลัดสำหรับการบ่มเพาะฝึกฝน ราคาจ่ายด้วยหยาดเหงื่อย่อมทรงคุณค่ากว่าวิธีอื่นอย่างหาเปรียบมิได้ แต่สิ่งที่เย่หยวนกำลังชี้แนะทิศทางให้แก่ไป๋เฉิน คือเขาต้องการจะช่วยไป๋เฉินย่นระยะเวลาที่ไม่จำเป็นออกไป ดั่งประภาคารส่องแสงชี้ทางกลางห้วงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เพื่อช่วยให้ไป๋เฉินไปถึงจุดหมายได้ไวขึ้น
คำกล่าวของเย่หยวนแม้ฟังดูเรียบง่าย แต่กลับต้องใช้ระยะเวลาฝึกฝนนอย่างขมขื่นนานหลายปี และไป๋เฉินก็เข้าใจดีว่า เส้นทางของเขาที่ต้องก้าวเดินยังคงอีกยาวไกลนัก อย่างไรก็ตามแต่ พรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวของไป๋เฉินก็นับว่ายอดเยี่ยมมาก ไม่น่าแปลกใจที่ไหนเลยไป๋เย่ไห่ถึงเลือกเขาให้ขึ้นเป็นนายน้อยเตรียมรับสืบทอดตำแหน่งต่อไป
เมื่อพิจารณาให้ดี ยามนี้เป็นเพียงเรื่องของระยะเวลาแล้ว ในภายภาคหน้าไป๋เฉินจะเหนือชั้นเสียยิ่งกว่าเหล่าพี่ชายของเขาทุกคน
“ทะ-ท่านอาจารย์เย่…ท่านคงกำลังตามหาบางสิ่งโดยต้องการให้ข้าช่วยใช่หรือไม่?”
ทั้งสองตรงออกมานั่งพักผ่อน ณ ศาลาเรือนน้อยแห่งหนึ่ง เห็นประสบโอกาสเหมาะไป๋เฉินจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไปตามตรง
เย่หยวนเองก็ไม่มีเจตนาปิดบังอันใด เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “เรื่องตัวตนของข้า เชื่อว่าเจ้าเองคงรู้อยู่แล้วจริงไหม?”
สีหน้าของไป๋เฉินแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยามนี้เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดและเอ่ยถามอย่างฉงนใจว่า
“ตัวตนของท่าน? มิใช่ว่าเป็นท่านอาจารย์ของข้าหรอกรึ? แล้วก็เป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวังเทวะรัตติกาลฉายด้วย?”
เย่หยวนยิ้มกล่าวว่า “เจ้ายังกล้าเล่นลูกไม้เด็กน้อยต่อหน้าข้า? โอสถที่เคยให้ไป ต่อให้เจ้าไม่รู้จักแต่เป็นไปได้รึ โม่หยุนจะไม่รู้จักเช่นกัน?”
ใบหน้าของไป๋เฉินเปลี่ยนกลายเป็นสีแดงก่ำ เขารู้สึกอับอายอย่างหาที่เปรียบไม่ และไม่คิดเลยว่าเย่หยวนจะรู้ทุกอย่างตั้งแต่แรกสุดแล้ว
“ท่านอาจารย์ข้า เอ่อ..ข้า…”
เย่หยวนยกมือหยุดไป๋เฉินเล็กน้อย เชิงสัญลักษณ์คล้ายว่าไม่จำเป็นต้องกล่าวต่อ ทันใดนั้นสีหน้าการแสดงออกของเขาพลันดูเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน พร้อมเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชืดขึ้นว่า “แท้ที่จริงแล้ว เป้าหมายที่ข้าเดินทางมายังดินแดนนภาบรรพตนั้นง่ายมาก ทั้งหมดก็เพื่อเสาะหาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์! และข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง!”
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินเปลี่ยนไปอย่างมาก กลิ่นอายอันทรงพลังที่ปลดปล่อยออกจากร่างเย่หยวนมันเข้าบดขยี้ตัวเขาจนแทบหายใจหายคอไม่ออก
“ท่านอาจารย์เย่โปรดใจเย็นลงก่อน! ภายในวังเทวะรัตติกาลฉายไม่มีศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ที่ว่า!” ไป๋เฉินกล่าวอย่างลนลาน
เย่หยวนถอดถอนกลิ่นอายที่เข้ากดดันอีกฝ่าบออกมาและกล่าวถามว่า “หรือเป็นไปได้ไหมว่า ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์จะอยู่ภายใต้การดูแลของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์?”
ไป๋เฉินพยักหน้าเล็กน้อยกล่าวขึ้นว่า “ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์นับเป็นขุมพลังแห่งนิรันดร์ของเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้า แม้แต่ยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ายังต้องตาหมายปอง! ฟังว่าศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ทั้งหมดถูกเก็บรักษาอยู่ในวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ทอดสายตาเสาะหาทั่วทั้งดินแดนนภาบรรพต ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์มีจำนวนน้อยมาก จึงเป็นสมบัติฟ้าดินที่หายากมากโดยธรรมชาติ”
เมื่อได้ฟังดังนั้น เย่หยวนพลันรู้สึกปวดเศียรทันควัน ในแต่ละวันที่เลยผ่าน เขามิอาจล่าช้าได้อีกต่อไป เพราะปัจจุบัน จิตใต้สำนึกในจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของมู่หลินเสวียค่อยๆ หลั่งไหลออกไปทีละเล็กละน้อยแล้ว! เดิมทีเย่หยวนเคยคิดว่าภายในวังเทวะรัตติกาลฉายซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลยักษ์ใหญ่แห่งดินแดนนภาบรรพตจะมีศิลาชีวิตนิจนิรันดร์สักชิ้นเก็บรักษาอยู่ แต่คาดไม่ถึงเลยว่า มันจะเป็นของหายากปานนี้
ไป๋เฉินมึนงงอย่างมากเมื่อเห็นท่าทีอันเศร้าหมองของเย่หยวน เช่นนั้นจึงเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวังว่า “เอ่อ…ท่านอาจารย์เย่ ข้าพอทราบว่าท่านมิได้ต้องการแค่ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง ผลเก้าทำนองกายาอมตะ และแร่ทรายม่วงทอง แต่ไฉนท่านต้องการเพียงหนึ่งในสามอย่างนี้เท่านั้น?”
เย่หยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า “ข้ามิได้เสาะหาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ แต่ข้ามีจุดประสงค์อื่นสำหรับช่วยชีวิตสหายของข้า ดังนั้นแล้ว…เพื่อศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ ต่อให้ต้องจ่ายด้วยอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น!”
ไป๋เฉินประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำตอบ ปรากฏว่ามันมิใช่อย่างที่เขาคิดไว้เลย ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ไฉนตอนที่เย่หยวนได้รับผลเก้าทำนองกายาอมตะไป เขาถึงดูมิได้ตื่นเต้นดีใจเท่าไหร่นัก เพียงรับมาและเก็บเอาไว้โดยแทบไม่เหลียวมอง ดูเหมือนว่า กว่าที่ท่านอาจารย์มายืนอยู่ตรงนี้ได้ท่าจะมีเรื่องราวความเป็นมาไม่น้อยเช่นกัน!
‘ท่านอาจารย์เย่ไม่เพียงช่วยชีวิตข้า แต่ยังมอบชีวิตใหม่ให้แก่ไป๋เฉินคนนี้อีก! บุณคุณที่ท่านมีต่อข้าช่างมากมายมหาศาลเกินตอบแทนแม้นตายเกิดนับสิบรอบ! ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์มีความสำคัญต่อท่านอาจารย์อย่างมาก ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องช่วยเขาให้ได้มันมา!’ ไป๋เฉินตัดสินใจได้ทันทีอย่างไม่ต้องคิดไตร่ตรองใดๆ ให้มากความนัก
“ท่านอาจารย์เย่ หากท่านต้องการศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ย่อมมีโอกาส แต่เกรงว่า…ยังต้องรอไปอีกสิบปี!” ไป๋เฉินกล่าว
ดวงตาของเย่หยวนสว่างไสวขึ้นทันใดและกล่าวขึ้นว่า “พูดมา!”
ไป๋เฉินเร่งอธิบายทันทีว่า “หลังจากนี้อีกสิบปี วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์จะมีพิธีเปิดซากอักขระเทวะขึ้น! ซึ่งศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ล้วนถูกผลิตขึ้นจากภายในนั้น เพียงแต่ว่า…”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ไป๋เฉินดูลังเลอยู่ครู่ใหญ่ เย่หยวนที่เห็นแบบนั้นก็เข้าใจได้ทันทีและยิ้มกล่าวว่า “ที่นั่นคงอันตรายมากใช่ไหม?”
ไป๋เฉินพยักหน้าและกล่าวต่ออย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ถูกต้องแล้ว! ภายในซากอักขระเทวะเปี่ยมล้นไปด้วยโชคดีมากมาย แต่ก็มีภัยอันตรายทุกหนแห่งเช่นกัน! นอกจากนี้เมื่อถึงเวลาดังกล่าว พวกเราเจ็ดวังเทวะแห่งดินแดนนภาบรรตจะเข้าร่วมพร้อมกันหมด ซึ่งนี่ยิ่งทวีความอันตรายเป็นหลายเท่าตัว”
เย่หยวนกล่าวตอบโดยหาได้สนใจเลยว่า “ข้าเคยกล่าวไปแล้ว ต่อให้ต้องจ่ายด้วยอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น!”
…………………………………
ตอนที่ 1425 ห้วงบ่มเพาะพลังแห่งความตาย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แค่ก แค่ก แค่ก…”
“พร๊วดด!”
ภายในโถงลับใต้ดินแห่งหนึ่งในดินแดนนภาบรรพต ฉินเทียนกระอักพ่นโลหิตออกมาอย่างรุนแรง คล้อยหลังถึงขั้นอาเจียนออกมาเป็นก้อนลิ่มเลือดสด
“บัดซบจริงๆ! ข้าไม่คิดเลยว่าจะมาพลาดท่าบาดเจ็บสาหัสโดยประมุขวังเทวะสัมปรายภพ! เจ้านั้นมันไม่รู้เลยว่า ตัวข้าจักต้องล่าช้าไปอีกแค่ไหนเพราะมันคนเดียว!” ฉินเทียนสีหน้าเศร้าหมองดูไม่สู้ดีนักพลางเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคือง
หลังจากที่ฉินเทียนแทรกซึมเข้าสู่ดินแดนนภาบรรพตได้สำเร็จ เขาก็มิค่อยกล้าเคลื่อนไหวบนโลกภายนอกอย่างเด่นชัดเท่าเย่หยวน หากมีผู้ใดพบว่าเขามาจากดินแดนภายนอก เกรงว่าฉินเทียนจำต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าครั้งใหญ่จากฝ่ายดินแดนภาบรรพตทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มอิทธิพลผู้งำประกายลึกล้ำที่สุดอย่างวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ขุมกำลังความแกร่งกร้าวของพวกนั้นทรงพลังเพียงใดกลับมิอาจจินตนาการได้
ดังนั้นฉินเทียนจึงพยายามเปิดเผยแสดงตัวออกมาให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่สุดท้ายก็บังเอิญวิ่งชนเข้ากับผู้อาวุโสจากหนึ่งในเจ็ดวังเทวะเข้า ด้วยความแกร่งกล้าของฉินเทียน ตราบใดที่มิได้เผชิญหน้าสัประยุทธ์กับเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าของดินแดนนภาบรรพต เขาย่อมสามารถท่องทั่วพิภพได้ตามใจนึก
หลังจากเข้าปะทะกันไม่กี่กระบวน ฉินเทียนก็ลงมือปิดฉากจบชีวิตของผู้อาวุโสคนนั้นไป จากนั้นเขาก็เข้าเสาะค้นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายและได้รู้เรื่องราวทุกอย่างภายในความทรงจำทั้งหมดของผู้อาวุโสคนนั้น ยามลงมือกระทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ฉินเทียนก็ปลอมตัวกลายเป็นผู้อาวุโสตคนนั้นเสียเอง พร้อมปกปิดใบหน้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เพื่อวางแผนแทรกซึมเข้าไปในวังเทวะและยืมขุมพลังของพวกนั้นตรวจสอบที่อยู่ปัจจุบันของเย่หยวน
แต่ใครจะไปคาดคิด ระหว่างทางเขากลับเจอนักฆ่าดักลอบสังหารอีกทีหนึ่ง และพลังฝีมือของนักฆ่าที่ว่านั้นก็น่าสะพรึงอย่างยิ่ง! ด้วยเหตุนี้ฉินเทียนจึงพลาดท่าประสบโชคร้ายครั้งใหญ่ กล่าวได้ว่าแปดชั่วชีวิตจะดวงซวยเจอแบบนี้ แม้ว่าอาณาจักรพลังของนักฆ่าจะด้อยกว่าฉินเทียน ทว่าทักษะการลอบสังหารของอีกฝ่ายกลับเหนือชั้นเป็นที่หนึ่ง ภายใต้การลอบโจมตี ฉินเทียนได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ตามแต่ นามขานอัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานแห่งสถานศึกษาหวูเมิ่งของฉินเทียนก็อย่าประมาทไป ในตอนท้าย เขาอาศัยไหวพริบและพละกำลังของตน จนสามารถฉกฉวยโอกาสพลิกกลับมาเอาชนะนักฆ่าคนนั้นได้หวุดหวิด พร้อมสังหารทิ้งในทันที
เมื่อพยายามเสาะค้นเศษเสี้ยวจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แตกดับของนักฆ่าคนนั้นดู ฉินเทียนก็ได้รู้ว่า เป้าหมายของนักฆ่าคนนี้คือสังหารผู้อาวุโสที่เขาปลอมตัวอีกฝ่าย หอกเก่าหวนย้อนกลับมาทำร้าย คำกล่าวนี้นับว่าไม่เกินจริงเลย!
ความแกร่งกล้าของนักฆ่ามิได้อ่อนด้อย อาการบาดเจ็บที่ทิ้งทวนไว้ให้ฉินเทียนหาใช่บาดแผลเล็กน้อย แต่เป็นบาดแผลฉกรรจ์ที่ยากจะฟื้นตัวรักษาได้ภายในเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตามแต่ ข้อมูลอีกชิ้นหนึ่งที่ฉินเทียนได้มาจากเศษเสี้ยวจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนักฆ่าก็คือ แท้ที่จริงแล้ว มันผู้นี้กลับเป็นประมุขของกลุ่มอิทธิพลหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า วังเทวะสัมปรายภพ!
เนื่องด้วยความแกร่งกล้าของผู้อาวุโสที่เป็นเป้าหมายค่อนข้างสูงมาก จึงเป็นเหตุใดประมุขวังสัมปรายภพจำต้องออกโรงด้วยตัวเอง ยิ่งมาทราบเรื่องเช่นนี้ ฉินเทียนรู้สึกหดหู่ใจแทบเป็นบ้า นี่อาจคล้ายคำว่า ชัยชนะครั้งสุดท้ายก่อนความตายจะมาถึงกระมัง? นี่คือวาระสุดท้ายของเขาจริงๆน่ะรึ? ห้วงจิตใจของฉินเทียนสับสนปั่นป่วนไม่หยุดหย่อน จนท้ายที่สุดเร่งเข้าปลอมตัวเป็นประมุขวังสัมปรายภพแทนและซ่อนตัวอยู่ในวังเทวะวังสัมปรายภพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งวิธีนี้ก็ค่อนข้างปลอดภัยที่สุดแล้ว
ทันใดนั้นเอง มีผู้ใต้บัญชาคนหนึ่งเอ่ยร้องขึ้นด้านนอกโถงลับใต้ดินที่เขาประทับอยู่ ฉินเทียนเร่งระงับอาการบาดเจ็บทั้งหมดลงและแสร้งวางท่าปลดปล่อยกลิ่นอายลึกล้ำออกมา
“เรียนท่านประมุขวัง สิ่งที่ท่านสั่งการให้เหล่าผู้ใต้บัญชาค้นหาสืบเสาะ ยามนี้ได้กระจายกันถามไถ่จนได้ความมาแล้วกระจ่างชัด! เมื่อไม่นานมานี้ มีเซียนลึกลับผู้หนึ่งนามว่า เย่หยวน เขาปรากฏตัวขึ้นและสร้างชื่อจนเป็นที่ลือลั่น อย่างการสังหารเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้ด้วยขุมพลังอาณาจักรปฐมพระเจ้าที่มีเท่านั้น วีรกรรมในครั้งนี้ได้กลายเป็นตำนานหน้าหนึ่งไปแล้วในประวัติศาสตร์ของดินแดนนภาบรรพต…” ผู้ใต้บัญชาเอ่ยปากรายงานอยู่นอกประตูอย่างระมัดระวัง
แต่ไหนแต่ไรท่านประมุขวังก็เป็นคนลึกลับไม่ค่อยเผยตัวปรากฏให้เห็นบ่อยนัก และเขาหาใช่คนมากเมตตาใจกว้าง ทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียวศีรษะพลันหลุดจากบ่าได้ง่ายๆ ภายในโถงลับยังคงปราศจากกลิ่นอายแรงผันผวนอันใดอยู่พักใหญ่
แต่ผู้ใต้บัญชาคนนั้นกลับไม่รู้เลยว่า ‘ประมุขวังตัวปลอม’ของเขา ยามนี้แข็งค้างไปชั่วขณะ ประดุจก่อเกิดคลื่นยักษ์แสนปั่นป่วนถาโถมเข้าสู่จิตใจ! เฉกเช่นเรื่องที่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าสามารถสังหารเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้ มันไม่เคยมีผู้ใดสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้มาก่อน ต่อให้เป็นบนมหาพิภพถงเทียนก็ตาม
แต่เย่หยวนกลับทำได้จริงๆ!
แม้ว่าความแกร่งกล้าของเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าภายในดินแดนนภาบรรพตจะมิอาจเทียบเทียมได้กับเหล่าเซียนบนมหาพิภพถงเทียนได้เลย ทว่าอย่างไรก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า นั้นคือขุมพลังระดับปัจฉิมพระเจ้าขนานแท้ และหาใช่สิ่งที่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าจะเป็นคู่มือได้เลย พัฒนาการของไอ้เด็กเหลือคนนี้มันไร้ซึ่งขอบเขต! หากข้าไม่รีบปิดฉากฆ่ามันทิ้งไปตั้งแต่ตอนนี้ เกรงว่าในอนาคตคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว! ฉินเทียนที่ครุ่นคิดดังนั้นพลันวิตกกลุ้มใจหนัก
ฉินเทียนเลียนเสียงให้เหมือนประมุขวังสัมปรายภพและเอ่ยตอบน้ำเสียงเย็นชืดขึ้นว่า “จงป่าวประกาศโดยทั่ว เย่หยวนผู้นี้คือเซียนต่างแดนที่มารุกรานดินแดนนภาบรรพตของเรา! จงนำเรื่องนี้ขึ้นชี้แจ้งให้ทางวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ทราบโดยด่วนที่สุด! รวมไปถึงวังเทวะอื่นๆทั้งหมดอีกด้วย!”
พลันได้ยินดังนั้น สีหน้าการแสดงออกของผู้ใต้บัญชาแปรเปลี่ยนคล้ายหวาดวิตกในทันใด เขาเร่งขานตอบขึ้นว่า “รับทราบท่านประมุขวัง! ผู้ใต้บัญชาคนนี้จะเร่งดำเนินการโดยด่วนที่สุด!”
“พร๊วดด!”
ขณะที่ผู้ใต้บัญชาคนนั้นจากออกไป ฉินเทียนมิอาจทานทนได้ไหว กลิ่นโลหะหวานคลุ้งกระจายทั่วลำคอ ก่อนกระอึกพ่นเลือดสดออกมาคำโตอีกคราอย่างอดไม่อยู่
“เคล็ดวิชาลอบสังหารของประมุขวังสัมปรายภพช่างลึกล้ำโดยแท้ เส้นลมปราณที่เชื่อมต่อกับขั้วหัวใจโดยตรงได้รับบาดเจ็บสาหัส หากภายในไม่กี่ปีนี้ไม่เร่งรักษา เกรงว่าอาจเรื้อรังไม่สามารถหายได้อีก!”
ฉินเทียนกลืนโอสถเม็ดหนึ่งลงไป ยามนี้อาการบาดเจ็บค่อยบรรเทาลงบ้างเล็กน้อย
“ไม่รู้เลยว่าไอ้บัดซบนั้นหยิบใช้วิธีการใดถึงสามารถซ่อนตัวได้มิดชิดเพียงนี้ ทั้งยังหนีรอดจากสายตาของเหล่าเซียนในดินแดนนภาบรรพตได้อีก! แต่เจ้าคงคาดไม่ถึงใช่ไหมว่า ข้าฉินเทียนจะแทรกซึมกลายมาเป็นประมุขวังสัมปรายภพเช่นนี้? ต่อหน้าขุมกำลังของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ข้าอยากจะรู้เสียว่า เจ้ายังกล้าหยิ่งผยองอยู่หรือไม่! ฮ่าๆ ฮะ…แค่ก… แค่ก…”
……………….
เย่หยวนไม่ทราบแม้แต่น้อยว่า ฉินเทียนได้สะกดรอยตามเขาตั้งแต่ต้นจนมาถึงดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้
ภายในสถานศึกษาหวูเมิ่งมีกฎเหล็กที่พึงปฏิบัติตามเคร่งครัด ภารกิจที่ศิษย์รับไปล้วนต้องเก็บเป็นความลับห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด! ประการแรกก็เพื่อป้องกันความปลอดภัยของศิษย์ ส่วนประการที่สองก็เพื่อป้องกันมิให้พิกัดของพิภพยุทธจักรนั้นๆรั่วไหลออกไป เว้นเสียแต่จะได้รับการอนุมัติจากเจ้าเมืองหลวงหวู่เมิ่ง หรือไม่ก็อาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษาเท่านั้น! ดังนั้นเพียงแค่ฉินเทียนได้รับพิกัดมาโดยมิได้รับอนุญาต ก็นับว่ามีความผิดมหันต์อยู่แล้วตั้งแต่ทีแรก
เมื่อทราบว่าซากอักขระเทวะกำลังจะเปิดในอีกสิบปีข้างหน้า ต่อมาเย่หยวนจึงปลีกวิเวกเก็บตัวทันที ก่อนหน้าที่เย่หยวนจะออกเดินทาง เขาใช้จ่ายแต้มคะแนนและผลึกปราณเทวะระดับต่ำจำนวนมาก แลกเปลี่ยนกับสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งกองโต เขาได้นำสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งทั้งหมด มาหลอมกลั่นเป็นโอกาสเพื่อใช้สำหรับการบ่มเพาะพลังโดยเฉพาะ
ณ ปัจจุบันหลังจากทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า แต่ละอาณาจักรย่อยเย่หยวนที่ต้องการยกระดับชั้นมาล้วนต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวเขาที่เลือกบ่มเพาะบัญญัติเทพแห่งถงเทียน ซึ่งปริมาณทรัพยากรที่ต้องการมันมากกว่าคนอื่นนับสิบทวีเท่า โชคยังดีที่เขาเป็นนักหลอมโอสถ มิฉะนั้นก็ลืมไปได้เลยสำหรับเรื่องเลื่อนระดับชั้น
ในพริบตาเดียว เย่หยวนก็เข้าฝึกปรือภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพเป็นเวลานานถึงสิบปีแล้ว ท้ายที่สุดเขาก็บรรลุสู่จุดสูงสุดแห่งอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดเสียที
“ท่านอาวุโส ดูเหมือนข้าจะมาถึงขีดจำกัดของอาณาจักรปฐมพระเจ้าแล้ว แต่สำหรับบัญญัติเทพแห่งถงเทียน ข้ายังไม่สามารถหลอมสร้างบทที่สองขึ้นได้เลย!”
เย่หยวนถอนหายใจหลากอารมณ์หลายสื่อความหมาย ด้วยความเข้าใจของเย่หยวนที่มีต่อศาสตร์แห่งสวรรค์ และความลึกล้ำต่อเต๋าสามารถนำพาเย่หยวนขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้อย่างไร้ซึ่งปัญหา ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เพิ่งบรรลุสู่จุดสูงสุดแห่งอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดแล้วเช่นกัน กล่าวได้ว่าเขาสามารถเลื่อนระดับชั้นได้ง่ายเพียงอึดใจ เว้นเสียแต่ว่า บัญญัติเทพแห่งโอสถกลับเป็นวรยุทธบ่มเพาะที่ท้าทายสวรรค์เกินไป การจะหลอมสร้างในส่วนที่สองขึ้นมา ยากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์มากนัก หากมิใช่เพราะเหตุนี้ หวูเฉินคงไม่คัดค้านเย่หยวนในตอนที่ต้องการหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังขึ้นเองเช่นกัน
หวูเฉินถอนหายใจเสียงยาวและกล่าวว่า “ปฐมพระเจ้าคือหยั่งรู้ความลับแห่งสรวงสวรรค์ รู้ถึงการมีอยู่แต่มิอาจสัมผัส ปัจฉิมพระเจ้าคือจอมวายุเหลือบมองทะลุผ่าน เห็นถึงการมีอยู่แต่เป็นเพียงเศษส่วนเล็กน้อย ส่วนการมีอยู่ที่ว่าคือเต๋า วรยุทธบ่มเพาะพลังชนิดอื่นๆก็ไม่ต่างอะไรกับกล้องส่องทางไกลขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไป หากมีขนาดเล็กย่อมมองเห็นเต๋าได้เล็ก หากมีขนาดใหญ่ย่อมเห็นอะไรกว้างไกลยิ่งกว่า ในขณะที่กล้องส่องทางไกลของเจ้ากลับมีขนาดใหญ่เกินไป หากสร้างขึ้นได้สำเร็จ เจ้าจะเห็นเต๋าผ่านสิ่งนี้ยิ่งใหญ่เสียกว่าคนอื่นนับหลายร้อยเท่า!”
เย่หยวนกล่าวว่า “สัประยุทธ์ครั้งล่าสุดกับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงโอกาสในการเลื่อนระดับชั้น แต่เพียงว่าหากโอกาสนี้หลุดลอยไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามันจะหวนกลับมาอีกเมื่อใด”
ครั้งล่าสุดที่เย่หยวนเชื่อมต่อกับหุบเขาถงเทียนจำลองได้ เป็นเพราะเขาใช้ศาสตร์แห่งโอสถในฐานะตัวกลาง
แต่ความนี้เขากลับทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว ศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่ขอบเขตจอมเทพโอสถหนึ่งดาว และยังไม่สามารถบรรลุสู่สองดาวได้ เช่นนี้จึงมิอาจปลดผนึกหุบเขาถงเทียนในส่วนที่ลึกกว่านี้ได้เช่นกัน
หวูเฉินเงียบไปพักหนึ่ง ทันใดนั้นราวกับคิดอะไรบางอย่างออกจึงโพล่งกล่าวขึ้นทันทีว่า “ตอนนี้เจ้ากำลังตกที่นั่งลำบาก แล้วไฉนถึงไม่ลองเปิดใช้งานห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตายดูล่ะ?”
เย่หยวนตัวค้างแข็งในบัดดลพลางเอ่ยทวน “ห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย?”
หวูเฉินพยักหน้าและกล่าวอธิบายว่า “มันคือมรดกตกทอดของจอมเทพนิรันดร์ที่วางแผนสร้างขึ้นเพื่อให้ลูกศิษย์ของตนในอนาคตได้หยิบใช้งาน แต่เพียงว่าภายในห้วงมิตินั้นค่อนข้างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ข้าจึงไม่เคยแจงให้เจ้าทราบ ตามชื่อของมันไม่มีผิดเพี้ยน มันคือห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย!”
…………………………………
ตอนที่ 1426 ทูตเหลยต้วน
โดย
Ink Stone_Fantasy
คล้อยหลังเคลื่อนผ่านเข้ามา เสมือนภาพฉากผิวน้ำกว้างไพศาลไร้ขอบเขต จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนสั่นสะท้านเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทว่าความรู้สึกน่าอึดอัดนี้ก็อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีทันใด เย่หยวนก็พบว่ามีเงาไสวร่างหนึ่งปรากฏขึ้นประจันหน้า จากพร่ามัวเริ่มก่อตัวดูชัดเจนถนัดตา
เงาร่างย่างเท้าตรงเข้ามาหาเขาประดุจกระจกเงาสาดสะท้อน ร่างนี้เหมือนกับเย่หยวนทุกประการ!
วิธีที่จอมเทพนิรันดร์คิดค้นขึ้นมาหาใช่ธรรมดาทั่วไปและลึกลับน่ากลัวเสียเหลือเกิน ห้วงมิติบ่มเพาะแห่งคาวมตายนี้มีศาสตร์เวทย์ลี้ลับบางอย่าง มันสามารถจำลองความสามารถรวมไปถึงหน้าตาเหมือนเย่หยวนทุกประการสมบูรณ์แบบ ร่างจำแลงนี้แทบแยกแยะไม่ออกว่าของจริงหรือลวงตา และแน่นอน จุดประสงค์ของเย่หยวนหาใช่การสังหารอีกฝ่าย แต่เป็นการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองภายใต้การฝึกปรือสุดอันตรายแบบนี้
“เย่หยวน จงไตร่ตรองให้ดี! เมื่อห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตายเปิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าตายหรือมันพินาศ แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถหยุดได้!” เสียงตะโกนก้องของหวูเฉินดังออกมาเข้าหูเย่หยวนไปเต็มๆ
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งที่สิบแล้วกระมังที่กล่าวกับข้าเช่นนี้! เริ่มเลยเถอะ!”
หวูเฉินหัวเราะครืนกล่าวว่า “คนแบบนี้คงมีแค่เจ้าจริงๆ!”
หลังกล่าวจบ เย่หยวนก็ไม่ได้ยินเสียงของหวูเฉินอีกต่อไป จากนั้นไม่นาน สุ่มเสี่ยงเย็นยะเยือกหนึ่งพลันดังขึ้นจากเบื้องหน้าท่ามกลางผิวน้ำไร้ขอบเขต
“การบ่มเพาะแห่งความตายได้เริ่มขึ้นแล้ว!”
ฝั่งตรงข้าม เย่หยวนอีกคนค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมแสยะยิ้มแสนชั่วร้ายฉีกกว้าง ทำเอาภายในใจเย่หยวนเย็นสะท้านไปเล็กน้อย
“เจ้าแกร่งกล้ามากจริงๆ! ถึงสามารถมอบร่างกายที่ทรงพลังขนาดนี้ให้แก่ข้าได้!” เย่หยวนอีกคนกล่าว
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ชายหนุ่มที่ยืนประจันหน้าอยู่จะมีสติสัมปชัญญะเป็นของตัวเอง
เย่หยวนอีกคนฉีกยิ้มกว้างยามเห็นปฏิกิริยาของเย่หยวน และกล่าวว่า “พินิจจากสีหน้าของเจ้า คงประหลาดใจมากใช่หรือไม่? ข้ามิใช่เครื่องมือสังหารที่รู้จักแต่การฆ่า ข้ามีความนึกคิดเป็นของตัวเองอิสระ และตอนนี้ข้าก็กำลังคิดอยู่ว่า…จะฆ่าเจ้าอย่างไรดี!”
หลังจากตื่นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เย่หยวนก็สงบจิตสงบใจลงได้ในทันทีสุดและยิ้มตอบว่า “เกรงว่าไม่มีทางทำได้! เข้ามา!”
เย่หยวนอีกคนแสยะยิ้มน่าสยดสยอง ทันทีทันใดร่างของเขาก็กระตุกวูบหายวับไปทันที
เกร๊งง!
เย่หยวนโบกมืออัญเชิญเรียกดาบพิชิตมารฟ้าออกมาพร้อมเข้าเผด็จศึกหนัก สองสุดขั้วการโจมตีเข้าปะทะต่อกรกันรุนแรง ทว่าทั้งหมดกลับใกล้เคียงเทียบเทียมจนสูสีมาก เย่หยวนที่เห็นผลลัพธ์เช่นนี้ได้แต่ตะลึงตื่นใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สยบดารา!
สิ่งที่เย่หยวนอีกคนใช้ต่อกรเขาคือ สยบดารา
ยิ่งไปกว่านั้น ผนวกกับความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ยามปลดปล่อยสยบดาราออกมา พลานุภาพกลับมิได้อ่อนด้อยไปกว่าเขาสักนิด! แม้แต่ดาบที่อีกฝ่ายใช้ยังจำลองมาจากดาบพิชิตมารฟ้าของตัวเขาเอง กล่าวได้ว่าเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว! ไม่น่าแปลกใจที่ไฉนถึงถูกเรียกว่า ห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย เย่หยวนไร้ซึ่งความลับดั่งตัวเปลือยเปล่าต่อหน้าฝ่ายตรงข้าม
เพราะฝ่ายตรงข้ามก็คือตัวเขาเอง!
ศัตรูรูปแบบนี้เป็นภัยที่น่ากลัวที่สุดแล้ว!
“เหอะ สยบดาราของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? รสชาติดีเยี่ยมมิใช่น้อย? แต่ผ่อนคลายเถอะ ยังมีเรื่องน่าตกใจอีกมากรอเจ้าอยู่!”
เย่หยวนอีกคนระเบิดหัวเราะกล่าวลั่น “เหอะ ไม่คิดเลยว่าตัวข้าอีกคนหนึ่งจะเป็นพวกช่างพูดขนาดนี้!”
เย่หยวนส่ายหัวพลางถอนหายใจแช่ม “หุหุ เจ้าคงยังไม่เข้าใจอะไรเลยด้วยซ้ำ ข้ามิใช่ตัวเจ้า แต่ข้าเป็นแค่ตัวเจ้าอีกคน”
“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าชนะแล้ว! เช่นนั้นช่วยแสดงให้ข้าเห็นที่ว่ามีอะไรให้น่าตกใจอีก?” เย่หยวนกล่าวเย้ย
“จัดให้ตามที่ขอ!”
วูบบ!
ทันใดนั้นคมดาบแยกออกเป็นสองเล่ม! สองร่างไสววูบเข้าปะทะต้านชนกันอย่างรุนแรง ต่อหน้าศึกสัประยุทธ์ระหว่างทั้งสอง ใครอ่อนหรือด้อยกว่ากลับยากที่จะพิจารณากล่าวถึง ทั้งคู่ต่างเข้าใจอีกฝ่ายดีเยี่ยมเกินไป! เล่ห์อุบายใดๆกลับใช้ไม่ได้ผลกับศึกในครั้งนี้เลย
ยิ่งเย่หยวนออกอาวุธสัประยุทธ์นานเข้า เขาก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น อีกฝ่ายไม่เพียงเลียนแบบความแข็งแกร่งของตัวเขาได้อย่างสมบูรณ์ แต่นั้นยังรวมไปถึงความมุ่งมั่นในการต่อสู้และไหวพริบสัญชาตญาณอีกด้วย!
ความเข้าใจต่อตัวเขาที่ชัดเจนเกินไปของฝ่ายตรงข้าม ทำให้กลยุทธ์ต่อสู้ทั้งหมดของเขาจำต้องประสบความล้มเหลวลงโดยสิ้น นี่คือคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังอย่างแท้จริง! ต่ออีกฝ่าย เย่หยวนมิใช่ทั้งได้เปรียบหรือเสียเปรียบ แต่เป็นความเท่าเทียมของพลังที่น่าอึดอัด คลื่นพลังทำลายล้างจากสองระลอกโจมตีกระจัดกระจายทั่วทุกหนแห่ง ผิวน้ำไร้ขอบเขตเกิดแรงสั่นสะเทือนหนักไม่หยุดหย่อน
“เห้ออ… เจ้าเด็กคนนี้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัวมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าคราวนี้อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีศัตรูคนใดน่ากลัวไปกว่าตัวเองอีกแล้ว! คิดค้นวิธีการเช่นนี้ขึ้นมาได้ตาเฒ่าจอมเทพนิรันดร์ก็ช่างสรรหาคิดขึ้นมา! หากเย่หยวนสามารถฝ่าฟันอุปสรรคครั้งนี้ได้จริงๆ เขาจะได้รับผลประโยชน์มากมายนับไม่ถ้วน!” หวูเฉินถอนหายใจเฮือกหนึ่งเผยแสดงหลายหลากอารมณ์
…
เช่นเดียวกับช่วงที่เย่หยวนฝึกปรืออยู่ในห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย ทั่วทุกมุมของดินแดนนภาบรรพตก็กำลังลุกเป็นไฟจากข่าวลือหนึ่ง
“เจ้าว่าอย่างไร? ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวังเทวะรัตติกาลฉายเป็นผู้รุกรานต่างแดน?!”
“ก็อย่างที่ข้ากล่าวไป ในดินแดนนภาบรรพตมีที่ไหน เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าจะสามารถสังหารเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้? เว้นเสียว่ามาจากต่างดินแดน!”
“วังเทวะรัตติกาลฉายปล่อยปละละเลยให้ผู้บุกรุกต่างแดนขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดได้อย่างไร? ช่างน่าขันสิ้นดี!”
…
ภายใต้ข่าวที่แพร่กระจายออกไปโดยเจตนาของพวกวังเทวะสัมปรายภพ ไม่นานนักทั้งเจ็ดวังเทวะต่างรับทราบโดยทั่วกันอย่างรวดเร็วประดุจสายลมพัดผ่าน
ณ ปัจจุบัน สองคู่ศิษย์อาจารย์อย่างไป๋เฉินและโม่หยุนต่างวิตกหนักประดุจมดบนกระทะร้อน เดินวนไปมาสีหน้าการแสดงออกดูกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก แต่เย่หยวนยังคงอยู่ในระหว่างการเก็บตัวเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งสองยิ่งกังวลใจหนัก อย่างไรก็ตามแต่ สุดท้ายนี้โม่หยุนก็มีประสบการณ์มากกว่า ยามเห็นท่าทีของไป๋เฉินตื่นตระหนกสุดขีดหาได้มีคลายอ่อนลง เขาจึงเอ่ยปากกล่าวขึ้นทันทีว่า
“ท่านประมุขวัง ยิ่งเป็นเช่นนี้จะน่าสงสัยเข้าไปใหญ่! ทางที่ดีเราควรสงบนิ่งไม่ร้อนตัว หากคนอื่นเห็นเข้าจะเป็นที่สงสัยก็เป็นได้!”
หลังจากที่โม่หยุนบริโภคโอสถที่เย่หยวนมอบให้ลงไป ไม่นานเขาก็เลื่อนระดับขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นได้สำเร็จ ปัจจุบัน เขากลายมาเป็นผู้อาวุโสในสภาอาวุโสลำดับที่เก้าแห่งวังเทวะรัตติกาลฉายได้แล้วโดยชอบธรรม ไป๋เฉินถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า “เรื่องนั้นข้าทราบดี แต่ข้าเป็นเช่นนี้ต่อหน้าท่านอาจารย์โม่หยุนเท่านั้น!”
โม่หยุนพยักหน้าตอบ ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่า ไป๋เฉินได้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว
“เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่ แม้นต่อหน้าข้าท่านก็ไม่เคยแสดงอาการเช่นนี้ออกมา” โม่หยุนกล่าว
ไป๋เฉินผงกศีรษะและกล่าวพร้อมท่าทีไม่ค่อยพอใจว่า “แต่ข้าไม่เข้าใจเลย! เรื่องนี้มีเพียงข้ากับท่านเท่านั้นที่ทราบ แล้วไฉนข่าวนี้ถึงรั่วไหลออกไปได้? ทอดสายตาเสาะค้นทั่วดินแดนนภาบรรพตยังมีใครรู้ถึงตัวตนของท่านอาจารย์เย่อีก?”
โม่หยุนขมวดคิ้วถักแน่นและกล่าวว่า “เรื่องนี้กลับยากเกินจะกล่าว! แต่การที่สามารถกระจายข่าวออกไปจนถึงหูทั้งเจ็ดวังเทวะได้ในเวลาอันสั้น ขุมกำลังอีกฝ่ายจัดว่ามิอาจประเมินดูถูกได้เลย!”
ไป๋เฉินเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างเศร้าหมองใจ “เฮ้ออ! ข้ามิได้กังวลเรื่องข่าวลืออะไรพวกนั้นเลย แต่สิ่งที่ข้ากังวลจริงๆ คือ…ท่าทีของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์หลังจากนี้! ทางฝ่ายนั้นเฝ้าตรวจสอบเรื่องผู้รุกรานต่างแดนไม่ห่างตา เรื่องพรรคนี้ยากจะรอดพ้นหูตาของพวกเขา!”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง สุ่มเสี่ยงของผู้ใต้บัญชาคนหนึ่งพลันเปล่งดังขึ้นจากด้านนอกประตู วิเคราะห์จากน้ำเสียงดูค่อนข้างร้อนรนมิใช่น้อย
“ท่านประมุขวัง! มีทูตจากวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์เดินทางเข้ามาขอพบ! ท่านรองประมุขวังจึงขอให้ท่านประมุขวังและผู้อาวุโสโม่หยุนออกไปต้อนรับเป็นการด่วน!” สีหน้าการแสดงออกของทั้งคู่เปลี่ยนไปในทันใด นี่แหละคือสิ่งที่พวกเขากังวลใจเป็นที่สุด และมันก็ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว!
แต่ใครจะไปคิดว่า ฝ่ายวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์จะอ่อนไหวกับเรื่องผู้รุกรานต่างแดนมากขนาดนี้ ถึงขั้นส่งทูตออกมาพิสูจน์เร็วทันควัน!
โม่หยุนสูดหายใจเข้าลึกๆและกล่าวกับไป๋เฉินว่า “ไม่ว่ายังไงพวกเราต้องห้ามเปิดเผยข้อมูลใดๆทั้งสิ้น! เราแสร้งทำเป็นไม่รู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และอย่าให้ทูตจับพิรุธได้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นวังเทวะรัตติกาลฉายของเราคงดับสูญชั่วนิรันดร์เป็นแน่!”
สีหน้าท่าทีของไป๋เฉินดูจริงจังขึ้นทันทีหลายสวน ก่อนพยักหน้าตอบอย่างเคร่งขรึม ภายนอกวังเทวะรัตติกาลฉาย ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดอาภรณ์สีครามกำลังยืนเคว้งอยู่กลางนภากาศ สีหน้าการแสดงออกของเขาดูค่อนข้างเยือกเย็น มองปราดเดียวได้ทราบทันที เขาผู้นี้ชนชั้นยอดฝีมือ
ไป๋เฉินเข้ารวมกลุ่มกับไป๋ซิ่วและผู้อาวุโสคนอื่นๆ จนกลายเป็นกลุ่มเซียนอาณาจักรพระเจ้ากลุ่มใหญ่ พวกเขาตรงออกไปหาชายวัยกลางคนผู้นั้นและก้มศีรษะแสดงความเคารพทันที
“ประมุขวังเทวะรัตติกาลฉาย ไป๋เฉิน คาราวะท่านทูต!”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นเค้นเสียงตอบรับอย่างแผ่วเบาและเอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างแช่มช้าว่า “เราทูตผู้นี้มีนามว่า เหลยต้วน เดินทางมายังวังเทวะรัตติกาลฉายภายใต้คำสั่งของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ เพื่อตรวจสอบผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวังเทวะรัตติกาลฉายนามเย่หยวนโดยละเอียด เอาล่ะ…พาข้าไปหาเขาเดี๋ยวนี้!”
…………………………………
ตอนที่ 1427 ความแข็งแกร่งของร่างปลอม
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แฮ่ก…แฮ่ก…แฮ่ก…”
จังหวะหายใจเย่หยวนหอบถี่หนักขึ้นแลหนักขึ้น การเผชิญหน้ากับตัวเขาอีกคนหนึ่งนี้ ยิ่งเวลาผ่านไปอีกฝ่ายยิ่งแกร่งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองสัประยุทธ์ต่อสู้กันเป็นเวลาสามวันสามคืน ถึงแท้แต่ละกระบวนท่าของเย่หยวนจะกินพลังปราณเทวะน้อยมาก ทว่าศึกยาวจวบจนตอนนี้เขาเองก็รั้งรอนไว้ไม่ไหวแล้วเช่นกัน
ท้ายที่สุดนี้ คู่ต่อสู้ของเขากลับมิใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวเขาเอง!
ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเกินไป ในสามวันที่ผ่านมา เย่หยวนล้วนเป็นฝ่ายตั้งรับเสมอและไม่สามารถหาช่องโหว่โจมตีตอบโต้ใดๆได้เลย
“ฮ่าๆ ไฉนเจ้าถึงอ่อนแอลงเรื่อยๆกัน? ตัวข้าอีกคนที่แท้กลับอ่อนแอปานนี้ ช่างน่าอดยศเป็นที่สุด เช่นนั้น…ลงนรกไปซะ!” เย่หยวนอีกคนแสยะยิ้มเย้ยหยัน ความแกร่งกร้าวในมือที่ถือครองไม่เพียงลดทอน ทว่ากลับเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทีแรกระหว่างทั้งคู่พลังมือค่อนข้างก้ำกึ่ง จวบจนบัดนี้เย่หยวนทำได้เพียงตั้งรับระวังตัว เพียงเลี่ยงหลบออกมาโดยปลอดภัยก็เป็นเรื่องยากแล้วสำหรับเย่หยวน ภัยคุกคามถาโถมเข้าใส่ไม่ยั้งมือ
“เหอะ เหอะ ภายในห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย พลังปราณเทวะข้ามีไร้จำกัด แต่ของเจ้ากลับลดน้อยลงเต็มทน และผลสุดท้ายที่เจ้าต้องเผชิญคือ…ความตาย!” เย่หยวนอีกคนคำรามลั่นปราศจากความเมตตาสงสารใดๆ
ภารกิจของมันภายในห้วงมิตินี้คือการสังหารร่างต้นแบบทิ้ง! และยิ่งไปกว่านั้น ภานในห้วงมิติแห่งนี้เองพลังปราณเทวะของร่างจำแลงจะถูกฟื้นฟูขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่เย่หยวนมีวรยุทธฟื้นฟูพละกำลังก็จริง แต่ความเร็วในการฟื้นตัวกลับไม่สามารถเทียบเทียมร่างจำแลงได้เลย ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป เย่หยวนก็ยิ่งตกสู่อันตราย!
ด้านนอกห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย หวูเฉินยังคงเฝ้ามองเย่หยวนไม่ห่างตาพร้อมท่าทีสุดวิตกกังวลใจ มือทั้งสองกำหมดแน่นเจือสั่นเทาโดยมิตั้งใจ เขาทราบดีว่า เย่หยวนตกสู่ที่นั่งลำบากแล้ว ความเป็นความตายถูกกั้นเพียงเส้นบางๆ หากเย่หยวนยังไม่สามารถเสาะหาวิธีเอาชนะมันได้ เจาจะต้องตายอยู่ภายในนั้น ตราบใดที่เปิดใช้ห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตายแล้ว แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่สามารถหยุดมันได้แล้วเช่นกัน
หวูเฉินตระหนักดี นี่จะเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดที่เย่หยวนเผชิญพบในชีวิต เพราะคู่ต่อสู้ของเขาหาใช่ใครอื่น นอกจากตัวเขาเอง และนี่คือจุดที่น่ากลัวที่สุดของห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย ไม่ว่าแกร่งกล้าปานใด แต่หากปราศจากความมุ่งมั่นก็ไม่มีทางเอาชนะตัวเองได้ นี่คือแกนแท้ของห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย
“เอาเลยเย่หยวน! เจ้าอย่าทำให้เราชายชราผิดหวัง!”
หนังตาหวูเฉินกระตุกไม่หยุด แสดงถึงความตึงเครียดบีบเกร็งหัวใจของเขาสุดขั้ว เหตุผลที่เขาตัดสินใจแนะนำวิธีการฝึกปรือที่เสี่ยงปานนี้ เป็นเพราะเขารู้ว่าการที่เย่หยวนจะหลอมสร้างบัญญัติเทพแห่งถงเทียนในบทที่สองตามลำพังมันยากเข็ญเพียงใด ถึงสุดท้ายจะทำสำเร็จ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเนิ่นนานแค่ไหน
ในเวลานั้น มู่หลินเสวียอาจตายจากไปนานแล้ว
เย่หยวนในปัจจุบันมิอาจเสียเวลาได้มากไปกว่านี้ เขาต้องการพลังและความแข็งแกร่ง เขาจำเป็นต้องตามหาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์เพื่อมาประคองอาการของมู่หลินเสวีย! ถึงวิธีนี้จะอันตรายสุ่มเสี่ยง แต่มันก็เป็นวิธีเดียวที่สามารถรีดศักยภาพของเย่หยวนออกมาได้มากที่สุดภายในเวลาอันสั้น
เมื่อผู้คนต้องเผชิญหน้ากับตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเอง กระทั่งถูกบีบจนสิ้นไร้ไม้ตอก ยามนั้นตามสัญชาตญาณของมนุษย์ พวกเขาจะดิ้นรนขวนขวายทุกวิถีทางเพื่อต่อชีวิตความอยู่รอด เว้นเสียแต่ คนที่จะประสบความสำเร็จกลับมีน้อยมาก!
อันที่จริงแล้ว ห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตายเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่สมบูรณ์ของจอมเทพนิรันดร์ ในครั้นกกาลอดีต จอมเทพนิรันดร์เคยขับผู้คนจำนวนมากเข้าไปในนั้นและทดลองประสิทธิผลที่ได้จากห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย
สิ่งที่เขาคาดหวังไว้คือ สถานที่แห่งนี้จะช่วยรีดเร้นศักยภาพแฝงของผู้คนได้โดยการใช้ความตายเป็นตัวช่วย ในหมู่ที่เขาจับไปทดลอง มีทั้งเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า อาณาจักรราชันพระเจ้า ทั้งนี้ยังรวมไปถึง…ยอดเซียนอาณาจักรนภาสวรรค์!
โดยรวมแล้วผู้ทดสอบมีหลักหลายร้อยคน แต่ผลสุดท้ายกลับไม่มีใครสามารถออกมาได้เลย! กระทั่งเหล่าอัจฉริยะเฉกเช่นพวกเขาก็ยังไม่สามารถข้ามผ่านตัวเองไปได้ อัตราความเสี่ยงของวิธีฝึกปรือเช่นนี้จึงเกือบเทียบเท่าสิบในสิบส่วนเต็ม!
ก่อนที่หวูเฉินจตัดสินใจเสนอวิธีนี้ให้เย่หยวน เขาเองก็รู้สึกขัดแย้งภายในใจเช่นกัน เพียงว่าหวูเฉินอยู่กับเย่หยวนมาก็เนิ่นนานพอควร เขาได้รับอิทธิพลต่างๆจากเย่หยวนมาไม่น้อย ในทางตรงกันข้าม จิตวิญญาณสมบัติเวทย์สวรรค์อย่างเขาก็กำลังเดิมพันกับเย่หยวนโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
ชวิ้งง!
คมดาบปาดออกฉีดเสื้อของเย่หยวนเชือดเฉือนมัดกล้ามเนื้อบาดลึก
สีหน้าการแสดงออกของหวูเฉินแปรเปลี่ยนไปในทันใด เย่หยวนเริ่มพลาดท่าจนได้รับบาดเจ็บแล้ว! นี่หาใช่สัญญาที่ดีไม่ มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปริมาณพลังปราณเทวะที่เย่หยวนสำรองไว้ มันไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนศึกในคราวนี้แล้ว
อย่างไรก็ตามแต่ ศึกสัประยุทธ์นี้ก็ยังดำเนินต่อไปไม่มีลดละปรานี
ชวิ้ง!
ชวิ้ง!
ชวิ้ง!
…
เสื้อผ้าอาภรณ์เย่หยวนถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว บาดแผลรอยคมดาบมากมายฝังลึกทั่วร่างกายเย่หยวน!
“ฮ่าๆๆ เจ้ามันอ่อนแอเกินไป! พวกอ่อนแอไม่สมควรมีที่ยืนในผืนพิภพ! ยอมแพ้ซะ!”
ดาบพิชิตมารฟ้าปลอมในมือเย่หยวนอีกคนเปรอะเปื้อนไปด้วยคาบเลือด ส่วนตัวมันระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคคลั่ง พลังปราณเทวะภายในกายของเย่หยวนถูกระบายรั้วไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ยามนี้มันเจียนถึงขีดจำกัดที่เย่หยวนรับไหวแล้วเช่นกัน การต่อสู้กับตัวเองอีกคน ใครจะไปคิดว่ามันสร้างปัญหามากมายเพียงนี้!
เย่หยวนในปัจจุบันไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกดาบขึ้นมา
“อ่อนล้าเหลือเกิน…หรือเป็นไปไหม…ข้าต้องตายแบบนี้จริงๆ?” ภายในห้วงความคิด เย่หยวนครุ่นพินิจกับตัวเอง
…
“ไม่ว่าเขาจะทำอะไรอยู่ จงไปเรียกเย่หยวนมาเดี๋ยวนี้! คล้อยหลังหนึ่งชั่วยามแล้วอีกฝ่ายยังไม่ออกมา พวกเจ้าทั้งหมด…จะต้องได้รับผลที่ตามมาเอง!”
ณ ห้องโถงใหญ่แห่งวังเทวะรัตติกาลฉาย เหลยต้วนนั่งอยู่บนตำแหน่งประมุขหน้าบูดบึ้งไม่คลายอ่อน ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวังเทวะรัตติกาลฉายหายเงียบเข้ากลีบเมฆโดยไม่มีท่าทีสนใจใดอื่น ในขณะที่เขาผู้เป็นถึงท่านทูตแห่งวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ กลับต้องนั่งรออีกฝ่ายอยู่เฉยๆ อย่างไร้กำหนดเวลา!
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินเปลี่ยนไป เขากล่าวว่า “เรียนท่านทูต ผู้อาวุโสสูงสุดในยามนี้เพิ่งเข้าเก็บตัวได้ไม่นาน ณ เวลานี้อาจอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หากเข้าไปขัดจังหวะอาจดูไม่เหมาะสมเกินควร ท่านคิดว่าจริงหรือไม่? ไยท่านทูต…ถึงไม่พักผ่อนค้างแรมในวังเทวะรัตติกาลฉายก่อนสักพัก? ทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดออกจากการเก็บตัวเมื่อใด เขาจะรีบแจ้งให้ท่านทรายโดยไว คิดเห็นเช่นไรบ้าง?”
บูมมม!
สุ่มเสียงไป๋เฉินยังไม่ทันจางหายดี จู่ๆ เหลยต้วงก็ตบฝ่ามือโจมตีใส่อีกฝ่ายโดยตรง
“พร๊วดด!!”
เหลยต้วนเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด เศษเสี้ยวพลังของไป๋เฉินมีหรือจะเพียงพอรับมือไหว? หากมิใช่เพราะว่าเขาเป็นประมุขวังเทวะรัตติกาลฉาย ฝ่ามือเมื่อครู่คนงหมายเอาชีวิตติดไปด้วยแล้ว
ทูตคนนี้ช่างจองหองยิ่งนัก!
“คำสั่งการด่วนของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์คงเป็นเรื่องตลกกระมัง? เราผู้นี้บอกว่าหนึ่งชั่วยามก็คือหนึ่งชั่วยาม! แล้วพวกเจ้ากำลังวิตกอันใด? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ผู้อาวุโสสูงสุดจะเป็นเซียนต่างแดนอย่างที่ข่าวลือว่าจริงๆ? หื้ม?” เหลยต้วนกวาดตาแช่มมองทุกคน ดั่งว่าหัวใจของพวกเขาเยือกแข็งเย็นลงชั่วขณะ
ไป๋เฉินเร่งพยุงตัวขึ้นด้วยโกรธจัดหัวแทบลุกเป็นไฟ แต่สุดท้ายกลับถูกโม่หยุนหยุดลงเสียก่อน และเป็นไป๋ซิ่งที่เร่งก้าวออกมาพร้อมประสานมือกล่าวกับเหลยต้วนว่า
“เรียนท่านทูต คำบอกเล่าพวกนั้นล้วนเป็นข่าวลือแน่นอน! ส่วนใหญ่แล้ววังเทวะรัตติกาลฉายมากถูกจ้องเล่นงานจากพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยอยู่เสมอ และพวกที่ปล่อยข่าวเท็จเหล่านี้ออกไปคงหนีไม่พ้นฝ่ายนั้นเช่นกัน ท่านทูตโปรดแยกแยะถูกผิด! และที่สำคัญที่สุด ผู้อาวุโสสูงสุดเย่หยวนสำแดงเดชไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่เต๋าแห่งดินแดนนภาบรรพตก็หาได้ปฏิเสธเขาสักครั้งไม่ นี่จึงเป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมว่าเขาหาใช่ผู้บุกรุกต่างแดน!”
เหลยต้วนปราดตามองเขาอย่างเยือกเย็นและกล่าวว่า “เราท่านทูตผู้นี้ต้องทำตามคำสั่งจากเบื้องบนและนำเขาไปยังศาลไท่ลู่ จะใช่หรือไม่จำต้องรอฟังคำตัดสินเท่านั้น! ตอนนี้อย่าทำอะไรให้เกินเลยนัก ข้าจะไม่พูดซ้ำ คล้อยหลังหนึ่งชั่วยามต้องได้พบหน้าเขา!”
…………………………………
ตอนที่ 1428 สู่สภาวะตัดชั่วฟ้าอีกครั้ง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ซวบบ!
ดาบพิชิตมารฟ้าปลอมทะลวงร่างเย่หยวนราวกับเจาะกระดาษ ศาสตร์ยุทธ์คล้ายถูกทำลายฉีกสะบั้น ความเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจทำเอาเย่หยวนสะดุ้งเฮือก
“เจ็บใช่ไหม? เช่นนั้นก็จงเลิกดิ้นรน! คนอ่อนแออย่างเจ้าไม่สมควรอยู่ในผืนพิภพแห่งนี้!”
ขณะที่เย่หยวนกำลังจะกล่าวอะไรสักอย่าง เย่หยวนอีกคนก็บิดดาบในมือขยี้ฉีกบาดแผลให้ขยายใหญ่ขึ้น ธารเลือดสีทองพวยพุ่งออกมาประดุจน้ำพุ ทั้งยังมีเศษเนื้อเศษลิ่มเลือดไหลออกมาด้วยเช่นกัน ศาสตร์แห่งสวรรค์ที่กอปรอยู่ในคมดาบเล่มนี้ช่างแกร่งกล้า มันสร้างบาดแผลฉกรรจ์แก่อวัยวะภายในของเย่หยวนอย่างหนัก สติยามนี้ของเย่หยวนเริ่มพร่ามัวมากขึ้นเรื่อยๆ คู่ดวงตาเริ่มตกภาพฉากเริ่มเลือนราง
“เย่หยวน!”
เมื่อเห็นดังนั้น ทั่วกายาหวูเมิ่งสั่นสะท้าน แววตาไสวทอดประกายความสิ้นหวังอยู่เปี่ยมล้น ตลอดที่ผ่านมาหรือเขาประเมินเย่หยวนไว้สูงเกินไป จึงนำพาความหายะนะมาให้แก่เขาเช่นนี้ ในความเป็นจริง หวูเฉินไม่คิดเลยว่าเย่หยวนจะล้มเหลวด้วยซ้ำ ทว่าครั้งนี้เย่หยวนคงโชคไม่ดีเหมือนครั้งก่อนหน้าแล้วจริงๆ
พลังชีวิตหลั่งไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่นั้นค่อยๆ หม่นหมองไร้แววชีวิตชีวา เห็นได้ชัดว่าเย่หยวนกำลังจะตายในอีกไม่ช้าแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่เย่หยวนจะตอบโต้อันใดได้
“ไม่…ไม่ ไม่มีหนทางหยุดมันได้เลยรึ?” หวูเฉินวิตกถึงขีดสุดน้ำเสียงเริ่มเจือแววสะอื้นออกมาให้ได้ยิน
พวกเขาทั้งคู่อยู่ร่วมกันเคียงบ่าเคียงไหล่กันเกือบหนึ่งร้อยปีแล้ว จึงไม่แปลกที่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะลึกซึ้งขนาดนี้ และหากคำนวณระยะเวลาให้ดี หวูเฉินร่วมกับเย่หยวนนานกว่าหลงเถิงด้วยซ้ำ กล่าวได้ว่าหวูเฉินเฝ้ามองการเติบโตของเย่หยวนมาโดยตลอดตั้งแต่เหยียบย่างขึ้นสู่มหาพิภพถงเทียน แต่ตอนนี้เย่หยวนกำลังตาย และเขา…กลับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
“เหนื่อยเหลือเกิน ข้าอยากนอนพัก…ยอมแพ้ไปเสียดีกว่า”
เนื่องด้วยความเหนื่อยล้าที่กัดกินมาเย่หยวนมาตลอดแรมวัน เขาหลับตาลงอย่างแช่มช้า ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เขาเหนื่อยมามากแล้ว!
เมื่อเห็นรัศมีกลิ่นอายของเย่หยวนตกฮวบทันควัน รอยยิ้มสุดน่าสยดสยองพลันแสยะขึ้นบนมุมปากของเย่หยวนร่างปลอม ภาพฉากนี้ช่างทำให้เขารู้สึกชื่นใจอะไรเช่นนี้
“แต่…แต่หากข้าหลับไปตอนนี้ แล้วลี่เอ๋อล่ะ…นางกำลังรอข้า รอว่าสักวันจะกลับไปหานางอีกครั้ง! แล้วจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของมู่หลินเสวียอาจดับสูญไปตลอดกาล… ข้ายังมีสัญญาที่ต้องทำอีกมากมายนัก! ข้า…ข้ายังตายตอนนี้ไม่ได้!”
เย่หยวนร่างปลอมปราดพุ่งสังหารเย่หยวนพิไรท่าทีสุดกระหายเลือด
“ฮ่าๆๆ…ไปตายซะ!”
มันขู่ร้องตะโกนลั่นอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกระชับดาบแน่นหวังสะบั้นผ่าเย่หยวนเป็นสองซีกโดยตรง
แต่ทันใดนั้น จู่ๆเย่หยวนที่หลับตาอยู่ก็ยกมือขึ้นพร้อมรับคมดาบนั้นไว้ ดั่งสรรพสิ่งหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ทั้งเย่หยวนร่างปลอมและหวู่เฉินที่เฝ้ามองอยู่ภายนอกหนังตากระตุกวูบ โพล่งตาโตเผยความตื่นตะลึงเปี่ยมล้น
เย่หยวนร่างปลอมมุ่นคิ้วถักหนา พยายามกรอกเทพลังปราณลงในตัวดาบอย่างบ้าคลั่งหวังฟันมือเย่หยวนให้ขาดสะบั้น แต่ฝ่ามือนี้กลับกล้าแกร่งประดุจเหล็กแท่ง ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็ไม่สามารถตัดได้ขาด!
เย่หยวนในตอนนี้ยังคงหลับตาสนิทเสมือนว่ากำลังหลับอยู่
หู่วว…
รอยแผลที่คมดาบเจาะทะลวงลึกยามนี้ค่อยๆ สมานตัว ถูกฟื้นฟูด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า! เย่หยวนตัวปลอมทราบโดยธรรมชาติ เย่หยวนมีวรยุทธมังกรทรราชจุติอยู่ แต่ศาสตร์แห่งดาบที่มันทะลวงเสียบร่างไปเมื่อครู่ ได้ทำลายอวัยวะภายในของอีกฝ่ายหมดแล้ว กล่าวได้ว่าเกินเยียวยาที่จะฟื้นฟูด้วยวรยุทธมังกรทรราชจุติ บาดเจ็บสาหัสปานนี้จำเป็นต้องนอนพักฟื้นสักระยะใหญ่
แต่นี่กลับรักษาหายอย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้น และที่สำคัญกว่านั้นคือ ในตอนนี้เย่หยวนก็ยังหลับใหลอยู่
“สภาวะตัดชั่วฟ้า!”
“สภาวะตัดชั่วฟ้า!”
ทั้งเย่หยวนร่างปลอมและหวูเฉินแทบจะอุทานร้องลั่นขึ้นมาพร้อมกัน แต่สีหน้าอารมณ์ของทั้งสองต่างกันคนละขั้ว เย่หยวนร่างปลอมตื่นตะลึงก่อนจะรู้สึกวิตกใจอย่างหนัก เพราะนั้นเป็นขอบเขตที่มันไม่สามารถย่างถึงได้ ในขณะที่หวูเฉินดีใจอย่างยิ่งที่เห็นอีกฝ่ายสร้างปาฏิหาริย์ได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายได้ทันท่วงที!
“หึ! เข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าในตอนนี้แล้วอย่างไร? สุดท้ายเจ้าก็ยังเป็นเย่หยวน! และยังต้องตายอยู่ดี!”
เย่หยวนร่างปลอมยกดาบตัดตระหง่านเข้าฟาดฟันโดยไม่รีรอ นั้นคือสยบดารา!
แกร๊ง!
ดาบพิชิตมาฟ้าของเย่หยวนเข้าสัมผัสกับดาบพิชิตมารฟ้าปลอมของเย่หยวนอีกคน ทันใดนั้นแรงผลักแปลกประหลาดซัดร่างของมันกระเด็นหายไปไกล
เย่หยวนร่างปลอมสองเท้ากระตุกวูบเร่งทรงตัวกลับมา พลางกล่าวด้วยความเหลือเชื่อว่า “ศาสตร์แห่งดาบ…สำเร็จทั้งแบบนี้?!”
แต่เดิมศาสตร์แห่งดาบของเย่หยวนก็บรรลุถึงจุดสูงสุดแห่งชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งแล้ว ทว่ายังมีช่องว่างขนาดกว้างไพศาลขวางกั้นอยู่ระหว่างขึ้นสู่ชั้นสวรรค์ระดับสอง จำต้องใช้ความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งดาบปริมาณมหาศาลจึงจะสามารถอุดช่องว่างนี้ลงได้ คนที่มีระดับความเข้าใจไม่เพียงพอ พวกเขาเหล่านั้นจะไม่สามารถข้ามผ่านไปได้เลยตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เย่หยวนที่ตกสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าอีกครั้ง กลับสามารถบรรลุศาสตร์แห่งดาบชั้นสวรรค์ระดับสองขั้นต้นได้ทันทีโดยตรง! ที่เห็นว่ายกมือรับคมดาบได้อย่างง่ายดาย แต่ความเป็นจริงแล้ว เพราะศาสตร์แห่งดาบในปัจจุบันของเย่หยวนลึกล้ำยิ่ง จนสามารถเขาถึงสยบดาราได้อย่างถ่องแท้
นี่เป็นความเข้าใจใหม่ที่เย่หยวนเพิ่งบรรลุสดๆ ร้อนๆ ทั้งยังเป็นความเข้าใจที่ร่างปลอมมิอาจหยั่งถึงได้! สิ่งที่ร่างปลอมเลียนแบบขึ้นมาเป็นเย่หยวนก่อนหน้าที่เข้าฝึก แต่ปัจจุบันเย่หยวนกลับหาใช่คนเดิมอีกต่อไป ตอนนี้เย่หยวนข้ามผ่านเหนือกว่าตัวเองในอดีตไปแล้ว นี่เท่ากับคำประกาศก้องถึงเย่หยวนตัวปลอมว่ามันชะตาใกล้ขาดแล้ว
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนร่างปลอมดูรวนเรแปรเปลี่ยนไม่หยุดหย่อน มันไม่สามารถยอมรับความจริงข้อนี้ได้เลย
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่า ตัวข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้! สยบดารา!”
คราวนี้สิ่งที่ร่างปลอมปลดปล่อยออกมาคือสยบดาราฉบับสมบูรณ์แบบ อนุภาพการทำลายล้างมหาศาลปานนี้สามารถปลิดชีพเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย ขุมพลังสุดน่าสะพรึงยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ
ก่อนหน้านี้เย่หยวนทั้งสองสู้ศึกสัประยุทธ์เดือดไม่มีหยุดพัก ทั้งคู่ย่อมตระหนักทราบดีถึงความน่ากลัวของกระบวนดาบนี้ ดังนั้นเย่หยวนตัวปลอมจึงเร่งปิดฉากให้เสร็จสรรพ ทว่าอย่างไร เย่หยวนในตอนนี้ยังคงหลับอยู่!
เกร๊งงง!
เย่หยวนร่างปลอมเพียงรู้สึกว่าทัศนียภาพเบื้องหน้าพลันพร่ามัวไปหมด เห็นดังนั้นเร่งตัดสินใจกระชับดาบพิชิตมารฟ้าปลอมในมือแน่น และโบกสะบัดคลั่งลั่นสยบดาราไปอีกหลากระลอกต่อเนื่อง
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”
เย่หยวนตัวปลอมคล้ายเสียสติบ้าคลั่งไปแล้ว มันฟาดฟันดาบโบกสะบั้นเข้าใส่เย่หยวนไม่มียั้งมือ แต่คราวนี้ไม่ว่ามันจะพยายามอย่างไร แต่คมดาบคลั่งเหล่านั้นกลับไม่สามารถเข้าสัมผัสตัวเย่หยวนได้เลยสักนิด! ทุกการกระทำของเย่หยวนทั้งว่องไวและแม่นยำจนน่าตกใจ ใครเห็นต่างต้องขนลุกซู่วหนาวสั่นสุดขั้วหัวใจ
เย่หยวนในตอนนี้เปรียบเสมือนกลไกไร้ชีวิต เขาคำนวณทุกอย่างและหลบเลี่ยงได้อย่างแม่นยำประดุจควบคุมทั้งหมดได้โดนสิ้นเชิง
วูบ!
วูบ!
วูบ!
เย่หยวนร่างปลอมไม่สามารถเข้าสัมผัสเย่หยวนได้เลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้มันกลับต้องตกใจอย่างมาก ทั่วร่างกายของเขาปรากฏบาดแผลจำนวนมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนยังคงสยบเยือกเย็นไม่มีไหวติงใดๆ จนดูห่างไกลจากคำว่ามนุษย์ไป
ซวบบบ!
คมดาบของเย่หยวนแทงทะลุทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของตัวปลอมโดยตรง! เย่หยวนตัวปลอมตายคาที่!
การบ่มเพาะพลังแห่งความตายได้สิ้นสุดลง! แต่เย่หยวนก็ยังไม่หลุดจากสภาวะตัดชั่วฟ้า
ร่างของเขาเคลื่อนตรงมาถึงเบื้องหน้าหุบเขาถงเทียนจำลอง รัศมีพลังงานบางอย่างถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างเย่หยวนเป็นชั้นบาง ทันทีทันใดราวกับหุบเขาถงเทียนตอบรับรัศมีพลังนั้น พร้อมเชื่อมต่อกับร่างกายของเขาในทันใด หวูเฉินเฝ้ามองภาพฉากนี้ชนิดตาไม่กระพริบ เขากำลังตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก! ปัจจุบัน ทั้งๆที่เย่หยวนยังหลับใหลอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่เขาสามารถเชื่อมต่อกับหุบเขาถงเทียนได้จริงๆ! ราวกับเย่หยวนจุติขึ้นบนหุบเขาถงเทียน!
ภายใต้สภาวะตัดชั่วฟ้า เย่หยวนสามารถเชื่อมต่อควบคุมหุบเขาถงเทียนจำลองนี้ได้อย่างเหลือเชื่อ อาจกล่าวได้ว่าเขาจุติมาเพื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของเต๋าภายในนั้น สิ่งนี้ทำให้เย่หยวนสามารถใช้ประโยชน์จากหุบเขาถงเทียนได้มีประสิทธิภาพที่สุด
“ฮ่าๆๆ…เจ้าเด็กคนนี้ไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังโดยแท้! มหัศจรรย์ยิ่งนัก!” หวูเฉินระเบิดเสียงหัวเราะยิ้มร่าสุขใจยิ่ง
…………………………………
ตอนที่ 1429 หาเรื่อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ห้องโถงใหญ่ ดวงตาคู่หนึ่งเปล่งแสงเปิดออกอย่างแช่มช้า ทูตเหลยต้วน ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
“นี่ก็หนึ่งชั่วยามแล้ว ดูเหมือนว่า…พวกเจ้าจะวางแผนไม่ยอมส่งมอบตัวเย่หยวนให้แต่โดยดี! ก็ดี! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราท่านทูตจะเชิญเขาออกมาเอง!” เหลยต้วนไม่เอ่ยปากอธิบายอะไรอีกพร้อมก้าวแช่มออกจากโถงใหญ่ไปโดยตรง วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือกลุ่มอำนาจใดทั้งปวงตั้งแต่กาลอดีต พวกเขาไม่สนใจว่าระหว่างวังเทวะจะเปิดศึกสมรภูมิขบเคี้ยวกันเพียงใด พวกเขาปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างพัฒนาวางแผนกันเองโดยไม่จำกัด ไม่รู้นานแค่ไหนแล้วที่ทางวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ส่งทูตลงมาเหยียบย่างบนโลกภายนอกเช่นนี้
แต่ทุกคนก็ไม่คิดเลยว่า ทูตผู้นี้จะเอาแต่ใจเป็นอย่างมาก
การขัดจังหวะระหว่างการบ่มเพาะพลังเก็บตัวของคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งสำหรับนักสู้ด้วยกัน เป็นเรื่องต้องห้ามใหญ่หลวงคล้ายสังหารบิดามารดาก็ไม่ปาน เพราะอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายเส้นทางการบ่มเพาะพลังของผู้อื่นได้ตลอดชั่วชีวิต!
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามแต่ พวกเขาไม่เต็มใจยอมเสี่ยงต่ออุบัติเหตุร้ายแรงเช่นนี้เป็นแน่ โดยเฉพาะขัดขวางการเก็บตัวครั้งสำคัญของเย่หยวน แม้บุคคลนั้นจะเป็นถึงท่านทูตที่วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ส่งมาก็ตาม
“หื้ม?”
เหลยต้วนมุ่นคิ้วเล็กน้อยพร้อมช้อนสายตาจับจ้องไปที่ไป๋เฉินที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้า
เจ้าเด็กน้อยคนนี้มันกล้าขวางทางเขาจริงๆ
“เจ้าคิดพันความตายนักรึ? เราท่านทูตได้รับคำสั่งจากวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์โดยตรงให้มาตรวจสอบ นี่เป็นภารกิจที่ข้าพึงกระทำ แม้เจ้าจะเป็นถึงประมุขวังเทวะ แต่อย่าคิดว่าข้าจะไม่สามารถสังหารเจ้าได้!” เหลยต้วนหรี่ตาแคบปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังหอบหนึ่งอัดกระแทกใส่ไป๋เฉิน
ทั่วกายาของไป๋เฉินสั่นสะท้านหนักจนร่นถอยกลับไปหลายก้าว ก่อนจะพยายามทรงตัวยืนหยัดอย่างมั่นคง อาการบาดเจ็บจากแรงกดดันหอบใหญ่เมื่อครู่เกรงว่าสุดระงับ ปรากฏธารเลือดสดไหลออกมาจากมุมปากของเขาสายหนึ่ง
ทว่าเขากลับไม่สนใจอาการบาดเจ็บเหล่านี้แม้สักนิด และประสานมือกล่าวกับเหลยต้วนว่า “ท่านทูตโปรดระงับโทสะ! ไป๋เฉินไม่เคยมีเจตนาคิดท้าทายท่านหรือวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด เพียงว่าผู้อาวุโสสูงสุดคนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อวังเทวะรัตติกาลฉายของเรา หากท่านทูตเข้าไปขัดจังหวะในตอนที่เขาอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ อาจกล่าวได้ว่าเป็นความหายนะต่อวังเทวะรัตติกาลฉายครั้งใหญ่หลวง ไป๋เฉินขอร้องให้ท่านทูตพักแรมที่นี่สักสามคืน หรือไม่สะดวกใจค้าง ทางเราจะมอบเครื่องรางสื่อสารติดตัวท่านไป เมื่อผู้อาวุโสสสูงสุดออกจากการเก็บตัวแล้ว ข้าจะส่งข้อความไปเรียกท่านมาอย่างแน่นอน!”
เดิมทีโม่หยุนเองก็ตั้งใจที่จะออกไปขวางเช่นกัน และเขาเองก็เตรียมตัวพร้อมไว้แล้ว แต่ไม่คิดฝันเลยว่า กลับเป็นไป๋เฉินเองที่ออกตัวไปขวางและกล่าวเช่นนี้จริงๆ ดูเหมือนว่านายน้อยของเขาจะเติบโตขึ้นแล้วในที่สุด!
“หลบไป!”
อย่างไรก็ตามแต่เหลยต้วนกลับไม่ลงรอยคล้อยตาม เขาตะคอกเสียงสุขุมใส่ไป๋เฉินไปคำโต สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินแปรเปลี่ยนไปทันที เขาคาดไม่ถึงเลยว่าทูตคนนี้จะไร้เหตุผลอย่างมาก
“หากเขาปลีกวิเวกเก็บตัวเป็นเวลาร้อยปี เราท่านทูตคงไม่ต้องรออีกไปร้อยปีตามด้วยรึ? ข้ามิได้มีเวลาว่างขนาดนั้น! หลบไป! หากยังไม่หลบก็อย่าคิดตำหนิเราผู้นี้!” เหลยต้วนกรนเสียงเย็นใส่
พินิจจากสีหน้าของไป๋เฉิน เขาดูไม่เต็มใจแม้สักนิด แต่ก็ทราบเช่นกันว่าต่อหน้าทูตคนนี้ เขาไม่สามารถทำให้โกรธเคืองได้ มิฉะนั้นผลที่ตามมาอาจมีราคาหนักเกินไปจนแม้แต่วังเทวะรัตติกาลฉายก็มิอาจจ่ายไหว หากเป็นเขาคนเดียวที่ตาย มีหรือไป๋เฉินจะยอมถอย? แต่เรื่องนี้มันพัวพันกับชีวิตทุกคน
ณ ปัจจุบันเขาคือประมุขวังเทวะรัตติกาลฉาย ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของทุกคนในวังเทวะรัตติกาลฉาย ทุกการตัดสินใจจะมีผลต่อทุกคนโดยตรง
“เข้าใจแล้ว…” ในที่สุดไป๋เฉินก็ยอมเปิดทางให้
“หึ!” เหลยต้วนเค้นเสียงเย็นร้องหึคำโต ก่อนสะบัดแขนเสื้อเดินผ่านหน้าไป๋เฉินออกไป
โม่หยุนลุกขึ้นเดินมาตบไหล่ไป๋เฉินพลางเอ่ยปลอบว่า “ตามไปดูกันเถอะ! บางทีสถานการณ์อาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด”
ไป๋เฉินพยักหน้าคล้ายไม่เต็มใจนัก แต่ก็ช่วยไม่ได้และต้องทำตามที่ว่ากล่าว
…
“นี่คือห้องที่เย่หยวนเก็บตัว?”
“เรียนท่านทูต ท่านเข้าใจถูกแล้ว แต่เอ่อ…”
ขณะไป๋ซิ่วกำลังจะกล่าวโน้มน้าวอีกฝ่าย แต่เหลยต้วนพลันยกมือขัดขึ้นเสียก่อน
“นี่คือคำสั่งโดยตรงจากวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ท้าทายได้! หากเขาเป็นผู้บุกรุกจากต่างแดนจริงๆ พวกเจ้าสามารถแบกรับความรับผิดชอบต่อผู้คนทั่วทั้งดินแดนนภาบรรพตไหวหรือไม่? ส่วนที่ว่าจะบ่มเพาะพลังสำเร็จหรือไม่ สุดแท้แล้วแต่โชคชะตาของเขา!” สุ่มเสียงของเหลยต้วนปราศจากความเห็นใจแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่า วิสัยทัศน์ของทูตท่านนี้มองในมุมส่วนรวมมากกว่า
ในเวลานั้นเอง รัศมีสุดแกร่งกล้าพลันปะทุเดือดขึ้นจากร่างเหลยต้วนอย่างรวดเร็ว พร้อมตบฝ่ามืออัดกระแทกตรงใส่ประตูสุดแรง ทั้งไป๋เฉินและคนอื่นๆหัวใจเต้นกระหน่ำแทบหลุดจากเบ้าคอ พวกเขาแต่ละคนเจียนที่จะกระโจนเข้าไปขวางฝ่ามือนั้นแทนเสียเหลือเกิน
ฝ่ามือนี้ทรงพลังอย่างแท้จริง แม้แต่ค่ายกลที่ตั้งสกัดไว้โดยรอบห้องเก็บตัวของเย่หยวนยังมิอาจต้านทานได้เช่นกัน
บูมมม!
ฝ่ามือนี้เข้าทลายค่ายกลป้องกันโดยรอบไม่เหลือ
แต่ ณ ขณะเดียวกันพลันปรากฏรัศมีศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัสอย่างหาที่เปรียบไม่พวยพุ่งออกมา ปกคลุมทั่วทั้งบริเวณคล้ายเกิดแรงกระตุ้นจนทุกคนแทบก้มกราบไหว้
“พร๊วดดด!”
ร่างของเหลยต้วนราวกับถูกของหนักพันตันอัดกระแทกอย่างจัง ส่งเขาบินกระเด็นออกไปพร้อมกระอักพ่นโลหิตเป็นไอหมอกฟุ้งกระจาย คล้อยหลังเขาหมดสติไปทันที
ทุกคนต่างจับจ้องภาพฉากนี้ลูกตาเจียนถลนตะลึงงันกันเป็นแถว มิอาจทราบเลยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รัศมีศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายจากบนท้องฟ้าเข้าห่อหุ้มปกคลุมห้องบ่มเกาะเก็บตัวไว้ทั้งหมด
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? รัศมีศักดิ์สิทธิ์จากภายในห้องบ่มเพาะคืออันใด? ไฉนกลับสร้างแรงกระตุ้นให้ข้าต้องคุกเข่าได้ขนาดนี้?”
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ท่านเย่หยวนคนนี้จะเป็นบุตรแห่งเทพในตำนาน? แล้วท่านทูตผู้นี้ก็เพิ่งไปลบหลู่กวนสมาธิของเขา?”
“แต่ท่านเย่หยวนกำลังบ่มเพาะพลังอะไรกันแน่? ช่างน่าเกรงขามเกินไปแล้ว! ยามใดที่เขาเลื่อนระดับขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้สำเร็จ เหล่าเซียนในระดับเดียวกันล้วนไม่มีผู้ใดเข้าคู่ได้แน่นอน!”
….
เมื่อเห็นเหลยต้วนนอนหมดสติอยู่บนพื้นไปเช่นนั้น ไม่รู้เหตุใดไป๋เฉินจึงรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
‘ชายคนนี้เอาแต่ใจสักแต่สร้างปัญหา สุดท้ายก็ซวยเพราะตัวเองโดยแท้! ฮ่าๆๆ ท่านอาจารย์เย่หยวนก็ยังคงเป็นท่านอาจารย์เย่วันยังค่ำ ไม่สามารถคาดการณ์ได้ด้วยจิตสำนึกจริงๆ!’
ไม่นานนักลำแสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็จางหายไป ทุกอย่างกลับมาปกติดังเดิม
เอี๊ยด…
เสียงประตูจากห้องด้านในอีกชั้นหนึ่งถูกเปิดขึ้น เย่หยวนก้าวย่างอย่างแช่มช้าเดินตรงออกมา
ทันทีที่เห็นเย่หยวนปรากฏตัวขึ้น เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าจำนวนมากที่ยืนเฝ้าคอยแทบพังทลายลงทันที เสมือนว่ากำลังมีหุบเขาไท่กำลังบดขยี้ลงมาเจียนหายใจหายคอไม่ออก ยังคงมีร่องรอยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมอยู่บนร่างกายของเย่หยวน ซึ่งนี่เหมือนกับลำแสงที่ส่องลงมาจากท้องฟ้าไม่ผิดเพี้ยน!
เมื่อเห็นผู้คนมากมายมายืนเฝ้ารวมตัวอยู่หน้าห้องเช่นนี้ เย่หยวนจึงเอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
ไป๋เฉินเป็นคนแรกที่ตรงมาหาเย่หยวนก่อนและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเร็วๆนี้ให้ฟัง พอรับทราบเรื่องราวทั้งหมด เย่หยวนพลันย่นคิ้วขึ้นเล็กน้อย ข่าวลือนี้ต่อแพร่กระจายออกไปโดยใครบางคนอย่างชัดเจน!
ทันทีทันใดเย่หยวนก็นึกถึงหลากหลายความเป็นไปได้ขึ้นมาโดยไว เย่หยวนรู้จักในตัวไป๋เฉินดี อย่างน้อยก็ไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้นคนอย่างไป๋เฉินไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน หรือว่าจะเป็นโม่หยุน?
ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรยก็มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก แม้วังเทวะพิรุณร่วงโรยจะพ่ายศึกใหญ่ และจงใจปล่อยข่าวปลอมออกไปเพื่อชะลอทัพของอีกฝ่ายเอาไว้ แต่นั่นก็ยากจะเป็นไปได้จริงๆ เพราะข่าวลือนี้หาใช่เรื่องแต่ง แต่มันเป็นเรื่องจริง!
แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งข้อคือ มีใครบางคนรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา และจงใจปล่อยข่าวออกไป หวังต้องการหยิบยืมขุมกำลังของดินแดนนภาบรรพตเพื่อกำจัดเขา! ไม่ว่าจะเป็นทางใด มันกลับมีความเป็นไปได้ทั้งหมดหรือว่า…จะมีใครบางคนจากสถานศึกษาหวูเมิ่งเดินทางเข้ามาในดินแดนนภาบรรพตด้วย? นี่มีความเป็นไปได้! ตระกูลฉินมีอิทธิพลค่อนข้างมากภายในสถานศึกษาหวูเมิ่ง เมื่อพวกมันทราบว่าเขาเดินทางมาทำภารกิจอยู่ในดินแดนนภาบรรพต เช่นนั้นจึงส่งคนเข้ามาจัดการเขาโดยมิให้รู้ตัว!
เย่หยวนแลมองไปหาไป๋เฉิน หัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปมพร้อมกล่าวว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บรึ?”
จากนั้นก็เหลือบสายตาจับจ้องไปที่เหลยต้วนที่กำลังนอนหมดสติอยู่บนพื้น ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เป็นฝีมือของชายคนนี้?”
…………………………………
ตอนที่ 1430 ล้วงความลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นว่าเย่หยวนเริ่มปะทุโทสะขึ้น ไป๋เฉินเร่งก้าวแช่มตรงออกมาห้ามทันที
“ท่านอาจารย์เย่โปรดระงับโทสะ ท่านทูตผู้นี้เราไม่สามารถยั่วโทสะเขาได้!”
เย่หยวนมขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “แน่นอน ข้าย่อมเข้าใจดี! แต่…”
ไป๋เฉินยังไม่ทันตอบสนองอันใด เพียงเห็นปลายเท้าของเย่หยวนกระตุกวูบเป็นเงาเลื่อนลางซัดออกไป
บูมมม!
ทุกคนสัมผัสได้ถึงความแรงของลูกเตะนี้ ร่างของเหลยต้วนถูกเตะกระเด็นออกไปโดยตรง ก่อนหน้านี้ที่เหลยต้วนเคลื่อนไหว เป็นช่วงที่เย่หยวนกับหุบเขาถงเทียนจำลองกำลังเชื่อมต่อกันอยู่ ด้วยขุมพลังของหุบเขาถงเทียนที่รั่วไหลออกมา มีหรือที่สหายตัวน้อยอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าจะทนทานไหว?
ด้วยเหตุนี้ เศษเสี้ยวพลังที่รั่วไหลออกไปจึงพุงกระแทกร่างอีกฝ่ายเต็มสูบ จนหมดสติลงทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นยิ่งตอนนี้เหลยต้วนอาการสาหัส ถูกเย่หยวนเตะเข้าไปเต็มแรงจนกระเด็นลอยเคว้งกลางอากาศ แต่เย่หยวนกลับไม่หยุดเพียงแค่นี้ และเตะอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนับสิบครั้ง
บูมม! บูมมม!!
ร่างอันแกร่งกล้าของเหลยต้วนตกกระแทกล้มพับกลางพื้นอิฐ เหล่าเซียนทั้งหมดต่างจับจ้องที่ร่างที่นอนกองกันพื้น สภาพตอนนี้ของอีกฝ่ายดูไม่น่าสยดสยองนัก
แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด พวกเขาทุกคนรวมไปถึงไป๋ซิ่วถึงรู้สึกสะใจคล้ายได้รับการปลดปล่อยอย่างบอกไม่ถูก เหลยต้วนผู้นี้อาศัยว่าตัวเองเป็นทูต ตัวแทนของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ จึงเชิดหน้าชูคอเหนือฟ้าดิน ทำตัวเอาแต่ใจถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่สนด้วยว่าไป๋เฉินจะเป็นประมุขวังเทวะรัตติกาลฉายหรือไม่ การกระทำของเขาหยิ่งผยองไม่ไว้หน้าใครใดๆ เลย เหลยต้วนลงไม้ลงมือกับไป๋เฉินราวกับเป็นหลานชายหรือคนใกล้ตัวโดยไม่มียั้งมือหรือเกรงใจ เช่นนั้นแล้วจะให้ผู้อาวุโสของฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายปั้นหน้าอย่างไร?
แต่การกระทำของเย่หยวนในขณะนี้ ได้ระบายความในใจของพวกเขาไปหมดสิ้น เห็นสภาพอันน่าเวทนาของเหลยต้วน พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
“อืมม…ประมาณนี้ก็น่าจะพอ เนื่องจากเขาหมดสติอยู่คงจำอะไรไม่ได้ พาเขาออกไป แล้วอย่าลืมจับห้องพักชั้นหนึ่งในแก่เขาบริเวณปีกวัง อย่าให้ผู้คนดูถูกได้ว่า พวกเราต้อนรับท่านทูตได้ไม่ดีพอ” เย่หยวนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบา ทุกคนต่างสบสายตากันไปมาและเดินตามเย่หยวนเข้าห้องโถงใหญ่ไป
หลังจากมาถึงบริเวณโถงใหญ่ ทุกคนต่างหยุดสายตามองไปยังเย่หยวนด้วยความร้อนใจคล้ายต้องการเอยกล่าวอะไรบางอย่าง แต่กลับยากยิ่งที่จะกล่าวออกไป
เย่หยวนเฝ้ารู้สึกสังเกตได้อย่างชัดแจ้ง ยามนี้เอ่ยปากแสยะยิ้มขึ้นว่า “มีอะไรอยากกล่าวกับข้าก็เชิญ ข้าหาใช่อสูรดุร้าย ไม่กัดพวกเจ้าหรอก”
พวกเขาทั้งหมดเหลียวมองหันไปจ้องไป๋เฉินกันเป็นตาเดียว ซึ่งไป่เฉิน ณ ขณะนี้ปวดเศียรกดดันอย่างที่สุด ก่อนจะประสานมือเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์เย่ แท้ที่จริงแล้ว ทุกคนต่างกังวลสงสัยเกี่ยวกับข่าวลือที่ข้าได้กล่าวเล่าไป ดังนั้นข้าจึงขอเป็นตัวแทนของทุกคนเพื่อจะถามว่า…ท่านอาจารย์เย่ใช่ผู้บุกรุกต่างดินแดนหรือไม่? เพราะอย่างไรก็มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ท่านขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แถมระดับพลังของท่านยังไม่สอดคล้องกับเซียนของดินแดนนภาบรรพตอีกด้วย ดังนั้นทางวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์จึงส่งทูตมาเพื่อนำตัวท่านไปยังศาลไท่ลู่ และทุกความจริงจะถูกเปิดเผยโดยทั่วกันภายใต้ศาลไท่ลู่!”
เมื่อคำกล่าวเหล่านี้ดังลั่นออกมา ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่เย่หยวนและเฝ้ารอคำตอบของอีกฝ่าย ในความเป็นจริงทุกคนที่อยู่ตรงนี้ลุ่นระทึกแทบอกแตกตายกันได้แล้ว! ท้ายที่สุดนี้ มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายยิ่ง หากข่าวลือเรื่องนี้เป็นความจริงมันจะแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว และวังเทวะรัตติกาลฉายอาจถูกมองว่าเป็นกลุ่มกบฏ เช่นนั้นทุกคนจริงรู้สึกวิตกกังวลเป็นธรรมดา
สีหน้าของไป๋เฉินซีดขาวหนัก เพราะความกังวลและอาการบาดเจ็บก่อนหน้า เขาเอ่ยถามออกไปตามมารยาทตามที่ควรพึงกระทำ แต่ในความเป็นจริงกลับคิดในใจไปว่า เย่หยวนอาจความแตกแล้วแน่นอน ยิ่งประโยคสุดท้ายเป็นดั่งคำเตือนให้เย่หยวนรีบหนีออกไปจากดินแดนนภาบรรพต ก่อนที่ท่านทูตจะได้สติกลับมา!
เย่หยวนมองอีกฝ่ายพร้อมรู้ทันอ่านความคิดออกโดยปริยาย แต่ก็ยังยิ้มกล่าวว่า “กล่าวอธิบายอันใดไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อท่านทูตคนนี้ต้องการจะพาตัวข้าขึ้นศาลไท่ลู่ เช่นนั้นก็ให้อีกฝ่ายลองดูว่า ข้าผู้นี้จะเป็นผู้บุกรุกต่างแดนอย่างที่ลือกันหรือไม่!”
ทันทีที่ทุกคนได้ยินประโยคนี้ พวกเขาต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่โดยพร้อมเพรียงด้วยความโล่งอก
“ด้วยคำกล่าวนี้ของผู้อาวุโสสูงสุด ราวกับท่านได้ยกหินก้อนยักษ์ออกจากอกของพวกเราไปทันที!”
“แค่ข่าวลือไร้ซึ่งแหล่งที่มา! แต่ใครจะไปคิดว่าอำนาจจากข่าวลือจะปั่นหัวผู้คนได้ขนาดนี้กัน?”
“ก็สิ่งนี้กลับช่วยไม่ได้ เพราะผู้อาวุโสสูงสุดของเราอายุยังน้อยเกินไป แต่กลับทรงพลังแกร่งกล้าเหนือชั้นกว่าระดับของพวกเราโดยสิ้นเชิง! ใครๆต่างต้องสงสัยเป็นธรรมดา!”
“เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว! ฮ่าๆๆ!”
…
หลังจากทุกคนแยกย้ายสลายตัวจากไป ภายในห้องลับ สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินกับโม่หยุนกลับไม่ค่อยดีนัก
“ท่านอาจารย์เย่ ข้าเข้าใจว่าเป็นการดีสุดที่กล่าวเช่นนี้ออกไปเพื่อปิดปากทุกคน แต่ศาลไท่ลู่แห่งนี้กลับแตกต่างออกไป! มันถูกสร้างขึ้นเพื่อจับเท็จของผู้บุกรุกต่างแดนโดยเฉพาะ!” ไป๋เฉินกล่าวกระตุ้นด้วยวาจา
เย่หยวนอดสนใจมิได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าเต๋าแห่งดินแดนนภาบรรพตจะมีสถานะศักดิ์ต่ำกว่าหุบเขาถงเทียน แต่มันก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มิอาจลอกเลียนได้เช่นกัน
“แล้วศาลเจ้าไท่ลู่ที่ว่า คือสถานที่แบบใดกัน?” เย่หยวนเอ่ยถามขึ้นพร้อมความสงสัย
ไป๋เฉินเห็นว่าอีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้นเนื่องด้วยสนใจ ดังนั้นเขาจึงรีบเอ่ยอธิบายโดยละเอียดทันที
ปรากฏว่า ภายในดินแดนนภาบรรพตมีเซียนต่างแดนเข้ามาแฝงตัวเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนต่างมีวิธรปิดบังกลิ่นอายตัวเองนานาวิธี ตราบใดที่พวกเขามิได้กระตุ้นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง ก็เป็นไปได้ยากที่ได้รับการปฏิเสธจากศาสตร์แห่งสวรรค์ของดินแดนแห่งนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับเซียนอาณาจักรพระเจ้า แต่พวกเขาเหล่านั้นก็สามารถปกปิดร้องรอยได้อย่างแนบเนียน
ศาลไท่ลู่กล่าวได้ว่าเป็นเครื่องรางสวรรค์สามดาวระดับสูงสุด ซึ่งภายในศาลแห่งนี้จะกอปรไปด้วยเต๋าแห่งดินแดนนภาบรรพตระดับหนาแน่น ตราบเท่าที่มีผู้ใดสักคนเปิดใช้ศาลไท่ลู่ และสามารถจับตัวผู้บุกรุกต่างแดนเข้าไปได้ ตัวศาลจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและเข้าโจมตีอีกฝ่ายโดยตรง!
แม้วิธีปกปิดร่องรอยของเหล่าผู้บุกรุกจะท้าทายสวรรค์เพียงใด แต่ก็มิอาจซ่อนตัวได้จากปฏิกิริยาของศาลไท่ลู่ได้เลย เพียงหยดโลหิตลงไปหนึ่งหยด ความจริงเป็นอย่างไรย่อมกระจ่างชัดทันตาเห็น
“เท่าที่ข้าทราบมา มีผู้รุกรานต่างแดนแบบท่านไม่น้อยกว่าหลายร้อยคนแล้วที่ต้องตายลง เมื่อเข้าไปในศาลไทลู่! ท่านเย่หยวน ทางที่ดีท่านควรจะรีบหนีไปโดยเร็วที่สุด!” โม่หยุนกล่าวเสริมต่อทันที
เย่หยวนกระดกลิ้นหนี่งทีเจือแววประหลาดใจมิคลายอ่อนเมื่อได้ฟัง ความสามารถของเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนแห่งนี้ช่างน่าสนใจนัก ผู้ใดสวมรอยปรับแก้ให้เหมือนอย่างไรก็มิอาจรอดพ้นสายตาได้ เหล่านักสร้างเครื่องรางของที่นี่ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก!
คล้อยหลังฟังจนจบ เย่หยวนคลี่ยิ้มบางและกล่าวว่า “ข้าเคยกล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ ต่อให้ทำอะไรข้าก็ยอม! พวกเจ้าวางใจได้เลย ข้าสามารถซ่อนตัวจากศาลไท่ลู่ได้แน่นอน และไม่มีวันยอมให้เรื่องนี้กระทบถึงพวกเจ้า!”
จากที่สังเกตเห็นท่าทางของอีกฝ่าย เย่หยวนสามารถกล่าวได้ทันทีว่า ไป๋เฉินกำลังกังวลใจเรื่องความปลอดภัยของตน แต่ถ้าหากเรื่องตัวตนของเขาถูกเปิดเผยออกมาจริงๆ แม้เหลยต้วนจะไม่สามารถทำอันตรายเย่หยวนได้ แต่คงเป็นเรื่องยากเช่นกันที่เขาจะหนีออกไป
เย่หยวนยิ้มพลางเดินเข้าไปตบไหล่ไป๋เฉินเล็กน้อย ก่อนจากลาออกไป
…
เหลยต้วนสะดุ้งตื่นขึ้นก่อนลุกขึ้นพรวดด้วยความตกใจ
“อ๊ากก! เจ็บ…เจ็บปวดเหลือเกิน!”
เส้นประสาทสีเขียวปูดโปนสั่นระริกบนหน้าผากของเหลยต้วน เหงื่อเย็นจำนวนมากชโลมชุ่มทั่วร่างในทันที คลื่นความปวดร้าวเสียดแทงยันขั้วหัวใจ แผ่กระจายออกไปทั่วทั้งร่างกายประดุจกระแสไฟ
ตุบบ!
เหลยต้วนกลิ้งร่วงลงจากเตียงพร้อมนอนขดอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส แม้แต่จะส่งเสียงร้องเรียกให้ช่วยเหลือยังไม่มีปัญญา ลูกเตะลวกๆ ของเย่หยวนคล้ายดูธรรมดาทั่วไป แต่แท้ที่จริงแล้ว ในแต่ละการเตะล้วนเล็งไปยังจุดสำคัญของร่างกายทั้งสิ้น
สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม พื้นเพแต่แรกเริ่มของเย่หยวนเป็นมาอย่างไร? เขาคุ้นเคยกับจุดฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์ยิ่งกว่าอะไร และบางทียังชำนาญการเสียยิ่งกว่าศาสตร์แห่งการต่อสู้ด้วยซ้ำ อาศัยความแกร่งกร้าวทางกายภาพระดับชั้นอาณาจักรพระเจ้า ลูกเตะเพียงไม่กี่ครั้งแต่เข้าจุดสำคัญ ย่อมสร้างความเสียหายแก่ร่างกายได้ถึงขีดสุด ถึงขั้นที่ว่าเขาได้สติขึ้นมาเพราะอาการเจ็บปวดที่มิอาจทนทานได้ไหว ทันทีที่อาการปะทุขึ้น เขาได้แต่นอนขดตัวชักกระตุกไปมา พร้อมความทรมานอยู่แบบนั้นไปครู่ใหญ่
…………………………………
ตอนที่ 1431 หยดเลือดพิสูจน์
โดย
Ink Stone_Fantasy
มิทราบว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ความเจ็บปวดยามนี้เริ่มบรรเทาลงในที่สุด แขนขาทั้งสี่ของเหลยต้วนเริ่มฟื้นตัวกลับมามีแรงขึ้นอีกครา อย่างไรก็ตามแต่เขาแทบลุกขึ้นยืนทรงตัวไม่อยู่ คล้อยหลังพยายามพยุงร่างเป็นเวลานาน ทั่วกายาของเขาดูอ่อนแรงไร้ซึ่งร่องรอยกำลังวังชาใดตั้งแต่หัวจรดเท้า
ในช่วงเวลาดังกล่าวรู้สึกดั่งยาวนาน เขาพยายามประคับประคองสติมิให้ดับวูบลง ทว่ายามนี้กลับดูหมดหนทางเต็มที หนังหน้ากระตุกทิ้งทวนอาการเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นบางจังหวะเจ็บแปลบโฉบแล่นผ่านห้วงสมองโดยตรงไม่มีหยุดพัก เหลยต้วนอยากหมดสติเป็นลมล้มทับไม่ก็ตายไปเลย แต่เขาพบว่าตนเองกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้!
ช่วงเวลาแบบนี้มันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตายหลายสิบทวีเท่า!
“บัดซบ! หากข้าพบว่า เย่หยวนมันเป็นผู้บุกรุกจริง ข้าจักไม่ไว้ชีวิตมันและให้มันตายอย่างทรมาน!” เหลยต้วนกัดฟันแน่นพร้อมเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความเกลียดชัง
ในขณะนั้นเอง สุ่มเสียงของไป๋ซิ่วพลันดังออกมาจากนอกประตู “ท่านเหลยต้วน นอนหลับพักผ่อนสบายดีหรือไม่? ท่านประมุขวังกับผู้อาวุโสสูงสุดเชิญท่านไปยังโถงใหญ่”
เอี๊ยดด…
ประตูบานกว้างถูกเปิดออกทันทีจากด้านใน ใบหน้าของเหลยต้วนบูดบึ้งไม่น่ารับแขกแม้สักนิด
พักผ่อน?
เมื่อครู่เรียกว่าพักผ่อน?
ข้าเจ็บจนแทบจะฆ่าตัวตายแล้ว แต่พวกเจ้ากลับถามว่า นอนหลับพักผ่อนสบายดีหรือไม่?! เหลยต้วนแทบจะกระโจนกัดหัวคนได้แล้วในตอนนี้! เขาอยากจะฆ่าใครสักคนจริงๆ!
“ท่านทูตเหลยต้วนเป็นอะไรไปรึ? หรือเป็นไปได้ไหมที่ท่านต้องการจะตำหนิทางเรา วังเทวะรัตติกาลฉายที่ให้การต้อนรับท่านไม่ดีเท่าที่ควร? ที่ท่านมีอาการบาดเจ็บเช่นนี้ เพราะบังเอิญเข้าไปขัดขวางผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่ผู้อาวุโสสูงสุดก็บอกเองว่า ระหว่างที่ท่านหมดสติ เขาช่วยรักษาอาการบาดเจ็บที่ตกค้างอยู่ให้แล้ว อืมม…หรือผู้อาวุโสสูงสุดมิได้รักษาให้ท่าน? ไฉนถึงดูไม่ฟื้นตัวขึ้นเลย?” ไป๋ซิ่วแสร้งทำเป็นประหลาดใจ
เหลยต้วนเดือดดาลโมโหจัดจนหัวแทบลุกเป็นไฟ ทันใดนั้นเขาพลันขมวดคิ้วขึ้นทันที
เขาเร่งตรวจสอบสภาพร่างกายภายในทันที อาการบาดเจ็บบริเวณอวัยวะต่างๆก็หายดีแล้ว เส้นลมปราณภายในร่างเองก็ไม่มีปัญหาอะไร ยังใช้ได้ดังเดิม! เมื่อค้นพบเช่นนี้ เขาพลันประหลาดใจเล็กน้อย หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เย่หยวนรักษาให้เขาจริงๆ?
เมื่อนึกถึงแรงกระแทกที่เขาเข้าไปขัดขวางในระหว่างเย่หยวนเก็บตัวบ่มเพาะพลัง เขาก็พลางคิดว่า อาการบาดเจ็บน่าจะมีให้เห็นมากมายทั่วร่างอย่างชัดเจน แต่อาการบาดเจ็บเหล่านั้นกลับหายสนิทแล้ว เห็นได้ชัดว่า เขาได้รับการรักษาแล้ว เพียงว่าการรักษานี่…มันไม่เจ็บปวดเกินไปหน่อยรึ?
“อืม! อาการบาดเจ็บภายในถูกรักษาแล้ว!” เหลยต้วนกล่าวตอกเสียงเย็นใส่
เขาผู้นี้มีฐานะเป็นถึงทูตแห่งวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับผู้คนระดับล่างเท่าไหร่นักเนื่องจากอีกฝ่ายรักษาตนแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงห้ามเปิดเผยอาการบาดเจ็บตอนนี้ให้เห็นเด็ดขาด
ภายในใจไป๋ซิ่วราวกับมีดอกไม้ผลิบานมานานแล้ว หากมิได้อยู่ต่อหน้าเหลยต้วน ปานนนี้เขาคงขำกลิ้งไปนอนเล่นกับพื้นแล้ว ไป๋ซิ่วคนนี้มิได้ขี้เกรงใจแบบไป๋เฉิน เขาดำรงตำแหน่งนี้มาเนิ่นนานประสบการณ์ย่อมเจนจัด ดังนั้นความเฉียบคมของความคิดยอมงำประกายเกินจินตนาการ เขาไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดให้มีนัยยะสงสัยบนใบหน้าเลยแม้สักนิด
ก่อนหน้า เย่หยวนตรงมาบอกว่าชวนไปดูของดี นั้นก็คือภาพฉากตอนที่เหลยต้วนนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นก่อนหน้า ซึ่งทุกอากัปกิริยา ไป๋ซิ่วเห็นชัดเจนหมดทุกอย่างจากนอกหน้าต่าง ไป๋ซิ่วมีหรือจะไม่ทราบ? ทั้งหมดเป็นกลอุบายที่เย่หยวนวางเอาไว้อย่างลับๆ น่าจะทำอะไรสักอย่างกับอีกฝ่ายในตอนรักษาไม่ก็ตอนเตะ
เดิมทีเขายังวิตกกังวลอยู่เลยว่า หลังจากที่เหลยต้วนฟื้นคืนสติขึ้นมา เขาอาจอาละวาดหนักยกใหญ่ แต่เมื่อฟังคำกล่าวของเย่หยวน กับพบเจอภาพฉากเหล่านี้ด้วยตนเอง สีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นอย่างมาก เพียงแค่นี้เขาก็แทบจะก้มกราบผู้อาวุโสสูงสุดอย่างเย่หยวนแล้ว ที่คิดกลอุบายทำให้อีกฝ่ายสงบลงได้เช่นนี้ จักต้องเจ็บปวดร้ายแรงเพียงใด ถึงทำให้เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าสิ้นฤทธิ์ได้แบบนี้?
ฮ่าๆ!
ไม่เพียงจะไม่อาละวาด แต่อีกฝ่ายยังดูสำรวมสงบนิ่งลงเยอะ! วิธีการนำใช้เช่นนี้ คงมีแต่ผู้อาวุโสสูงสุดเย่หยวนเท่านั้นที่จะทำได้จริงหรือไม่?
…
เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ เย่หยวนก็กล่าวทักทายทันทีด้วยรอยยิ้ม พร้อมประสานมือกล่าวว่า “ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวังเทวะรัตติกาลฉาย เย่หยวน ขอทำความเคราพท่านทูต! เนื่องด้วยก่อนหน้า เย่คนนี้ปลีกวิเวกเก็บตัวจนส่งผลให้ท่านทูตรอเสียนาน ข้าต้องขออภัยท่านเป็นอย่างสูง! โปรดลงโทษเย่คนนี้ให้จำเป้นบทเรียนด้วยเถิด!”
ทีท่าการแสดงออกของเย่หยวนดูเนียนตาค่อนข้างจริงใจนัก หลังสิ้นเสียงคล้ายว่ากำลังจะโน้มศีรษะลงพร้อมก้มกราบ
เหลยต้วนเร่งประคองแขนอีกฝ่ายและคำรามเสียงเย็นว่า “ไม่ต้อง!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มกล่าวอย่างสุขใจว่า “ท่านทูตมีจิตใจเมตตาสูงส่ง จิตใจกว้างขวางนัก โอ้ใช่แล้ว! เย่คนนี้ลืมไปสนิท เนื่องจากวรยุทธบ่มเพาะพลังของข้าค่อนข้างผิดประหลาด เมื่อใดที่เข้ามาใกล้พลังงานรอบตัวจะมีปฏิกิริยาทันที ส่งผลให้ท่านได้รับบาดเจ็บโดยไม่ทันตั้งตัว เย่คนนี้สมควรได้รับโทษ ต่อให้ตายนับหมื่นแสนครั้งก็ยังไม่พอชดใช้! โชคยังดีที่เย่คนนี้ยังพอมีศาสตร์การแพทย์ติดตัวอยู่บ้าง จึงบรรเทารักษาอาการบาดเจ็บของท่านได้ สงสัยเสียว่า ตอนนี้ท่านยังมีอาการแทรกซ้อนใดๆ อยู่หรือไม่?”
กล้ามเนื้อตาของเหลยต้วนกระตุกเล็กน้อย อาการแทรกซ้อน? เจ็บเจียนตายขนาดนี้ยังกล้าวเรียกตัวเองว่าอาการแทรกซ้อน?! อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาก็ยังน่าประทับใจ! มิฉะนั้นหลังกลับไปรายงานผลกับทางวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังได้ของแถมเป็นอาการบาดเจ็บ ใครรู้คงหัวเราะเยาะกันลั่นเป็นแน่
“อืม! ไม่มีแล้ว!” เหลยต้วนยังคงกล่าวตอบเสียงเย็น
เย่หยวนคลี่ยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย! หากทราบก่อนหน้าว่า ท่านทูตอุตสาห์สละเวลาลงมาหาเย่คนนี้ ข้าคงไม่กล้าปลีกวิเวกเข้าเห็บตัวก่อนเป็นแน่ แต่จะว่าไปข่าวลือที่ว่าเย่คนนี้เป็นผู้รุกรานต่างแดน ผู้ปล่อยข่าวกลับไร้ต้นสายปลายเหตุยิ่งนัก จนต้องรบกวนเวลาของท่านเช่นนี้! น่ารังเกียจยิ่งนัก!”
เมื่อเห็นเย่หยวนทำตัวสบายๆ เช่นนี้ เหลยต้วนเองพลอยนึกถึงเหตุที่มาได้ในทันที แม้ข่าวลือนี้จะไม่ทราบว่าฝ่ายใดปล่อยออกมา แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตัวการที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ควรจะเป็นพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรย แต่ตราบใดที่ยังมิได้พิสูจน์ให้กระจ่างชัด วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่มีทางปล่อยผ่านไปได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น จู่ๆ ยอดฝีมือเยาว์วัยคนนี้ก็โผล่ขึ้นมาจากไหนไม่ทราบ ดังนั้นจะมิให้พวกเขาไม่ระวังได้อย่างไร?
“ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือหรือไม่ก็ตาม เราจะได้รู้กันหลังทดสอบ!” เหลยต้วนยังคงเอ่ยตอบอย่างไม่แยแสอันใด คล้อยหลังกล่าวจบ เหลยต้วนเริมร่ายสร้างตราประทับขึ้นทันที ศาลขนาดเล็กเท่ากล่องปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา เย่หยวนอยู่ใกล้ระยะประชิดกับเหลยต้วน หากศาลไท่ลู่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ปานนี้คงต้องปลดปล่อยการโจมตีออกไปนานแล้ว แต่ศาลไท่ลู่ตอนนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆเลย!
เมื่อพบเห็นภาพฉากนี้ ทุกคนในวังเทวะรัตติกาลฉายต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก “อย่างที่ข้ากล่าวไป ผู้อาวุโสสูงสุดจะไปเป็นผู้บุกรุกอะไรนั้นได้อย่างไร?”
“มันต้องเป็นฝีมือของพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยแน่นอน! หลังจากพ่ายกลับไปอย่างน่าสังเวช พวกมันคงเก็บงำความเกลียดชังจนล้นปรี่ และใช้แผนสกปรก จงใจสร้งาข่าวลือขึ้นมา!”
“บัดซบ! ไอ้พวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยนั้นน่าตายยิ่งนัก!”
…
บรรดาเหล่าเซียนของวังเทวะรัตติกาลฉายต่างชี้หัวหอกไปที่วังเทวะพิรุณร่วงโรยไปเป็นทางเดียว โดยใช้ความคิดเห็นส่วนตัวของพวกเขาเอง แต่ท้ายที่สุดนี้ สวนสำคัญที่สุดยังคงเป็นการหยดเลือดเพื่อตรวจ!
แน่นอนว่าเมื่อเห็นดังนั้น เหลยต้วนยังคงกล่าวน้ำเสียงเย็นว่า “รัศมีพื้นผิวภายนอกสามารถปลอมกันได้ แต่เต๋าเฉพาะตัวที่อยู่ในเลือดกลับไม่สามารถปลอมกันได้! ผู้อาวุโสสูงสุดเย่…เชิญ!”
ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ร่างกายของเหล่านักสู้จะซึมซับพลังฟ้าดินของดินแดนนั้นๆมาด้วยโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นภายในเลือดของผู้คนจะกอปรไปด้วยกลิ่นอายของเต๋าแห่งดินแดนนั้นๆ ด้วยวิธีนี้จึงเป็นการยืนยันที่มีประสิทธิภาพที่สุด! เมื่อโม่หยุนกับไป๋เฉินได้ฟังดังนั้น หัวใจของทั้งคู่ก็แทบกระโจนออกจากลำคอ ส่วนที่เหลือล้วยหยุดปากอุทานเงียบกริบ พร้อมเฝ้ามองเย่หยวนจนเป็นตาเดียว เหล่าผู้บุกรุกต่างแดนล้วนสิ้นท่าในด่านการทดสอบนี้ทั้งนั้น!
เย่หยวนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและไม่มีลังเลเช่นกัน ประกายคมดาบเย็นโฉบเฉียว ปลายนิ้วของเย่หยวนปรากฏรอยแผลเล็กๆ ขึ้นมา
ติ๊ง!
เย่หยวนหยดเลือดลงในศาลไท่ลู่ทันที
ทุกคนในยามนี้ต่างลุ้นระทึกแทบหยุดหายใจ!…
…………………………………
ตอนที่ 1432 ในฐานะพี่น้อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฟุบ!
ทันทีทันใดศาลไท่ลู่พลันระเบิดแสงสีทองแพรวพราวระยิบระยับ จนทุกคนไม่สามารถลืมตาขึ้นมองได้ สีหน้าการแสดงออกของเหลยต้วนเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน สีหน้าเย็นชาเผยการผันแปรในที่สุด
“นี่…นี่มัน…”
นอกจากนี้จะเป็นครั้งแรกที่เหล่าเซียนของวังเทวะรัตติกาลฉายจะได้เห็นศาลไท่ลู่เป็นครั้งแรก พวกเขายังมิทราบเลยว่าแสงสีทองนี้หมายความว่าอย่างไร?
ไป๋เฉินอดใจเอ่ยปากถามมิได้ว่า “ท่านทูต แสงสีทองแบบนี้สื่อถึงอะไรกัน? ผู้อาวุโสสูงสุดเป็น…เป็นผู้บุกรุกหรือไม่?”
สีหน้าการแสดงออกของเหลยต้วนแปรเปลี่ยนในทันที พร้อมคำรามใส่ด้วยความหงุดหงิดว่า “บุกรุกบ้าบออันใด! คนที่แพร่ข่าวลือไร้สาระนี้จักต้องตายอย่างน่าสยดสยอง!”
ทุกคนต่างตกตะลึงยิ่งเมื่อได้ฟัง คล้อยหลังค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจในทันที จากวาจาของเหลยต้วนกล่าวเช่นนั้น เรื่องเย่หยวนเป็นผู้บุกรุกต่างแดนจึงถูกปัดตกทันทีอย่างไร้ข้อกังขาใดอื่น!
ไป๋เฉินตื่นตะลึงกว่าใครอื่น เวลานี้เขาไม่จำเป็นต้องช่วยอะไรเลยด้วยซ้ำ ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เขาประหลาดใจโดยแท้! มีเพียงเขากับโม่หยุนเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่า ท่านอาจารย์เย่หยวนคนนี้เป็นผู้บุกรุกตัวจริงเสียงจริง!
แต่เขาใช้วิธีใดกันถึงสามารถหลบซ่อนการตรวจจับของศาลไท่ลู่ได้? สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ เหล่าผู้บุกรุกจากต่างแดน ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดก็ไม่สามารถเลี่ยงหลบการตรวจสอบของศาลไท่ลู่ได้
แต่ปรากฏว่าเย่หยวนกลับทำได้จริงๆ! ความสามารถของเขามันเกินจินตนาการไปแล้ว!
เพื่อที่จะลอกเลียนกลิ่นอายให้กลมกลืนกับภายนอกก็นับว่ายากแล้ว หรือนี่ถึงขั้นปลอมแปลงได้ยังสายเลือด?!แต่สายเลือดในร่างกายของนักสู้จะเปลี่ยนกันได้อย่างไร?
พวกเขาไม่ทราบโดยธรรมชาติว่า เย่หยวนมิได้ใช้วรยุทธลับจิตศักดิ์สิทธิ์อันใดเลยเพื่อปกปิดกลิ่นอายของเขา แต่ได้จำลองกลิ่นอายใหม่ให้เหมือนกับเต๋าของดินแดนนภาบรรพตด้วยหุบเขาถงเทียนจำลอง การเลียนแบบเช่นนี้มิได้ปกคลุมแค่บริเวณพื้นผิวภายนอก แต่มันถึงขั้นหลอมรวมเข้าไปในกายเนื้อทุกอณู รวมไปถึงเลือดด้วย! ลืมเรืองศาลไท่ลู่ไปได้เลย ต่อให้ผู้สร้างดินแดนนภาบรรพตตัวจริงมาให้แยะแยกก็ยังหมดปัญญา!
ไป๋เฉินค้นพบแล้วว่า ท่านอาจารย์ของเขาคนนี้ดูจะเก่งกาจหมดทุกเรื่อง! ไม่มีอะไรที่สามารถทำอะไรเขาได้!
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าตัวตนของเย่คนนี้คงไม่มีอะไรน่าสงสัยแล้วกระมัง?”
ณ ปัจจุบันเหลยต้วนคลี่ยิ้มกว้างและประสานมือกล่าวกับเย่หยวนว่า “ผู้อาวุโสเย่ ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจผิดไปเอง! แต่เหลยต้วนคนนี้จำต้องทำกตามคำสั่งของเบื้องบน เช่นไรก็อย่าได้ถือโทษเอาความ! ทางวังเทวะรัตติกาลฉายโปรดให้อภัย!”
ทันทีที่วาจาคำกล่าวเหล่านี้ดังออกมา กลุ่มคนของวังเทวะรัตติกาลฉายแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เหลยต้วนผู้หยิ่งยโสคนนี้กลับพูดจาสุภาพขนาดนี้กับเย่หยวน?
นี่…นี่มันเรื่องบ้าอันใด!
ดูเหมือนว่าปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลายลงเมื่อแสงสีทองสองประกาย ไม่สิ…ที่อีกฝ่ายพลิกสีหน้ากลับมาสุภาพขนาดนี้ได้เป็นเพราะแสงสีทองต่างหาก! เพียงแค่ว่า ไม่มีใครทราบเลยว่าแท้จริงแล้ว แสงสีทองนั้นสื่อถึงอะไรกันแน่
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “ท่านทูตใจดีเกินไป ท่านเป็นถึงตัวแทนของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ การที่ท่านเดินทางมาเยี่ยมเยือนที่แห่งนี้นับเป็นเกียรติของวังเทวะรัตติกาลฉายเสียมากกว่า!”
ทันใดนั้นเหลยต้วนเร่งกล่าวปัดทันทีด้วยความเกรงใจว่า “มิกล้า! มิกล้า! อย่าได้เราชายชราว่าท่านอีกเลย ข้าอาวุโสกว่าไม่กี่ปี เรียกว่าพี่ใหญ่เหลยต้วนก็ไม่ผิด!” เหลยต้วนกล่าวขึ้นพลางหัวเราะตอบ
เย่หยวนประสาทกล่าวตอบเป็นพิธีว่า “เช่นนั้น เกรงใจพี่ใหญ่เหลยต้วนแล้ว!”
ทั้งสองรวนสนทนาฮาเฮกันดั่งสหายใกล้ชิด ร่องรอยความเป็นศัตรูกันกลับอันตรธานสิ้น
“เอาล่ะ เรื่องนี้ได้ข้อยุติแล้ว ข้าจำต้องกลับไปรายงานกันทางเบื้องบนต่อไป!” เหลยต้วนประสบมือกล่าว
“เช่นนั้นพี่ใหญ่เหลยต้วนเดินทางกลับอย่างสวัสดิภาพ!” เย่หยวนประสานมือลา
เหลยต้วนกล่าวอำลาทุกคน ขณะหมุนตัวจากไป เขากล่าวพึมพำขึ้นว่า “เด็กหนุ่มคนนี้สามารถกระตุ้นแสนสีทองจากศาลไท่ลู่ได้จริงๆ แสดงว่าเขามีความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งสวรรค์ของดินแดนนภาบรรพอย่างถ่องแท้สมบูรณ์ ไม่น่าแปลกใจที่เขาทรงพลังมากตั้งแต่อายุยังน้อย! อนาคตของเด็กคนนี้จักต้องไร้ขีดจำกัด! การสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับเขาตั้งแต่เนิ่นๆ นับเป็นประโยชน์ยิ่งต่อตัวข้าในอนาคต!” เมื่อกล่าวจบ ร่างกระตุกวูบอันตรธานจากไปทันที
ภายในวังเทวะรัตติกาลฉาย ท้ายที่สุดทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“แสงสีทองนั้นน่าทึ่งโดยแท้! พวกเจ้าเห็นการแสดงออกของเหลยต้วนหรือไม่? เปลี่ยนจากหน้าตีนเป็นหลังมือ!”
“หุหุ ผู้อาวุโสสูงสุดสนทนากับท่านทูตในฐานะพี่น้อง ข้าอยากจะเห็นเสียจริงว่า วังเทวะพิรุณร่วงโรยยังกล้าหยิ่งผยองต่อหน้าเราอีกหรือไม่!”
“วังเทวะพิรุณร่วงโรยนั้นก็แค่กองขยะเน่าเสียกองหนึ่ง! ใช้วิธีน่ารังเกียจเช่นนี้เพื่อรังแกพวกเรา พอเอาชนะไม่ได้ก็เล่นสกปรกกัน!”
“สักวันข้าจักกำจัดยันโคตรพ่อของพวกมัน!”
…
ขณะที่ทุกคนก่นด่าสาปแชงกัน เย่หยวนยังคงยืนพินิจไตร่ตรองอย่างเงียบงัน
‘เป็นฝีมือของวังเทวะพิรุณร่วงโรยจริงๆรึ? ข้าว่าไม่ใช่!’ เย่หยวนคิดในใจ
…
“เจ้าบอกว่า ทูตของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์เดินทางเข้าเยี่ยมวังเทวะรัตติกาลฉายและจากไปเฉยๆงั้นรึ?”
เมื่อฉินเทียนได้ยินเช่นนั้น เขาก็แทบสะดุ้งโหย่ง
“ถูกต้องแล้วท่านประมุข! มีใครบางคนเห็นว่าเย่หยวนสนทนาพูดคุยกับท่านทูตคนนั้นอย่างสนิทสนมในฐานะพี่น้อง ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ค่อนข้างดี” ผู้ใต้บัญชาคนนั้นเอ่ยกล่าวขึ้น
ฉินเทียนเสียดแทงจุกอกโดยพลัน กลิ่นคาวหวานอบอวลขึ้นลำคอแทนกระอักพ่นโลหิตออกมา เขากลั้นระงับกลิ่นคาวเลือดในปากและกล่าวน้ำเสียงเย็นชืดว่า “เอาล่ะ คอยจับตาดูต่อไป! ออกไปได้!”
“รับทราบท่านประมุข!”
คล้อยหลังผู้ใต้บัญชาคนนั้นจากไป มวลโลหิตที่จุกอกพลันกระอักพ่นออกมาเต็มปากเต็มคำ ฉินเทียนไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป
“นี่เป็นไปไม่ได้! ศาลไท่ลู่ทรงพลังน่าเกรงขามยิ่งยวด แล้วเย่หยวนสามารถซ่อนตัวจนจากสิ่งนั้นได้อย่างไร? หรือเป็นไปได้ไหมว่า พื้นเพของไอ้เจ้าเย่หยวนเป็นคนของดินแดนนภาบรรพตอยู่แล้ว? ไม่…ไม่มีทาง! ต้องมีความลับอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายของมัน?” ฉินเทียนรู้สึกหดหู่ใจนักยามพินิจนึกถึง
ประสบความล้มเหลวกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วในการจัดการเย่หยวน แถมความพิโรธโทสะในยามนี้ยังทำให้อาการบาดเจ็บของเขาทรุดหนักลงเข้าไปใหญ่
“ดูท่าข้าจำต้องออกโรงเองเสียแล้ว แต่ทุกอย่างจักต้องรอข้าหายดีเสียก่อน!”
…
ภายในศิลาจารึกบัลลังก์สวรรค์ เย่หยวนค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น รัศมีกลิ่นอายในตอนนี้ของเขาแกร่งกล้ายิ่งกว่ามาก หากเปรียบเทียบกับแต่ก่อน
“ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า หลังจากกลืนโอสถกองเท่าภูเขาไป ข้าจะเลื่อนระดับขึ้นเป็นแค่เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้นเท่านั้น บัญญัติเทพแห่งถงเทียนบริโภคทรัพยากรมหาศาลเกินไป!” เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าพาอารมณ์แสนหลายหลาก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บัญญัติเทพแห่งถงเทียนจะเป็นวรยุทธบ่มเพาะพลังที่ทรงพลังระดับแนวหน้าของผืนพิภพทั้งมวล แต่ด้วยปริมาณทรัพยากรที่ใช้ผลาญไปก็ทำเอาเย่หยวนหนักใจอย่างมากเช่นกัน
ก่อนหน้าที่เขาจะออกเดินทางมา เขาใช้แต้มกับผลึกปราณเทวะจำนวนมากเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กองใหญ่ ทว่าในความเป็นจริงมันกลับช่วยสนับสนุนเย่หยวนสำเร็จแค่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้นเท่านั้น หากเป็นคนอื่น พวกเขาที่ได้รับโอสถไปจำนวนมหาศาลปานนี้ อย่างน้อยก็ควรทะลวงขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นต้นแล้วด้วยซ้ำไป
“วรยุทธ์บ่มเพาะพลังของเจ้ามันผิดประหลาดอย่างแท้จริง แน่นอนว่าทรัพยากรที่ใช้ไปก็เป็นจำนวนมหาศาลยิ่งเช่นกัน แต่ทั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับความทรงพลัง ยามนี้เจ้าเลื่อระดับได้เต็มขั้น เจ้าจะเหนือชั้นไร้เทียมทานกว่าใครอื่น ตอนนี้เจ้าเองก็หลอมสร้งาวรยุทธบ่มเพาะพลังในบทที่สองเสร็จสิ้นแล้ว เหลือแค่เวลาเท่านั้นที่จะเป็นตัวกำหนดว่า เจ้าจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจาเมื่อใด!” หวูเฉินกล่าว
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “เป็นวรยุทธบ่มเพาะพลังที่น่ากลัวโดยแท้! วิธีบ่มเพาะพลังที่แสนวิปลาสเช่นนี้ ข้าไม่รู้จริงๆว่า หากท่านจอมเทพนิรันดร์มาเห็นเข้าจะคิดอย่างไร! วรยุทธชนิดนี้อันตรายต่อคนทั่วไปเป็นที่สุด และผู้คนภายนอกกลับหาใช่ศัตรู แต่กลับเป็นตัวมันเอง!
ในเวลานี้คล้ายมียันต์สื่อสารบางชนิดเชื่อมต่อเข้าสู่ห้องเก็บตัวของเย่หยวน เย่หยวนเข้าตรวจสอบยันต์แผ่นนั้นเล็กน้อย ก่อนเชิดมุมปากแสยะยิ้มขึ้น ในที่สุดซากอักขระเทวะก็กำลังจะเปิดขึ้นในไม่ช้า!
…………………………………
ตอนที่ 1433 ศัตรูแกร่งกล้ารอบด้าน!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ในที่สุด ข้าก็ฟื้นตัวแล้ว! เย่หยวน! คราวนี้ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่า แกจะหนีไปไหนได้!”
ภายในห้องลับแห่งวังเทวะสัมปรายภพ ฉินเทียนลืมตาตื่นขึ้นพร้อมประกายแสงส่องสว่างเปล่งประกายออกมาเขาเฝ้าเก็บตัวอย่างเงียบงันมาเป็นเวลาสิบปีเต็ม! ในที่สุด วันนี้เขาก็รักษาอาการบาดเจ็บจนหายสนิทแล้ว ความอาฆาตแค้นทั้งหมดจะต้องถูกตัดสินภายในครั้งนี้!
“อู๋เหอ!”
“ผู้ใต้บัญชาน่อมรับสั่ง!”
“วังเทวะรัตติกาลฉายออกเดินทางแล้วรึยัง?”
“ยามนี้ได้ออกเดินทางไปยังซากอักขระเทวะแล้ว! ท่านประมุข เราควรออกเดินทางตอนนี้เลยดีหรือไม่?”
“ออกเดินทางได้! ครั้งนี้ไม่มีรั้งรอน!”
“รับทราบท่านประมุขวัง!”
หลังจากนั้นอู๋เหอก็จากไปทันที รอยยิ้มแสยะเย็นเหยียดขึ้นบนมุมปากของฉินเทียนในทันใด
“เอาล่ะ ข้ามาแล้ว และข้าจะไม่กลับไปมือเปล่าแน่นอน!”
…
เบื้องหน้าของเขาเป็นซากปรักหักขนาดใหญ่ แต่คลื่นแรงกดดันและกลิ่นอายของที่แห่งนี้ที่ไหลบ่าออกมาจากภายใน ทำเอาเย่หยวนใจสั่นอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน ซากอักขระเทวะแห่งนี้ดูเหมือนจะมีอยู่ตั้งแต่สมับบรรพกาล ทั้งยังเร้นแฝงภัยอันตราย แต่นั่นก็เก็บไปด้วยโอกาสมากมาย เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายอย่างแท้จริง แม้แต่เซียนอาณาจักรบรรพกาลพระเจ้ายังมิอาจประมาทได้ ทางเข้าของซากอักขระเทวะเป็นปล่องภูเขาไฟ โดยรอบประดับประดอยไปด้วยโครงกระดูกสีขาวบริสุทธิ์ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เสมือนต้องการประกาศว่าผู้ใดเหยียบย่างจักต้องตายอยู่ที่นี่
อุณหภูมิโดยรอบสูงจนน่าสะพรึงกลัว แม้แต่เขาที่เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้นก็ยังไม่สามารถทนได้ไหว เมื่อเข้าไปภายในนั้น อุณหภูมิคงสูงจนมิอาจประเมินได้เลย
“นี่คงเป็นครั้งแรกที่ท่านอาวุโสสูงสุดเดินทางมาซากอักขระเทวะใช่หรือไม่?” เมื่อไป๋ซิ่วเห็นสีหน้าการแสดงออกของเย่หยวน เขาก็พอจะเดาได้
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “ที่ผ่านมา ข้าปลีกวิเวกฝึกปรืออย่างขมขื่นคนเดียวมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มายังซากอักขระเทวะจริงๆ”
ไป๋ซิ่วยิ้มกล่าวว่า “ความน่ากลัวของซากอักขระเทวะคือเปลวไฟจากธรรมชาติ มันสามารถเผาผลาญสรรพสิ่งให้มอดไหม้ได้ในพริบตา แม้แต่ยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าเองก็ไม่สามารถเดินทางเข้าไปโดยตรงได้ ทางเราทำอะไรไม่ได้นอกจากอยู่เฉยๆ และรอให้วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ใช้เครื่องรางศักดิ์วสิทธิ์เพื่อผนึกเปลวไฟเหล่านั้นไว้ จากนั้นพวกเราถึงจะเดินทางเข้าไปข้างในได้”
เย่หยวนพยักหน้าตอบและกล่าวว่า “เช่นนี้นี่เอง!”
ในเวลานี้เองเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้ากลุ่มใหญ่ก็เหาะเหินทะยานปรากฏขึ้นจากขอบฟ้า พวกนั้นคือฮั่วเทียนหยางและเหล่ายอดฝีมือของวังเทวะพิรุณร่วงโรยอย่างแม่นยำ บรรยากาศภายในกลุ่มของวังเทวะรัตติกาลฉายแปรเปลี่ยนไปในทันที โดยเฉพาะไป๋เฉินที่แทบจจะพ่นไฟออกมาจากดวงตาคู่นั้น เขาเกลียดตัวเองที่ยังคงอ่อนแอเกินไป มิฉะนั้นเขาคงปราดพุ่งสัประยุทธ์กับฮั่วเทียนหยางให้รู้ดำรูแดงไปแล้ว
ในขณะที่วังเทวะพิรุณร่วงโรยตรงดิ่งลงมา ขั้วอำนาจทั้งสองกลุ่มพลันหยั่งเชิงโจมตีด้วยวาจาสาดใส่ทันที
“เจ้าหลานชายอย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น อีกสักครู่หนึ่งต่อจากนี้ หลังจจากเข้าไปคงไม่ดีเป็นแน่ ระวังประมุขวังผู้นี้จจับเจ้าโยนลงทะเลเพลิงโดยมิโดยมิตั้งใจ” ฮั่วเทียนหยางกล่าววาจาสีหน้าเย้ยหยันใส่อีกฝ่าย
เย่หยวนหรี่ตาแคบลงเล็กน้อย และเอ่ยปากน้ำเสียงเย็นสวนตอบไปว่า “แล้วจะให้มองแบบเจ้าหรืออย่างไร?”
สีหน้าการแสดงออกของฮั่วเทียนหยางทื่อแข็งในบัดดล ก่อนหยุดสายตาลงบนเย่หยวนเจือประกายครั่นคร้ามหากมิใช้เพราะชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาคงโค่นล้มวังเทวะรัตติกาลฉายลงได้นานแล้ว!
“เหอะ! ไอ้เด็กเหลือขออย่าคิดอวดดีให้มากนัก! คล้อยหลังรอดตายออกจากซากอักขระเทวะได้ค่อยเปิดปากอวดเก่ง!” ฮั่วเทียนหยางสวนวาจาตอบพร้อมแสยะยิ้มใส่
เมื่อกล่าวจบ ฮั่นเทียนหยางก็นำเหล่าผู้คนของวังเทวะพิรุณร่วงโรยไปรอ ณ มุมด้านหนึ่ง
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไปคล้ายดูมืดมนลงหลายส่วน ฮั่วเทียนหยางคนนี้…มีจักต้องมีนัยยะเร้นแฝงในวาจาเหล่านั้นแน่นอน!
ท่าทีของไป๋ซิ่วดูไม่ค่อยจจะดีเช่นกัน เขาตรงเข้ามาใกล้เย่หยวนและกระซิบเบาๆ ว่า “ผู้อาวุโสสูงสุด ดูท่าฮั่นเทียนหยางคนนี้จะมีแผนอะไรอยู่ในใจ!”
เย่หยวนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “พินิจจากรูปลักษณ์ คล้ายว่าเจากำลังพึ่งพาอะไรบางอย่าง! เจ้าออกไปเตือนทุกคนโดยไว หลังจากเข้าสู่ซากอักขระเทวะ จงระวังตัวให้มากขึ้น!”
ไป๋ซิ่วพยักหน้าและกล่าวว่า “รับทราบ!”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง ก็มีอีกกลุ่มคนสองถึงสามกลุ่มติดตามเข้ามา บริเวณทางเข้าเริ่มมีผู้คนเดินทางรวมพลเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ แต่หลายกลุ่มคนเหล่านั้นดูจะให้ความสนใจกับทางฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายเป็นพิเศษ
“ข้าไม่คิดมาเกินเลยว่า วังเทวะรัตติกาลฉายจะปล่อยให้เด็กน้อยนั้นขึ้นกลายเป็นประมุขวังจริงๆ เจ้าไป๋ซิ่วมันคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“ฮ่าฮ่า นี่คงเป็นภาพฉากที่น่าขันที่สุดแล้วกระมัง? เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเป็นผูนำกลุ่มเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า! ตลกสิ้นดี!”
“แต่ข้าได้ยินมาว่า ผู้อาวุโสสูงสุดนามว่าเย่หยวนเป็นคนที่น่าเกรงขามยิ่งนัก ไม่เพียงจะทรงพลัง แต่เขายังมีภูตเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าสุดแกร่งอยู่ข้างกาย ฟังว่าสัประยุทธ์กับฮั่วเทียนหยางได้อย่างสูสียิ่ง!”
…
บทสนทนาเหล่านี้ทำให้ไป๋เฉินที่ยืนอยู่ข้างๆเย่หยวนดูกระสับกระส่ายไม่สบายใจนัก เขารู้ว่าหลังจากที่ท่านอาจารย์เย่ได้รับศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ไป เขาจจะออกเดินทางไปจากดินแดนนภาบรรพตทันที แล้วในตอนนั้นเขาจะต่อกรกับศัตรูอันทรงพลังได้อย่าง?
“ทุกคนบนผืนพิภพดูถูกเจ้าได้ แต่เจ้าห้ามดูถูกตัวเอง! พวกเขาเป็นใคร มีอิทธิพลต่อชีวิตเจ้าขนาดนั้นเชียว? ในเมื่อพวกมันดูถูกเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ทำให้พวกมันเห็นว่าคิดผิด!” เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงเย็น
แววตาของไป๋เฉินผันแปรแลดูมุ่งมั่นขึ้นหลายส่วน ปรับอารมณ์สงบลงทันที เขาพยักหน้าและกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์!”
ในเวลานั้นก็มีหลายร่างเหาะทะยานมาไกลจากขอบฟ้าอีกครั้ง คนที่อยู่ตรงกลางขี่เสือติดปีกบินเหินด้วยความเร็วสูง รัศมีกลิ่นอายของเขาผู้นี้ทรงพลังแกร่งกล้าอย่างหาที่เปรียบไม่ ทั้งๆที่ยังมาไม่ถึง แต่ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอย่างชัดเจน จนสีหน้าทุกคนแปรเปลี่ยน ยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า!
สีหน้าเย่หยวนเปลี่ยนไปแลดุร้ายขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับจ้องไปยังชายชราที่ขี่อยู่บนหลังเสือตัวนั้น บุคคลนี้น่าจะเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ในไม่ช้า สายตาของเขาก็หยุดลงที่ชายอีกคนที่อยู่ด้านหลังเขา ซึ่งเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเหลยต้วน?
แต่จู่ๆเย่หยวนก็พึ่งสังเกตเห็นว่า สีหน้าการแสดงออกของทุกคนยามนี้แลดูเปลี่ยนไป บรรยากาศของกลุ่มวังเทวะรัตติกาลฉายดูมืดมนลงในทันใด
เย่หยวนหันเข้ากับจ้องไป๋ซิ่วอย่างว่างเปล่าและเอ่ยถามขึ้นว่า “มีอะไรผิดปกติงั้นรึ?”
สีหน้าของไป๋ซิ่วยิ่งดูน่าเกลียดถึงขีดสุด ขณะเอ่ยกล่าวขึ้นว่า “ไม่น่าแปลกใจเลย ไฉนฮั่นเทียนหยางถึงดูมั่นใจอวดดีขนาดนี้! ปรากฏว่ามันรู้เรื่องนี้มานานแล้ว! ผู้อาวุโสระดับสูงคนนี้เป็น อดีตประมุขวังเทวะพิรุณร่วงโรยนามว่า ต้วนเฟย!”
เย่หยวนถอดสีหน้าทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่จริงๆ! เขาทราบดีว่า ภายในดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้ ตราบใดที่คนๆหนึ่งสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้ คนเหล่านั้นจะถูกเรียกตัวไปโดยวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ เพื่อรับตำแหน่งผู้อาวุโสระดับสูงแห่งวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์!
หลังจากขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสระดับสูงแล้ว พวกเขาจำต้องตัดสายสัมพันธ์ทั้งหมดกับวังเทวะดั่งเดิมที่เคยอาศัยอยู่ และรับใช้วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ด้วยความซื่อสัตย์ อย่างไรก็ตามแต่ แม้เขาจะกลายมาเป็นผู้อาวุโสระดับสูง แต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจและความรู้สึกอยู่ดี สาเหตุที่ฮั่นเทียนหยางดูมั่นหน้ามั่นใจขนาดนั้นเป็นเพราะ เขาทราบมานานแล้วว่า ผู้อาวุโสระดับสูงที่มาในครั้งนี้คือต้วนเฟย!
สิ่งนี้บ่งชี้ได้ว่า ต้วนเฟยได้แจ้งข่าวให้แก่ฮั่นเทียนหยางล่วงหน้าแล้วแน่นอน ระหว่างการเดินทางภายในซากอักขระเทวะ ต้วนเฟยคนนี้อาจลงมือลงไม้หรือมีอแผนการอันใดแอบแฝงไว้อยู่ก็ไม่ทราบ
เย่หยวนรู้สึกปวดเศียรขึ้นมาในทันใด ฮั่นเทียนหยางคนเดียวก็สร้างความลำบากมากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังมีเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าเพิ่มมาอีกคน การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง!
“เย่หยวนคนที่ใส่หน้ากากตลอดเวลานั้น…ดูเหมือนจะสนใจเจ้าไม่น้อย มันลอบมองเจ้าตลอดเลย อืม..กลิ่นอายนี้ช่างคุ้นเคยนัก” ทันทีทันใดสุ่มเสี่ยงของหวูเฉินก็ดังขึ้นจากจิตใจของเย่หยวน สิ่งนี้ดั่งทำให้หัวใจเย่หยวนกระโจนขึ้นอีกคราว
“สนใจข้า? กลิ่นอายช่างคุ้นเคย?”
ทันใดนั้นรอยยิ้มเย็นสะท้านพลันฉีกกว้างบนมุมปากทันที เย่หยวนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่า ข้ารู้แล้วว่ามันเป็นใคร! ไม่คิดเลยว่ามันจจะลงทุนถึงขนาดนี้!”
“เจ้าทราบรึว่าเป็นใคร?” หวูเฉินเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย
“นอกเหนือจากฉินเทียนแล้ว ยังจะมีใครอีก?” เย่หยวนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น