Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1408-1419
ตอนที่ 1408 ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
กระแสพลังสายอุ่นไหลเวียนเข้าสู่ช่องท้องของเย่หยวน ณ ขณะนี้ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนกำลังขยายตัวขึ้นอย่างช้าๆ นี่เป็นผลวิญญาณร่ำไห้ลูกที่ห้าแล้วที่เขากลืนเข้าไป จนในที่สุดเขาก็เสาะพบโอกาสเลื่อนระดับชั้น ในตอนนี้เขากำลังฝ่าปัญหาคอขวดและขยับขยายทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ให้แผ่ไพศาลกว้างขึ้น! ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนมีกลิ่นอายประดุจบ่อน้ำบรรพกาลเก่าแก่ สื่อให้เห็นถึงความผันผวนของชีวิตเป็นอนันต์ ราวกับทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ข้ามกาลเวลามาจากสมัยโบราณบรรพชน
สรรพคุณของผลวิญญาณร่ำไห้ได้รับการขัดเกลาให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยบัญญัติเทพแห่งถงเทียน ก่อนจะหลั่งไหลเข้าสู่ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาในที่สุด
ปัจจุบันทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาเริ่มขยายกว้างขึ้น ส่งผลให้ขนาดจุดตันเถียนใหญ่ขึ้นเช่นกัน เนื่องด้วยการขยายตัวต่อเนื่อง จึงทำให้บริเวณที่ขยับกว้างออกเกิดช่องว่างปราศจากสิ่งใด เห็นเป็นแบบนั้น เย่หยวนจึงเริ่มดูดซับพลังวิญญาณจากโลกภายนอกอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกรอกเทเข้าเติมเต็มทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ในทันที
มิทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดทุกอย่างก็เงียบลง
“บัญญัติเทพแห่งถงเทียนนับเป็นความโชคดีของฟ้าดินอย่างแท้จริง! พลังปราณในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าค่อยๆหนาและเข้มข้นขึ้นต่อเนื่องประดุจชั้นแป้งบนชั้นแป้งอีกที! ความหนาแน่นของพลังปราณเทวะที่มากขนาดนี้ ทอดสายตาในบรรดาอาณาจักรพลังเดียวกัน ตัวเจ้าไร้เทียมทานเสมอฟ้า!” หวูเฉินกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจด้วยความชื่นชม
หากให้เปรียบ ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของคนอื่นเสมือนดั่งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แต่ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนกลับทับถมเป็นชั้นหนาสุดข้นคลักจนเกือบจะกลายเป็นก้อนเนื้อก็ไม่ผิด สิ่งนี่บ่งบอกให้เห็นว่า พลังปราณเทวะในอาณาจักรพลังเท่ากัน ของเย่หยวนทรงประสิทธิภาพกว่าอย่างหาที่เปรียบไม่
เย่หยวนกล่าวว่า “เพียงพริบตาเดียว ข้าก็บ่มเพาะสำเร็จบทแรกโดยสมบูรณ์แบบ ภารกิจถัดจากนี้คือการหลอมสร้างบัญญัติเทพแห่งถงเทียนบทที่สอง แต่ข้าพยายามเสาะหาร่องรอยเชื่อมต่อแต่กลับทำไม่ได้เสียที กล่าวได้ว่าไม่เห็นแววสำเร็จแม้แต่เงา”
หลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเย่หยวนจะพยายามหลอมสร้างบัญญัติเทพแห่งถงเทียนบทที่สองเท่าไหร่ แต่เขาจำต้องจบลงพร้อมคว้าน้ำเหลวซ้ำไป เย่หยวนตระหนักทราบดี ยิ่งอาณาจักรพลังสูงขึ้นเท่าใด ความยากเข็ญในการหลอมสร้างวรยุทธ์บ่มเพาะพลังก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบัญญัติเทพแห่งถงเทียน นี่เป็นวรยุทธ์บ่มเพาะพลังที่ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อนบนมหาพิภพแห่งนี้ ระดับความยากจึงยิ่งทบทวีหลายเท่าตัว
อาณาจักรปฐมพระเจ้าของเย่หยวนในตอนนี้ยังไม่บรรลุถึงขั้นสุด ดังนั้นขอบเขตความเข้าใจต่อหุบเขาถงเทียนจำลองจึงยังจมอยู่กับระดับชั้นเก่าๆ และไม่สามารถหลอมสร้างบทที่สองได้โดยธรรมชาติ
ดังนั้นแล้ว ณ ปัจจุบันเย่หยวนจะต้องบ่มเพาะพลังจนขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดเสียก่อน จากนั้นเป้าหมายหลักต่อไปคือ การหลอมสร้างบัญญัติเทพแห่งถงเทียนบทที่สอง!
“เจ้าควรออกไปหาประสบการณ์บนโลกภายนอก อย่าเสียเวลาปลีกวิเวกเก็บตัวในห้องตามลำพัง การจะหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะในส่วนที่สองยากกว่าส่วนแรกเป็นทวี หาใช่เรื่องง่ายจะนั่งเทียนคิดออก” หวูเมิ่งกล่าวชี้แนะเขา
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า “ที่จริงแล้ว หลังจากงานชุมนุมร้อยเมือง ข้าเองก็ใช้เวลาง่วนอยู่กับการเก็บตัวมานานเกินไปเช่นกัน ตอนนั้นข้าเก็บเกี่ยวผลกำไรได้ค่อนข้างมากในตอนสัประยุทธ์กับจินอวี้ แต่การบ่มเพาะพลังอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้อาจไม่ประโยชน์อีกต่อไป”
หวูเฉินพยักหน้าก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า “อืม นับเป็นเรื่องดีที่เจ้าคิดได้เช่นนี้ แต่ข้า…มีบางอย่างต้องบอกเจ้าไว้ก่อน”
เย่หยวนพลันนึกฉงนใจทันใด “ท่านอาวุโสโปรดกล่าว”
หวูเฉินกล่าวว่า “ไข่มุกสยบวิญญาณคือสิ่งปกป้องมิให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของมู่หลินเสวียดับสลาย แต่นั่นมิได้หมายความว่าจิตใต้สำนึกภายในจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนางจะไม่ดับสูญไปตลอดกาล! ด้วยสถานะของข้าในตอนนี้ เจ้าเองก็ทราบกระทั่งคงจิตวิญญาณให้นานที่สุดยังยาก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการจะคงรักษาจิตใต้สำนึกของนางได้เลย ปัจจุบันตัวข้ายังคงห่างไกลจากสถานะสูงสุดดั่งกาลอดีตมากโข”
เย่หยวนหน้าเสียในทันใด หัวคิ้วขมวดถักหนาแทบติดชนพร้อมกล่าวถามทันทีว่า “แล้วไฉนท่านเพิ่งบอกข้าตอนนี้?”
หวูเฉินยิ้มตอบ “บอกไปตอนนั้นเจ้าจะทำอะไรได้? หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเจ้าคือการฝึกปรือ! บางสิ่งที่สมควร ข้าย่อมบอกเจ้าในยามที่เหมาะสม”
เย่หยวนสูดไอเย็นแช่มลึกอย่างช้าๆ และเอ่ยเสียงเคร่งขรึมขึ้นว่า “แล้วตอนนี้ข้าควรทำอย่างไรดี?”
หวูเฉินกล่าวว่า “จงไปตามหาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์! เนื่องจากพลังที่หล่อเลี้ยงข้าอยู่ในตอนนี้เป็นจิตวิญญาณชั่วจำนวนมาก ดังนั้นพลังงานจึงไม่บริสุทธิ์เจือสิ่งสกปรกมากเกินไป สิ่งเหล่านี้จะส่งผลเสียต่อการคงรักษาจิตใต้สำนึกของมู่หลินเสวียมิให้คงรักษาได้เป็นเวลานาน ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์เป็นหนึ่งในของวิเศษฟ้าดินเป็นยาบำรุงจิตวิญญาณเป็นอย่างดี หากได้รับมา มันจะช่วยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของข้าจนกลับมาแข็งแกร่งขึ้น ยามนั้นการจะคงรักษาจิตใต้สำนึกของนางก็หาใช่เรื่องยากอีกต่อไป! อย่างน้อยก็ไม่ดับสูญแน่นอนไปอีกหมื่นปี!”
เย่หยวนที่ได้ยินดังนั้นหัวใจกระหน่ำเต้นแรงในทันที เขากล่าวว่า “เพียงหมื่นปี?”
เขารู้ดีว่า เส้นทางการฝึกฝนของตนในอนาคตต่อไปอาจต้องใช้เวลากว่าหลายร้อยหรือหลายพันปี ดังนั้นแล้วระยะเวลาแค่หมื่นปีพินิจได้ว่าไม่นานนัก
หวูเมิ่งพยักหน้าและกล่าวว่า “เมื่อคนเราล่วงลับจากไป จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะแตกกระจายกลายเป็นความว่างเปล่า จุดสูงสุดคืนสู่ธรรมชาติ การจะรักษาจิตสำนึกของนางมิให้กลับคืนสู่จุดเริ่มต้นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เว้นเสียแต่เจ้าจะสามารถบรรลุไปถึงอาณาจักรเต๋าบรรพกาล หากสำเร็จถึงระดับชั้นนั้น เจ้าสามารถคงรักษาจิตสำนึกของนางได้ตลอดกาล! แต่ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของเจ้ายังมิได้ก้าวย่างเข้าสู่โลกแห่งการต่อสู้ขนานแท้ด้วยซ้ำ และอีกอย่างหากตอนนั้นข้าบอกเรื่องนี้ไป ใจของเจ้าคงเอาแต่มุ่งเสาะหาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์อย่างเดียว จนไปรบกวนการฝึกปรือของตัวเจ้าเอง!”
เย่หยวนยอมรับตามตรง หากหวูเฉินบอกเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนหน้า มันจะส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะพลังของเขาแน่นอน ลงมือให้มากเอ่ยปากให้น้อย เย่หยวนตระหนักชัด จิตสำนึกของมู่หลินเสวียไม่สามารถหลีกเลี่ยงกฎแห่งธรรมชาติได้ เขามีแต่จะต้องรีบเร่งพัฒนาฝีมือให้แกร่งกล้ายิ่งขึ้น ทั้งหมดก็เพื่ออนาคตอันยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า “ท่านอาวุโส เช่นนั้นข้าจะไปรับภารกิจของสถานศึกษาและเข้าสู่พิภพยุทธจักร เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในนั้น!”
ศิษย์ชั้นในของสถานศึกษาสามารถเข้ารับภารกิจระยะยาวและออกไปฝึกปรือท่องพิภพได้ บางคนโชคดีอาจเป็นเหมือนหวังซ่งที่ได้รับการแต่งตั้งกลายมาเป็นเจ้าเมืองประจำอยู่เขตเมืองย่อย อย่างไรก็ตาม พวกหวังซ่งและโดยส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดกลับไม่กล้ารับภารกิจที่ต้องเดินทางเข้าสู่พิภพยุทธจักร แต่ยอดฝีมือที่แท้จริง ทุกคนล้วนเลือกที่จะเดินทางไปยังพิภพยุทธจักร เพื่อทำภารกิจตามที่สถานศึกษาจัดเตรียมและเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากมายระหว่างการเดินทาง และดินแดนพฤกษานิรันดร์เองก็เป็นหนึ่งในพิภพยุทธจักรที่ว่าเช่นกัน!
มหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ดำรงอยู่มาไม่รู้กี่แสนล้านปีแล้ว มียอดเซียนไม่รู้จำนวนคนานับเท่าใดที่สร้างพิภพยุทธจักรทิ้งเอาไว้มหาศาลนับไม่ถ้วน
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ ยามทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้ พวกเขาสามารถสร้างดินแดนขนาดเล็กส่วนตัวขึ้นมาได้ เพื่อฝึกปรือก็ดี เพื่อใช้ชีวิตอาศัยก็ดี และดินแดนเหล่านั้นถูกเรียกว่า พิภพยุทธจักร
ดังนั้นบนมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้จึงมีรอยแยกมิติมากมายนับไม่ถ้วน และรอยแยกมิติเหล่านั้นเชื่อมต่อกับพิภพยุทธจักร ภายในพิภพยุทธจักรที่ไร้ซึ่งเจ้าของ สถานที่เหล่านั้นล้วนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรหายากและสมบัติธรรมชาติมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งมันเป็นดั่งสรวงสวรรค์ของเหล่าเซียนของมหาพิภพถงเทียนโดยแท้
จุดที่น่าสนใจของพิภพยุทธจักรคือความหลากหลาย เพราะพิภพยุทธจักรแต่ละดินแดนกอปรขึ้นจากเต๋าที่มีลักษณะเฉพาะตัว จึงทำให้สมบัติที่กำเนิดเกิดขึ้นแตกต่างกันไป บางชนิดไม่เคยปรากฏบนมหาพิภพถงเทียนด้วยซ้ำ หากใครได้รับโชคสุดท้าทายสวรรค์ก็เป็นดั่งการกระโดดข้ามสู่ประตูมังกรไปได้
นอกเหนือจากนี้ ยังมีสิ่งที่ทุกคนต่างปรารถนายิ่งจากพิภพยุทธจักร และมันก็คือผลวิญญาณเต๋า!
ผู้สร้างคนใดสามารถก้าวล้ำเหนือไปกว่าอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ แนวคิดความเข้าใจทั้งหมดของพวกเขาจะถูกควบแน่นและตกผลึกลายเป็นผลวิญญาณเต๋า โดยปกติแล้ว พวกเขามักจะซ่อนผลวิญญาณเต๋านี้ไว้บนพิภพยุทธจักรของตัวเองเพื่อบ่มเพาะเลี้ยงดู ยามใดที่ผู้เข้าสำรวจเสาะพบผลวิญญาณเต๋า นี่ยิ่งกว่าทะยานสู่สวรรค์ในอึดใจเดียว!
เฉกเช่นเดียวกับจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชาง ที่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้ก่อนจอมเทพนิรันดร์ก้าวหนึ่ง เพราะก่อนหน้านี้เขาได้รับผลวิญญาณเต๋าโดยบังเอิญ
แน่นอนว่า ภายในพิภพยุทธจักรเหล่านี้เต็มไปด้วยภัยอันตรายมากมายเช่นกัน หากพลาดท่าเกินอุบัติเหตุขึ้นเพียงครั้งเดียว ชีวิตของพวกเขาที่เข้าสำรวจอาจพินาศได้ในทันที ไฉนจึงฟังเหมือนว่าพิภพยุทธจักรอันตรายได้มากขนาดนี้?
ประกายแรก พิภพยุทธจักรที่ยังมีเซียนอาณาจักรพระเจ้าดำรงอยู่ พวกเขาบางคนอาจทรงพลังยิ่งกว่าเซียนจากมหาพิภพถงเทียนด้วยซ้ำ
ประกายที่สอง ยังมีเขตอันตรายภายในพิภพยุทธจักรอีกมากซุกซ่อนอยู่ ตัวอย่างเช่น หุบเขาเหวพระเจ้าของดินแดนพฤกษานิรันดร์ มีเหล่าเซียนจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปแล้วไม่เคยออกมาอีกเลย
หวูเมิ่งกล่าวว่า “ไม่จำต้องรีบร้อนไป ข้าทราบว่าเจ้ากังวลเรื่องความปลอดภัยของสาวน้อยนางนี้ แต่ข้ายังมีฤทธิ์เดชอยู่บ้าง สามารถประคองสถานการณ์ได้อีกสักพัก ก่อนอื่นเจ้าต้องเลื่อนระดับชั้นขึ้นเป็นอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าให้ได้เสียก่อน และสิ่งที่สำคัญที่สุด ก่อนจะเดินทางไปยังพิภพยุทธจักร ขอบเขตศาสตร์แห่งดาบของเจ้าจำเป็นต้องสำเร็จถึงจุดสูงสุดแห่งชั้นสวรรค์ระดับแรก และหลอมสร้างสยบดารานี้ให้สมบูรณ์แบบ!”
………………………………………………………..
ตอนที่ 1409 ขุ่นเคืองใจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ เรือนพักของเย่หยวน สีหน้าของอัสนีคำรนดูอึดอัดไม่ค่อยสู้ดีนัก
เมื่อตอนที่อยู่ในดินแดนลึกลับ เขายังกระฉับกระเฉงเดือดดาลและสาบานต่อหน้าเย่หยวนว่า ตนจะเอาผิดฉินเทียนและพวกตระกูลฉินให้ถึงที่สุด แต่ใครจะไปรู้ว่าสุดท้ายจะจบลงแค่ตักเตือนและมิได้ดำเนินการอันใดอีกเลย
“เย่หยวน เจ้าสร้างผลลงานโดดเด่นอย่างมากให้แก่เมืองหลวงหวูเมิง นี่คือรางวัลที่ท่านเจ้าเมืองมอบให้เจ้า!” อัสนีคำรนกล่าว
รางวัลที่เจ้าเมืองให้มาก็มิได้น่าเกลียดเลย คะแนนหนึ่งแสนห้าหมื่นแต้ม พร้อมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองชั้นต่ำอีกห้าสิบเม็ด รวมไปถึงเกราะอ่อนซึ่งเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำ! หนึ่งแสนแต้มก่อนหน้าเย่หยวนได้รับมือเขาใช้หมดไปแล้ว ดังนั้นหนึ่งแสนห้าหมื่นแต้มที่ให้เย่หยวนมาในรอบนี้เปรียบเสมือนส่งถ่านหินกลางหิมะอย่างแท้จริง!
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเกราะอ่อนที่เป็นถึงเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำ ประสิทธิภาพการป้องกันสูงส่ง ต้านรับการโจมตีของเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้อย่างสบายๆ เว้นเสียแต่ว่าการจะหลอกเย่หยวนหาใช่เรื่องง่าย เห็นของรางวัลเหล่านี้เขาคลี่ยิ้มบางเอ่ยขึ้นว่า “ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า อิทธิพลของตระกูลฉินจะยอดเยี่ยมปานนี้ และยังทำให้ท่านอาจารย์อัสนีคำรนเข้าตาจนด้วยเช่นกัน”
อัสนีคำรนยังไม่ทันเอ่ยเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนที่ไปพบท่านเจ้าเมือง แต่เย่หยวนกลับคาดเดาทุกอย่างได้แล้วจริงๆ ได้ฟังเช่นนั้นพลันฉายแววประหลาดใจ เจ้าหนุ่มคนนี้ฉลาดหัวไวโดยแท้
เดิมทีเขาวางแผนให้ท่านเจ้าเมืองเป็นคนลงมือจัดการปัญหาทุกอย่างให้เสร็จสิ้นไป และตบรางวัลเย่หยวนอย่างงาม ทว่าหากพินิจมองสถานการณ์ในตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
ในเมื่อเย่หยวนเปิดหน้าไพ่ขนาดนี้ อัสนีคำรนเองก็ไม่มีอะไรจะปิดบังเช่นกัน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า “ตระกูลฉินเป็นหนึ่งในตระกูลที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองหลวงหวูเมิ่ง แถมยังเคยเป็นเจ้าเมืองหลวงหวูเมิ่งอีกด้วย! ดังนั้นอิทธิพลอำนาจของตระกูลฉินจนขจรกว้างขวางไปทั่วทุกมุมเมือง หากท่านเจ้าเมืองคิดตะลงมือเคลื่อนไหว จำต้องชั่งใจหนักเช่นกัน”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “เป็นเช่นนั้นนี่เอง ขอบคุณท่านอาจารย์อัสนีคำรนที่รุดมาหา”
อัสนีคำรนแปลกใจไม่น้อยที่เห็นปฏิกิริยา เดิมทีเขาคิดว่เย่หยวนอาจใช้วาจาตำหนิตนด้วยความโกรธเกรี้ยว ที่ทำไม่ได้อย่างที่พูดไว้ แต่ใครจะไปคิด เย่หยวนกลับรับฟังและข้ามเรื่องนี้ไปหน้าตาเฉย
เย่หยวนแตกต่างไปจากเยาวชนคนอื่นอย่างแท้จริง
อัสนีคำรนถอนหายใจลากเสียวยาว หากเย่หยวนเลือกที่จะไม่กล่าวเช่นนี้ต่อ เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะตอบคำต่อประโยคอย่างไรต่อ
“ฮ่าๆ เจ้าสุภาพเกินไปแล้ว! หวังว่าเจ้าจะไม่เก็บเรื่องนี้ไปคิดมาก ขอเพียงเจ้าตั้งใจฝึกปรือให้ดี ท้ายที่สุดนี้ผู้ที่มีอำนาจตัดสินมากที่สุดก็ยังคงเป็นท่านเจ้าเมือง!” อัสนีคำรนกล่าวตอบอย่างไม่กล้าสู้หน้านัก
เย่หยวนพยักหน้าและยิ้มกล่าวว่า “เย่หยวนเข้าใจดี! หลังจากนี้อีกสักพักหนึ่ง ข้าวางแผนที่จะออกไปฝึกปรือภายนอก ไม่ทำให้ท่านอาจารย์อัสนีคำรนผิดหวังแน่นอน”
คล้อยหลังได้ยินแบบนั้น สีหน้าของอัสนีคำรนแปรเปลี่ยนฉับพรันและกล่าวว่า “ออกไปฝึกปรือภายนอก? เจ้าเพิ่งเลื่อนระดับขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นสุด รอทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเต็มตัวก่อนก็ยังไม่สายที่จะออกไป! เดินทางออกไปตอนนี้เกรงว่าเสี่ยงอันตรายเกินไป!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์อัสนีคำรนโปรดวางใจ เย่หยวนมีแผนเตรียมรับมือแล้ว”
เมื่อเห็นว่าเย่หยวนได้ตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว เขาทำได้เพียงนึกถึงความแกร่งกล้าอันน่าทึ่งของอีกฝ่ายในครานั้น ก่อนพยักหน้ากล่าวว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้มาก นี่คือยันต์ประกายอัสนีสวรรค์ทั้งสามชิ้นที่ข้าหลอมสร้างขึ้นมาเอง เจ้าสิ่งนี้สามารถช่วยเพิ่มความเร็วของเจ้าเป็นหลายสิบทวีเท่า และยังเร็วกว่าดาบบินของเจ้ามาก สิ่งนี้อาจพอช่วยเหลือเจ้าได้ในยามฉุกเฉิน”
อัสนีคำรนหยิบยันต์สีเหลืองทองออกมาให้สามแผ่นและส่งให้เย่หยวน รัศมีกลิ่นอายธาตุอัสนีอันทรงพลังเปี่ยมล้นเป็นประกายาสุดแกร่งกร้าว
เย่หยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็รับยันต์ประกายอัสนีสวรรค์มาโดยไม่ลังเลและกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย
“เช่นนั้น เย่หยวนคนนี้ต้องขอบคุณท่านอาจารย์อัสนีคำรนเป็นอย่างยิ่ง!”
หลังจากที่อัสนีคำรนจากไป ใบหน้าเย่หยวนพลันมืดลงทันที เขารู้สึกได้ว่าเรื่องนี้กลับจบไม่ง่ายอย่างที่คิด!
ขุมกำลังอำนาจของตระกูลฉินในเมืองหลวงหวูเมิ่งค่อนข้างแข็งแกร่งอย่างมาก ในจุดนี้เย่หยวนประจักชัดแจ่มแจ้งดีแล้วรากฐานอันหยั่งลึกของตระกูลฉิน แม้แต่ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าก็ยังต้องให้ความเกรงใจ?
ดูเหมือนว่าเรื่องราวระหว่างเมืองหลวงหวูเมิ่งกับตระกูลฉินจะมิใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
“ในความเห็นของข้า ดูเหมือนทางฝ่ายเจ้าเมืองต้องการมอบสิ่งของเหล่านี้เพื่อปลอบโยนและต้องการให้เจ้ากับตระกูลฉินอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เขาไม่ต้องการสร้างความขุ่นเคืองให้แก่ทั้งสองฝ่าย” หวูเฉินกล่าว
เย่หยวนแสยะยิ้มชืดและกล่าวว่า “ไม่อยากให้ตระกูลฉินขุ่นเคือง แต่ตอบแทนข้าแบบนี้? ข้าช่วยให้เขาได้รับโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ไปครอง แต่กระทั่งออกหน้ามาพบเจอข้ายังไม่มี ในสายตาอีกฝ่าย ข้าคงเป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไป ย่อมให้ท้ายตระกูลฉินมากกว่าอยู่แล้ว”
หวูเฉินพยักหน้ากล่าวตอบว่า “สิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นถูกต้องแล้ว! ในอนาคตต่อไปหาเจ้าเมืองนันเล็งเป้ามาทางเจ้าเมืองใด ยามนั้นเจ้าจะต้องอยู่ในอันตรายทันที”
เย่หยวนยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “เจ้าเมืองหลวงหวูเมิ่งคนนี้ทำให้ข้าผิดหวังเสียจริง! ตอนนี้ข้าทั้งรักทั้งเกลียดเมืองหลวงหวูเมิ่งโดยแท้!”
ท้ายที่สุดนี้ ที่สยบดาราของเย่หยวนเกิดขึ้นได้ก็เพราะสถานศึกษาหวูเมิ่ง นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนมากมายจากที่แห่งนี้อีก แต่วิธีการที่เจ้าเมืองหลวงหวูเฉินใช้แก้ปัญหาในคราวนี้ กลับทำให้เย่หยวนค่อนข้างผิดหวังเป็นอย่างมาก
เย่หยวนได้มอบกระบวนดาบสยบดาราให้ขึ้นเป็นหนึ่งในเจ็ดสุดยอดวิชาลับแห่งสถานศึกษาหวูเมิ่ง และยังสร้างความภาคภูมิใจให้แก่เมืองหลวงหวูเมิ่งอีกโดยการคว้าอันดับหนึ่งของงานชุมนุมร้อยเมืองมา นี่อาจกล่าวได้ว่า เย่หยวนชำระหนี้บุญคุณคืนให้แก่สถานศึกษาหวูเมิ่งมากเกินพอแล้ว
แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่เพียงเม็ดเดียวก็มีค่ากว่าหลายเขตเมืองรวมกันแล้ว!
แต่ท้ายที่สุดนี้ สิ่งที่เย่หยวนได้กลับมาคือผลลัพธ์อันน่าผิดหวัง
หวูเฉินกล่าวว่า “เจ้าควรระมัดระวังตัวให้มากในอนาคตต่อไป อย่าไปมีเรื่องกับตระกูลฉินอีก มิฉะนั้นเจ้าเมืองนั้นจะเคลื่อนไหวอย่างไร พวกเรากลับไม่มีทางทราบได้เลย!”
…
เย่หยวนฝึกปรืออยู่ในสุสานดาบระดับห้าเป็นเวลานานถึงห้าปีเต็ม! และห้าปีต่อมา ในที่สุดสยบดาราก็หลอมสร้างเสร็จสมบูรณ์! เกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา เย่หยวนก็สามารถหลอมสร้างกระบวนท่าแรกของเพลงดาบสวรรค์เบิกฟ้าได้สำเร็จ ในตอนนี้ เมื่อเย่หยวนสำแดงใช้สยบดาราผนวกกับบัญญัติเทพแห่งถงเทียนเต็มกำลัง เขามั่นใจยิ่งว่าตนมิได้ด้อยกว่าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าแน่นอน!
ทั้งวรยุทธ์ต่อสู้และวรยุทธ์บ่มเพาะพลังของเขาที่ได้รับการพัฒนาขึ้นนี้ มันเพียงพอแล้วที่จะชดเชยช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างอาณาจักรปฐมพระเจ้าและอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้ อย่างน้อยที่สุดเขาก็พอมีพลังที่จะต่อกร
เย่หยวนเดินทางออกจากสุสานดาบและตรงไปยังหอยุทธต่อทันทีเพื่อรับภารกิจของสถานศึกษา
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนเดินทางมาที่นี่ ซึ่งศิษย์ชั้นในผู้มีหน้าที่ดูแลในส่วนนี้ก็รู้จักเย่หยวนเป็นอย่างดี เห็นเขารุดมาที่นี่จึงเอ่ยถามพลางหัวเราะขึ้นว่า “โอ้ ลมอะไรพัดอันดับหนึ่งแห่งงานชุมนุมร้อยเมืองมาที่นี่ได้? หุหุ ศิษย์น้องเย่ยังไม่ทันเข้าเป็นศิษย์ชั้นใน หากให้ข้าเดา เจ้าคงมารับภารกิจระดับสูงแล้ว?”
เย่หยวนยิ้มตอบว่า “ศิษย์พี่อาวุโสช่างรู้ทัน ข้ามีแผนจักออกไปฝึกปรือภายนอกสักครา ไม่ทราบว่าท่านมีรายการภารกิจในส่วนนี้ให้ข้าดูหน่อยหรือไม่?”
สีหน้าการแสดงออกของศิษย์ชั้นในคนนั้นแปรเปลี่ยนไปทันที เขากล่าวอย่างจริงจังขึ้นว่า “ศิษย์น้องเย่มีแผนจะออกไปฝึกปรือด้านนอก? ภารกิจระดับนี้จัดได้ว่าเสี่ยงอันตรายกว่าภารกิจระดับสูงทั่วไปมาก ต่อให้เป็นศิษย์ชั้นในยังมีอัตรารอดชีวิตกลับมาต่ำมาก! ข้าทราบดีว่าเจ้าทรงพลังปานใด แต่…โลกภายนอกตัวแปรกลับมากมายนัก เจ้าไม่ควรเสี่ยงอันตรายขนาดนี้ ลองเลือกดูภารกิจระดับสูงอื่นแทนดีหรือไม่?”
เย่หยวนเห็นถึงความวิตกกังวลของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนและนี่ก็หาใช่การเสแสร้งแต่อย่างใด เขารู้สึกซาบซึ้งไม่น้อยเลยที่ศิษย์ชั้นในคนนี้มีน้ำใจเป็นห่วงเป็นใย เรื่องนี้เองก็ว่าไม่ได้ เพราะชื่อเสียงของเย่หยวนก็ดังกระฉ่อนมากในบรรดาศิษย์ชั้นในทั้งหลาย เรียกได้ว่าทุกคนต่างเลื่อมใสนัก
ท้ายที่สุดนี้ เย่หยวนช่วยให้เมืองหลวงหวูเมิ่งคว้าชัยในงานชุมนุม แถมยังล่าสังหารพวกเมืองหลวงจั้วเซียงจนไม่เหลือ วีรกรรมในครั้งนี้ทำให้ศิษย์ทุกคนของสถานศึกษาหวูเมิ่งเชิดหน้าชูตาขึ้นได้อีกครั้ง
ไม่นานหลังจากนั้น บารมีแผ่ไพศาล ทุกคนต่างเลื่องลือวีรกรรมของเย่หยวนในครั้งนี้จนเซ็งแซ่ไปทั่วทุกมุมเมืองดังนั้นแล้ว จึงไม่มีศิษย์พี่อาวุโสคนนั้นไม่เต็มใจเข้าหาผูกมิตร พวกเขาล้วนแล้วแต่ปฏิบัติกับเย่หยวนดั่งพี่น้องด้วยความอบอุ่น
เย่หยวนยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้นและกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของศิษย์พี่อาวุโส แต่หลังจากอยู่ฝึกฝนภายในสถานศึกษาเป็นเวลานาน ข้ารู้สึกถึงปัญหาคอขวดที่ข้ามไม่พ้นเสียที จึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ข้าต้องออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์บนโลกภายนอกเสียบ้าง”
………………………………………………..
ตอนที่ 1410 ดินแดนนภาบรรพต
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เอาล่ะเข้าใจแล้ว เจ้าเห็นเสาหยกทั้งห้าต้นตรงนั้นไหม? มันเรียงตามระดับความยากจากต่ำไปสูง เจ้าสามารถอ่านรายละเอียดเลือกสรรได้ตามใจชอบ จากนั้นค่อยมาหาข้าใหม่เพื่อลงทะเบียนอีกที”
ศิษย์ชั้นในคนนั้นทราบดีเย่หยวนมีนิสัยเป็นอย่างไร ยามตัดสินใจไปแล้วต่อให้อัญเชิญท่านอาจารย์ใหญ่มาไกล่เกลี่ยก็เกรงว่าล้มเหลวเช่นกัน ดังนั้นเขาทำได้เพียงเอ่ยตอบเห็นด้วยเท่านั้น
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “ขอบคุณมากศิษย์พี่อาวุโส”
ณ มุมหนึ่งภายในหอยุทธปรากฏเสาหยกห้าต้นวางเรียงกันจากต่ำไปสูง เย่หยวนตรงมาหน้าเสาหยกต้นแรกพร้อมกรอกเทพลังปราณเทวะเข้าตรวจสอบทันที
ดินแดนไอพิรุธ : พิภพยุทธจักรชั้นราชันพระเจ้า
ระดับพลังสูงสุด : อาณาจักรปฐมพระเจ้า
สถานที่อันตราย : หมู่บ้านตะวันบูรพา และหุบเขาเสียงผสานสวรรค์
ภารกิจขั้นต้น : แร่โลหะทมิฬ ผลบุปผางาม ความยาก – หนึ่งดาว รางวัลภารกิจแปดร้อยแต้ม
ภารกิจขั้นสูง : สมบัติราชันพระเจ้าที่ถูกซ่อนไว้โดยราชันพระเจ้าไอพิรุธ ความยาก – สองดาว รางวัลภารกิจหนึ่งพันห้าร้อยแต้ม
…
คล้อยหลังอ่านเนื้อหาของภารกิจในดินแดนไอพิรุธโดยละเอียด ข้อมูลที่มีให้เย่หยวนมีค่อนข้างมหาศาล นอกจากที่แสดงในขั้นต้นแล้ว มันยังมีข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์รวมไปถึงจารีตประเพณีท้องถิ่นของผู้คนภายในดินแดนแห่งนี้ด้วย ธารข้อมูลมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ห้วงความคิดของเย่หยวนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะค้นพบว่าภารกิจในเสาหยกต้นแรกกลับมิได้ยากนัก ด้วยความแกร่งกล้าในปัจจุบันของเขา อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีใครภายในดินแดนแห่งนั้นทำอะไรเขาได้
ระดับพลังสูงสุดของดินแดนไอพิรุณอยู่แค่อาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดเท่านั้น ความแกร่งกล้าของเย่หยวนแค่ลำพังก็กวาดทั่วดินแดนจนสะอาดเอี่ยมได้ในพริบตา แน่นอนว่าสำหรับคนอื่นนี่เป็นภารกิจที่ยากและเสี่ยงตายมาก จะมีเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าสักกี่คนที่กล้าพูดจาคึกโขใหญ่โตอย่างเย่หยวน?
ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์เป็นสมบัติฟ้าดินที่ไม่ค่อยมีใครได้พบเห็น น้อยครั้งมากที่จะปรากฏอยู่บนพิภพยุทธจักรแบบนี้แต่ถ้าหากพิภพยุทธจักรใดมีศิลาชีวิตนิจนิรันดร์อยู่ล่ะก็ มันจะถูกระบุให้เป็นหนึ่งในภารกิจที่ต้องค้นหาอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายนัก ในบรรดาภารกิจทั้งหมดบนเสาหยกต้นแรกกลับไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับศิลาชีวิตนิจนิรันดร์เลย ดังนั้น เย่หยวนจึงเลื่อนเข้าตรวจสอบในเสาหยกต้นที่สองแทน
พิภพยุทธจักรที่บันทึกไว้ในเสาหยกต้นที่สองนี้อันตรายกว่าเสาหยกต้นแรกอย่างชัดเจน ระดับพลังสูงสุดโดยส่วนใหญ่อยู่ที่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า
แน่นอนว่าระดับความอันตรายมิได้ดูจากอาณาจักรพลังเท่านั้น เพราะสถานที่ต้องห้ามภายในดินแดนเหล่านี้ ลึกลับเข้าใจยากยิ่งกว่าที่เห็นแค่ผิวเผินเท่านั้น อย่างที่ศิษย์พี่ชั้นในคนเมื่อครู่ได้กล่าวไว้ การฝึกปรือภายนอกมีตัวแปรมากมายที่เข้ามา มีหลายต่อหลายคนที่พลาดท่าตายลงในดินแดนพวกนี้
เย่หยวนขลุกตัวอยู่ในเสาหยกที่สองอยู่สักพักใหญ่ แต่ก็ยังไม่พบข่าวคราวเกี่ยวกับศิลาชีวิตนิจนิรันดร์เลยแม้สักนิด นี่เริ่มทำให้เขาใจไม่ดีแล้ว เขามิได้กลัวภัยอันตราย แต่สิ่งที่เขากลัวจริงๆคือ จะไม่มีพิภพยุทธจักรใดเลยที่มีศิลาชีวิต นิจนิรันดร์อยู่เลย ตราบเท่าที่มีร่องรอยเกี่ยวกับศิลาชีวิตนิจนิรันดร์อยู่ ต่อให้เป็นถ้ำพยัคฆ์ซ่อนมังกร เขาเองก็หาได้เกรงกลัวไม่เช่นกัน!
เย่หยวนสูดหายเข้าลึกๆและเริ่มตรวจสอบเสาหยกต้นที่สามทันที ระหว่างนั้นเองเขาก็ได้แต่หวังอยู่ลึกๆ ว่า ภายในเสาหยกต้นที่สามนี้จะมีข้อมูลเกี่ยวกับศิลาชีวิตนิจนิรันดร์อยู่บ้าง! ทันใดนั้นเอง คู่ดวงตาของเขาพลันเฉิดฉายเปล่งประกายขึ้นทันควัน
ดินแดนนภาบรรพต : พิภพยุทธจักรชั้นนภาสวรรค์
ระดับพลังสูงสุด : อาณาจักรบรรพชนพระเจ้า
สถานที่อันตราย : ไม่เป็นที่ชัดเจน
ภารกิจขั้นต้น : ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ ผลเก้าทำนองกายาอมตะ แร่ทรายม่วงทอง ความยาก – สามดาว รางวัลภารกิจหนึ่งแสนแต้ม!
ภารกิจชั้นสูง : ผลวิญญาณเต๋านภาสวรรค์ ความยาก – สี่ดาว รางวัลภารกิจสามแสนแต้ม!
…
นี่มัน!
เย่หยวนตรงเข้าพบศิษย์ชั้นในคนเดิมทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่อาวุโส ข้าขอเลือกภารกิจหมายเลขแปดบนเสาหยกต้นที่สาม!” เย่หยวนกล่าว
ศิษย์ชั้นในคนนั้นยืนแข็งทื่อในทันใด สงสัยว่าตนเองจะฟังผิดไปกระมัง?
“ศิษย์น้องเย่ นี่เป็นภารกิจระดับสามดาว เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่?”
ภารกิจระดับสามดาว มองข้ามเรื่องของรางวัลอื่น ขอเพียงทำภารกิจเสร็จสมบูรณ์ตามเงื่อนไข ย่อมได้รับทันทีหนึ่งแสนแต้ม ซึ่งนี่จะเห็นได้ว่าภารกิจระดับชั้นนี้มันยากเพียงใด ระดับความยากแตกต่างจากภารกิจระดับหนึ่งหรือสองดาวโดยสิ้นเชิง เย่หยวนเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าเท่านั้น แต่กลับเลือกภารกิจที่มีระดับความยากสูงขนาดนี้ จึงไม่แปลกที่ศิษย์ชั้นในคนนั้นถึงตะลึงงันไปกลางคันแบบนั้น
เย่หยวนส่ายหัวและกล่าวว่า “นี่ถูกต้องแล้ว ข้าต้องรบกวนศิษย์พี่อาวุโสแล้ว โปรดบอกพิกัดตำแหน่งที่ตั้งของดินแดนนภาบรรพตแก่ข้า”
“ศิษย์น้องเย่ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ารับภารกิจนอกดินแดน อาจยังไม่ทราบถึงความยากของภารกิจระดับสามดาว! ในส่วนของภารกิจหมายเลขแปด สถิติมีศิษย์รับภารกิจนี้ไปทั้งหมดกว่าห้าพันคน โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายไม่ก็ขั้นสุด! แต่ศิษย์ที่รอดกลับมามีไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน! และในหนึ่งส่วนที่ว่ามีคนภารกิจสำเร็จไม่ถึงครึ่ง!”
ศิษย์ชั้นในผู้ใจดีคนนี้เป็นกังวลอย่างมากเช่นกันและคิดว่า เย่หยวนคงยังไม่ทราบถึงอันตรายจึงเร่งกล่าวเตือนด้วยความหวังดี
เย่หยวนผสานมือพร้อมกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณศิษย์พี่อาวุโสอย่างมากสำหรับคำเตือน เย่คนนี้จะระมัดระวังตัวให้ดี”
ศิษย์ชั้นในผู้นั้นอ้าปากค้าง แต่ก็มิได้กล่าวอะไร
ศิษย์น้องเย่คนนี้เป็นดั่งที่เขาลือกันจริงๆ เป็นคนที่ดื้อรั้นและหัวแข็งอย่างมาก
นี่เป็นภารกิจที่ทุกคนต่างเลี่ยงหลบราวกับโรคระบาด แต่เขากลับต้องการทำภารกิจนี้ยิ่ง ถึงอย่างไรก็ตาม ระดับพลังของเย่หยวนในตอนนี้กลับอ่อนแอเกินไปมาก! แม้พลังการต่อสู้ของเย่หยวนจะเหนือชั้นเพียงใด แต่อย่างมากที่สุดก็ต่อสู้ข้ามระดับได้นิดน้อย ทว่าสุดท้ายนี้ฐานพลังของเขายังคงต่ำมาก เขายังไม่ได้เข้าเป็นศิษย์ชั้นในแต่กลับเลือกทำภารกิจระดับสามดาวเสียแล้ว เช่นนี้เย่หยวนจะรอดชีวิตกลับมาได้จริงๆใช่ไหม?
“เอาล่ะ ในเมื่อศิษย์น้องเย่ยืนกรานเช่นนี้ เจ้าก็ต้องระมัดระวังตัวให้มาก จงจำเอาไว้หลังจากที่เดินทางเข้าสู่พิภพยุทธจักร สิ่งที่สำคัญที่สุดหาใช่ภารกิจแต่เป็นชีวิตของเจ้าเอง!” ศิษย์ชั้นในผู้นั้นยังคงกำชับเรื่องความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า “ศิษย์พี่อาวุโสโปรดมั่นใจ เย่คนนี้มิได้หาเรื่องตายแน่นอน”
ศิษย์ชั้นในคนนั้นพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับภารกิจหมายเลขแปดถูกบันทึกลงในป้ายตราสถานศึกษาของเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปศึกษาให้ละเอียด แต่ตอนนี้เจ้าจำต้องสาบานต่อหน้าสรวงสวรรค์ก่อนว่า จะไม่เปิดเผยข้อมูลภารกิจให้คนนอกทราบเด็ดขาด”
เย่หยวนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวสาบานต่อหน้าสรวงสวรรค์ทันที
พิภพยุทธจักรแต่ละแห่งเป็นแหล่งขุมทรัพย์และสถานที่เก็บซ่อนสมบัติฟ้าดินนับไม่ถ้วนของเมืองหลวงหวูเมิ่ง โดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาไม่ยอมให้ข้อมูลอันมีค่าเหล่านี้รั่วไหลออกไปเด็ดขาด
ยามเห็นเย่หยวนจากไป สีหน้าของศิษย์ชั้นในผู้นั้นก็เผยความกังวลออกมาทันที
“ศิษย์น้องเย่คนนี้เกินคาดเดาได้โดยแท้ ไม่คิดจริงๆว่าจะรับภารกิจระดับสามดาว นี่มันเสี่ยงอันตรายเกินไปมาก เขาเป็นถึงอนาคตของสถานศึกษาหวูเมิ่ง หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร”
แต่ทันใดนั้นเอง ร่างหนึ่งก็ตรงเข้ามา
สีหน้าท่าทีของศิษย์ชั้นในผู้นั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก และรีบทำความเคารพทันที
“คารวะผู้อาวุโสฉิน!”
เขาแอบตื่นตระหนกในใจอย่างลับๆ ผู้อาวุโสฉินเทียนหนิงคนนี้มีสถานะสูงมาก เป็นรองก็แค่ท่านอาจารย์ใหญ่คนเดียว โดยปกติเขามักจะปลึกวิเวกเก็บตัวและไม่ค่อยปรากฏตัวออกมา แล้วไฉนวันนี้เขาถึงเดินทางมายังหอยุทธได้?
ทันใดนั้น เขาพลันนึกถึงเย่หยวนที่เพิ่งจากออกไป ความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นภายในเขาทันที มิใช่ว่าผู้อาวุโสฉินมาที่นี่เพราะเรื่องเย่หยวนหรอกรึ?
ฉินเทียนหนิงกระแอมเสียงเย็นคำหนึ่งราวกับรับรู้ได้ถึงความคิดของศิษย์ชั้นในผู้นั้น ก่อนเอ่ยปากกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เมื่อครู่เย่หยวนรับภารกิจอะไรไป?”
ศิษย์ชั้นในคนนั้นถอดสีหน้าในบัดดลและเอ่ยขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆว่า “ผู้อาวุโสฉิน เอ่อ…เรื่องภารกิจที่ศิษย์ของสถานศึกษารับไปถือเป็นความลับและต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด นี่…นี่เกรงว่าต้องเป็นไปตามกฎระเบียบ!”
หัวคิ้วของฉินเทียนหนิงขมวดย่นขึ้นทันทีพร้อมเอ่ยตอบน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “เราชายชราเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาอาวุโสแห่งสถานศึกษาหวูเมิ่ง เรื่องนี้จะเป็นความลับหรือไม่กลับหาได้สำคัญ มันอยู่แค่ว่าเจ้าอยากใช้ชีวิตอยู่ต่อในสถานศึกษาหรือไม่? แค่เราชายชราเคลื่อนไหว พรุ่งนี้เจ้าเตรียมตัวถูกไล่ออกได้เลย!”
สีหน้าของศิษย์ชั้นในคนนั้นเปลี่ยนไปทันทีและกล่าวขึ้นด้วยความหวาดกลัวยิ่งว่า “ผู้อาวุโสฉินเข้าใจผิดแล้ว! เอ่อ…ภารกิจ…ภารกิจที่เย่หยวนรับไปคือภารกิจหมายเลขแปดบนเสาหยกต้นที่สาม พิกัดดินแดนคือ…”
ฉินเทียนหนิงที่ได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “อืม ต้องแบบนี้! เจ้าเองก็อย่าได้คิดมากไป เรื่องนี้…ข้าได้รับคำสั่งตรงมาจากท่านเจ้าเมืองอีกทีหนึ่ง อย่างไรก็ตามห้ามให้บุคคลที่สามทราบเป็นอันขาด! มิฉะนั้น…ผลที่ตามมาเจ้าคงตระหนักดี!”
…………………………………………………
ตอนที่ 1411 ถูกเต๋าปฏิเสธ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฉินเทียน เจ้าจะตามมันไปจริงๆใช่ไหม? ภารกิจที่เย่หยวนมันเลือกมิใช่ธรรมดาทั่วไป ระดับพลังสูงสุดในดินแดนนภาบรรพตคืออาณาจักรบรรพชนพระเจ้า! เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี!” ภายในห้องลับของสถานศึกษาหวูเมิ่ง ฉินเทียนหนิงกับฉินเทียนนั่งประจักหน้าอยู่ตรงข้ามกัน ซึ่งฉินเทียนหนิงก็กำลังเอ่ยเตือนฉินเทียนสีหน้าเคร่งขรึมอยู่
เมื่อฉินเทียนหนิงทราบว่าภารกิจที่เย่หยวนกำลังทำเป็นภารกิจของดินแดนนภาบรรพต เขาเองก็ตกใจอย่างมากเช่นกัน เขาตระหนักได้ถึงความยากเข็ญของภารกิจในดินแดนนภาบรรพตดี อัตราการตายค่อนข้างสูงมาก มือใหม่อย่างเย่หยวนต้องการท้าทายดินแดนที่เสี่ยงอันตรายขนาดนี้ ในท้ายที่สุดมันก็เป็นไปตามที่เขาคาดหวังไว้เช่นกัน
นอกจากนี้เอง ฉินเทียนหนิงก็ค่อนข้างกังวลถึงความปลอดภัยของฉินเทียนอย่างมาก ฉินเทียนเป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลฉิน ผู้ซึ่งเป็นทายาทเพียงคนเดียวสำหรับรับสืบทอดตำแหน่งประมุขตระกูลต่อไปในภายภาคหน้าหากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับเขาจริงๆ ตระกูลฉินมิอาจทนรับความสูญเสียได้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ฉินเทียนยังคงแน่วแน่พร้อมใจอันเด็ดเดี่ยว เขากล่าวขึ้นน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า
“เย่หยวนมันกลายมาเป็นมารร้ายในจิตใจที่ตามหลอกหลอนข้าไม่เว้นวัน หากฆ่ามันไม่ได้ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีทางทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้อีกแล้ว!”
ฉินเทียนหนิงตระหนักทราบถึงความน่ากลัวของเงามืดในจิตใจ นี่คือปมผูกแน่นของผู้คนที่อาจส่งผลกระทบถึงความสำเร็จในอนาคตของเหล่านักสู้ เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “เสียดายนักที่เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าไม่สามารถเข้าไปในดินแดนนภาบรรพจได้ มิฉะนั้นตัวตนจะถูกเปิดเผยทันที และอาจต้องปะทะกับพวกวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ หากเป็นแบบนั้นกลายเป็นปัญหาใหญ่โตแน่ การเดินทางสู่ดินแดนนภาบรรพต…ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้ว!”
ฉินเทียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเองก็พกความมั่นใจไม่น้อย! ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเย่หยวนคือ วิญญาณชั่วสองดาวขั้นปลายกับวิชาขี่ดาบ แต่หลังจากที่ข้าเข้าสู่ดินแดนนภาบรรพต ข้อจำกัดแห่งมหาพิภพถงเทียนจะไม่มีอีกต่อไป ยามนั้นข้าสามารถเหาะเหินอากาศได้เช่นกัน! ในเวลานั้นมันก็ไม่เหลืออะไรให้พึ่งพาได้แล้ว! และข้าจะเป็นคนสังหารมันกับมือเอง!” แม้ว่าฉินเทียนจะเกลียดชังเย่หยวนพียงใด แต่เขาก็หาใช่คนประมาท
หากไม่มีหลักประกันแน่นอน เขาเองก็ไม่เสี่ยงเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว หากเทียบกันแบบด้านต่อด้าน ฉินเทียนก็เห็นว่าตนเหนือกว่าเย่หยวนทั้งหมด เพื่อเลื่อนระดับขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าในอนาคต เขาจำต้องกำจัดมารร้ายในจิตใจอย่างเย่หยวนทิ้งไปซะ ในขณะที่เย่หยวนถูกลิขิตไว้แล้วให้เป็นวิญญาณผู้ล่วงลับภายใต้คมดาบของเขา!
…………….
ณ พรมแดนจุดเชื่อมต่อไปจากดินแดนนภาบรรพต เหนือความว่างเปล่าทั้งมวลประตูผนึกดินแดนขนาดยักษ์ได้ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ร่างหนึ่งตรงออกจากประตูผนึกดินแดนสู่ห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุดโดยตรง เพียงไม่นานร่างนั้นก็มาถึงจุดหมาย พร้อมทัศนียภาพเบื้องหน้าปรากฏเป็นมหาสมุทรสุดลูกหูลูกตา
“ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า มหาพิภพถงเทียนยังมีสิ่งที่เรียกว่า เข็มทิศสมดุลวายุที่เป็นเครื่องรางข้ามห้วงอวกาศโดยเฉพาะเช่นนี้ด้วย เฮ้ออ…หากย้อนกลับไปตอนนั้นหากข้ามีเจ้าสิ่งนี้ล่ะก็ คงไม่ต้องบาดเจ็บสาหัสเจียนตายแล้วกระมัง?”
ร่างที่พุ่งผ่านประตูผนึกดินแดนมิใช่ใครอื่นนอกจากเย่หยวนอย่างแม่นยำ
ก่อนที่เขาจะเดินทาง เย่หยวนได้รับเครื่องรางมาสองชิ้น หนึ่งในนั้นคือเข็มทิศสมดุลวายุจากท่านอาจารย์ผู้ดูแลหอเครื่องรางวิเศษของสถานศึกษา ทันทีที่ใช้เข็มทิศสมดุลวายุ มันจะสร้างเกราะป้องกันคุ้มกายผู้ใช้และปรับสมดุลห้วงอวกาศภายในชั้นเกราะให้เสถียร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันผู้ใช้จากการฉีกกระชากของห้วงอวกาศภายนอกอันปั่นป่วน และนำพาไปสู่จุดหมายอย่างปลอดภัย
ระหว่างเดินทางผ่านห้วงอวกาศเช่นนี้ เย่หยวนอดนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นมิได้เลย ที่ตนถูกหลุมดำอวกาศดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง ทว่ายามนี้มีเข็มทิศสมดุลวายุอยู่ในมือก็อุ่นใจได้เลย เขาสามารถเดินทางไปยังจุดหมายได้โดยไม่มีสภาพอนาถเฉกเช่นกาลก่อนแน่นอน
“วิธีหลอมสร้างเครื่องรางในมหาพิภพถงเทียนเป็นสิ่งที่ผู้คนในพิภพยุทธจักรยิบย่อยไม่สามารถจินตนาการได้เลย แต่เข็มทิศสมดุลวายุจัดได้ว่าเป็นเครื่องรางที่ถูกคุมเข้มอย่างมากไม่ว่าจะอยู่ที่ใด หากนำมันออกไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้นั้นจะถูกตัดสินโทษประหารทันที! เพียงว่าสิ่งนี้เป็นปัจจัยหลักในการเดินทางข้ามดินแดนเพื่อทำภารกิจ เจ้าจึงได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ ห้ามให้สิ่งนี้ตกอยู่ในมือผู้อื่นเด็ดขาด!” หวูเฉินกล่าว
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “ดูเหมือนข้าจะต้องเก็บเกี่ยวสมบัติฟ้าดินให้ได้เยอะๆ จะได้คุ้มกับที่ยืมเจ้าสิ่งนี้มาใช้! และที่สำคัญที่สุด…ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์! หากไม่ได้มาในคราวนี้เกรงว่าในภายภาคหน้าคงเป็นเรื่องยากแล้ว”
ในขณะที่สนทนาพูดคุยกันอยู่ จู่ๆ ก็มีฟองอากาศปรากฏขึ้นบนมหาสมุทรตรงหน้า
ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว!
สัตว์ประหลาดรูปทรงคล้ายปลานับหลายร้อยตัวพุ่งขึ้นจากน่านมหาสมุทร พร้อมเข้าจู่โจมเย่หยวนอย่างบ้าคลั่ง เย่หยวนขมวดคิ้วเข้ม รัศมีแรงกดดันพลันปะทุเดือดอัดปะทะพวกมันโดยตรง
บุ๋ม บุ๋ม บุ๋ม…
ร่างสัตว์ประหลาดคล้ายปลาเหล่านั้นตัวแตกระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดกลิ่นคาวฟุ้งกระจายออกมา
“เป็นเพียงอสูรระดับเก้า แต่ยังกล้าโจมตีข้า? ประเมินตัวเองสูงส่งเกินไป!” เย่หยวนสบถดังด้วยท่าทีแสนเหยียดหยาม
แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีสัตว์ประหลาดอีกสามตัวโผล่ขึ้นจากน่านสมุทรต่อในบัดดล! รัศมีกลิ่นอายของทั้งสามแกร่งกร้าวโดดเด่นเป็นพิเศษ ซึ่งแตกต่างจากพวกก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง พวกมันคืออสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง!
ชวิ้ง! ชวิ้ง! ชวิ้ง!
แสงคมดาบสารพัดปราดพุ่งออกมาโดยมิให้สัญญาณใดๆ คล้ายคมมีดสับสัตว์ประหลาดทั้งสามตัวนั้นเป็นชิ้นๆอย่างไร้ปรานี
“ท่านอาวุโส นี่เกิดอะไรขึ้น? ข้ายังไม่ทันยั่วโมโหพวกนั้นแท้ๆ!” เย่หยวนเอ่ยบ่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เขาเพียงยืนอยู่นิ่งๆอย่างเงียบๆและยังไม่ทันไปยั่วยุกระตุกหางใคร ทว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้กลับพุ่งเข้าจู่โจมเขาอย่างหน้าตาเฉย สิ่งนี้ทำให้เย่หยวนงุนงงเป็นที่สุด
“หากย้อนกลับไป ตอนที่เผ่าปีศาจบุกเข้ารุกรานในดินแดนพฤกษานิรันดร์ พวกอสูรในหุบเขาเหวพระเจ้าเองก็เคลื่อนพลออกมาสู้รบจนตายกันไปข้าง เพราะเผ่าปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมที่มาจากโลกภายนอก เต๋าแห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์จึงปฏิเสธการอยู่ของพวกมัน และตอนนี้เจ้าเองก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเผ่าปีศาจในตอนนั้น เต๋าแห่งดินแดนนภาบรรพตปฏิเสธการมีอยู่ของเจ้า! ดังนั้นตามสัญชาตญาณของมันจึงต่อต้านและต้องการขับไล่เจ้าออกไป” หวูเฉินกล่าว
เย่หยวนรู้สึกปวดเศียรจี๊ดขึ้นหัวฉับพลัน เขากล่าวว่า “หมายความว่าอย่างไร? ตัวตนของข้าถูกเปิดเผยง่ายดายเช่นนี้?”
หวูเฉินพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ถูกต้อง! กลิ่นอายบนร่างของเจ้าไม่สอดคล้องกับดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้ หากเป็นผู้ใดบรรลุเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าจะสามารถตรวจจับความผิดปกติในตัวเจ้าได้ง่ายมาก นอกจากนี้ ยิ่งเจ้าสำแดงพลังออกมามากเท่าไหร่ เต๋าแห่งดินแดนนภาบรรพตจะยิ่งปฏิเสธเจ้ารุนแรงยิ่งขึ้นเท่านั้น! ยามนี้พอเข้าใจหรือยังว่าไฉนภารกิจประเภทนี้ถึงมีอัตรารอดชีวิตที่ต่ำมาก?”
เย่หยวนเงียบลงทันที เขาไม่เคยนึกถึงปัญหาในจุดนี้มาก่อนเลย ทว่าปัจจุบันกลับกลายเป็นเรื่องลำบากเสียแล้ว
ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์เป็นสมบัติฟ้าดินที่ล้ำค่าหาประเมินไม่ ตามการสันนิษฐานของเขา สิ่งนี้น่าจะถูกเก็บรักษาโดยพวกวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ กลุ่มอิทธิพลเจ้าถิ่นแบบนี้ขุมกำลังเหนือชั้นมากมาย ไม่ว่าเขาจะระวังตัวแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลีกหนีจากสายตาของคนกลุ่มนี้ได้เลย
ผู้เข้ามาสำรวจในอดีตล้วนแต่เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายไม่ก็ขั้นสุด แต่น่าก็เป็นข้อเสียเช่นกัน เนื่องจากกลิ่นอายระดับนั้นค่อนข้างชัดเจนเกินไป และยากที่จะรอดกลับมา ดังนั้นภารกิจนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังตัวสูงสุด จึงถูกตั้งให้เป็นระดับสามดาว
เย่หยวนเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ท่านอาวุโส ไม่มีหนทางแก้ไขเรื่องนี้เลยรึ?”
หวูเฉินส่ายหัวและกล่าวว่า “ลืมไปได้เลย ต่อให้เป็นจอมเทพนิรันดร์เดินทางมาด้วยตัวเองยังถูกเต๋าดินแดนอื่นปฏิเสธเช่นกัน เว้นเสียแต่เจ้าจะได้รับผลวิญญาณเต๋าของดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้ หรือไม่ก็ทำให้เต๋าที่แห่งนี้ยอมรับในตัวเจ้า เหมือนกับตอนที่เจ้าได้การยอมรับจากเต๋าแห่งกินแดนพฤกษานิรันดร์ ซึ่งไม่ว่าวิธีใดก็ไม่เป็นไม่ได้เลย”
เย่หยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างอดมิได้ หากเป็นเช่นนี้การจะไปเสาะหาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์กลับยิ่งเป็นเรื่องยากขึ้นหลายทวี ข้อกำจัดที่เขาได้รับมันมีมากมายเกินไป!
เย่หยวนเงียบลงอีกครู่ใหญ่ ยามนี้กำลังครุ่นคิดหนัก
แต่ทันใดนั้น คู่ดวงตาพลันสว่างไสวเป็นประกายจ้าในบัดดล เงาร่างกระตุกวูบ เย่หยวนเดินทางลาจากมหาสมุทรนั้นออกไปทันที เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ยามนี้ก็มาถึงกลางป่าทึบอันกว้างใหญ่แล้ว เย่หยวนเดินหาพื้นที่เปิดโล่งพร้อมนั่งขัดสมาธิ จากนั้นก็เริ่มโคจรบัญญัติเทพแห่งถงเทียนทันที เพื่อสื่อสารกับหุบเขาถงเทียนจำลอง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆร่างกายของเย่หยวนก็เปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัสออกมา ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพบินตรงออกจากร่างพลางลอยเคว้งอยู่เหนือศีรษะของเย่หยวน
ทันใดนั้นม่านรัศมีสีขาวก็เทลงมาจนปกคลุมทั่วร่างของเย่หยวน เมื่อเห็นภาพฉากสุดน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้ ร่างของหวูเฉินสั่นเทาโดยมิตั้งใจ สายตาที่จับจ้องโพล่งกว้างด้วยความตะลึง
“เจ้าเด็กคนนี้จะมากพรสวรรค์เกินไปแล้ว! สามารถบรรลุระดับชั้นนี้ได้ด้วยตัวเพียงลำพัง! เขา…เขาทำเช่นนี้ได้ตั้งแต่เมื่อใด?” หวูเฉินอุทานขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
………………………………………..
ตอนที่ 1412 ไป๋เฉิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
คล้อยหลังรัศมีแสงสีขาวสลายหายไป เย่หยวนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้า เจาะลึกในแววตาเผยถึงความตื่นเต้นสุดพรรณนาไม่
“มันได้ผล!”
ปัจจุบัน เย่หยวนไม่รู้สึกถึงเต๋าแห่งดินแดนนภาบรรพตที่ปฏิเสธเขาอีกต่อไป!
“นี่เจ้าคิดได้อย่างไร? ใช้หุบเขาถงเทียนจำลองสร้างรัศมีเลียนแบบกลิ่นอายของศาสตร์แห่งสวรรค์ในดินแดนนภาบรรพต!” หวูเฉินอุทานลั่นด้วยความประหลาดใจ
“เหอะ พิภพยุทธจักรถูกสร้างขึ้นโดยยอดเซียนที่บรรลุเต๋าจากหุบเขาถงเทียนอีกหนึ่ง ดังนั้นการที่พ่อแม่จะเลียนแบบกลิ่นอายลูกตัวเองย่อมมิใช่เรื่องยาก ข้าจึงพยายามสื่อสารกับหุบเขาถงเทียนจำลองให้สร้างรัศมีเลียนแบบขึ้นมาปกคลุมร่างกายของข้าอีกชั้นหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้ผลจริงๆ” เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมท่าทีแสนตื่นเต้น
หวูเฉินพูดอะไรไม่ออก เจ้าเด็กคนนี้มักจะมีความคิดแปลกๆออกมาอยู่เสมอ และทำให้เขาประหลาดใจไม่รู้จบซึ่งนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เย่หยวนทำให้เขาประหลาดใจได้สำเร็จ
ด้วยขุมพลังแห่งหุบเขาถงเทียนจำลองที่ปกป้องเขาอยู่นี้ ไม่ว่าดินแดนนภาบรรพตจักกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด เขาย่อมสามารถท่องทั่วยุทธภพได้อย่างอิสรเสรี! ต่อให้เซียนอาณาจักรบรรชนพระเจ้ายืนอยู่ตรงหน้าเย่หยวน แค่คนพวกนั้นก็ไม่มีทางจับผิดเขาได้เช่นกัน
เย่หยวนค่อยๆ เร่งพลังเข้ากดดันขุมพลังอาณาจักรพระเจ้าภายในร่างจนมันค่อยๆ จางหายไปในท้ายที่สุด ในไม่ช้ารัศมีกลิ่นอายเซียนอาณาจักรพระเจ้าทั้งหมดก็สลายโดยสิ้น เย่หยวนในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเลย ด้วยเหตุนี้ เย่หยวนยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่า หากพบเจอเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า แม้แต่เซียนระดับชั้นนั้นก็ไม่มีทางมองเขาออกแน่นอน หากต้องการทำตัวให้กลมกลืนกับดินแดนแห่งนี้ เป็นการดีที่สุดที่เขาแสร้งทำเป็นคนธรรมดาไร้ภูมิหลังอันใด
อันที่จริงแล้ว สถานศึกษาหวูเมิ่งเองก็มีข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้น้อยมาก นี่จึงเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่เย่หยวนจำต้องพรางตัวแบบนี้ ก่อนที่จะตามหาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ จำต้องรู้จักดินแดนนภาบรรพตให้มากกว่านี้เป็นอันดับแรก
เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็ใช้ก้าวพริบตาออกมา ร่างไสวอันตรธานหายไปจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่ทันที
ภายในป่าอันกว้างใหญ่ เย่หยวนยังคงเดินเล่นอยู่บริเวณทุ่งเปิดโล่ง แต่ในความเป็นจริงคำว่า‘เดินเล่น’ก็เร็วจนระดับสายตาของคนทั่วไปมองตามไม่ทันแล้ว!
ปราดทะยานห่างออกไปนับพันลี้
“หื้ม?”
ทันทีทันใด ร่างของเย่หยวนพลันหยุดชะงักลงทันที
เมื่อมาถึงดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้ ญาณสัมผัสของเขาก็กลับมาทรงพลังแผดขยายกว้างไพศาลอีกครั้ง เสี้ยวพริบตาเขาก็สัมผัสได้ว่ามีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งอยู่เบื้องหน้า ในขณะเดียวกัน เย่หยวนก็สัมผัสได้เช่นกัน คล้ายว่ามีอสูรระดับชั้นอาณาจักรพระเจ้าสุดแกร่งกร้าวตัวหนึ่งกำลังวิ่งมาทางนี้เหมือนกัน
“อสูรปีศาจอยู่ทางนั้น! ท่านอาจารย์โม่หยุน ในครานี้ข้าจะต้องจับอสูรปีศาจตนนั้นและทำให้เชื่องได้แน่นอน! โปรดอย่าแทรกมือช่วยเหลือ!” เสียงชายหนุ่มดังขึ้น
“หุหุ โม่หยุนคนนี้เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของนายน้อยไป๋เฉิน! หากไม่วิกฤติจริงๆ ข้าไม่ไปแทรกแซงแน่นอน!” โม่หยุนกล่าวขึ้นพลางหัวเราะเล็กน้อย
เขาตระหนักดีว่านายน้อยไป๋เฉินผู้นี้มีความสุขกับความภาคภูมิในตนเองแค่ไหน ทว่าไม่นานมานี้กลับต้องพ่ายให้แก่อสูรปีศาจตนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนี่ทำให้นายน้อยมุ่งมั่นฝึกปรือเป็นเท่าตัว อย่างไรก็ตามแต่ พรสวรรค์ของนายน้อยไป๋เฉินก็ช่างน่าทึ่งนัก ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี นายน้อยไป๋เฉินก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากภายใต้แรงกดดันที่อสูรปีศาจตนนี้มอบให้
“ท่านอาจารย์โม่หยุนคราวนี้ต้องไม่ซ้ำรอยดั่งคราก่อน ข้าได้สร้างบาดแผลให้มันไว้แล้ว เผด็จศึกไม่มีพลาด!” ไป๋เฉินกล่าวขึ้นพร้อมสายตาอันมุ่งมั่น
“ฮ่าๆ นายน้อยไป๋เฉินต้องทำได้แน่นอน! แต่หากเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นที่เกี่ยวพันถึงชีวิต เกรงว่าข้าเองก็ต้องดำเนินการเช่นกัน!” โม่หยุนหัวเราะคำหนึ่งพร้อมเอ่ยตอบ
“นายน้อยต้องทำสำเร็จแน่นอน! คราวนี้ต้องเอาชนะเจ้าอสูรปีศาจนั้นให้ได้!”
“นายน้อยทำได้!”
“นายน้อยทำได้!”
…
พ่วงท้ายคล้อยหลังทั้งสองปรากฏเป็นเหล่านักสู้หลายคนที่กำลังตะโกนให้กำลังใจไป๋เฉิน ไป๋เฉินยิ้มอย่างภาคภูมิใจพร้อมพุ่งเข้าใส่อสูรปีศาจตนนั้นทันที
“โฮกกก!”
ขณะที่ไป๋เฉินกำลังปราดพุ่งเข้าใส่อสูรปีศาจ มันก็คำรามอย่างบ้าคลั่งและกระโจนใส่เย่หยวนราวกับต้องการขย้ำให้ตาย แต่เดิมก่อนหน้า เนื่องจากมีต้มไม้ใบหญ้าบดบังทัศนวิสัยจากระยะไกลอยู่จึงไม่ทันสังเกตเห็น ทว่าเมื่อไป๋เฉินตรงเข้ามาใกล้ก็พบว่ามีเยาวชนหนุ่มอีกคนยืนอยู่ และอสูรปีศาจตนนั้นก็กำลังพุ่งใส่เย่หยวน ไป๋เฉินพลันวิตกกังวลหนัก เขากลัวว่าอสูรปีศาจตนนี้จ้องจะตะครุบเย่หยวนอยู่
“หยุดเดี๋ยวนี้! ปล่อยเขาออกมาซะ!”
ไป๋เฉินคำรามลั่นเสียงกึกก้อง พร้อมพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า
ในอีกด้าน เย่หยวนยังคงฉงนใจนึกอยู่ สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายสิงโตตัวนี้คือสิ่งมีชีวิตประเภทไหน ไฉนเขาถึงไม่รู้จักมันมาก่อน แม้พินิจจากรูปร่างลักษณ์ทางกายภาพจะคล้ายคลึงกับอสูรหรืออสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเคยพบเจอ แต่กลิ่นอายของมันกลับมิได้จัดอยู่ในเผ่าพันธุ์อสูร มันช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ไป๋เฉินโหมกระหน่ำรีดเร้นระดมพลังเต็มสูบ กระชับทวนศักดิ์สิทธิ์เข้าปะทะกับอสูรปีศาจโดยไม่เกรงกลัว ยามนี้ศึกสัประยุทธ์เดือดระหว่างไป๋เฉินกับอสูรปีศาจก็เริ่มเปิดฉากขึ้นทันที
ทันทีที่สบโอกาส เขาเสียบทวนทะลวงร่างของอสูรปีศาจตนนั้นทันที ก่อนเร่งระดมพลังปราณผนึกเป็นทวนอีกอันซ้ำกระหน่ำใส่อย่างไม่ลดละซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อไป๋เฉินเห็นภาพฉากนี้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาประหนึ่งว่าตนได้เติบโตขึ้นไปอีกขั้นในขณะที่ต่อสู้
ในขณะนั้นเองโม่หยุนและคนอื่นๆเองก็เร่งตรงมายังจุดที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้อย่างดุเดือด ทันทีที่พวกเขาเห็นเย่หยวนยืนอยู่ตรงนั้น ทุกคนก็อดตะลึงมิได้ ก่อนหน้านี้พวกเขาสัมผัสได้เพียงกลิ่นอายสุดแกร่งกร้าวสองสาย ซึ่งนั้นมาจากไป๋เฉินและอสูรปีศาจ นอกเหนือจากทั้งสองก็ไม่มีใครรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายใดๆ อีกแม้แต่ร่องรอยก็ไม่มีแม้สักนิด
แต่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่ายังจะมีอีกคนอยู่ที่นี่ซึ่งก็เป็น…คนธรรมดา
โม่หยุนเหลียวหลังมองเย่หยวนพร้อมปรับขนาดสายตาพินิจโดยละเอียด แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เย่หยวนก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น
บูมมม!
จากนั้นไม่นาน ทวนยาวของไป๋เฉินก็เข้าปิดฉากอสูรปีศาจตนนั้นจนสิ้นฤทธิ์ล้มลงทันที เมื่อเหล่าศิษย์สาวกเห็นภาพฉากนี้ ทุกคนต่างปรบมือให้พร้อมเสียงชื่นชมมากมาย
“สุดยอด!”
“นายน้อยไป๋เฉินปิดฉากได้อย่างสวยงาม!”
“นายน้อยปิดฉากเลย!”
…
เมื่อคนเหล่านี้เห็นว่าเย่หยวนเป็นเพียงคนธรรมดา
พวกเขาก็มองข้ามมิได้สนใจอะไร ‘เจ้าหนุ่มคนนี้อยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน?’ คู่คิ้วของโม่หยุนพลันขมวดขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ไป๋เฉินเปิดฉากโจมตีปิดโอกาสอสูรปีศาจมิให้ตอบโต้ได้เลยแม้แต่น้อย เขาอ้าปากกว้างกวาดเอาอากาศเข้าปากอย่างบ้าคลั่งเพราะเหนื่อยหอบ ทันใดนั้นปลอกคอสีทองคำก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
“อัญเชิญ!”
ไป๋เฉินขึ้นปลอกคอสีทองคำขึ้นมาพร้อมพึมพำอะไรบางอย่าง ก่อนจะโยนออกไปคล้องคออสูรปีศาจตนนั้นโดยตรงอสูรปีศาจในตอนนี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่จะขัดขืน มันทำได้เพียงนอนสิ้นท่าเฝ้ามองไป๋เฉินอย่างสิ้นหวัง
“ฝากมันไว้กับพวกเจ้าด้วย”
ไป๋เฉินเอ่ยสั่งเสียงดังกับเหล่าศิษย์สาวกที่ติดตามมา แต่แล้วก็หันไปหาเย่หยวนพร้อมตบไหล่เบาๆและยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหนูคงหวาดกลัวมาใช่ไหม? ไม่เป็นไร นายน้อยปราบมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว! แต่หากเมื่อครู่ข้ามาช้ากว่านี้ เกรงว่าเจ้าคงกลายเป็นอาหารในท้องมันไปแล้ว!”
เย่หยวนยิ้มตอบเล็กน้อยและกล่าวว่า “ขอบคุณอย่างยิ่งที่นายน้อยไป๋เฉินช่วยชีวิตข้า”
‘ข้าก็มิได้แสดงอาการตื่นกลัวอันใดเสีย? กลับกันเลยข้ากำลังจะศึกษาว่าสัตว์ประหลาดเมื่อครู่คือตัวอะไรกันแน่? ตอนนี้เจ้านั้นกลับตีตัวเองว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตไปเสียแล้ว?’
แต่แน่นอนว่าเย่หยวนมิได้เอ่ยกล่าวอะไรออกมา เพียงตามน้ำอีกฝ่ายมิให้เป็นที่สงสัย
ไป๋เฉินโบกมือปัดไปมากลางอากาศและกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น นี่นับเป็นเรื่องเล็กน้อยนักไม่ควรค่าจะเอ่ยถึง! แต่นายน้อยผู้นี้เองขอนับถือในความกล้าของเข้าเลยจริงๆ กลางป่าพฤกษารกร้างแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายหลายหลาก แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้ายังไม่อยากจะเข้าใกล้มากนัก แต่เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาแท้ๆ ทว่าหาญกล้าไม่กลัวตาย!”
เย่หยวนเพียงยิ้มตอบแต่มิได้กล่าวอะไร
ไป๋เฉินที่สุดท้ายก็สามารถจัดการอสูรปีศาจตนนี้ได้สำเร็จ จึงทำให้ตอนนี้เขาอารมณ์ดีอย่างมากและกล่าวต่อว่า“ช่างเถอะ นายน้อยผู้นี้อารมณ์ดีมิใช่น้อย เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าออกไปด้วยกัน! มาเถอะ!”
เย่หยวนประสานมือกล่าวขอบคุณว่า “เช่นนั้นต้องรบกวนนายน้อยไป๋เฉินแล้ว”
“ฮ่าๆ เจ้าเด็กนี่โชคดีจริงๆ! ดันวิ่งมาเจอนายน้อยไป๋เฉินในวันที่ออกมาฝึกพอดี! มิฉะนั้นเจ้าคงเหลือแต่กระดูกแล้ว!”
“หลังออกจากป่าพฤกษารกร้างได้ เจ้าอย่าลืมขอบคุณนายน้อยไป๋เฉินเสียล่ะ!”
“เจ้ายังโชคดีมากนัก คนที่พบเป็นนายน้อยไป๋เฉิน หากเป็นคนอื่นพวกนั้นคงไม่แยแสเจ้าแน่นอน!” เหล่าศิษย์สาวกที่ติดตามไป๋เฉินมาเร่งตรงปรี่มาพูดคุยกับเย่หยวนอย่างสนุกสนาน พวกคนต่างรู้สึกว่า เย่หยวนคนนี้เป็นพวกดวงแข็งนักที่รอดชีวิตออกมาได้อย่างเฉียดฉิวเช่นนี้
…………………………………………………
ตอนที่ 1413 ก็แค่ผ่านทางมา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไป๋เฉินขึ้นขี่สิงโตมายาทะยานควบไปมา ยามขึ้นบัญชาบนหลังของมันช่างมีสง่าราศีและเขาก็รู้สึกถูกใจกับเจ้าอสูรปีศาจตนนี้มาก
เย่หยวนได้ทราบจากไป๋เฉินว่า สัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายสิงโตตัวนี้มีชื่อว่า สิงโตมายา
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ เย่หยวนก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปใหญ่
ปลอกคอนั้นที่สิงโตมายาคล้องสวมอยู่คล้ายว่าจะมีพลังวิเศษบางอย่าง ถึงขั้นที่ว่าสามารถควบคุมเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้ดั่งใจอิสระ
“นายน้อยไป๋เฉิน ข้าสงสัยยิ่งนักปลอกคอนี้คงเป็นของวิเศษกระมัง?” เย่หยวนเอ่ยถาม
ไป๋เฉินยิ้มและกล่าวว่า “นี่เรียกว่าหวงคล้องวิญญาณจักรพรรดิ เรื่องเช่นนี้มนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้าไม่ทราบก็หาใช่เรื่องแปลก มันเป็นถึงเครื่องรางวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง ตราบใดที่ข้าหยดโลหิตลงไปบนสิ่งนี้ และคล้องใส่อสูรปีศาจตนใด มันก็จะยอมรับข้าในฐานะเจ้านายทันที แต่แน่นอนว่าพวกมันคงไม่ยอมง่ายๆ ข้าคงต้องปราบปรามมันให้สิ้นฤทธิ์เสียก่อน ถึงจะทำตามแบบนี้กล่าวไปได้”
เย่หยวนแอบประหลาดใจไม่น้อย เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้จะมีวิธีหลอมสร้างเครื่องรางที่น่าอัศจรรย์ได้ขนาดนี้
เมื่อเห็นท่าทีอยากรู้อยากเห็นของเย่หยวน ไป๋เฉินพลันคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าอยากขึ้นขี่หน่อยรึไหม? ถือซะว่าสัมผัสประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต?”
เย่หยวนส่ายหัวไปมาพร้อมยิ้มตอบว่า “น่ากลัวเกินไป ข้าไม่ควรขี่จะดีกว่า”
“ฮ่าๆๆ เจ้าเด็กนี่คงเป็นพวกบัณฑิตที่เอาแต่หมกตัวกระมัง ความกล้าของเจ้ายังคงน้อยเกินไป! อย่าได้กลัวไปเลย ยามนี้สิงโตมายาถูกทำสัญญาแล้ว มันไม่มีทางโจมตีผู้คนแน่นอน!” เหล่าศิษย์สาวกที่ติดตามไป๋เฉินมาต่างหัวเราะเยาะเขา
เย่หยวนเพียงระบายยิ้มอ่อนและมิได้เอ่ยกล่าวอันใดอีก หาใช่ว่าเขาไม่อยากนั่ง แต่เขาไม่กล้าที่จะนั่ง หากเขานั่งบนร่างของสิงโตมายาตัวนี้ มันคงไม่กลัวจนมุดหัวหนีเลยรึ?
เหตุผลที่ไป๋เฉินสามารถโค่นสิงโตมายาลงได้อย่างไร้ซึ่งปัญหา ทั้งหมดก็เพราะแรงคุกคามที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างเย่หยวน ปัจจุบันร่างกายของเย่หยวนมีชั้นรัศมีที่จำลองมาจากเต๋าแห่งดินแดนนภาเทวะ ดังนั้นแล้วสัตว์ประหลาดพวกนี้จึงไม่กล้าทำร้ายเย่หยวน และอีกประการหนึ่งคือ สิงโตมายาสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงขวัญสุดขีดที่แฝงอยู่ในร่างกายของเย่หยวนได้
สายเลือดมังกรซึ่งเป็นเผ่าอสูรในกายเย่หยวนมีระดับชั้นสูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ นอกจากนี้ยังมีขุมพลังอันมหาศาลที่เขาสะกดไว้อยู่ภายในตัวอีก ที่สิงโตมายาพุ่งโจมตีเย่หยวนอย่างดุร้ายหาใช่เพราะต้องการขู่ให้เย่หยวนกลัว แต่มันกลัวเย่หยวนจนสัญชาตญาณสั่งให้ป้องกันตัว ที่เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น เย่หยวนสันนิษฐานว่าเป็นเพราะสายเลือดมังกรของเย่หยวนเป็นเผ่าอสูร ดังนั้นเมื่อสิงโตมายาเจอกลิ่นอายที่มิใช่ของเผ่ามันจึงเข้าโจมตีใส่
ระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้า เย่หยวนยังคงพินิจวิเคราะห์พร้อมประเมินความแข็งแกร่งของไป๋เฉินเสร็จสรรพ แม้เขาคนนี้จะเพิ่งบรรลุอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น แต่เพลงทวนและไหวพริบนับว่าไม่เลว ทว่าหากต้องการปราบปรามสิงโตมายา เกรงว่าฝีมือยังคงขาดตกอยู่หลายส่วน
ในอีกด้านหนึ่ง โม่หยุนยังคงเฝ้าระวังเย่หยวนอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เย่หยวนคนนี้โผล่มาจากไหนไม่ทราบ มนุษย์ธรรมดาจะอยู่กลางป่าพฤกษารกร้างที่เต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจอันน่าเกรงขามมากมายได้อย่างไร? เย่หยวนคนนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่นอน
วูบ! วูบ! วูบ!
ทันใดนั้นเองเงาร่างนับหลายสิบพลันกระโจนพุ่งออกมาจากป่าทึบ พร้อมเข้าล้อมไป๋เฉินและกลุ่มของเขาเสร็จสรรพไร้ซึ่งทางหนี
“ฮ่าๆๆ…ไป๋เฉิน! ข้ารอโอกาสนี้มาเนิ่นนานแล้ว! วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!” ร่างเล็กเปล่งเสียงดังชัดระเบิดหัวลั่นไม่หยุด
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินแปรเปลี่ยนทันควัน น้ำเสียงเยียบเย็นเอ่ยขึ้นว่า “ไป๋ชง นี่หมายความอย่างไร?”
ไป๋ชงแสยะยิ้มสุดน่ารังเกียจและกล่าวว่า “หมายความอย่างไรอย่างนั้นรึ? ทั้งๆที่ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า อายุประสบการณ์ก็มากกว่า แต่ไฉนกลับเป็นเจ้าที่ได้ขึ้นเป็นนายน้อย! และข้ากลับกลายเป็นสุนัขรับใช้ใต้เท้าเจ้า! ข้าไม่มีทางยอมแน่นอน! ข้านี่แหละจะขึ้นเป็นนายน้อยและปกครองวังเทวะรัตติกาลฉายต่อในอนาคต!”
โม่หยุนคำรามด่าอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ไป๋ชงเจ้าบ้าแล้วรึ?! มิใช่นิสัยสองหัวของเจ้าที่ลอบช่วยเหลือวังเทวะพิรุณร่วงโรยก่อนจึงถูกตัดสิทธิ์? ตอนนี้เจ้าคือศัตรูของพวกเราวังเทวะรัตติกาลฉายแล้ว!”
ไป๋ชงหัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อนและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุดเย็นชาขึ้นว่า “แล้วอย่างไร? ตราบที่ข้าได้ตำแหน่งนายน้อยมา เรื่องพวกนี้ยังมีความหมายอันใด?”
ด้านหลังไป๋ชงปรากฏเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาเหลียวมองไปทางโม่หยุนและหัวเราะเยาะพลางกล่าวว่า
“โม่หยุน เจ้าคงคาดไม่ถึงมาก่อนเลยใช่ไหม? เหอะ เหอะ อย่าถือโทษตำหนิว่าพวกเราไม่ให้โอกาส ฆ่าไป๋เฉินซะแล้วเราจะยอมให้เจ้าเข้าร่วมกับวังเทวะพิรุณร่วงโรย! ด้วยความแกร่งกล้าของเจ้า เจ้าย่อมได้รับตำแหน่งสำคัญแน่นอนภายในนั้น”
ทว่ายามนี้โม่หยุนกลับหาได้สนใจชายวัยกลางคนนั้นเลย แต่กลับหันขวับจ้องเขม็งใส่เย่หยวนทันทีและกล่าวว่า“เจ้านี่เอง! นี่เป็นสายลับของวังเทวะพิรุณร่วงโรย! มิฉะนั้นแล้วคนธรรมดาทั่วไปจะมาอยู่กลางป่ากลางเขาในนี้ได้อย่างไร?” ทั่วร่างของไป๋เฉินสั่นสะท้านหนัก ก่อนเหลียวมองเย่หยวนอย่างไม่กล้าเชื่อสายตา
“นี่…นี่เจ้า! เจ้านี่ช่างกตัญญูตอบแทนพวกเราได้ดีเหลือเกิน!” ไป๋เฉินชี้นิ้วใส่หน้าเย่หยวนและคำรามลั่นกล่าวด้วยความขุ่นแค้นแสนขมขื่นใจ
“หึ! ข้าเฝ้ามองเขามานานแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้หาใช่สามัญชนทั่วไป แต่เป็นยอดฝีมือซ่อนคม! รัศมีบนร่างกายของเขาคล้ายมีเครื่องรางบางอย่างคอยปกปิดพลังไว้อยู่!” โม่หยุนกล่าวอธิบายอย่างเย็นชา
เย่หยวนคิดไม่ถึงเลยว่า โม่หยุนจะชี้หอกชี้เป้ามาใส่เขาแบบนี้ ยามนี้แสร้งปั้นหน้าไม่รู้เรื่องพร้อมเอ่ยตอบด้วยท่าทีไร้เดียงสาไปว่า “ข้าไม่ใช่สายลับจริงๆ! เจ้าพวกนั้นก็น่าจะเป็นพยานให้ข้าได้จริงไหม?” คนที่เย่หยวนพาดพิงเอ่ยถึงก็คือไป๋ชง นี่คือเป็นสถานการณ์วิกฤตเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของพวกไป๋เฉิน
โม่หยุนที่แกร่งกล้าที่สุดในกลุ่มยังเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้น ในขณะที่คนอื่นๆ ล้วนเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นทั้งหมด
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้าม ความแข็งแกร่งของชายวัยกลางคนผู้นั้นเองก็มิได้สูงนัก แต่ก็นับเป็นปัญหาเช่นกับสำหรับโม่หยุน นอกจากเขา ที่เหลือก็เป็นแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าเช่นกัน มีแค่คนสองคนที่เป็นขั้นกลางหรือไม่ก็ขั้นสูง! ความแข็งแกร่งโดยรวมอีกฝ่ายเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด!
ได้ฟังแบบนั้นแต่ไป๋ชงกลับแสยะยิ้มเย็นและกล่าวว่า “โม่หยุนพูดถูกต้องแล้ว! มันเป็นคนที่เราส่งมาเพื่อระบุที่อยู่ของเจ้า!”
เมื่อไป๋ชงเห็นว่าภายในกลุ่มของไป๋เฉินเกิดความแตกแยกกันเอง เขาก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเป็นทวี เขาเองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน หากมีโอกาสได้หว่านเมล็ดแห่งความแตกแยก!
แน่นอน เมื่อไป๋เฉินกับโม่หยุนได้ฟังคำยืนยันแบบนั้น สีหน้าทั้งคู่พลันเปลี่ยนไปอย่างมากพร้อมจ้องเขม็งไปที่เย่หยวน สายตาของพวกเขาเจือแววอาฆาตสุดใจ
“เย่หยวน ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ! หากข้ารู้เช่นนี้แต่แรก ข้าคงปล่อยให้เจ้าถูกสิงโตมายากินไปนานแล้ว!” ไป๋เฉินกล่าวขึ้นด้วยความโกรธจัด
โม่หยุนโพล่งกล่าวเสียงเย็นว่า “นายน้อยไม่จำเป็นต้องพล่ามกับไส้ศึกเช่นนี้แล้ว! ตายซะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียง โม่หยุนยกฝ่ามือขึ้นพร้อมตบใส่เย่หยวนสุดแรง
ยามเห็นภาพฉากตีกันเองเช่นนี้ ชายวัยกลางคนและไป๋ชงต่างผุดยิ้มยินดีปรีใจ
บูมมม!
ฝ่ามืออันทรงพลังไร้ขอบเขตตบเข้าใส่กลางอกของเย่หยวนอย่างไร้ปรานี ทว่า…เย่หยวนยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นเดิมโดยหาได้ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว!
ลูกตาทุกคนแทบถลนออกมาทันทีที่เห็นภาพฉากนี้ ฉายแววไม่เต็มใจเชื่ออย่างหาปกปิดได้ เย่หยวนยังคงสบายดี!
“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?” ชายวัยกลางคนผู้นั้นพึมพำเหลือเชื่อ
ความแกร่งกล้าของโม่หยุน เขาตระหนักดีแจ่มแจ้ง ฝ่ามือเมื่อครู่ต่อให้เป็นตัวเขาก็ยังไม่กล้ารับโดยตรง แต่เจ้าเด็กคนนี้กลับยืนรับฝ่ามือนี้ได้อย่างสบายๆ!
เย่หยวนในตอนนี้สวมเกราะอ่อนที่เป็นถึงเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำของสถานศึกษาหวูเมิ่ง ระดับการโจมตีแค่นี้ย่อมไม่สามารถทำอะไรเขาได้โดยธรรมชาติ
เย่หยวนยักไหล่พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่จริงแล้วข้าก็แค่ยอดยุทธที่ผ่านทางมา และหาได้มีเจตนามีส่วนร่วมกับศึกชิงตำแหน่งนายน้อยของพวกเจ้าแม้สักนิด แล้วข้าเองก็แสดงความบริสุทธิ์ใจออกไปแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่เจ้า…ก็ยังตัดสินใจเช่นนี้? คิดดีแล้วจริงๆรึ?” กล่าวจบ เย่หยวนยกมือทั้งสองไพล่หลังสองเท้ายืนหยัดตระหง่านน่าเกรงขามยิ่ง
สีหน้าการแสดงออกของชายวัยกลางคนดูเคร่งเครียดขึ้นในทันใด แต่เสี้ยวอึดใจต่อมาเขาก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงตรงเข้ากระซิบข้างหูไป๋ชงว่า “พวกมันกำลังแสร้งแสดงละครฉากใหญ่ให้เรากลัว! ไม่ต้องไปสนใจเจ้าเด็กนั้นแล้ว เป้าหมายของเราคือฆ่าไป๋เฉิน!”
ไป๋ชงดูมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยพร้อมผงกศีรษะอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเอ่ยสั่งการต่อโดยไม่รีรอ
“โจมตี! ใครก็ตามที่ฆ่าไป๋เฉินได้ ข้าจักตบรางวัลให้อย่างงาม!”
“ฆ่า!”
วาจาประโยคสุดท้ายของไป๋ชงช่างมีเสน่ห์เกินหักห้ามใจ ด้วยความโลภพวกเขาปราดพุ่งโจมตีใส่ไป๋เฉินอย่างหน้ามืดตามัว ท่าทางการแสดงออกของโม่หยุนเปลี่ยนไปโดยพลัน ขณะที่กำลังจะลงมือช่วยเหลือไป๋เฉิน ร่างของชายวัยกลางคนกลับมาถึงตรงหน้าเข้าสกัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า! วันนี้เป็นวันตายของไป๋เฉิน แม้แต่เจ้าก็หยุดมันมิได้!”
ชายวัยกลางคนเข้าสัประยุทธ์เดือดกับโม่หยุนทันที
เหล่าศิษย์สาวกที่ติดตามไป๋เฉินมา พวกเขาเร่งปิดล้อมปกป้องไป๋เฉิงที่อยู่ ณ ใจกลาง ทว่าฝ่ายนั้นกลับมีระดับชั้นปฐมพระเจ้าขั้นกลางและขั้นสุดอยู่ด้วย ในไม่ช้าพวกศิษย์สาวกเหล่านี้ก็พลอยหมดแรงบาดเจ็บหนัก
โม่หยุนที่เห็นสถานการณ์ดังนั้นก็อดวิตกกังวลมิได้
เย่หยวนยังคงยืนตระหง่านนิ่งสงบไม่ไหวติง ทันใดนั้นเขาก็เปิดปากกล่าวขึ้นว่า
“แน่นอน ในเมื่อเจ้าเลือกเช่นนั้น ข้าย่อมไม่ปล่อยผ่านอีกต่อไป!”
…………………………………………….
ตอนที่ 1414 เล่นไล่จับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชวิ้ง ชวิ้ง ชวิ้ง ชวิ้ง ชวิ้ง…
แสงคมดาบนับหลายสิบสายฉีกฟ้าสะบั้นดินโฉบวาบสาดประกายน่าทึ่ง
ไป๋เฉินรู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพเบื้องหน้าพลันพร่ามัวเบลอหนัก แต่ยังคงกระหน่ำทะลวงทวนยาวทะลุอกศัตรูโดยหามิอุปสรรคใดมาขวางกั้น ไป๋เฉินไม่เวลามามัวชื่นชมยินดี เขากระชากทวนยาวออกมาพร้อมธารเลือดทะลักล้นดุจน้ำพุจากร่างคนนั้น แต่เมื่อหันขวับเตรียมสัประยุทธ์ต่อ กลับพบว่าสมรภูมิเบื้องหน้ากลายมาเป็นแอ่งเลือดบ่อใหญ่พร้อมไอโลหิตกลิ่นคาวฟุ้งกระจายไปทั่วเสียแล้ว
พวกที่ยังเหลือรอดโพล่งตาโตเท่าไข่ห่านอย่างไม่อยากจะเชื่อภาพฉากตรงหน้า เหล่ามิตรสหายของเขาตายตั้งแต่ตอนไหน แล้วตายได้อย่างไร?
ไป๋เฉินเองก็มีสภาพไม่ต่าง คู่ดวงตาแทบทะลักถลนออกมาคาเบ้า เขาเองก็ไม่เข้าใจแม้สักนิด ตนเพิ่งฆ่าไปได้คนเดียว แต่ศัตรูที่เหลือตายเกือบเกลี้ยง เห็นได้ชัดว่ามันมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับเพลงทวนเมื่อครู่เลย
กระทั่งเหล่าศิษย์สาวกที่ติดตามไป๋เฉิน พวกเขายังต้องอ้าปากค้างขากรรไกรแทบร่วงกร้าว
ชวิ้ง ชวิ้ง ชวิ้ง…
เหล่าเซียนของฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรยถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตาเดียว เรียกได้ว่าตายยันชาติหน้า
“นี่…นี่เกิดอะไรขึ้น?”
“ขะ แข็งแกร่งยิ่ง!”
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! นี่คือยอดฝีมือขนานแท้!”
เหล่าศิษย์สาวกที่ติดตามไป๋เฉินมาต่างสูดไอเย็นแช่มลึกด้วยความตกตะลึง ก่อนเบนสายตาจับจ้องไปที่เย่หยวนพร้อมแววตาสะท้านความกลัวสุดขีด ช่างเป็นการเคลื่อนไหวที่เฉียบคมและไร้เทียมทาน แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือความน่ากลัวเกินพรรณนา!
ในเสี้ยวพริบตา ก็สามารถสังหารขุมกำลังระดับชั้นอาณาจักรปฐมพระเจ้านับหลายสิบได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในบรรดาพวกนั้นยังรวมไปถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้นอีกหนึ่งราย ความแกร่งกล้าชนิดนี้ พวกเขาไม่กล้าจินตนาการแม้แต่น้อย! ต่อให้ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้ามากมาย ก็มิใช่ว่าจะถูกเย่หยวนฆ่าล้างจนหมดได้ในอึดใจเดียวเช่นกัน? สิ่งที่เขาฝากฝังไว้กับเหล่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าช่างน่าระทึกขวัญเกินไป เขาสามารถสับอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆได้ประดุจหั่นเต้าหู้!
โม่หยุนหน้าถอดสีซีดขาวราวกับแผ่นกระดาษบาง ทั่วร่างสั่นเทาหนักไม่หยุดหย่อนด้วยความหวาดกลัว
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งทำอะไรลงไป? ตบฝ่ามือใส่เย่หยวนมิใช่รึ? นี่เขากำลังเบื่อหน่ายกับชีวิตขนาดนั้นเขียว? ถึงมาหาเรื่องตายเล่น?
เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้นที่กล่าวไปข้างต้นก็มิใช่ใครอื่นนอกจากชายวัยกลางคนผู้นั้นที่อยู่ข้างกายไป๋ชง ขุมพลังของอีกฝ่ายใกล้เคียงกับโม่หยุนมาก แต่เมื่อครู่กลับถูกเย่หยวนฆ่าทิ้งตอนไหนยังไม่ทราบ!
หากเย่หยวนมีเจตนาฆ่าเขาทิ้งไปด้วย กลับง่ายราวกับลูกไก่ในกำมือ!
สิ่งที่เย่หยวนได้สำแดงออกไปเมื่อครู่ได้สร้างความหวาดกลัวฝังลึกลงในใจของทุกคนเกินไป
โม่หยุนสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความกลัวสุดกำลัง ยามนี้เร่งก้มศีรษะให้เย่หยวนและกล่าวว่า
“โม่หยุนคนนี้ช่างโง่เขลา! มีตาหามีแววไม่! ท่านผู้สูงส่ง สิ่งที่เมื่อครู่ท่านได้ลงมือไปนั้น โม่หยุนคนนี้ซาบซึ้งในน้ำใจและรู้สึกขอบคุณอย่างไม่มีสิ้นสุด ท่านผู้สูงส่งโปรดอย่าได้ถือสาความกังขาใจของข้าเมื่อครู่ โปรด…โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถอะ! แต่ถ้าหากท่านต้องการระบายความโกรธกับใครสักคน ก็โปรดลงกับข้าด้วยเถิด! ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง! อย่าง…อย่างน้อยก็เมตตาไว้ชีวิตนายน้อยไป๋เฉิน!”
ร่างของไป๋เฉินเองก็สั่นเทาไม่หยุด เขารีบคุกเข่าขอขมาต่อหน้าเย่หยวนและกล่าวว่า “ท่าน…ท่านผู้สูงส่ง เนื่องจากท่านอาจารย์โม่หยุนห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูกศิษย์เป็นสำคัญ เช่นนั้นอย่าได้ถือโทษโกรธตำหนิ! ท่านผู้สูงส่งมากน้ำใจเมตตา โปรดไว้ชีวิตท่านอาจารย์ด้วยเถิด! ข้าไป๋เฉิน…ยินดีทำตามที่ท่านสั่งทุกประการ!”
โม่หยุนคนนี้เฝ้าดูแลเส้นทางการเติบโตของเขาตั้งแต่เยาว์วัยจวบจนตอนนี้ ถึงจะเป็นในฐานะอาจารย์แต่ความผูกพันดั่งพ่อคนหนึ่ง ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากล่าวได้ว่าเหนียวแน่นยิ่ง หากโม่หยุนปล่อยให้ไป๋เฉินรอดตายออกไปคนเดียว เจ้าตัวไม่มีทางยอมแน่นอน
สีหน้าของโมหยุนแปรเปลี่ยนทันทีและกล่าวว่า “นายน้อยไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือชีวิตของโม่หยุนคนนี้ เราก็แค่คนแก่คนชราคนหนึ่งอนาคตกลับไม่ไกลนัก สร้างความขุ่นเคืองกับท่านผู้สูงส่งนับเป็นการกระทำผิดร้ายแรง! แค่ท่านออกโรงช่วยเราสังหารพวกนั้นไปก็นับว่าใจกว้างเปี่ยมเมตตายิ่งแล้ว! นายน้อยไม่ต้องอ้อนวอนแทนโม่หยุนคนนี้เลย!”
เย่หยวนเหลือบมองสองศิษย์อาจารย์คู่นี้พลางอดรู้สึกตลกมิได้ แต่ในอีกมุมก็รู้สึกกินใจไม่น้อยเช่นกัน ไป๋เฉินคนนี้มีจิตใจที่บริสุทธิ์และหาได้หยิ่งผยองถือดีดั่งพวกนายน้อยหรือลูกหลานตระกูลใหญ่คนอื่นๆ ซึ่งคนประเภทนี้เย่หยวนรู้สึกชื่นชอบและให้ความสนใจไม่น้อย มิฉะนั้นแล้ว เมื่อครู่เขาคงไม่ออกโรงช่วยเหลือแน่นอน
ทันใดนั้นเย่หยวนก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “หากพวกเจ้ายังเถียงกันเช่นนี้ เกรงว่าสหายคนนั้นจะหนีไปแล้ว?”
โม่หยุนชะงักโดยพลัน ก่อนจะสังเกตพบว่าไป๋ชงยังไม่ตายและกำลังหนีตายออกไปโดยไวประดุจควันไฟ
เมื่อเห็นคู่ศิษย์อาจารย์กำลังถงเถียงชุลมุน และเย่หยวนดูไม่มีท่าทีหันมาสนใจแม้แต่น้อย ดังนั้นไป๋ชงจึงเร่งพลังปราณถึงขีดสุดพร้อมพุ่งหนีตายสุดชีวิตออกไปทันที โม่หยุนเค้นเสียงเย็นคำโต คู่เท้ากระตุกวูบร่างไสวโผทะยานออกไปดุจสายฟ้า ความแกร่งกล้าของเขาเหนือกว่าไป๋ชงมากก็จริง แต่ยามนี้ไป๋ชงก็ทิ้งห่างหลายช่วงตัวออกไปไกลแล้ว ไม่ว่าจะเร่งความเร็วอย่างไรโม่หยุนกลับไม่สามารถตามจับได้ทันเลย
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินดูเคร่งขรึมขึ้นทันตา หากไป๋ชงหนีไปได้เกรงว่าจะนำพาปัญหามาอีกในอนาคตนับไม่ถ้วน! ด้วยความวิตกกังวลสุดขีดและไร้ซึ่งหนทางอื่น เขาจึงมิอาจละเว้นบากหน้าเอ่ยปากขอร้องเย่หยวนได้
“ท่านผู้สูงส่ง!”
เย่หยวนเองก็มิได้นิ่งเฉยเช่นกัน ทันใดนั้นคลื่นคมดาบทรงจันทร์เสี้ยวขนาดยักษ์พลันฟาดฟันออกไปโดยตรง ต่อหน้าคมดาบนี้ ทุกคนต่างเห็นชัดเจนเป็นประจักษ์ ไป๋เฉินหน้าถอดสีหนัก ในขณะที่เหล่าศิษย์สาวกของเขาเองก็หน้าซีดขาวไปตามๆกัน ไม่ว่าใครต่างตกตะลึงยิ่งต่อคมดาบตรงหน้านี้
แต่เดิม เหล่าศิษย์สาวกเหล่านี้ยังคงเอ่ยร้องสรรเสริญเขาที่เป็นคนช่วยชีวิตเย่หยวนออกมา ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ที่เย่หยวนปล่อยให้สิงโตมายาเข้าโจมตี เพราะเขาค้านใจที่จะลงมือเอง!
ทันใดนั้นไป๋เฉินก็นึกขึ้นได้ว่า ไฉนสิงโตมายาในคราวนี้ถึงถูกปราบได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ แค่ถูกเพลงทวนไม่กี่กระบวนก็สามารถล้มมันได้แล้ว ปรากฏว่ามันกลัวเย่หยวนจนขวัญหนีดีฝ่อ!
คมเขี้ยวเสี้ยวคมดาบขนาดยักษ์ทั้งว่องไวและดุดันเด็ดขาด พุ่งตัดน่านฟ้าสะบั้นเมฆาจนแยกออกเป็นสองซีกคลื่นคมดาบถูกห่อหุ้มด้วยแรงผันผวนจนมิติห้วงอากาศบิดเบี้ยว ถึงคมดาบนี้เพิ่งปลดปล่อยออกไป แต่กลับพุ่งผ่านตัดเส้นทางหนีของไป๋ชงได้ในพริบตา
ขณะที่ไป๋ชงกำลังหนีตายอย่างบ้าคลั่ง จู่ๆ คมดาบพุ่งโฉบตัดหน้าฉีกกางเกงของเขาจนเปลือยท่อนล่าง เช่นนี้เขายังจะทะยานหนีได้อย่างไร? ด้วยอาการชะงักช้านี้ จึงทำให้โม่หยุนที่ปาดพุ่งเร็วจี๋ดุจสายฟ้าตามจับทันในท้ายที่สุด
ไป๋ชงตื่นตะลึงไม่คลายใจต่อการมาถึงของคมดาบเมื่อครู่ อย่าว่าแต่จะวิ่งหนีต่อ คู่เข่าของเขาหมดแรงลดฮวบ ขวัญผวาถึงขั้นนี้แล้วเขายังจะเป็นคู่มือของโม่หยุนได้อย่างไร? ทันทีที่โม่หยุนเข้าถึงตัวก็ใช้ดัชนีปิดผนึกทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาโดยไม่รีรอ และอุ้มกลับมาเสมือนจับไก่มารอเชือด
เห็นภาพฉากสถานการณ์แบบนั้น ไป๋เฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวอย่างซาบซึ้งใจว่า
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับความช่วยเหลือนี้ท่านผู้สูงส่ง!”
เย่หยวนโบกมือปัดและกล่าวว่า “เอาล่ะ เรื่องทั้งหมดก็เป็นอันเสร็จสิ้น เช่นนั้นขอตัวลา”
เย่หยวนหมุนตัวกลับและกำลังจะจากไปทันที
ไป๋เฉินสีหน้าท่าทางผันเปลี่ยน เขารีบตะโกนขึ้นว่า “ท่านผู้สูงส่ง!”
“หื้ม? ยังมีอะไรอีกรึ?”
ไป๋เฉินเอ่ยถามขึ้นว่า “ผู้เยาว์สงสัยว่า…ท่านกำลังจะไปที่ไหนต่อ?”
เย่หยวนกล่าวตอบเสียงเรียบว่า “ท่องทั่วพิภพ ตอนนี้ข้ายังไม่มีที่ซุกหัวนอนเลย”
ไป๋เฉินรู้สึกดีใจอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ ปรากฏว่าท่านเย่หยวนเป็นยอดฝีมือผู้รักสันโดษไร้ซึ่งฝักฝ่าย กระทั่งเขาเองก็มิได้คาดหวังว่า ตนจะโชคดีอะไรปานนี้ที่มีโอกาสพบเจอกับเขา มิฉะนั้นแล้ว คนที่ตายลงในวันนี้คงเป็นเขาจริงๆ
“เนื่องจากท่านไม่มีที่พักพิงแถมมิได้มีธุระเร่งด่วนอะไร แล้วเหตุใดถึงไม่ไปเป็นอาคันตุกะของวังเทวะรัตติกาลฉายเสียหน่อย? ท่านผู้สูงส่งมีพระคุณช่วยชีวิตไป๋เฉินไว้ คงหาสิ่งใดมาตอบแทนได้ไม่ อย่าน้อยที่สุดก็ให้ข้ามีโอกาสต้อนรับยังบ้านของข้าด้วยเถิด” ไป๋เฉินจ้องเย่หยวนตาปริบๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
เย่หยวนเองก็มิได้ต้องการจากออกไปเช่นกันโดยธรรมชาติ ภาพฉากเมื่อครู่เป็นแค่การแสดงฉากแมวกับหนูเล็กน้อยเท่านั้นและนั่นคือทั้งหมด เขาเห็นมาสักพักแล้วว่า สถานะของไป๋เฉินคนนี้หาใช่ชนชั้นธรรมดาทั่วไปในดินแดนนภาบรรพต นอกจากนี้ฝ่ายที่ไป๋เฉินสังกัดอยู่ยังถูกเรียกว่าวังเทวะรัตติกาลฉาย ในขณะที่กลุ่มอำนาจปกครองสูงสุดของดินแดนนภาบรรพตมีชื่อว่า วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ บางทีทั้งสองฝ่ายนี้อาจมีความเกี่ยวพันกันก็เป็นได้
คล้อยหลังเข้าไปในวังเทวะรัตติกาลฉาย เขายังสามารถไถถามเกี่ยวกับข้อมูลของศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ได้อีกด้วย เย่หยวนเองก็ทราบ ผู้ที่รับภารกิจเดินทางมาที่ดินแดนนภาบรรพตในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาก็มีจำนวนไม่น้อย ซึ่งเป้าหมายของพวกเขาคงหนีไม่พ้นของวิเศษเพียงไม่กี่ชิ้นพวกนี้วนเวียนกันไป ดังนั้นแล้ว เรื่องนี้จำต้องรอบคอบเป็นพิเศษ หากเย่หยวนเปิดเผยเป้าหมายของตนชัดเจนเกินไป อาจไปกระตุ้นความสงสัยของผู้คนได้ ต้องใจเย็นและสุขุมเท่านั้นเพื่อรอจังหวะอันดีจึงจะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เย่หยวนจงใจเงียบครู่หนึ่งคล้ายกำลังชั่งน้ำหนักความสนใจ ก่อนพยักหน้าตอบว่า “เอาล่ะ ข้าเองก็ว่างจริงๆ ไปเที่ยวชมสถานที่ของพวกเจ้าหน่อยนับว่ามิใช่เรื่องใหญ่”
ไป๋เฉินมีความสุขอย่างมากเมื่อได้ยิน เขาตื่นเต้นจนตอบวาจาซ้ำไปมา “ขอบคุณท่านผู้สูงส่ง! ขอบคุณที่สละเวลาอันมีค่า! ขอบคุณท่านอย่างมาก!”
ในเวลาเดียวกัน โม่หยุนก็พาไป๋ชงกลับมาถึงที่ อีกฝ่ายรีบวิ่งไปเกาะแข้งเกาะขาของไป๋เฉินทันที
สีหน้าท่าทางของไป๋เฉินมืดทมิฬลงเฉียบพลัน เขากล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวยิ่งว่า “ไป๋ชง ข้าปฏิบัติต่อเจ้าดั่งพี่ชายแท้ๆ คนหนึ่งมาโดยตลอด! ทั้งยังให้ความเคารพเลื่อมใส แม้เจ้าจะไม่ชอบขี้หน้าข้าเพียงใด แต่ข้าก็ไม่เคยเอะอะอันใดสักคำ! แต่มาวันนี้เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยและวางแผนลอบสังหารข้า! เจ้านี่มัน…ทำให้ความเชื่อใจของน้องคนนี้ไม่เหลือแม้แต่น้อย!”
ไป๋ชงกอดขาของไป๋เฉินแน่นพร้อมกล่าวว่า “น้องรักของข้า ข้า…ข้าผิดไปแล้ว! ข้าสำนึกในความผิดตนเองแล้ว! ข้า…ข้าแค่สับสนอยู่ชั่วครู่หนึ่ง โปรดไว้ชีวิตพี่ชายคนนี้สักครั้ง!”
ไป๋เฉินแสยะยิ้มเย็นและกล่าวว่า “ข้าทราบมาเสมอ พวกเจ้าแอบกล่าวลับหลังข้าว่า ตัวข้ามันทั้งอ่อนแอและไร้ความสามารถ ไม่คู่ควรกับตำแหน่งนายน้อยแม้สักนิด แม้จะเป็นแบบที่กล่าวจริงๆ แต่ข้าเองก็มิได้โง่! หาใช่พ่อพระเมตตาสรรพชีวิต!”
…………………………………………………..
ตอนที่ 1415 ความหวังของไป๋เฉิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“นายน้อยกลับมาแล้ว! ในที่สุดท่านก็กลับมา! มีเรื่องแย่แล้ว!”
ทันทีที่กลับมาถึงวังเทวะรัตติกาลฉาย ชายชราคนหนึ่งมากภูมิฐานดั่งนักปราชญ์ตรงเข้ามาหาไป๋เฉินทันทีอย่างร้อนใจ
สีหน้าของไป๋เฉินเปลี่ยนไปอย่างมากและกล่าวว่า “ท่านลุงจี้ เกิดอะไรขึ้น?”
ท่านลุงจี้โศกเศร้าหนักราวกับแทบใจสลายตรงนั้น น้ำตาเอ่อล้นออกมาเปี่ยมแก้มย่นๆ เขากล่าวว่า “นายท่าน…นายท่าน…ใกล้ถึงวาระสุดท้ายแล้ว!”
ยามได้ฟังเช่นนี้ ประดุจสายฟ้าสีครามฟาดผ่ากลางศีรษะของเขาเต็มแรง ในขณะที่สีหน้าการแสดงออกของคนอื่นๆล้วนแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก
ไป๋เฉินคว้าไหล่ลุงจี้และเอ่ยถามว่า “ข้าหายไปแค่ครึ่งปี แต่ไฉนถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้!”
ทันใดนั้นไป๋ชงที่ถูกจับมัดอยู่ด้านหลัง เริ่มระเบิดหัวเราะราวกับคนเสียสติ
“ฮ่าๆๆๆ… สหายเฒ่าคนนี้ในที่สุดก็ใกล้ตายเสียที มันสมควรตายแล้ว! ฮ่าๆๆ…”
บูมมม!
เสียงระเบิดพลังดังกระหึ่มกึกก้อง ไป๋เฉินอัดพลังทั้งหมดไปที่ขาและเตะไป๋ชงด้วยความโกรธจัด จนอีกฝ่ายกระเด็นกลิ้งออกไป
“ไอ้บัดซบ! แกทำอะไรกับเสด็จพ่อ!”
ไป๋ชงโดยถีบสุดแรง ทั่วทั้งปากชโลมไปด้วยเลือดสดล้นทะลัก แต่อาการบาดเจ็บพวกนี้มันหาได้สนใจไม่ แต่อย่างไรก็ตาม มันยังคงหัวเราะดังลั่นไม่หยุดหย่อนขณะกล่าวว่า “ไอ้แก่โง่นั้นบังอาจไม่เลือกข้าขึ้นเป็นนายน้อย ดังนั้นโทษของมันคือความตาย! มันสมควรตายแล้ว ฮ่าๆๆๆ….”
ไป๋เฉินโมโหโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดแทบคลุ้มคลั่ง ความอาฆาตไม่พอใจที่สั่งสมมานานในจิตใจ ทั้งหมดพลันปะทุเดือดทันทีในพริบตา
“แก!!”
ไป๋เฉินยกฝ่ามือขึ้นกลางอากาศเตรียมประหารชีวิตมันในทันใด แต่สุดท้ายจำต้องชะงักไปอย่างจนใจ เขาอยากจะฆ่าพี่ชายคนนี้ด้วยฝ่ามือให้ตายคาที แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถทำได้
“ฮ่าๆๆๆ! ฆ่าข้า! ฆ่าข้าสิ! ข้าจะบอกอะไรให้เอาบุญ เหล่ายอดฝีมือของวังเทวะพิรุณร่วงโรยกำลังมาถึงแล้ว! หากเจ้าฆ่าข้าตอนนี้ พวกเจ้าทุกคนจักต้องถูกฝังในหลุมพร้อมข้าแน่นอน! ทางออกเดียวที่ยังหลงเหลือคือปล่อยข้าออกไป และมอบตำแหน่งนายน้อยแห่งวังเทวะรัตติกาลฉายให้ข้า!” ไป๋ชงกล่าวขึ้นพร้อมวาจาท่าทีสุดหยิ่งผยอง
เพียงคำกล่าวนี้คำกล่าวเดียวของไป๋ชง หัวใจของทุกคนพลันจมดิ่งลงสู่หุบเหวไร้สิ้นสุด
โม่หยุนกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชังว่า “แกมันไอ้คนทรยศ! ไร้จิตสำนึกทั้งยังไร้ยางอายอย่างแท้จริง! สัตว์นรกอย่างเจ้าหากได้ขึ้นเป็นนายน้อยแห่งวังเทวะรัตติกาลฉาย สักวันทุกอย่างจะพังพินาศลงดด้วยมือของเจ้า! พวกเรานับว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่เลือกเจ้าเป็นนายน้อย!”
“หึ! เจ้าโง่! หากให้ข้าขึ้นเป็นนายน้อยตั้งแต่แรก วังเทวะรัตติกาลฉายจะมาถึงจุดจบอันเลวร้ายเช่นนี้หรือไม่? เหอะ แกมันคนขี้ขลาด! กระทั่งฆ่าข้ายังไม่กล้าด้วยซ้ำ! ฮ่าๆๆๆ…น้องชายที่รักแน่จริงก็ฆ่าข้า! ฆ่าพี่ชายคนนี้! ไอ้ขี้ขลาดอย่างแก…”
โพละ!
น้ำเสียงสุดเย้ยหยันของไป๋ชงหยุดลงทันที พร้อมเลือดสดที่สาดกระเซ็นทั่วทั้งใบหน้าของไป๋เฉิน
สีหน้าของไป๋เฉินเปลี่ยนไปทันที ก่อนหยุดสายตาที่ร่างของเย่หยวนพร้อมมือที่อาบเลือดสดชโลมชุ่ม
หยวนกล่าวที่เพิ่งตบฝ่ามือระเบิดศีรษะไป๋ชงไป เอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแสว่า “หากเจ้ายังมัวทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ เสด็จพ่อของเจ้าได้ตายแน่นอน”
ไป๋เฉินสะดุ้งเฮือกดั่งฟื้นคืนสติขึ้นอีกครั้ง เขาหาได้สนใจรอยเลือดที่สาดกระเซ็นบนใบหน้า พร้อมรีบทะยานไปที่ตัววังทันที
“พวกเจ้าทุกคนยังจะยืนนิ่งเพื่ออันใด? ไม่ตามเขาลองดูสิว่าสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง?”
เย่หยวนหาได้ใส่ใจกับสายตาทุกคู่ที่จับจ้องเขาด้วยความตกตะลึงงันแม้แต่น้อย พวกเขาที่ได้ยินแบบนั้นพลันสั่นกลัวขึ้นสมอง ก่อนรีบเร่งฝีเท้าตามไป๋เฉินเข้าไปในตัววัง โม่หยุนเองก็สะดุ้งเฮือกและรีบรุดตามไปเช่นกัน เห็นเช่นนั้นเย่หยวนค่อยติดตามไป
หลังจากวิ่งเข้ามาสักครู่หนึ่งก็ถึงห้องประมุขวังเทวะรัตติกาลฉายที่กำลังนอนรอความตาย เย่หยวนที่เห็นอีกฝ่ายที่ใกล้ไปปรโลกเต็มที ก็ทราบทันทีว่าเขาถูกวางยาพิษขั้นรุนแรงและได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างแล้ว พิษแล่นเข้าสู่หัวใจไปแล้ว ต่อให้เย่หยวนจะสามารถหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองได้ แต่มันก็สายเกินไปเช่นกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ไม่นานหลังจากนั้น ข่าวการสวรรคตของประมุขวังเทวะรัตติกาลฉายก็แพร่กระจายออกไปในบรรดาเหล่าขุนนางชนชั้นสูงภายในวัง
โม่หยุนจัดเตรียมเรือนพักบริเวณเงียบสงบให้เย่หยวน เพื่อให้เขาพักผ่อนตามอัธยาศัย ในขณะเดียวกัน ยามนี้เกิดศึกแย่งชิงบัลลังก์อย่างดุเดือดขึ้นระหว่างเหล่าทายาทภายในวังเทวะรัตติกาลฉาย เหล่าองค์ชายในวังเทวะรัตติกาลฉายมิได้มีแค่ไป๋ชงกับไป๋เฉินแค่สองคนเท่านั้น แต่ไป๋เฉินยังมีพี่ชายอีกหลายคน
ณ ปัจจุบันท่านประมุขวังได้สวรรคตไปแล้ว กลุ่มขุนนางต่างๆเริ่มกระสับกระส่ายก่อเกิดคลื่นใต้น้ำก่อสงครามกันอย่างลับๆ ไป๋เฉินเป็นบุตรชายคนเล็กของประมุขวัง แต่การที่ถูกแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นนายน้อยเช่นนี้ แต่แรกเดิมทีก็ถูกขุนนางหลายฝ่ายคัดค้านเช่นกัน เป็นเพียงเพราะไป๋เฉินมีคุณสมบัติผ่านทุกด้าน และสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ยังเป็นความต้องการส่วนตัวของท่านประมุขวัง ดังนั้นยามที่ท่านประมุขวังคนเก่ายังอยู่ จึงไม่มีใครกล้าทำอะไรไป๋เฉิน แต่ช่างเลวร้ายนัก ไป๋เฉินยังไม่ทันเติบโตโดยสมบูรณ์ ท่านประมุขวังกลับถูกไป๋ชงลอบทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต สิ่งนี้ทำให้กลุ่มขุนนางอื่นมีความหวังขึ้นอีกครั้ง
“โม่หยุน สิ่งเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการต้านรับศึกภายนอก! ไป๋เฉินยังเด็กเกินไปที่จะควบคุมดูแลขุมกำลังและรวมไปถึงกิจการต่างๆของภายในวัง การจะโน้มน้าวใจมวลชนกลับยังไม่มีความสามารถมากพอ! มอบหมายหน้าที่กุมศึกสำคัญเช่นนี้ มิใช่ว่าจะส่งคนไปตายเปล่าหรอกรึ?”
“ถูกต้อง! ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน เราควรเลือกองค์ชายที่มีบารมีและวุฒิภาวะที่สูงกว่า จึงจะสามารถรับมอบหมายภารกิจสำคัญระดับนี้ได้ นี่แหละคือคุณสมบัติของผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขวังคนต่อไป!”
“ขุมกำลังของพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยกำลังจะมาถึงในไม่ช้า ความแข็งแกร่งของนายน้อยไป๋เฉินยังคงไม่เพียงพอ จะปล่อยให้เขาไปสู้กับพวกนั้นได้อย่างไร?”
…
กลุ่มคนพวกนี้พยายามสรรหาข้ออ้างโดยใช้เรื่องความเยาว์และด้อยประสบการณ์ของไป๋เฉินมาโต้แย้ง ยามนี้เผชิญหน้ากับศัตรูร้ายตัวฉกาจ นับเป็นเรื่องดีที่จะใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อบีบให้ไป๋เฉินสละบัลลังก์
โม่หยุนกรนเสียงเย็นชืดคำโตและกล่าวว่า “นายน้อยได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากท่านประมุขวังคนก่อน ดังนั้นผู้สืบทอดตำแหน่งที่แท้จริงก็คือเขาเพียงคนเดียว! ร่างของท่านประมุงวังคนก่อนยังไม่ทันเย็น พวกเจ้าก็คิดออกอุบายให้นายน้อยไป๋เฉินหลุดจากตำแหน่งเสียแล้ว!”
“นี่กลับไม่ถูกต้อง! พวกเขาล้วนเห็นชอบตามท่านประมุขวังคนก่อนทุกประการ แต่ยามนี้กลับเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน จำต้องหารือปรึกษาขึ้นเป็นพิเศษ! นายน้อยไป๋เฉินไม่เพียงไร้ซึ่งประสบการณ์มิอาจโน้มนามมวลชนได้ แต่ระดับพลังของเขาในตอนนี้ก็ยังต่ำเกินไป! แล้วเขาจะขึ้นเป็นประมุขวังได้อย่างไรกัน?” ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวคัดค้านทันที
“หากกล่าวถึงบุคคลที่มากประสบการณ์สามารถกุมศึกในคราวนี้ได้ ข้ารู้สึกว่าไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าท่านรองประมุขไป๋ซิ่วอีกแล้ว ในเมื่อไม่มีท่านประมุขวังคอยปกป้องที่แห่งนี้ บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดรองลงมาก็คือเขา ในความเห็นของข้า เขาเหมาะสมที่จะขึ้นกลายเป็นประมุขวังรุ่นต่อไปมากที่สุด! เอาล่ะ เนื่องจากพวกเรายังหาข้อสรุปไม่ได้ เช่นนั้นให้ท่านรองประมุขไป๋ซิ่วรับตำแหน่งผู้ว่าการแทนประมุขชั่วคราวไปก่อน ทุกคนคิดเห็นอย่างไร?”
ทันทีที่ข้อเสนอนี้ดังขึ้น คล้ายไปทำลายสมดุลทั้งหมดให้พังลง ทุกคนต่างคาดไม่ถึงว่า ไป๋ซิ่วเองจะมีแผนอยู่ในใจแล้วเช่นกันจึงเคลื่อนไหวออกมาแบบนี้ เพียงแต่ว่า เมื่อทุกคนต่างนั่งพินิจดูอย่างละเอียด ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันก็ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่ารองประมุขไป๋ซิ่วแล้วจริงๆ
ขณะเดียวกันไป๋ซิ่วที่นั่งอยู่บนตำแหน่งอันทรงเกียรติ คู่ดวงตาพลันหรี่แคบลงเล็กน้อยคล้ายว่าดูงุนงงไม่ต่างจากคนอื่นเช่นกัน
ทันใดนั้นเขาพลันแสร้งทำเป็นตกใจและเร่งกล่าวว่า “ไม่มีทาง ไม่มีทาง! นี่เป็นจารีตประเพณีของวังเทวะรัตติกาลฉายตั้งแต่รุ่นบรรพชน มีเพียงท่านประมุขวังเท่านั้นที่สามารถแต่งตั้งนายน้อยขึ้นได้ และมีเพียงนายน้อยเท่านั้นที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขวังได้ในอนาคต แล้วรองประมุขวังอย่างข้าหรือจะไปมีคุณสมบัติ? หากข้าได้รับตำแหน่งนี้จริงๆ เช่นนี้ทุกคนจะไม่รู้สึกรึว่า ข้าวางแผนเพื่อแย่งชิงบัลลังก์? เมื่อเป็นแบบนั้นกลับยากที่จะทำให้เหล่ามวลชนเชื่อใจ! อย่ากล่าวเรื่องนี้ให้ข้าได้ยินอีก! ในเมื่อเรื่องนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เช่นนั้นค่อยหารือกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ ส่วนพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ข้ายังคงเฝ้าจับตาพวกมันอยู่ อืม…สำหรับวันนี้คงพอแต่เพียงเท่านี้”
ยามนี้ท่านประมุขวังสิ้นบุญล่วงลับไปแล้ว ปัจจุบันก็เหลือแต่ไป๋ซิ่วที่มีชื่อบารมีและเป็นที่เคารพรักสูงสุดแห่งของวังเทวะรัตติกาลฉายทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นเอง เขายังเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งคำกล่าวเช่นนี้ของเขาได้สร้างความประทับใจให้แก่กลุ่มผู้อาวุโสเหล่านี้อย่างมาก
ในไม่ช้าห้องโถงใหญ่ก็เหลือแค่เพียงความว่างเปล่า มีเพียงศิษย์อาจารย์โม่หยุนกับไป๋เฉินเท่านั้นที่ยังนั่งนิ่งไม่ไปไหน พวกไป๋เฉินทั้งสองเสียศูนย์ถูกทำลายความรู้สึกไม่เหลือ พวกเขาไม่เอ่ยกล่าววาจาสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ
ไป๋เฉินมิได้ต้องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งพวกนี้เลย แต่การล่วงลับจากไปของท่านประมุขวังยังคงส่งผลกระทบต่อจิตใจเขาเป็นอย่างมาก ยามนี้ยังไม่ซึ่งสติสัมปชัญญะนั่งเหม่อลอย
ยามเห็นท่าทีแสนหดหู่ของเขา โม่หยุนอดรู้สึกกระวนกระวายใจมิได้
“นายน้อย! หากท่านยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ตำแหน่งประมุขวังที่ท่านสมควรจะได้รับจะหลุดลอยไป!” โม่หยุนกล่าวขึ้นด้วยความกังวล
ไป๋เฉินเหลียวมองจับจ้องโม่หยุนด้วยแววตาไร้ซึ่งความกังวลและกล่าวว่า “จากที่พวกเขากล่าวไปล้วนถูกต้องแล้ว ข้าไม่เหมาะสมที่จะรับตำแหน่งนี้เลย”
โม่หยุนสูดหายใจเข้าลึกๆและกล่าวเสียงขรึมว่า “นายน้อยคิดว่าท่านประมุขวังคนก่อนกังวลเรื่องอนาคตของวังเทวะรัตติกาลฉายมากเพียงใด? เพื่อจะให้ท่านขึ้นเป็นนายน้อยอย่างทุกวันนี้ได้ เขาต้องทุ่มเทความพยายามหาลู่ทางแค่ไหนทราบหรือไม่? แล้วเป็นไปได้ไหมว่า นายน้อยจะละทิ้งความพยายามทั้งหมดของเขาเพื่อหนีปัญหาเช่นนี้? วังเทวะรัตติกาลฉายจะล่มสลายในไม่ช้าด้วยน้ำมือของพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรย การที่ท่านประมุขวังคนก่อนพยายามผลักดันนายน้อยขนาดนี้ แสดงว่าเขาต้องเห็นอะไรในตัวท่านแน่นอน!”
ทั่วทั้งร่างของไป๋เฉินสั่นสะท้านโดยมิตั้งใจ ในที่สุดดวงตาของเขาก็ฉายแววไสวกลับมาได้สติอีกครั้ง แต่ทันทีทันใดแววไสวในดวงตาพลันดับมอดอีกครั้งในทันที เขากล่าวว่า “แต่…ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ พวกเราไม่เหลือความหวังอะไรอีกต่อไปแล้ว!”
โม่หยุนยิ้มเบื้องลึกในแววตาของเขายังคงทิ้งร่องรอยความหวังเร้นซ่อนอยู่
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า “ผิดแล้ว เรายังเหลือความหวังอยู่!”
ทว่าไป๋เฉินกลับส่ายหัวเจือรู้สึกสับสนอย่างมากเมื่อได้ฟังเช่นนั้น และกล่าวตอบว่า “เหลือความหวัง? ในตอนนี้เหลือเพียงท่านกับข้าแค่สองคน สิ่งใดที่เรียกว่าความหวัง?”
โม่หยุนกล่าวตอบทันทีว่า “นายน้อยลืมไปแล้วรึว่ายังมีอีกคน? ไปหาท่านเย่หยวนเพื่อขอความช่วยเหลือ! เขาคือความหวังสุดท้ายของเราแล้ว!”
……………………………………………
ตอนที่ 1416 ผลเก้าทำนองกายาอมตะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ท่านเย่หยวน? เขา…ถึงเขาจะทรงพลังยิ่งก็จริง ทว่าก็ยังมิใช่เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า เช่นนั้นจะต่อกรกับพวกนั้นได้อย่างไร?” ไป๋เฉินขึ้นด้วยความสงสัย
ในศึกชิงตำแหน่งประมุขวังนี้ หากปราศจากขุมกำลังระดับอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า เกรงว่าเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะต่อกรรับมือด้วยได้ แค่เย่หยวนเพียงคนเดียวกลับไม่มีน้ำหนักพอที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น
การสวรรคตของท่านประมุขวังคนก่อนก็ยังกะทันหันเกินไปและยังไม่ทันมอบอำนาจให้ไป๋เฉินว่าการแทนอย่างเต็มตัว ดังนั้นหากไร้ซึ่งขุมกำลังอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าอยู่ข้างกาย เกรงว่าทำอะไรไม่ได้เช่นกัน! คนเดียวที่เขาสามารถพึ่งพาได้ในตอนนี้คงมีแต่โม่หยุนเท่านั้น
หาใช่เรื่องเท็จที่ความแกร่งกล้าของเย่หยวนในป่าพฤกษารกร้างตอนนั้น เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อยิ่ง แต่ท้ายที่สุดนี้ เขาก็เป็นแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดคนหนึ่งเท่านั้น
เพียงว่าทุกคนที่ได้เห็นต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวได้ว่า ที่เย่หยวนเหนือกว่าทุกคนเป็นเพราะความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งดาบของเขาอยู่ในระดับที่สูงมาก ต่อให้เผชิญหน้ากับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขนานแท้สักคน นั้นก็ยังไม่คณามือเขาเลย แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับแตกต่างออกไป เหล่าผู้อาวุโสพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าระดับเจนจัดโชกโชนมากประสบการณ์ ต่อหน้าพวกเขาทั้งหมด ไม่ว่าอย่างไรเย่หยวนก็ไม่มีทางต้านรับได้ไหวแน่!
โม่หยุนกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่ข้าเพียงรู้สึกได้ว่า ท่านเย่หยวนคนนี้มิได้ง่ายดั่งผิวเผิน! และที่เราเห็นไปทั้งหมดยังไม่ใช่พลังที่แท้จริงของเขา! บางที…ท่านคนนี้อาจถูกส่งมาจากสวรรค์เพื่อช่วยเหลือพวกเราโดยเฉพาะ! การสวรรคตของท่านประมุกวังคนก่อนเป็นเรื่องใหญ่หลวงสำหรับนายน้อยก็จริง แต่สิ่งนี้ก็ช่วยดึงท่านให้เต็บโตขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน! ยามนี้ไม่มีท่านประมุขวังคอยอยู่ปกป้องอีกต่อไป ไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกนั้นอยู่ดี!”
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินดูเคร่งเครียดรวนเรอย่างหนัก แต่ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะไปหาท่านเย่หยวน แล้ว…แล้วข้าจะทำอย่างไรดี?”
โม่หยุนกล่าวตอบทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยว่า “โขกศีรษะยอมรับท่านเย่หยวนเป็นอาจารย์ของเจ้าซะ!”
ไป๋เฉินตกตะลึงอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาโพล่งกล่าววาจาสวนกลับไปทันที “ยอมรับเขาเป็นอาจารย์? แล้วท่านล่ะ?”
โม่หยุนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่มีอะไรจะสอนเจ้าแล้วในตอนนี้ แต่หากเป็นท่านเย่หยวนกลับต่างออกไป! ความเข้าใจของเขาต่อเต๋าเหนือชั้นกว่าข้าหลายขุมนัก! หากเจ้าสามารถทำให้เขายอมรับเจ้าเป็นศิษย์ได้ เราชายชราขอการันตี ความสำเร็จของเจ้าในอนาคตจะไร้ขีดจำกัด!”
…
ณ เรือนพักของเย่หยวนอันแสนเงียบสงบปราศจากเรื่องภายในวังเข้ามารบกวน ไป๋เฉินเคาะประตูเรียกหาเย่หยวนด้วยวาจาแสนสุภาพ “ท่านเย่หยวน เมื่อวานนี้ท่านนอนหลับพักเต็มอิ่มดีหรือไม่?”
ไป๋เฉินถูฝ่ามือจวนเหงื่อโชกไปมาอย่างประหม่า สีหน้าท่าทางของเขาในยามนี้ทั้งดูกังวลและไม่สบายเนื้อสบายตัวยิ่ง
“เต็มอิ่มเลยทีเดียว แต่ไม่มีเวลาคุยกับเจ้าเลยทั้งวัน อ่อ…ข้าขอแสดงความเสียใจด้วย” เย่หยวนกล่าวตอบ
เมื่อได้ฟังคำกล่าวนี้ไป หัวใจของไป๋เฉินคล้ายดูขุ่นมัวขึ้นเจียนแทบหลั่งน้ำตา แต่ยามนี้ระลึกนึกถึงคำสั่งของอาจารย์โม่หยุน เขาก็เร่งระงับความโศกเศร้าภายในใลงทันทีและฝืนยิ้มกว้างกล่าวว่า
“ขอบพระคุณอย่างมากท่านเย่หยวน! แต่เดิมไป๋เฉินคนนี้เพียงต้องการเชิญท่านมาเป็นอาคันตุกะพาเที่ยวพักผ่อน แต่ไม่นึกเลยว่าจู่ๆจะเกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ ข้า…ข้าต้องขออภัยด้วยจริงๆ”
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายปราดตาหนึ่งและกล่าวเสียงเย็นตัดบทขึ้นทันที
“มีอะไรก็กล่าวออกมาเถอะ ข้าไม่ชอบตีพุ่มล้อมต้นไม้”
เรื่องจำพวกเล่ห์เหลี่ยมเล่นวาจา ไป๋เฉินมิค่อยฉลาดเฉลียวเท่าไหร่นัก เย่หยวนแค่มองผ่านแวบเดียวก็รู้ถึงจุดประสงค์แล้ว ทั่วทั้งร่างของไป๋เฉินสั่นสะท้านอย่างหนัก เขาค้นพบว่าเรื่องฝีปากคมคายที่อาจารย์โม่หยุนสอนไปกลับเปล่าประโยชน์ยิ่งต่อหน้าเย่หยวนผู้นี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น พร้อมทิ้งคู่เข่ากระแทกพื้นอย่างแรงและก้มหัวกราบแทบเท้าเย่หยวนโดยไม่ลังเลใดๆ
“ท่านเย่หยวน ไป๋เฉินถูกต้อนจนสิ้นไร้ไม้ตอกแล้ว ท่านผู้สูงส่งโปรดช่วยเหลือผู้ต่ำต้อยด้วยเถิด! นี่คือผลเก้าทำนองกายาอมตะที่ข้าได้รับจากเสด็จพ่อ แต่เดิมสิ่งนี้มีไว้เพื่อช่วยให้ข้าทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้ง่ายขึ้น แต่ตอนนี้ขอมอบมันให้แก่ท่านผู้สูงส่ง! ได้โปรดเถิดท่าน…โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด! และช่วย…ช่วยให้ขึ้นขึ้นกลายเป็นประมุขวังคนต่อไปด้วยเถิด!” ไป๋เฉินก้มศีรษะจรดพื้นดินพร้อมกล่าวทั้งน้ำตา
ตามผิวเผินเย่หยวนยังคงสงบเยือกเย็นไม่แสดงสีหน้าอันใดออกมา ทว่าภายในใจกลับมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมเข้าใส่เต็มแรง หนึ่งในภารกิจที่เขาได้รับคือ การตามหาผลเก้าทำนองกายาอมตะ ซึ่งเขาก็ไม่คิดว่ามันจะเผยตัวขึ้นมาต่อหน้าต่อตาเขาอย่างง่ายดายปานนี้ ตราบเท่าที่เขาตอบตกลง เย่หยวนจะสามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จทันที
ตามข้อมูลภารกิจที่บันทึกไว้ในป้ายตราสถานศึกษาของเขา ระบุไว้ว่า ผลเก้าทำนองกายาอมตะเป็นผลไม้วิญญาณฟ้าดินเพียงแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดกินมันลงไป จะมีโอกาสถึงสามในสิบส่วนที่จะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเต็มขั้นได้โดยตรง และหากเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้นจะมีโอกาสสูงถึงหกในสิบส่วนเลยทีเดียว!
สำหรับเหล่าเซียนพวกนี้ที่ติดอยู่ในปัญหาคอขวดมาอย่างยาวนานและไม่สามารถทะลวงผ่านได้สักที ผลเก้าทำนองกายาอมตะนับเป็นผลไม้มหัศจรรย์อย่างไม่ต้องสงสัยและหากนำมันไปหลอมกลั่นเพื่อสร้างโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง ประสิทธิภาพของมันยิ่งน่ากลัวขึ้นเป็นทวีเท่า
แต่สำหรับตัวเย่หยวน ผลเก้าทำนองกายาอมตะกลับมิได้อยู่ในสายตาเขาเลย ไม่ว่าสิ่งนี้จะมีสรรพคุณดีเลิศเพียงใด เขาก็ไม่คิดจะสนใจเช่นกัน
เย่หยวนรับผลเก้าทำนองกายาอมตะมา แต่ยังติดเล่นตัวหวังแกล้งอีกฝ่ายอีกเสียหน่อย จึงยิ้มกล่าวว่า
“ที่จริงแล้ว ตัวเจ้าในตอนนี้ก็ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งประมุขวังจริงๆ แล้วไฉนข้าต้องเอาตัวเองไปพัวพันกับเรื่องราวยุ่งเหยิงเช่นนี้ด้วย?”
ไป๋เฉินคนนี้อ่อนแอและยังไม่เด็ดขาดพอ เขาเป็นชายหนุ่มที่ใส่ซื่อบริสุทธิ์เกินไป ความแกร่งกล้าก็ยังไม่มากนัก ต่อให้ขึ้นกลายเป็นประมุขวังได้จริงๆ สักวันย่อมถูกล้มล้างลงมาแน่นอน ณ จุดนี้เย่หยวนตระหนักทราบมาสักพักใหญ่แล้ว
คนที่มีนิสัยสันดานอย่างไป๋ชง หากเป็นเย่หยวนเขาคงระเบิดหัวตั้งแต่ในป่าทึบนั้นไปนานแล้ว แต่กระทั่งช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ไป๋เฉินยังทำใจฆ่าอีกฝ่ายไม่ลงด้วยซ้ำ คนที่อ่อนแอและไม่เด็ดขาดพอ ย่อมไม่มีทางรับมอบหมายงานสำคัญได้เลย
ไป๋เฉินกัดฟันแน่นกล่าวว่า “ข้า…ข้าจักเติบโตขึ้นมากกว่านี้! ท่านอาจารย์โม่หยุนเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่า แม้ท่านผู้สูงส่งค่อนข้างอ่อนเยาว์ ทว่าความคิดความอ่านกลับเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าเขาเสียอีก! ยิ่งไปกว่านั้นความเข้าใจของท่านต่อเต๋ายังคงลึกล้ำเกินหยั่งถึง ไม่มีใครไม่เคยเริ่มจากศูนย์ ข้าจะเฝ้าติดตามเรียนรู้จากท่าน! หาก…หากท่านไม่เห็นด้วย ข้าขอสละตำแหน่งและออกพเนจร ไม่ขอหวนย้อนกลับมาที่นี่อีก!”
เย่หยวนย่างสามขุมเดินซ้ายเวียนขวาวนไปมาราวกับกำลังครุ่นคิดอยู่
อารมณ์ของไป๋เฉินในตอนนี้เปรียบเสมือนถังไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำเจ็ดจากแปดใบหล่นลงมาพร้อมกัน
ชั่วครู่ต่อมา เย่หยวนเก็บผลเก้าทำนองกายาอมตะลงทันทีและกล่าวขึ้นว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
ไป๋เฉินสะดุ้งขึ้นเล็กน้อยก่อนเผยสีหน้าสุดอิ่มเอมใจจนล้นปรี่ เขาก้มกราบเย่หยวนทันทีพร้อมกล่าวว่า
“ศิษย์ไป๋เฉินคาราวะท่านอาจารย์เย่!”
เย่หยวนหยิบขวดหยกขนาดเล็กใบหนึ่งออกมา และโยนให้ไป๋เฉินและกล่าวว่า “สิ่งนี้ถือเป็นของขวัญชิ้นแรกสำหรับศิษย์”
ไป๋เฉินค่อนข้างมึนงงเล็กน้อย เขาไม่รู้เรื่องโอสถเหล่านี้เลยแม้สักนิด
“ท่านอาจารย์เย่ ข้า…เอ่อ…ศิษย์คนนี้สงสัยว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี?” ไป๋เฉินเอ่ยขอคำปรึกษาทันที
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างใจเย็นว่า “เจ้ากลับไปเฝ้างานเสด็จพ่อต่อเถอะ เดี๋ยวก็รู้ว่า…พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น!”
…
ไป๋เฉินจากเรือนพักเย่หยวนกลับมาเข้าพบโม่หยุนด้วยความงุนงง ประโยคสุดท้ายที่เย่หยวนกล่าวตอบ เขายังคงมึนงงจวบจนตอนนี้
“เป็นเช่นไรบ้าง? ท่านเย่หยวนยอมรับเจ้าเป็นศิษย์หรือไม่?” โม่หยุนรีบกล่าวถามทันทีที่พบหน้าไป๋เฉิน
ไป๋เฉินพยักหน้าแข็งทื่อประดุจท่อนไม้และกล่าวสั้นว่า “ยอม”
โม่หยุนอดรู้สึกดีใจมิได้เมื่อได้ยินพร้อมโพล่งกล่าวขึ้นว่า “วิเศษ! วิเศษจริงๆ! ข้าว่าแล้ว! การที่เขายอมรับเจ้าแสดงว่าจะต้องช่วยเหลือพวกเราอย่างแน่นอน แล้วเขาบอกกล่าวอะไรเจ้าบ้างต่อจากนั้น?”
ไป๋เฉินทวนคำพูดประโยคสุดท้ายที่เย่หยวนทิ้งไว้ให้ซ้ำอีกรอบ ก่อนเอ่ยถามโม่หยุนอย่างงุนงงว่า
“ท่านอาจารย์โม่หยุน ท่านคิดว่าท่านอาจารย์เย่หมายความอย่างไรกัน?”
โม่หยุนที่ได้ยินเช่นนั้นยิ่งตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุดพร้อมกล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้มันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ! ความหมายในคำกล่าวของท่านเย่หยวนชัดแจ้งดีอยู่แล้ว เขาต้องการจะสื่อว่า ตนเตรียมการวางแผนไว้พร้อมแล้ว เจ้าสบายใจได้เลย! พวกเรามีหน้าที่เข้าหารือปรึกษาเหมือนดังเดิม ที่เหลือปล่อยให้เขาจัดการเอง!”
ไป๋เฉินที่ได้ยินแบบนั้นยังคงเข้าใจเพียงครึ่งเดียวพลางทำหน้ามึนงงไม่คลายอ่อน โม่หยุนที่เห็นแบบนั้นพลางถอนหายใจคล้ายเพลียใจและกล่าวถามว่า “ผลเก้าทำนองกายาอมตะ ท่านเย่หยวนได้รับไว้หรือไม่?”
ไป๋เฉินพยักหน้าและกล่าวตอบว่า “เขารับไว้ แล้วก็ยังมอบโอสถให้ข้าอีกขวดหนึ่ง เขาบอกนี่คือของขวัญชิ้นแรกสำหรับศิษย์”
ขณะที่กล่าวบอก ไป๋เฉินก็หยิบขวดหยกใบนั้นที่ได้รับมาให้แก่โม่หยุนดู
โม่หยุนรับขวดหยกนั้นไว้และเทโอสถออกมาเม็ดหนึ่งพร้อมพินิจตรวจสอบโดยละเอียด ทันใดนั้นเอง สีหน้าการแสดงออกของเขาพลันเปลี่ยนไปราวกับเห็นผี! “นี่…นี่มัน…”
ไป๋เฉินจ้องมองโม่หยุนอย่างว่างเปล่าขณะเอ่ยถามขึ้นว่า “มีอะไรอย่างนั้นรึท่านอาจารย์โม่หยุน? หรือโอสถเม็ดนี้มีอันใดผิดแปลก?”
โม่หยุนเหลียวมองพลันปั้นสีหน้าซับซ้อนหนัก ไม่นานเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “โอสถพวกนี้…หากข้าจำไม่ผิดมันน่าจะถูกเรียกว่าโอสถศักดิ์สิทธิ์! ยิ่งไปกว่านั้นประสิทธิภาพยังสูงมาก ควรจัดได้ว่าเป็นขั้นเทวะ!”
“โอสถศักดิ์สิทธิ์!! นี่…นี่คือโอสถศักดิ์สิทธิ์ในตำนานน่ะรึ?” ไป๋เฉินอุทานลั่นด้วยความตกใจ
เนื่องจากข้อจำกัดของศาสตร์แห่งสวรรค์ภายในดินแดนนภาบรรพต จึงทำให้ผู้คนบนดินแดนแห่งนี้ไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ได้โดยสิ้นเชิง แต่เพราะดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้เองมักจะมีเหล่าเซียนจากมหาพิภพเดินทางเข้ามาฝึกปรือทำภารกิจอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาจึงมีความรู้เกี่ยวกับโอสถศักดิ์สิทธิ์ของมหาพิภพถงเทียนอยู่บ้าง นี่คือโอสถศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่ว่านั้น!
โม่หยุนพยักหน้าพลางกล่าวพร้อมสีหน้าอารมณ์สุดซับซ้อนขึ้นว่า “หลายปีก่อน ท่านประมุขวังคนก่อนก็เคยสังหารเซียนต่างแดนที่มาจากพิภพภายนอกเช่นกัน และได้รับโอสถศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้มาเช่นกัน!”
………………………………………..
ตอนที่ 1417 ข้าไม่เห็นด้วย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ร่างไป๋เฉินสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเจือตกใจสุดขีด
“ปะ เป็นไปไม่ได้! ท่านอาจารย์เย่จะเป็นเซียนต่างแดนได้อย่างไร? ข้า…ข้าไม่เห็นรู้สึกตัวมาก่อน!”
ไม่ว่าจะเป็นเซียนต่างแดนหรือเรื่องนอกดินแดนหาใช่ความลับอันใดเลยในหมู่บุคคลระดับสูงของดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้ และด้วยสถานะของไป๋เฉินย่อมเคยได้ยินมาก่อนเป็นธรรมชาติ
โม่หยุนสูดหายใจเข้าแช่มลึกและกล่าวว่า “ข้าเห็นไม่ผิดแน่นอน! โอสถเม็ดนี้ทั้งลักษณ์และกลิ่นอายเหมือนกับของเซียนต่างแดนคนนั้นอย่างมาก เพียงว่าประสิทธิภาพของโอสถกลับเหนือกว่ามาก!”
เบื้องลึกนัยน์ตาของไป๋เฉินเผยหลากอารมณ์แสนสับสนรวนเรยิ่ง เห็นได้ชัดว่าภายในใจกำลังขัดแย้งกันดิ้นรนอย่างรุนแรง ครั้นหนึ่งทางฝ่ายวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์เคยออกลั่นกฎเหล็กอันพึงปฏิบัติอย่างเข้มงวดว่า ยามพบเจอเซียนต่างแดนจงฆ่าทิ้งโดยไม่มีข้อแม้!
แล้วตอนนี้พวกเขาควรทำอย่างไรดี? เซียนต่างแดนท่านนี้เป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตสองศิษย์อาจารย์คู่นี้เอาไว้!
“หากเป็นเช่นนั้นแล้ว…พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี? ไป…เดินทางไปยังวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์เพื่อรายงานเรื่องนี้ให้ทราบดีหรือไม่? ไม่…ไม่มีทาง! ท่านอาจารย์เย่เป็นผู้มีบุญคุณต่อชีวิตข้า ข้าไม่สามารถตอบแทนสินน้ำใจด้วยสิ่งพวกนี้ได้! ข้าทำไม่ลง!”
ไป๋เฉินไม่คิดที่จะรายงานเรื่องเย่หยวนขึ้นไปแน่นอน แต่เขาเองก็ไม่ทราบว่ายามนี้ควรทำอย่างไรดี? มาตรได้ว่าตกสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกโดยสมบูรณ์
โม่หยุนกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ในสายตาของเซียนต่างแดนล้วนมองดินแดนนภาบรรพตของเขาเป็นดั่งแหล่งเพาะพันธุ์เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ จะช่วยเหลือหรือฆ่าทิ้งอย่างไรก็ได้ตามใจนึก พวกเราเหล่านักสู้แห่งดินแดนนภาบรรพตถูกมองแบบนั้นจริงๆ! แล้วคนแบบนี้จะไปส่งเสริมได้อย่างไร?”
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินยามนี้รวนเรหนักข้อ สองความคิดตีกันในหัวไม่หยุดหย่อนพร้อมเงียบลงไปพักใหญ่
ท้ายที่สุดนี้ เขายังคงเอ่ยปากกล่าวว่า “ข้าไป๋เฉิน ต่อให้ถูกประจานว่าเป็นคนกบฏบ้านเมืองไปอีกเจ็ดชั่วโคตรย่อมรับได้ แต่สิ่งที่ข้ารับไม่ได้คือ การตอบแทนผู้มีพระคุณด้วยการทรยศหักหลัง! ท่านอาจารย์เย่ยอมตกลงช่วยเหลือข้าภายใต้สถานการณ์จนตรอกขนาดนี้ หากทรยศเขาแบบนี้ ข้าหรือจะต่างอะไรกับหมูหมา? ท่านอาจารย์โม่หยุน ข้าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของท่าน แต่ข้าก็มิได้บังคับความคิดท่านเช่นกัน หากมองว่าไม่สมควรก็สามารถนำเรื่องนี้ไปรายงานได้เลย! แต่ข้าจะขออยู่ตรงนี้และยืนรอความตายไม่ไปได้!”
โม่หยุนคาดไม่ถึงเลยว่า ศิษย์คนนี้จะเป็นคนเอ่ยปากลั่นวาจาเช่นนี้ออกมาจริงๆ สีหน้าการแสดงออกดูขัดแย้งโดยพลัน ครุ่นคิดหนักใจอยู่พักใหญ่ ท้ายที่สุดจำต้องยอมจำนน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า “เอาล่ะ กลับช่วยมิได้ที่เราสนิทรักใคร่ดั่งพ่อลูก! ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นข้าคนนี้ขอร่วมเดินไปกับเจ้าจนกว่าจะตายกันไปข้าง!”
ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากันอยู่นั้นเอง ทั้งไป๋เฉินและโม่หยุนกลับไม่รู้เลยว่า ทุกการกระทำของสองคนนี้ล้วนอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของเย่หยวนทั้งสิ้น และการตัดสินใจเช่นนี้ของพวกเขาก็เป็นสิ่งช่วยชีวิตพวกเขาเอง คิดหรือว่าคนรอบคอบช่างระวังตัวอย่างเย่หยวน จะทำเรื่องง่ายๆ พลาดขนาดนี้?
เขาจงใจมอบโอสถศักดิ์สิทธิ์ให้อีกฝ่ายเอง เพื่อเปิดโอกาสให้ไป๋เฉินเลือกเส้นทางด้วยตัวเอง
หากเขาช่วยไป๋เฉินชิงตำแหน่งประมุขวังคืนมาได้สำเร็จ สิ่งตอบแทนที่เขาต้องการร้องขอย่อมเป็นศิลาชีวิตนิจนิรันดร์แน่นอน ดังนั้นในอนาคตอันใกล้ไป๋เฉินย่อมจะสงสัยในตัวตนของเขาแน่นอน ในเมื่อตัวตนที่แท้จริงของเย่หยวนกำลังจะถูกเปิดโปงในไม่ช้า จึงเป็นการดีกว่าหากเขาบอกให้ไป๋เฉินให้รับรู้ตั้งแน่เนิ่นๆ
หากเมื่อครู่ไป๋เฉินคิดทรยศเขา เย่หยวนก็พร้อมฆ่าคู่ศิษย์อาจารย์ทิ้งทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เป้าหมายของเย่หยวนในการเดินทางมาที่ดินแดนนภาบรรพตค่อนข้างชัดเจน ทั้งหมดก็เพื่อศิลาชีวิตนิจนิรันดร์! นั้นคือสิ่งเดียวที่สามารถช่วยชีวิตมู่หลินเสวียได้ และเย่หยวนไม่ยอมให้ตัวแปรใดเข้ามาทำให้แผนการล้มเหลวเด็ดขาด!
แม้เขาจะไม่เต็มใจฆ่าไป๋เฉินก็ตาม
ทว่าก็ยังโชคดีที่ไป๋เฉินเลือกยืนอยู่ข้างเขา
………………..
ณ ห้องโถงใหญ่แห่งวังเทวะรัตติกาลฉาย ไป๋ซิ่วนั่งบนตำแหน่งอันทรงเกียรติประดับคู่คิ้วขมวดเป็นปมแน่น
“ข้าเพิ่งได้รับรายงานมาว่า ทัพศึกเหล่าเซียนจากวังเทวะพิรุณร่วงโรยกลุ่มใหญ่ได้ผ่านเข้ามาอาณาเขตของวังเทวะรัตติกาลฉายแล้ว! และอีกไม่กี่วันพวกมันก็จะมาถึงที่นี่! ไม่ว่าอย่างไร…พวกเราจักต้องได้ข้อสรุปกันในวันนี้!”
เมื่อเรื่องนี้ถูกเผยออกไป สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนต่างกันไป บางคนดูกังวล บางคนดูหวาดกลัวและบางคนดูโกรธเกรี้ยวอย่างมาก โฉมหน้าที่แท้จริงของมนุษย์มักเผยออกมาในเวลาวิกฤตเช่นนี้
“รองประมุข ข้าเกรงว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว! ตำแหน่งประมุงวังคนต่อไป ไม่ว่านายน้อยจะเต็มใจยอมรับหรือไม่ แต่ท่านก็คือบุคคลที่เหมาะสมที่สุดแล้ว!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้น
เมื่อความเห็นเช่นนี้ถูกแสดงเผยออกมา ก็มีอีกหลายคนกล่าวเสริมเห็นด้วยกันทันที
“ถูกต้องแล้ว ยามนี้เผชิญศึกใหญ่กับศัตรูตัวฉกาจ ถึงนายน้อยจะมีพรสวรรค์ดีเลิศเพียงใด แต่ในแง่ประสบการณ์กัดกุมศึกกลับยังไม่มี การควบคุมมวลชนและสร้างขวัญกำลังใจแก่ขุมกำลังฝ่ายเรา จำต้องเป็นบุคคลทรงบารมีที่ทุกคนต่างเคารพเลื่อมใส เรื่องนี้ไม่ต้องถกเถียงให้เสียเวลาอีกต่อไป ท่านรองประมุขเหมาะสมที่สุด!”
“ท่านรองประมุข ยามนี้ท่านคือบุคคลที่แกร่งกล้าที่สุดในบรรดาวังเทวะรัตติกาลฉายทั้งหมด เรื่องประสบการณ์ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เจนจัดผ่านสมรภูมิเป็นตายนับครั้งไม่ถ้วน ทุกคนต่างเลื่อมใสเชื่อมั่น หากมีท่านเป็นเสาหลัก ศึกครานี้พวกเขากุมชัยไปกว่าครึ่งแล้ว! โปรดรับตำแหน่งประมุขวังคนต่อไปเถิด!” ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวเสริม
ณ ปัจจุบันมีผู้อาวุโสในโถงใหญ่ทั้งหมดแปดคน ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าทั้งสิ้นขณะนี้ที่พวกเขาพูดออกมา มีผู้อาวุโสสามในแปดคนที่เอ่ยปากเห็นด้วยแล้ว ส่วนที่เหลือสีหน้าพวกเขาแต่ละคนยังดูลังเลตัดสินใจไม่ขาด แต่มีแววเอนเอียงไปทางไป๋ซิ่วมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“นี่พวกเจ้ายังรออะไรอยู่อีก? หรือไม่รอให้วังเทวะรัตติกาลฉายของเราพังพินาศก่อนค่อยตัดสินใจได้กระมัง?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นทันทีเจือหงุดหงิด
สีหน้าของที่เหลือพลันผันแปรอีกระลอก ประโยคนี้ได้สะบั้นตัดฟางเส้นสุดท้ายลงในทันใด
“เช่นนั้น…ข้าเห็นด้วย!”
“ข้าก็เห็นด้วย!”
“ข้า…เห็นด้วยเช่นกัน!”
เหล่าผู้อาวุโสที่เหลือเริ่มเผยแสดงทัศนคติออกมาทีละคนสองคน ทุกคนในตอนนี้ต่างลงมติเป็นเอกฉันท์ ให้ไป๋ซิ่วขึ้นสืบทอดตำแหน่งประมุขวังคนต่อไป
ไป๋ซิ่วรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมากอย่างลับๆ แต่ภายนอกสีหน้าที่แสดงออกไปกลับเปี่ยมล้นความลำบากใจและกล่าวว่า “แต่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? บรรพชนผู้ก่อตั้งวังเทวะรัตติกาลฉายคือบรรพบุรุษของบรรพบุรุษของท่านประมุขวังคนก่อน ตำแหน่งนี้ผู้สืบทอดได้ล้วนต้องมีสายเลือดทางตรงเท่านั้น และที่สำคัญที่สุด มีหรือที่ข้าจะพาวังเทวะรัตติกาลฉายไปได้สูงกว่าท่านประมุขวังคนก่อน หากตำแหน่งนี้อยู่ในมือข้า เกรงว่าจะทำให้เหล่าบรรพชนอับอายขายขี้หน้าได้?”
“ท่านรองประมุขโปรดหยุดปฏิเสธเถิด! ท่านเองก็แซ่สกุลไป๋มิใช่รึ? และท่านยังเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านประมุขวังคนก่อนมานับครั้งไม่ถ้วน! แล้วผลงานจะด้อยกว่าท่านประมุขวังคนก่อนได้อย่างไร? ท่านรองประมุขอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย ทัพศึกวังเทวะพิรุณร่วงโรยเจียนมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว!”
“ใช่แล้วท่านรองประมุข ข้าเห็นด้วย!”
……………….
เหล่าผู้อาวุโสวิตกกังวลไม่ต่าง หากยามนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เกรงว่าจัดทัพเตรียมต้านข้าศึกไม่ทันแน่นอน! ดังนั้นทุกคนต่างพร้อมใจเรียกร้องให้ไป๋ซิ่วยอมรับตำแหน่งประมุขวังคนต่อไปอย่างสุดกำลัง แม้ไป๋ซิ่งจะเป็นคนสกุลไป๋แต่เขากลับเป็นเพียงญาติห่างๆของท่านประมุขวังคนก่อน ในแง่ของสายเลือดแล้ว บุตรชายย่อมมีสายเลือดที่บริสุทธิ์กว่าคนโดยธรรมชาติ
เพียงว่านี่มิใช่เวลามานั่งสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว
ไป๋ซิ่งถอนหายใจเสียงยาวไม่หยุดหย่อนและกล่าวว่า “ในเมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้ ข้าไป๋ซิ่วเองก็ขอทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและขอยอมรับตำแหน่งประมุขวังคนต่อไป! แต่ข้าขอประกาศให้ทราบ ณ ที่แห่งนี้ก่อนว่า นี่เป็นเพียงตำแหน่งชั่วคราวเท่านั้น หลังจากวังเทวะรัตติกาลฉายของเราผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ เราจะทำการเลือกองค์ชายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดเพื่อรับสืบทอดตำแหน่งประมุขวังที่แท้จริงอีกครั้ง!”
ทันทีที่กล่าวจบ เสียงถอนหายใจระบายออกมาบรรยากาศก็ดูผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน เหล่าผู้อาวุโสแต่ละคนเผยสีหน้าดูโล่งใจกันขึ้น
“ท่านประมุขวัง ช่างมีจิตใจประเสริฐยึดหลักคุณธรรมเที่ยงตรง! เรื่องในวันหน้าค่อยให้วันหน้าพินิจตัดสิน! วันนี้เราจะประกาศให้ทั่วทั้งวังเทวะรัตติกาลฉายทราบกันโดยทั่ว ในนามของสภาอาวุโสแห่งวังเทวะรัตติกาลฉาย ขอแต่งตั้งให้ไป๋ซิ่วรับสืบทอดประมุขวังคนต่อไป!”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆพยักหน้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาค่อนข้างพอใจกับผลการตัดสินเช่นนี้
ไป๋ซิ่วยิ้มกล่าวว่า “เอาล่ะมาคุยเรื่องในวันนี้ก่อน! ศึกคราวนี้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัว ดังนั้นข้าต้องไปจัดการบางเรื่องเสียก่อน ส่วนเรื่องประกาศประมุขวังคนปัจจุบัน จำต้องรบกวนพวกท่านแล้ว!”
“ข้าไม่เห็นด้วย!” ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังฉีกขึ้นมา เย่หยวนที่นั่งเงียบมาโดยตลอดในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น ร่างของชายหนุ่มคนนี้ปราศจากร่องรอยพลังปราณเทวะใดๆ ทั้งๆ ที่เป็นแค่คนธรรมดายังกล้าปริปากกล่าวออกมาในที่แบบนี้อีกอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าเด็กเหลือขอนี่มาจากไหน? ไยถึงหาญกล้าคัดค้านยุ่งเรื่องสภาอาวุโสของเรา! เรื่องนี้พวกเราเหล่าสภาอาวุโสต่างลงมติชัดแจ้งเรียบร้อยดีแล้ว เจ้าเป็นใครมาจากไหนถึงกล้าไม่เห็นด้วย!?”
ผู้อาวุโสที่เป็นตัวตั้งตัวตีเสนอชื่อไป๋ซิ่วขึ้นมาในตอนแรก ยามนี้โพล่งขึ้นพรวดพร้อมชี้หน้าคำรามใส่เย่หยวนอย่างโกรธเกรี้ยว ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ ชื่อของไป๋เฉินถูกปัดตกไปเป็นเวลานานแล้ว
แม้เขาและโม่หยุนจะมาร่วมฟังคำหารือของสภาอาวุโสด้วยเช่นกัน แต่กลับไม่มีใครสนใจความคิดเห็นของทั้งคู่เลย กล่าวได้ว่าไม่เห็นหัวกันเลยด้วยซ้ำ ทว่าเย่หยวนที่ดูเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง กลับหาญกล้าเอ่ยวาจาแทรกแซงพวกเขาแถมยังลั่นคำคัดค้านอย่างไร้ซึ่งยางอาย
เจ้าหนุ่มคนนี้มันหยิ่งผยองมาจากที่ใดกัน!
เย่หยวนไม่แม้แต่จะแยแสเสียงขุ่นเคืองของอีกฝ่าย ก่อนเหลือบมองไปที่ไป๋ซิ่วและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“หุหุ ฝีมือการแสดงของท่านนับว่าไม่เลว! แต่…ทุกอย่างคงต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้ ในเมื่อข้ากล่าวว่าไม่เห็นด้วย ดังนั้นท่านก็ไม่มีวันขึ้นเป็นประมุขวังได้!”
……………………………………………….
ตอนที่ 1418 คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหล่าผู้อาวุโสต่างมองหน้าสบตากันไปมาด้วยความงุนงง นี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? สมองของเขามีปัญหาอะไรหรือไม่? เจ้าหนุ่มคนนี้คิดว่าตัวเองเป็นใคร ยามบอกว่าไม่เห็นด้วยแล้วพวกเราจะต้องเชื่อฟัง?
เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า?!
“ไป๋เฉิน เจ้าควรจัดการกับคนของเจ้าให้ดี! มีหรือจะไม่ทราบว่าเจ้ามีข้อขุ่นเคืองใจ แต่อย่าใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล นี่มิใช่สนามเด็กเล่นที่เจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามอิสระ!”
“ถูกต้อง! แล้วไอ้เด็กเหลือขอคนนี้โผล่มาจากไหน ไฉนถึงกล้าทำตัวทรามในสภาอาวุโส!”
เหล่าผู้อาวุโสต่างชี้หัวหอกไปที่ไป๋เฉินเป็นเป้าเดียว สุดท้ายนี้ไม่มีใครสามารถมองผ่านอ่านขุมพลังที่เก็บซ่อนของเย่หยวนออกเลยแม้นสักคน และคิดกันไปว่าเย่หยวนถูกส่งมาโดยไป๋เฉินเพื่อก่อปัญหาเท่านั้น
ไป๋เฉินกล่าวขึ้นเสียงเย็นชืดว่า “ข้าลืมแนะนำท่านผู้นี้แก่ทุกคนไปโดยสนิท นี่คือท่านอาจารย์เย่ที่เพิ่งรับข้าเป็นศิษย์เมื่อไม่นานมานี้! และในอนาคตต่อไป เขาจะขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวังเทวะรัตตดิกาลฉายแห่งนี้! ทุกคำพูดที่เขากล่าวไปล้วนเป็นความเห็นแทนตัวข้าทั้งสิ้น!”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวเหล่านี้ สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันปรวนแปรอย่างหนัก
“ไร้สาระสิ้นดี! ไป๋เฉิน หากเจ้ายังหัวรั้นดื้อด้านอยู่แบบนี้ ก็อย่าตำหนิพวกเราเหล่าชายชราว่าไม่ไว้หน้าท่านประมุขวังคนก่อน! นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าถูกปลดออกจากตำแหน่งนายน้องแห่งวังเทวะรัตติกาลฉายแล้ว!” ผู้อาวุโสที่เสนอชื่อไป๋ซิ่วในคราแรกกล่าวไล่ไป๋เฉินออกไปทันที
เย่หยวนเหลือบมองช้อนหางตามองทุกคนและกล่าวเสียงเย็นสะท้านดังขึ้นว่า “ท่านอาวุโสไป๋หรงใช่หรือไม่? ไม่ทราบว่าปัญหาอ่อนหรือโง่? ท่านกับไป๋ซิ่วสมรู้ร่วมคิดเรื่องละครฉากใหญ่เพื่อส่งมองตำแหน่งประมุขวังให้อย่างสมเกียรติ แถมตอนนี้ยังไล่นายน้อยผู้สือทอดตำแหน่งประมุขวังที่แท้จริงออกไปอีก นี่จะไม่ราบรื่นเกินไปหน่อยรึ?” สีหน้าท่าทางของไป๋หรงมิดขรึมลงทันทีพร้อมชี้นิ้วด่าเย่หยวนว่า “ไอ้เด็กเหลือขอ พล่ามเรื่องไร้สาระไปเรื่อย! เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า เราชายชราผู้นี้สามารถฉีกปากเจ้าทิ้งได้?!”
แต่เย่หยวนกลับมิได้สนใจเขาแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามหันไปกล่าวกับผู้อาวุโสคนอื่นว่า “ข้าขอถามพวกท่าน ทุกคนเพียงประโยคเดียวเท่านั้น หากกล่าวกันตามจริง ใครคือผู้สืบทอดที่ถูกต้องตามจารีตประเพณีที่สืบต่อกันมาของวังเทวะราติกาลฉายที่สุด? คนๆ นั้นมิใช่นายน้องที่ถูกรับเลือกโดยท่านประมุขวังคนก่อนโดยตรงอย่างไป๋เฉินหรอกรึ?”
ผู้อาวุโสทั้งหลายสบตากันไปมา ทันใดนั้นมีคนหนึ่งกล่าวขึ้นทันทีว่า “ถูกต้องตามที่เจ้ากล่าวทุกประการ! ตามกฎที่สืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของวังเทวะรัตติกาลฉายได้บัญญัติไว้ว่า นายน้อยคือผู้สืบทอดลำดับแรกในบรรดาทั้งหมด! แต่เพียงว่า…” ผู้อาวุโสคนนั้นคล้ายว่าพยายามจะกล่าวต่อ แต่กลับถูกเย่หยวนกล่าวแทรกขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
“เช่นนั้นก็ดี! พวกท่านทุกคนเป็นสมาชิกสภาอาวุโส ดังนั้นก็ควรรักษาจารีตประเพณีเอาไว้มิใช่เปลี่ยนแปลงตามใจชอบ! ถึงเขายังเด็กอ่อนด้อยประสบการณ์ แต่พวกท่านทราบได้อย่างไรว่า เขาจะไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่อันสำคัญนี้ได้? หรือพวกท่านมีตาทิพย์เห็นอนาคตกัน?”
เหล่าผู้อาวุโสที่ได้ฟังเหตุผลเช่นนี้ต่างก็พยักหน้าโดยไร้ซึ่งคำคัดค้านใด สุดท้ายนี้ทุกคนจำต้องมีการเริ่มต้น ประสบการณ์สั่งสมขึ้นได้จากครั้งแรกเสมอ และพวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่า นายน้อยผู้ไร้ประสบการณ์คนนี้ ในวันข้างหน้าอาจกาลยเป็นประมุขวังที่มีวิสัยทัศน์กว้างขวางก็เป็นได้
เย่หยวนกล่าวต่ออย่างเย็นชาว่า “ตอนนี้ข้าขอสนับสนุนไป๋เฉินให้ขึ้นเป็นประมุขวังคนต่อไปในนามของอาจารย์! หากผู้ใดมีข้อกังขาหรือเห็นต่างก็จงก้าวออกมาสู้กับข้าได้เลย! เชิญ!”
อวดดีและหยาบคาบเกินไป! กลยุทธ์แผนการใดๆล้วนแต่เป็นเสือกระดาษต่อหน้ายอดฝีมือที่แท้จริง! เพียงว่าเมื่อได้ฟังคำกล่าวนี้ของเย่หยวน ทุกคนล้วนแล้วแต่เห็นเป็นเรื่องตลก เพราะไม่ว่าอย่างไร เย่หยวนก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
แม้แต่ไป๋เฉินในยามนี้ยังต้องเหงื่อตกเช่นกัน ไป๋ซิ่วผู้นี้เป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลาย ความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าท่านอาจารย์เย่หลายขุม แต่เขาพยายามสงบสติอารมณ์ลงโดยไว ไป๋เฉินไม่ต้องการทำให้ท่านอาจารย์ของเขาเสียหน้าเช่นนี้แน่นอน
คู่ดวงเนตรของไป๋ซิ่วหรี่แคบลงเล็กน้อย แรงกดดันแห่งอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายหอบใหญ่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างช้าๆ เขากล่าวขึ้นพร้อมน้ำเสียงทุ้มต่ำสุดหยั่งลึกว่า “ความหมายของเจ้าคือ…ต้องการให้ข้าท้าทายเจ้า?”
เย่หยวนเค้นเสียงหึคำหนึ่งและกล่าวว่า “ไม่ใช่ท่าน แต่เป็นพวกท่านทุกคน โจมตีพร้อมกันทีเดียวจะได้ไม่ต้องเสียเวลา!”
“อวดดีนัก!”
“โง่งมสิ้นดี!”
“หยิ่งผยอง!”
ในท้ายที่สุดนี้ความเย่อหยิ่งของเย่หยวนก็ไปกระตุ้นโทสะของเหล่าผู้อาวุโสทุกคนจนเดือดดาล
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “หุบปากแล้วเข้ามา!”
ไป๋ซิ่วค่อยๆลุกขึ้นและก้าวแช่มเดินเข้ามาใกล้พลางแสยะยิ้มแสนเย็นชากล่าวว่า “หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ตำแหน่งประมุขวังจะเป็นของไป๋เฉินโดยไม่มีข้อแม้ใดอีก ว่าอย่างไร?”
เนื่องจากท่านประมุขวังคนก่อนไม่อยู่แล้ว ดังนั้นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ก็คือไปซิ่ว หากเอาชนะไป๋ซิ่วได้ ก็แสดงว่าทอดสายตาทั่ววังเทวะรัตติกาลฉายแห่งนี้คบไม่มีใครเป็นคู่มือได้อีกแล้ว
แต่เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงคร้านใส่ใจว่า “ท่านมันอ่อนแอเกินไป อย่าตำหนิว่าข้าไม่ให้โอกาสท่านและเหล่าผู้อาวุโสโจมตีพร้อมกัน! ท่านยังมีโอกาสเลือกอยู่ ว่าอย่างไร?”
“ไฉนไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ถึงหยิ่งผยองนัก?! เราชายชราขอประจักษ์ให้เป็นขวัญตาเสีย เจ้ามีดีอะไรนักหนา!?”
“ตั้งแต่ที่เราชายชรามีชีวิตอยู่มาจนบัดนี้ ยังคงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น เด็กน้อยที่อวดดีขนาดนี้! ได้! เราชายชราขอร่วมวงด้วย!”
“น่าขันสิ้นดี! เจ้ากำลังรนหาที่ตายโดยแท้ เช่นนั้นเราเองก็ขอสงเคราะห์อีกคน!”
…………………
เหล่าผู้อาวุโสทั้งแปดลุกขึ้นและก้าวออกไปยืนข้างไป๋ซิ่วโดยพร้อมเพรียง เก้าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าผนึกกำลังโจมตีพร้อมกัน นี่เป็นภาพฉากที่สะเทือนฟ้าสะท้านดินที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์!
หัวใจของไป๋เฉินแทบพุ่งออกมาจากลำคอ เขาไม่คิดเลยว่าท่านอาจารย์เย่จะหยิ่งผยองถึงขั้นนี้ เขาต้องการท้าทายเก้าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าด้วยตัวเพียงลำพังจริงๆ! เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด ปะทะกับเก้าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า นี่มันไม่บ้าบิ่นเกินไปหน่อยรึ?
เมื่อเย่หยวนบอกว่าไม่ต้องห่วง เขาเองก็โล่งใจไม่น้อย ทว่าไป๋เฉินกลับคาดไม่ถึง ท่านอาจารย์เย่กลับหยิบใช้วิธีเช่นนี้เพื่อทวงคืนตำแหน่งประมุขวังกลับคืนมา แม้วิธีนี้จะได้ผลทันทีและมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ปัจจัยสำคัญคือ เย่หยวนจะต้องเอาชนะพวกเขาให้ได้! ไป๋เฉินอดเหลียวมองสบตากับโม่หยุนมิได้ แต่ต้องพบว่า โม่หยุนในขณะนี้เองก็ตื่นตะลึงหนักจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเช่นกัน ในเมื่อสถานการณ์พัฒนามาถึงขั้นนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่พวกเขาทั้งคู่จะสามารถหยุดได้
ยังคงมีเหล่าองค์ชายผู้เป็นบุตรของประมุขวังคนก่อนอีกสองสามคน ช้อนสายตาจับจ้องไปที่ไป๋เฉินด้วยแววตาเศร้าโศก พวกเขาไม่รู้เลยว่าน้องไป๋เฉินไปหยิบเอาชายผู้หยิ่งผยองขนาดนี้มาจากที่ใด แต่นี่ไม่ต่างอะไรกับการหยิบเชือกมาผูกคอตาย! เย่หยวนเผชิญหน้ากับเก้าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะได้เลยแม้แต่น้อย
“เด็กเหลือขอแสวงหาความตายเอง ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าทำตัวเองมิอาจถือโทษตำหนิใครอื่นได้!” ไป๋หรงกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเย็นแสยะฉีกกว้างแสนน่ากลัว
เย่หยวนยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงและกล่าวว่า “ยิ่งแก่ยิ่งพูดมากหรืออย่างไร? รีบๆโจมตีมาซะ!”
“ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงหารู้จักไม่!” ไป๋หรงคำรามลั่นโกรธจัด รัศมีแรงกดดันพุ่งทะยานเสียดฟ้านภาสูงลิบ เร่งพลังสุดขีดโจมตีใส่เย่หยวนกำลังเต็มสูบ! ที่เหลือเองไม่มีออมมือรั้งรอนพลังเช่นกัน ขุมพลังปราณเทวะสุดน่าสะพรึงถูกปลดปล่อยออกมาจนทั่วทั้งโถงกว้างสั่นสะท้อนแทบถล่ม
ภายใต้การผนึกกำลังผสานโจมตีของเก้าเซียนผู้ไร้เทียมทาน เย่หยวนดูอ่อนแอไม่ต่างจากมดปลวกตัวหนึ่งเลยเว้นเสียว่า เย่หยวนยังคงยืนตรงตระหง่านสองมือไพล่หลัง ไร้ซึ่งเจตนาเคลื่อนไหวอันใด
ดูเหมือนว่าเขากำลังรอคอยความตายอยู่ก็มิปาน
“ท่านอาจารย์เย่!” สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินเปลี่ยนไปอย่างมาก ทันใดนั้นเขาก็โพล่งลุกพรวดเตรียมพุ่งไปช่วยเหลือในทันใด แต่สุดท้ายกลับถูกโม่หยุนห้ามเอาไว้เสียก่อน ต้องล้อเล่นแล้ว หากไป๋เฉินออกไปช่วยเย่หยวนตอนนี้ มิใช่ว่าถูกสังหารหมู่พร้อมกันทั้งคู่?
แค่เด็กคนหนึ่ง ช่างน่าขันโดยแท้! หนึ่งประโยคนี้ที่ผุดขึ้น นี่คือสิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสทั้งเก้ากำลังคิดอยู่ภายในใจ
แต่ทันใดนั้นเอง กระแสลมเย็นยะเยือกสุดขั้วหอบใหญ่พลันพัดผ่านพร้อมเสียงโหยหวนสุดสยดสยอง! ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด ข้างกายเย่หยวนปรากฏร่างหนึ่งขึ้นมา ขณะที่ร่างนี้ปรากฏเผยกายออกมา คล้ายว่าอุณภูมิทั่วโถงกว้างพลันเย็นเฉียบสั่นสะท้านขวัญ ตั้งแต่ที่ได้ฝึกปรืออักขระร้อยภูตเต๋า กลิ่นอายของกุ้ยหยุนนับวันก็ยิ่งล้ำลึกและเย็นยะเยือกขึ้นผิดหูผิดตา
ภายใต้ลมหายใจเย็นเสียงพึมพำเอ่ยดังขึ้น ร่ายผนึกอักขระประหลาดสวมมือทั้งสองข้างและเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “อักขระร้อยภูตเต๋า…กรงเล็บวิญญาณอาฆาต!”
ทันใดนั้นเองคลื่นพลังหยินสุดน่าสะพรึงกลัวพลันพุ่งออกมาจากใต้พื้นดิน กรงเล็บปีศาจขนาดมหึมากรีดร้องโหยหวนไม่หยุดหย่อน สีหน้าของเก้าผู้อาวุโสเปลี่ยนไปฉับพลัน คล้ายกลิ่นอายแห่งความตายมาเคาะประตูถึงหน้าบ้าน!
กรงเล็บปีศาจยักษ์พุ่งเข้าใส่ทั้งเก้าที่เบิกตาโตตะลึงงันไม่คลายอ่อน ความตื่นตะลึงสลักลึกสุดใจ พวกเขายังมัวห่วงเรื่องเย่หยวนได้อย่างไร? ยามนี้เร่งเบี่ยงวิถีโจมตีทั้งหมดเข้าต้านสกัดกรงเล็บปีศาจ
บูมมม!
กรงเล็บปีศาจนี้กลับเป็นฝ่ายเหนือกว่า มันพุ่งโจมตีใส่ผู้อาวุโสทั้งเก้าโดยตรง!
พร๊วดด พร๊วดด พร๊วดด…
ในจังหวะเดียวกัน เหล่าผู้อาวุโสทั้งเก้าล้มระเนระนาดนอนกองกับพื้นหมดสภาพ พร้อมกระอักพ่นเลือดสดออกมาไม่หยุดหย่อน
……………………………………………….
ตอนที่ 1419 เรียกระดมพลโจมตี
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ขะ แข็งแกร่ง!”
ไป๋เฉินสูดไอเย็นแช่มพร้อมตื่นตะลึงสุดหัวใจต่อกรงเล็บวิญญาณอาฆาตเมื่อสักครู่
หนึ่งกระบวนกรงเล็บสามารถบดขยี้เก้าผู้อาวุโสอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าลงได้อย่างง่ายดาย ความแกร่งกล้าระดับนี้ช่างท้าทายสวรรค์เกินไปแล้ว
“นั้น…นั้นภูตเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดใช่หรือไม่? ไฉนยอดฝีมือระดับนี้ถึงติดตามเจ้าเด็กนั้น?”
“ทั้งๆ ที่รองประมุขวังไป๋ซิ่วกับภูตเซียนตนนั้นน่าจะมีพลังใกล้เคียงกันแท้ๆ แต่ไฉนเขาถึงพ่ายแพ้ยับเยินได้ขนาดนี้!”
“รัศมีของกรงเล็บปีศาจเมื่อครู่ช่างน่ากลัวอย่างมาก ข้ารู้สึกราวกับวิญญาณของตนกำลังจะถูกกรงเล็บนั้นพรากไปอย่างไรมิทราบ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
…
เมื่อเหล่าองค์ชายคนอื่นๆเห็นภาพฉากนี้ พวกเขาต่างตื่นตะลึงหนักจนอ้าปากค้างหุบไม่ลง การปรากฏตัวของกุ้ยหยุนสร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกคนเกินพรรณนา ยิ่งสามารถโค่นเก้าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าลงได้อย่างง่ายดายด้วยแล้ว นี่ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไป และที่สำคัญที่สุดคือ ภูตเซียนผู้ทรงพลังตนนี้กลับอยู่ใต้การปกครองของเย่หยวน! ทุกคนต่างรู้สึกอิจฉาอย่างไม่น่าเชื่อ หากพวกเขามีผู้ใต้บัญชาแกร่งกร้าวปานนี้ มีหรือจะไม่ได้ตำแหน่งประมุขวังมาครอง?
ท้ายที่สุดนี้กำปั้นใหญ่คือกฎเหล็กบัญญัติได้สรรพสิ่ง! ไม่สนว่าสิ่งนี้จะถูกผิดหรือผู้ใดจะไม่เห็นชอบ ทว่าทุกสิ่งกลับต้องพ่ายลงให้แก่ความทรงพลังที่แท้จริง
เย่หยวนก้มมองผู้อาวุโสทั้งเก้าที่นอนกองกับพื้นด้วยสายตาสุดเหยียดหยั่น พร้อมเอ่ยปากเสียงเรียบขึ้นว่า
“ข้าสงสัยว่ายามนี้ นายน้อยไป๋เฉินมีคุณสมบัติเพียบพร้อมหรือยังที่จะรับสืบทอดตำแหน่งประมุขวังคนต่อไป?”
พวกเขาทั้งเก้าปั้นหน้าน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
“ในเมื่อเงียบกันแสดงว่าไม่มีใครคัดค้าน ไป๋เฉิน เจ้าจงลุกไปนั่งบนตำแหน่งประมุขเดี๋ยวนี้!” เย่หยวนเอ่ยปากสั่งการประดับเสียงเย็นยะเยือก
คล้อยหลังที่เย่หยวนตะโกนนอกไป เขายังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหนด้วยความงุนงง ยามนี้สติหลุดลอยชั่วขณะสูญเสียสิ่งที่ต้องไปพักใหญ่
ในอีกด้าน โม่หยุนรู้สึกสุขใจอย่างหาที่ใดเปรียบไม่ เขาเร่งตบหลังเรียกสติไป๋เฉินและกล่าวว่า “ยังมัวยืนงงอยู่อันใด? ขึ้นไปนั่งเร็ว!”
ไป๋เฉินสะดุ้งเฮือกดึงสติกลับมาได้ในที่สุด เขาค่อยๆย่างเท้าตรงออกไปยังที่นั่งตำแหน่งประมุขวังทีละก้าว “เดี๋ยวก่อน!”
ทันใดนั้นเองไป๋ซิ่วที่พยายามพยุงตัวขึ้นก็กล่าวแทรกหยุดอีกฝ่าย
เย่หยวนปรายตามองต้นเสียงเล็กน้อยอย่างไม่แยแสนักและกล่าวว่า “มีอันใด? หรือท่านยังข้องใจ?”
ไป๋ซิ่งกล่าวน้ำเสียงขรึมขึ้นว่า “ไป๋เฉิน ภูมิหลังของชายคนนี้ไม่เป็นที่ชัดเจน มีความเป็นไปได้ว่า ที่เขาลงมือช่วยเหลือเจ้าอาจต้องการซื้อความเชื่อใจเท่านั้น เจตนาลับหลังอย่างไรกลับไม่แน่ชัด หรือเจ้าจะเอาอนาคตของวังเทวะรัตติกาลฉายมาเสี่ยงกับชายนิรนามคนนี้?”
ในเวลานั้นเองโม่หยุนกล่าวแทรกขึ้นทันทีว่า “ท่านเย่หยวนคนนี้เป็นเซียนเร้นกายอยู่สันโดษไร้ฝักฝ่าย ดังนั้นสิ่งที่เจ้ากำลังกังวลย่อมไม่มีทางเป็นไปได้! เจ้าคนทรยศไป๋ชงสมรู้ร่วมคิดกับพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยแอบซุ่มโจมตีนายน้อยไป๋เฉินกลางป่าพฤกษารกร้าง พร้อมนำกำลังพลเป็นเหล่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้านับหลายสิบมา แต่โชคยังดีที่พวกเราได้ท่านเย่หยวนคนนี้ช่วยเหลือเอาไว้! ไม่เพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้านับหลายสิบ แม้แต่อู่ซินเองยังถูกท่านเย่หยวนคนนี้สังหารทิ้งภายในกระบวนดาบเดียว! ข้าโม่เฉินประจักชัดถึงความแกร่งกล้าของเขา จึงให้นายน้อยไป๋เฉินโขกศีรษะยอมรับท่านเย่หยวนเป็นอาจารย์ ดังนั้นเขาคือพวกเดียวกับเรา!”
เมื่อไป๋ซิ่วและผู้อาวุโสทั้งแปดได้ฟังดังนั้น ก็ถึงกับหน้าเสียเปลี่ยนสีอีกครา
เดิมทีพวกเขายังคิดว่า เย่หยวนคนนี้เอาแต่พึ่งพาภูตเซียนตนเมื่อครู่เพียงอย่างเดียว แต่กลับไม่คิดมาก่อนเลยว่า ความแกร่งกล้าเฉพาะตัวเขาเพียงลำพังก็น่าเกรงขามถึงขั้นนี้ ที่สำคัญกว่านั้นคือ หากเย่หยวนแข็งแกร่งจนสามารถเอาชนะอู่ซินและเหล่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้านับหลายสิบได้ในคมเดียว นั้นแสดงว่าเขาเองก็เป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่ง ถึงกระนั้นกลับสามารถปกปิดกลิ่นอายความแกร่งกล้าได้อย่างแนบเนียน ชนิดที่ว่าพวกเขาทั้งเก้าไม่รู้ตัวเลยสักนิด!
เย่หยวนคนนี้ง้ำประกายลึกล้ำเกินหยั่งถึงเกินไป! ซึ่งความแข็งแกร่งของอู่ซินเองพวกเขาก็ชัดเจนดี พลังฝีมือของฝ่ายนั้นสูสีกับโม่หยุนมาก แต่กระบวนดาบเดียวสามารถฆ่าล้างเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าพร้อมเซียนคนอื่นอีกหลายสิบได้ สิ่งเหล่านี้แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่มีปัญญาทำได้เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าคัดค้านอีกต่อไป
ไม่ว่าวังเทวะพิรุธร่วงโรยจะตั้งใจหยิบใช้กลอุบายทำร้ายฝ่ายตนเองเพื่อสร้างความเชื่อใจ แต่ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่ พวกนั้นจะยอมอุทิศชีวิตระดับขุมกำลังอาณาจักรปฐมพระเจ้านับหลายสิบทิ้งเป็นว่าเล่นแบบนี้
แม้วังเทวะพิรุณร่วงโรยจะมีขุมกำลังเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าจำนวนไม่น้อย แต่ชนชั้นปฐมพระเจ้านับหลายสิบก็เป็นขุมกำลังขนาดใหญ่ที่มิอาจละเลยได้เลย ไม่ว่าวังเทวะพิรุณร่วงโรยจะโง่เขลาเพียงใด พวกนั้นก็ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้ลงแน่นอน
“หากไม่มีใครคัดค้านแล้ว เช่นนั้นขอเชิญสภาอาวุโสเตรียมประกาศข่าวนี้ให้ภายนอกได้รับรู้ นายน้อยไป๋เฉินรับสืบทอดกลายเป็นประมุขวังเทวะรัตติกาลฉายตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป! รองประมุขวังไป๋ซิ่ว สงสัยว่ายังมีอันใดจะคัดค้านหรือไม่?”
เย่หยวนเหลือบมองส่งสายสุดไม่แยแสให้ไป๋ซิ่ว ไม่ทราบเพราะเหตุใดไป๋ซิ่วที่เห็นคู่สายตาอีกฝ่ายพลันสั่นกลัวโดยมิตั้งใจ
“ข้า…ข้าไม่มีข้อคัดค้าน! นายน้อยไป๋เฉินรับช่วงต่อในฐานะผู้สืบทอดที่แท้จริง นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดแล้ว!” ไป๋ซิ่วกล่าวอย่างไม่เต็มใจนัก
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ไป๋ซิ่วยังไม่กล้าคัดค้าน แล้วคนอื่นมีหรือจะกล้า? เพียงเท่านี้ ไป๋เฉินก็ขึ้นกลายเป็นประมุขคนใหม่แห่งวังเทวะรัตติกาลฉายได้สำเร็จ! เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน เหล่าผู้อาวุโสจึงประกาศต่อสาธารณชนและภายนอกเป็นประจักษ์รับรู้โดยทั่วกันในวันนั้นทันที
สถานการณ์ดำเนินไปไกลกว่าที่คาดการณ์นัก แต่ไป๋เฉินก็ขึ้นกลายเป็นประมุขวังคนให้ได้ในท้ายที่สุด!
“ท่านอาจารย์เย่ ข้าควรทำอย่างไรต่อดี?” แม้เขาจะขึ้นเป็นประมุขวังแล้ว แต่ไป๋เฉินกลับไม่มีแผนการอะไรรองรับเลย เขาจึงเอ่ยถามขอคำปรึกษาจากเย่หยวนในทันที
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าในตอนนี้เป็นถึงประมุขวัง อย่างไรก็ดีตอนนี้มีข้าคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ย่อมผ่านพ้นวิกฤตไปได้ แต่ข้าเองก็อาจอยู่ช่วยเจ้างข้างกายได้ตลอด สหายเฒ่าเหล่านั้นเองก็จ้องฉุดเจ้าลงตลอดเวลาเช่นกัน หากเจ้ายังไม่โตเสียที สักวันจะถูกพวกนั้นกินไม่เหลือแม้แต่กระดูก!”
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินเปลี่ยนไปอย่างมาก ทันทีทันใดเขาก็พลันนึกขึ้นได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเย่หยวนสุดท้ายนี้เขาก็ต้องจากไปในสักวันหนึ่ง และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้เขาคอช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา เมื่อเย่หยวนจากไป สิ่งที่เขาจำต้องพบเจอก็คือฝูงสัตว์ป่ากระหายเหยื่อ!
สีหน้าการแสดงออกของโม่หยุนมืดขรึมลงในบัดดล เขากล่าวว่า “ท่านประมุขวัง ท่านเย่หยวนกล่าวถูกต้องแล้ว! ในอดีตเป็นเพราะท่านคอยมีท่านประมุขวังคนก่อนปกป้อง จึงทำให้คนอื่นๆไม่กล้าทำอะไร ตอนนี้ก็เช่นกัน เพราะท่านเย่หยวนยังอยู่พวกนั้นจึงยอมล่าถอย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ท่านต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง!”
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินแลดูสับสนกระวนกระวายใจไม่หยุดหย่อน เขากล่าวตะกุกตะกักว่า
“แต่ข้า…ข้า…”
เย่หยวนยิ้มกล่าว “แค่ทำในสิ่งที่เจ้าอยากทำและถูกต้อง! ตอนนี้ยังมีข้าอยู่เคียงข้าง จะทำอะไรสุดแท้แล้วแต่ตัวเจ้าต้องการเลย! จงเติบโตให้เร็วที่สุดในตอนที่ข้ายังอยู่!”
ร่างไป๋เฉินสั่นสะท้านยามได้ฟัง ก่อนทอดสายตมองเย่หยวนแปลกๆ เมื่อเห็นสายตาอันเชื่อมั่นของเย่หยวน ไม่ทราบเหตุใดจาก่อนหน้าในห้วงความคิดเปี่ยมไปด้วยความสับสนไม่มั่นใจ ตอนนี้ไป๋เฉินดูสงบลงมากอย่างน่าประหลาดใจ “ท่านอาจารย์โม่หยุน เรียกระดมพลขุมกำลังอาณาจักรพระเจ้าของวังเทวะรัตติกาลฉาย! พรุ่งนี้ย่ำเช้า เตรียมเดินทัพประชิดข้าศึกบริเวณชายแดน! ข้าจะส่งข้อความนี้ไปถึงวังเทวะพิรุธร่วงโรย วังเทวะรัตติกาลฉายของเราหาใช่เรื่องง่ายที่จะรังแกรุกราน!” ไป๋เฉินลั่นวาจาสั่งการด้วยท่าทีสงบเคร่งขรึมขึ้นหลานส่วน
ณ ปัจจุบัน ไป๋เฉินในตอนนี้คล้ายปรากฏสง่าราศีที่ราชาพึงมีให้เห็นบ้างแล้ว เย่หยวนที่เห็นแบบนั้นก็อดคลี่ยิ้มบางมิได้ ในที่สุด ความกดดันก็ได้กระตุ้นให้บุปผาในเรือนกระจกเริ่มเติบโตขึ้นเล็กน้อย
เย่หยวนหยิบขวดโอสถออกมาและกล่าวว่า “รับสิ่งนี้ไป ประสิทธิภาพของมันมิได้ด้อยกว่าผลเก้าทำนองกายาอมตะเลย ภายในสภาอาวุโสจำต้องมีคนของเราเองนั่งประจำตำแหน่งเช่นกัน”
โม่หยุนรับขวดโอสถนั้นไว้พร้อมเงยมองเย่หยวนด้วยความซาบซึ้งสุดพรรณนา โอสถในขวดนั้นมีจำนวนไม่น้อยเลย มาตรได้ว่ามีค่าหาประเมินไม่
“ท่านเย่หยวน โม่หยุน…โม่หยุนคนนี้เป็นหนี้บุญคุณท่านตลอดชีวิต!”
ในเวลานี้ โม่หยุนรู้สึกตื่นอกตื่นใจอย่างหาที่เปรียบไม่
เขาติดอยู่ที่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้นมาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถทะลวงเลื่อนระดับขึ้นไปได้เลย ซึ่งผลเก้าทำนองกายาอมตะนี้ก็มีค่ามากเกินไป หาใช่ทุกคนที่มีโอกาสได้รับมัน ท่านประมุขวังคนก่อนมีมันแค่ผลเดียวในมือ ดังนั้นจึงถูกเก็บไว้ให้ไป๋เฉิน แต่ตอนนี้เย่หยวนได้หยิบยื่นโอกาสทองให้แก่เขา โอสถเหล่านี้ล้วนเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถหลอมกลั่นได้ในดินแดนนภาบรรพตโดยธรรมชาติ เพียงเม็ดเดียวทอดสายตาตามหาทั่วดินแดนก็ไม่มีทางได้มันมา ดังนั้นจะไม่ให้โม่หยุนตื่นเต้นร้อนใจขนาดนี้ได้อย่างไร?
โอสถชนิดนี้มีชื่อว่า โอสถมังกรปัจฉิมสวรรค์มรกต ซึ่งเป็นสูตรโอสถที่หวูเฉินมีอยู่ในมือ ระหว่างการฝึกหลอมกลั่น มันคือโอสถที่เขาทดลองหลอมกลั่นขึ้นมาโดยได้มิตั้งใจ โอสถชนิดนี้ถือเป็นจุดสุดยอดในบรรดาโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งทั้งปวง ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเลื่อนระดับชั้นของเหล่าเซียน โอสถเม็ดนี้จะสามารถแสดงประสิทธิภาพสูงสุดได้ต่อเมื่อผู้บริโภคเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้น เนื่องจากคนจำพวกนี้มีขอบเขตความเข้าใจในระดับชั้นปัจฉิมพระเจ้าบ้างบางส่วนแล้ว หากบริโภคโอสถมังกรปัจฉิมสวรรค์มรกตลงไปเพิ่ม มันจะยิ่งเพิ่มโอกาสเลื่อนระดับชั้นได้สูงขึ้นอย่างมาก ตราบเท่าที่พรสวรรค์ของโม่หยุนมิได้แย่จนเกินไป การจะเลื่อนระดับชั้นก็หาได้เป็นปัญหา
เย่หยวนมองเขาเล็กน้อยและยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าคงทราบดีว่าข้าคือใคร และข้าเองก็มิได้ช่วยเหลือพวกเจ้าเพื่อหวังผลตอบแทน แต่ก็มีสิ่งของบางอย่างที่จำต้องไหว้วานพวกเจ้าเช่นกัน”
โม่หยุนและไป๋เฉินสะดุ้งเล็กน้อย คู่แววตาของทั้งสองสาดสะท้อนเผยให้เห็นท่าทีซับซ้อนดูลำบากใจ
………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น