Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1404-1407
ตอนที่ 1404 รากความคิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
เฉวียนซุยเซิงอ้าปากคล้ายต้องการพูดอะไรออกมา แต่คล้อยหลังกลับพบว่าเขาพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง
จินอวี้ในฐานะอันดับหนึ่งแห่งงานชุมนุมร้อยเมือง พ่ายให้แก่เย่หยวนในท้ายที่สุด
ตัวเขาไม่แม้แต่จะโค่นจินอวี้ลงได้ด้วยซ้ำ แล้วนี่นับประสาอะไรกับเย่หยวน?
เฉวียนซุยเซิงเป็นดั่งความภาคภูมิใจของสวรรค์ นอกจากจินอวี้แล้ว ทอดสายตาทั่วร้อยเมืองหลวงเกรงว่าหาผู้ใดทัดเทียมไม่ แต่ตอนนี้…เขากลับไม่มีแม้กระทั่งกล้าที่จะท้าเย่หยวนสู้! ความภาคภูมิใจของสวรรค์เฉกเช่นเขาพบทางแถบที่ยากจะข้ามผ่านแล้ว!
ภายใต้สถานการณ์จนมุมแบบเมื่อครู่ ตามธรรมชาติไม่ว่าใครล้วนต้องกลับลำเปลี่ยนรูปแบบเป็นตั้งรับเพื่อรักษาชีวิตก่อนโดยสัญชาตญาณ แต่เย่หยวนคนนี้กลับเลือกที่จะหันดาบเข้าใส่ความตายแทน! ถึงจะเป็นแบบนั้น อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเผยท่าทีลังเลอะไรเสียบ้าง แต่เย่หยวนกลับยกดาบฟาดฟันโดยไม่ลังเลแม้สักนิด!
ในเวลานั้นเอง เฉวียนซุยเซิงพลันนึกถึงคำกล่าวก่อนหน้าของฉินส่าวอย่างอดมิได้ เด็กหนุ่มคนนี้เกิดมาเพื่อสร้างปาฏิหาริย์! เฉวียนซุยเซิงแอบสบถหยามเหยียดวาจาประโยคนี้ของฉินส่าวอย่างลับๆในตอนนั้น ทว่ายามนี้เขาค้นพบแล้วว่า ฉินส่าวหาได้พูดเกินจริงแม้แต่น้อย
“ตอนนี้มันบาดเจ็บหนัก ฆ่ามันแล้วชิงแหวนเก็บของทั้งหมดในตัวมันมา!”
ท่ามกลางฝูงชน จู่ๆ ใครมิทราบตะโกนดังลั่นเข้าปลุกระดมฝูงชนโดยรอบในทันที
ในศึกสัประยุทธ์รอบที่สองนี้ มีผู้คนมารวมตัวและเฝ้าดูการต่อสู้นี้กว่าพันคนแล้ว!
คล้อยหลังสุ่มเสียงปลุกระดมนี้ ผู้คนจำนวนมากริเริ่มความคิด ต้องการดักจับปลาในน่านน้ำที่ไม่พร้อมเสียแล้วเสี้ยวอึดใจต่อมา ปรากฏกลุ่มคนจำนวนมากเข้าปิดล้อมโดยมีเย่หยวนที่คลานอยู่บนพื้นเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งที่มิใช่แค่เขา กระทั้งทางด้านจินอวี้เองก็มีคนอีกกลุ่มเตรียมดักฆ่าแล้วเช่นกัน
“ไอ้พวกไร้ยางอาย! เมื่อครู่พวกเจ้าเป็นคนล้มจินอวี้ได้รึไง!?”
เฉวียนซุยเซิงแผดเสียงคำรามลั่นด้วยความโกรธจัด ยามนี้คู่เท้ากระตุกวูบปราดพุ่งออกไปโดยไวดุจฟ้าแลบ
สีหน้าการแสดงออกของฉินส่าวเองก็ไม่สู้ดีเช่นกัน ก่อนเร่งปรี่ไปช่วยเย่หยวนทันที
กวาดสายตาจับจ้องเหล่าศิษย์มากหน้าหลายตาที่เข้ารายล้อมดักจับตาย เย่หยวนพลางเค้นเสียงเย็นหัวเราะเยาะคำหนึ่ง ฝ่ามือกระชับดาบพิชิตมารฟ้าแน่นพร้อมฟันฟาดออกไปตรงหน้าอีกระลอก! แม้สภาพในตอนนี้ของเย่หยวนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่หากมิใช่ยอดฝีมือระดับชั้นเดียวกับจินอวี้ การจะโค่นเขาลงเกรงว่าคงฝันไป!
วรยุทธ์บ่มเพาะกายเนื้อของเย่หยวนเป็นถึงสุดยอดวิชาในตำนานอย่าง เคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำแห่งเผ่าเต่าดำ แม้นี่จะมิอาจเทียบเทียมได้กับสุดยอดวรยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์บนมหาพิภพถงเทียน แต่พลังป้องกันของมันกลับสูงเข้าขั้นวิปลาส เหนือชั้นกว่าวรยุทธ์กายเนื้อทั่วไปอย่างหาที่เปรียบไม่ จุดเด่นของเผ่าเต่าดำคือพลังป้องกันอันแกร่งกล้าและทนทานจนน่าอัศจรรย์ใจ ดังนั้นวรยุทธบ่มเพาะกายเนื้อของพวกเขาย่อมหาใช่ชนชั้นกินเจเช่นกัน
แม้การปะทะครั้งนี้จะค่อนข้างหนักหน่วง แต่มันก็ไม่ถึงขนาดจะทำให้เย่หยวนสูญเสียพลังการต่อสู้ทั้งหมดไปเพียงจัดการกับขยะกองนี้ เศษเสี้ยวพลังของเขาก็เพียงพอแล้ว!
ชวิ้ง!
เย่หยวนสับคลื่นคมดาบพลังสุดน่าสะพรึงออกไปอย่างไร้ปรานี ฝูงคนที่ห้อมล้อมเย่หยวนไว้ต่างหน้าถอดสีกันเป็นแถวด้วยความหวาดกลัว พวกเขามีหรือจะคาดคิด เย่หยวนบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้แท้ๆ แต่ไฉนยังสามารถปลดปล่อยการโจมตีที่น่าสะเทือนขวัญขนาดนี้ได้? เหล่าศิษย์ที่อยู่แถวหน้าไม่แม้แต่จะมีเวลาทำลายจี้หยก พวกเขาถูกเย่หยวนกำจัดทิ้งไม่เหลือซากโดยตรง ส่วนพวกที่อยู่แถวหลังถัดไป ยามนี้รู้ตัวว่าถอยหนีไม่ทันการณ์แล้ว จึงหยิบจี้หยกขึ้นมาทำลายกันชุลมุนพร้อมถูกส่งกลับไปยังแท่นบูชาทันที
“อย่าไปกลัวมัน! สภาพตอนนี้ไม่ต่างจากลูกธนูแรงปลาย กระบวนดาบเมื่อครู่มันขู่ให้พวกเราหวาดกลัวเสียขวัญเท่านั้น บุกเข้าโจมตีพร้อมกัน!” มีใครบางคนกลางฝูงชนตะโกนปลุกกระตุ้นฝูงชนอีกครั้ง
เหล่าศิษย์อีกหลายคนที่กำลังจะทำลายจี้หยกพลันหยุดชะงักทันที พลางคิดกันไปว่า การโจมตีเมื่อครู่คงเป็นพลังทั้งหมดที่เย่หยวนเหลืออยู่แล้ว หลังจากนี้ย่อมไร้พิษสง!
เย่หยวนได้ยินดังนั้นพลันฉีกยิ้มแสยะเย็นกว้าง ต่อหน้าคนพวกนี้เขาหาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
มาหนึ่งตายหนึ่ง!
มาสองตายคู่!
คนเหล่านี้ช่างโง่งมเสียจริงที่คิดว่าเย่หยวนไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว
พวกเขาหารู้ไม่ว่า วรยุทธบ่มเพาะพลังของเย่หยวนมันน่ากลัวเพียงใด ปริมาณพลังปราณเทวะที่นำจ่ายออกไปในอัตราเพียงเท่านี้ กลับไม่นับว่าเป็นปัญหาอันใดสำหรับตัวเย่หยวนเลย ต่อให้พลังปราณเทวะในกายเขาเหลือไม่มากนัก แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ย่อมมีอีกหลากหลายหนทางให้เลือกใช้
คมดาบโบกสะบัดพลิ้ว เย่หยวนล่าสังหารเด็ดชีพของเหล่าศิษย์โง่งมพวกนั้นอย่างไร้ปรานี
ทว่าภายในฝูงชนเหล่านั้นกลับมีสายตาหนึ่งจ้องเขม็งไปที่เย่หยวนไม่คลายอ่อน ดุจอสรพิษเตรียมฉกเหยื่ออันโอชะของมัน
อาณาจักรพลังของบุคคลนี้หาได้โดดเด่นกว่าใครคนอื่น ในทางตรงข้ามกลับดูธรรมดาทั่วไปไม่โดดเด่นแม้แต่น้อย แต่ทันใดนั้น บุคคลนี้พลันเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปยังทิศทางด้านหลังเย่หยวนตามธารฝูงชน!
ประจวบเหมาะลอบโจมตี เขาคนนั้นปราดกระหน่ำเต็มสูบจากด้านหลังหวังจับตายด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ! กลางใจฉินส่าวเต้นกระหน่ำผิดจังหวะ ยามนี้พลันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแสนคุ้นเคย เร่งหันควับขยับขยายสายตาจับจ้องไปที่เย่หยวนทันที
“เย่หยวนระวังข้างหลัง!” ฉินส่าวตะโกนลั่นสุดเสียง
แต่ในจังหวะนั้นเอง กลับมีรัศมีกลิ่นอายอันทรงพลังอีกหอบหนึ่งคำรามลั่นพร้อมเสียงคำรนหอน!
“ฉินหยวนหลง เจ้ากล้า!?”
อีกบุคคลหนึ่งผู้เปี่ยมล้นรัศมีสุดแกร่งกร้าว เขาหาใช่ใครอื่นไม่นอกเสียจากอัสนีคำรนที่เพิ่งเดินทางมาถึง!
เมื่อเขาทราบข่าวว่าเย่หยวนประกาศกร้าวท้าทายเหล่าอัจฉริยะทุกคน อัสนีคำรนก็รู้ทันทีว่าฉินหยวนหลงจะต้องมาที่นี่แน่นอน แต่เขากลับคาดไม่ถึงเลยว่า ฉินหยวนหลงจะหน้าด้านไร้ยางอายได้ขนาดนี้ ถึงขั้นที่ว่าลอบเร้นแฝงตัวอยู่กลางฝูงชนเพื่อหาจังหวะซุ่มโจมตีเย่หยวนจากด้านหลัง!
ปราศจากความสงสัยใด เย่หยวนเป็นศิษย์ของสถานศึกษาหวูเมิ่งที่มีศักยภาพสูงมาก และยังเหนือชั้นเสียยิ่งกว่าฉินเทียน ก่อนออกเดินทาง เหวินอี้หยางเข้ากำชับกับอัสนีคำรนโดยส่วนตัวว่า จงเฝ้าสังเกตการณ์ฉินหยวนหลงอย่างให้คลาดสายตา และอย่างปล่อยให้เขาฆ่าเย่หยวนได้เด็ดขาด
ทว่าใครจะไปคิด ฉินหยวนหลงกลับหนีออกไปจริงๆ!
เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าซุ่มโจมตีเด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้า เรื่องนี้ไม่ว่าใครทราบต่างต้องรู้สึกอับอายแทน
ฉินหยวนหลงเก็บซ่อนกลิ่นอายระงับอาณาจักรพลังตัวเองไว้ พร้อมเข้าปะปนกลางฝูงชนเพื่อหาตำแหน่งที่เข้าใกล้เย่หยวนให้มากที่สุด ทั้งนี้เขาหวังฆ่าเย่หยวนให้ตายคามือโดยไม่แม้แต่จะมอบโอกาสให้อีกฝ่ายทำลายจี้หยกได้ทัน! รอยยิ้มแสนเลือดเย็นปรากฏขึ้นบนมุมปากฉินหยวนเทียน ในที่สุดเขาก็สามารถฆ่าเย่หยวนลงได้เสียที!
ไอ้เด็กเหลือขอตัวนี้ มันทำให้ตระกูลฉินเสียหน้าอัปยศอย่างที่สุด ฉะนั้นโทษของมันคือความตาย!
แต่น่าเสียดาย ยามนี้เย่หยวนกำลังหันหลังให้เขาอยู่ ฉินหยวนหลงจึงมิอาจมองเห็นรอยยิ้มแสนเย้ยหยันบนใบหน้าของเย่หยวน!
บูมมมม!
ฉินหยวนหลงสัมผัสได้โดยพลัน เงาร่างเย่หยวนไสวเลือนรางก็อันตรธานหายไปต่อหน้า
ฝ่ามือจับตายที่เขากระหน่ำออกไป ปรากฏว่าไปโดนศิษย์คนอื่นๆที่อยู่เคียงข้างตายคาที่แทน
ฝ่ามือล่าสังหารระดับชั้นอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าทรงอานุภาพเพียงใดมีหรือจะไม่ทราบ? เหล่าศิษย์ในบริเวณนั้นล้วนถูกฝ่ามือนี้ของฉินหยวนหลงบดขยี้ไม่เหลือซากในพริบตา มาตรได้ว่าตายไม่รู้ตัว
ทุกคนในตอนนี้ประหลาดใจยิ่ง เย่หยวนหายไปไหนแล้ว?
ฉินหยวนหลงขนลุกซู่วทุกอณูทั่วร่างยันหนังศีรษะ เขาในตอนนี้เพิ่งรู้ตัวว่า ตนได้มองข้ามสิ่งที่สำคัญที่สุดไปสนิท!
เรื่องนี้มิใช่แค่เขา ทุกคนต่างมองข้ามมันไปสนิท!
เย่หยวนใช้วิชาขี่ดาบได้!
“ท่านอาจารย์ฉินดูเหมือนท่านจะผิดหวังมิใช่น้อย? แต่เรื่องนี้ท่านประมาทเองที่ลืมไปว่าข้าขี่ดาบเหาะเหินได้!”
กลางห้วงเวหาฟ้า เย่หยวนยืนตระหง่านบนตัวดาบพลางกดสายตาจับจ้องฉินหยวนหลงที่อยู่เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าฉินหยวนหลงบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ เขาเงยหน้าจับจ้องเย่หยวนฉายแววอำมหิตสุดขั้วหัวใจ
เรื่องสำคัญเช่นนี้เขากลับมองข้ามไปจริงๆ! จริงอยู่ที่เย่หยวนจงใจไม่ใช้วิชาดาบขี่ นั้นก็เพื่อให้ทุกคนลืมเรื่องนี้ไป
นับตั้งแต่ศึกดวลเป็นตายกับฉินส่าว เย่หยวนก็ไม่เคยสำแดงใช้วิชาขี่ดาบต่อหน้าสาธารณชนอีกเลย ชั่วพริบตากว่าหกปีผ่านพ้นไป เย่หยวนสู้ศึกสัประยุทธ์บนพื้นดินมาตลอด ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด เขาก็ไม่เคยหยิบใช้ทักษะนี้สักครั้ง ดังนั้นแล้ว ทุกคนจึงมองข้ามจุดสำคัญข้อนี้ไปสนิท!
ท้ายที่สุดแล้ว ภายในมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ สรรพชีวิตที่อยู่ต่ำกว่าอาณาจักรราชันพระเจ้าลงไปจะไม่สามารถเหาะเหินอากาศได้!
………………………………………………..
ตอนที่ 1405 เก็บเกี่ยว
โดย
Ink Stone_Fantasy
สีหน้าการแสดงออกของฉินหยวนหลงผลัดเปลี่ยนแปรผันอยู่หลายครา เขาทราบดีถึงผลที่ตามมาหลังจากนี้ แต่ฉินหนานเทียนจงเกลียดจงชังเย่หยวนถึงขั้วกระดูกดำตั้งแต่ไหนแต่ไร แผนการในคราวนี้เองเขาก็นำจ่ายไปในราคาที่สูงลิบลิ่วเพื่อเตรียมการหลายอย่างจนพร้อมเสร็จสรรพแบบนี้ หากคว้าน้ำเหลวกลับไปมือเปล่าเช่นนี้ ฉินหนานเทียนไม่ปล่อยเขาง่ายๆเป็นแน่
“หึ! ฉินคนนี้เองก็ไม่ค่อยชอบใจนักไฉนต้องฆ่าเจ้าเด็กนี่? นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าฉินหยวนหลงขอลี้ภัยออกจากเมืองหลวงหวูเมิ่งและตระกูลฉิน จากวันนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าอีกต่อไป! ขอลา!” ทันทีที่กล่าวจบ ฉินหยวนหลงก็หมุนตัวกลับจากไป
ท่าทีการแสดงออกของอัสนีคำรนเปลี่ยนไปในทันใด ใครจะไปคิดว่าฉินหยวนหลงจะเปลี่ยนสีไวขนาดนี้
“หึ! คิดหนีกระมัง? แต่จะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร! ในเมื่อเจ้าถอนตัวออกจากตระกูลฉิน ยามนี้เจ้าถือเป็นอาจารย์ของสถานศึกษาหวูเมิ่งเต็มตัว แต่เจ้ากลับซุ่มโจมตีศิษย์ของสถานศึกษาหมายเอาชีวิต! โทษทัณฑ์ประหารสถานเดียว!”
อัสนีคำรนระเบิดพลังเดือดแผดขยายแรงกดดันปกคลุมทั่วบริเวณ ร่างประกายโฉบแล่นแปรเปลี่ยนเป็นสายหนึ่ง ไล่ล่าฉินหยวนหลงประดุจดาวหาง
ฉินหยวนหลงฉายแววตะลึงหนัก คาดไม่ถึงเลยว่า อัสนีคำรนกลับตามตื้อไม่ลดละน่ารำคาญขนาดนี้ เร่งฝีเท้ากระตุกวูบ เงาร่างอันตรธานหายวับทะยานเตลิดหนีไปโดยเร็ว
ทั้งสองเปิดฉากไล่ล่าพัลวันตีฝีเท้าหายลับไปจากสายตาของทุกคน
ณ มุมลับตาผู้คน ฉินเทียนกัดฟันเคี้ยวดังกรอด เห็นภาพฉากเหล่านี้สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวน่ารังเกียจยิ่งล้มเหลวอีกแล้ว!
แผนลอบสังหารเย่หยวนล้มเหลวอีกแล้ว!!
ไอ้เด็กเหลือขอนั้นมันเป็นอมตะหรืออย่างไร? ไฉนตระกูลฉินที่ลงทุนลงแรงถึงขั้นส่งเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าออกไป แต่สุดท้ายก็ยังฆ่ามันไม่ได้! เห็นได้ชัดแจ้ง อีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนหนึ่ง แต่ไยถึงตายยากตาเย็นนักหนา? ไม่เพียงฆ่าไม่ตายเท่านั้น แต่ตระกูลฉินยังสูญเสียทายาทสายเลือดตรงอย่างฉินหยู และอาจารย์สถานศึกษาอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าที่คิดทรยศหนีไปอีก! ราคานำจ่ายในครั้งนี้หนักหนาสาหัสเกินไป!
“พี่ใหญ่ฉินเทียน พวกเรา…พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี?” ฉินเจิ้งเอ่ยถามด้วยความกังวล
“ถอยไปตั้งหลักก่อน!” ฉินเทียนกัดฟันแน่น นัยน์ตาคู่นั้นเจือสุดอาฆาต
เขาตระหนักดีว่า ระหว่างงานชุมนุมร้อยเมืองต่อจากนี้ พวกเขาไม่มีโอกาสอีกแล้ว แผนการที่เตรียมการมาเป็นอย่างดีกลับไม่ได้อะไรกลับไปเลย!
เย่หยวนลดดาบในมือลงอย่างแช่มช้า แหงนศีรษะมองฟ้าพลางครืนหัวร่อคำโตและเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า
“หนีได้ก็หนีไป ใครหนีไม่ทันมันตาย!”
วูบบบ!
เย่หยวนไม่พูดไม่จาอันใดอีกต่อไป หมุนโคจรพลังปราณเทวะเร็วจี๋ เหวี่ยงดาบกระหน่ำซัดเต็มสูบ พื้นดินแตกระแหงฝูงชนแตกกระจาย
เย่หยวนปลิดชีพผู้คนไปนับหลายสิบภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ส่วนที่เหลือต่างกระเจิงหนีเตลิดหายไป แลเห็นผู้คนแตกกลุ่มดั่งฝูงมดแยกย้ายคนละทิศละทาง เย่หยวนก็พลันหยุดมือและเริ่มตามเสาะแหวนเก็บของจำนวนมากที่ร่วงหล่นตามพื้นดินอย่างสบายอารมณ์
ศึกสัประยุทธ์คราวนี้ เขาได้รับผลกำไรเป็นจำนวนมหาศาล มีแหวนเก็บของกว่าห้าร้อยวงที่เย่หยวนตามเก็บได้และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโล่งใจที่สุดคือ ฉินหยวนหลงที่แปรพักตร์ถอนตัวออกจากตระกูลฉินไปดื้อๆ ซึ่งนี่ส่งผลให้กำลังรบของตระกูลฉินสูญเสียแม่ทัพไปอีกหนึ่งราย
ที่ผ่านมา ฉินหยวนหลงคนนี้คิดว่าตนเองซ่อนตัวปกปิดร่องรอยได้อย่างแนบเนียน แต่ในความเป็นจริง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังของหวูเฉินโดยตลอด เมื่ออีกฝ่ายเตรียมพร้อมซุ่มโจมตี เย่หยวนเองก็เตรียมขี่ดาบหนีแล้วเช่นกัน ความเร็วของดาบพิชิตมารฟ้าในปัจจุบันเหาะเหินอากาศคล่องแคล่วกว่าก่อนหน้าไม่รู้กี่เท่าทวี และไม่มีทางถูกฉินหยวนหลงลอบโจมตีโดนง่ายๆแน่นอน
ในขณะนั้นเอง จินอวี้เดินกะเผลกมาหาเย่หยวนโดยมีเฉวียนซุยเซิงคอยประคองอยู่
เขาถอดแหวนเก็บของตนเองออกมาและส่งให้เย่หยวน “ข้าแพ้แล้ว นี่เป็นของเจ้า”
เย่หยวนยิ้มและหยิบแหวนวงนั้นมาเก็บเข้าตัว สิ่งนี้เปรียบเสมือนถ้วยรางวัลของเขา ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่รับไว้
“ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เมืองหลวงหวูเมิ่งจะมียอดอัจฉริยะอย่างเจ้าอยู่ด้วย! ข้าพ่ายต่อเจ้าอย่างหมดท่าจริงๆ!” จินอวี้เอ่ยปากกล่าวไปตามตรงจากใจจริง
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า “ท่านเองก็แข็งแกร่งยิ่งเช่นกัน! แต่ถึงแม้ขอบเขตความเข้าใจของท่านพี่จินจะลึกล้ำ ทว่าระหว่างต่อสู้จริง กลับประยุกต์ใช้ได้ไม่ค่อยหลากหลายเท่าที่ควร เมื่อเวลาผ่านไป ประสบการณ์จักหล่อหลอมให้ท่านกล้าแกร่งขึ้นเอง!”
หากเป็นก่อนหน้า เย่หยวนที่เอ่ยสอนสั่งด้วยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าจินอวี้ เขาคงถูกมองว่าสติไม่สมประกอบแน่นอนทว่าในปัจจุบัน ไม่ว่าใครมาได้ยินต่างหาได้รู้สึกผิดประหลาดแม้สักนิด ต่อให้เป็นเฉวียนซุยเซิงก็ตาม ผลลัพธ์ในขณะนี้เป็นที่พิสูจน์แล้วว่า เย่หยวนมีคุณสมบัติมากพอที่จะสอนสั่งจินอวี้ได้!
ศาสตร์แห่งดาบของเย่หยวนอาจเป็นเพียงจุดสูงสุดแห่งชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งที่ยังไม่สมบูรณ์นักก็จริง แต่เขาก็สามารถเอาชนะยอดฝีมือสุดแกร่งกล้าได้ด้วยสัญชาตญาณและประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดทั้งชีวิต และอีกสิ่งหนึ่งที่คาดไม่ได้ก็คือ เต๋าแห่งดาบอันน่าสะพรึงของตัวเย่หยวนเอง! ในแง่มุมนี้ จินอวี้ไม่สามารถทัดเทียมเขาได้เลย
สิ่งที่เย่หยวนเก็บเกี่ยวมาจากสุสานดาบมาได้ มิใช่เพียงความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งดาบเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังของดาบแต่ละเล่มอีกด้วย ดาบทุกเล่มภายในสุสานแห่งดาบล้วนมีเรื่องราวความเป็นมาของตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ เย่หยวนจึงสามารถหลอมสร้างกระบวนดาบที่ทรงพลังยิ่งเฉกเช่น สยบดาราขึ้นมาได้
สยบดาราเป็นกระบวนดาบที่สามารถเพิ่มพูนพลังทำลายล้างได้ตามความลึกล้ำต่อศาสตร์แห่งดาบ และด้วยประสบการณ์มากมายนับไม่ถ้วนที่เล่าผ่านตัวดาบแต่ละเล่มภายในสุสานดาบ จึงทำให้เย่หยวนสามารถปลดปล่อย อานุภาพเกินจินตนาการขนาดนี้ได้
จินอวี้คลี่ยิ้มกว้างพร้อมประสานมือกล่าวว่า “น้องชาย ขอบคุณที่ชี้แนะ! การต่อสู้ในวันนี้นับเป็นประสบการณ์ที่มีค่าชั่วชีวิต จินอวี้ได้รับประโยชน์มากมายนัก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคมดาบกระบวนสุดท้าย สิ่งนี้ย่อมส่งผลสำคัญต่อความสำเร็จในอนาคตของข้า!”
กระบวนดาบสุดท้ายที่เย่หยวนฟาดฟันออกไปทำให้ฟ้าดินตื่นตะลึงอย่างแท้จริง เพราะกระบวนดาบนี้หาใช่แค่แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์การต่อสู้อันมากมายของเขาที่ตกผลึกแล้วเท่านั้น แต่มันยังเผยถึงเจตจำนงที่เย่หยวนเลือกยืนหยัดต่อสู้และจิตวิญญาณอันแกร่งกล้านั้น มีไม่มากนักที่ได้รับประโยชน์จากสยบดาราของเย่หยวน สิ่งนี้กลับมีค่ากว่าชัยชนะด้วยซ้ำ! และจินอวี้สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปาก ต่อให้มีใครบางคนแกร่งกล้าพอๆกับเย่หยวน แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางทำแบบนี้ได้เลย! วาจาคำกล่าวของจินอวี้มิใช่คำเยินยอเย่หยวนแต่อย่างใด กระบวนดาบสุดท้ายนั้นได้ล้มล้างความเข้าใจเก่าๆของเขาไปจนหมด
เย่หยวนยิ้มตอบว่า “เจ้าพวกนั้นวิ่งเตลิดหนีไปไหนต่อไหนแล้ว ข้าจำต้องตามล่าคิดบัญชีรายคน คาดการณ์ได้ว่า ในมืออีกฝ่ายน่าจะยังมีแหวนเก็บของอีกหลายวงเก็บซ่อน ข้าจะไปตามเก็บให้ครบ! เช่นนั้นเย่คนนี้ขออำลา!”
จินอวี้และเฉวียนซุยเซิงกล่าวตอบ “อำลา!”
กริ๊ง…
ก่อนลาลับจากไป เย่หยวนโยนแหวนเก็บของนับร้อยวงให้แก่ฉินส่าวและขี่ดาบทะยานฟ้าหายไปโดยตรง
“ขอบพระคุณยิ่งพี่ฉิน!”
เหตุการณ์เมื่อครู่ เขาเองก็สังเกตเห็นสิ่งที่ฉินส่าวทำลงไป แม้สหายคนนี้จะมาจากตระกูลฉิน แต่บุกคลิกนิสัยกลับแตกต่างไปจากคนอื่นในตระกูลฉินโดยสิ้นเชิง ทั้งๆที่ฉินส่าวเคยพ่ายแพ้ให้แก่เขาอย่างหมดท่า แต่ตอนนี้กลับตะโกนเอ่ยเตือนเขากลางสถานการณ์คับขัน นี่หาใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นแล้ว เขาควรจะแสดงความขอบคุณผ่านแหวนเก็บของเหล่านี้ เย่หยวนไม่เปิดช่องมอบโอกาสให้ฉินส่าวเอ่ยตอบใดๆ ทันทีที่โยนให้เสร็จก็พลันขี่ดาบเหาะทะยานจากไปโดยตรง
ยามเห็นร่างของเย่หยวนหายวับลับเส้นขอบฟ้าไป เฉวียนซุยเซิงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
“เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ควรยุ่งย่ามด้วยเด็ดขาด! ใครก็ตามที่แสหาเรื่องเขา เกรงว่าฝันร้ายไม่เว้นวัน!”
จินอวี้ผงกศีรษะคล้ายเห็นด้วยและกล่าวว่า “แยกแยะเจตนาดีชั่วเลือกปฏิบัติต่างกันไป มาด้วยความคับแค้นย่อมได้รับผลกรรมเป็นสิ่งตอบแทน นี่แหละคือเส้นทางที่เขาก้าวเดิน! สำหรับเย่หยวนคนนี้ แค่สถานที่เล็กๆอย่างเมืองหลวงหวูเมิ่ง เกรงว่าจะไม่สามารถรองรับเขาได้อีกนานนัก!”
เฉวียนซุยเซิงตรงมาหาฉินส่าวและเอ่ยขึ้นว่า “น้องชาย ข้าขอโทษ! อย่าได้ตำหนิกัน ที่ก่อนหน้าข้ากล่าววาจาไม่เหมาะสมออกไป!”
ฉินส่าวกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มบางว่า “ไม่เป็นไร หาใช่เรื่องใหญ่สักนิด! กล่าวตามสัตย์จริง ความแข็งแกร่งของชายคนนี้เข้าขั้นวิปลาสเกินไป หากมิได้ประมือแลกกระบวนด้วยตัวเองจะไม่มีทางทราบเลยว่า เขาน่าเหลือเชื่อเพียงใด!” เฉวียนซุยเซิงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างลับๆ เฉพาะยามนี้เขารู้ซึ้งถึงความหมายในคำกล่าวของฉินส่าวก่อนหน้าเป็นอย่างดี
…
งานชุมนุมร้อยเมืองมีระยะเวลาทั้งหมดหนึ่งปี ซึ่งช่วงเวลาที่เหลือต่อจากนี้ ต่างเป็นฝันร้ายที่แท้จริงของศิษย์ชั้นนอกที่เหลือรอดทุกคน ยามเสียงตัวดาบเหินหาวกังวานดังกลางน่านฟ้า ดั่งแววเสียงของปีศาจกระหายโลหิตออกล่า ตลอดช่วงเวลาที่เหลือ เหล่าศิษย์ทุกคนต้องทนอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ
พวกเขาล้วนตระหนักทราบดีเยี่ยม เย่หยวนคนนี้น่ากลัวเพียงใด หลังจากทุกคนวิ่งเตลิดหนีตายได้ในตอนนั้น แต่ละคนต่างแยกย้ายหาที่หลบภัยจนกว่างานชุมนุมร้อยเมืองจะสิ้นสุดลง แม้กระทั่งจะโผล่หัวออกมายังไม่กล้าด้วยซ้ำด้วยเหตุนี้ บริเวณของศิษย์ชั้นนอกในดินแดนลึกลับจึงกลายมาเป็นงานเลี้ยงล่าสังหารสีเลือดไปโดยปริยาย
ในเวลาต่อมา เนื่องจากบางคนไม่สามารถทนต่อแรงกดดันนี้ได้ไหวอีกต่อไป พวกเขาจึงคิดริเริ่มอพยพหนีตายออกจากเขตของศิษย์ชั้นนอกไปยังเขตของศิษย์ชั้นใน อย่างไรก็ตาม เย่หยวนก็ยังขี่ดาบทะยานไล่ล่าพวกเขาตามติด คล้อยหลัง แม้ว่าพวกศิษย์ชั้นในพบเจอเขา แต่พวกนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรเย่หยวนได้อยู่ดี แน่นอนว่า ก็ยังมีคนบางกลุ่มโชคดีพบเจอพี่น้องตัวเองพร้อมพาหนีไปได้ก่อน จึงรอดตายจากคมดาบของเย่หยวนไปได้
ในพริบตาเดียวก็จวนจะครบหนึ่งปี งานชุมนุมร้อยเมืองในตอนนี้ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
………………………………………………….
ตอนที่ 1406 เจ้าของโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ แท่นบูชาสถานที่รวมตัว มีกลุ่มร่างหนึ่งถูกเคลื่อนย้ายกลับมา
ในปีก่อนหน้า จำนวนคนที่ถูกส่งกลับมามีค่อนข้างน้อย แต่ครั้งนี้กลับมีคนถูกส่งกลับมามากมายไม่หยุดหย่อน
“เจ้าบังเอิญวิ่งชนเข้ากับเจ้าดาวพิฆาตนั้น?”
“เปล่าเลย! ข้าไม่รู้ว่าเจ้านั้นมันใช้กลยุทธ์อันใด ทั้งๆ ที่ข้าซ่อนตัวแนบเนียนที่สุดแล้ว แต่มันก็ยังตามจนเจอ!”
“ข้าเองก็เช่นกัน! ดาวพิฆาตคนนี้กลับเหี้ยมโหดเกินไป ข้าอยู่ห่างจากตัวมันมาก เรียกได้ว่าแทบไม่มีโอกาสตามจับทัน ทว่าท้ายที่สุดกลับหนีจากเงื้อมมือมันมิได้!”
“เจ้ายังไม่รู้เรื่องอันใด หลังจากตอนนั้นเป็นต้นมา ตราบเท่าที่เขาเจอตัว หากใครทำลายจี้หยกไม่ทัน นั้นเท่ากับตายอย่างไร้ปรานี! ข้านับว่าโชคดีมากที่บดขยี้จี้หยกกลับมาได้”
หลังจากที่ศิษย์คนหนึ่งถูกส่งกลับมายังแท่นบูชาด้านนอก เขาก็จับกลุ่มสนทนากับเหล่าศิษย์คนอื่นๆ ที่ถูกเย่หยวนจัดการไปก่อนหน้า
เมื่อกล่าวถึงเย่หยวน สีหน้าการแสดงออกของพวกเขาแลดูหดหู่สุดขีด เป็นปรากฏการณ์ที่น่าแปลกนัก ศิษย์จำนวนกว่าหลายพันคนบนแท่นบูชากำลังเสวนาพูดคุยอย่างดุเดือดเกี่ยวกับเรื่องของเย่หยวน ณ เวลานี้ไม่มีใครไม่พูดถึงเขา
ในงานชุมนุมร้อยเมืองครั้งนี้ เย่หยวนได้สำแดงพลังที่แท้จริงออกมา กลางแสงไฟส่องสว่างไปที่เย่หยวนตัวคนเดียวอย่างโดดเด่น ในขณะที่แทบทุกคนที่เหลือต่างตกอยู่ภายใต้เงาของเขา
ในเวลานั้นเองร่างมายาสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนน่านฟ้า เขาก็คือซวนหลิง!
ซวนหลิงกวาดสายตาจับจ้องเล็กน้อยพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “หมดเวลา! ทุกคนจงกลับมา!”
คล้อยหลังเขาสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง บนแท่นบูชนทั้งหมดติดไฟสว่างวาบและเรียกศิษย์ที่เหลือทั้งหมดกลับมา
วิสัยทัศน์ของเย่หยวนโดยรอยพร่าเบลอชั่วขณะ ยามได้สติฟื้นตัวอีกที เขาก็กลับมายังแท่นบูชาแล้ว
“เย่หยวนเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้า…เจ้ามิได้จัดการทุกคนจนเกลี้ยงจริงๆใช่ไหม?” เจ้าท้วงเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
เมื่อเย่หยวนตัดสินใจป่าวประกาศท้าทายทุกคน เขาก็พาเจ้าท้วมซ่อนตัวในสถานที่ลับแห่งหนึ่ง เย่หยวนทราบดีว่าตระกูลฉินมีเล็งเป้ามาที่เขาแน่นอนในครั้งนี้ และมันคงเสี่ยงมิได้น้อยหากพาเจ้าท้วมติดตามมาด้วย ในตอนนี้งานชุมนุมร้อยเมืองได้จบลงแล้ว เจ้าท้วมกับเย่หยวนได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้งข้างนอกโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ศิษย์น้องเซี่ยสนิทสนมกับศิษย์น้องเย่มากที่สุด แต่กลับไม่ทราบถึงวีรกรรมอันน่าทึ่งในครานี้ของเขา?”
เจ้าท้วมกันได้ยินนั้นพลันหันควับจ้องเขม็งมองเย่หยวน ก่อนอุทานลั่นสุดประหลาดใจ
“เจ้า…เจ้า…เจ้าทำได้จริงๆรึ?”
ไม่ต้องรอให้เย่หยวนเอ่ยปาก ศิษย์บนแท่นบูชากล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า “ได้ยิ่งกว่าได้นัก! เย่หยวนเพียงลำพังสามารถกำจัดศิษย์ชั้นนอกของเมืองหลวงจั้วเซียงทั้งสิบหกคนที่รุมโจมตีได้! ไม่เพียงแค่นั้นเขายังเอาชนะจินอวี้ อันดับหนึ่งแห่งงานชุมนุมร้อยเมืองครั้งล่าสุดอีกด้วย! พูดแล้วก็ช่างน่าขัน หลังสัประยุทธ์เดือดเสร็จสิ้นต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บสาหัส พวกที่ยืนดูอยู่รอบนอกกลับหน้าด้านไร้ยางอายหวังใช้โอกาสนี้จัดการเย่หยวน แต่เป็นฝ่ายพวกนั้นแทนเสียที่วิ่งเตลิดหนีตายจ้าละหวั่น!”
ยามมีโอกาสเอ่ยปากเล่าอธิบาย ศิษย์คนนั้นจงใจพูดเสียงดังจนได้ยินเป็นวงกว้าง
เหล่าศิษย์คนอื่นยังพอทำเนาหลบหน้าหลบตาเล็กน้อย แต่พวกศิษย์จากเมืองหลวงจั้วเซียงที่อยู่ใกล้ๆ สีหน้าสลดขั้นหนัก พวกเขาอยากอาเจียนออกเป็นโลหิตเสียเหลือเกินเมื่อได้ยิน ในขณะที่เหล่าศิษย์ของฝ่ายเมืองหลวงหวูเมิ่งต่างระเบิดหัวเราะลั่นอย่างชอบอกชอบใจ คราวนี้พวกเขารู้สึกสะใจเปี่ยมปีติยิ่งยวด!
งานชุมนุมร้อยเมืองจัดขึ้นทุกๆสามร้อยปี และตลอดที่ผ่านมาเมืองหลวงหวูเมิ่งมักตกเป็นเป้าของเมืองหลวงจั้วเซียง พร้อมกับความสูญเสียและความอัปยศที่ได้รับสุดน่าสังเวช แต่ครั้งนี้เย่หยวนกลับประกาศกร้าวหนึ่งต่อสิบหก เขายืนหยัดโดยตัวเดียวและสามารถโค่นพวกนั้นทั้งสิบหกลงได้อย่างสิ้นท่า สิ่งนี้จะไม่ทำให้เหล่าศิษย์จากเมืองหลวงหวูเมิ่ง สุขใจได้อย่างไร?
ขณะที่เจ้าท้วมได้ฟังดังนั้น เขาก็สะดุ้งโหย่งกระโดดขึ้นและชี้นิ้วไปทางเย่หยวนเอ่ยกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าสหายคนนี้ทำตัวเด่นเกินไป! ทั้งๆที่ตอนนั้นข้าบอกว่าจะไปกับเจ้า แต่เจ้ากลับไม่พาข้าไปด้วย! ภาพฉากอันงดงามขนาดนั้น ข้าเอง.. ฮึก ฮึก… ข้าเองก็อยากเห็นกับตา ข้าพลาดไปจริงๆ ฮึก..ฮึก…”
ร่องรอยความโศกเศร้าปรากฏขึ้นทั่วใบหน้าของเจ้าท้วม เขารู้สึกเสียดายจริงๆที่พลาดโอกาสอันแสนหายากเช่นนี้ไป
“หากเจ้าไป ปานนี้คงเป็นศพนานแล้ว!” ทันทีทันใด สุ้มเสียงของหลินซิ่งพลันเปล่งดังจากด้านหลัง ทำเอาเจ้าท้วมสะดุ้งโหย่งเป็นคำรบสองด้วยความตกใจ
“ซิ่งเอ๋-อ…ศิษย์พี่หญิงอาวุโสท่านมาตอนไหน?” เจ้าท้วมอุทาน
หลินซิ่งถอนหายใจเนิบเฉื่อยเล็กน้อยและอธิบายเกี่ยวกับเรื่องการซุ่มโจมตีของฉินหยวนหลงโดยสังเขป
“บัดซบ! ตระกูลฉินนี่มันไร้ยางอายสิ้นดี พวกมันไม่เหลือศักดิ์ศรีแล้วรึอย่างไร! กระทำเรื่องอัปยศในงานชุมนุมร้อยเมืองต่อหน้าศิษย์นับพัน กระทั่งข้ายังรู้สึกอับอายแทน! สันดานชั่วความคิดเน่าเหม็นของพวกนั้นไม่ควรนำมาเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้! พลอยฉุดดึงชื่อเสียงของเมืองหลวงหวูเมิ่งให้ตกต่ำลงไปด้วย!” เจ้าท้วมกัดฟันกรอดถ่มน้ำลายลงพื้นด้วยความไม่พอใจเป็นที่สุด
เย่หยวนหาได้เหลียวมองแต่อย่างใด แต่เขาสัมผัสได้ว่ากำลังมีคู่สายตาหนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่ด้านหลัง
อย่างไรก็ตาม เจ้าท้วมเห็นเจ้าของสายตาคู่นั้นอย่างชัดแจ้ง ยามนี้จึงเอ่ยวาจาเย้ยเยาะลั่นขึ้นว่า
“อะไร? มองเช่นนั้นหาเรื่องอย่างนั้นรึ? มิใช่ว่าพวกเจ้าสันดานเน่าเหม็นทั้งตระกูล? เก่งจริงก็มากัดข้าไอ้สุนัข!”
คู่สายตานั้นหาใช่ใครอื่นนอกจากฉินเทียน เขาหรี่ตาคมเข้มประดับสีหน้ามึนตึงเจือแววอำมหิตหนึ่งส่วน ยามนี้เค้นเสียงเย็นชืดออกไปว่า “ไอ้อ้วนบัดซบ ข้าจะจำแกไว้!”
“อะไร? หรือเก่งแต่เห่าอย่างเดียว? แน่จริงก็มากัดข้า!” เซี่ยะจิ่งอวี๋คำรามสวนต่อทันควันปราศจากร่องรอยความขี้ขลาดแม้สักนิด ข้างกาย คิ้วทรงสวยของหลินซิ่งขมวดยู่เล็กน้อย แต่มิได้เอ่ยปากกล่าวอันใด
“ฉินเทียน เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! เรื่องนี้ไม่จบลงง่ายๆเป็นแน่! การตายของฉินหยวนหลงในคราวนี้ ตระกูลฉินจะต้องได้รับการไต่สวนจากทางสถานศึกษา!” ในอีกด้านหนึ่งอัสนีคำรนก้าวแช่มตรงเข้ามาพร้อมเอ่ยเสียงเคร่งขรึมมาแต่ไกล
หลังจากวันนั้น อัสนีคำรนก็ไล่ล่าฉินหยวนหลงเป็นเวลาสองเดือนเต็ม จนในที่สุดก็ปลิดชีพอีกฝ่ายได้ด้วยฝ่ามือของเขา แม้ฉินหยวนหลงจะกล่าวตัดความสัมพันธ์กับตระกูลฉินไปแล้ว ทว่าแม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลฉินแน่นอน
สีหน้าของฉินเทียนตกลงโดนพลัน พยายามควบคุมความโกรธภายในใจและกล่าวตอบว่าไปว่า
“ท่านอาจารย์อัสนีคำรน เนื่องจากฉินหยวนเทียนหันหลังให้กับตระกูลฉินแล้ว เรื่องที่อีกฝ่ายก่อขึ้นล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลฉินเช่นกัน! ดังนั้นจะมาลำเอียงเอาผิดข้าฝ่ายเดียวมิได้!”
อัสนีคำรนเค้นหัวเราะเสียงเย็นคำโต เขาเอ่ยตอบอย่างคร้านจะใส่ใจว่า “เหอะ นี่หาใช่คำสั่งของข้า แต่เป็นคำสั่งจากท่านเจ้าเมืองโดยตรง!”
ฉินเทียนปิดปากเงียบพูดไม่ออกในทันใด เห็นได้ชัดว่าวีรกรรมที่ฉินหยวนหลงก่อขึ้น ทำให้ท่านอาจารย์คนนี้โกรธเกรี้ยวอย่างมาก
ในขณะนั้นเองเสียงของซวนหลิงก็เอ่ยดังขึ้นอีกครั้ง โดยกล่าวขึ้นอย่างแช่มช้าว่า “เอาล่ะ งานชุมนุมร้อยเมืองในครั้งนี้เป็นอันสิ้นสุดลงแล้ว ตอนนี้ข้าจะทำการตรวจสอบแหวนเก็บของทั้งหมดของพวกเจ้า พร้อมประกาศผลและมอบของรางวัล” พลางป่าวประกาศออกไปเช่นนี้ สายตาของซวนหลิงพลันเหลือบมองเย่หยวนแวบหนึ่ง โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
จากนั้นแหวนเก็บของทั้งหมดก็หลุดลอยออกมาจากร่างของศิษย์ทุกคน พร้อมบินตรงมาหยุดลงตรงหน้าของซวงหลิน จัดเรียงตามรายคนอย่างเป็นระเบียบ
เพียงปราดตาเดียว ซวนหลิงก็ตรวจสอบแหวนเก็บของทุกวงเสร็จสิ้นและเอ่ยปากเรียกรายนามออกมา
“อันดับหนึ่งของศิษย์ชั้นในได้แก่…ไป๋เทียนจ้าวแห่งเมืองหลวงโหย่วตัง เก็บเกี่ยวสมุนไพรวิญญาณระดับสองได้ทั้งหมดหกร้อยยี่สิบเอ็ดต้น!”
“กลับเป็นไป๋เทียนจ้าวจริงๆ! เมืองหลวงโหย่วตังแข็งแกร่งเกินไป ทั้งศิษย์ชั้นในอย่างไป๋เทียนจ้าว และศิษย์ชั้นนอกอย่างจินอวี้ ทั้งสองล้วนเป็นยอดอัจฉริยะไร้ผู้ใดทัดเทียม!”
“เหอะ นั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว ครานี้เย่หยวนโผล่ออกมาจากไหนไม่ทราบ โค่นจินอวี้จนแพ้ราบคาบไปแล้ว!”
“ไม่รู้เลยว่าสุดท้ายนี้เย่หยวนรวบรวมสมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่งได้ทั้งหมดเท่าใดกัน? เกณฑ์วัดของงานชุมนุมร้อยเมืองรู้สึกจะเป็น สมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่งห้าต้นเท่ากับสมุนไพรวิญญาณระดับสองหนึ่งต้น ลุ้นเสียจริงว่า สุดท้ายนี้โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่จะลงเอยในมือใคร!”
“ก็ควรจะเป็นฝ่ายเมืองหลวงโหย่วตังมิใช่รึ? ไม่ว่าเย่หยวนจะแกร่งกล้าขนาดไหน แต่เขามีเพียงตัวคนเดียว ในอีกด้านนอกจากไป๋เทียนจ้าวแล้ว ก็ยังมีศิษย์ชั้นในคนอื่นๆจากเมืองหลวงโหย่วตังอีก! หากนับรวมกัน จำนวนสมุนไพรวิญญาณระดับสองที่พวกเขาทั้งหมดหามาได้ย่อมมากกว่าอยู่แล้ว”
…
หลังจากที่ซวนหลิงประกาศผลของไป๋เทียนจ้าวไป มันก็พลันกระตุ้นฝูงชนให้ระดมความคิดเห็น คาดเดากันต่างๆ นานา อันที่จริงแล้ว ตำแหน่งอันดับหนึ่งของศิษย์ชั้นนอกและของศิษย์ชั้นในของงานชุมนุมครั้งนี้ค่อนข้างเป็นที่ประจักษ์ปราศจากคำกังขาใด แต่สิ่งเดียวที่ทุกคนต่างสงสัยมากที่สุดคือ ในท้ายที่สุดนี้ ใครกันที่จะได้รับโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ไปครอง! ด้วยอัตราเปรียบเทียบที่ว่า สมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่งห้าต้นเทียบเท่าสมุนไพรวิญญาณระดับสองเพียงต้นเดียว เพียงแค่นี้ก็เสียเปรียบตั้งแต่เริ่มแล้ว อัตราห้าต่อหนึ่ง ค่อนข้างลำบากสำหรับเย่หยวนที่ต้องการตีตื้น
ณ ปัจจุบัน ซวนหลิงประกาศต่อว่า “เมืองหลวงโหย่วตังเก็บเกี่ยวสมุนไพรวิญญาณระดับสองได้ทั้งหมดสองพัน หนึ่งร้อยยี่สิบหกต้น! สมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่ง หนึ่งพันต้นถ้วน!”
……………………………………….
ตอนที่ 1407 ทัศนคติของท่านเจ้าเมือง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“รากฐานของเมืองหลวงโหย่วตังยังคงลึกล้ำแข็งแกร่งนัก! อาศัยไป๋เทียนจ้าวแค่ลำพัง ก็สยบแทบทุกเมืองหลวงอื่นได้แล้ว!”
“หากเมืองหลวงหวูเมิ่งต้องการจะเอาชนะอีกฝ่ายจริงๆ นี่ค่อนข้างเป็นไปได้ยากแล้ว”
“ไม่รู้เลยว่าเย่หยวนฆ่าไปทั้งหมดกี่คน ฉกชิงแหวนเก็บของมามากพอหรือไม่”
…
ทุกคนในตอนนี้ต่างกังขาสงสัย ในมือเย่หยวนมีสมุนไพรวิญญาณจำนวนเท่าใด? อิงตามอัตราห้าต่อหนึ่งส่วนเย่หยวนจำต้องมีสมุนไพรวิญญาณอย่างน้อยหนึ่งหมื่นต้นขึ้นไปจึงจะมีโอกาสชนะ แต่จำนวนขนาดนี้กลับไม่มีทางเป็นไปได้เลย และยังไม่เคยมีใครหาได้มาก่อนในงานชุมนุมร้อยเมืองจากที่ผ่านมา
หลังจากที่เย่หยวนฉกชิงแหวนเก็บของคนอื่นมาได้ เขาก็ถ่ายโอนสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดลงในแหวนของเขาเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครทราบเลยว่า เขาได้รับสมุนไพรวิญญาณมาทั้งหมดเท่าใด
ในขณะนั้นเอง ซวนหลิงพลันค่อยๆ เอ่ยปากป่าวประกาศอีกครั้ง
“อันดับหนึ่งของศิษย์ชั้นนอกคือ เย่หยวนแห่งเมืองหลวงหวูเมิ่ง จำนวนสมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่งที่เก็บเกี่ยวได้…สองหมื่นหนึ่งพันสามร้อยต้น!”
ทันทีที่เสียงประกาศของซวนหลิงจางหาย ทั่วทั้งลานกว้างทุกแท่นบูชนต่างระเบิดความโกลาหล เสียงอุทานเซ็งแซ่ชุลมุนดังกระหึ่มในทันใด ต่อให้โดยใช้อัตราส่วนห้าต่อหนึ่ง จำนวนสมุนไพรวิญญาณที่เย่หยวนได้รับมาเพียงคนเดียวก็มากกว่าทั้งเมืองหลวงโหย่วตังถึงเท่าตัว!
“เจ้าดาวพิฆาตนั้นมันฆ่าไปกี่ศพกัน?!”
“ช่างน่าทึ่ง! คาดไม่ถึงเลยจริงๆ! เมืองหลวงหวูเมิ่งจะสร้างความสั่นสะเทือนได้เพียงนี้!”
“แค่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายในตอนนี้ก็ทรงพลังเหลือล้น หากเลื่อนขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้สำเร็จยิ่งไม่ไร้เทียมทานเลยรึ?”
…
พวกเขาหารู้ไม่ว่า จำนวนศิษย์ที่เย่หยวนฆ่าทิ้งไปทั้งหมดในรอบสามเดือนที่ผ่านมามีมากถึงสองพันคน! แม้ว่าแต่ละคนจะถือครองสมุนไพรวิญญาณเพียงไม่กี่สิบต้นในมือ แต่จำนวนผู้คนก็มีสูงถึงสองพันคนโดยประมาณ ด้วยวิชาขี่ดาบที่เป็นเครื่องมือไล่ล่าสำคัญของเย่หยวน ผนวกกับญาณสัมผัสเหนือธรรมชาติของหวูเฉินอันกว้างขวาง จึงทำให้เขาสามารถคว้าชัยในครั้งนี้ไปครองได้สำเร็จ แม้ศิษย์พวกนั้นจะหลบซ่อนอำพรางตัวได้ยอดเยี่ยมเพียงใด แต่นั่นก็มิอาจหลบพ้นญาณตรวจจับอันแม่นยำของหวูเฉินได้อยู่ดี
ซวนหลิงโบกมือปัดกลางอากาศ ปรากฏลำแสงทั้งสามสายบินกระจายออกไป สองสายแรกบินไปหาเย่หยวน ส่วนอีกสายตรงเข้ามาไป๋เทียนจ้าว
“นี่คือรางวัลของพวกเจ้า!” ซวนหลิงเอ่ยกล่าวเสียงเรียบ
เบื้องหน้าเย่หยวนปรากฏกล่องหยกลวดลายประณีตอยู่สองใบ โดยมีใบหนึ่งเล็กกว่าอีกใบเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่า กล่องหยกใบที่เล็กกว่าคือโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ ในขณะที่อีกใบที่ใหญ่กว่าคือกล่องหยกที่บรรจุผลวิญญาณร่ำไห้
สำหรับผลวิญญาณร่ำไห้ชนิดนี้ เย่หยวนเคยได้ยินหวูเฉินอธิบายสรรพคุณอยู่บ้างและนั้นเป็นของดีขนานแท้ ผลวิญญาณร่ำไห้เป็นหนึ่งในของวิเศษฟ้าดินที่ภายในอุดมไปด้วยพลังวิญญาณบริสุทธิ์ชนิดเข้มข้นอยู่มหาศาล แน่นอนว่ามันมีสรรพคุณเหนือกว่าโอสถทั่วไปโดยธรรมชาติ การกินผลวิญญาณร่ำไห้เพียงหนึ่งผล มันเทียบเท่ากับหนึ่งร้อยปีเต็มแห่งการบ่มเพาะพลังอย่างขื่นขม! ผลวิญญาณร่ำได้ที่เย่หยวนได้รับมาทั้งสิ้นคือสิบผล ดังนั้นรางวัลชิ้นนี้เปรียบเสมือนตั๋วทองคำที่พาเขากระโดดขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดได้ในอึดใจเดียว
เย่หยวนเก็บกล่องหยกทั้งสองใบลงไปและประสานมือกล่าวกับซวนหลิงว่า “ขอบพระคุณอย่างยิ่งท่านซวนหลิง!”
ซวนหลิงขยับขยายสายตาจับจ้องเย่หยวนอย่างลึกซึ้งและยิ้มกล่าวว่า “นั้นเป็นสิ่งที่พวกเจ้าสมควรจะได้รับแล้ว! เย่หยวน เจ้าทำได้ดีมาก หลังจากนี้หากเจ้าออกจากเมืองหลวงหวูเมิ่งเมื่อใด สามารถเดินทางมายังเมืองราชวงศ์อินทรีสวรรค์เพื่อเข้าพบข้าได้ทุกเมื่อ!”
ได้ฟังคำกล่าวของซวนหลิง สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พร้อมจับจ้องเย่หยวน ส่อแววอิจฉาตาร้อน
เมืองหลวงหวูเมิ่งเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่ภายใต้เขตปกครองของเมืองราชวงศ์อินทรีสวรรค์! ขุมกำลังของเมืองราชวงศ์อินทรีสวรรค์กล่าวได้ว่าเกรียงไกรยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ ความปรารถนาของเหล่านักสู้พวกนี้คือการได้เหยียบย่างเข้าสู่เมืองราชวงศ์อินทรีสวรรค์สักครั้งในชีวิต ในทัศนคติของพวกเขา เมืองราชวงศ์อินทรีสวรรค์เปรียบดั่งสรวงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
งานชุมนุมร้อยเมืองนี้ถูกจัดขึ้นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ท่านซวนหลิงกลับไม่เคยเอ่ยปากกล่าวเช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับเป็นข้อยกเว้น ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแต่ต้องอ้าปากขากรรไกรค้างเติ่ง! สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ซวนหลิงผู้นี้ประทับใจในความสามารถของเย่หยวนเพียงใด
ณ ปัจจุบันศิษย์ทุกคนรวมถึงระดับอารมณ์ทุกท่านต่างเหลียวมองจับจ้องเย่หยวนประดุจมีสะเก็ดไฟลุกเดือดขึ้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าอิจฉาอย่างหาที่เปรียบไม่! แม้แต่สายตาที่ไป๋เทียนจ้าวเข้าจับจ้องเย่หยวนยังเผยท่าทีผิดแปลก คล้ายคงความเยือกเย็นไว้ไม่อยู่
“เอาล่ะ งานชุมนุมร้อยเมืองในครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนเดินทางกลับได้!”
คล้อยหลังซวนหลิงกล่าวจบ สองมือร่ายพันวัลปรากฏเป็นตราผนึกขึ้นอีกครั้ง แท่นบูชานับร้อยเปล่งแสงประกายวาบเคลื่อนย้ายร่างทุกคนจากออกไปทันที
…
หลังจากที่งานชุมนุมร้อยเมืองสิ้นสุดลง ข่าวที่เมืองหลวงหวูเมิ่งคว้าอันดับหนึ่งมาครองก็แพร่กระจายทั่วทุกมุมถนนทุกสายในเมืองหลวงหวูเมิ่ง จนกลายมาเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้ ขุมกำลังของเมืองหลวงหวูเมิ่งถือได้ว่าไม่ค่อยโดดเด่นนักในบรรดากว่าร้อยเมือง แต่นั่นก็มิได้ถือว่าอ่อนแอเช่นกัน อันดับหนึ่งของงานชุมนุมร้อยเมือง มิใช่สิ่งที่เมืองหลวงหวูเมิ่งเคยคิดหรือตั้งเป้าเอาไว้เลย
ณ ตำหนักเจ้าเมือง ชายวัยกลางคนท่าทางองอาจกลิ่นอายดั่งราชานั่งอยู่บนบัลลังก์มากสง่าราศีในส่วนโถงหลักเบื้องหน้าของเขาปรากฏเป็นอาจารย์ใหญ่เหวินอี้หยางและอัสนีคำรน
ทางด้านอัสนีคำรนลดศีรษะให้กึ่งหนึ่งและเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ฉินหยวนหลงพยายามจะลอบสังหารเย่หยวน ก่อนกล่าวลงท้ายด้วยความขุ่นเคืองว่า “ท่านเจ้าเมือง ตระกูลฉินนับวันยิ่งกำแหงวางอำนาจอึกโข! โดยไม่สนเลยว่าบัญชีแค้นนี้แท้ที่จริงใครกันที่ก่อขึ้น แต่กลับเคลื่อนไหวตามใจชอบไม่สนกฎเกณฑ์ ใช้วิธีสกปรกเช่นนี้เพื่อจัดการกับเด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนหนึ่ง นี่มันไร้ยางอายเกินไป!”
อันที่จริงแล้ว เรื่องราวความแค้นระหว่างตระกูลฉินกับเย่หยวน ทุกคนภายในเมืองต่างทราบและตระหนักดีว่าทั้งหมดเกิดจากฝ่ายใดเริ่มก่อน ตระกูลฉินเคยฉินในการใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้คนและเอาแต่ใจทำอะไรก็ได้ แต่กลับไม่มีใครสามารถสะกิดให้พวกเขาขุ่นเคืองได้เลย
เจ้าเมืองหลวงหวูเมิ่งกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า “เหวินอี้หยาง เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?”
เหวินอี้หยางประสานมือคำนับและกล่าวว่า “เรียนท่านเจ้าเมือง เย่หยวนคนนี้ถือเป็นยอดอัจฉริยะในรอบแสนปีจะมีสักคน ความสำคัญของเขาที่มีต่อเมืองหลวงหวูเมิ่งมากมายใหญ่หลวง ในส่วนเรื่องนี้ข้าเชื่อว่าท่านชัดเจนยิ่งกว่าใคร! ครั้งนี้ตระกูลฉินล้ำเส้นมากเกินไปจริงๆ!”
ในฐานะที่เหวินอี้หยางดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษามาเนิ่นนานหลายปี ยอดอัจฉริยะดั่งเพชรน้ำงานขนาดนี้หายากเกินพรรณนา เขาย่อมหวงแหนเย่หยวนคนนี้เป็นธรรมดาแน่นอน สิ่งที่ตระกูลฉินทำลงไปมันส่งผลกระทบต่อสมบัติล้ำค่าของเมืองหลวงหวูเมิ่งโดยตรง!
เจ้าเมืองหลวงหวูเมิ่งตกสู่ความเงียบงันไม่ปริปากกล่าวอันใดไปครู่ใหญ่ เหวินอี้หยางกับอัสนีคำรนไม่กล้าส่งเสียงกล่าวอันใดขัดจังหวะเกรงจะไปรบกวน ระหว่างนั้นทั้งสองต่างสบตากันไปมาเผยแววประหลาดใจสาดสะท้อนออกมาไม่ต่าง เรื่องนี้ใครผิดใครถูกค่อนข้างชัดเจนเกินไป ไม่เห็นจำเป็นต้องครุ่นคิดนานขนาดนี้?
หากพวกเขาไม่สั่งสอนบทเรียนให้แก่ตระกูลฉินซะบ้าง เกรงว่าพวกนั้นจะยิ่งได้ใจมากขึ้นในอนาคต
หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง เจ้าเมืองหลวงหวูเมิ่งก็เอ่ยปากกล่าวอย่างแช่มช้าว่า “การกระทำในครั้งนี้ของตระกูลฉินนับว่าเป็นความผิดก็จริง แต่เนื่องจากฉินหยวนหลงตัดสัมพันธ์กับตระกูลฉินไปแล้ว และยังถูกอัสนีคำรนประหารทิ้งด้วยอีก ดังนั้นเรื่องนี้จึงตกไป เจ้าเมืองผู้นี้ก็ไม่มีข้อแก้ตัว ฝ่ายตระกูลฉินทำคุณงามความดีและมีผลงานโดดเด่นมากมายให้แก่เมืองหลวงหวูเมิ่ง หากใช้ไม้แข็งเกรงว่าอาจสร้างเรื่องบาดหมางยากจะมองหน้ากันติด! เจ้าเมืองผู้นี้จะดำเนินการตักเตือนตระกูลฉินเป็นการส่วนตัว ให้พวกเขาประพฤติตัวให้ดี ในตอนนี้เอง เย่หยวนก็สร้างผลงานอันน่าภาคภูมิใจนักให้กับเมืองหลวงหวูเมิ่ง จนทำให้ข้าผู้นี้ได้รับโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่มาครอง รับสั่งลงไป! จงตบรางวัลให้แก่เย่หยวนคนนี้อย่างงาม!”
ทั้งเหวินอี้หยางและอัสนีคำรนพลันตื่นตะลึงหนักอยู่ภายในใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าท่านเจ้าเมืองจะดำเนินการได้หละหลวมต่อปัญหาตรงหน้ามากขนาดนี้! ไฉนถึงหยิบยกข้ออ้างให้ตระกูลฉินพ้นผิดจากหนักกลายเป็นเบา?
หน้าที่ของเจ้าเมืองคือการเข้ามาบริหารดูแลและจัดการแก้ไขปัญหาจากใหญ่ให้กลายเป็นเล็ก จากเล็กจนไร้ซึ่งปัญหาใดๆ อีกต่อไป แม้รากฐานตระกูลฉินจะค่อนข้างหยั่งลึกในเมืองหลวงหวูเมิ่ง แต่เจ้าเมืองก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอีกฝ่ายขนาดนี้จริงหรือไม่?
มาตรการแก้ไขปัญหาแบบนี้หาได้กระทบต่อตัวเหวินอี้หยางอยู่แล้ว แต่เขากังวลว่าเย่หยวนจะเก็บเรื่องนี้ไปคิดเล็กคิดน้อยมากกว่า!
………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น