Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1362-1365
ตอนที่ 1362 เปล่าประโยชน์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในโถงรับรองของตระกูลฉิน ชายวัยกลางคนและชายหนุ่มอีกคนกำลังนั่งเสวนากันอยู่ ในตำแหน่งที่นั่งของเจ้าบ้านและแขกผู้มาเยือน
ชายวันกลางกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า
“หลานผู้ทรงเกียรติ ครั้งนี้เจ้าทำให้ข้าผิดหวังนัก!”
ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกและรีบกล่าวตอบทันที
“ถูกต้องแล้ว กลับเป็นหลานคนนี้เองที่ใจร้อนเกินไป! หลานคนนี้เฝ้าห่วงแต่เรื่องแก้แค้นแทนน้องชาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกหอมหาสมบัติเองก็เคลื่อนไหวแก้ทางได้ไวขนาดนี้เช่นกัน พวกนั้นกลับบรรลุข้อตกลงกับฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองก่อน! จึงเป็นข้าที่ทุบหินใส่เท้าตัวเองแทน!”
ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงเย็นกล่าวตอบว่า
“โอสถท้าทายสวรรค์เช่นนี้ พวกหอมหาสมบัติไม่มีทางขายให้แก่ภายนอกแน่นอน แต่จะรวบหัวรวบหางกินผลประโยชน์เพียงฝ่ายเดียวได้นานเพียงใดกัน? ช่างเถอะ หวังว่าความอัปยศในครั้งนี้จะขัดเกลาให้เจ้ารอบคอบขึ้น กลับไปขยันบ่มเพาะฝึกปรือให้มากกว่านี้ ด้วยความเพียรของเจ้า เจ้าจะได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์สังกัดสวรรค์ในเร็วๆนี้!”
ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็รีบกล่าวตอบทันทีว่า
“หลานคนนี้จะตั้งใจฝึกปรืออย่างหนัก! ขอบพระคุณอย่างยิ่งท่านลุงฉิน!”
ชายวัยกลางคนผู้นี้คือ ฉินหนานเทียน ประมุขตระกูลฉินรุ่นปัจจุบัน ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนก็มิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก หวังซ่ง!
หากกล่าวอธิบายให้เข้าใจง่าย หวังซ่งผู้นี้มีความสำคัญต่อฉินหนานเทียนเช่นกัน เขาสามารถพิชิตใจบุตรสาวของฉินหนานเทียนได้อย่างฉินเป่ยหยางในสถานศึกษาหวูเมิ่ง ในตอนนี้…หวังซ่งถือว่ามีศักดิ์เป็นลูกเขยตระกูลฉินอยู่ครึ่งหนึ่ง
นอกจากนี้ความแกร่งกล้าของเขาก็มิใช่ธรรมดาทั่วไป เขาทะลวงขึ้นเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายแล้ว บุคคลระดับนี้นับว่ามีคุณค่าสำหรับตระกูลฉินอยู่บ้าง
แม้ตระกูลหวังจะทรงอิทธิพล แต่นั่นก็แค่ภายในเขตเมืองหมิงหยางและเคียงข้างเท่านั้น
ต่อหน้าตระกูลฉิน ที่เป็นระดับขั้วอำนาจแห่งเมืองหลวงหวูเมิง กล่าวได้ว่าเทียบไม่ติดฝุ่น!
ภายในตระกูลฉิน ไม่เพียงจะมีจำนวนยอดฝีมือมากมายพอๆกับมวลเมฆบนน่านนภา แต่สถานะศักดิ์ยังถือเป็นจุดสูงสุดแห่งเมืองหลวงหวู่เมิ่งอีกด้วย ทั้งยังมีธุรกิจตระกูลฉินที่ครอบคลุมไปทั่วเมืองหลวง
ตระกูลหวังไม่มีค่าพอที่จะอวดอ้างต่อหน้าตระกูลฉินได้เลย
เมื่อสามารถสานสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลฉินได้ อนาคตของหวังซ่งย่อมสดใสไร้ขีดจำกัด
หากย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เขาประสบความสูญเสียอย่างหนักต่อหน้าเซียวเฟิ้ง ดังนั้นเขาจึงคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ โดยการแจ้งเรื่องโอสถบ่มเพาะปราณให้แก่ฝ่ายตำหนักเจ้าเมือง
เพียงว่าแผนการที่เขาเตรียมไว้อย่างรัดกุมนี้ กลับต้องพังลงไม่เป็นท่า เพราะเขาไม่ทราบมาก่อนเลยว่า ฝ่ายหอ มหาสมบัติจะบรรลุข้อตกลงกับฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองอยู่ก่อนแล้ว
ข่าวที่เขาส่งไปมิเพียง ไม่อาจสร้างปัญหาให้แก่หอมหาสมบัติใดๆได้เลย แต่ผลเสียกลับตกมาที่เขาแทน ทั้งหวังซ่งและเฉินหย่งหนานต่างถูกให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ที่ดำรงอยู่ และย้ายพวกเขากลับมาที่สถานศึกษาหวูเมิ่งดังเดิม
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมาแสดงความเคารพต่อฉินหนานเทียนก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อกลับถึงเมืองหลวงหวูเมิ่งหวังซ่งดำรงตำแหน่งรองเจ้าเมืองหมิงหยางในนามของสถานศึกษาหวูเมิ่ง ในท้ายที่สุดเขายังคงเป็นศิษย์ของสถานศึกษาหวูเมิ่ง
สิ่งที่หวังซ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็คือ เย่หยวนเคยให้หยางรุยส่งสาสน์ไปเตือนหอมหาสมบัติแล้วคราวหนึ่ง โดยเย่หยวนต้องการให้หอมหาสมบัติสาขาเมืองหลวงหวู่เมิ่ง เข้าไปทำข้อตกลงพร้อมแบ่งส่วนกำไรให้แก่ฝ่ายตำหนักเจ้าเมือง นอกจากนี้พวกเขายังต้องมอบโอสถบ่มเพาะปราณ เพื่อเป็นการสนับสนุนฝ่ายเจ้าเมืองอีกด้วย
เมื่อฟ่านเทียนรับทราบเนื้อความภายในสาสน์นี้ เขาก็เดินหน้าตรงเข้าไปทำข้อตกลงกับฝ่ายเจ้าเมืองโดยทันที สิ่งที่น่าขันที่สุดก็คือ หวังซ่งกลับไม่ต่างจากน้องชายมันเลย หลงตัวเองคิดว่าฉลาด ทว่าท้ายที่สุดกลับยกหินทุ่มใส่เท่าตัวเองเสียได้
“เอาล่ะ เจ้าออกไปเถอะ หยางเอ๋อกำลังรอเจ้ากลับมาอยู่นานแล้ว!” ฉินหนานเทียนเอ่ยปากกล่าวขึ้น
“หลานคนนี้ขอลา…” หวังซ่งลุกขึ้นและกล่าวลา
แต่ในขณะที่หวังซ่งกำลังจะหมุนตัวกลับและจากออกไป จู่ๆเขาพลันสะดุ้งเฮือกราวกับเห็นผี ได้มีสาวน้อยนางหนึ่งผู้มีใบหน้าบวมช้ำดั่งหัวหมูวิ่งกรูเข้ามา
“ท่านพ่อ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว! ฮือๆ…ฮือๆ… ข้าอยากตาย! อวี่เอ๋อไม่มีหน้าออกไปพบใครอีกแล้วในอนาคต!”
“อ-อวี่…อวี่เอ๋อ?”
หวังซ่งยืนตัวแข็งทื่อไปเกือบหลายอึดใจ ก่อนจะนึกออกว่าสาวน้อยนางนี้คือใคร
พินิจจากทรวดทรงโค้งเว้าพราวเสน่ห์คล้ายผู้พี่ กับชุดแพรพรรณคุ้นตา ยังเป็นใครได้อีกหากมิใช่ฉินเป่ยอวี่?
เพียงว่า…ไฉนใบหน้าของนางถึงบวมเละเป็นหัวหมูได้ขนาดนี้? คนลงมือมิใช่ว่าเสียสติไปแล้ว?
ฉินหนานเทียนมีบุตรสาวตอนอายุมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับพวกนางเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับฉินเป่ยอวี่
เมื่อเห็นนางมีสภาพแบบนี้ เพลิงพิโรธพลันโหมปะทุขึ้นทันทีและโพล่งกล่าวขึ้นลั่นว่า
“อวี่เอ๋อ ใครมันกล้าตบตีเจ้าจนเป็นแบบนี้?!”
ใบหน้าของนางถูกตบซะจนหนังกำพร้าลอกฉีกเป็นแผลเหวอะ เห็นเป็นน้ำหนองสีเหลืองคราบแห้ง หากมิใช่เพราะแพรพรรณสีเหลืองที่บุตรสาวสวมอยู่เป็นประจำ ฉินหนานเทียนไม่มีทางจำได้เลยว่านี่คือลูกสาวตัวเอง
“มัน…มันเป็นฝีมือของไอ้บ้านนอกนั้น! ฮึกๆ..ฮึกๆ… ท่านพ่อต้องล้างแค้นให้อวี่เอ๋อ!”
ฉินเป่ยอวี่ร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด ถึงพยายามเอ่ยถามนางเป็นเวลานาน แต่นางก็เอาแต่ร่ำไห้พูดไม่เป็นภาษา
สีหน้าการแสดงออกของฉินหนานเทียนมืดลงทันใด เขาตะโกนขึ้นลั่น…
“ย่าฮั่วอยู่ไหน! ไปเรียกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
ปรากฏว่าย่าฮั่วคือหญิงชรานางนั้น
โดยปกติแล้ว เวลาที่ลูกสาวของตนออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ก็จะมีย่าฮั่วค่อยติดตามฉินเป่ยอวี่อยู่ตลอด ทว่าคราวนี้ที่ฉินเป่ยอวี่ถูกทุบตีจนสาหัส ย่าฮั่วไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้แม้สักนิดที่มิอาจปกป้องนางได้
ย่าฮั่วตรงเข้าพบทันที แต่สีหน้ากลับไม่สู้ดีนัก นางคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวขึ้นว่า
“ท่านประมุขโปรดลงโทษข้าด้วยเถิด! วันนี้ข้ามิอาจปกป้องคุณหนูได้ ข้าไม่มีหน้าและสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว! ไอ้เด็กเหลือขอนั้นมีวิญญาณชั่วสองดาวชั้นปลายคอยปกป้อง เราหญิงชรามิอาจเป็นคู่มือได้เลย!”
คำกล่าวของย่าฮั่วนี้ราวกับไปเหยียบหางของหวังซ่งเข้าเต็มแรง เขาสะดุ้งเฮือกภายในใจอย่างลับๆเมื่อได้ยิน…
“วิญญาณชั่วสองดาว? ไอ้เด็กเหลือของั้นรึ? ไม่…คงไม่บังเอิญปานนั้นแน่นอน? เพราะวิญญาณตนนั้นที่อยู่กับเย่หยวนเป็นเพียงวิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลาง เพียงปีเดียวจะเลื่อนระดับชั้นแล้วได้อย่างไร?”
หวังซ่งพลางคิดในใจกับตัวเองเมื่อกล่าวถึงวิญญาณชั่วสองดาว เสี้ยวความคิดแรกเขานึกถึงเย่หยวนในทันที
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป ไม่มีใครสามารถจับวิญญาณชั่วสองดาวมาเป็นผู้รับใช้ได้แน่นอน
“หึ! ผู้เป็นนายเจียนตาย แต่ผู้ปกป้องกลับสบายดี! อวี่เอ๋อถูกทำร้ายเสียโฉม แต่เจ้ากลับสุขสบายดี! เจ้า…เจ้าสมควรตายแล้ว!”
ฉินหนานเทียนระเบิดอารมณ์คำรามคลั่งอย่างโกรธเกรี้ยว
สีหน้าการแสดงออกของย่าฮั่วถอดสีหนักพร้อมก้มศีรษะอย่างยอมจำนน อย่างไรก็ตามแต่ นางน่ะรึสบายดี? แค่นี้นางก็บอบช้ำสาหัสทั่วกายาไม่ต่าง?
ทว่าขณะนั้นเองหวังซ่งกลับเอ่ยขึ้นแทรกว่า
“ท่านลุงโปรดระงับโทสะ ทางที่ดีที่สุดควรรับฟังนางให้จบเสียก่อน”
จากนั้นย่าฮั่วก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังพลางสั่นกลัวอยู่ภายในใจ สีหน้าการแสดงออกของหวังซ่ง กล่าวได้ว่ายิ่งฟังยิ่งน่าเกลียดขึ้นทันตา
ยิ่งได้ฟังรายละเอียดจากย่าฮั่ว ทั้งวิธีการพูดของอีกฝ่ายและผู้คนตามที่มาด้วย หวังซ่งกล้าการันตีในทันทีว่านั้นคือ เย่หยวน!
“ท่านลุง ข้าพอจะทราบแล้วว่า…ใครเป็นคนทำร้ายอวี่เอ๋อ!”
สีหน้าการแสดงออกของฉินหนานเทียนแปรเปลี่ยนในทันทีและกล่าวว่า
“เจ้ากล่าวมาขนาดนี้ ข้าคงพอเดาได้ไม่ยากแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นไอ้เด็กเหลือขอนามเย่หยวนที่เคยกล่าวถึง?”
หวังซ่งหน้าดูขรึมเข้มขึ้นหลายส่วน เขาพยักหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก ใครจะไปรู้ว่า ยามนี้เย่หยวนจะมาที่เมืองหลวงหวู่เมิ่งเช่นกัน แถมขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูยังหาเรื่องบาดหมางกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเขา กระทั่งน้องสะใภ้ยังถูกเย่หยวนทุบตีอย่างโหดเหี้ยมจนเละเป็นหัวหมู!
แต่นี่ก็นับเป็นเรื่องดีเช่นกัน อย่างน้อยที่สุดฉินหนานเทียนก็มิอาจนั่งดูอยู่เฉยๆได้แล้ว ยามนี้เตรียมออกโรงมาอีกคน
“อวี่เอ๋อ พ่อจะจับไอ้เด็กเหลือขอนั้นมาให้เจ้าทรมานเล่นดีหรือไม่? ย่าฮั่ว พาอวี่เอ๋อกลับไปทายาพักผ่อนเสีย!”
ฉินหนานเทียนกล่าวขึ้นอย่างหนักใจ
เมื่อฉินเป่ยอวี่ออกไป สีหน้าฉินหนานเทียนยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นหลายส่วน
“ไอ้เด็กเหลือขอนั้นเดินทางมาที่เมืองหลวงหวูเมิ่ง มีความเป็นไปได้สูงว่า มันอาจเข้าร่วมกับหอมหาสมบัติอย่างเป็นทางการแล้ว มีกลุ่มอิทธิพลอย่างหอมหาสมบัติคอยปกป้องเช่นนี้ กลับยากที่จะจัดการมัน!”
ฉินหนานเทียนรู้สึกปวดเศียรหนัก ยามนี้เขาเองก็จนปัญญาเช่นกัน
อีกฝ่ายมิใช่เด็กหนุ่มทั่วไป เขาตระหนักดีว่ามันมีหอมหาสมบัติค่อยหนุนหลังอยู่ ซึ่งนี่หาใช่กลุ่มคนที่ตระกูลฉินสามารถยั่วยุได้เลย
แม้เขาจะเป็นประมุขตระกูลฉิน แต่ฉินหนานเทียนก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับมือกับห่านเทียนได้เลย
ผู้ที่สามารถต่อกรกับฟ่านเทียนได้อย่างสูสี คงมิใช่ใครอื่นอีกแล้วนอกจาก ชายชรารุ่นลายครามอย่างคนผู้นั้น
ฉินหนานเทียนประเมินสถานการณ์ทันด่วนโดยไว แม้อาณาจักรพลังของเย่หยวนจะค่อนข้างต่ำ แต่อาศัยโอสถบ่มเพาะปราณ สถานะของเขาในหอมหาสมบัติกลับสูงมาก
หรือเป็นไปได้ไหมว่า…จะปล่อยให้ทุบตีไปโดยเปล่า?
ฉินหนานเทียนไม่สามารถมองข้ามเรื่องนี้ไปได้โดยธรรมชาติ!
โรงเตี๊ยมเฟิงหลานเป็นแหล่งรวมพยัคฆ์หมอบมังกรขด เหตุการณ์ที่เย่หยวนทุบตีฉินเป่ยอวี่จนสิ้นสภาพกลายมาเป็นหัวหมูขนาดนี้ต่อหน้าทุกคน วันถัดมา ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงหวูเมิ่งย่อมรู้กันหมดแน่
หากมิอาจระบายแค้นนี้ออกไปได้ อนาคต ตระกูลฉินยังมีหน้าอยู่ในเมืองหลวงหวูเมิ่งต่อไปได้อย่างไร?
หวังซ่งขุ่นเคืองเย่หยวนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยามนี้เอ่ยขึ้นว่า..
“ท่านลุง รบกวนท่านจำต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของหอมหาสมบัติแล้วในระยะนี้ ข้าไม่เชื่อว่า มันจะหลบซ่อนตัวไปได้ตลอดรอดฝั่ง! ตราบใดที่มันออกมา เรากลับมีหลากหลายวิธีที่จะจัดการ!”
เขารู้สึกคับแค้นในใจอย่างมากที่เย่หยวนเป็นดั่งเม่นที่ไม่สามารถสัมผัสตัวได้เลย สีหน้าการแสดงออกของฉินหนานเทียนน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ เขาพยักหน้าขณะกล่าวตอบไปว่า…“ในตอนนี้คงต้องเป็นแบบนั้นไปก่อน!”
…………………………………
ตอนที่ 1363 เซี่ยะจิ่งอวี๋
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทั้งตระกูลฉินและหวังซ่ง ต่างเฝ้ากันผลัดเวรสังเกตการณ์อยู่หน้าหอมหาสมบัติตลอดเวลา หวังให้เย่หยวนออกมาในเร็ววัน
แต่พวกเขาเฝ้าสังเกตการณ์มานานกว่าครึ่งปีแล้ว ทว่าเย่หยวนก็ไม่ยอมออกมาเสียที
หลังที่กลับจากโรงเตี๊ยมเฟิงหลาน เย่หยวนก็เข้าสู่การเก็บตัวในทันที
ก่อนการทดสอบ เย่หยวนจำเป็นต้องเพิ่มเติมเสริมความแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว
ยิ่งเขาทราบรายละเอียดการทดสอบมากเท่าไหร่ เย่หยวนก็รู้สึกว่าการสอบคัดเลือกในครั้งนี้กลับมิใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด เขาเองรู้สึกกดดันอย่างมากเช่นกัน
ภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เขากำลังศึกษาเพลงดาบเลื่องสวรรค์อยู่อย่างบ้าคลั่ง
นี่คือสุดยอดวรยุทธ์บ่มเพาะพลังของเซียนเต๋าสวรรค์ที่สลักบันทึกอยู่ในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ มันคือสิ่งที่ เย่หยวนในอดีตไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยแม้สักนิดเดียว
ทว่าตอนนี้ เย่หยวนที่สามารถหลอมสร้างบัญญัติเทพแห่งถงเทียนขึ้นมาได้ นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งถึง ขอบเขตความรู้ความเข้าใจอันไกลโพ้นไร้สิ้นสุดของเย่หยวนในปัจจุบัน ตัวเขาในตอนนี้เหนือกว่าตนเองในอดีตไม่รู้กี่ร้อยเท่าพันเท่า ดังนั้นแล้ว วรยุทธ์บ่มเพาะพลังอย่างเพลงดาบเลื่องสวรรค์จึงไม่เหมาะสมกับเย่หยวนอีกต่อไปแล้ว
เหตุที่เย่หยวนหยิบเพลงดาบเลื่องสวรรค์เข้ามาศึกษา ทั้งหมดก็เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์บางส่วนและสร้างเต๋าแห่งดาบที่เป็นของเขาขึ้นมาเอง!
แม้ว่าวรยุทธ์ต่อสู้ของเผ่ามังกรจะทรงพลัง แต่เย่หยวนก็ยังรู้สึกว่า ฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงของเขายังมีข้อจำกัดอยู่ในหลายจุด ในแง่ความเสถียรยั่งยืน เขาควรสร้างวรยุทธต่อสู้ที่เป็นของตัวเองไปเลยจะดีที่สุด
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจยืนหยัดด้วยสองเท้าและเรียนรู้ศึกษาเต๋าในทันที!
ปัจจุบันขอบเขตความเข้าใจของเย่หยวนค่อนข้างกว้างใหญ่ไพศาลมากแล้ว แต่ในแง่ของศาสตร์แห่งดาบกลับหยุดนิ่งมานานมากแล้วเช่นกัน
วรยุทธ์ต่อสู้และเพลงดาบอันทรงพลังอย่างยิ่งในดินแดนพฤกษานิรันดร์ แต่กลับมิได้ทรงพลังอย่างที่คิดในมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้
ท้ายที่สุดนี้ ความแตกต่างระหว่างดินแดนที่จอมเทพนิรันดร์สร้างขึ้นกับมหาพิภพถงเทียน นั้นมีมากจนเกินไป
ดินแดนพฤกษานิรันดร์ที่อยู่ในยุคเสื่อมโทรม เต๋าและแนวคิดความเข้าใจกลับมีข้อบกพร่องอยู่แล้วตั้งแต่แรก ส่งผลให้วรยุทธ์บ่มเพาะพลังและวรยุทธต่อสู้ไม่สมบูรณ์
“ท่านอาวุโส เพลงดาบเลื่องสวรรค์นี้กลับเต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากมายเหลือเกิน!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มขื่นเอ่ยปากขึ้น
“นั่นเป็นที่แน่นอน! แม้ว่าเพลงดาบนี้จะมีต้นกำเนิดมาจากศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ แต่คนที่นำไปดัดแปลงต่อยอดอีกที กลับมีความเข้าใจน้อยนิดดุจเส้นขนวัวเพียงหนึ่งเส้น! หากเจ้าบ่มเพาะฝึกปรือด้วยเพลงดาบชุดนี้ ความสำเร็จของเจ้าจะค่อนข้างจำกัดมาก!” หวูเฉินกล่าว
“ความเข้าใจของข้าในปัจจุบันต่อศาสตร์แห่งดาบกลับตื้นเขินเกินไป ต่อให้มีหุบเขาถงเทียนจำลองช่วยอีกแล้ว แต่ข้าก็ไม่สามารถหลอมสร้างแห่งดาบที่เป็นของตัวเองได้เลย!” เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างไร้หนทาง
ในอดีต ศาสตร์แห่งดาบของเย่หยวนยังเป็นจุดสูงสุดแห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์อย่างแท้จริง ขุมพลังพลานุภาพของเพลงดาบในแต่ละกระบวนท่าช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
ทว่าตอนนี้ เย่หยวนกลับเป็นราวกับเด็กทารกที่เดินโซเซไปมา
หวูเฉินกล่าวตอบว่า
“ดังนั้นการที่เจ้าเข้ามาศึกษาต่อที่สถานศึกษาหวูเมิ่งจึงเป็นทางเลือกที่ถูกต้องแล้ว! สถานที่แห่งนั้นคือแหล่งรวมตัวของเหล่าอัจฉริยะ ทั้งนี้ยังมีวรยุทธ์การต่อสู้มากมายหลากแขนงที่เหล่าผู้อาวุโสรุ่นลายครามทิ้งไว้ให้ศึกษา”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น หวังว่าวรยุทธ์ต่อสู้ของสถานศึกษาหวูเมิ่งจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
ครึ่งปีที่ผ่านมา เย่หยวนฝึกปรือจนสำเร็จเพลงดาบเลื่องสวรรค์ในบทแรกได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
ในศาสตร์แห่งการต่อสู้เอง เย่หยวนก็พัฒนาตนเองจนถึงสูงจุดสูงสุดแห่งอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางแล้วเช่นกัน ติดเพียงปัญหาคอชวดเล็กน้อย เขาก็จะสามารถเลื่อนระดับชั้นไปได้
ตั้งแต่อาณาจักรพระเจ้าขั้นไป ระบบการบ่มเพาะพลังบนเส้นทางแห่งการต่อสู้กลับแตกต่างจากเก้าอาณาจักรพลังชนชั้นสามัญโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้เป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับตัวเย่หยวน หากใช่ปัญหาคอขวดอย่างในอดีตที่เคยพบเจอมา เขาจึงไร้ซึ่งประสบการณ์ไม่สามารถจับจุดอะไรได้เลย
ยังโชคดีที่บัญญัติเทพแห่งถงเทียนเป็นวรยุทธ์บ่มเพาะพลังอันท้าทายสวรรค์ยิ่ง ปัญหาคอขวดที่เย่หยวนเผชิญพบกลับทะลวงฝ่าได้ง่ายกว่าของคนอื่นมาก
ในตอนนี้ เขาเอื้อมเตะถึงประตูอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายแล้ว มีโอกาสเลื่อนระดับชั้นได้ทุกเมื่อ
….
ในที่สุด วันทดสอบก็มาถึง!
“พี่หยาง เย่คนนี้ต้องขอขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ดูแลข้าเสมอมา!”
เย่หยวนผสานมือคำนับให้หยางรุย
หยางรุยหัวร่อเบาๆและกล่าวว่า…
“เจ้าเด็กคนนี้ไฉนปากไม่เป็นมงคล? พวกเรามิได้แยกจากกันไปไหน จากกันร้อยลี้สักวันย่อมพบกันอีก แต่ข้าเองก็ต้องขอบใจเจ้าเช่นกัน หากไม่มีเจ้าข้าคงมิได้เป็นว่าที่ผู้ดูแลใหญ่เช่นกัน!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านสมควรได้รับมันแล้วพี่หยาง! ส่วนเรื่องของหวางหรู ยังไงก็ฝากท่านดูแลนางด้วย”
การทดสอบกินเวลานานมาก แถมหากถ้าผ่านได้แล้วจะกลับออกมาพบเจออีกคราก็ไม่รู้ว่าเมื่อใด คงไม่เป็นที่สะดวกนักถ้าเย่หยวนนำเหลียงหวางหรูไปด้วย จึงทำได้เพียงฝากนางไว้กับหอมหาสมบัติเอาไว้ก่อน
หยางรุยยิ้มและกล่าวว่า
“เจ้าวางใจได้เลย! ก่อนจากกันข้าขอให้เจ้า…สอบไม่ผ่าน!”
เย่หยวนตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะก่อนหัวเราะคิดคักออกมาทันที
ชายคนนี้ยังคงเอ่ยปากโน้มน้าวเย่หยวนทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากให้เย่หยวนเข้าร่วมกับหอมหาสมบัติ
หลังจากร่ำลากันเสร็จ เย่หยวนก็บีบจี้หยกในมือจนแตก ร่างของเขาอันตรธานหายไปทันที
จี้หยกนี้ได้รับมาจากสถานศึกษาหวูเมิ่ง เมื่อลงทะเบียนเข้าร่วมการทดสอบเสร็จสิ้น
ตราบใดที่จี้หยกแตก ผู้เข้าทดสอบรายนั้นจะถูกส่งไปยังสถานที่ทดสอบโดยทันที
การสอบเข้าในสถานศึกษาหวูเมิ่งในแต่ละครั้ง มักมีผู้สมัครจำนวนหลักแสนปลายถึงล้านคน ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสถานที่ใดสามารถรองรับผู้คนปริมาณขนาดนี้ได้
ดังนั้นสถานศึกษาหวูเมิ่งจึงต้องเปิดห้วงมิติขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เพื่อใช้สำหรับการทดสอบโดยเฉพาะ
ส่วนเรื่องการลงเบียนเข้าร่วมการทดสอบของเย่หยวน ทางหอมหาสมบัติได้เดินเรื่องให้ทั้งหมดเสร็จสรรพ
ทัศนีภาพโดยรอบของเย่หยวนพร่ามัวหนัก ยามรู้สึกตัวอีกทีก็โผล่มาในห้วงมิติพิเศษแห่งนี้แล้ว
“นี่คือหมายเลขของเจ้า จงรับหมายเลขนี้ไปและหาที่นั่งดอกบัวของตัวเอง! หากยังไม่อนุญาตให้เริ่มสู้ ห้ามก่อความวุ่นวายใดๆเด็ดขาด! มิฉะนั้นโทษร้ายแรง ฆ่าไม่ปราณี!”
ชายหนุ่มคนนี้ยื่นป้ายไม้ให้ พร้อมเอ่ยปากเตือนเสียงดังฟังชัด
เมื่อพินิจจากชุดเสื้อผ้าอาภรณ์ ชายหนุ่มผู้นี้ควรจะเป็นศิษย์ของสถานศึกษาหวูเมิ่ง
ไม่ว่าใครก็สามารถบอกได้ทันที สายตาของชายหนุ่มผู้นี้ที่จับจ้องเย่หยวน ล้วนเปี่ยมไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม แต่ในความเป็นจริง ชายคนนี้มองทุกคนแบบนี้ไม่ต่างกันเลย
“ขอบพระคุณอย่างยิ่ง ศิษย์พี่อาวุโส!”
เย่หยวนรับป้ายไม้มาและกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย
ชายหนุ่มผู้นั้นหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“หุหุ ยามที่เจ้าสอบผ่านแล้ว ค่อยเรียกข้าว่า ศิษย์พี่อาวุโส อีกครั้งก็ยังไม่สาย! ไปได้แล้ว!”
ในสายตาของเขา เย่หยวนก็เป็นเหมือนผู้สมัครคนอื่นๆ มือใหม่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง จัดอยู่ในชนชั้นทั่วไป ซึ่งน่าเสียดายที่โอกาสสอบผ่านช่างน้อยนิดนัก
ดังนั้นเขาจึงสนทนากับเย่หยวนอย่างไม่สุภาพเท่าไหร่
เย่หยวนเพียงยิ้มตอบและเดินไปหาที่นั่งดอกบัวที่ตรงตามหมายเลขของเขา
เบื้องหน้าของเขาที่ปรากฏอยู่ปัจจุบันเป็น ลานจัตุรัสขนาดมหึมาสุดลูกหูลูกตา กว้างขวางจนเรียกได้ว่ามองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
และในลานจัตุรัสนี้ก็เต็มไปด้วยธารผู้คนมากมาย พินิจจากสายตามีไม่ต่ำกว่าล้านคน
บนป้ายไม้ของเย่หยวนเขียนว่า แนวนอน : 735 แนวตั้ง : 521
เย่หยวนไม่ลังเลพร้อมตรงเข้าเสาะหาที่นั่งดอกบัวหมายเลขดังกล่าวทันที
ที่นั่งดอกบัวมีความกว้างความยาวประมาณหนึ่งฉื่อ กอปรขึ้นด้วยค่ายกลลวงตาเสมือนจริงชนิดหนึ่ง
เย่หยวนนั่งลงบนนั้นและเริ่มขัดสมาธิทันที
“น้องชาย เจ้าถูกคนในตระกูลบังคับให้มาเป็นตัวแถมใช่ไหม?”
ยังไม่ทันได้ฝึกญาณทำสมาธิ จู่ๆก็มีชายหุ่นท้วมที่นั่งข้างๆเอ่ยปากเปิดหัวข้อสนทนากับเย่หยวนทันที
ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามดี เหล่าผู้สมัครหลั่งไหลเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ โดยส่วนใหญ่ทุกคนที่ได้ที่นั่งแล้ว ล้วนเริ่มจับกลุ่มพูดคุยกัน
ได้ยินเสียงของชายท้วมที่นั่งข้างๆเอ่ยถาม เย่หยวนพลันหันมองทันทีอย่างอดมิได้
เห็นได้ชัดว่าชายหุ่นท้วมคนนี้เป็นคนที่มีอัธยาศัยดีเข้ากับผู้คนได้ง่าย มองเย่หยวนปั่นหน้างงอย่าชั่วขณะ ชายหุ่นท้วมกล่าวต่ออย่างยิ้มแย้มว่า
“ข้านามว่าเซี่ยะจิ่งอวี๋จากเมืองเหอผิง เอ่อ…อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไฉนท่านพ่อถึงตั้งชื่อข้าแบบนี้เช่นกัน หากให้ข้าเดา ตอนข้าอยู่ในครรภ์ ท่านพ่อคงคิดว่าได้บุตรสาวกระมัง แหะ…แหะ… จะว่าไปเจ้าชื่ออะไรรึ?”
เย่หยวนลอบขำเล็กน้อยเมื่อได้ยินชายหุ่นท้วมกล่าวแบบนั้น ก่อนกล่าวติบด้วยรอยยิ้มว่า
“ข้านามว่าเย่หยวน”
“ฟังดูดี! ดูดีจริงๆ! เป็นชื่อที่ดูดีมาก ไม่เหมือนกับของข้า! โอ้ใช่แล้ว เจ้าถูกบังคับมาเป็นตัวแถมใช่หรือไม่?”
เซี่ยะจิ่งอวี๋กล่าว
“ตัวแถม?” เย่หยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ถูกต้อง! ข้ามิได้ดูถูกเจ้า แต่ด้วยความแกร่งกล้าของเจ้าไม่เกินสองสามวันแรกก็ตกรอบแล้ว หากมิใช่มาเป็นตัวแถมจะมาเพื่ออันใด?” เซี่ยะจิ่งอวี๋กล่าว
เย่หยวนเพียงยิ้มตอบแต่มิได้เอย่อธิบายใดๆ เซี่ยะจิ่งอวี๋พลางกล่าวกับตัวเองว่า
“เฮ้ออ…แม้ข้าจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าเล็กน้อย แต่เมื่อถึงวันที่ห้าหรือหก ข้าคงตกรอบตามเจ้าไปแน่นอน ข้าขอบอกเลย ใจจริงข้าไม่อยากจะมาเลยสักนิด แต่ตาแก่นั้นดันขู่ข้าว่า หากไม่ยอมมา เขาจะหาหญิงสาวที่หน้าตาน่าเกลียดที่สุดในเมืองเหอผิงมาให้ข้า! สวรรค์ ไม่ฆ่าข้าเลยเสียดีกว่ารึ?”
เย่หยวนตระหนักทีว่า ชายหุ่นท้วมคนนี้คือตัวฮาประจำกลุ่มแน่นอน เข้ากับคนอื่นง่ายนับเป็นมิตรที่ดีคนหนึ่ง
“วันที่ห้าหรือหก? ท่านเป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย ไฉนถึงประเมินตัวเองว่าอยู่ได้ไม่กี่วัน รู้สึกว่ารอบแรกคือ พลังสวรรค์ กระมัง?” เย่หยวนเอ่ยถามอย่างฉงนใจ
…………………………………
ตอนที่ 1364 พลังสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อืม ดูเหมือนเจ้าจะรู้อะไรมาบ้าง แต่นั่นกลับเป็นเพียงเศษส่วนเดียว!”
เซี่ยะจิ่งอวี๋จงใจกล่าวทิ้งท้ายเพื่อทำให้ดูน่าติดตาม
“โปรดชี้แนะ!” เย่หยวนกล่าว
เขาทราบกันดีว่าการทดสอบจะมีทั้งหมดสามรอบคือ พลังสวรรค์,สังหารปฐพีและมายาลวงตา แต่ละด่านมีความสามารถเปี่ยมล้นในการกวาดล้างผู้คนจำนวนมากตกรอบได้ แต่สำหรับรายละเอียดเชิงลึกกลับมิทราบ ไม่ว่าจะเป็นเซียวเฟิ้งหรือหยางรุยก็ตาม โดยมิทราบว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทว่าพวกเขากลับหลีกเลี่ยงที่จะอธิบายในจุดนี้
เย่หยวนตระหนักดีว่า พวกเรามีแรงจูงใจอย่างไรถึงเลือกที่จะทำแบบนี้ ซึ่งเขาเองก็มิได้บังคับเช่นกัน
“ในการทดสอบแต่ละรอบจะสามารถคัดคนนับล้านได้อย่างไร? ตัวกรองชั้นแรกที่ทรงประสิทธิภาพยิ่ง ด่านพลังสวรรค์! คนที่สามารถผ่านรอบนี้ไปได้ล้วนแต่ต้องเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ!”
อันที่จริงแล้ว ผู้ที่มีคุณสมบัติส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการทดสอบ แต่เดิมก็ล้วนเป็นอัจฉริยะอยู่แล้วในโลกภายนอก แต่การทดสอบแรกอย่างด่านพลังสวรรค์ ถูกจัดขึ้นเพื่อคัดกรองและกวาดล้างเหล่าอัจฉริยะที่ด้อยประสิทธิภาพ!
ภายในใจของเย่หยวนปั่นป่วนขึ้นทันควันและกล่าวว่า
“จำนวนผู้ตกรอบนี้มีประมาณเท่าไหร่?”
เซี่ยะจิ่งอวี๋กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มสุดขมขื่นว่า
“มากกว่าเก้าในสิบส่วน! โดยทั่วไปแล้ว หลังเสร็จจากรอบนี้ไป กลุ่มคนที่ผ่านการทดสอบล้วนแต่เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระชั้นปลาย หรือไม่ก็อาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดไปเลย! ส่วนที่เหลืออย่าหวังที่จะผ่านไปได้”
เย่หยวนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ เขาไม่คาดคิดเลยว่า แค่อุปสรรคแรกจะหฤโหดได้ขนาดนี้แล้ว!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชายหุ่นท้วมคนนี้บอกว่า ตัวเขากับเย่หยวนมาที่นี่เพื่อเป็นเพียงตัวแถมเท่านั้น
“เช่นนั้นแล้ว…ท่านจะยอมแพ้หรือไม่?” เย่หยวนเอ่ยถาม
ตะลึงก็ส่วนตะลึง แต่ความแน่วแน่ของเย่หยวนยังคงมั่นคงหนักแน่นเช่นเดิม
สุดท้ายนี้ เขาก็ยังคงมั่นใจอย่างมาก…ว่าตนจะสามารถผ่านด่านแรกไปได้แน่นอน!
ชื่อด่านว่า พลังสวรรค์ ฟังดูอาจจะน่ากลัว แต่อาณาจักรพลังของผู้เข้าร่วมการทดสอบทุกคนจะถูกบีบให้เท่าเทียมกัน แต่นั่นก็ยังมีช่องว่างความแตกต่างบ้างเล็กน้อย
ภายใต้กฎเกณฑ์ในข้อนี้ ในสายตาของเย่หยวนจึงไม่ต่างอะไรกับสนามเด็กเล่นเลย!
ไม่ว่าเมืองหลวงหวู่เมิ่งจะทรงอานุภาพน่ากลัวเพียงใด แต่ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าในวัยเท่านี้โผล่ออกมา
เย่หยวนที่ได้ดูดซับเต๋าจากหุบเขาถงเทียนจำลองมาโดยตรง ลืมยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าไปได้เลย ต่อให้เป็นยอดเซียนอาณาจักรเทพถ่องแท้ ในแง่ของความล้ำลึกของเต๋า เขาเองก็ไม่ลังเลที่จะเทียบเคียงเช่นกัน
ดังนั้นแล้ว นี่คือความมั่นใจที่สุดที่เขายึดเหนี่ยวไว้!
เว้นเสียแต่ว่า เย่หยวนจะพยายามฝ่าฟันด้วยตนเองเสียก่อน หากเกิดเหตุอันใดที่ทำให้เขาตกสู่สถานการณ์จนมุมจริงๆ ยามนั้นค่อยเรียกใช้ขุมพลังของหุบเขาถงเทียนจำลองก็ยังไม่สาย
หากเขาไม่สามารถเอาชนะมันได้ด้วยตนเอง คงจำเป็นต้องโกง
เพราะเย่หยวนทราบดี หากเขาตกรอบในครั้งนี้ จะไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว
เย่หยวรรู้สึกได้ว่าชายหุ่นท่วมคนนี้ค่อนข้างเป็นมิตรและน่าสนใจยิ่ง จึงเป็นเหตุให้เอ่ยถามแบบนี้ขึ้นมา
“แน่นอนว่าข้าไม่คิดที่จะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม แต่แม้ความแข็งแกร่งของข้าจะสูงกว่าเจ้าเล็กน้อย ทว่าโอกาสผ่านเข้ารอบกลับแทบไม่มีในท้ายที่สุด อย่างไรก็ตาม…ข้าจะพยายามให้ถึงที่สุด!”
เซี่ยะจิ่งอวี๋กล่าวขึ้นอย่างไม่ท้อถอย
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ด่านพลังสวรรค์มีการจำกัดอาณาจักรพลังเอาไว้ แต่นี่ก็มิได้หมายความว่าทุกคนจะเท่าเทียมกันโดยสมบูรณ์ หากผู้ใดไร้ซึ่งความมุ่งมั่นคิดประมาทกลับพ่ายลงโดยง่ายเช่นกัน! ข้าคิดว่าจุดประสงค์ที่สถานศึกษาหวูเมิ่งสร้างด่านทดสอบนี้ขึ้นมา กลับมิได้เฟ้นหาแค่คนเก่ง แต่ต้องการคนที่ไม่ย้อท้อต่อความสิ้นหวัง! เพราะผู้เข้าร่วมทดสอบโดยส่วนใหญ่กลัวตายและพ่ายแพ้ จึงไม่กล้าทุ่มพลังท้าทายสวรรค์ นี่เป็นสาเหตุหลักที่พวกเขาถูกกำจัดทิ้งไป มิฉะนั้นด่านนี้จะมีชื่อว่า พลังสวรรค์ได้อย่างไร?”
เซี่ยะจิ่งอวี๋จับจ้องไปที่เย่หยวนด้วยความประหลาดใจ ร่องรอยสีหน้าของความสิ้นหวังค่อยๆจางหายไป เขาไม่คิดเลยว่า คำกล่าวเหล่านี้จะออกมาจากปากของเย่หยวนจริงๆ
เยาวชนน้อยคนนี้มีอาณาจักรพลังต่ำกว่าของเขา แต่กลับรับรู้และเข้าใจได้ถึงอะไรบางอย่าง!
“สิ่งที่เจ้ากล่าวไปล้วนถูกต้องแล้ว! ข้าจะไม่ยอมแพ้! และไม่คิดเช่นนั้นอีกแล้ว! ข้าจะพิสูจน์ให้ซิ่วเอ๋อเห็นว่า ข้าผู้นี้คือสุภาพบุรุษที่แท้จริง!”
เซี่ยะจิ่งอวี๋กล่าวขึ้นพร้อมเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นที่ลุกโชกช่วง
ได้ฟังปณิธานเช่นนี้ เล่นเอาเย่หยวนเสียศูนย์ชั่วขณะ มิทราบจะร้องไห้หรือเสียใจดี
ในเวลานั้นเอง ชายชราผู้หนึ่งเดินขึ้นเวทีให้หน้าลานจัตุรัสกว้าง พร้อมตะโกนเสียงดังฟังชัดออกมาหนึ่ง
“เงียบ!”
เสียงนี้ช่างทรงพลังประดุจสายฟ้าฟาด ทำเอาผู้คนนับล้านในจัตุรัสสงบปากสงบคำในทันใด
“การทดสอบรอบที่หนึ่ง พลังสวรรค์ กำลังจะเริ่มแล้ว รอบนี้คือการทดสอบศาสตร์แห่งการต่อสู้ของพวกเจ้า! พลังสวรรค์จะหลั่งไหลเข้าสู่กายผ่านที่นั่งดอกบัว หากใครไม่สามารถทนนั่งได้ไหวก็จงบีบป้ายไม้ในมือเจ้าให้แตก และเจ้าจะถูกส่งกลับไปยังที่เจ้ามาทันที แน่นอนหากฝืนเกินกำลังอาจทำให้ตายได้เช่นกัน! อาณาจักรพลังจะถูกจำกัดอยู่ในค่าเฉลี่ย พลังสวรรค์จะคงอยู่ในร่ายกายเจ้าเป็นเวลาสามสิบวันโดยไม่มีหยุดพัก นอกจากนี้ยิ่งเวลาผ่านไปพลังสวรรค์จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ! เอาล่ะ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน หากใครคิดว่าตนเองไม่ไหวแน่นอนก็จงบีบป้ายไม้ได้เลยในตอนนี้! มิฉะนั้น…อาจถึงตาย!”
คำกล่าวของชายชราผู้นี้คล้ายค้อนยักษ์หนักพันล้านตันทุบเข้าใส่กลางใจของทุกคน
โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย คำเสียงเน้นหนักยิ่งบีบคั้นหัวใจผู้คนจนแทบหายใจไม่ออก
พลังสวรรค์จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเมื่อนานวันเข้า หากใครฝืนเกินกำลัง จนไม่สามารถทนทานต่อพลังสวรรค์ได้ไหว นั้นอาจทำให้ถึงตายได้เลย
ดังนั้นทุกคำพูดของชายชราผู้นี้จึงมิได้เกินจริงแต่อย่างใด
พลังสวรรค์ที่ว่าทรงอนุภาพเทียบเคียงกับอาณาจักรราชันพระเจ้า การจะกำจัดนักสู้ระดับต่ำเหล่านี้ด้วยร่องรอยพลังเพียงเล็กน้อย ช่างง่ายดายแค่พลิกฝ่ามือเดียว
“รอบพลังสวรรค์เริ่มต้นนับบัดนี้!”
ทันทีที่เสียงของชายชราผู้นั้นสิ้นสุดลง ขุมพลังมากปริมาณมหาศาลก็พวยพุ่งเข้าสู่กายาของทุกคนในจัตุรัสดั่งน้ำป่าไหลบ่า
ความรู้สึกเจ็บปวดโฉบแล่นผ่านทั่วกายา ดั่งถูกกระแสน้ำเดือดระอุกัดเซาะอย่างบ้าคลั่ง
กระนั้นเองกระแสน้ำเดือดในคราเริ่มแรกมิได้กล้าแกร่งอะไรมากนัก นอกเหนือจากผู้เข้าร่วมการทดสอบที่มีอาณาจักรพลังต่ำ ที่เหลือกลับสามารถรับมือได้อย่างสบายๆ
เพียงว่ากระแสน้ำเดือดนี้ยังคงโคจรไหลเวียนต่อเนื่องไม่หยุด ความน่ากลัวกลับหาใช่ชั่วขณะ แต่เป็นเช่นนี้และทวีความรุนแรงมากขึ้นตลอดจนวันที่สามสิบ
ความรู้สึกชนิดนี้คล้ายกับการถือกระเป๋า ช่วงต้นอาจยังไม่รู้สึกหนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่เพียงน้ำหนักของมันจะเพิ่มขึ้น แต่ด้วยความอ่อนล้าสะสม นี่กลับยิ่งทวีความทรมาน
เวลาเพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม ก็เริ่มมีใครหลายคนไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไป
เกณฑ์การเข้าทดสอบมีไม่กี่ข้อ หนึ่งคืออายุต้องไม่เกินสองร้อยปี และสองต้องเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นขึ้นไป ซึ่งผู้เข้าร่วมการทดสอบโดยส่วนมากล้วนเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นกันทั้งสิ้น
บางคนเพิ่งอายุร้อยปีต้นๆ จุดประสงค์เพื่อมาทดลองเสี่ยงโชค สร้างประสบการณ์ประดับชั่วชีวิต
คนเหล่านี้ยังมีโอกาสที่สองให้แก้ตัวได้ในการทดสอบครั้งต่อไป
ร้อยปีถัดไป ความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมพัฒนาขึ้นไม่มากก็น้อย
“พร๊วดดด!”
“พร๊วดดด!”
“พร๊วดดด!”
…
ณ ลานจัตุรัส มีผู้คนกระอึกพ่นเลือดออกมาต่อเนื่องไม่หยุด ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะอันตรธานหายวับไปในเวลาต่อมา
เย่หยวนยังคงนั่งนิ่งอยู่บนที่นั่งดอกบัวโดยหาได้ไหวติงใดๆไม่
แม้เขาจะมิได้หยิบยืมขุมพลังจากหุบเขาถงเทียนจำลองมาใช้ แต่พลังสวรรค์เพียงแค่นี้กลับไม่สามารถทำอะไรเย่หยวนได้เลย
ตลอดเส้นทางชีวิตที่เย่หยวนประสบพบเจอมา เขาผ่านความเป็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
หากมองข้ามเส้นทางการผจญภัยที่ผ่านมาในดินแดนพฤกษานิรันดร์ แค่เพียงเผชิญหน้ากับห้วงอวกาศสุดบ้าคลั่งนั้น มันก็หาใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะจินตนาการได้แล้ว
พลังสวรรค์ที่ใช้สำหรับทดสอบเหล่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้า ไม่มีทางทรงพลังอะไรขนาดนั้นได้เลย
เย่หยวนประเมินตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว ในแง่ของประสบการณ์ เย่หยวนมิได้ด้อยไปกว่าอัจฉริยะพวกนี้เลย!
วันเวลาค่อยๆเลยผ่าน ประเดิมชั่วยามแรกของวันที่สอง พลังสวรรค์ที่ไหลเวียนทั่วร่างกายของทุน จู่ๆ ก็ทวีความแกร่งกร้าวดุร้ายขึ้นกะทันหัน
ภายใต้ผลกระทบในครั้งนี้ เสมือนคลื่นความโกลาหลขนาดยักษ์ถาโถมเข้าใส่กลางจัตุรัสทันที
อีกหลายพันหมื่นร่างอันตรธานหายไปในพริบตาต่อมา
อย่างไรก็ตาม นี่กลับเป็นเพียงกลเด็กเช่นในสายตาเย่หยวน
คลื่นความโกลาหลนี้ยังกระหน่ำซ้ำ กวาดล้างเหล่าผู้เข้าทดสอบอย่างต่อเนื่องจวบจนวันที่ห้าและหก!
ห้าวันแรกของการทดสอบ ก็มีผู้ตกรอบมากถึงสองแสนคนแล้ว!
ส่วนสีหน้าของคนที่ยังเหลือรอดกลับเริ่มไม่ค่อยสู้ดีนัก ยามนี้หาได้สบายๆดั่งวันแรก
วันที่หกมาถึง เม็ดเหงื่อชโลมชุ่มทั่วทั้งหน้าผากของเซี่ยะจิ่งอวี๋มากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด เพียงวันที่ห้าหรือหกมันก็ถึงขีดกำจัดของเขาแล้ว
“ลองหวนนึกถึงให้ดี! เหตุใดท่านถึงอยากแข็งแกร่ง! จงยึดมั่นสลักจำในสาเหตุนั้นไว้ อุปสรรคแค่นี้ ท่านกลับยอมแพ้แล้วรึ?”
ทันใดนั้นเองกลับมีสุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูของเซี่ยะจิ่งอวี๋
เมื่อเขาเหลือบมองไปทางต้นเสียง ปรากฏว่ามันคือเสียงของเย่หยวน
เสียงนี้ของเย่หยวนเปรียบเสมือนกับระฆังเตือนใจเข้าปลอบโยนจิตใจของเซี่ยะจิ่งอวี๋ ความตึงเครียดและกดดันก่อนหน้าพลันคลายอ่อนลงในทันใด
อิสตรีผู้งดงามนามซิ่วเอ๋อผุดขึ้นที่กลางใจของเขา
…………………………………
ตอนที่ 1365 เสียงคำรามของเจ้าท้วม
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยามที่คนๆ หนึ่งมาถึงขีดจำกัด มักยากยิ่งที่จะรวบรวมสมาธิกลับมาอีกครั้ง
ก่อนหน้า ความมุ่งมั่นของเซี่ยะจิ่งอวี๋ถูกลดทอนลงต่อเนื่องจนสับสนไปหมดภายใต้การกัดกร่อนของพลังสวรรค์ในกายา แล้วเขาจะนึกถึงซิ่วเอ๋อได้อย่างไร?
คำกล่าวของเย่หยวนคล้ายกลองยามเย็นและระฆังย้ำใจ ปลุกจิตวิญญาณที่หลับใหลอยู่ของเซี่ยะจิ่งอวี๋ขึ้นมา
แรงกัดกร่อนของพลังสวรรค์คล้ายกับการวิ่ง เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาที่รู้สึกถึงขีดจำกัดเกินจะทานทนไหว ท่านจะพบว่าสุดท้ายนี้ก็ยังสามารถวิ่งต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม ภายใต้พลังสวรรค์อันรุนแรงขนาดนี้ เซี่ยะจิ่งอวี๋ก็ไม่กล้าประมาทผลีผลามเช่นกัน
เขามุ่งสมาธิทั้งหมดไปที่สิ่งยึดเหนียวจิตใจและยังคงเชื่อมั่นใจสิ่งนั้นอยู่เสมอ ยามที่ตนรู้สึกถึงขีดจำกัดอีกครั้ง
เพียงว่าเขาแอบตกใจมิได้เลยเมื่อเย่หยวนยังสามารถสงบนิ่งอยู่ได้จวบจนตอนนี้!
เขาคิดว่า เย่หยวนถูกกำจัดออกไปนานแล้ว
ท้ายที่สุดนี้ ถึงคำพูดจพฟังดูดี แต่นั้นมิอาจแสดงให้เห็นถึงความแกร่งกล้าที่แท้จริง
ทว่าเมื่อครู่ฟังจากน้ำเสียง นี่เห็นได้ชัดว่า ไม่เพียงเย่หยวนจะเหลือเรี่ยวแรงมาพูด แต่เรียกได้ว่าสติสตังยังคงครบบรรจบดี
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นได้ชัด พลังสวรรค์เพียงระดับนี้กลับไม่เป็นผลอันใดต่อเย่หยวนเลย!
ชายหนุ่มคนนี้เป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางจริงๆน่ะรึ?
แม้จะมีการจำกัดอาณาจักรพลังเอาไว้ ความแตกต่างในเรื่องนี้จึงไม่มีผลมากนัก ทว่าอย่าลืมไปเสียอาณาจักรพลังที่สูงกว่าสามารถบ่งบอกได้ถึงแนวคิดและความมุ่งมั่นที่สูงกว่าได้เช่นกัน
การทดสอบในครั้งอดีตที่ผ่านมา มิใช่ว่าไม่เคยมีเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางเคยผ่านเข้ารอบแรก แต่จำนวนเหล่านั้นกลับน้อยราวกับขนของวิหกเพลิงอมตะ
ประมาณหนึ่งพันปีถึงจะพบเห็นได้สักคน
เซี่ยะจิ่งอวี๋มิกล้าคิดเรื่องของคนอื่นไปมากกว่านี้แล้ว ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาค่อยๆถูกกัดเซาะนานเข้าเรื่อยๆ หากไม่เร่งรวบรวมสมาธิให้ดีเกรงว่าอาจพลาดท่าไปโดยง่าย
บนเวทีเบื้องหน้าจัตุรัส สองชายชราผู้เป็นประธานในการทดสอบกำลังสนทนาพูดคุยกันในบางเรื่องอยู่
“ไม่รู้เลยว่าท่านเจ้าเมืองคิดอะไรอยู่ ถึงอนุญาตให้อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น กับชั้นกลางเข้าร่วมการทดสอบได้ มีปริมาณมากแต่ไร้คุณภาพก็เปล่าประโยชน์!”
“นักสู้ระดับต่ำที่สามารถทานทนต่อพลังสวรรค์ได้ นี่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้า สิ่งนี้เป็นตัวการันตีความสำเร็จในอนาคตของพวกเขา บางทีความสำเร็จของเด็กเหล่านี้อาจล้ำหน้าไปไกลกว่าคนรุ่นเราก็เป็นได้!”
“เรื่องนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากมองในภาพรวม เราต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรปริมาณมหาศาลยิ่งในแต่ละครั้ง มีเพชรในหมู่โคลนตมก็จริง แต่สิ่งที่เราออกเงินลงทุนไปกลับคุ้มแล้วจริงรึ?”
“ในเมื่อท่านเจ้าเมืองคิดว่าคุ้มค่า แล้วจะคิดมากให้หนักเศียรเพื่ออันใด?”
สองชายชราเหล่านี้พบเจอเหล่าอัจฉริยะมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นักสู้อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นและชั้นกลางทั่วไปกลับไม่มีคุณสมบัติให้ทั้งคู่เหลียวมองได้เลย
ต่อให้มีเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นและชั้นกลางผ่านไปได้ แต่ถึงแม้พวกเขาจะมีศักยภาพซ่อนอยู่ภายในตัว ทว่าหากไม่สามารถนำออกมาใช้ได้เต็มที่ นั้นก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
คนที่มีทั้งศักยภาพและตระหนักรู้ถึงศักยภาพนั้นดีกลับมีน้อยกว่าที่คิด
แต่ละวันที่เลยผ่าน ผู้คนในลานจัตรัสก็ลดจำนวนลงเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการกำจัดผู้คนทิ้งก็ช้าลงเช่นกัน
เมื่อผู้ทดสอบสามารถฝ่าฟันอาทิตย์แรกๆมาได้ ความมุ่งมั่นของพวกเขากลับเป็นอะไรที่แกร่งกล้ามากขึ้น การให้พวกเขายกธงยอมแพ้ในเวลานี้กลับเป็นเรื่องยากมาก!
“อ๊ากกก!!”
ทันใดนั้นเอง ใครบางคนเริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป เสียงกรีดร้องดังลั่นกังวานทั่วจัตุรัสสุดเวทนายิ่ง
ทว่าคนนี้ค่อนข้างแตกต่างจากครั้งก่อนๆ เขาอาเจียนเป็นเลือดอย่างบ้าคลั่ง เสียงกรีดร้องคร่ำครวญดูสยดสยองมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าซีดขาวหนักแต่ก็ยังอาเจียนต่อเนื่องไม่หยุดเสียที
ในท้ายที่สุดนี้ เขาก็หยุดหายใจลงไปทั้งแบบนั้น
เหตุพลิกผันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน ทำให้พวกเขาประหลาดใจอย่างมาก
ยามนี้ความตึงเครียดของทุกคนล้นปรี่เจียนสติแตก เห็นคนตายต่อหน้าต่อตาพลันเกิดอาหารหวาดกลัวฉับพลัน บางคนถึงขั้นบีบป้ายไม้แตกคามือในอึดใจต่อมา
จำนวนคนอีกกลุ่มใหญ่อันตรธานหายไปในพริบตา!
การทดสอบรอบพลังสวรรค์นี้มิได้แยกผู้ทดสอบออกจากสัมผัสทั้งห้า ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในจัตุรัสล้วนมองเห็นและได้ยิน
ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ทันที สิ่งที่ชายชรากล่าวเตือนก่อนหน้ากลับหาได้เกินจริงไม่!
มีคนตายจากการทดสอบจริงๆ!
ณ ปัจจุบัน วันที่ยี่สิบสาม จิตวิญญาณที่ลุกโชกช่วงของเซี่ยะจิ่งอวี๋แทบแตกสลายเป็นเสี่ยงๆแล้ว
ทันทีที่เห็นเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นตรงหน้า เขาพลันกระชับป้ายไม้กำแน่นในมือโดยมิรู้ตัว ความอดทนในขณะนี้ของเขาได้มาถึงขีดสุดแล้ว
“ไม่ไหว! ข้าไม่ไหวแล้ว! หากฝืนต่อไปข้าได้ตายเหมือนคนนั้นแน่! สามารถยืนหยัดได้ถึงขนาดนี้นับว่าน่าภูมิใจยิ่งแล้ว!”
วาจาประโยคนี้ยังคงสะท้อนกึงก้องอยู่ในใจจของเซี่ยะจิ่งอวี๋ไม่เสื่อมคลาย
“จะยอมแพ้ตรงนี้? ท่านเพียงกำลังหาเหตุผลรองรับความล้มเหลวเท่านั้น! น่าประทับใจมากนักรึที่ต้องตกม้าตายตรงนี้ เหลืออีกแค่เจ็ดวันเท่านั้น! หากผ่านไปได้ ท่านคือสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง! หรือจะหลงงมงายกับคำปลอบใจปลอมๆต่อไป? เช่นนั้นท่านก็สมควรเป็นสตรีเพศดั่งชื่อแล้วกระมัง?”
ในขณะที่เซี่ยะจิ่งอวี๋กำลังจะบีบป้ายไม้ในมือให้แตก ทันใดนั้นเสียงของเย่หยวนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เซี่ยะจิ่งอวี๋ได้ยินแบบนั้นพลันสุดุเงเฮือกและตะโกนลั่นสวนตอบทันที
“บิดาเจ้าเถอะ! ข้ามิใช่สตรีเพศ! ข้า,เซี่ยะจิ่งอวี๋คือสุภาพบุรุษผู้ยืดหยัดและกล้าหาญ! อีกแค่เจ็ดวันเองมิใช่รึ? เช่นนั้นข้าจักแสดงให้เจ้าเห็นเองว่า ข้าแข็งแกร่งเพียงใด! อาซิ่ว,จงดูข้าเอาไว้ ข้านี่แหละยอดชายเหนือบุรุษ!”
เสียงคำรามของชายท้วมผู้นี้ดังสนั่นไปทั่วทั้งชานจัตุรัสกว้าง
ทุกคนพลันได้ยินแบบนั้นต่างเหลียวหลังหันมอง มุ่งความสนใจเข้าใส่ทันทีอย่างอดมิได้ ได้ฟังเสียงโหยร้องคล้ายปลุกกระตุ้นจิตวิญญาณพวกเขาได้ก็จริง ทว่าท้ายที่สุดหลายต่อหลายคนกลับมาถึงขีดกำจัดแล้ว ไม่สามารถอดทนอดกลั้นได้อีกต่อไป พวกเขาบีบป้ายไม้แหลกคามือทีละคนสองคนหาบวับไป
แม้กระทั่งเย่หยวนเองก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน
แต่โชคยังดี จากประสบการณ์เป็นตายมากมายที่เคยประสบ เขายังลูกฮึดตระเตรียมไว้อีกเยอะ ถึงทรมานเพียงใด แต่ยังไม่หยุดหายใจก็นับว่าสบายดีอยู่
อย่างไรก็ตาม เสียงตะโกนของเซี่ยะจิ่งอวี๋ ทำเอาสองชายชราบนเวทีสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจจนอดเหลียวมองมิได้เช่นกัน
“เอ๊ะ? เจ้าเด็กร่างท้วมนั้น เห็นว่ามิทันไรก็ทนไม่ไหวแล้วตั้งแต่วันแรกๆ เหลือเชื่อโดยแท้ที่ยังทนอยู่ได้จวบจนตอนนี้”
“ฟู่วว…นี่มันมาถูกต้อง!”
“หื้ม? ก็ปกติดีมิใช่รึ? เขาเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย หากตัดความใจเสาะออกไป ก็ควรทนได้จนบัดนี้น่ะถูกแล้ว!”
“ข้ามิได้หมายถึงเขา! ลองดูเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆสิ! น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
“ห่ะ? อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง? ข้า…ข้ามิได้ตาฟาดไปใช่ไหม? อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางยังสามารถทนได้จวบจนตอนนี้? น้อยครั้งจริงๆที่ได้เห็น!”
“ไม่ใช่แค่นั้น! เจ้าสังเกตเห็นสีหน้าการแสดงออกของเขาหรือไม่? สีหน้ายังคงสงบเยือกเย็น ราวกับพลังสวรรค์นี้กลับไม่มีผลอะไรกับเขาเลย!”
“เหลือ…เหลือเชื่อ! แม้นในอดีตจะเคยพบเห็นอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางเหลือรอดจนถึงบัดนี้อยู่บ้าง แต่ไม่เคยมีใครที่จะสงบเยือกเย็นเฉกเช่นเด็กคนนี้มาก่อน!”
“นอกจากนี้เจ้าเห็นหรือไม่? บริเวณใกล้ๆสองคนนั้นกลับเหลือคนไม่มากแล้ว เมื่อครู่ก่อนที่เจ้าเด็กร่างท้วมตะโกนลั่นออกมา คล้ายว่าเขากำลังสนทนากับใครบางคนอยู่! หรือเป็นไปได้ไหมที่…เด็กหนุ่มคนนั้นที่อยู่ข้างๆจะเป็นคนกล่าวกระตุ้นจิตวิญญาณของอีกฝ่ายลุกโชนอีกครั้ง?”
ทั้งสองสบตากันไปมา ต่างฝ่ายต่างฉายแววความประหลาดใจออกมาอย่างปกปิดไม่อยู่
เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางสามารถรับมือได้กับพลังสวรรค์ในวันที่ยี่สิบสามได้อย่างสบายๆ ถึงขั้นที่ว่ามีเวลามากพอมากล่าวกระตุ้นคนอื่นให้อย่ายอมแพ้ได้!
ความมุ่งมั่นระดับนี้น่ากลัวเกินไป!
แต่เริ่มเดิมทียังมีผู้เข้าร่วมทดสอบเหลือประมาณหลายหมื่นคนเห็นจะได้ ดังนั้นชายชราทั้งสองจจึงมิทันสังเกตเห็นเย่หยวนกับเซี่ยะจิ่งอวี๋
อย่างไรก็ตาม เพราะเสียงตะโกนของเซี่ยะจิ่งอวี๋ จึงสามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้เป็นผลสำเร็จ
มิใช่แค่สองชายชราหรือผู้เข้าร่วมการทดสอบที่เหลือ แม้แต่เหล่าศิษย์ของสถานศึกษาที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลการทดสอบ ต่างมุ่งความสนใจมาที่เซี่ยะจิ่งอวี๋เช่นกัน
ทันใดนั้นเอง ศิษย์คนนั้นที่เป็นคนแจกป้ายไม้ให้เย่หยวนพลันเหลียวพบเย่หยวนโดยมิตั้งใจ แต่นั้นทำเอาเขาจ้องเขม็งมองเย่หยวนไม่ละสายตา ทั่วทั้งใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึงเกินพรรณนา
“เป็นอะไรไปเจียนเฉิน? ตกใจราวกับสมบัติมีชีวิตจิตใจขึ้นมา? เจ้าอ้วนท้วมคนนั้นแม้จะมิได้แข็งแกร่งอันใดนัก แต่ทนอยู่ได้จนถึงขนาดนี้กลับมิใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ”
ยังมีศิษย์อีกคนที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของเจียนเฉินเปลี่ยนไป เขาก็อดเอ่ยถามมิได้
พวกเขาสองคนนี้ต่างเป็นศิษย์ชั้นในด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งนามว่าเจียนเฉิน ส่วนอีกคนซ่งฟาง ทั้งสองคือศิษย์ค่ายปฐพี
เจียนเฉินเหลือบมองเขาปราดหนึ่งก่อนกล่าวว่า
“อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายยังสามารถทนอยู่ได้จวบจนตอนนี้หาใช่เรื่องแปลกอันใด ทว่าอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางที่ยังรอดชีวิตจนบัดนี้ได้ ต่างทำให้ผู้คนตกตะลึงอย่างแท้จริง! เจ้าเห็นเด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้างๆหรือไม่ นั้นแหละเป็นคนที่ข้าบอก ตอนที่ข้าแจกป้ายไม้ให้เขา เขาดันเรียกข้าว่าศิษย์พี่อาวุโส ตอนนั้นข้านี่แหละดูถูกเด็กคนนี้สุดหัวใจ! แต่ไม่คิดไม่ฝันแม้สักนิด เขายังทนอยู่ได้จนถึงตอนนี้จริงๆ!”
ทีแรกซ่งฟางยังไม่ทันสังเกตเห็น ยามนี้ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยอธิบาย คู่สายตาพลันเข้าจับจ้องไปที่เย่หยวนทันทีอย่างอดประหลาดใจมิได้เช่นกัน
“เดี๋ยวก่อน! ข้ามิยักรู้ว่าเจ้าเองก็เคยสายตาฝ้าฟางขนาดนี้! พินิจจากรูปการณ์เขายังดูสบายๆหาได้ทรมานเหมือนคนอื่นไม่ รอบพลังสวรรค์ไม่สามารถเขี่ยเด็กคนนี้ตกรอบได้แน่! แต่ข้าเองก็ไม่มั่นใจนักว่าเขาจะได้กี่แต้ม”
ซ่งฟางกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น