Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1357-1361
ตอนที่1357 เตะชนแผ่นเหล็ก
ชายชราผู้นั้นพลันย่นคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้จักหวังซ่ง
“เจ้าคงเป็นศิษย์ของสถานศึกษาหวูเมิ่งกระมัง?”
ชายชราผู้นั้นเอ่ยถามอย่างสงสัย
หวังซ่งเร่งโค้งคำนับทันที น้ำเสียงดูอ่อนลงฉับพลันและกล่าวขึ้นอย่างสุภาพว่า
“ศิษย์หวังซ่ง สมาชิกตระกูลหวังแห่งเมืองหมิงหยาง เป็นศิษย์สังกัดปฐพีชั้นใน ครั้นหนึ่งเคยโชคดีได้เข้าศึกษาวิชาหลอมกลั่นโอสถของท่านอาจารย์เซียวมาก่อน”
ชายชราพลันนึกขึ้นได้เมื่อได้ฟังความเป็นมาและกล่าวว่า
“โอ้ เป็นเช่นนี้นี่เอง พินิจจากรูปการณ์ยามนี้คงอยู่ระหว่างการออกมาปฏิบัติภารกิจภายนอกกระมัง? แต่ไฉนถึงมีเรื่องขัดแย้งกับหอมหาสมบัติได้?”
หวังซ่งอดตื่นตระหนกมิได้เมื่อได้ยิน ก่อนเร่งอธิบายให้พร้อมชี้นิ้วไปทางเย่หยวนว่า
“ท่านอาจารย์อย่าเข้าใจผิดไป ศิษย์คนนี้มิได้เจตนาขัดแย้งกับหอมหาสมบัติ แต่ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มันฆ่าน้องชายของศิษย์ไป ข้ามาเพื่อล้างแค้นแทนน้องผู้ล่วงลับ! ที่สำคัญเลยก็คือ ไอ้เด็กเหลือขอตัวนี้เป็นแค่อาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ จึงไม่นับเป็นคนของมหาสมับิตแต่อย่างใด…”
ปรากฏว่า ชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขากลับมิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก เซียวเฟิ้ง,หัวหน้านักหลอมโอสถแห่งหอมหาสมบัติสาขาเมืองหลวงหวูเมิ่ง!
เขาคือเซียวเฟิ้งที่ออกเดินทางไกลเพื่อมาหาเย่หยวน!
การที่จู่ๆหวังซ่งก็วิ่งตรงเข้ามาหาเรื่องหอมหาสมบัติเพื่อฆ่าคนโดยเฉพาะ ยามนี้เห็นบุคคลระดับสูงของหอมหาสมบัติมา จะมิให้เราเร่งรีบกล่าวอธิบายได้อย่างไร?
สถานะของเซียวเฟิ้งผู้นี้ภายในเมืองหลวงหวูเมิ่งสูงส่งเกินไป แม้แต่สถานศึกษาหวูเมิ่งยังต้องให้เกียรติเขา มาเป็นอาจารย์รับเชิญเพื่อมาสอนสั่งเป็นบางโอกาส
ภาพที่ออกมานับเป็นที่ชัดเจนยิ่ง หวังซ่งมาที่นี่เพื่อก่อปัญหาในหอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉาง แต่กลับไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอบุคคลระดับสูงขนาดนี้!
หวังซ่งที่กล่าวอธิบายไปดังนั้น ทว่าสีหน้าการแสดงออกของเซียวเฟิ้งยามนี้กลับไม่สู้นักเท่าไหร่นัก ถึงนี่จะดูคล้ายกับคำแก้ตัวเกินไป แต่เขาก็ยังแอบดีใจอยู่เล็กๆ
หวังซ่งเชื่ออย่างยิ่งว่า ในฐานะที่เป็นอาจารย์ย่อมเข้าข้างลูกศิษย์อยู่แล้ว!
“เด็กคนนั้นนามว่าเย่หยวน?”
เซียวเฟิ้งกล่าวขึ้นสีหน้าเคร่งขรึม
หวังซ่งที่ได้ท่าทีของเซียวเฟิ้งเปลี่ยนไปพลันหลงดีใจหนัก เขารีบพยักหน้าและกล่าวขึ้นอย่างเกลียดชังขึ้นทันที
“ถูกต้องแล้วท่าน ไอ้เด็กเหลือขอนี่แหละ เย่หยวน!”
ท่าทางการแสดงออกของเซียวเฟิ้งแปรเปลี่ยนอีกระลอก และหาได้สนใจหวังซ่งอีกต่อไป เขารีบตรงเข้ามาหาเย่หยวนและโพล่งกล่าวขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า
“โอ้ เจ้าคือเย่หยวนงั้นรึ? เราชายชราขอเรียกว่าน้องเล็กเย่ได้หรือไม่?”
ทุกคนถึงกับตะลึงงัน!
เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขออนุญาตเรียกเย่หยวนว่า น้องเล็กเย่?
คนที่ตื่นตกใจที่สุดกลับมิใช่ใครอื่นนอกจากหวังซ่ง!
คนอื่นๆกลับไม่รู้จักเซียวเฟิ้งมาเป็นใครมาจากไหน แต่หวังซ่งกลับตระหนักถึงสภานะศักดิ์อันสูงส่งของชายชราผู้นี้ดีเยี่ยม!
แม้แต่ท่านเจ้าเมืองหลวงหวูเมิ่งยังต้องให้ความเกรงใจต่อเขาผู้นี้!
ภายในเมืองหลวงหวูเมิ่ง การจะหาเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ากลับมิใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเลย
ทว่าหากเป็นจุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถสามดาว ภายในเมืองหวูเมิ่งกลับมีน้อยจนนับนิ้วได้!
กระทั่งหวังซ่งยังต้องนับถือในฐานท่านอาจารย์เหนือหัวเช่นกัน
แต่ท่านอาจารย์เหนือหัวผู้นี้ กลับกำลังขออนุญาตเรียกเย่หยวนว่าน้องเล็กเย่!
นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไป!
นอกจากนี้ น้ำเสียงของเซียวเฟิ้งที่กล่าวกับเย่หยวนยังแฝงไปด้วย..ความเคารพต่ออีกฝ่าย!
เซียวเฟิ้งผู้นี้กำลังลดศีรษะให้แก่เย่หยวนจริงๆ!
แน่นอนว่าเย่หยวนไม่เคยรู้จักกับเซียวเฟิ้งมาก่อน และชายชราผู้นี้ก็มิอาจหยั่งรู้ได้เลยเช่นกัน ยามได้ยินคำถามของอีกฝ่าย เขาเร่งผสานมือตอบกลับคงรักษากิริยาสุภาพไว้ว่า
“เกรงใจผู้อาวุโสแล้ว ผู้เยาว์ขอสอบถามเล็กน้อยได้หรือไม่ ท่านคงเป็นจอมเทพโอสถสามดาวที่หอมหาสมบัติส่งมา?”
เซียวเฟิ้งชะงักตกใจเล็กน้อยและกล่าวตอบว่า
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเราชายชรากำลังเดินทางมาหา? เรียกเราชายชราว่าเซียวเฟิ้งเถิด เป็นหัวหน้านักหลอมโอสถแห่งหอมหาสมบัติ อืมม…แล้วก็ยังเป็นอาจารย์รับเชิญของสถานศึกษาหวูเมิ่งอีกด้วย”
แลเห็นเย่หยวนจับจ้องไปที่หวังซ่งสลับกับตัวเขา เซียวเฟิ้งนึกเข้าใจได้จึงกล่าวอธิบายเสริมเติมต่อลงไป
แค่แรกพบก็ทำให้เขาประหลาดใจได้แล้ว ปฏิกิริยาท่าทางของเย่หยวนกลับดูสงบยิ่งเกินวัย ดูไม่แปลกใจอะไรแม้แต่น้อย ราวกับว่าเด็กคนนี้อ่านสถานการณ์ได้ขาด ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หมดแล้ว
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยและผสานมือกล่าวต่อว่า
“ท่านพกโอสถฟื้นฟูติดตัวมาบ้างหรือไม่?”
เซียวเฟิ้งตัวแข็งทื่อในทันใดเมื่อได้ฟัง แต่เมื่อเห็นหยางรุยที่นอนกองกับพื้นเจ็บหนักอยู่เบื้องหลัง เขาก็เข้าใจสถานการณ์ได้ทันทีและหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมาให้เย่หยวนโดยไม่ลังเล
“หากเป็นฤทธิ์โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม เกรงว่าร่างกายของเขาไม่สามารถต้านทานได้ไหวเป็นแน่ ข้ามีโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองชั้นสูงอยู่เม็ดหนึ่ง แต่ฤทธิ์ยังคงรุนแรงเกินไป ควรแบ่งกินไปก่อนสักครึ่งเม็ด ประสิทธิภาพโอสถที่ข้าหลอมกลั่นอาจไม่ดีนัก น้องเล็กเย่โปรดอย่าถือสา”
ยิ่งตอนท้ายประโยค เมื่อทุกคนได้ยินต่างตกใจจนลูกตาแถบถลนออกมา!
เซียวเฟิ้งผู้นี้เป็นถึงจุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถสามดาว แต่ไฉนถึงต้องถ่อมตัวต่อหน้าเย่หยวนขนาดนี้กัน?
ในฐานที่เป็นจุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถสามดาว โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองชั้นสูงทุกเม็ดที่หลอมกลั่นล้วนทรงประสิทธิภาพ คุณสมบัติครบถ้วน
แต่เขากลับบอกว่า ประสิทธิภาพโอสถอาจไม่ดีนัก โปรดอย่าได้ถือสา?
นี่มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว!
เย่หยวนรับโอสถฟื้นฟูพลังระดับสองชั้นสูงมา และหักครึ่งเม็ดป้อนให้หยางรุยกลืนลงไป จากนั้นจึงกล่าวว่า
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งท่านปรมาจารย์เซียวเฟิ้ง!”
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่หยางรุยด้วยความอิจฉาไม่รู้จบ
นั้นเป็นถึงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองชั้นสูง ต่อให้มีเงินทองมากมายปานใด ก็ไม่มีทางหาซื้อได้เลยภายในเมืองกุยฉาง!
“เย่หยวนคนนี้มีภูมิหลังอย่างไรกันแน่? ชายชราผู้นั้นเป็รถึงหัวหน้านักหลอมโอสถแห่งหอมหาสมบัติ! ดูเหมือนว่าสถานะของเขาผู้นี้สูงศักดิ์มิใช่น้อย แม้แต่หวังซ่งยังต้องให้ความเคารพ!”
“จะว่าไปแล้ว หากกล่าวถึงเรื่องนี้ก็น่าลึกลับจริงๆ เย่หยวนเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางเท่านั้น แต่สามารถปราบปรามวิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลางได้จนยอมจำนน”
“ถูกต้อง! ยังไม่รวมถึงเรื่องโอสถบ่มเพาะปราณอีก! อืม…พวกเจ้าคิดเหมือนกันไหมว่า ชายชราผู้นี้มาที่นี่เพื่อโอสถบ่มเพาะปราณเช่นกัน?”
“มีความเป็นไปได้! โอสถชนิดนี้ช่างมหัศจรรย์เกินไป! จนทางเบื้องบนของหอมหาสมบัติมิอาจมองข้ามได้อีกต่อไป จึงส่งชายชราท่านี้มา เหอะ เหอะ พวกตระหวังมันหยิ่งผยองอวดดีก่อน ใน ครั้งนี้เตะชนแผ่นเหล็กเข้าอย่างจัง!”
…………………..
เนื้อความที่เหล่าฝูงชนถกเถียงกันในปัจจุบัน มันก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับความเป็นจริงเช่นกัน
แต่เพียงว่าความเป็นจริงกลับน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่านั้น ที่เซียวเฟิ้งมาหาเย่หยวนก็เพื่อเรียนรู้ศึกษาวิธีหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณโดยเฉพาะ!
จอมเทพโอสถสามดาวเดินทางไกลเป็นเวลากว่าครึ่งปี เพื่อมาให้จอมเทพโอสถหนึ่งดาวสอนวิธีหลอมกลั่นโอสถ ไม่ว่าใครได้ยินต่างไม่มีวันเชื่อได้ลงแม้นต้องตายก็ตาม!
หวังซ่งที่อยู่ข้างๆใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ เขาทราบทันทีว่า วันนี้ตนไม่สามารถฆ่าเย่หยวนได้อีกต่อไป
ทว่าเซียวเฟิ้งเองก็อยู่ที่นี่ เขาก็ไม่กล้าจากออกไปกลางคันเช่นกัน ภาตใต้สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ รู้สึกอึดอัดจนน่าประหลาดใจ
สิ่งที่น่าขันที่สุดคือ ก่อนหน้าเขาเพิ่งลั่นวาจาไปว่า ตนจักบดขยี้หอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉางและฆ่าเย่หยวนทิ้งซะ แต่บัดนี้ ทั้งหมดกลับเป็นแค่เรื่องอวดอ้างคำโต กลายเป็นเขาที่เสียหน้าอย่างกู่ไม่กลับ
โอสถที่เซียวเฟิ้งมอบให้มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงมาก เพียงไม่นาน อาการบาดเจ็บของหยางรุยก็ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ
เขาพยายามพยุงตัวเพื่อลุกขึ้นคำนับเซียวเฟิ้งด้วยความเคารพและกล่าวว่า
“ประมุขหอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉาง,หยางรุง ขอทำความเคารพผู้อาวุโสเฟิ้ง!”
เขายังคงรู้สึกตื่นตะลึงไม่คลายอ่อน ก่อนหน้านี้ที่เขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งต่อคำกล่าวของเย่หยวน แต่จนถึงบัดนี้ เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ทางเบื้องบนจะส่งเซียวเฟิ้งมาที่นี่จริงๆ!
หยางรุยทราบดีว่า เซียวเฟิ้งผู้นี้เป็นถึงเสาหลักของหอมหาสมบัติแห่งสาขาเมืองหลวงหวูเมิ่ง
ก่อนหน้านี้หยางรุยยังแบบคิดเล่นๆว่า มีความเป็นไปได้ไหมที่ แม้กระทั่งผู้อาวุโสเซียวก็ยังไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณได้?
ทว่าเรื่องนี้กลับเป็นความจริง!
หากผู้อาวุโสเซียวหลอมกลั่นได้ เขาไม่มีทางถ่อสังขารเดินทางไกลมาถึงที่นี่แน่นอน!
ยิ่งคิดเท่าไหร่ หยางรุยก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
“อืม ลุกขึ้นเถิดประมุขหอหยาง”
หยางรุยผงกศีรษะรับคำเซียวเฟิ้ง ก่อนลอบมองเย่หยวนเล็กน้อยพร้อมแววตื่นตะลึงไม่หาย
เซียวเฟิ้งหันไปหาเย่หยวนอีกครั้งและกล่าวถามว่า
“น้องเล็กเย่ นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
คนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ในสถานศึกษาหวูเมิ่ง ส่วนอีกคนเป็นสมาชิกคนสำคัญของหอมหาสมบัติ โดยธรรมชาติแล้ว เขาที่เป็นคนกลางจำต้องให้ความเป็นธรรมและเถรตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้
เย่หยวนกล่าวขึ้นว่า
“ถูกหรือผิด เรื่องนี้ทุกคนในเมืองกุยฉางสามารถเป็นพยานได้ น้องชายของเขาตายเพราะทำตัวเอง กลับไม่ควรโทษคนอื่น!”
เมื่อกล่าวจบ เย่หยวนก็เล่าเรื่องเกิดขึ้นทั้งหมดที่เกี่ยวกับตระกูลหวังให้ฟัง ซึ่งนี่ทำให้เซียวเฟิ้งพลันขมวดคิ้วแน่น
เซียวเฟิ้งที่ได้ฟังดังนั้น ยามนี้เหลียวกลับมองไปยังหวังซ่งและกล่าวเสียงเข้มขึ้นว่า
“หวังซ่ง มีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่?”
สีหน้าการแสดงออกของหวังซ่งน่าเกลียดยิ่งในขณะนี้ ปรากฏว่าเฉินหย่งหนานกลับมิได้บอกเล่ารายละเอียดพวกนี้ให้เขาฟังเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายบรรยายเพียงว่า เย่หยวนคนนี้มีจิตใจโหดเหี้ยมเพียงใด ถึงขั้นสังหารหวังซูด้วยวิธีการอันน่าสยดสยอง
ความโกรธทั้งหมดเบี่ยงทิศพุ่งไปที่เฉินหย่นหนานแทน หวังซ่งแทบโพล่งสบถด่าทันควัน
หวังซ่งคาดไม่ถึงเลยว่า เรื่องราวทั้งหมดจะกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตามแต่ ภายในใจของเขาก็ไม่อยากเชื่อว่า หวังซูจะคิดแผนการไร้มโนธรรมขนาดนี้ได้จริงๆ
น้องชายของเขาต้องการจะฆ่าอีกฝ่ายก่อน หากอีกฝ่ายไม่ตอบโต้คืนก็คงตายแทนเช่นกัน!
เมื่อได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลดศีรษะความหยิ่งผยองลงโดยไว
เพราะเขาทราบดีว่า ชายชราที่อยู่ต่อหน้าผู้นี้ไม่ควรยั่วยุเด็ดขาด!
สำหรับเย่หยวน หวังซ่งจำต้องปล่อยผ่านไปก่อน
“คือ…ทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดของศิษย์เอง ทันทีที่ศิษย์คนนี้รู้ข่าวว่าน้องชายตนถูกฆ่าตาย ก็พลันเดือดดาลโดยไม่ฟังอะไรเลย จึงรีบตรงเข้ามาหวังเพื่อจะล้างแค้นอย่างเดียว”
หวังซ่งก้มหน้าก้มตากล่าวอย่างไม่เต็มใจนัก
“ในเมื่อเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า เช่นนั้นก็จงขอโทษน้องเล็กเย่และปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไป!”
เซียวเฟิ้งเค้นเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยขึ้น
ตอนที่1358 เห็นแสงสว่างทันใด!
“พวกตระกูลหวังมันตัวตลกชั้นดีโดยแท้ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง สุดท้ายแทบต้องก้มกราบขอขมา!”
“หึ! ไม่รู้ธาตุแท้เลยว่านี่เสแสร้งหรือจริงใจ ขอโทษแบบนี้มีความเต็มใจบ้างหรือไม่?”
“พวกตระกูลหวังกลับหาดีไม่ได้สักคน คนน้องเป็นอย่างไร สันดานคนพี่กลับไม่ต่างกันเลย! คนน้องไร้ยางอายปราศจากมโนธรรม ส่วนผู้เป็นพี่คงไม่ดีกว่าเท่าไหร่!”
…………….
หวังซ่งในตอนนี้ถูกนินทาดูถูกต่างๆนาๆโดยฝูงชนรอบตัว การล้างแค้นแทนผู้น้องอันไร้มโนธรรม กลับเป็นเรื่องไร้สาระและไร้เหตุผลสิ้นดี
นี่คือความอัปยศอย่างไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตของหวังซ่ง
ในสายตาของเขา เซียวเฟิ้งลำเอียงเข้าข้างเย่หยวนเกินไป ซึ่งนี่ทำให้เขาขุ่นเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง
เว้นเสียว่าสถานะของเซียวเฟิ้งในเมืองหลวงหวูเมิ่งกลับสูงส่งเกินไป ลืมไปเลนสำหรับเขา แม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงในตระกูลหวังยังมิกล้ายั่วยุล้ำเส้น
“หื้ม?”
เห็นว่าหวังซ่งยังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว เซียวเฟิ้งเค้นเสียงเย็นกระตุ้น
ทั่วทั้งร่างหวังซ่งสั่นพลันสั่นเทา เขาเอ่ยกล่าวอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิด
“น้องเล็ก เพราะครั้งนี้ข้าวู่วามเกินไป โปรดน้องเล็กให้อภัย!”
ไม่ว่าคำขอโทษนี้จะจริงใจหรือไม่ เย่หยวนก็สามารถมองผ่านอ่านออกทันทีเพียงปราดตาเดียว
คนที่มีจิตใจเย่อหยิ่งและเปี่ยมความเกลียดชังจนเป็นนิสัยเช่นนี้ มีหรือจะมองว่าตัวเองนั้นผิด?
ทันใดนั้น เย่หยวนร่วนหัวเราะคิดคักและกล่าวเสียงเย็นชืดว่า
“หุหุ ท่านเป็นถึงรองเจ้าเมืองหมิงหยาง เย่คนนี้ไม่คู่ควรตีสนิทชิดเชื้อกับท่านปานนี้จริงหรือไม่? ในภายภาคหน้า หากยังต้องการล้างแค้นเย่คนนี้ ข้าเองก็รออยู่เสมอ!”
เซียวเฟิ้งที่อยู่เคียงข้างจุ๊ปากค่อนข้างประหลาดใจ เย่หยวนคนนี้ค่อนข้างบ้าบิ่นอย่างมาก
ขุมพลังอำนาจของตระกูลหวังในเมืองหมิงหยาง เขาเองก็ควรตระหนักชัดแจ้งดีโดยธรรมชาติ
คนธรรมดาทั่วไปกลับไม่ควรไปท้าทายตระกูลใหญ่เลยสักนิด
วาจานี้ของเย่หยวนเปรียบเสมือน ลั่นคำประกาศสงครามกับตระกูลหวังทั้งหมด
หรือเป็นไปได้ไหมว่า เย่หยวนผู้นี้กลับงำประกายคมคายลึกล้ำกว่าที่เขาคิดไว้มาก? กลับเป็นจิ้งจอกมากเล่ห์กล ถึงกับมั่นใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายก้มหัวได้เชียว?
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เซียวเฟิ้งกลับสลัดความคิดนี้ออกจากหัวอย่างช่วยไม่ได้
พินิจจากอาณาจักรพลังความแกร่งกล้า เท่านี้กลับน้อยเกินไป
แต่หากเป็นเรื่องศาสตร์แห่งโอสถ ความสามารถของเด็กหนุ่มคนนี้ช่างน่าทึ่งอย่างยิ่ง หากสามารถทำให้เขายอมเข้าร่วมฝักฝ่ายกับหอมหาสมบัติได้ จะเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง อย่างน้อยที่สุดก็รับประกันได้ว่า เย่หยวนจะไม่มีอันตรายใดๆหลังจากนี้แน่นอน
หวังซ่งเผยท่าทีเก้อเขินขณะกล่าวขึ้นว่า
“ไม่เลย ไม่เลย ไฉนถึงคิดเช่นนั้น? ท่านอาจารย์ ในเมื่อไม่มีสิ่งใดค้างคา เช่นนั้นหวังซ่งขอลา”
“ไปเถอะ”
เซียวเฟิ้งเอ่ยตอบเสียงเย็นชืด
เห็นเซียวเฟิ้งกล่าวอนุญาตเช่นนั้น หวังซ่งคล้ายถูกปลดปล่อยและจากไปโดยไวประดุจบิน
สถานที่แห่งนี้ เขามิอาจหน้าด้านทนอยู่ได้นานไปกว่านี้แล้ว
ยามสิ้นสุดเรื่องตลกฉากใหญ่ หยางรุยก็เข้าต้อนรับเซียวเฟิ้งเข้าสู่หอมหาสมบัติอย่างเป็นทางการ
“หยางรุยคนนี้ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ผู้อาวุโสเซียวจะสละเวลาอันมีค่า ลงมาเยี่ยมเยือนเมืองเป็นการส่วนตัว ทว่าหยางรุยคนนี้กลับไม่สามารถต้อนรับท่านเป็นอย่างดีได้ แถมต้องยังเดือดร้อนท่านอีก โปรดอย่าได้ตำหนิข้าเลย!”
หยารุยกล่าวขึ้นอย่างสุภาพ
จนกระทั้งบัดนนี้ หยารุยก็ยังไม่เข้าใจว่า ไฉนบุคคลอย่างเซียวเฟิ้งถึงเดินทางมาที่เมืองกุยฉางเล็กๆแบบนี้ได้?
หากเป็นเพื่อศึกษาวิธีการหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณโดยเฉพาะ นี่คล้ายจะทำการใหญ่เกินไปหน่อยรึไหม?
เซียวเฟิ้งยิ้มและกล่าวว่า
“ข้ามั่นใจว่าเจ้าเองก็คงรู้อยู่แก่ใจ ข้ามาที่นี่เพื่อมาหาน้องเล็กเย่ โอสถบ่มเพาะปราณชนิดนี้ลึกซึ้งเกินหยั่งถึง!”
เย่หยวนกล่าวว่า
“เย่คนนี้เองก็ตกตะลึงมิใช่น้อย ด้วยสถานะศักดิ์ของท่านปรมาจารย์ ถึงขั้นมาที่เมืองกุยฉางเล็กๆแห่งนี้ด้วยตัวเองจริงๆ ขอนับถือท่านปรมาจารย์จากใจ! เย่คนนี้เชื่อว่า สำหรับโอสถบ่มเพาะปราณชนิดนี้ ท่านที่เป็นจุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถสามดาวน่าจะพอจับจุดอะไรได้บ้างแล้ว”
ต่อหน้าคำกล่าวที่หลุดออกจากปากเย่หยวนเช่นนี้ คล้ายว่าจอมเทพโอสถหนึ่งดาวกำลังสอนสั่งจอมเทพโอสถสามดาวอยู่ ไม่ว่าใครมาเห็นกลับดูจะไร้สาระเป็นอย่างมาก
เว้นเสียแต่ว่า ทั้งเซียวเฟิ้งและหยางรุยกลับรู้สึกว่าคำกล่าวเหล่านี้หาได้ผิดปกติอะไร
เซียวเฟิ้งเป็นจุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถสามดาว ทว่าโอสถศักดิ์ระดับหนึ่งอย่างโอสถบ่มเพาะปราณกลับไม่สามารถหลอมกลั่นได้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า โอสถชนิดนี้มันน่าทึ่งเพียงใด
เพราะอันที่จริงแล้ว เย่หยวนไม่เคยรู้เลยว่า จอมเทพโอสามดาวนั้นน่าประทับใจขนาดไหน ขอบเขตในระดับชั้นนี้หวูเฉินยังไม่เคยพรรณนาให้เขาฟัง
จนกระทั้งเย่หยวนได้เห็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองที่เซียวเฟิ้งหลอกลั่นขึ้นมาเอง ยามนี้เขาก็ตระหนักได้แล้วว่า นี่มิใช่สิ่งที่สามารถดูถูกได้เลยแม้แต่น้อย
“พวกเขาทุกคนดูท่าจะฉงนใจมิใช่น้อย น้องเล็กเย่…พวกเรามาเริ่มกันเลยดีหรือไม่?”
เซียวเฟิ้งกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
เย่หยวนหาได้มีเจตนาสานเรื่องราวต่อความยืดอันใด พร้อมกล่าวตอบไปตามตรงว่า
“หากผิดพลาดประการใด ท่านปรมาจารย์เซียวโปรดชี้แนะ!”
…………………………
หวังซ่งมิได้ออกจากเมืองกุยฉางไปทันที แต่เขาเดินทางเข้าไปที่ตำหนักเจ้าเมืองโดยตรง
เมื่อเห็นหน้าเฉินหย่งหนาน หวังซ่งก็อดหงุดหงิดมิได้ และสาดสาจาบ่นเอ็ดชุดใหญ่
“โอ้พี่หวังสุดที่รักของข้า! ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าท่านอาจารย์เซียวจะปรากฏตัวขึ้นในเมืองกุยฉาง? ดูท่าโอสถบ่มเพาะปราณจะเป็นข่าวใหญ่สะเทือนทั่งทั้งมหาพิภพถงเทียนจริงๆ จนเบื้องบนของฝ่ายหอมหาสมบัติไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป! แต่เป็นไปได้ไหมว่า…แม้แต่ท่านอาจารย์เซียวเองก็ไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาพปราณขึ้นมาได้ มิฉะนั้นจะถ่อมาถึงที่นี่เพื่อเหตุใด?”
เมื่อกดล่าวถึงจุดนี้ เฉินหย่งหนานและหวังซ่งพลันสบสายตากันโดยพร้อมเพรียง ต่างฝ่ายเผยความประหลาดใจสาดสะท้อนออกมาชัดเจน
โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลาง ที่แม้แต่จอมเทพโอสถสามดาวก็มิอาจหลอมกลั่นได้ นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไป
พวกเขาทราบเพียงว่า โอสถบ่มเพาะปราณเป็นโอสถมากประสิทธิภาพ แต่ใครใคร่รู้ว่า การหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้ขึ้นมามันยากเย็นเพียงใด
พินิจวิเคราะห์จากภายใต้สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน มีความเป็นไปได้สูงว่าเซียวเฟิ้งจะมาที่นี่เพื่อศึกษาวิธีหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณจริงๆ
“โอสถบ่มเพาะปราณมันน่าทึ่งขนาดนั้นจริงๆรึ?”
หวังซ่งขมวดคิ้วกล่าวขึ้นพร้อมความสงสัย
“หึ น่าทึ่งเกินบรรยาย! ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้รับโอสถบ่มเพาะปราณขั้นยอดเยี่ยมมาจำนวนหนึ่ง เจ้าพอจะคาดเดาผลลัพธ์ได้หรือไม่?”
เฉินหย่งหนานเอ่ยถามขึ้น
“หื้ม?”
หวังซ่งที่ได้ฟังดังนั้นพลันเค้นเสียงคำหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เรื่องอาณาจักรพลังกลับซ่อนกันไม่ได้ ท่านเองก็ควรทราบดี อาณาจักรพลังของข้าหยุดนิ่งมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว แต่หลังจากที่กินโอสถบ่มเพาะปราณลงไป ผลเป็นอย่างไรท่านลองตรวจสอบดูเลย!”
คู่สายตาของหวังซ่งหรี่แคบกลายเป็นจริงจัง ญาณสัมผัสเข้าพินิจพิจารณาอีกฝ่ายโดยละเอียดก่อนโพล่งขึ้นด้วยความตกตะลึงสุดขีด
โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลางมีผลต่ออาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลาง?! นี่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!
ในที่สุดหวังซ่งก็ทราบแล้วว่า ไฉนเซียวเฟิ้งถึงต้องเดินทางมาที่เมืองกุยฉางด้วยตัวเอง
เย่หยวนคนนื้ทรงคุณค่าเกินไป!
สีหน้าการแสดงออกของหวังซ่งดูน่าเกลียดอย่างมาก หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ต่อไปนี้กลับมิใช่เรื่องง่ายแล้วที่จะฆ่าเย่หยวน
“เรื่องนี้กลับเป็นปัญหาแล้ว! ในเมื่อท่านอาจารย์เซียวหนุนหลังผู้เป็นศัตรูของน้องชายข้าอยู่ ชาตินี้ข้าไม่มีทางล้างแค้นได้แน่นอน!”
หวังซ่งกีดฟันกรอดพร้อมกล่าวด้วยความเกลียดชัง
หากไม่สามารถฆ่าเย่หยวนให้ตายคามือได้ คงยากที่จะปัดเป่าความเกลียดชังนี้ออกจากหัวใจ
เฉินหย่งหนานเองก็รู้สึกปวดเศียรไม่ต่าง ที่เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ไม่กล้าออกไปไหนก็เพราะเย่หยวน เขาแทบไม่เหลือศักดิ์ศรีอีกแล้วในเมืองกุยฉางแห่งนี้
แต่ทันใดนั้นเอง เฉินหย่งหนานก็นึกความคิดอะไรดีๆออกและกล่าวขึ้นว่า
“พี่หวัง ในเมื่อหอมหาสมบัติได้รับสูตรโอสถบ่มเพาะปราณมา ไฉนเราไม่ไป…รายงานเรื่องนี้กับฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองหลวงกันล่ะ!”
คู่ดวงตาพราวประกายสว่างขึ้นทันที หวังซ่งตบเข่าดังฉะและกล่าวตอบโดยไวว่า
“ไม่ต้องสงสัยเลย ฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองหลวงไม่มีทางพับแขนงอขาอยู่เฉยๆแน่นอน! แต่ไม่ว่าอย่างไร ตราบใดที่ไอ้เด็กเหลือนั้นซ่อนตัวอยู่ในหอมหาสมบัติ พวกเขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน!”
เฉินหย่งหนานถอนหายใจเสียงยาวพร้อมกล่าวว่า
“ในตอนนี้ พวกเราทำได้เพียงค่อยๆเป็นค่อยๆไปเท่านั้น”
……………………
วันเวลาผ่านไปอีกครึ่งปี
แม้แต่เซียวเฟิ้งยังไม่คิดไม่ฝัน ว่าเขาจะติดปัญหาในขั้นตอนสุดท้ายของการหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะพลังเกือบครึ่งปีเต็ม!
เมื่อได้ฟังเย่หยวนอธิบายเกี่ยวกับหลักการสำหรับหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณ เซียวเฟิ้งพลันพบว่า ตนมีความเข้าใจต่อโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งลึกซึ้งขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ
ในทางตรงกันข้าม ยิ่งวันเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งค้นพบว่า สิ่งที่ตนไม่เคยรู้กลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ!
ปรากฏว่า โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งยังมีเรื่องราวอันลึกซึ้งอีกมากมายให้ศึกษา!
ถึงขั้นที่ว่าเซียวเฟิ้งพลางคิดกับตัวเอง เขามองข้ามเรื่องเหล่านี้ไปได้อย่างไรในอดีต?
“เมื่อได้สนทนากับน้องเล็กเย่ ข้ารู้สึกว่า ตนได้รับประโยชน์มากมายเสียยิ่งกว่าฝึกปรือด้วยตัวเองนับสิบปี! น้องเล็กเย่ ครึ่งปีที่ผ่านมานี้…เจ้าทำให้เราชายชราได้เห็นแสงสว่าง!”
เซียวเฟิ้งกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าน้ำเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยคำขอบคุณ
เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า
“ผู้อาวุโสเกรงใจแล้ว มีหลากหลายมุมเช่นกันที่เย่คนนี้ได้ขยายขอบเขตอันไกลโพ้น ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อเย่คนนี้เช่นกัน”
เย่หยวนมิได้เอ้ยปากชมเป็นมารยาท แต่ระดับชั้นจอมเทพโอสถสามดาว ต้องกล่าวเลยว่าเซียวเฟิ้งผู้นี้สมควรได้รับมันแล้ว
ความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งโอสถของเขาลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าเย่หยวนอย่างชัดเจน
หลายสิ่งหลายอย่างในมุมมองของเขา ค่อนข้างกว้างไกลกว้างเย่หยวนมาก ยามได้สัมผัสแลกเปลี่ยนความรู้กัน เย่หยวนเองก็ได้ผลกำไรมิใช่น้อย
แท้ที่จริงแล้ว ครึ่งปีที่ผ่านมา ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกันเสียมากกว่า
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เซียวเฟิ้งก็อดประหลาดใจมิได้เลย
ความเร็วในการเรียนรู้ของเย่หยวนค่อนข้างสูงมาก บางแง่มุมที่คลุมเครืออย่างมาก จนแม้แต่เขาไม่สามารถอุปมาอุปไมยได้ ทว่าเย่หยวนกลับสามารถเข้าใจได้ด้วยตนเอง!
ในที่สุดเซียวเฟิ้งก็ตระหนักได้แล้วว่า เหตุใด เย่หยวนถึงสามารถหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้ ขณะที่เขาไม่สามารถหลอมกลั่นได้เลย!
ตอนที่1359 ชายผู้มีอดีตมากมาย
“เย่หยวน ความสามารถในศาสตร์แห่งโอสถของเจ้าช่างน่าทึ่งนัก ไฉน…ถึงไม่มาเข้าร่วมกับหอมหาสมบัติอย่างเป็นทางการล่ะ?”
เซียวเฟิ้งหยิบยื่นคำเชิญเชิญให้แก่เย่หยวนอย่างจริงจัง ซึ่งเขาก็มั่นใจว่าหากเป็นเขาที่เอ่ยปากออกมาเอง เย่หยวนย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน
หากไม่มีใครมาปกป้องเย่หยวนเลยในระหว่างนี้ ตัวเย่หยวนเองจะไม่มีอะไรเอาไว้ต่อกรกับตระกูลหวังได้เลย
เขาเชื่ออย่างยิ่งว่า เด็กฉลาดและหัวไวอย่างเย่หยวนย่อมรู้จักเลือก
แต่ใครจะไปรู้ เย่หยวนกลับส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับความปรารถนาดีของผู้อาวุโสเซียว แต่เย่คนนี้มีที่ไปอยู่แล้ว”
คำตอบของเย่หยวนทำเอาเซียวเฟิ้งมึนงงไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่า เย่หยวนตระหนักถึงสถานการณ์ในตอนนี้ชัดเจนกว่าใครอื่น
“เย่หยวน ที่พวกรุ่นเยาว์ของตระกูลหวังกล่าวขอโทษเจ้าก็เพราะข้ากดดัน ดีไม่ดี พวกนั้นกลับยิ่งคับแค้นใจหนักกว่าเก่า ตัวเจ้า…ยังไม่รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของตระกูลหวังดีพอ เจ้าเข้าใจที่ข้ากล่าวไปหรือไม่?”
เซียวเฟิ้งพยายามกล่าวโน้มน้าวเย่หยวน
เย่หยวนเพียงยิ้มและกล่าวว่า
“เย่คนนี้ตระหนักชัดแจ้งถึงเรื่องเหล่านี้ดี แต่ข้ามีแผนปักในใจแล้ว แต่ผู้อาวุโสเซียวโปรดมั่นใจ พวกเรายังคงสัมพันธ์ดั่งศิษย์อาจารย์ดังเดิม”
เซียวเฟิ้งพลันขมวดคิ้วขึ้นฉับพลัน เขาไม่เข้าใจความหมายที่เย่หยวนกล่าวออกมา
ทว่าในไม่ช้า เขาก็ตระหนักได้โดยไวและกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า
“หรือเจ้าคิดจะเข้าศึกษาในสถานศึกษาหวูเมิ่ง?”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวตอบว่า
“ถูกต้องแล้ว! สถานที่ที่รวบรวมเหล่าอัจฉริยะเอาไว้ เย่คนนี้ตั้งความหวังกับสถานศึกษาหวูเมิ่งไว้มาก!”
เซียวเฟิ้งพลันรู้สึกกระวนกระวายไม่น้อยเมื่อได้ยินและเร่งเร้ากล่าวขึ้นว่า
“เย่หยวน พรสวรรค์บนเส้นทางแห่งโอสถของเจ้าช่างยิ่งใหญ่นัก แม้แต่เราชายชรายังต้องยอมรับตามตรงว่าด้อยกว่า! เจ้าสามารถเพลิดเพลินกับทรัพยากรอันไม่รู้จบของหอมหาสมบัติได้ตามใจนึก แต่ไฉนถึงต้องลงไปลำบาก แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับคนอื่นๆ!”
สถานศึกษาหวูเมิ่งให้ความสำคัญกับนักหลอมโอสถเป็นพิเศษก็จริง แต่กลุ่มที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นเหล่านักสู้ผู้ฝึกปรือ
เมื่ออยู่ในสถานศึกษาหวูเมิ่ง หากเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาทั่วไปล้วนมีทรัพยากรที่จำกัด ยามต้องการอยากได้เพิ่มจำต้องต่อยตีกับคนอื่นเพื่อแย่งชิงมาเท่านั้น
แต่ภายในหอมหาสมบัติแห่งนี้ เย่หยวนจะสามารถเสพสุขเพลิดเพลินไปกับทรัพยากรจำนวนไม่สิ้นสุดที่ทางเซียวเฟิ้งประเคยให้ไม่ขาดสาย
ผนวกกับพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งโอสถของเขา สามารถการันตีได้เลยถึงความสำเร็จในอนาคตอย่างไร้ขีดจำกัด
ในมุมมองของเซียวเฟิ้ง เย่หยวนกำลังอยู่ในช่วงหยิ่งผยองดั่งวัยหนุ่มสาว จึงละเลยสิ่งสำคัญเหล่านี้ไป
เย่หยวนแค่คลี่ยิ้มบางแต่มิได้เอ่ยปากกล่าวอันใดตอบ เห็นได้ชัดว่าเขาได้ตัดสินใจลงไปแล้ว
เมื่อเห็นดังนั้นเซียวเฟิ้งทำได้เพียงถอนหายใจและกล่าวว่า
“ช่างเถอะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าเอง! แต่การที่เจ้ามอบสูตรโอสถบ่มเพาะปราณแก่พวกเราหอมหาสมบัติ นับเป็นบุญคุณครั้งใหญ่หลวง ทางหอมหาสมบัติขอมอบป้ายตราระดับสัมฤทธิ์แก่เจ้า ตราบใดที่เจ้าถือป้ายตรานี้เข้ามาในหอมหาสมบัติ เจ้าจะได้รับส่วนลดทันทีสามในสิบส่วนโดยปราศจากเงื่อนไขอื่นใด! นอกจากนี้ยังมีผลึกปราณเทวะระดับต่ำให้อีกเป็นจำนวนสิบล้านก้อน! ถึงนี่จะไม่มีมูลค่ามากมายนัก แต่น่าจะพอสำหรับแลกเปลี่ยนกับสูตรโอสถบ่มเพาะปราณนี้”
คู่ดวงเนตรเย่หยวนเปล่งประกายสว่างจ้าในทันที เขารับป้ายตราเอาไว้และกล่าวขอบคุณ
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งผู้อาวุโส!”
เซียวเฟิ้งหัวร่อเสียงดังพลางกล่าวประชดประชันเชิงหยอกเล่นขึ้นว่า
“เจ้าเด็กคนนี้ ยืนกรานแน่วแน่เด็ดขาดโดยแท้! ทรัพยากรจับจ่ายโดยไม่เสียสักแดงกลับไม่ ดันชอบส่วนลดเสียแบบนั้น!”
ใจจริงที่เซียวเฟิ้งต้องการให้เย่หยวนเข้าร่วมกับหอมหาสมบัติ หนึ่งเลยคือการสนับสนุนด้านทรัพยากรที่ค่อนข้างพร้อม ด้วยสิ่งนี้สามารถการันตีความสำเร็จในอนาคตของเย่หยวนได้เลย และสองนี่ก็เพื่อความปลอดภัยของเย่หยวนเอง หากเข้าร่วมกับหอมหาสมบัติ เชื่อได้เลยว่าฝ่ายตระกูลหวังจะไม่กล้าก้าวกายเด็ดขาด
อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาครึ่งปี ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองสนิทชิดเชื้อยิ่ง ย่อมเป็นห่วงซึ่งกันและกันเป็นธรรมดา
โดยไม่ทันรู้ตัว เซียวเฟิ้งกับเย่หยวนในปัจจุบันกลับกลายมาเป็นสหายสนิทกันไปแล้ว
เย่หยวนหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินและกล่าวว่า
“ที่จริงแล้ว เข้าศึกษาในสถานศึกษาหวูเมิ่งก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้เข้าไปฟังการบรรยายของผู้อาวุโสเซียวในอนาคตต่อไป”
เซียวเฟิ้งส่ายหัวพร้อมชี้แจงว่า
“เจ้าคงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกต่อไป ครึ่งปีที่ผ่านมา เราชายชราเก็บเกี่ยวผลกำไรได้มหาศาล หลังจากนี้คงปลีกวิเวกเก็บตัวเป็นเวลาสักพักใหญ่!”
เย่หยวนโพล่งตาเบิกกว้าง ครั้นอุทานขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสเซียว หรือท่านกำลังจะ…เลื่อนระดับชั้นแล้ว?”
เซียวเฟิ้งยกยิ้มกล่าวหัวเราะขึ้นเบาๆว่า
“บางทีข้าจะทำสำเร็จหรือไม่กลับไม่แน่ แต่หากประสบความสำเร็จจริงๆ ข้าจะยกความดีความชอบให้เจ้าเลยครึ่งหนึ่ง! การได้สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับเจ้า นับเป็นวาสนาในชีวิตข้าแล้ว!”
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างยิ้มแย้มว่า
“ผู้อาวุโสเซียวเจนจัดผ่านโลกมามากสารพัด เลื่อนขั้นได้สำเร็จกลับเป็นเพราะความสามารถของตัวท่านเองล้วนๆ เย่คนนี้ไม่กล้ารับความดีความชอบนี้ได้! แต่อย่างไรก็ดี เย่คนนี้ขอแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสเซียวล่วงหน้า!”
ในปัจจุบัน เซียวเฟิ้งสำเร็จถึงอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดแล้ว หากเลื่อนระดับชั้นในคราวนี้ได้ เขาจะขึ้นกลายเป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้า!
เมื่อถึงตอนนั้น ยังจะมีกลุ่มอำนาจใดหาญกล้าล้ำเส้นข้าคนนี้ได้อีก?
หากเซียวเฟิ้งทำสำเร็จ นี่เทียบเท่ากับว่าหลีฮื้อ(ปลาคาร์ฟ)กระโดดผ่านประตูมังกรในอึดใจเดียว!
เซียวเฟิ้งร่วนหัวเราะร่าเสียงดัง กล่าวตอบว่า
“เจ้าเด็กคนนี้ ยังมิทันทราบว่าจะสำเร็จหรือไม่ กลับกล่าวไร้สาระเสียแล้ว! ระหว่างสองอาณาจักรพลังนี้ ยากเย็นแสนเข็ญประดุจขึ้นสวรรค์! จะเลื่อนระดับชั้นได้ง่ายปานนั้น? เอาล่ะ เลิกกล่าวเรื่องนี้กันได้แล้ว ในเมื่อจะเข้าศึกษาในสถานศึกษาหวูเมิ่งอยู่แล้ว ไฉนไม่ออกเดินทางไปยังเมืองหลวงหวูเมิ่งพร้อมเราชายชราเลย?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“รบกวนท่านแล้ว!”
ขอบเขตความรู้ของหวูเฉินกว้างไพศาลสุดหยั่งถึง แต่ท้ายที่สุดเขากลับมิใช่นักหลอมโอสถ
ข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์ความรู้สึกระหว่างการหลอม ในจุดนี้เซียวเฟิ้งเจนจัดคมกว่าอยู่หลายส่วน ระหว่างสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กัน เย่หยวนเองก็ได้รับความรู้มามากมาย
………………………..
หลายปีที่ผ่านมานี้ เหลียงหวางหรูน้ำหนักลดลงไปมาก
เย่หยวนค่อยๆตีตัวออกห่าง ยามสนทนาพบหน้ากันกลับน้อยลงเรื่อยๆ
“แม่นางหวางหรู”
สุ้มเสียงที่ปรารถนา รอคอยมาแสนนานดั่งฝันดังขึ้นจากด้านหลังของนาง เหลียงหวางหรูใจสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ
“นายท่านเย่! ในที่สุด…ในที่สุดท่านก็มาหาหวางหรูเสียที!”
ยามได้เห็นเย่หยวนอีกครั้ง เหลียงหวางหรูมิอาจอดกลั้นน้ำตาได้ไหวอีกต่อไป พร้อมไหลรินลงมาจนเปรอะเปื้อนแก้มขาวนวล
นางรู้สึกได้อย่างชัดเจน หลายปีมานี้คล้ายกับว่าเย่หยวนพยายามตีตัวออกห่าง ลดการพบปะสนทนากันน้อยลงจนสัมผัสได้
ช่วงเวลาหลายปีมานี้ เหลัยงหวางหรูกลับรู้สึกทรมานเสียยิ่งกว่าตอนที่ถูกตระกูลเหลียงจับขังในคุกใต้ดินเสียอีก
เย่หยวนคนนี้ช่วยเหลือนางจากความตายตั้งหลายคราต่อหลายครา ถึงขั้นที่ว่าบุกเข้าตระกูลหวัง ทั้งยังหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ให้แก่นาง จนกลายมาเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้า ผู้ครอบครองขุมพลังอันไร้ขีดจำกัดอยู่ในกำมือดั่งปัจจุบัน
ในสายตาของเหลียงหวางหรู เย่หยวนผู้นี้เปรียบดั่งวีรบุรุษในใจนางเสมอมา
ด้วยเหตุนี้จะมิให้เหลียงหวางหรูหลงเย่หยวนหัวปักหัวปำได้อย่างไร?
เย่หยวนที่เห็นนางแบบนั้นพลันถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
“แม่นางหวางหรู ไฉนต้องเป็นแบบนี้?”
ทว่าตอนนี้ เหลียงหวางหรูหาได้สนใจอะไรอีกแล้ว นางโผเข้าสวมกอดเย่หยวนทันทีและกล่าวว่า
“หวางหรูไม่สน! ไม่สนอะไรอีกแล้ว! หวางหรูไม่ต้องการอะไรอีกแล้วในผืนพิภพ! ข้าต้องการแค่ท่าน! หากท่าน…ท่านไม่มาพบข้า ข้า…ข้าขอตายดีกว่า!”
นางมิได้ขู่ให้เย่หยวนกลัว ทว่าหลังจากที่นางหนีออกจากคุกใต้ดินตระกูลเหลียงได้ในปีนั้น ชีวิตของนางก็อยู่เพื่อเย่หยวนมาโดยตลอด
เย่หยวนลูบแผ่นหลังบางของนางอย่างแผ่วเบา พลางคลี่ยิ้มกล่าวอย่างขมขื่นว่า
“แม่นางหวางหรู เจ้าเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตเย่คนนี้เองไว้ มีหรือจะต้องการผลักไสหนีหน้า? เพียงแต่…เย่คนนี้กลับไม่สามารถโอบรับความรู้สึกของเจ้าได้แล้วจริงๆ!”
เย่หยวนถอนหายใจอย่างโศกเศร้า ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมาล้วนเปี่ยมความเจ็บปวดและยากเกินจะบอก
มู่หลินเสวียเสียสละชีวิตเพื่อจัดหารข่านนั่ว สิ่งนี้ได้ทำให้เย่หยวนรู้ว่าหัวใจตนเองต้องการสิ่งใด
เยวี่ยเมิ่งลี่ผู้อ่อนโยนและอบอุ่น คอยช่วยเหลือและกำลังใจเขาในยามเดือดร้อนเสมอมา สิ่งนี้ได้ละลายน้ำแข็งภายในใจของเย่หยวนให้กลับมามีสีสันอีกครั้ง
รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและลำบากใจของเย่หยวนเหลียงหวางหรูเงยหน้าขึ้นมองเย่หยวน ทันใดนั้นทั่วทั้งร่างของนางพลันสั่นเทาโดยมิตั้งใจ
เมื่อเงยหน้าช้อนขึ้นมอง นางพบว่าบนดวงตาของเย่หยวนปรากฏน้ำตาสีใสไสวไหลรินออกมา!
หากย้อนกลับไปในตอนนั้น เย่หยวนได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย กระทั่งส่งเสียงร้องยังทำไม่ได้ ก็มีแต่เหลียงหวางหรูผู้มีจิตใจเมตตานางนี้ที่คอยเฝ้าดูแลอยู่ตลอด
ทว่าบุรุษเพศที่ถึงกับหลั่งน้ำตาเช่นนี้ ที่ผ่านมาเขาประสบพบเจอกับสิ่งใดมาบ้างกันแน่?
แท้ที่จริงแล้ว ความมุ่งมั่นของเขาสูงส่งเสียยิ่งกว่าสวรรค์ฟ้า! เขาต้องการขึ้นกลายเป็นจอมเทพเต๋าบรรพกาลคนที่สิบ!
เพียงแต่ เย่หยวนตระหนักทราบดีว่า ปณิธานเช่นนี้ของตนกลับสูงล้ำเกินความเป็นจริง
เส้นทางเบื้องหน้าต่อไปช่างหนักหนาสาหัสนับพันหมื่นทวีเท่า เมื่อเปรียบเทียบกับการเดินทางในดินแดนพฤกษานิรันดร์ที่ผ่านมาในอดีต!
ทันทีที่เห็นเช่นนั้น เหลียงหวางหรูรู้สึกปวดร้าวสุดขั้วหัวใจ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเย่หยวนไม่ยอมรับในความรู้สึกของนางที่มีให้
แต่ในขณะเดียวกัน น้ำตาของเย่หยวนก็คล้ายจะหลั่งไหลเข้าปลอบประโลมจิตใจของนางในเวลาเดียวกัน
ชั่วอึดใจนั้นเอง เหลียงหวางหรูคล้ายถูกกระตุ้นอย่างแรงกล้า นางอยากรู้เสียเหลือเกินว่า ชายหนุ่มผู้นี้เคยมีอดีตอย่างไรกันแน่?
นางเองก็เห็นอยู่ว่า อายุของเย่หยวนกลับมิได้เยอะ แต่ไฉนถึงราวกับมีประสบการณ์ผ่านโลกมาแล้วมากมาย
“นายท่านเย่ โปรดอย่าไล่ให้ข้าออกไปจากชีวิตท่านเลยได้หรือไม่? หวางหรูกลับมิได้ต้องการคำสัญญาใดๆจากท่าน ขอเพียงได้ติดตามท่านต่อจากนี้ ในฐานะทาสก็ยังดี!”
เหลียงหวางหรูกล่าวขึ้นทั้งน้ำตาเจือเสียงสะอื้น ทว่าสายตาของนางในขณะนี้กลับเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
ตอนที่1360 ทำเนียบดาวเด่น
เหนือกำแพงเมืองเอาเก่าแก่ กลิ่นอายอันน่าเกรงขามที่แพร่งพรายคล้ายประสบช่วงเวลาผันผวนมากมายของชีวิต ห้วงเวหาปรากฏคล้ายคลื่นพลังธารสายยาวทอดไกล รัศมีพรั่งพรูไสวไปมาประดุจมังกรร่างยักษ์ร่ายรำทั่วน่านนภา สรรพสิ่งภายใต้คลื่นพลังสายธารต่างรู้สึกครั่นคร้ามหวั่นเกรงเมื่อพบเห็น
พ้นผ่านประตูเมืองเข้าไป ปรากฏเป็นเมืองหลวงใหญ่สิวิไลไร้ขอบเขต ความงดงามของเมืองหลวงหวูเมิ่งแห่งนี้ จำต้องสัมผัสเองเท่านั้นถึงจะรู้ซึ้งซึมซาบเองได้!
เมื่อห่านเทียนเห็นเซียวเฟิ้งอีกครั้ง เขาก็อดอุทานขึ้นถามอย่างตกตะลึงมิได้
“ผู้อาวุโสเฟิ้ง ท่าน…ท่านดูเหมือนจะเก็บเกี่ยวอะไรใหม่ๆได้จริงๆ?”
รัศมีกลิ่นอายของเซียวเฟิ้งในปัจจุบัน แตกต่างไปจากก่อนที่จะออกเดินทางไปเมืองกุยฉางอย่างเห็นได้ชัด
คล้ายว่ารัศมีที่พรั่งพรูออกมาจากร่างกายของเขาจะลึกล้ำเกินหยั่งถึงยิ่ง
ไร้ซึ่งข้อกังขาใดอื่น ความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งโอสถของเซียวเฟิ้งพัฒนาขึ้นอีกขั้นแล้วจริงๆ!
แม้จะมิได้เพิ่มขึ้นมากจนสามารถเลื่อนระดับชั้นได้ทันที แต่นี่ก็เข้าใกล้กับจุดนั้นมากกว่าก่อนหน้าแล้ว
เซียวเฟิ้งกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“หุหุ ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่ข้ากล่าวไว้ในคราแรก การเดินทางครั้งนี้ ข้าเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากมายเกินคาด!”
แม้ว่าคำตอบที่ออกจากปากของเซียวเฟิ้งยังค่อนข้างกำกวม แต่นี่กลับเพียงพอแล้วที่สามารถทำให้ห่านเทียนประหลาดใจได้
“เด็กหนุ่มนามเย่หยวนคนนั้นน่าทึ่งขนาดนั้นเชียว?”
ห่านเทียนเอ่ยถามด้วยความตกใจ
เซียวเฟิ้งพยักหน้าและกล่าวตอบทันทีว่า
“น่าทึ่งกว่าที่ท่านคิดมากนัก! เด็กคนนั้นเกิดมาเพื่อศาสตร์แห่งโอสถโดยเฉพาะ! ในแง่ประสบการณ์ความลึกซึ้ง เขาอาจด้อยกว่าข้า แต่หากเป็นเรื่องรากฐานความเข้าใจ ข้ากลับถูกเขาแซงหน้าไม่ติดฝุ่น!”
ลูกตาของห่านเทียนแทบถลนออกมาในบัดดลเมื่อได้ยิน วาจาคำกล่าวเหล่านี้ของเซียวเฟิ้งได้แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นยักษ์สุดปั่นป่วนกระหน่ำเข้าใส่จิตใจของเขา
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ ทุกคำกล่าวที่หลุดออกจากปากของเซียวเฟิ้งล้วนมีน้ำหนักยิ่งกว่าสิ่งใด!
ถึงแม้เซียวเฟิ้งผู้นี้จะเป็นชายชราผู้มีนิสัยอ่อนโยนและใจดี ทว่าความหยิ่งทะนงในศักดิ์สิทธิ์กลับฝังลึกถึงกระดูกดำ ณ จุดนี้ห่านเทียนตระหนักชัดแจ้งดีเยี่ยม
ทำงานร่วมกันก็นานหลายปี ห่านเทียนยังไม่เคยได้ยินเซียวเฟิ้งเอ่ยปากกล่าวยกย่องใครมาก่อนเลยสักครั้ง
แถมคราวนี้ ใครคนนั้นยังเป็นเพียงเด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าเท่านั้น!
อย่างไรก็ตาม สามารถทำให้ความเข้าใจของเซียวเฟิ้งลึกซึ้งขึ้นได้ภายในเวลาอันสั้นขนาดนี้ เพียงเท่านี้ก็มากเกินพอที่จะพิสูจน์แล้วว่า เย่หยวนคนนี้พิเศษแค่ไหน!
ห่านเทียนทราบดีว่า ความรู้ความเข้าใจของเซียนเฟิ้งหยุดนิ่งไร้ซึ่งการพัฒนามากว่าหนึ่งหมื่นปีเต็มแล้ว!
“แค่ได้ยินท่านกล่าวแบบนั้น ข้าก็รู้สึกสนใจเด็กคนนี้เป็นอย่างมากแล้ว! โอ้จริงสิ! มากความสามารถขนาดนี้ ต้องห้ามพลาดเด็ดขาด! เขาอยู่ไหนงั้นรึ ไปเชิญเข้ามาเร็ว!”
ห่านเทียนเร่งรีบเอ่ยกล่าวด้วยตื่นอกตื่นเต้น
ทว่าเซียวเฟิ้งกลับคลี่ยิ้มขื่นและกล่าวว่า
“ข้าเกรงว่า จักต้องทำให้ท่านประมุขหอผิดหวังเสีย เด็กคนนั้น…ได้ตัดสินใจเข้าศึกษาต่อที่สถานศึกษาหวูเมิ่ง!”
ห่านเทียนอดสำลักมิได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น และกล่าวขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสเซียง เด็กหนุ่มมีความสามารถขนาดนั้น แต่ไฉนถึงปล่อยให้หลุดมือได้?”
เซียวเฟิ้งถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวอย่างหมดหนทางเช่นกันว่า
“เฮ้ออ… เราชายชราทำดีที่สุกแล้ว ตลอดทางที่เดินทางกลับ ข้าพยายามหว่านล้อมกล่าวโน้มน้าวทุกวิถีทางแล้ว ทว่าเด็กนั้นกลับหัวรั้นยิ่งนัก เมื่อเขาตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้ว ต่อให้จักรพรรดิหยกอยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถดึงเขากลับมาได้!”
ห่านเทียนที่ได้ฟังแบบนั้นพลางถอนหายใจตาม
“เฮ้อออ… ช่างน่าเสียดายโดยแท้!”
เซียวเฟิ้งกล่าวต่อว่า
“แต่ท่านประมุขหอไม่จำต้องผิดหวังเช่นนี้เลย เราชายชรากับเด็กคนนั้นมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี นับเป็นมิตรสหายร่วมอาชีพ เนื่องจากเห็นแก่หน้าเราชายชรา เขาจึงตกลงเป็นอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติต่อไป และที่สำคัญที่สุด ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา หยางรุยให้ความช่วยเหลือเด็กคนนี้มาตลอดทั้งในด้านที่พักพิง รวมไปถึงทรัพยากรระหว่างเก็บตัวมากมาย เย่หยวนยังถึงขั้นกล่าวเลยว่า ตนเป็นหนี้บุญคุณของหยางรุย ความสัมพันธ์ระหว่างหยางรุยกับเก็ดคนนี้ค่อนข้างแน่นแฟ้น ยากเกินจะตัดขาดดั่งคนแปลกหน้า ตลอดครึ่งปีที่เราชายชราอยู่ร่วมกับเขา กล้ากล่าวได้อย่างเต็มปากว่า เย่หยวนเป็นชายหนุ่มผู้ให้ความสำคัญต่อมิตรภาพมาเป็นอันดับหนึ่ง! ขนาดที่ว่ายอมเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มอิทธิพลใหญ่ เพื่อปกป้องมิตรสหาย ทำดีกับเด็กคนนี้ ย่อมส่งผลดีต่อพวกเราแน่นอนในอนาคต!”
หลังจากที่ได้ฟังเซียวเฟิ้งอธิบาย ห่านเทียนก็มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย แต่เบื้องลึกในแววตายังมิอาจเก็บซ่อนความผิดหวังได้มิด
“หยางรุยงั้นรึ…เจ้าเด็กคนนั้นมันไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ! บุคคลกรผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลสมควรต้องเชิดชูส่งเสริม! ในอนาคตต่อไปเขาจะต้องเป็นบุคคลสำคัญ เพื่อสานสัมพันธ์อันดีระหว่างเย่หยวนกับหอมหาสมบัติ! เลื่อนตำแหน่งให้หยางรุยขึ้นเป็นผู้ดูแลใหญ่ของที่นี่เลย”
ห่านเทียนกล่าวขึ้น
เซียวเฟิ้งยิ้มและกล่าวว่า
“หุหุ ท่านมีอำนาจเลื่อนตำแหน่ง แต่เขากลับยังไม่สามารถรับผิดชอบตำแหน่งใหญ่โตได้ไหว! ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแข็งแกร่หรือความอาวุโส เขายังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะรับตำแหน่งผู้ดูแลใหญ่ของที่นี่ได้ อย่างไรก็ตาม…เราเพียงสนับสนุนเขาจนกว่าจะถึงวันนั้นได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถรักษาระดับความสัมพันธ์ระหว่างเย่หยวนกับหอมหาสมบัติได้แล้ว เราชายชราขอการันตี หากมีเย่หยวนอยู่ฝักฝ่ายเรา หอมหาสมบัติจะได้รับผลประโยชน์เกินจินตนาการ! โอ้ใช่แล้ว หยางรุยกับเย่หยวนเองก็ทำข้อตกลงระหว่างกันอยู่ หากเย่หยวนไม่ผ่านการทดสอบของสถานศึกษาหวูเมิ่ง หยางรุยจะขอให้เขาเข้าร่วมกันหอมหาสมบัติแทน!”
ดวงตาของห่านเทียนเปล่งประกายสว่างขึ้นในทันที และกล่าวสวนไปว่า
“หากเป็นเช่นนี้ ไฉนเราถึง…ไม่หยิบใช้อุบายลงในการทดสอบเสียหน่อยล่ะ?”
แต่เซียวเฟิ้งที่ได้ฟังแบบนั้น รีบกล่าวตอบทันควัน
“อย่า! อย่าเด็ดขาด! เด็กคนนี้ทั้งฉลาดและหัวไวมาก บางทีอาจเจ้าเล่ห์เสียยิ่งกว่าจิ้งจอกเฒ่าอย่างเราๆเสียอีก! แม้แต่เรื่องที่ข้าเดินทางไปยังเมืองกุยฉางเพื่อศึกษาวิธีหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณ ทั้งหมดก็อยู่ในแผนของเขานานแล้ว! หากท่านทำเช่นนั้น และอีกฝ่ายจับได้ ผลลัพธ์ที่ได้จากดีจะกลายเป็นร้ายทันที! เอาล่ะ เราชายชราคนนี้แทบรอไม่ไหวแล้วที่จะเก็บตัว! โอ้ อีกเรื่องหนึ่ง เด็กคนนั้นมีเรื่องมีราวกับตระกูลหวังแห่งเมืองหมิงหยาง ดูท่าพวกนั้นเองก็ขุ่นเคืองเขาไม่น้อย ไม่ว่ายังไงก็ฝากท่านดูแลในจุดนี้แทนข้าด้วยก็แล้วกัน”
ห่านเทียนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นและกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว! เราคนนี้รู้สึกอิจฉาท่านเสียจริง เมื่อไหร่ข้า,ห่านเทียนจะทะลวงผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญเช่นนี้แบบท่านได้บ้าง!”
………………………..
เมื่อการทดสอบของสถานศึกษาใกล้เข้ามา เหล่าเยาวชนภายในเมืองก็ยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้น
ณ โรงเตี๊ยมเฟิงหลาน ธารฝูงชนแน่นมากหน้าหลายตา โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นรุ่นเยาวชนหนุ่มสาว
ทั้งหมดนี้คือเหล่านักสู้รุ่นเยาวชนผู้มาพร้อมกับคนติดตามคอยอารักขา เพียงมองปวาดเดียวก็ทราบทันทีว่า พวกเขาเหล่านี้ต่างเป็นสมาชิกตระกูลใหญ่ หรือไม่ก็ศิษย์สาวกจากสำนักนิกายมีชื่อเสียง
เยาวชนระดับรากหญ้าที่ไร้ซึ่งเงินทองและทรัพยากรมาค่อยสนับสนุน กลับเป็นเรื่องยากมากที่จะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าได้ก่อนอายุสองร้อยปี
ดังนั้นเหล่าเยาวชนที่เข้าร่วมการทดสอบโดยส่วนใหญ่ ล้วนเป็นเด็กจากกลุ่มอิทธิพลใหญ่ของเขตเมืองต่างๆ
ยิ่งเป็นภายในโรงเตี๊ยมระดับหรูอย่างโรงเตี๊ยมเฟิงหลาน ผู้ที่สามารถจ่ายค่าอาหารและค่าที่พักได้ต่างเป็นพวกผู้ดีทั้งนั้น เยาวชนระดับรากหญ้าแทบไม่มีให้เห็น
“ข้าได้ยินมาว่าการทดสอบของสถานศึกษาหวูเมิ่งในครั้งนี้ มีนักสู้รุ่นเยาว์ที่เข้าสมัครมากถึงล้านคนเชียว!”
“ต่อให้มีมากมายแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์! สถานศึกษาหวูเมิ่งไม่เคยจำกัดจำนวนผู้ผ่านการทดสอบ ขอเพียงผ่านสามรอบก็เข้าได้เช่นกัน! ทั้งนี้จะผ่านหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะตัวล้วนๆ!”
“นั้นก็ใช่ แต่ด้วยจำนวนผู้สมัครมหาศาลเพียงนี้ ย่อมมีม้ามืดปรากฏตัวขึ้นแน่นอน และข้าสงสัยเสียยิ่งว่า คราวนี้…ใครจะได้ขึ้นทำเนียบดาวเด่นได้?”
“กล่าวมีเหตุผล! หากกล่าวถึงตัวเต็งที่มีโอกาสขึ้นทำเนียบดาวเด่น คงเป็นนายน้อยสี่แห่งหวู่เมิ่ง ทั้งยังพวกเมืองเหอผิง กับเมืองฉวนกังอีก เขตเมืองพวกนั้นก็นับเป็นตัวเด่นจริงหรือไม่?”
“มีความเป็นไปได้สูง! พวกเขาเหล่านั้นล้วนแกร่งกล้าเกินวัย หากมิใช่พวกเขาที่ขึ้นติดทำเนียบดาวเด่น ข้าก็คิดไม่ออกแล้วเช่นกัน”
………………….
ที่นั่งริมฝั่งหน้าต่าง หนึ่งโต๊ะสี่มุมสี่คนกำลังนั่งเฝ้าดักฟังคนรอบข้างสนทนาอย่างตั้งใจ
พวกเขาทั้งสี่คือ เย่หยวน, หยางรุย, เหลียงหวางหรูและหลัวเจีย
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนเหยียบย่างเข้ามาในเมืองนี้ จำต้องเข้าใจขนบธรรมเนียมพื้นฐานและหลักปฏิบัติของที่แห่งนี้เสียก่อนโดยธรรมชาติ
เมื่อคำว่า‘ทำเนียบดาวเด่น’ดังมาเตะหู เย่หยวนก็มีทีท่าสนใจขึ้นมาทันตา
“พี่หยาง ทำเนียบดาวเด่นคืออะไร?”
เย่หยวนเอ่ยถาม
หยางรุยกล่าวตอบว่า
“ผู้ที่สามารถผ่านการทดสอบทั้งสามรอบได้ และขึ้นกลายเป็นอันดับหนึ่งของตาราง!”
เย่หยวนกล่าวถามต่อด้วยความสงสัยว่า
“จุดนี้มิใช่เรื่องยากเกินเข้าใจ เพียงว่าการได้ขึ้นกลายเป็นทำเนียบดาวเด่นมีข้อดีอย่างไรบ้าง?”
หยางรุยกล่าวว่า
“แน่นอนว่ามากมาย! ผู้ที่ได้ขึ้นเป็นทำเนียบดาวเด่นจะได้รับรางวัลจำนวนมาก บุคคลระดับสูงในสถานศึกษาหวูเมิ่งต่างเพ่งเล็ง และได้กลายเป็นศิษย์ในนามของท่านเจ้าเมือง! เมื่อเข้าเป็นศิษย์ชั้นใน จะได้รับสิทธิพิเศษกว่าศิษย์ทั่วไป ทั้งเรื่องที่พักและคนรับใช้ สถานะศักดิ์ภายในนั้นอยู่สูงจนคนอื่นต้องเกรงกลัว ทรัพยากรหายากมากมายที่ศิษย์ทั่วไปไม่มีทางได้รับ ก็จะได้รับไม่ขาดสาย สรุปโดยย่อ คล้ายบัตรทองอาญาสิทธิ์เหนือคนอื่นในสถานศึกษาหวูเมิ่ง! ทุกๆร้อยปีที่มีการทดสอบ หัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องทำเนียบดาวเด่น!”
เย่หยวนรู้สึกประหลาดเล็กน้อยเมื่อได้ยินก่อนกล่าวว่า
“เป็นเช่นนี้นี่เอง! เพียงแต่…แม้จะได้รับตำแหน่งทำเนียบดาวเด่นไป แต่ก็มิได้การันตีว่าเขาจะเป็นที่หนึ่งเสมอไปในภายภาคหน้า?”
เส้นทางแห่งการต่อสู้เต็มไปด้วยตัวแปรมากมายที่ทั้งควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ การที่ได้อันดับหนึ่งในวันนี้ ก็มิใช่เสมอไปว่าจะเป็นอันดับหนึ่งในอนาคต
หยางรุยพยักหน้าและกล่าวว่า
“อย่างที่กล่าวไป ทำเนียบดาวเด่นเป็นได้แค่ศิษย์ในนาม หากในอนาคตกลับอับพรสวรรค์ต่อให้มีทรัพยากรดีเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาเหล่านั้นจะถูกฝูงชนหลงลืมไปเอง แต่กระนั่นเอง ฐานะทำเนียบดาวเด่นมันคือทางลัดแห่งการฝึกปรือ หากได้ตำแหน่งนี้ไปก็การันตีไปกว่าครึ่ง อนาคตย่อมสดใสแน่นอน! ท้ายที่สุดนี้ มีทรัพยากรมากกว่าย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว!”
เย่หยวนย่อมตระหนักทราบ การได้ตำแหน่งทำเนียบดาวเด่นไป ก็เท่ากับมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่นๆ อัตราความเร็วในการบ่มเพาะพลังย่อมไวกว่าโดยธรรมชาติ
สำหรับคนอื่นๆแล้ว หากต้องการกล่าวมาถึงจุดนี้อาจต้องใช้ความพยายามกว่าร้อยพันเท่าเพื่อตีตื้น
ดังนั้น ทำเนียบดาวเด่นนี้จึงสำคัญอย่างหาที่เปรียบไม่!
แต่โอกาสที่จะได้ตำแหน่งนี้ไปครองนับว่าแทบเป็นไปไม่ได้!
ตอนที่1361 ผู้ดีมารยาทเสีย
“ไฉนเจ้าถึงสนใจทำเนียบดาวเด่นอะไรนั่น? หากต้องการทรัพยากรไร้จำกัด มาเข้าร่วมกับหอมหาสมบัติก็ยังไม่สาย? หุหุ,ข้าหยอกเล่นน้องเย่อย่าได้ใส่ใจ อย่างไรก็ตาม หากการทดสอบเป็นการแข่งหลอมกลั่นโอสถกัน อย่าว่าแต่ทำเนียบดาวเด่นเลย แม้แต่ตำแหน่งศิษย์เอกพวกนั้นคงรีบประเคนให้! แต่การทดสอบนี้เป็นศาสตร์แห่งการต่อสู้นี่สิ…”
หยางรุยมิได้เอ่ยกล่าวอันใดต่อ แต่ความหมายในคำกล่าวเหล่านั้นชัดเจนมากแล้ว
ด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวน หากต้องการครอบครองตำแหน่งทำเนียบดาวเด่น เกรงกว่าดูจะไร้สาระเกินไป
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ข้าแค่ถามเท่านั้น พี่หยางอย่าได้คิดมากเลย!”
เขามิได้มีความคิดที่จะแช่งชิงตำแหน่งนี้กับใคร เพราะตระหนักดีว่าอาณาจักรพลังของตนยังค่อนข้างต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แต่เรื่องผ่านการทดสอบทั้งสามรอบ เย่หยวนเองก็พกความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม
นับตั้งแต่ที่มาถึงมหาพิภพถงเทียน ความสนใจทั้งหมดของเย่หยวนก็มุ่งอยู่กับเพียงการหลอมกลั่นโอสถและหลอมสร้างบัญญัติเทพแห่งถงเทียน แต่มิใช่ว่าเขาจะทิ้งการฝึกปรือวรยุทธต่อสู้ไปเลย ถึงกระนั่นพัฒนาการกลับหยุดนิ่งและมิได้ก้าวหน้าขึ้นมานานแล้ว
ในเวลาเดียวกัน สาวน้อยในชุดสีเหลืองและหญิงชราเดินกระทืบเท้าสีดังตึงตังขึ้นมาที่ชั้นสองของโรงเตี๊ยมเฟิงหลาน
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่พวกท่านเลือกใช้บริการกับทางเรา แต่เราบอกไปแล้วว่า ชั้นสองโต๊ะเต็มหมดแล้ว เราจะรีบหาโต๊ะใหม่ให้ในชั้นหนึ่ง!”
บริกรเร่งรุดวิ่งตามขึ้นมาและกล่าวบอกสาวน้อยเสื้อเหลืองด้วยรอยยิ้มสุดขมขื่น
ทว่าสาวน้อยในชุดเหลืองนางนี้กลับเมินบริกรคนนั้น เมื่อกวาดสายตามองสักสองสามรอบ ในที่สุดนางก็ปราดตรงเข้าไปที่โต๊ะของเย่หยวนอย่างรวดเร็ว
ปังงง!
สาวน้อยในชุดเหลืองตบแหวนเก็บของวงหนึ่งวางไว้บนกลางโต๊ะ และกล่าวขึ้นอย่างเอาแต่ใจว่า
“เจ้าหนู นี่โต๊ะของข้า! ภายในแหวนวงนี้มีผลึกปราณเทวะระดับต่ำห้าร้อยก้อน ส่วนบัญชีโต๊ะเรียกเก็บกับข้าได้เลย เจ้าเพียงรับแหวนวงนี้และไสหัวออกไปซะ!”
ความงดงามของสาวน้อยในชุดเหลืองนางนี้ช่างเป็นที่สะดุดตาทุกคนอย่างจัง
และดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็รู้จักนางเป็นอย่างดี
“นั้นมัน…นางปีศาจน้อยแห่งตระกูลฉิน นางคนนี้เอาแต่ใจสิ้นดี หากเขาไม่ตามน้ำไปเกรงว่าประสบปัญหาเข้าให้แล้ว”
“เรื่องนี้กลับช่วยไม่ได้จริงๆ ใครจะไปรู้ว่านางจะเคลื่อนไหวในเวลานี้ หลายปีมานี้ เป็นจำนวนไม่รู้เท่าไหร่แล้วที่นางลงมือทำร้ายผู้อื่น”
“เจ้าหนุ่มนั้นซวยโดยแท้ ดูจากการแต่งการคงมาจากเขตเมืองชนบท เฮ้ออ…เพิ่งมาเมืองหลวงครั้งแรกกลับวิ่งชนเข้ากับฉินเป่ยอวี่เสียแล้ว น่าสงสารนัก”
………………..
ฝูงชนโดยส่วนใหญ่ตระหนักชัดดีถึงตัวตนของสาวน้อยในชุดเหลืองนางนี้ ทุกคนต่างเหลือบมองเย่หยวนด้วยความเห็นอกเห็นใจ
เย่หยวนเงยหน้าช้อนสายตาจับจ้องไปที่ฉินเป่ยอวี่ พลันเหลียวมองแหวนเก็บของบนโต๊ะ ทันใดนั้นก็เอ่ยปากกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า
“แม่นาง เมื่อเอาไปแล้ว ทั้งหมดจะเป็นของข้า?”
เมื่อเหล่าฝูงชนโดยรอบที่เฝ้าสังเกตการณ์เห็นแบบนั้น ทุกคนก็อดผิดหวังมิได้
ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นชายหนุ่มและหญิงสาว วัยประมาณนี้มีหรือจะยอมลดศีรษะให้กัน?
แน่นอนว่าทุกคนต่างคาดหวังจะได้รับชมละครสักฉากหนึ่ง แต่ใครจะไปคิด เย่หยวนกลับไม่สู้คนขนาดนี้
ฉินเป่ยอวี่ไม่แม้แต่จะปกปิดสีหน้าการแสดงออกของนาง เมื่อได้ฟังวาจาแสนขี้ขลาดดังนั้น ก็ยิ่งมองเย่หยวนด้วยสายตาสุดรังเกียจและดูถูกหยามเหยียด นางกล่าวเสียงเย็นตอบว่า
“แน่นอน! ทั้งหมดนี้มีผลึกปราณเทวะระดับต่ำห้าร้อยก้อน ทั้งหมดเป็นของเจ้า จะไปไหนก็ไป”
เย่หยวนพยักหน้าตอบพลางผลักแหวนเก็บของกลับไป เขากล่าวตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเดิมว่า
“แม่นาง ภายในแหวนวงนี้มีผลึกปราณเทวะระดับต่ำห้าร้อยก้อน รับมันไปแล้วรีบๆไสหัวไปซะ เสียเวลาข้ารับประทานอาหารยิ่งนัก”
เมื่อประโยคนี้ดังขึ้น ทุกคนรอบข้างต่างตะลึงงันในบัดดล
ถูกย้อนทันควันเช่นนี้ กระทั้งพวกเขายังไม่ทันตอบสนอง!
แต่ชั่วครู่ต่อมา ทุกคนต่างทราบทันที วันนี้มีละครฉากใหญ่ให้รับชมกันแล้ว
การตอบโต้ของเย่หยวนแม้เรียบง่าย แต่กลับตอกฉินเป่ยอวี่หน้าเงย
แน่นอน สีหน้าการแสดงออกของฉินเป้ยอวี่แปรเปลี่ยนในทันใด นางตะคอกขึ้นด้วยความโกรธว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้ากล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งคุณหนูผู้นี้? เจ้าทราบหรือไม่ว่าคุณหนูผู้นี้เป็นใคร? เพียงกระดิกนิ้ว ชีวิตอันไร้ค่าของเจ้าก็ดับมอดลงได้ในทันที!”
ไม่เพียงจะล้ำเส้นหาเรื่องคนอื่น ทั้งยังตัดสินชีวิตผู้คนเล่นดั่งผักปลาแบบนี้ กล่าวตามสัตย์จริง เย่หยวนรู้สึกรังเกลียดฉินเป่ยอวี่อย่างมาก
เย่หยวนสันนิฐานได้ทันที คงมีหลายชีวิตไม่น้อยที่ตายลงด้วยน้ำมือของนาง
“นายน้อยผู้นี้ไม่รู้จักและไม่อยากรู้จักเช่นกัน จะไปไหนก็ไป อย่ายืนขวางหูขวางตาเช่นนี้ ข้ากินอาหารไม่ลง”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมโบกมือไล่สองสามที
ฉินเป่ยอวี่นางนี้ถูกตามใจจนติดนิสัย มีหรือเคยถูกคนอื่นกล่าววาจาเช่นนี้ใส่? นางยกฝ่ามือขึ้นพร้อมตบเข้าใส่ศีรษะเย่หยวนทันที!
ฝ่ามือนี้เปี่ยมไปด้วยพลังปราณเทวะที่ควบแน่นจนล้นปรี่ นางหวังสังหารเย่หยวนทิ้งภายในหนึ่งฝ่ามือ
สีหน้าของเย่หยวนมืดทมิฬถึงขีดสุด ครั้งนี้เขาโกรธจริงๆแล้วเช่นกัน
ฉินเป่ยอวี่นางนี้ยังเป็นเพียงสาวน้อยก็จริง ทว่าอาณาจักรพลังของนางกลับมิได้ต่ำแล้ว ปัจจุบันเป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย
แม้อาณาจักรพลังของเย่หยวนจะค่อนข้างมั่นคงและแกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่ง แต่หากเทียบกันแล้ว เขายังด้อยกว่าอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายอยู่เล็กน้อย
ในมุมมองของคนอื่นๆ เย่หยวนนับเป็นผู้เคราะห์ร้ายอีกรายหนึ่งที่ถูกฉินเป่ยอวี่สังหารทิ้ง
แต่ในเวลานั้นเอง ฝ่ามือเย่หยวนพลันเคลื่อนตอบโต้ออกไปทันทีเช่นกัน
ในที่สุดนี้ หญิงชราที่อยู่เบื้องหลังฉินเป่ยอวี่ก็มีท่าทีเปลี่ยนไป นางที่เห็นเย่หยวนโจมตีตอบโต้ดังนั้นก็ตะโกนขึ้นว่า
“รนหาที่ตาย!”
ลั่นคำจบ หญิงชราปราดพุ่งจู่โจมใส่เย่หยวนช่วยอีกแรงโดยตรง
แต่ทันใดนั้นเอง พลันมีสายลมหยินสุดเย็นยะเยือกจากไหนไม่ทราบโหมปะทะเข้าใส่เต็มแรง ร่างของกุ้ยหยุนปรากฏขึ้นในพริบตาต่อมา
เพียงเคาะนิ้วออกไปเบาๆ หญิงชรานางนั้นกระเด็นออกไปทันที
เพียะ!
เสียงตบคมชัดดังสนั่นลั่นโรงเตี๊ยม ร่างของฉินเป่ยอวี่หมุนเคว้งหลายตลบก่อนร่วงกระแทกพื้นโดยตรง
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเสี้ยวพริบตาดุจสะเก็ดไฟสาดสะท้อนจากคมโลหะ ทุกคนยังไม่ทันตอบสนองมองตามได้ทัน ทว่าทุกอย่างกลับจบลงเสียแล้ว
เย่หยวนตบหน้านางแรงมาก จนถึงขั้นที่ว่าปรากฏรอยฝ่ามือแดงครบห้านิ้วบนใบหน้าของฉินเป่ยอวี่
ในเวลาต่อมา ทุกคนต่างตะลึงงันกันเป็นแทบ ประการแรก ตกใจกับความแกร่งกล้าของเย่หยวน และประการที่สอง กุ้ยหยุนที่จู่ๆก็ปรากฎกายขึ้นมา
วิญญาณชั่วระดับสองชั้นปลาย กลับคอยปกป้องชายหนุ่มผู้นี้อยู่ข้างกาย!
มิได้เห็นผิดแต่อย่างใด ระหว่างเดินทางไกลจากเมืองกุยฉางมายังเมืองหลวงหวูเมิ่ง กุ้ยหยุนเลื่อนระดับชั้นขึ้นสู่สองดาวชั้นปลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
เดิมทีกุ้ยหยุนยังติดอยู่ที่จุดสูงสุดของสาวดาวชั้นกลาง แต่หลายปีที่ผ่านมา ภายใต้คำชี้แนะของหวูเฉิน และวรยุทธบ่มเพาะพลังอันทรงอนุภาพอย่าง อักขระร้อยภูตเต๋า ปัญหาอย่างการเลื่อนระดับชั้นกลับเหลือเพียงเรื่องของเวลา
หญิงชรานางนั้นเป็นแค่เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลาง แล้วนางจะเป็นคู่มือของกุ้ยหยุนได้อย่างไร? นางพ่ายลงทันทีภายในกระบวนโจมตีเดียว
แม้เย่หยวนยังไม่ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายก็จริง แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งการบ่มเพาะฝึกปรืออย่างหนัก และกระเดือกโอสถบ่มเพาะปราณเป็นว่าเล่น เขาก็อยู่ไม่ห่างจากอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายแล้วเช่นกัน
เนื่องด้วยระดับความบริสุทธิ์และความหนาแน่นของพลังปราณเทวะของเย่หยวน ความแกร่งกล้าของเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายทั่วไปอยู่แล้ว
ฉินเป่ยอวี่เพิ่งขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายมาได้ไม่นาน ยิ่งไปกว่านั้น เพียงมองปราดเดียวก็ทราบทันทีว่า นางไม่เคยผ่านศึกสัประยุทธ์จริงๆจังๆมาเลยสักครั้ง ไร้ซึ่งประสบการณ์แบบนี้ แล้วนางจะเอาชนะเย่หยวนได้อย่างไร?
“แก…แกกล้าตบหน้าข้างั้นรึ?! ข้าจะฉีกแขนขาแกและนำศพไปให้สุนัขแทะ! ไอ้บ้านนอกอย่างแก บังอาจทำให้ใบหน้าอันงดงามของคุณหนูผู้นี้เสียโฉม ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงหารู้จักไม่! นังโสเภนีข้างๆคงเป็นคนรักเจ้ากระมัง? ข้าจะส่งคนไปขืนใจมันและกรีดหน้าให้เสียโฉมชั่วชีวิต!”
ฉินเป่ยอวี่อาละวาดหนัก นางเอ่ยปากด่าพวกเย่หยวนด้วยถ่อยคำแสนหยาบคายยิ่ง
เมื่อหญิงชรานางนั้นเห็นสีหน้าของเย่หยวนที่มืดทมิฬหนักเข้า นางก็เร่งตะโกนขึ้นแทรกทันทีว่า
“เจ้าหนูหยุดก่อน! ฉินเป่ยอวี่เป็นบุตรสาวสืบสายเลือดของตระกูลฉิน! อย่าทำสิ่งใดโดยไม่คิด อาจตายโดยไม่ที่ฝัง!”
แต่อย่างไรก็ตาม มันกลับสายเกินไปเสียแล้ว…
เพียะ!! เพียะ!! เพียะ!!
เสียงตบหน้าดังกระหึ่มทั่วโรงเตี๊ยมหลายชุดใหญ่จนแสบหูทุกคน ในยามนี้ทุกคนรอบข้างต่างจับจ้องไปที่เย่หยวนด้วยแววตาแสนสั่นกลัว
บางคนถึงกับยกมือขึ้นลูบหน้าตนเองเบาๆคล้ายแสบสัน ประดุจว่าเป็นพวกเขาที่โดนกระหน่ำตบหน้าแทน
บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเฟยหลานเงียบสงัดดุจป่าช้า มีเพียงเสียงกระหน่ำตบหน้าที่ยังคงดังลั่นไม่หยุดหย่อน
เย่หยวนขึ้นไปค่อมร่างของฉินเป่ยอวี่ที่นอนเจ็บอยู่ พร้อมกระหน่ำตบหน้าเต็มแรงไม่ยั้งมือ จนตอนนี้ใบหน้าอันงดงามของนางกลับบวมช้ำเป็นหัวหมู จนจำหน้ามิได้แล้วว่าลูกหลานใคร
ทุกคนต่างพรูหายใจเย็นด้วยความหวาดกลัว ใจหายวูบแทบตกไปถึงตาตุ่ม หาญกล้ากระหน่ำตบหน้าคุณหนูตระกูลฉินได้ขนาดนี้ หรือชายหนุ่มคนนี้เสียสติไปแล้ว?
“ในวัยหนุ่มสาวย่อมมีช่วงคึกคะนองกันทั้งนั้น! เดิมทีข้าเพียงต้องการสั่งสอนเล็กน้อย แต่เจ้าถึงขั้นมีเจตนาชั่วช้าข่มขู่สหายข้า นี่กลับฝังลึกจนเป็นสันดานแล้ว! หากไม่ตบให้ปากฉีกเสียบ้าง คงไร้สมองคิดไม่ได้!”
เจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าไป เย่หยวนยังมีอารมณ์ทานอาหารอยู่ได้อย่างไร?
ความหิวก่อนหน้าพลันอันตรธานหายหมดสิ้น
เย่หยวนโยนแหวนเก็บของที่ฉินเป่ยอวี่ให้มาตอนแรกกลับไป และกล่าวน้ำเสียงสุดเย็นชาขึ้นว่า
“แม่นาง เป็นถึงคุณหนูลูกผู้ดี แต่หัดศึกษาเรื่องมารยาทเสียบ้าง เอาผลึกปราณเทวะที่ให้มาไปชดใช้ค่าเสียหายแก่โรงเตี๊ยมเฟิงหลานซะ ส่วนที่เหลือก็เอาไปซื้อยาทาแก้แผลบวมช้ำ”
เมื่อกล่าวจจบเย่หยวนก็พาทุกคนเดินจากโรงเตี๋ยมเฟิงหลานไปทันที โดยไม่เหลียวหลังกลับมองอีกเลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น