Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1353-1356
ตอนที่1353 ตกหลุมที่ขุดลงเอง
พ้นห่างไปจากเมืองกุยฉางนับหลายหมื่นลี้ สองร่างทะยานควบมังกรบิน เร่งความเร็วสุดขีดไปยังทิศทางเมืองหมิงหยางดั่งสายลมโฉบแล่น
“หวังซู วิธีนี้กลับไม่โหดเหี้ยมเกินไปหน่อยรึ? ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลสาขาเมืองกุยฉางก็เป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลหวังเหมือนกัน!”
หวังซวนเฟยกล่าวขึ้น
“ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางได้จบสิ้นลงไปนานแล้ว เราเพียงใช้พวกมันให้คุ้มค่าที่สุดก่อนจะไร้ประโยชน์เท่านั้น! ที่สำคัญ หากไม่ทำเช่นนี้แล้วเราจะอาศัยข้ออ้างใดส่งคนจากตระกูลหลักให้ไปสังหารเย่หยวนกัน?”
หวังซูกล่าวขึ้นกล่าวอย่างไม่แยแสอันใด
หวังซวนเฟยถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า
“แต่วิธีนี้กลับไร้มโนธรรมเกินไป!”
หวังซูเค้นเสียงหัวร่อคำหนึ่งพลางกล่าวตอบ
“ผู้ประสบความสำเร็จกลับไม่ตระหนี่เรื่องเล็กน้อย! มิเช่นนั้นไฉนสตรีเพศถึงเป็นรองในพิภพแห่งการต่อสู้เช่นนี้? อย่าได้สนใจอีกเลย เรารีบไปกันดีกว่า!”
หวังซวนเฟยเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย ยามนี้หมดคำพูดจะเอ่ยกล่าวแล้วจริงๆ
กระนั่น ขณะที่ทั้งสองกำลังควบทะยานเดินทางโดยไว แต่จู่ๆก็มีสายลมเย็นยะเยือกหอบใหญ่พัดผ่านหลู่ทุกอณูรูขุมขน
วิสัยทัศน์เบื้องหน้าของทั้งสองพร่ามัวอย่างหนัก ทันใดนั้นพลันปรากฎร่างหนึ่งอยู่ต่อหน้าต่อตา
รูม่านตาดำของหวังซูถึงกับตีบแคบกะทันหัน สีหน้าเปลี่ยนสีสลับไสวตระหนกสุดขีด เขาอุทานลั่นอย่างตะกุกตะกักว่า
“จะ-จะ-เจ้า…ไฉนเจ้าถึงอยู่ที่นี่?”
ร่างที่ยืนสกัดขวางต่อหน้าต่อตาทั้งสองกลับมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากกุ้ยหยุน!
กุ้ยหยุนเอ่ยแช่มน้ำเสียงเย็นเฉียบว่า
“นายท่านสั่งให้ข้าลอบติดตามพวกเจ้ามา ตราบใดที่ย่างเท้าออกจากเมืองกุยฉาง ข้ามีหน้าที่ลากพวกเจ้ากลับมา”
สีหน้าของหวังซูซีดเผือกแลดูสิ้นหวังแล้ว
เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เย่หยวนจะเป็นคนที่รอบคอบขนาดนี้ ถึงขนาดที่ว่าส่งวิญญาณชั่วสองดาวตามติดพวกเขา!
…………………………
“หยางรุย, เย่หยวน หากพวกเจ้าไม่ยอมออกมาอธิบายให้ข้าฟังภายในวันนี้ ปมความแค้นระหว่างเราไม่มีทางจบง่ายๆ! หากเก่งจริงก็ออกมาฆ่าข้า,หวังเพียนหลานคนนี้! เหอะ ทั้งพี่ชายและท่านพ่อล้วนถูกพวกเจ้าสังหารโหด ข้าอยากจะเห็นเสียเหลือเกิน ใครมันยังจะกล้าซื้อของในหอมหาสมบัติอีก! ดีไม่ดีอาจถูกฆ่าปิดปากเมื่อใดก็ได้!!”
หวังเพียนหลานตะโกนด่าพ่นน้ำลายใส่ไม่หยุดหย่อน ซึ่งเวลาผ่านไป มันก็ยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์พัฒนามาไกลถึงจุดนี้ หยางรุยก็ยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่
หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป มีหวังชื่อเสียงที่สั่งสมมาของหอมหาสมบัติคงป่นปี้ไม่เหลืออีกแล้ว!
เย่หยวนเหลียวมองอีกฝ่ายเล็กน้อย และกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“พี่หยาง ระงับโทสะเอาไว้ก่อน อีกฝ่ายกำลังยกหินขึ้นมาทุบเท้าตัวเอง อย่าได้สนใจจนเกินไป”
หยางรุยเอ่ยกล่าวอย่างฉงนใจว่า
“หรือเจ้าไปรู้เรื่องอะไรมา?”
เย่หยวนส่ายหัวและกล่าวว่า
“ไม่รู้หรอก เพียงช่วงนี้ระมัดระวังรอบคอบเป็นพิเศษเท่านั้น หากต้องการรับมือพวกเดรัจฉานเหล่านี้ให้อยู่หมัด จำต้องใส่ใจทุกรายละเอียดจริงหรือไม่?”
ได้ฟังเย่หยวนกล่าวดังนั้น หยางรุยยิ่งไม่มีความมั่นใจเข้าไปใหญ่
แต่ทันใดนั้น สายลมธาตุหยินสุดเย็นจัดกระโชกซัดใส่หอมหาสมบัติพร้อมเสียงหอนกังวาลลั่น ทุกคนที่รู้สึกได้ยินต่างสั่นสะท้านขนหัวลุกกันโดยพลัน
ตุบบบ!!
ร่างทั้งสองถูกโยนลงกลางฝูงชนล้มกระแทกพื้นอย่างแรง โดยที่คนปล่อยหาได้สนใจปราณีใดๆ
เย่หยวนในยามนี้ก้าวแช่มเผยใบหน้าต่อสาธารณะชน สายตาของเขาจับจ้องไปทางหวังซูที่พยายามตะเกียดตะกายยืนขึ้นและกล่าวว่า
“หวังซู คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะได้พบกันอีก ไม่ใจร้ายไปหน่อยรึที่เจ้าจากไปโดยมิกล่าวคำอำลาเลย?”
ในเวลานี้เอง ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของทั้งหวังซูและหวังซวนเฟยต่างถูกปิดผนึกไว้โดยกุ้ยหยุน พวกเขาไม่มีปัญญาทำอะไรได้เลยแม้แต่จะฆ่าตัวตาย
เห็นเย่หยวนอยู่ตรงหน้า ท่าทีการแสดงออกของหวังซูดูน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่
“เย่หยวน! เจ้าหมายความอย่างไรกันแน่? ฆ่าผู้อาวุโสอวีเซียงกับลูกชายของเขายังไม่พอใจอีกรึ? ถึงขั้นยั่วยุพวกเราตระกูลหวังสาขาหลักแห่งเมืองหมิงหยาง?”
หวังซูระบายเสียงเย็นเอ่ยตอบ
เย่หยวนถูกฝูงชนโดยรอบล้อมกรอบไว้แล้วเช่นกัน ทว่าเขากลับมิได้กังวลแยแสใดๆ และกล่าวพร้อมรอยยิ้มจางๆว่า
“หากไม่มีล้ำเส้นข้าก่อน มีหรือที่ข้าจะไปล้ำเส้นใคร? หากผู้ใดกล้าทำให้ข้าขุ่นเคือง ข้าฆ่าล้างไม่เว้นชีวิต! แล้วพวกเจ้าก็ยั่วยุก่อปัญหาให้ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า หรือเป็นไปได้ไหมว่าจะหนีออกไปได้ง่ายๆ? เหนือพิภพใต้สวรรค์ อย่าหลงคิดไปว่าพวกเจ้าไร้เทียมทาน!”
แลเห็นท่าทีอันเย็นชาของเย่หยวน หวังซูใจหายวูบโดยมิตั้งใจ
ด้วยความแกร่งกล้าของวิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลาง พวกเขาตระกูลหวังยังนับเป็นอันใด?
หากกล้าแตะต้องเย่หยวนแม้แต่น้อย ได้ตายไม่รู้ตัวแน่นอน!
ความคิดหนึ่งโฉบแล่นผ่านห้วงความคิด หวังซูได้ทีตอบโต้ รวบรวมความกล้าและเอ่ยปากขึ้นว่า
“เหอะ คิดเปลี่ยนจะดำกลายเป็นขาว! ศพของหวังผู้อาวุโสอวีเซียงถูกแขวงอยู่ทนโท่ หรือจะปฏิเสธว่าตนมิได้ฆ่าเขา?”
รอยยิ้มแสยะเย็นพลันผุดขึ้นบนมุมปากของหวังซู
“ถูกต้อง ข้าฆ่าหวังอวีเซียงกับมือ!”
เย่หยวนพยักหน้าพร้อมยอมรับหน้าตาเฉย
หวังซูชะงักไปทันทีที่ได้ยิน แต่เดิมเขาหวังว่า เย่หยวนจักต้องปฏิเสธหัวชนฝาแน่นอน ซึ่งนั้นจะยิ่งเป็นการมัดตัวอีกฝ่ายให้แน่นจะคลายไม่ออก
ทว่าใครจะไปคิด เย่หยวนกลับสวมรอยยอมรับตามตรงอย่างหน้าไม่อาย
มิใช่ว่าวิญญาณชั่วสองดาวของมันเป็นคนฆ่ารึ?
ไฉนถึงไม่ปฏิเสธเลยสักนิด?
มิใช่เพียงแค่หวังซูเท่านั้น ฝูงชนรอบข้างในตอนนี้กลับตกสู่ความโกลาหลในบัดดล
พวกเขาไม่นึกไม่ฝัน หอมหาสมบัติจะลงมือฆ่าผู้อาวุโสและประมุขของตระกูลหวังไปจริงๆ!
“หึ! ในเมื่อเจ้ายอมรับแล้ว เช่นนี้ก็พูดคุยกันง่ายขึ้น! ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลหวัง เจ้าจะมีหน้าอธิบายกับทุกคนในเมืองกุยฉางอย่างไร!”
หวังซูคำรามขึ้นคล้ายบุรุษทวนคืนความชอบธรรม
เย่หยวนเหลียวมองหวังซูด้วยสายตาสุดเวทนา พร้อมเอ่ยเสียงเย็นกล่าวว่า
“อธิบาย? อธิบายอะไร? เรื่องนี้เจ้าเองก็ทราบ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ภายในตำหนักเจ้าเมืองในวันนั้น หากต้องการแถลงไขนักก็อธิบายเอาเอง”
หวังซูได้ยินแบบนั้น ลอบกระตุกยิ้มมุมปากพร้อมกล่าวว่า
“แน่นอนข้ารู้ทุกอย่าง! เจ้ากับหยางรุยวางแผนลอบสังหารพ่อลูกตระกูลหวังโดยแอบใส่ยาพิษลงในจอกพวกเขา! นี่ยังต้องอธิบายอันใดอีก? ช่างเป็นวิธีของพวกขี้ขลาดไร้ยางอาย! พวกเขายังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าตนสิ้นใจตายตั้งแต่เมื่อใด!”
หวังซูสร้างเรื่องใส่ไฟเพิ่มในทันที ในเมื่อเย่หยวนเองก็ยอมรับเรื่องนี้กับตัวแล้ว ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้เขาโยนหินใส่ได้เต็มที่
“เย่หยวน! ไอ้บัดซบ,ข้าจะสู้กับแกเอง! เพราะแกคนเดียวที่ทำให้ตระกูลหวังของข้าพังพินาศลงกับตา! แม้วันนี้ข้าต้องตาย ก็ขอลากแกลงนรกเช่นกัน!”
เคียงข้างไม่ห่างกันนัก หวังเพียนหลานที่ได้ฟังแบบนั้นก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป ในที่สุดนางก็ระเบิดโทสะพุ่งเข้าใส่เย่หยวน พร้อมชั้นไขมันกระเพือมน่าเกลียด
เย่หยวนคร้านจะใส่ใจ พร้อมยกบาทาตอกกลางหน้านางไปหนึ่งดอก ก้อนไขมันนางนั้นกระเด็นออกไปโดยตรง
เย่หยวนที่ทำกิริยาหยาบทรามเช่นนี้ ยิ่งทำให้ฝูงชนเชื่อคำกล่าวของหวังซูสนิทใจ
อึดใจต่อมา ภาพลักษณะของหอมหาสมบัติกลับดึกดิ่งสู่ก้นบึ้งหัวใจทุกคน
เมื่อเห็นสถานการณ์ดำเนินมาถึงจัดนี้ หวังซูยิ่งรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งอย่างลับๆ
นี่คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการ!
เย่หยวนเหลือบมองไปยังกลุ่มคนตระกูลหวังด้วยหางตา เอ่ยปากกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“พวกเจ้าคงแอบสุขใจอยู่ไม่น้อย? คิดว่าการที่ตระกูลหวังมีคนคอยหนุนหลังอยู่ จะทำให้ไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเจ้าเลย? หากไม่ยืมปากพวกเจ้สักคน คงไม่มีทางพูดความจริงเลยกระมัง?”
กล่าวสิ้นสุดบรรจบถึงคำสุดท้าย เย่หยวนพลันกวาดสายตาเข้าใส่หวังซูพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ
หวังซูที่เห็นแบบนั้นถึงกับขนลุกซู่วสะท้านยันหนังศีรษะ เนื้อตัวของเขาสั่นเทาโดยมิตั้งใจ
“เจ้า…เจ้าจะทำอะไรข้า? ข้าขอบอกไว้ก่อน…พี่…พี่ชายของข้าเป็นถึงรองเจ้าเมืองหมิงหยาง! ไอ้เด็กเหลือขออย่างแกไม่มีทางทราบแน่นอนว่า ขุมพลังของพวกเราตระกูลหวังยิ่งใหญ่ปานใด! ห-หากเจ้ากล้าลงมือกับข้า…เจ้าจักต้องตายหามีที่ฝังไม่!”
ขณะเอ่ยขู่กลับเป็นหวังซูที่เผยสีหน้าซีดเซียวหนัก พลางค่อยๆคลานร่างถอยหนีตีห่างออกจากเย่หยวน
เย่หยวนส่ายหัวเล็กน้อย เสียงพลูถอนหายใจแผ่วเบา พลางเอ่ยปากกล่าวประดับรอยยิ้มเย็นขึ้นว่า
“หวังซู ข้ารู้สึกสงสารเจ้าจริงๆ! เจ้าคงคิดว่าตัวเจ้าเองฉลาดกว่าใครๆ หลงคิดไปว่าตระกูลหวังใหญ่คับฟ้า แต่ความเป็นจริงแล้ว…ข้ากลับหาได้ใส่ใจแม้สักนิด! เอาเถอะ อีกไม่นานเจ้าก็ตายจากไปแล้ว กล่าวอะไรไปก็เปล่าประโยชน์!”
หนึ่งคำต่อหนึ่งก้าว เย่หยวนเอ่ยกล่าวพลางย่างสามขุมเข้าใกล้หวังซูอย่างแช่มช้า ระดมพลังปราณเทวะควบแน่นอยู่บนฝ่ามือ หากหวังซูโดยฝ่ามือนี้ไปโดยปราศจากสิ่งใดมาป้องกัน เตรียมตีตั๋วลงนรกได้ในบัดดล
หวังซูในยามนี้เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุดด้วยความหวาดกลัวจัด คล้ายว่าจะเอ่ยปากต้องการกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่ากลับเสียขวัญจนเอ่ยปากออกเสียงมิได้แล้ว
เย่หยวนที่ได้เห็นแบบนั้นกลับยิ่งฉีกยิ้มกว้างแสนสุขใจ เขาในปัจจุบันเปรียบเสมือนราชาปีศาจผู้มีจิตใจเลือดเย็นสุดพรรณนาในสายตาของทุกคน
ซวบบบ!!
หนึ่งฝ่ามือเคลื่อนไหว ตบอัดเข้าตรงศีรษะของหวังซูจนแหลกดุจลูกแตงโมระเบิด
ฆ่าทิ้งได้ทันทีเพียงวาจาขัดหู!
หยางรุยที่อยู่ข้างๆสะดุ้งเฮือกตกใจไม่ต่าง เขาเองก็คาดไม่ถึง เย่หยวนจะเด็ดขาดไร้น้ำใจได้ขนาดนี้จริงๆ
แถมเขายังอยู่ร่วมกับฝ่ายเย่หยวน จะเคลื่อนไหวอย่างไร มันค่อนข้างทำใจลำบากเกินไป
“เจ้า…เจ้ากล้าลงมือฆ่าหวังซู?!!”
หวังซวนเฟยตกตะลึงสุดขีดยามเห็นภาพฉากนี้ต่อหน้าต่อตา เขาคาดไม่ถึงแม้สักนิด เย่หยวนเสียสติหนักถึงขั้นลงมือฆ่าคนได้โดยหาต้องไตร่ตรองใดๆ เลือดเย็นระเบิดหัวคนได้คามือ!
เย่หยวนคลี่สีหน้าล้อหยอกพร้อมยักไหล่อย่างไม่แยแส และกล่าวขึ้นว่า
“ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้ว จะพูดความจริงหรือไม่ก็ตามใจอิสระ? หากยอมกล่าวแต่โดยดี นายน้อยผู้นี้ย่อมมีรางวัลตอบแทน เมตตาไว้ชีวิตสักครา ทว่าหากไม่ ข้าก็แค่ลากสองเฒ่าตระกูลหลู่และหลินมาเล่าความจริงให้ฟังในภายหลัง”
ตอนที่1354 ไร้มโนธรรมที่สุด!
เม็ดเหงื่อแตกท่วมไหลรินผ่ากลางหน้าผากหยดลงติ๋ง หวังซวนเฟยสั่นกลัวหนัก ยามนี้หาไม่สงสัยในคำพูดของเย่หยวนอีกต่อไป
แต่เดิมพวกเขาต่างคิดว่า เย่หยวนเป็นเพียงนักหลอมโอสถมากฝีมือคนหนึ่ง หาไก้มีพิษมีภัยต่อคนอื่น
ทว่าตอนนี้ ลักษณ์อันแสนอ่อนโยนเหล่านั้นของเย่หยวนกลับพังทลายลงมาไม่เหลือดังโครม รอยยิ้มฉีกแสยะกว้างของเขาในปัจจุบันดุจฆาตกรโรคจิตมิปาน
ทุกคนล้วนตระหนักชัดแจ้งถึง ความน่ากลัวของตระกูลซูสาขาหลักในเมืองหมิงหยางเป็นอย่างดี แต่เย่หยวนกลับเลือกที่จะฆ่าหวังซูโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
ชายหนุ่มคนนี้มันบ้าไปแล้ว!
“ขะ-ข้า…ข้าพูดแล้ว! ข้ายอมพูดแล้ว!”
หวังซวนเฟยมิอาจทนต่อแรงข่มขู่ของเย่หยวนได้ในที่สุด จนต้องคลายความจริงออกมา
เย่หยวนยิ้มตายี๋กว้างพร้อมกล่าวว่า
“อย่าลืมสาบานต่อหน้าสรวงสวรรค์ด้วย”
หวังซวนเฟยยามนี้หวาดกลัวจัด เขาเร่งกล่าวคำสาบานและเปิดปากเล่าความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตำหนักเจ้าเมืองให้ทุกคนฟังโดยละเอียด
ความเป็นจริงกลับตรงข้ามกับสิ่งที่หวังซูกล่าวไปโดยสิ้นเชิง!
ปรากฏว่า ฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองกับเป็นพันธมิตรกับสามตระกูลใหญ่มาตั้งแต่แรก พวกเขารวมกลุ่มกันเพื่อบีบให้หอมหาสมบัติยอมแบ่งผลประโยชน์ให้ ในขณะที่พวกเขาเพียงนั่งเฉยๆรอเก็บเกี่ยวผบกำไร
เพียงแต่ว่า พวกเขาทั้งหมดกลับคาดไม่ถึงเลยว่า เย่หยวนจะทรงพลังได้ขนาดนี้และมิได้เกรงกลัวในอำนาจของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย!
เฉพาะเวลานี้ ในที่สุดเหล่าฝูงชนก็ทราบเสียที ไฉนเย่หยวนถึงยังสงบเสงียมได้ขนาดนี้!
หากไม่เคยทำเรื่องขัดต่อมโนธรรม ย่อมหาได้เกรงกลัวต่อผีเยี่ยมเยือนถึงประตูบ้านไม่!
ตระกูลหวังหาเรื่องตายเอง แล้วนี่จะไปโทษใครได้?
นอกจากนี้ ตระกูลหวังก็เคยส่งสามผู้อาวุโสใหญ่ไปตามล่าเย่หยวนในสุสานสายลมหยิน มิตรหรือศัตรูกลับถูกกำหนดมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
แต่เมื่อหวังเพียนหลานได้ฟังสิ่งเหล่านี้ นางกลับดึงดันหัวรั้นไม่เชื่อ
นางไม่กล้าทำใจเชื่อสิ่งที่ได้ยินเลยสักนิด นี่ไม่น่าจะใช่ความจริงเลย!
หากมองข้ามเรื่องอื่นไปก่อน เพียงแค่หวังซูที่ร่วมมือกับเฉินหย่งหนานสังหารท่านพ่อและพี่ชายของนางซึ่งเป็นคนในตระกูลเดียวกัน แค่นี้ก็ไร้มโนธรรมเกินพอแล้ว แต่นี่ยังโยนความผิดทั้งหมดให้แก่หอมหาสมบัติ และยุยงให้สมาชิกตระกูลหวังคนอื่นๆและนางเข้าใจผิดอีก!
บนใบหน้าเย่หยวนก็คงยิ้มแย้มไม่คลายอ่อน เขากล่าวกับหวังซวนเฟยขึ้นว่า
“นี่คือทั้งหมดแล้ว? แน่ใจรึ? คงมิได้ยุยงให้สุกรอ้วนหวังเพียนหลานมาพ้นน้ำลายใส่พวกข้าพร้ำเพรื่อกระมัง?”
ทั่วทั้งร่างของหวังซวนเฟยสั่นสะท้านฉับพลันดั่งถูกสายฟ้าฟาด เขาจงใจไม่กล่าวส่วนนี้ออกไป เพราะกลัวว่าจะไปก่อความโกรธแค้นต่อฝูงชนและตระกูลหวังได้
ส่วนคำสาบานที่หวังซวนเฟยเคยให้ไว้กับเฉินหย่งหนานในตำหนักเจ้าเมือง เขาก็ค่อนข้างฉลาดในการเลือกใช้คำ เนื้อความสาบานก็คือ เขาจะไม่เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน‘วันนั้น’
สำหรับเรื่องแผนการที่หวังซูวางเอาไว้ เขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า เย่หยวนจะมองผ่านอ่านกลยุทธ์ออกได้อย่างเฉียบขาดขนาดนี้ เด็กคนนี้ฉลาดหลักแหลมเกินไป
“มะ-ไม่มีแล้ว!”
หวังซวนเฟยกล่าวปฏิเสธเสียงตะกุกตะกัก ซึ่งนี่กลับไปดึงดูดความสนใจของทุกคนอีกครั้ง
เย่หยวนยังคงกล่าวตอบอย่างยิ้มแย้มว่า
“ไม่มีแล้วจริงๆ? ในเมื่อไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เจ้าก็หมดประโยชน์แล้วล่ะ ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านเก่าเดี๋ยวนี้!”
เย่หยวนค่อยๆระดมพลังปราณเทวะก่อขึ้นบนฝ่ามืออย่างพิรี้พิไรมากพิธี คู่สายตาของเขายังคงจับจ้องที่หวังซวนเฟยมิคลายอ่อนแม้แต่น้อย
สองคู่สายตาประกบจ้อง เย่หยวนจ้องเขม็งไปยังหวังซวนเฟยมองตาไม่กระพริบ คล้ายแรงกดดันสุดน่าสะพรึงดุจคลื่นยักษ์กำลังถาโถมเข้าใส่ก็ไม่ปาน
หวังซวนเฟยมิอาจทนต่อแรงกดดันนี้ได้อีกต่อไป เขาเร่งกล่าวแทบลิ้นจุกปากว่า
“ยะ-ยัง…ยังไม่หมด! ยังมีอีก! หวังซูกับเฉินหย่งหนานตกลงกันว่า หลังจากที่เป่าหูหวังเพียนหลานให้ไปหาเรื่องหอมหาสมบัติเสร็จสิ้น ในคืนนั้นเขาจะส่งนักฆ่าไปลอบสังหารตระกูลหวังทั้งหมดในชั่วข้ามคืน และโยนความผิดทั้งหมดให้แก่เย่หยวน! หากแผนนี้เป็นไปได้ด้วยดี หวังซูจะได้มีข้ออ้างเพื่อให้ตระกูลหวังสาขาหลักส่งยอดฝีมือมาจัดการเย่หยวนในภายหลัง!”
วาจาแต่ละคำที่หลุดออกจากปากของหวังซวนเฟย กลับเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าสายลมหยินที่ปลดปล่อยออกจากร่างของกุ้ยหยุนเสียอีก แผนการนี้หาไม่เลือดเย็นคงคิดไม่ได้
หวังซูผู้นี้ไร้ซึง่มโนธรรมอย่างแท้จริง กระทั่งตระกูลร่วมสายเลือดเดียวกันยังฆ่าล้างกันลง!
เดรัจฉานประเภทนี้ ต่อให้ตายเกิดนับร้อยครั้งก็ยังไม่พอ!
ตอนที่เย่หยวนตบฝ่ามือระเบิดศีรษะของหวังซูเป็นจุณ ผู้คนรอบข้างต่างมองว่าเย่หยวนโหดร้ายสิ้นดี
แต่ตอนนี้ ทุกคนล้วนเห็นพ้องต้องกัน…เย่หยวนทำได้ดีมาก!
สาแก่ใจยิ่ง!
หวังเพียนหลานยืนสั่นสะท้านแทบทรงตัวไม่อยู่ แต่นอกจากความกลัวคือความโกรธสุดพรรณนา
หวังซูตัวนี้ไม่เพียงปั่นหัวหลอกใช้พวกนางให้เป็นประโยชน์ แต่ยังต้องการกำจัดฆ่าทุกคนทิ้ง!
เมื่อได้ทราบถึงการกระทำของหวังซู ทำให้หวังเพียนหลานรู้สึกราวกับตกอยู่ท่ามกลางคุกน้ำแข็ง
เลือดเย็นเกินมนุษย์!
“ข้า…ข้าบอกทั้งหมดที่รู้ไปแล้ว เช่นนั้น…เจ้าปล่อยข้าได้รึยัง?”
หวังซวนเฟยเอ่ยถามพร้อมเศษเสี้ยวแห่งความหวัง
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มจางๆว่า
“ในเมื่อเจ้าเต็มใจแถลงไขความจริง ข้าย่อมรักษาสัตย์ปล่อยเจ้าไปเช่นกัน”
หวังซวนเฟยลอบถอนหายใจเสียงยาวด้วยความโล่งอก เสมือนว่าเขาได้รับการนิรโทษกรรมอย่างหวุดหวิด แต่ในขณะที่เขากำลังลุกขึ้นและเดินจากไป กลับถูกเหล่าสมาชิกของตระกูลหวังที่เหลือปิดล้อมเอาไว้
พวกเขาคือสมาชิกตระกูลหวังในชุดไว้ทุกข์สีขาว ทั้งหมดเข้ารุมล้อมพร้อมจับจ้องหวังซวนเฟยด้วยความอาฆาตแค้น
ตั้งแต่ได้รับรู้ความจริงอันโหดร้าย เหล่ามาชิกตระกูลหวังก็ถูกเพลิงแห่งโทสะคลอกจนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ความรู้สึกที่ถูกหลอกใช้และต้อยต่ำยิ่งกว่ามดปลวกนี้ ทำให้พวกเขาสูญเสียเหตุผลไปโดยสิ้น
ช่างน่าเสียดายนัก ณ ปัจจุบันทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของหวังซวนเฟยก็ยังถูกปิดผนึกไว้อยู่ จึงทำให้เขาไม่สามารถใช้พลังปราณเทวะได้เลย
หวังซวนเฟยหน้าถอดสีในทันใด คู่เท้าพลางถอยกลับไปหลายก้าวโดยไม่ตั้งใจ แต่ก็พบว่า ตอนนี้เขาถูกล้อมหน้าล้อมหลังโดยสมบูรณ์แล้ว
“พวกเจ้า…พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? ความอยุติธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากฝีมือของหวังซูทั้งสิ้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้าเลย! หากปล่อยข้ากลับไปยังตระกูลหลัก ข้าจะส่งพวกเขาให้มาช่วยเหลือพวกเจ้าเอง!”
หวังซวนเฟยเอ่ยปากกล่าวขึ้น แต่ท่าทางการแสดงออกดูหวาดกลัวอย่างยิ่ง
“หึ! ให้เจ้าออกไปแล้วนำคนของตระกูลหลักให้กำจัดเราสิไม่ว่า!”
“แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นฝีมือของหวังซู แต่เจ้าเองก็เป็นคนวงใน! เมื่อทราบว่าเขาจะทำแบบนี้ ไฉนถึงไม่หยุด! เมินเฉยปล่อยไปแบบนี้มีค่าเท่ากับเห็นชอบเช่นกัน!”
“เจ้าเองก็เป็นสมาชิกตระกูลหวังแท้ๆ แต่กลับดูคนในตระกูลฆ่ากันเองได้ลงคอ! ไร้มโนธรรมที่สุด! วิปลาสอย่างเจ้าควรถูกโยนให้สุนัขกัดกิน!”
………………….
เหล่าสมาชิกตระกูลหวังต่างโกรธเกรี้ยวอาฆาต จนปานจะกลืนกินหวังซวนเฟยได้แทบทั้งตัว
หวังซวนเฟยในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะรอถูกเชือดเลย เขาเร่งตะโกนเรียกหาเย่หยวนอย่างสิ้นหวังขึ้นว่า
“เย่หยวน! ข้าพูดทุกอย่างที่รู้ไปหมดแล้ว! ไหนว่าสัญญาจะปล่อยข้าไป?!”
เย่หยวนยักไหล่ตอบพร้อมกล่าวว่า
“ข้าก็ปล่อยเจ้าไปแล้วนี่ไง เพียงว่าตอนนี้ตระกูลหวังกลับไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเอง เรื่องนี้ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน!”
ความหวังทั้งหมดแตกสลายกองตรงหน้า หวังซวนเฟยคำรามลั่นคล้ายคนเสียสติ
“เย่หยวน! แก…แกมันน่ารังเกียจสิ้นดี!!”
เย่หยวนกล่าวโต้สวนกลับไปว่า
“หากเปรียบเทียบกับสิ่งที่พวกเจ้ากระทำลงไป ความน่ารังเกียจของข้ากลับกลายเป็นของเล่นไปเลย เหอะยังหน้าด้านว่าคนอื่น ช่างน่าขัน! เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราแยกย้ายกันได้แล้ว ละครฉากใหญ่ในวันนี้ได้จบลงแล้ว!”
อย่างที่เหล่าสมาชิกของตระกูลหวังกล่าวไปจริงๆ หวังซวนเฟยมิได้มีส่วนร่วมในการวางแผนก็ใช่ แต่เขาก็รู้เห็นและเลือกที่จะปล่อยไปโดยปราศจากการห้ามปราม
คนไร้จิตสำนึกแบบนี้ เย่หยวนไม่คิดปล่อยไปให้เป็นภัยทีหลังแน่นอน
เหล่าสมาชิกของตระกูลหวังนำตัวหวังซวนเฟยจากไปทันที ทั้งนี้ก็มิได้ลืมที่จะนำศพของหวังซูไปด้วยเช่นกัน
สำหรับที่ว่าจะนำหวังซวนเฟยไปต้นยำทำแกงอย่างไร สุดแท้แล้วแต่พวกตระกูลหวังจะจัดการกันเอง
แต่เย่หยวนการันตีได้เลยว่า หวังซวนเฟยจบไม่สวยแน่นอน
เป็นเวลาทั้งราตรี เสียงกรีดร้องสุดน่าสังเวทดังระงมลั่นไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งคืน จากภายในตำหนักตระกูลหวัง ก่อนรุ่งสางที่ทุกอย่างจะสงบลงอีกครั้ง
ในวันที่สองนี้ มีผู้คนจำนวนมากมายเดินวนไปเวียนมาอยู่ผ่านหน้าตำหนักตระกูลหวังอยู่หลายรอบ แต่ก็ต้องพบว่า ประตูหน้าตำหนักตระกูลหวังกลับเปิดอ้าซ่า สอดส่องสายตามองไปยังภายในกลับเปล่าเปลี่ยวไร้ซึ่งผู้คนอยู่แล้ว
บางคนหน้าด้านเดินตรงเข้าไปสำรวจภายในตำหนัก แต่ถึงกับอาเจียนออกมาทันทีในเวลาต่อมา
ไม่จำเป็นต้องถามเลยว่าหวังซวนเฟยตายหรือไม่ตาย แม้แต่ศพของหวังซูที่ถูกระเบิดหัวเละก่อนหน้า ยามนี้ยังถูกสับไม่เหลือเค้าโครงมนุษย์!
ความอาฆาตแค้นที่ฝังลึกอยู่ภายในใจของเหล่าสมาชิกตระกูลหวัง กลับไม่สามารถจินตนาการได้เลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจที่สุดคือ ราวกับว่าสมาชิกตระกูลหวังทุกคนหายไปในชั่วข้ามคืน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดหายไปจากเมืองกุยฉางอย่างไร้ร่องรอย
……………….
“เย่หยวนเจ้าทำเกินไป! เจ้าฆ่าทั้งหวังซูทั้งหวังซวนเฟย เรื่องร้ายแรงขนาดนี้พวกตระกูลหวังในเมืองหมิงหยางไม่ปล่อยไว้แน่! พวกมันได้ส่งกำลังคนมาจัดการเสร็จสรรพแน่นอน! นอกจากนี้ข้าก็ได้ยินมาว่า หวังซ่งหาใช่บุคคลที่ควรยั่วยุด้วยเป็นที่สุด!”
หยางรุยกล่าวเสียงขรึมกับเย่หยวน
แต่เย่หยวนกล่าวเอ่ยตอบอย่างคร้านจะใส่ใจว่า
“ความบาดหมางในครั้งนี้ถูกหว่านมานานแล้ว! ท่านเองก็เห็นเช่นกัน แม้ข้าจะไม่ลงมือสังหารพวกมันก่อน ในอนาคตกลับเป็นพวกมันที่อาจสังหารข้าแทน! เมตตากับเดรัจฉานพวกนี้กลับไม่มีวันรู้คุณ!”
หยางรุยถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
“มันก็จริง แต่ครั้งนี้ทำให้ตระกูลหวังจำต้องล้มสลายไปจริงๆ! กระทั่งข้าเองยังคิดไม่ถึง พวกนั้นจะใจกล้าระดมสมาชิกทั้งหมดอพยพออกจากเมืองกุยฉางในชั่วข้ามคืนจริงๆ เพียงว่าข้ายังมีข้อสงสัยอยู่จุดหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คิดไม่ออก ในเมื่อเหล่าเสาหลักของตระกูลหวังตายหมดแล้ว แล้วใครกันที่ตั้งตนเป็นผู้นำการอพยพในครั้งนี้ไป? สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ การอพยกครั้งนี้แม้แต่ฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองก็เพิ่งมาทราบทีหลัง!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบทันทีว่า
“หากข้าเดาไม่ผิด คงเป็นฝีมือของสุกรอ้วนนางนั้น!”
หยางรุยอุทานตอบด้วยความประหลาดใจ
“หวังเพียนหลาน? แต่นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
“หุหุ ทุกคนย่อมเติบโต! สุกรนางนั้นมิได้โง่ นางตระหนักทราบเสมอว่า ในอดีตที่ผ่านมา นางมีทั้งหวังอวีเซียงและหวังหลินโปคอยปกป้อง จึงทำให้นางทำอะไรตามอำเภอใจได้ ทว่าเมื่อวาน ขณะที่นางเดินจากประตูหอมหาสมบัติไป ข้าเห็นอย่างชัดเจน สายตาของนางเปลี่ยนไปแล้ว!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ตอนที่1355 หวังซงมาแล้ว!
ปังงง!
จอกชาในมือหวังซ่งถูกบดละเอียดเป็นผุยผงทันควัน
“เย่หยวน? ดี! ดีมาก! หาญกล้าปีนขึ้นหัวข้าถึงเพียงนี้! ข้าจะทำให้เจ้าเห็นเองว่า สิ่งใดเรียกว่า หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด!”
หวังซ่งกัดฟันกรอดอย่างโกรธจัด คู่ดวงตาแดงกล่ำประดุจเพลิงสีโลหิตลุกโชกช่วง
หากเพลิงพิโรธนี้สามารถฆ่าเย่หยวนได้ ป่านนี้คงแผดขยายนับล้านลี้ผลาญร่างอีกฝ่ายจนเกรียมได้แล้ว
เขาเพิ่งได้รับรายงานจากทางตำหนักเจ้าเมืองกุยฉางว่า น้องชายของเขาหวังซูและจอมเทพโอสถสองดาวอย่างหวังซวนเฟยเสียชีวิตทั้งคู่โดยน้ำมือของชายหนุ่มนามว่าเย่หยวนแห่งหอมหาสมบัติ!
ทันทีที่ทราบข่าวนี้ เขาพลันโกรธเป็นฝืนเป็นไฟขึ้นในทันที
หวังซ่งมาอายุมากกว่าหวังซูอยู่มากสำหรับเขาแล้วอาจกล่าวได้ว่า เหมือนเป็นทั้งพี่ชายและพ่อของหวังซูในเวลาเดียวกัน สองพี่น้องคู่นี้สนิทกันยิ่งกว่าอะไร
กว่าสามสิบปีแล้วที่น้องชายของเขาเดินทางไปช่วยเหลือตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉาง ทีแรกหวังซูถูกส่งตัวไปคนเดียว แต่เป็นหวังซ่งที่ทาบทามขอให้ผู้อาวุโสหวังซวนเฟยเดินทางไปพร้อมกับเขาด้วย เพื่อช่วยเหลืออีกแรง
เขาวางแผนไว้ว่า ให้หวังซูออกไปเกี่ยวเก็บประสบการณ์ให้เยอะๆ ทั้งหมดก็เพื่อตำแหน่งประมุขตระกูลของหวังซูในอนาคต
แต่หวังซ่งกลับไม่คิดไม่ฝัน กลับมีไอ้เด็กเหลือขอจากไหนไม่ทราบ บังอาจคร่าชีวิตน้องชายบังเกิดเกล้าของเขาลงเช่นนี้
สำหรับตัวหวังซ่งเอง ความทะเยอทะยานของเขามิได้หยุดลงแค่เมืองหมิงหยาง หรือตระกูลหวังเล็กๆแห่งนี้แน่นอน ดั่งว่ามังกรตัวนี้กำลังขดหางซุ้มซ่อนอยู่ใต้ทะเลลึกเพื่อรอวันผงาด
ดังนั้นแล้ว เขาจึงพยายามปลุกปั้นน้องชายของเขาขึ้นรับตำแหน่งประมุขตระกูลหวังแทนตัวเขา
ทว่าทันทีที่ทราบข่าวการตายของน้องชาย ประดุจภาพวาดฝันทั้งหมดแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
“เจ้า! มานี่!”
หวังซ่งคำรามลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว
“ขอรับนายท่าน!”
คนรับใช้ผู้หนึ่งเร่งตรงเข้ามารับสั่ง
“เตรียมลูกมังกรเทวะให้ข้าออกเดินทางโดยเร็ว! ไม่…ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ทันที!!”
คนรับใช้ผู้นี้สีหน้าซีดกลัวอย่างมาก เขาเร่งผงกศีรษะเปล่งเสียงรับคำรัวๆ
ลูกมังกรเทวะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เร็วกว่าลูกมังกรทั่วไป ซึ่งประสิทธิภาพระหว่างลูกมังกรสองสายพันธุ์นี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ความเร็วของลูกมังกรเทวะนับเป็นสิบเท่าทวีของลูกมังกรทั่วไป
แม้แต่ในเมืองหมิงหยางยังมีผู้ครอบครองลูกมังกรเทวะไม่ถึงห้าคน และสามในห้าล้วนเป็นคนของตำหนักเจ้าเมือง
หวังซ่งที่เรียกใช้ลูกมังกรเทวะทันทีโดยไม่ลังเล จะเห็นได้ชัดว่า เขาโกรธจัดขนาดไหนในตอนนี้
ไม่นานเกินรอ เขาก็ตรงดิ่งออกจากเมือง ควบทะยานลูกมังกรเทวะตัดเมฆาข้ามหุบเขาเป็นทางทอดยาวสุดสายตา
…………………….
หลังจากที่ตระกูลหวังหายสาบสูญไปจากเมืองกุยฉาง ณ เมืองกุยฉางในปัจจุบันก็กลับสู่ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขอย่างหาประหลาดใจ
ส่วนฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองแทบไม่มีบทบาทหรือออกมาเคลื่อนไหวใดๆเลย ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยมีอยู่ก็มิปาน
สำหรับเรื่องหวังซูถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมโดยเย่หยวน พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะปริปากเอ่ยออกมา
แน่นอนว่า พวกเขาไม่สมควรขยับขยายสานความเรื่องพวกนี้ต่อเช่นกัน
ในตอนนี้ เย่หยวนได้กลับเข้าสู่การเก็บตัวอีกครั้ง
ภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เย่หยวนกำลังบุกทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายอย่างเต็มอัตราสูบ เพียงพริบตาครึ่งปีได้ผ่านพ้นไป
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนจำต้องผิดหวังในท้ายที่สุด เขาตระหนักได้ว่านี่มิใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
โอสถบ่มเพาะพลังกลับไม่เพียงพอต่อความต้องการเขาเลย!
โอสถบ่มเพาะปราณที่ใช้เพื่อบ่มเพาะพลังของเย่หยวนโดยเฉพาะ หากเทียบชั้นกับโอสถบ่มเพาะพลังสำหรับขายในหอมหาสมบัติ ของที่เย่หยวนใช้เหนือกว่าอย่างเทียบไม่ติด
กระนั้นเองค่าวัตถุดิบในการหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะพลัง กลับมีราคาที่สูงกว่าตอนหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะมาก
แม้จะได้รับการสนับสนุนจากหอมหาสมบัติ แต่นี่กลับไม่สามารถจัดหามาได้เพียงพอต่อเงื่อนไขที่เย่หยวนต้องการได้เลย
ภายใต้ความสิ้นหวังในด้านข้อกำจัดนี้ เย่หยวนจึงทำได้เพียงดูดซับพลังวิญญาณจากฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะไปเรื่อยๆเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความเร็วในการพัฒนาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าดันไปสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังวิปลาสชนิดใดเข้ากันแน่? ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของข้าจึงกลายมาเป็นหลุมลึกไม่มีสิ้นสุดแบบนี้! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าไม่สามารถจ่ายไหวแน่นอน!”
หลังจากขัดสมาธิบ่มเพาะพลังได้ระยะหนึ่ง เย่หยวนก็บ่นขึ้นมาให้หวูเฉินฟัง
หวูเฉินตื่นตะลึงอยู่ข้างกายเย่หยวนมานานแล้ว ยามได้ยินเช่นนั้นจึงตอกสวนเสียงเย็นว่า
“หยุดอวดความฉลาดได้แล้วกระมัง! หากวรยุทธบ่มเพาะพลังของเจ้าถูกเผยแพร่ออกไปทั่วมหาพิภพถงเทียน ต่อรวยล้นฟ้าเพียงใดก็ไม่สามารถคว้ามันมาครอบครองได้! แม้เจ้าจำต้องใช้พลังปราณเทวะปริมาณมหาศาลกว่าคนอื่นๆมาก แต่หากต้องแลกมาด้วยความเร็วในการผึดปรือที่แสนวิปลาสเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ยอมทั้งนั้น! เจ้ามีพัฒนากรเร็วกว่าคนอื่นเฉลี่ยแล้วถึงหลายสิบทวีเท่า!”
เย่หยวนพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
“แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เงื่อนไขที่ร่างกายข้าต้องการกลับมากเกินไป หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ข้าจะไปหาผลึกปราณเทวะมามากมายจากไหนกัน?”
หวูเฉินพยักหน้าคล้ายเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ และกล่าวเสริมว่า
“มันก็จริง เงื่อนไขที่ร่างกายเจ้าต้องการมหาศาลเกินไปจนเป็นปัญหา แต่หากแลกมาด้วยสามารถย่นเวลานับหลายพันปีแห่งการฝึกปรือแสนขมขื่นได้ สิ่งนี้กลับคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม พึงทราบไว้ คนอื่นๆใช้เวลานับพันปีกว่าจะเลื่อนระดับได้สักครั้ง แต่เจ้าใช้เวลาเพียงแค่ร้อยปี แค่นี้ก็มหัศจรรย์เกินพอแล้ว!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างไร้ประโยชน์ว่า
“ดูท่าข้าจำต้องเดินทางไปยังเมืองหลวงหวูเมิ่งโดยเร็วที่สุด เมืองกุยฉางแห่งนี้เล็กเกินไป และมิอาจตอบสนองความต้องการของข้าได้อีกแล้ว แม้จะมีผลึกปราณเทวะมากมายเพียงใด แต่ทรัพยากรในเมืองนี้กลับเริ่มไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับข้าแล้วเช่นกัน!”
หวูเฉินกล่าวต่อว่า
“อืม ใกล้ได้เวลาออกเดินทางแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตาม…เรื่องแม่สาวตระกูลเหลียงนางนั้น เจ้าจะวางแผนจัดการอย่างไร?”
เย่หยวนชะงักทื่อไปทันทีที่ได้ยิน ก่อนครุ่นคิดเล็กน้อยและกล่าวตอบว่า
“คงต้องนำไปด้วย ข้าทำให้กลุ่มอิทธิพลภายในเมืองกุยฉางขุ่นเคืองไม่น้อย ไม่สามารถปล่อยให้นางอยู่คนเดียวได้ ยิ่งไปกว่านั้นเอง ด้วยนิสัยของเฉินหย่งหนาน บางทีมันอาจระบายความโกรธใส่นางแทน”
หวูเฉินลูบเครายาวพลางสนุกมือและกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“หุหุ ก็ดีไม่น้อย นางเองก็ทั้งสวยและจิตใจดี หากพาไปด้วยนางอาจเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าในอนาคต และที่สำคัญเลย…สามารถบ่มเพาะพลังร่วมกันได้ด้วย นางจักต้องเป็นคู่ฝึกเต๋าที่ดีของเจ้าแน่นอน!”
สีหน้าเย่หยวนผันเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬในบัดดลและกล่วาว่า
“หากไม่สามารถช่วยชีวิตหลินเสวียได้ เย่คนนี้จะไม่ขอแต่งงานอีกเลยชั่วชีวิต! ท่านอาวุโสโปรดอย่ากล่าวถึงเรื่องเช่นนี้อีกเลย!”
แต่หวูเฉินกลับหัวเราชอบใจ ก่อนเอ่ยปากกล่าวขึ้นอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“แล้วถ้าหากวันหนึ่งเจ้าสามารถช่วยชีวิตนางกลับมาได้จริงๆล่ะ? ที่เหลือจะเอาอย่างไรต่อ?”
เย่หยวนอดสำลักมิได้เมื่อได้ยินแบบนั้น ยามนี้ถึงกับเงียบกริบ
คำถามนี้เขาไม่เคยนำมาคิดเลยสักครั้ง
หรือบางที…เขาอาจจงใจไม่นำมาคิดเลยต่างหาก
………………………
บูมมม!
ประตูหน้าของหอมหาสมบัติถูกใครบางคนระเบิดออกภายในหนึ่งฝ่ามือ
“ไปเรียกเย่หยวนออกมาพบข้าผู้นี้! มิฉะนั้นข้า,หวังซ่งจะทำลายหอมหาสมบัติให้สิ้นซากเพียงข้ามวัน!”
ครึ่งปีผ่านไป ในที่สุดหวังซ่งก็มาถึงเมืองกุยฉางในท้ายที่สุด
การกระทำอันโผงผางของเขาได้กลายมาเป็นจุดสุดใจของทุกคน แค่พริบตาเดียวปราฏฝูงชนแห่เข้ามารอยล้อมจนทั่วบริเวณ
เรียบง่ายและหยาบคายในเวลาเดียวกัน เขามิได้ต้องการมาที่นี่เพื่อฟังเหตุผลใดอื่นอีกต่อไป
เขามาที่นี่เพื่อฆ่าคน!
เลือดต้องล้างด้วยเลือด!
“เขาผู้นี้เป็นใครกัน? ไฉนทรงพลังปานนี้?”
“นั้นสิ เขาผู้นี้เป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลาย พินิจจากจุดนี้ก็แกร่งกล้ายิ่งกว่าท่านเจ้าเมืองแล้ว! หอมหาสมบัติบังเอิญไปกระตุ้นการดำรงอยู่ระดับชั้นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“อืมม.. เดี๋ยวก่อน…ข้าจำได้แล้ว! หวังซ่งผู้นี้มิใช่พี่ชายของหวังซูหรอกรึ? เขามาที่นี่เพื่อล้างแค้น!”
…………………….
หวังซ่งหาได้เจตนาปิดบังตัวตนแต่อย่างใด ในไม่ช้าก็มีบางคนคาดเดาตัวตนของเขาได้ทันที พร้อมทำเอาฝูงชนตะลึงงันกันเป็นแถว
รองเจ้าเมืองหมิงหยาง รีบเร่งตรงมายังเมืองกุยฉาง
เมืองกุยฉางกับเมืองหมิงหยางอยู่ห่างไกลกันมาก ต่อให้ควบทะยานลูกมังกรตลอดทาง ยังต้องใช้เวลากว่าสองถึงสามปี
ทว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเพิ่งผ่านไปได้ครึ่งปีเศษ เห็นได้ชัดว่า หวังซ่งรีบมาเป็นการด่วนจี๋
หวังซ่งที่เข้ามาสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ ต่างทำให้ผู้คนพากันตื่นตระหนกหนัก
ในไม่ช้าหยางรุยก็ปรากฏตัวขึ้น
หัวคิ้วขมวดเข้มมุ่นหงิก เขาเอ่ยกล่าวแผดเสียงเย็นขึ้นว่า
“หวังซ่ง นี่หมายความว่าอย่างไร? เห็นพวกเราหอมหาสมบัติง่ายต่อการรังแกมากกระมัง?”
หวังซ่งกล่าวตอกเสียงขรึมว่า
“หอมหาสมบัติหาใช่กลุ่มอำนาจที่ควรต่อแย ทว่า…พวกหอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉางกลับง่ายมากที่จะลงมือ! เจ้าคงเป็นประมุขหอมหาสมบัติสาขานี้? ส่งตัวเย่หยวนออกมาซะ มิฉะนั้นวันนี้ข้าจะเป็นคนรื้อหอมหาสมบัติของเจ้าเอง!”
กลิ่นอายสุดแกร่งกร้าวของหวังซ่งแพร่กระจายออกมา สร้างแรงคุกคามกดหยางรุยมิให้ขยับตัวไปไหนได้เลย
อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของหยางรุย นั้นกลับไม่พออุดร่องฟันของหวังซ่งได้เลยด้วยซ้ำ
หยางรุยกัดฟันแน่นพยายามต้านทนแรงคุกคามอันหนักอึ้ง เขาเค้นเสียงเย็นเอ่ยขึ้นว่า
“หากข้าไม่ส่งตัวเขาออกมาล่ะ?”
คู่ดวงตาของหวังซ่งพลันหรี่แคบลงในทันใด ประกายแสงเย็นโฉบวาบ หวังซ่งเพียงสะบัดฝ่ามือออกไปเบาๆเท่านั้น!
หยางรุยคาดไม่ถึงเลยว่า หวังซ่งจะกล้าลงมือประเจิดประเจ้อกลางถิ่นคนอื่นได้ขนาดนี้ ส่งผลให้เขามิได้เตรียมพร้อม ขณะเร่งโคจรพลังปราณเทวะเพื่อปัดป้อง ยามนี้กลับสายเกินไปเสียแล้ว
บูมมมม!
หยางรุยทรุดลงกันพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงเกินตอบโต้
หวังซ่งระเบิดพลังเปี่ยมจิตสังหารพุ่งพล่านจนล้นปรี่ ขณะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า
“ฝ่ามือนี้ถือเป็นบทเรียน อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือสังหารเจ้าจริงๆ! ต่อหน้าข้าผู้นี้ เจ้ากลับไม่ต่างจากมดตัวหนึ่ง! และถึงแม้ว่าข้าจะสังหารเจจ้าลงไปจริงๆ แต่หอมหาสมบัติจะทำอะไรข้าได้ขนาดไหนเชียว?”
หวังซ่งผู้นี้เป็นคนใจร้อนเอาแต่ใจ หอมหาสมบัติหาได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
ด้วยสถานะศักดิ์ของเขา หวังซ่งไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวหอมหาสมบัติเลย!
ตอนที่1356 ความแกร่งกล้าของกุ้ยหยุน!
หวังซ่งยังค่อนข้างครั่นคร้ามในกลุ่มอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังหยางรุยในท้ายที่สุด นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่สังหารอีกฝ่ายทิ้งซะ
อย่างไรก็ตาม เขาเองก็มีตระกูลหวังคอยหนุนหลังอยู่ และด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นนี้เอง หยางรุยจึงมิได้อยู่ในสายตา หาได้ใส่ใจเกินความจำเป็น
ความหยิ่งยโสนี้ต่างทำให้ทุกคนเหลือบตามองบนกันถ้วนหน้า
หยางรุยดิ้นไถ่ตัวพยายามลุกขึ้นจากพื้น สายตาเจืออาฆาตจับจ้องไปที่หวังซ่งพร้อมกล่าวว่า
“หากแน่จริงก็ฆ่าข้า!”
หวังซ่งไม่คิดไม่ฝัน หยางรุยจะใจกล้าเด็ดขาดขนาดนี้ ทว่าความใจกล้าของหยางรุยกลับยิ่งโหมทวีจิตสังหารของหวังซ่งมากขึ้น
“เหอะ หาญกล้าดี! เจ้าท้าทายข้าเช่นนี้ ดังนั้น…จะสนองให้!”
หวังซ่งย่างสามขุมตรงเข้าใกล้หยางรุยมากขึ้นเรื่อยๆ
แรงคุกคามอันล้นปรี่กดดันทุกคนจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย
ทว่าทันใดนั้น กลับมีร่างหนึ่งก้าวแช่มตรงเข้ามาขวางหน้าเขาไว้
หวังซ่งขมวดคิ้วเข้มและเอ่ยดูถูกพร้อมสีหน้าสุดหยามเหยียดขึ้นว่า
“อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง? ตั๊กแตนตัวน้อยริอาจหยุดรถม้า? ก้มกราบข้าผู้นี้ซะ! เดี๋ยวนี้!!”
เมื่อคำว่า‘เดี๋ยวนี้’พรั่งพรูถูกปลดปล่อยออกไป ก็เสมือนดั่งระฆังใหญ่ถูกตีกระหึ่มอัดเข้าใส่เย่หยวนเต็มแรง
รอยยิ้มแสยะเย็นพลันฉีกกว้างบนมุมปากของเย่หยวน เขายืนรับคลื่นเสียงสุดน่าสะพรึงนี้อย่างไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
ช่างน่าขันสิ้นดี เสียงแห่งจอมเทพมังกรของเขาทรงอนุภาพเสียยิ่งกว่าคลื่นเสียงโง่ๆนี้ไม่รู้กี่ร้อยพันเท่า
สำหรับผู้ใดที่คิดจะใช้คลื่นเสียงเพื่อปราบปรามเขา ล้วนเป็นความคิดที่โง่เง่าอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นว่าท่าทางการแสดงออกของเย่หยวนที่ยังสงบนิ่งเยือกเย็นไม่แปรเปลี่ยน ในที่สุดหวังซ่งก็เริ่มขยับขยายสายตาจับจ้องเด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางตรงหน้าอย่างจริงจัง
“เจ้าเป็นใคร หากขวางข้าตายสถานเดียว!”
หวังซ่งกล่าวชัดเด็ดขาดในคำเดียว
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างใจเย็นว่า
“เจ้ามาที่นี่เพื่อฆ่าข้ามิใช่รึ? นี่ก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแล้ว หรือเจ้าจำหน้าไม่ได้?”
สีหน้าการแสดงออกของหวังซ่งเปลี่ยนไปทันที พร้อมพกพาความอาฆาตอยู่เต็มอก
“เจ้าคือเย่หยวน? มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ! แต่นี่ก็ยังอ่อนแอเกินไป!”
หวังซ่งกล่าวเสียงเย็นเอ่ยดังขึ้น
เย่หยวนยักไหล่และกล่าวว่า
“คู่ต่อสู้ของเจ้ามิใช่ข้า”
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น พลันเกิดสายลมธาตุหยินสุดเย็นยะเยือกโหมสะพัดกระหน่ำเข้าใส่หวังซ่งอย่างแรง ร่างของกุ้ยหยุนปรากฏขึ้นข้างกายเย่หยวน
ม่านตาดำของหวังซ่งตีบแคบเท่ารูเข็ม แววไสวสาดสะท้อนเห็นถึงความประหลาดใจอยู่หลายส่วน
เฉินหย่งหนานเคยส่งสาสน์มาบอกเขาแล้วว่า เย่หยวนมีวิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลางคอยปกป้องอยู่ ซึ่งความแกร่งกล้าของมันก็มิใช่ธรรมดาเลย
“วิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลาง! เหอะ… คิดหรือว่าข้าผู้นี้จะไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้? วันนี้คือวันตายของเจ้า!”
หวังซ่งเอ่ยเค้นน้ำเสียงสุดเย็นชา
เย่หยวนเหลือมองไปยังหยางรุยที่นอนกองกับพื้นไม่ไกล สีหน้าน้ำเสียงค่อยๆเย็นลงอย่างเห็นได้ชัดพร้อมกล่าวว่า
“พวกตระกูลหวังมันไร้เหตุผลกันทุกคนเช่นกระมัง! อย่างไรก็ตามแต่ ตั้งตนเป็นศัตรูกับพี่หยางเท่ากับสลักหนี้แค้นแก่เย่ผู้นี้เช่นกัน! สักวันหนึ่งเจ้าจักต้องชำระจ่ายในสิ่งที่เคยทำลงไป!”
หวังซ่งระเบิดเสียงหัสเราะชอบใจและกล่าวว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ข้าจะรอวันนั้นด้วยความเต็มใจ! แต่เจ้ายังคิดว่าตัวเองจะอยู่รอดถึงวันนั้น?”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของหวังซ่ง รัศมีกลิ่นอายพลันพรั่งพรูปะทุเดือดขึ้นทันที ขุมพลังแห่งอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายถูกเร่งเร้ากระตุ้นตื่นขึ้น
“หมัดไท่จี๋กระบวนดารา! ตายซะ!”
หวังซ่งคำรามลั่นคำโต พร้อมซัดกำปั้นเข้าใส่กุ้ยหยุนก่อนโดยตรง
“นั้นคือหมัดไม่จี๋กระบวนดาราของจริงเสียงจริง! หนึ่งในหกสุดยอดวิชาลับแห่งสถานศึกษาหวูเมิ่ง! ช่างทรงพลังเกินพรรณนา!”
“หวังซ่งผู้นี้มิอาจนำไปเทียบกับน้องชายที่ไร้พรสวรรค์ของเขาได้เลย สามารถฝึกปรือหมัดไท่จี๋กระบวนดาราจนช่ำชองได้ถึงเพียงนี้ ล้วนต้องเป็นระดับหัวกะทิในสถานศึกษาหวูเมิ่ง!”
“อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลาย กับวิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลาง ต่อให้อีกฝ่ายมีวรยุทธชั้นสูงเพียงใด เกรงว่ามิอาจทดแทนความแตกต่างนี้ได้เลย!”
ขณะที่หวังซ่งสำแดงใช้หมัดไท่จี๋กระบวนดาราออกไป มันได้ปลุกกระตุ้นฝูงชนจนเอ่ยปากอุทานกันเป็นแถว
ในฐานะที่เป็นถึงสถานศึกษาหลักของเมืองหลวงหวูเมิ่งอย่างเป็นทางการ สถานศึกษาหวูเมิ่งย่อมเก็บรวบรวมทั้งวรยุทธบ่มเพาะพลังและวรยุทธต่อสู้ไว้มากมายโดยธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ภายในนั้นก็ยังมีหกสุดยอดวิชาลับแห่งสถานศึกษาหวูเมิ่งอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือหมัดไท่จี๋กระบวนดารา
ขึ้นชื่อว่าวิชาลับแต่ทุกคนต่างรู้กันชื่อเสียงของพวกมันกันโดนยทั่ว ซึ่งเหตุผลที่เหล่าอัจฉริยะพยายามไต่เต้าเพื่อขึ้นมาเป็นระดับหัวกะทิในสถานศึกษาหวูเมิ่ง ทั้งหมดก็เพื่อสุดยอดวิชาลับทั้งหกนี้
ทว่าในหมู่หัวกะทิด้วยกันเอง ยังมีแค่ส่วนน้อยนักที่จะฝึกปรือหกวิชาลับเหล่านี้ได้สำเร็จ
ดังนั้นแล้ว หวังซ่งที่สามารถสำเร็จหมัดไท่จี๋กระบวนดาราได้ นี่แสดงให้เห็นถึงสถานะศักดิ์ของเขาภายในสถานศึกษาหวูเมิ่งว่าสูงส่งเกินจินตนาการเพียงใด
กำปั้นเหล็กกล้าของหวังซ่งระดมควบแน่นแรงระเบิดเต็มสูบ หวังบดขยี้กุ้ยหยุนโดยตรงอย่างไม่ลังเล
พลานุภาพของกำปั้นนี้ช่างน่าสะพรึงยิ่ง!
เหล่านักสู้ภายในเมืองกุยฉางเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหกวิชาลับแห่งสถานศึกษาหวูเมิ่งมาก่อนเช่นกัน ทั้งหมดที่ได้เห็นภาพฉากตรงหน้า ต่างอุทานจุ๊ปากตะลึงไม่หยุดหย่อน
ท่าทางการแสดงออกของหุ้ยหยุนดูมุ่งมั่นขึ้นทันตา เมื่อพลิกฝ่ามือขึ้นมาก็ปรากฏเป็นธงอัตลักษณ์วิญญาณอย่างแม่นยำ
นับตั้งแต่ที่เย่หยวนได้รับธงอัตลักษณ์วิญญาณมาจากหุบเขาเหวพระเจ้า เขาก็ไม่เคยใช้มันจริงๆจังๆเลยสักครั้ง
เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิดมีหาค่าประเมินไม่ แต่ธงอัตลักษณ์วิญญาณเองก็ไม่ค่อยเหมาะกับเขาเช่นกัน จึงทำให้ที่ผ่านมาเขาเลือกที่จะเก็บไว้คู่กายตลอด
จนกระทั่งเขาได้พบกับกุ้ยหยุน และตัดสินใจมอบธงอัตลักษณ์วิญญาณนี้ให้ในที่สุด
ด้วยความแกร่งกล้าของกุ้ยหยุนกับศาสตร์แขนงที่ฝึกปรือ หากผนวกรวมกับธงอัตลักษณ์วิญญาณจะเป็นอะไรที่แข็งแกร่งอย่างมาก
หลังจากที่เดินทางมาถึงมหาพิภพถงเทียน ธงอัตลักษณ์วิญญาณก็ฟื้นตัวกลับคืนสู่จุดสุดยอดแล้วเช่นกัน
ต่อหน้าเผชิญหน้ากับการโจมตีอันทรงอนุภาพเช่นนี้ กุ้ยหยุนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องนำธงอัตลักษณ์วิญญาณขึ้นมาต่อกร!
“อักขระร้อยภูตเต๋า…เก้าราตรีล่าสังหาร!”
ทันทีทันใดเสียงวิญญาณโหยหวนพลันกรีดร้องลั่นระงม ฟ้าดินวิปลาสเปลี่ยนสีตามแลดูสยองยิ่ง!
เสี้ยวอึดใจต่อมา รอบด้านหวังซ่งปรากฏเป็นร่างวิญญาณชั่วสุดอาฆาตแค้นมากมายรายล้อม พวกมันเหล่านี้ถือกำเนิดจากธงอัตลักษณ์วิญญาณ เข้ารับมือกับกำปั้นเหล็กกล้าของหว่งซ่ง
บูมมมม!
กำปั้นพกพาแรงระเบิดอันทรงอนุภาพ บดขยี้เหล่าวิญญาณอาฆาตแหลกกระจายเป็นผุยผง กระทั้งกุ้ยหยุนยังตะลึงงัน ร่นถอยออกไปหลายก้าว
กระบวนโจมตีถูกทำลาย แต่กุ้ยหยุนเองก็มิได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใดเช่นกัน!
สรุปได้ว่า หมัดไท่จี๋กระบวนดาราของหวังซ่งถูกหยุดโดยกุ้ยหยุนได้สำเร็จ!
สีหน้าการแสดงออกของหวังซ่งพลันแปรเปลี่ยนพร้อมอุทานขึ้นว่า
“เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำ!”
ผลลัพธ์ชนิดนี้ทำเอาฝูงชนโดยรอบประหลาดใจอย่างหาที่เปรียบไม่
“ป้องกันได้จริงๆ! นี่เป็นไปไม่ได้?”
“วิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลางกลับทรงพลังถึงเพียงนี้? หากพินิจจากกระบวนโจมตีเมื่อครู่ กลับเทียบเทียมกับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายได้เลย! ทีนี้กลับเป็นเรื่องยากแล้วที่จจะปราบปรามวิญญาณชั่วตนนี้!”
“ไม่น่าแปลกใจ! ไฉนเย่หยวนถึงดูไม่กลัวเกรงเลย! ปรากฏว่าเขายืนรอพวกตระกูลหวังมาท้าทายอยู่นานแล้ว!”
…………………………
เห็นวิญญาณสองชั่วสองพลังฝีมือเทียบเท่าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลาย นี่กลับเป็นปัญหาเสียแล้ว
กระทั่งหวังซ่งสำแดงใช้หมัดไท่จี๋กระบวนดารา ที่เป็นถึงวิชาลับอันทรงพลานุภาพระดับชั้นนี้ออกมา
แต่กระนั่นก็ยังไม่สามารถล้มกุ้ยหยุนได้!
ภาพฉากนี้ตะลึงงันที่สุดแล้ว หมัดไท่จี๋กระบวนดาราไม่สามารถจัดการวิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลางได้!
ทว่าผู้คนเหล่านี้จะไปทราบได้อย่างว่า อักขระร้อยภูตเต๋าที่กุ้ยหยุนครอบครองมันทรงพลังยิ่งใหญ่เพียงใด นี่เป็นถึงจุดสูงสุดแห่งวรยุทธบ่มเพาะแขนงภูต ซึ่งกอปรไปด้วยยอดเต๋าแห่งภูต
แม้กุ้ยหยุนเพิ่งจะเข้าใจอักขระร้อยภูตเต๋าไปได้แค่สองตัว แต่เมื่อหยิบยืมพลังจากเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำมาใช้ นั้นสามารถอุดช่องว่างความต่างของระดับพลังได้ จนสัประยุทธ์กับหวังซ่งได้อย่างสูสี
มิฉะนั้นเย่หยวนจะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆได้อย่างไร?
สีหน้าของหวังซ่งแปรปรวนดูรวนเรอย่างหนัก เขาคาดไม่ถึงมาก่อนเลยว่า วิญญาณชั่วสองดาวของเย่หยวนจะแกร่งกล้าได้ถึงขนาดนี้จริงๆ!
ก่อนหน้า หวังซ่งลั่นสัตย์กล่าวหนักแน่น วันนี้จักต้องเป็นวันตายของเย่หยวน แต่ยามนี้เขาค้นพบแล้วว่า ตนคิดง่ายเกินไป
กุ้ยหยุนตนนี้กลับเป็นปัญหามากกว่าที่คิด!
“ข้าผู้นี้มิเชื่อว่า วิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลางจะสามารถสกัดหมัดไท่จี๋กระบวนดาราได้ตลอดรอดฝั่ง! อยากจะเห็นเสียจริง จะปัดป้องได้กี่หมัด!”
หวังซ่งสีหน้ามิดทมิฬลง กำปั้นระดมพลังปราณเทวะเตรียมปลดปล่อยหมัดไท่จี๋กระบวนดาราใส่กุ้ยหยุนอีกระลอก
กุ้ยหยุนหน้าถอดสี สะบัดธงอัตลักษณ์วิญญาณเข้าประจัญบาน!
“หยุด!”
ทว่าเวลานี้เอง พลันปรากฏรัศมีกลิ่นอายที่แกร่งกล้าเสียยิ่งกว่าทั้งสองอยู่หลายขุม เพียงส่งคลื่นคุกคามเข้าประชิดชน ถึงขั้นผลักร่างของหวังซ่งและกุ้ยหยุนส่งบินกระเด็นออกไปไร้ทิศทาง
“มันเป็นใคร?! ใครกันที่ข้าเสียมารยาทต่อหน้าข้าผู้นี้!”
หวังซ่งพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้นพร้อมคำรามลั่นด้วยความพิโรธ
ชายชราผู้นี้ก้าวแช่มผ่าฝูงชนตรงเข้ามายังใจกลางจุดเกิดเหตุ ยามนี้ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าหวังซ่งและกุ้ยหยุน
ฝูงชนโดยรอบรวมไปถึงพวกเย่หยวนต่างจับจ้องไปที่ชายชราผู้นั้นด้วยความประหลาดใจ สามารถผลักไสร่างของกุ้ยหยุนและหวังซ่งจนกระเด็นออกไปได้ด้วยแรงคุกคามเพียงหอบเดียว นี่จักต้องเป็นการดำรงอยู่ชนชั้นใดกัน?
ทว่าทันทีที่หวังซ่งเห็นหน้าชายชราผู้นี้ประจักษ์ชัด เขาถึงกับหน้าถอดสีหนักและกล่าวตะกุกตะกักขึ้นด้วยความกลัว
“ท-ท่าน…ท่านอาจารย์ ไฉนท่านถึงมาที่นี่?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น