Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1337-1352

 ตอนที่1337 เผยถึงต้นกำเนิด


 


“หุบเขาถงเทียนจำลอง?”


เย่หยวนพึมพำเอ่ยทวน


หลายอึดใจต่อมา เย่หยวนพรูไอเย็นสกัดต้านความเจ็บปวด ในไม่ช้าจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เสียหายก็ค่อยๆถูกฟื้นฟูขึ้น


เขาได้รับศิลาจารึกบัลลังห์สวรรค์นี้มานานแล้วก็จริง แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นร่างจริงของมัน


เมื่อเผชิญหน้ากับหุบเขาถงเทียนจำลอง เสมือนว่าเขาได้กลับไปอยู่ในดินแดนพฤกษานิรันดร์อีกครั้ง ช่างเป็นกลิ่นอายแห่งเต๋าที่คุ้นเคยกลายๆ


ไพศาลดุจมหาสมุทร ทั้งเข้าใจได้ยากและมิอาจจับต้องได้!


 


“หุบเขาถงเทียนจำลองคือร่างที่แท้จริงของศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ กล่าวได้ว่าที่แห่งนี้เป็นคลังสะสมยอดเต๋าทั้งปวง! ดังนั้นมันจึงทรงพลังรุนแรงเกินพรรณนา แม้แต่ระดับชั้นจักรพรรดิเทพสวรรค์เองก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไปตรวจสอบเช่นกัน แต่เจ้าที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กลับหาญกล้าลบลู่!”


หวูเฉินกล่าว


 


เย่หยวนใจสั่นตื่นกังวลวิตกยิ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น ไม่คิดเลยว่าเศษหินที่นำลงมาจากหุบเขาถงเทียนจะกลายมาเป็นของวิเศษและมหัศจรรย์ได้ขนาดนี้!


 


“เช่นนั้น ไฉนถึงไม่กล่าวเตือนข้าตั้งแต่แรก?”


เย่หยวนพลันกรอกตาไปมาก่อนเอ่ยถามขึ้นเจือหงุดหงิดเล็กน้อย


 


“แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่า เจ้าจะบ้าได้เพียงนี้ ยังไม่ทันอ้าปาก เจ้าก็ขยับตัวไปแล้ว!”


หวูเฉินโต้เอ่ยเสียดสีตอบ


 


ได้ฟังดังนั้น เย่หยวยยิ้มเจื่อนปิดปากเงียบ


เขาเห็นว่าหุบเขาถงเทียนจำลองแห่งนี้ดูพิเศษโดดเด่น จึงส่งกระแสจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกไปโดยมิตั้งใจ ราวกับมีพลังธรรมชาติบางอย่างชักจูง แต่ใครจะทราบว่า มันอันตรายเพียงนี้


 


เห็นเย่หยวนสงบปากลง หวูเฉินกล่าวต่อว่า


“หุบเขาถงเทียนจำลอง มีไว้เพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวคิดความเข้าใจต่างๆเท่านั้น จึงมิอาจใช้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ มิได้เหมือนกับหุบเขาพฤกษานิรันดร์ที่เจ้าสามารถเข้าไปสื่อจิตเชื่อมต่อกับเต๋าได้ กล่าวได้ว่าเต๋าแห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์เป็นเพียงหนึ่งในหมื่นของหุบเขาถงเทียนจำลองแห่งนี้ แต่น่าเสียดายนัก จอมเทพนิรันดร์ในปีนั้นมิอาจทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้ มิฉะนั้นเขาคงได้เห็นความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขาถงเทียนจำลองนี้ได้”


 


ขากรรไกรของเย่หยวนแทบตกกระแทกพื้น เขาร้องอุทานลั่นด้วยความตกใจขึ้นว่า


“ภูมิหลังของหุบเขาถงเทียนจำลองช่างยิ่งใหญ่นัก! กลับอยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจของข้าไปโดยสิ้นเชิง! แค่หุบเขาถงเทียนจำลองยังขนาดนี้ หากข้าสามารถเข้าถึงหุบเขาถงเทียนของจริงได้ นั้นคงสามารถทำให้ข้าบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรเต๋าบรรพกาลได้เลยกระมัง?”


 


 


หวูเฉินคลี่ยิ้มสีเย็นชา เอ่ยปากกล่าวตอบทันที


“เหอะ เจ้ากำลังฝันอยู่รึไง! คิดว่าเต๋าเข้าใจง่ายดายมากเลยกระมัง? ลบความคิดเหนือจินตนาการเหล่านั้นทิ้งเสีย! เผื่อเจ้าจะเห็นภาพความน่ากลัวของหุบเขาถงเทียนจำลองได้บ้างแค่จะหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังบทแรกขึ้นมา อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าห้าพันปี!”


 


การบ่มเพาะพลังในระดับชั้นอาณาจักรพระเจ้าขึ้นไป หน่วยวัดเริ่มที่หลักหมื่นปีขึ้นไปทั้งสิ้น


ห้าพันปีถือว่าหวูเฉินประเมินความสามารถของเย่หยวนไว้สูงลิบ


ระยะเวลาเพียงแค่นี้มิได้นานเลย


หวูเฉินทราบว่า ในตอนที่เย่หยวนยังอยู่ในดินแดนพฤกษานิรันดร์ เขาสามารถบรรลุเต๋าได้โดยใช้ศาสตร์แห่งโอสถ จนสามารถสื่อจิตถึงยอดเต๋าแห่งโอสถได้ในท้ายที่สุด


แต่บนเส้นทางแห่งการต่อสู้ หวูเฉินไม่เชื่อว่า เย่หยวนยังจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ที่เหนือจินตนาการอยู่อีก


 


เย่หยวนยิ้มตอบ กล่าวขึ้นว่า


“เข้าใจแล้วท่านอาวุโส เช่นนี้ข้าจะเริ่มเดี๋ยวนี้มิให้เสียเวลา หากโลกภายนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น เร่งปลุกข้าโดยเร็ว”


 


หวูเฉินปวดเศียรพลันนวดขมับเต้นหยุบหยับ ยามนี้ขอให้ทราบ เย่หยวนตัดสินใจไปแล้วและมิอาจหยุดยั้งใดๆได้อีก เช่นนั้นจึงหายวับจากไป


 


เย่หยวนเงยมองไปยังหุบเขาถงเทียนจำลองเบื้องหน้า และกล่าวพึมพำขึ้นว่า


“หุบเขาถงเทียนจำลอง…ยังทรงพลังขนาดนี้ ข้าสงสัยเสียเหลือเกิน หุบเขาถงเทียนขนานแท้จะเป็นอย่างไร! แม้แต่ระดับชั้นจอมเทพเต๋าบรรพกาลยังต้องฟันฝ่าขึ้นไปยังหุบเขาถงเทียน เพื่อขัดเกลาเต๋าให้ลึกล้ำยิ่งขึ้น!”


 


การที่สามารถสร้างหุบเขาถงเทียนจำลองขึ้นได้แบบนี้ ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพนับว่าเป็นยอดสมบัติที่ท้าทายสวรรค์โดยแท้!


หากมอบข้ามคุณสมบัติพิเศษอื่นๆอันไร้ขีดจำกัดของมัน แค่ใช้หุบเขาถงเทียนจำลองนี้เพื่อทำความเข้าใจต่อเต๋า มันก็มหัศจรรย์เกินพอแล้ว!


กล่าวได้ว่า ตราบใดที่เขายังคงครอบครองศิลาจารึกบัลลังก์พิภพนี้อยู่ ก็เท่ากับว่าเย่หยวนกำลังแบกคลังแสงที่เต็มไปด้วยเต๋าหลากหลายแขนงให้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา


เขาสามารถเรียนรู้เต๋าเหล่านี้เมื่อไหร่ก็ได้ตามใจอยาก


 


ของดีขนาดนี้หากให้ทราบ เกรงว่าคงได้อิจฉาตาร้อนสุดขีดไปเลยจริงหรือไม่?


บางทีหากเหล่าจอมเทพเต๋าบรรพกาลทรงทราบ พวกเขาเองอาจถึงขั้นออกโรงเช่นกัน!


จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางถึงส่งพวกข่านนั่วลงมาในดินแดนพฤกษานิรันดร์ บางทีอาจเป็นเพราะมีเป้าหมายเป็นสิ่งนี้อย่างแม่นยำ


เพียงแต่…จากคำสภาพที่ออกมาจากเยวี่ยจี้ในตอนนั้น กลับมิได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย แต่กลับให้ความสนใจกับไข่มุกสยบวิญญาณแทน มีความเป็นไปได้สูงว่า จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางยังแค่สงสัยเกี่ยวกับร่างจริงของศิลาจารึกบัลลังก์พิภพเท่านั้นว่าใช่หุบเขาถงเทียนจำลองหรือไม่


มิฉะนั้นเขาคงไม่สั่งการผู้ใต้บัญชาให้พวกลูกกระจ๊อกอย่างข่านนั่วไป


 


ขุมสมบัติสุดท้ายทายสวรรค์ขนาดนี้ เขาจะต้องเคลื่อนไหวเป็นการส่วนตัวแน่นอนหากรู้เรื่องจริงๆ!


 


ยิ่งเย่หยวนครุ่นคิดเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นตกใจอย่างลับๆ


บนตัวของเขาพกแต่ขุมสมบัติสุดท้าทายสวรรค์มากมายหลายชิ้นเหลือเกิน ในอนาคตต่อไป การจะหยิบใช้อะไรออกมากลับต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น หากไปสะดุดตาใครเข้า เกรงว่าผลที่ตามมาอาจน่าสยดสยองเกินจินตนาการเป็นแน่!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหุบเขาถงเทียนจำลองแห่งนี้ หากใครรู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่ามันอาจจะไล่ล่าเขาสุดขอบฟ้าทั่วมหาพิภพถงเทียนเป็นแน่!


 


เย่หยวนละทิ้งความคิดฟุเงซ่านทั้งหมดและเริ่มจับจ้องพินิจหุบเขาถงเทียนจำลองที่อยู่ตรงหน้า


หุบเขาถงเทียนจำลองแห่งนี้เป็นสุดยอดขุมสมบัติ แต่จะรีดประสิทธิภาพออกมาได้มากน้อยเพียงใด นี่กลับขึ้นอยู่กับความสามารถและความเข้าใจของเหล่านักสู้ล้วนๆ


หากคนที่ได้ครอบครองหุบเขาถงเทียนจำลองหาใช่คนมากพราสวรรค์ หรือมีความสามารถอยู่จำกัด ต่อให้ได้ไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดเช่นกัน


ถึงคนๆนั้นจะพอมีทุนรอนอยู่บ้าง แต่ประโยชน์หรือผลกำไรที่เก็บเกี่ยวได้กลับไม่คุ้มเช่นกัน


 


บางคนมีทั้งความสามารถและพรสวรรค์ ทว่าสุดท้ายนี้หาไร้ซึ่งทรัพยากรี่ดีพอมาเกื้อหนุน ก็จำต้องใช้เวลาค่อยๆสะสมความรู้ความเข้าใจไป


สรุปได้ว่า หากต้องการจะให้คนๆหนึ่งประสบความสำเร็จจนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาพิภพถงเทียนได้ต้องมีสามอย่าง ความสามารถ พรสวรรค์ และโชค!


นักสู้หลายต่อหลายคนพึงพาเพียงความสามารถแค่อย่างเดียว แต่กลับมิอาจทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้เลยตลอดชีวิตก็มี


ดังนั้นการที่มีหุบเขาถงเทียนจำลองอยู่ในมือแบบนี้ ย่อมช่วยตัดปัญหาหลายๆอย่างออกไปได้ ที่เห็นได้ชัดที่สุดคงเป็นเรื่องระยะเวลา


 


เขาจำเป็นจะต้องเข้าใจแนวคิดทั้งหมดใหม่อีกครั้ง เพื่อสร้างรากฐานความเข้าใจทั้งหมดมิให้มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย ถึงจะเริ่มบ่มเพาะพลังได้


และด้วยขอบเขตความเข้าใจของเย่หยวนในปัจจุบัน เขาก็ยังไม่สามารถหลอมสร้างชุดวรยุทธบ่มเพาะพลังของตนเองขึ้นมาได้ทันทีเช่นกัน


สิ่งแรกที่เขาทำได้ตอนนี้คือ การหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังในบทแรกขึ้นมาก่อน เพื่อทำให้แน่ใจว่า เขาสามารถพึงพาวรยุทธบ่มเพาะชุดนี้จนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดได้จริงๆ


นอกจากนี้ เขาจำต้องหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังในบทที่สองให้ลึกซึ้งและทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าบทแรก ทั้งนี้ก็เพื่อวางรากฐานสำหรับเส้นทางการหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะในบทถัดๆไป


กระบวนการที่กล่าวว่ามาทั้งหมด จักต้องห้ามผิดพลาดเลยแม้แต่จุดเดียว


คำอธิบายเดียวที่ใช้บรรยายคือ ยากเกินไป!


ยากราวกับขึ้นสวรรค์!


 


นั้นจึงเป็นสาเหตุที่หวูเฉินทั้งโกรธและผิดหวังในเวลาเดียวกัน


มีวรยุทธบ่มเพาะพลังระดับแนวหน้ามากมายถูกเก็บไว้อยู่ภายในนี้ นั้นคือความรู้ทั้งหมดของชั่วชีวิตที่เซียนคนนั้นๆเก็บกลั่นกรองมา จนตกผลึกกลายมาเป็นวรยุทธบ่มเพาะพลังสุดท้าทายสวรรค์


ผู้ที่สามารถหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังของตนขึ้นมาได้ พวกเขาไม่เพียงปัจจัยทั้งสามสิ่งที่ดีพร้อม แต่ในตอนที่พวกเขาหลอมสร้างขึ้นมา พวกเขาล้วนอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขึ้นไปทั้งสิ้น


ดังนั้นสิ่งที่เย่หยวนกำลังลงมือทำในตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าขาดทุนยิ่งกว่ากำไร


 


สรุปได้ว่า เพียงเย่หยวนล้มเลิกความคิดอันบ้าบิ่นเช่นนี้ และหันกลับมาหยิบใช้วรยุทธบ่มเพาะพลังของจอมเทพนิรันดร์ หวูเฉินการันตีได้เลยว่า ขอเพียงมีเวลามากพอ เย่หยวนจะสามารถขึ้นกลายไปเป็น จักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้าได้แน่นอนในไม่ช้าก็เร็ว!


 


หวูเฉินไม่คิดว่า วรยุทธบ่มเพาะพลังที่เย่หยวนหลอมสร้างขึ้นกับมือจะทรงพลังไปกว่าของจอมเทพนิรันดร์ได้เลย!


ไม่ว่าจะทรงพลังเพียงใด แต่มันจะไร้เทียมทานขนาดไหนเชียว?


เว้นเสียแต่ เย่หยวนจำต้องหันไปพึงพาเส้นทางนอกรีต!


 


สำหรับเย่หยวนแล้ว การที่เขาพกพาความหวังที่จะได้ขึ้นเป็นจอมเทพเต๋าบรรพกาลอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยก็ยังดีกว่ายืมมือคนอื่นมาช่วย เขาตระหนักได้ว่าไม่มีสิ่งใดจะดีเท่าสิ่งที่เราพยายามสร้างมาด้วยตัวเอง!


นี่คือโชคชะตาของเขา ดังนั้นจะให้ฝากฝังโชคชะตาของเขาไว้ในมือคนอื่นได้อย่างไร!


 


แน่นอน ความทะเยอทะยานของเย่หยวนยิ่งใหญ่มาก แต่เมื่อเขาพยายามมองเข้าไปในหุบเขาถงเทียนจำลองก็พลันตระหนักได้ทันที นี่เป็นเรื่องท้าทายสวรรค์จริงๆ!


 


ยอดเต๋าช่างไร้ขอบเขต!


เมื่อเย่หยวนพยายามพินิจจับจ้องไปยังหุบเขาตรงหน้า เขารู้สึกราวกับว่า ตนเองกำลังถูกตั้งอยู่บนทุ่งหญ้าไพศาลอันกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุด จะเริ่มก้าวเดินจากทิศทางใดกลับไม่ทราบ


 


ต่อหน้ายอดเต๋า เขาเป็นเพียงเซียนอาณาจักรพระเจ้าตัวเล็กๆดั่งฝุ่นผง ยังไม่นับเป็นมดปลวกตัวหนึ่งด้วยซ้ำ!


 


เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เย่หยวนพยายามหลากหลายวิธี แต่สุดท้ายก็ไม่พบจุดเชื่อมต่อใดๆ


ก่อนจะหาเส้นทางของตัวเองให้เจอ จำต้องหาสักจุดหนึ่งที่เชื่อมต่อกับยอดเต๋าเพื่อต่อยอดต่อไป


คล้ายกับการม้วนเส้นไหม หากยังหาจุดเชื่อมต่อไม่พบ เย่หยวนก็ไม่มีวันเริ่มต้นก้าวเดินได้ตลอดกาล


วาจากลับง่ายเกินกว่าจะกล่าว แต่การกระทำกลับยากเกินกว่าที่คิด!


 


ใบไม้แห้งร่วงโรยโปรยลงมาไม่รู้กี่รอบ ฤดูผลัดเปลี่ยนจนนับครั้งไม่ถ้วน ในพริบตาเดียว เย่หยวนก็อยู่ในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพมาครบสิบปีเต็ม!


 


ภายในสิบปีที่ผ่านมา เย่หยวนพยายามเสาะหาหยิบใช้มากมายหลายหนทาง แต่ก็ยังไม่สามารถหุจุดเชื่อมต่อเลย


 


ผลลัพธ์เช่นนี้ช่างสร้างความท้อแท้ให้แก่เขาเหลือเกิน


 


“เหอะ พอจะรู้แล้วใช่ไหมว่า ตัวเองโง่แค่ไหน? สิ่งที่เจ้าเลือกเดินกลับไม่ได้ผล! ต่อให้เจ้าอยู่ในนี้ไปอีกพันปี แต่เกรงว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม!”


เสียงเยาะเย้ยของหวูเฉินพลันแผดดังผ่านรูหูของเย่หยวน



ตอนที่1338 ตระกูลหวังสาขาหลัก มาแล้ว!


 


“ตระกูลหวังสาขาย่อย,หวังอวีเซียง ทำความเคารพคุณชายซูกับผู้อาวุโสซวน!”


ภายในห้องโถงตระกูลหวัง ปรากฏหนึ่งชายชราและอีกหนึ่งเยาวชนหนุ่มนั่งอยู่ใจกลาง


แม้แต่หวังอวีเซียงที่เป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลหวังยังทำได้เพียงยืนทำความเคารพอยู่ข้างๆเท่านั้น


ส่วนหวังหลินโปยิ่งหนัก ทำได้แต่ยืนก้มศีรษะนิ่ง คุณสมบัติที่จะร่วมสนทนายังไม่มี


คุณชายซูที่ว่าผู้นี้เผยลักษณะท่าทางอันสุดแสนจะยองหองและหยิ่งยโส ดั่งตั้งตนเป็นยอดนภา เห็นได้ชัดว่า กระทั่งหวังอวีเซียงยังไม่อยู่ในสายตาของเขาผู้นี้เลยด้วยซ้ำ


 


“หวังอวีเซียง ผลงานในระยะนี้ของสาขาเมืองกุยฉางค่อนข้างทำให้ตระกูลหลักผิดหวังอย่างมาก! ตระกูลหวังของเรามีขนาดใหญ่ดุจรากไทรที่กระจายอยู่ทั่วผืนดิน ยามนี้มีข่าวไม่ดีกล่าวหากลับเน่าเสียกระทบสาขาอื่นหมดแล้ว!”


หวังซูกล่าวขึ้นเสียงเย็นสะท้านอย่างไม่แยแส


 


ข้างที่นั่งด้านขวา หวังอวีเซียงและหวังอวีโปยืนแขนขาสั่นเทาไม่หยุด พร้อมเหงื่อเย็นที่อาบชโลมทั่วทั้งหน้าผาก


ปรากฏว่าตระกูลหวังภายในเมืองกุยฉางกลับเป็นแค่สาขาย่อยสาขาหนึ่งจากทั้งหมดเท่านั้น


ตระกูลหวังสาขาหลักกลับอยู่ที่เมืองหมิงหยาง


บนมหาพิภพถงเทียน จะไม่ค่อยมีกลุ่มอิทธิพลมากมายนัก โดยส่วนใหญ่จะแยกย่อยออกจากตระกูลหรือนิกายสาขาหลัก แตกแขนงออกมาอีกทีหนึ่ง


ระดับชั้นของเมืองต่างๆภายในมหาพิภพถงเทียนจะถูกแบ่งออกได้ทั้งห้าระดับได้แก่ เขตเมือง, เมืองหลวง, เมืองราชวงศ์, เมืองหลวงราชวงศ์ และเมืองจักรพรรดิ


ซึ่งเขตเมืองเป็นเมืองระดับต่ำสุด ภายในเมืองระดับนี้โดยส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยเซียนอาณาจักรพระเจ้าระดับต่ำและมนุษย์ทั่วไป


การจะเข้าไปยังเมืองหลวงต่อไป กลับหาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้


มนุษย์ทั่วไปไม่มีคุณสมบัติเข้าไปยังเมืองหลวงได้แน่นอน!


แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้ายังต้องปฏิบัติตามกฎและเงื่อนไขบางประการเช่นกัน ถึงจะมีคุณสมบัติเข้าสู่ตัวเมืองหลวงต่อไป


และผู้ปกครองเมืองหลวง อย่างน้อยจะต้องเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้าขึ้นไป


 


เมืองกุยฉางและเมืองหมิงหยาง ทั้งสองเป็นเพียงเขตเมืองที่ขึ้นตรงต่อเมืองหลวงหวูเมิ่ง


เมืองกุยฉางเป็นเขตเมืองที่อ่อนแอที่สุดแล้วในอาณาเขตของเมืองหลวงหวูเมิ่ง ในขณะที่เมืองหมิงหยางเป็นเขตเมืองที่แข็งแกร่งกว่ามาก


ในช่วงหลายปีมานี้ ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางตกต่ำถึงขีดสุด ธุรกิจทั้งหมดกลับรอวันล้มละลาย


หวังอวีเซียงที่เดินทางไปยังสุสานสายลมหยินในตอนนั้น เขาถึงกับกระอัดเลือดสดออกจากทวารทั้งเจ็ด ด้วยความอาฆาตแค้นใจแสนปรี่ล้น


สุดท้ายนี้พวกตระกูลหวังก็ได้รู้คาวมจริง สามผู้อาวุโสใหญ่ล้วนตายสิ้นไปแล้วภายในนั้น


ข่าวที่เฟิงปิงนำมาให้กลับเป็นเพียงขยะเน่าเหม็นชิ้นนึงเท่านั้น


 


หวังอวีเซียงตระหนักได้ทันทีถึงความร้ายแรงของปัญหา สามารถบดขยี้สมาชิกระดับสูงของตระกูลหวังได้อย่างง่ายดาย ไพ่เด็ดที่เย่หยวนเร้นแฝงกลับน่ากลัวจนมิอาจประเมินได้


นอกจากนี้ตระกูลหวังยังสูญเสียกำลังหลักไปกว่าครึ่งแล้ว หากยังฝืนดื้อรั้นต่อไปกับเย่หยวน ในอนาคตหากถูกอื่นลอบโจมตีเข้า อาจส่งผลไม่คาดคิด


เมื่อคิดได้แบบนี้ หวังอวีเซียงจึงตัดสินใจแบกความอัปยศนี้ เข้ารายงานต่อตระกูลหวังสาขาหลักในเมืองหมิงหยาง เพื่อขอความช่วยเหลือ


ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางจะต้องจ่ายผลประโยชน์มากมาย เพื่อเป็นค่าบรรณาการให้แก่ตระกูลสาขาหลัก สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือจุดนี้


หลังจากที่ได้รับความช่วยเหลือและกำจัดเย่หยวนได้สำเร็จ ค่าบรรณาการย่อมแพงขึ้นเป็นเท่าตัว


 


สามปีต่อมา ในที่สุดตระกูลหวังสาขาหลักก็ส่งหวังซูและหวังซวนเฟยมา!


หวังซูผู้นี้เป็นเยาวชนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดของตระกูลหวัง เขาอายุน้อยกว่าห้าร้อยปี แต่กลับทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดได้แล้ว


หวังซวนเฟยผู้นี้ยิ่งน่าทึ่งกว่า ไม่เพียงแต่จะเป็นปรมาจารย์ในด้านศาสตร์แห่งการต่อสู้เท่านั้น แต่เขายังเป็นถึงจอมเทพโอสถสองดาวอีกด้วย!


แม้ว่าผู้ที่ทรงอำนาจสูงสุดจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ธุรกิจยังคงเป็นธุรกิจ ทุกคนจำต้องปฏิบัติตามกฎขั้นพื้นฐานที่พึงกระทำ


กลุ่มอิทธิพลใหญ่ทั้งสี่ของเมืองกุยฉาง เดิมทีมีความสมดุลดั่งคานแข็ง ตระกูลหวังคือกลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุด รองลงมาจะเป็นตระกูลหลู่และหลิน ส่วนหอมหาสมบัติจะเป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุดแล้ว


ในปัจจุบัน หอมหาสมบัติขึ้นฮือผงาดง้ำโดยการหยิบชูโอสถขั้นเทวะเป็นจุดขาย เพื่อให้ตระหวังขึ้นมาต่อกรได้ จำต้องมีแผนธุรกิจที่เฉียบคมกว่า


หากใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา อาจไปปลุกกระตุ้นเจ้าเมืองเข้าได้


แม้ว่าขุมพลังของตระกูลหวังจะแกร่งกล้า แต่เจ้าเมืองกุยฉางกลับหาใช่สิ่งที่พวกนั้นแตะต้องได้เช่นกัน สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ เจ้าเมืองกุยฉางเปรียบเสมือนตัวแทนของเจ้าเมืองหลวงหวูเมิ่ง นี่เป็นการดำรงอยู่ที่ไม่สามารถยั่วยุได้เลย


 


“คุณชายซู ความผิดพลาดทั้งหมดในคราวนี้หาใช่ของตระกูลหวัง! อาคันตุกะนักหลอมโอสถคนใหม่ของหอมหาสมบัติกลับน่ากลัวเกินไป! พวกเราจึงต้องจำนนอย่างที่เห็น”


หวังอวีเซียงกล่าว


แม้ว่าอาณาจักรพลังของเขาจะสูงกว่าหวังซู แต่ด้วยสถานะที่แตกต่างกันเกินไป เขาย่อมไม่กล้าแตะต้องใดๆ


นี่คือเยาวชนหัวกะทิที่ตระกูลหวังสาขาหลักใส่ใจเลี้ยงดูยิ่งกว่าอะไร ความสำเร็จในอนาคตของหวังซูผู้นี้ช่างไร้ซึ่งขีดจำกัด!


 


“เหอะ แค่เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นตัวหนึ่ง สามารถทำให้ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางตกต่ำลงถึงเพียงนี้จริงๆ! พาพลาดท่าก็คิดคำแก้ตัวได้แค่นี้?”


หวังซูกล่าวเย้ยหยันพลางคลี่ยิ้มเย็นเสียดสีออกมา


สิ่งที่ได้ยินอาจเป็นเท็จ สิ่งที่เห็นต่างหากคือคาวมจริง


หวังซูได้อ่านรายงานที่หวังอวีเซียงส่งมาแล้วโดยธรรมชาติ แต่ในมุมมองของเขาคิดว่า ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางน่าจะไร้ความสามารถเองเสียกว่า และเอ่ยอ้างหวังโยนปัญหาให้พ้นผิด


ข้อมูลทั้งหมดที่ได้มากลับเป็นแค่ข้อแก้ตัวน้ำขุ่นๆ!


 


หวังอวีเซียงไม่กล้าส่งเสียงคัดค้าน เขาหันไปกล่าวกับหวังหลินโปว่า


“หลินโป ไปนำสิ่งนั้นมาให้คุณชายซูกับผู้อาวุโสซวนดูเร็ว!”


หวังหลินโปส่งกล่องหยกให้แก่ทั้งสองด้วยความเคารพ หวังซูรับมาอย่างคร้านจะใส่ใจและเหลือบมองกล่องหยกนั้นด้วยความหยามเหยียด


 


“โอสถปราณเทวะขั้นเทวะ? เหอะ,เหอะ ก็แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระกับหนึ่งชั้นต่ำ? ผู้อาวุโสซวนมีความเห็นว่าอย่างไร?”


หวังซูกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ


 


ผู้อาวุโสซวนที่เงียบนิ่งมาโดยตลอด ยามที่เห็นดังนั้นพลันยิ้มและกล่าวขึ้นว่า


“โอ้ อวีเซียง แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นต่ำกลับไม่นับเป็นอันใดเลย! หากมีเราชายชราผู้นี้อยู่ประจำป้อม พวกหอมหาสมบัติก็แค่มังกรขดหาง! จะว่าไป ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางมาหาเจ้า ท่านประมุขตระกูลหลักได้บอกกับข้าว่า เนื่องด้วยตลอดที่ผ่านมา เจ้ามีความขยันแข็งขันและเคยสร้างผลงานให้กับตระกูลหวังไว้มากมาย ท่านประมุขตระกูลหลักเห็นถึงความขยันมั่นเพียรในจุดนี้ จึงขอมอบสิทธิพิเศษให้แก่ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉาง จงเลือกสมาชิกที่ดีที่สุดสามคนเพื่อเข้าไปฝึกปรือต่อที่หอมังกรทะยานฟ้าในตระกูลหลัก”


 


เมื่อได้ฟังคำกล่าวของหวังซวนเฟย ทั้งหวังอวีเซียงและหวังหลอนโปต่างสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เผยความปีติยินดีจนล้นปรี่ออกมาอย่างเก็บไม่อยู่


หอมังกรทะยานฟ้าเป็นสถานที่ฝึกของตระกูลหลัก สำหรับเลี้ยงดูเหล่าสมาชิกชั้นยอดเป็นพิเศษ


ตราบใดที่มีโอกาสได้เข้าไปในหอมังกรทะยานฟ้า ย่อมสามารถการันตีความสำเร็จอันไร้ขีดจัดของคนๆนั้นได้เลย


ณ ปัจจุบัน ตระกูลหวังประสบความสูญเสียอย่างหนัก แต่การที่ได้รับสิทธิ์เข้าสู่หอมังกรทะยานฟ้านับเป็นพรปลอบใจ


 


“ขอบพระคุณอย่างยิ่งผู้อาวุโสซวน! ขอบพระคุณอย่างยิ่งคุณหนูซู!”


หวังอวีเซียงกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น


 


หวังซวนเฟยยิ้มและกล่าวตอบว่า


“ด้วยเหตุนี้ อวีเซียง,เจ้าไม่จำต้องกังวลอะไรแล้ว ระยะนี้ข้ากับหวังซูจะคอยช่วยเหลืออยู่ที่นี่เอง เป้าหมายสำคัญคือบีบให้หอมหาสมบัติลดทอนอำนาจลง หรือไล่ออกจากเมืองกุยฉางเลยจะเป็นการดีที่สุด”


 


สายตาที่จับจ้องของหวังอวีเซียงแปรเปลี่ยนดูจริงจังถนัดตา เขาเร่งกล่าวขึ้นว่า


“โปรดมั่นใจได้ผู้อาวุโสซวน พวกเราตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางจะให้ความร่วมมือกับพวกท่านเต็มที่!”


หวังอวีเซียงตระหนักได้ว่า ในที่สุดตระกูลหลักก็หยิบยืนโอกาสทองให้ใช้สำหรับโค่นล้มหอมหาสมบัติเสียที!


 


 


……………………….


 


 


สิบปีมานี้ เย่หยวนยังไม่มีความคืนหน้าใดๆเลยแม้แต่น้อย


ส่วนหวูเฉินยังคงพ่นวาจาเสียดสีไม่หยุดอยู่ข้างๆหูของเขา ประดุจคนแก่ขี้บ่น


“เจ้าหนู ยอมแพ้เสียเถอะ นี่ยังดีที่พึ่งใช้เวลาไปแค่ปีเดียวในโลกภายนอก ตอนนี้ยังมีเวลากลับลำ”


 


แต่เย่หยวนกลับส่ายหน้าอย่างดื้อรั้นและกล่าวว่า


“ท่านอาวุโส ท่านกับข้าเองก็อยู่ด้วยกันมานานแล้ว ท่านควรรู้จักนิสัยของข้าดี ข้าไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด”


หวูเฉินได้ยินดังนั้น พลางพูดจาตัดพ้อขึ้นว่า


“เจ้าหนู ข้าทราบดีว่า ศาสตร์แห่งโอสถของเจ้าท้าทายสวรรค์ยิ่งกว่าใครๆ กระทั่งข้ายังต้องยอมรับในจุดนี้ แต่นี่คือเส้นทางแห่งการต่อสู้ มันแตกต่างจากศาสตร์แห่งโอสถโดยสิ้นเชิง!”


 


เย่หยวนสะดุ้งแปลบดุจสายฟ้าฟาดใส่ สีหน้ายามนี้เปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอมใจสุดขีด ก่อนตบเข่าตัวเองดังฉะใหญ่


“เอ่อ! ไฉนข้าโง่ขนาดนี้! ถนนเส้นหลักที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ ข้าก็มีแต่กลับไม่เดิน! ดันมาเดินหาทางอ้อมให้เสียเวลาโดยแท้!”


 


หวูเฉินปั้นสีหน้าฉงนใจ ไม่ทราบเลยว่าเหตุใด จู่ๆเย่หยวนก็คึกคักผิดวิสัย


 


“เจ้าหนู ยังจะคิดอะไรได้อีก?”


หวูเฉินกล่าวขึ้นพลางหรี่ตาแคบเจือปวดเศียรอ่อนๆ


 


เย่หยวนกล่าวตอบอย่างตื่นเต้นขึ้นว่า


“ในเมื่อมันเป็นวรยุทธบ่มเพาะพลังของข้า ข้าก็ควรหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะที่เหมาะสมกับข้าที่สุด! ท่านว่าไม่จริงรึ?”


 


หวูเฉินพยักหน้าพลางครุ่นคิดตามคำกล่วาของเย่หยวน


“อืม..ก็จริง!”


 


“แล้วท่านอาวุโสคิดว่า…ศาสตร์แขนงใดที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุด?”


เย่หยวนกล่าวถามต่อ


 


หวูเฉินอุทานลั่นเมื่อคิดออกทันใด


“จริงด้วย! ศาสตร์แห่งโอสถยังไงล่ะ! แต่เอ๊ะ? เจ้าจะใช้ศาสตร์แห่งโอสถเพื่อหาจุดเชื่อมต่อสำหรับหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลัง? นี่…นี่ดูไม่เกินจริงไปหน่อยรึ?”


 


เย่หยวนแผดหัวเราะเบาๆเป็นคำตอบ เขาหาได้เอ่ยปากโต้แย้งใดๆกับหวูเฉินอีก



ตอนที่1339 เหนือหุบเขาถงเทียน!


 


เบื้องหน้าเย่หยวน มีกองสมุนไพรวิญญาณศักดิ์ตั้งสูงเป็นพเนิน


ตอนที่หลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวขึ้นมา เขาเองก็มุ่งเน้นการฝึกฝนแบบนี้เช่นเดียวกัน


และในขณะที่เขาฝึกฝนก็เลื่อนระดับขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถหนึ่งดาวชั้นต้น!


การฝึกฝนแบบนี้จำต้องต้องทรัพยากรไม่ขาดมือ ซึ่งในแง่นี้ เย่หยวนได้รับการสนับสนุนจากหอมหาสมบัติเต็มพิกัดเช่นกัน


ภายใต้คำร้องขอของเย่หยวน หยางรุยถึงขั้นออกโรงเสาะหาสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หายากมาให้มากมาย


ในขณะนี้ กองพเนินสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าเย่หยวน มีมากถึงหลายพันชนิดเลยทีเดียว


แน่นอนว่านี่มิใช่สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งทั้งหมดบนมหาพิภพถงเทียน


เย่หยวนหาได้ต้องการนำไปหลอมกลั่น แต่ทั้งหมดก็เพื่อเสาะหาโอกาสทำความเข้าใจต่อเต๋า!


 


หลังจากทศวรรษแรกได้ผ่านพ้น เย่หยวนก็เริ่มเรียนรู้ศึกษาและทำความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งโอสถอย่างยาวนาน


เขาตรวจพินิจวิเคราะห์สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แต่ละชนิดโดยละเอียดถี่ถ้วน จนเข้าใจคุณสมบัติจำเพาะของพวกมันเหล่านั้น


งานประเภทนี้เย่หยวนเคยทำมาบ่อยครั้งในดินแดนพฤกษานิรันดร์ นี่หาใช่เรื่องไกลตัวสำหรับเขาเลย


กาลเวลาเลยผ่าน พริบตาเดียว ก็เข้าปีที่หนึ่งร้อยยี่สิบในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพแล้ว


ในช่วงร้อยยี่สิบปีมานี้ ในที่สุดเย่หยวนก็เข้าใจคุณสมบัติต่างๆของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้


เส้นทางแห่งโอสถ เย่หยวนสามารถสรุปให้เป็นหนึ่งคำคมสั้นๆได้ว่า


รากฐานที่มั่นคงเกิดการฝึกฝนและความเพียร


หนึ่งร้อยยี่สิบปีแห่งความขมขื่นนี้ เย่หยวนสละทั้งแรงกายแรงใจเพื่อมุ่งทุกความสนใจอยู่ที่สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้โดยไม่ละสายตาเลย นี่อาจเป็นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในชีวิตของคนอื่น


แม้แต่นักหลอมโอสถด้วยกัน ก็มีไม่น้อยที่มิอาจทนต่อคาวมเปลี่ยวเหงาชนิดนี้ได้


ทว่าเย่หยวนสามารถทำได้!


 


หนึ่งร้อยยี่สิบปีนี้ ปราศจากสิ่งอื่นใดรบกวน เย่หยวนมีสมาธิศึกษาได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้รากฐานเกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาค่อนข้างมั่นคงอย่างมาก


จากนั้น เย่หยวนก็เริ่มทดลองหลอมกลั่นโอสถในที่สุด


การหลอมกลั่นของเขาแตกต่างจากคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง อย่างแรก เย่หยวนไร้ความข้อกังวลใดๆ และสองนี่คือการหลอมกลั่นโดยมิได้ผูกมัดกับสูตรโอสถ


แน่นอนว่ามีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลวแตกต่างกันไป


ช่วงชีวิตแสนเบื่อหน่ายนี้กลับหาพรรณนาไม่ ประเดิมด้วยฤดูใบไหม้ผลิ เสื่อมสภาพแปรผันดั่งธารวารีในฤดูใบไม้ร่วง กลับมาร้อนแรงอีกครั้งด้วยฤดูร้อน และสรรพสิ่งจบลงพร้อมฤดูหนาว ก่อนทุกอย่างเริ่มผลิบานอีกครั้งในฤดูใบไม่ผลิ วัฏจักรเวียนวนไร้สิ้นสุด วันเวลาเลยผ่านปีแล้วปีเล่า


 


ดังนั้นยิ่งเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถมากเท่าใด เขาก็เริ่มสัมผัสถึงจุดเชื่อมต่อกับหุบเขาถงเทียนจำลองได้มากขึ้นเรื่อยๆ!


 


ทันทีทันใด ธารแสงหลากสีระยิบระยับพลันเจิดจรัสประกายจ้า ธารแสงหลากสีนี้ช่างงดงามและอลังการเกินบรรยาย


เมื่อรู้สึกตัวอีกที เย่หยวนก็หลุดเข้าไปในหุบเขาถงเทียนจำลองเสียแล้ว สถานที่แห่งนี้ประหนึ่งดินแดนมหัศจรรย์!


ในที่สุดเขาก็หาจุดเชื่อต่อและเข้ามาภายในนี้ได้สำเร็จโดยใช้ศาสตร์แห่งโอสถ!


 


อย่างไรก็ตามแต่ นี่เพิ่งเริ่มก้าวแรกเท่านั้นของเย่หยวน เพราะท้ายที่สุดนี้สิ่งที่เขาต้องการหลอมสร้างคือวรยุทธบ่มเพาะพลัง หาใช่วรยุทธหลอมกลั่นโอสถ


ตลอดเส้นทางตั้งแต่เริ่มต้นจวบจนปัจจุบัน เย่หยวนได้รับถ่ายทดวรยุทธบ่มเพาะพลังมาแล้วแทบทุกแขนง ทันทีที่เข้ามาภายในนี้ วรยุทธเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นกลางห้วงความคิดของเขาไม่หยุดหย่อน


 


วรยุทธเก้าเซียนบูรพา, วรยุทธมังกรทรราชจุติ, สูตรจอมดาบพิชิตมารฟ้า, สูตรเก้าอักษรตรัสรู้ถ่องแท้…


เย่หยวนในปัจจุบันคล้ายพ่อครัวที่มีวัตถึอยู่ในมือมากมายเพื่อปรุงอาหารจานอร่อยขึ้นมา


วรยุทธบ่มเพาะพลังที่เขาเคยได้รับมาทั้งหมดในชีวิต คือสุดยอดส่วนผสนชั้นเลิศ ในขณะที่หุบเขาถงเทียนจำลองเป็นหม้อขนาดใหญ่


เย่หยวนจมอยู่ในนี้จนลืมเวลาไปเสียสนิท


ไม่รู้วันเวลาผ่านไปนานเพียงใด โครงสร้างขั้นพื้นฐานของวรยุทธบ่มเพาะพลังเริ่มค่อยๆก่อตัวขึ้นในจิตใจของเย่หยวน


เย่หยวนแก้ไขและพัฒนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดหย่อน เพื่อทำให้ผลงานชิ้นนี้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด หลังจากที่ได้มา เขาก็ทำการแก้ไขพัฒนาและต่อยอดอีกครั้ง


 


 


……………………….


 


ในเวลาเดียวกัน ณ ใจกลางมหาพิภพถงเทียน เมืองจักรพรรดิแห่งหนึ่งที่ติดกับหุบเขาถงเทียน ยามนี้จู่ๆพลันเกิดภัยพิบัติสุดวิปลาสขึ้นกะทันหัน


พลังวิญญาณสุดบ้าดีเดือดก่อนตัวเป็นเกลียวคลื่นยักษ์สูงเทียบเคียงฟ้าดิน พลันถาโถมท่วมล้นลงมาจากบนหุบเขาถงเทียน


 


พลังวิญญาณนี้ทรงอนุภาพไร้ขอบเขตเกินไปจนไม่สามารถดูดซับพลังเหล่านี้เข้าตัวได้เลย


แรงซัดกระแทกปริมาณมหาศาลอัดเข้าใส่เหล่ายอดเซียนที่กำลังทำความเข้าใจต่อเต๋าอยู่บริเวณตีนหุบเขาถงเทียนโดยตรง เสียงกรีดร้องสุดเวทนาบินวอนกึกก้องสะท้านในอากาศไม่หยุดหย่อน


 


ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ล้วนตายเรียบไม่เหลือ!


นี่คือพลังฟ้าดินที่แท้จริง หาใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถต่อกรได้แม้แต่น้อย


ท่านรัศมีสีรุ้งลายงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ เข้าห่อหุ้มไปทั่วทั้งหุบเขาถงเทียนทั้งหมด แลดูวิจิตรพิสดารมากขึ้นหลายส่วน


 


 


หลังจากหลายอึดใจผ่านไป ยามนี้บนหุบเขาถงเทียนไร้ซึ่งผู้คนโดยสิ้นเชิง


 


“นี่…นี่เกิดอะไรขึ้นกับหุบเขาถงเทียน!?”


 


“ใครจะไปรู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น? กระทั่งยอดเซียนอาณาจักรเทพถ่องแท้ยังมิอาจต้านทานได้ไหว!”


 


“น่าเหลือเชื่อโดยแท้! ข้าไม่เคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้บนหุบเขาถงเทียนมาก่อน! นับเป็นบุญตาที่ได้เห็น แต่ก็น่าระทึกขวัญดีจริงๆ!”


 


 


………………………


 


 


 


บริเวณด้านล่างหุบเขาถงเทียนที่อยู่ถัดลงมา ยังมีเหล่ายอดเซียนอีกจำนวนมากที่กำลังหนีตาย การจราจรนับว่ายุ่งเหยิงไร้ระเบียบ ประหนึ่งมดแตกรัง


แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจที่สุดคือ ไฉนจู่ๆหุบเขาถงเทียนถึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้นได้?


 


“แย่แล้ว คลื่นพลังวิญญาณกำลังถล่มลงมาทางนี้แล้ว เร็วเข้า! หนีเร็ว!”


ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางฝูงชนเหล่าผู้คนเริ่มตะโกนแหกปากและวิ่งหนีตายสุดชีวิต


 


คลื่นพลังวิญญาณสีรุ้งอันงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่นี้ กลับแฝงไปด้วยภัยถึงชีวิต มันกำลังร่วงหล่นลงมาราบกับหิมะถล่ม ใครก็ตามที่ถูกคลื่นพลังวิญญาณนี้กลบฝัง กระทั่งร่างยังแหลกเหลวไม่เหลือ


 


พวกเขาไม่เคยเห็นพลังวิญญาณใดที่น่ากลัวเท่าหอบนี้มาก่อน!


 


ครืนน…!


 


เมื่อคลื่นพลังวิญญาณที่ตกกระทบลงพื้นดิน ก่อให้เกิดเสียบงก้องกังวานดัง รัศมีพลังวิญญาณที่อ่อนตัวลงแผดกระจายไปทั่วทุกสารทิศออกเป็นทางไกล


 


“ฮะ-ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าเลื่อนระดับชั้นแล้ว! ข้าติดปัญหาคอขวดอยู่ตั้งเนินนานนับหลายหมื่นปี ในที่สุดข้าทะลวงผ่านได้แล้ว!”


 


“ข้าเองก็เลื่อนระดับชั้นแล้วเช่นกัน! ฮ่าฮ่าฮ่า….”


 


“ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า จะมีวันที่ข้าสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาเทพถ่องแท้ได้! ฮ่าฮ่าฮ่า….”


 


 


 


……………………….


 


 


หลังจากที่คลื่นพลังวิญญาณลงจอดอัดพื้นดินไปสักพัก พลังของมันก็เริ่มอ่อนตัวลง


ภายใต้ผลกระทบคราวนี้ พลังวิญญาณถูกลดทอนความรุนแรงลงจนเหล่ายอดเซียนในบริเวณสามารถดูดซับเข้าไปได้ ราวกับนี่เป็นรางวัลสำหรับผู้รอดชีวิต มีจำนวนไม่น้อยที่เลื่อนระดับชั้นสมปรารถนา


ส่วนผู้ที่มิอาจเลื่อนระดับชั้นไปได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขาเขยือบเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น


 


“แย่แล้ว! อย่ามัวแต่ดีใจกัน! คลื่นพลังวิญญาณวิปลาสนั้นพุ่งออกมาอีกระลอกแล้ว!”


ในขณะเดียวกัน บางคนที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติก็ตะโกนกล่าวเตือนอีกครั้ง


 


บนยอดหุบเขาถงเทียนปรากฏเป็นพลังวิญญาณสุดเข้มคลักกำลังก่อตัวขึ้น ก่อนที่จะถูกปลดปล่อยลงมาดุจหิมะถล่มหนักอีกครั้ง


 


 


……………………..


 


 


ในขณะเดียวกัน เหนือห้วงแห่งความว่างเปล่าที่มิอาจมองเห็น มีหลายสุ้มเสียงกำลังสนทนากันบางอย่าง


“ในหมู่พวกเราทั้งหมด เป็นเจ้า,จอมเทพชาตะที่อายุยืนยาวที่สุดแล้ว พอจะบอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกัน?”


เสียงทุ่มลึกแผดดังขึ้น


 


“มิอาจทราบ! ตั้งแต่ที่เราชายชราบรรลุเต๋ามา ก็ไม่เคยเห็นว่าหุบเขาถงเทียนจะมีปรากฏการณ์รุนแรงขนาดนี้มาก่อน!”


เสียงแหบชราเอ่ยตอบ


 


เมื่อได้ยินวาจาเหล่านี้ ทุกคนก็ปิดปากเงียบลงอีกครั้ง


 


แต่ทันใดนั้น จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นว่า


“เดี๋ยวก่อน ข้ารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ราวกับหุบเขาถงเทียนกำลัง…เฉลิมฉลองอะไรบางอย่างอยู่!”


 


“เฉลิมฉลอง? ฮ่าฮ่า…จอมเทพสายฟ้า เจ้ากำลังล้อเล่นกระมัง? หุบเขาถงเทียนคือสถานที่มรณะ ภายในนั้นเปี่ยมไปด้วยมากมายเกินหยั่งรู้ แต่สุดท้ายนี้มันก็เป็นหุบเขาที่ไร้ชีวิต แล้วมันจะไปมีความรู้สึกเฉกเช่นมนุษย์ได้อย่างไร? ฮ่าฮ่า…เราชายชราเชื่อไม่ลง ความคิดของเจ้ากลับเพ้อฝันเกินจริง!”


อีกคนกล่าวตอบโต้ทันที


 


ทว่าเวลานั้นเอง จอมเทพชาตะผู้ที่อาวุโสที่สุดจู่ๆก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้งและกล่าวว่า


“ข้าเองก็เห็นด้วยกับคำสันนิษฐานของจอมเทพสายฟ้า! พวกเจ้าลองดูให้ดี คลื่นพลังวิญญาณถล่มออกมาเป็นลูกที่สามแล้ว! ใครจะไปรู้ว่าผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้ กลับแปรเปลี่ยนเป็นผลกำไรให้กี่คนต่อกี่คน! พวกที่อยู่ในบริเวณนั้นเลื่อนระดับชั้นกันว่าเล่น! ข้ารู้สึกว่า…หุบเขาถงเทียนแห่งนี้กำลังคืนผลประโยชน์ให้”


 


คำกล่าวของจอมเทพชาตะ ทำให้ทุกคนปิดปาดเงียบกริบอีกครั้ง


 


“แต่…แม้จะเป็นอย่างที่เจ้าว่าไป แต่เจ้าเองก็ไม่เคยเห็ยปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน พอจะทราบไหรือไม่ว่า หลังจากนี้จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก?”


บางคนในหมู่พวกเขาเอ่ยถาม


 


จอมเทพชาตะกล้าวขึ้นอย่างแช่มช้าว่า


“ไม่ทราบ ไม่มีใครเคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน นอกจากพวกเราไม่กี่คนแล้ว คนอื่นๆยิ่งไม่รู้เรื่องอันใดเลยแม้สักนิด แต่ที่ข้าสงสัยที่สุดคือ…หุบเขาถงเทียนกำลังเฉลิมฉลองเพื่อใคร? ใครกันที่มีคุณสมบัติทำให้หุบเขาถงเทียนต้องแลเห็นใส่ใจ?”


 


เงียบสงัดอีกระลอกใหญ่


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จอมเทพชาตะพลันเงยหน้าขึ้นพร้อมถอนหายใจเสียงยาว


“หุบเขาถงเทียน หนอ…หุบเขาถงเทียน เจ้าคืออะไรกันแน่? มีอะไรอยู่บนยอดเขานั้นกัน?”



ตอนที่1340 บัญญัติเทพแห่งถงเทียน!


 


“อะไรกัน…ข้ารู้สึกดั่งว่า…แทบ…แทบหายใจไม่ออกแล้ว!”


 


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาลูกยักษ์มันอะไรกัน? ไฉนถึงมีหุบเขาลูกมหึมาปรากฏขึ้นเหนือเมืองกุยฉางได้?”


“ช่างเป็นแรงกดดันที่น่าสะเทือนขวัญโดยแท้! ข้า…ข้าแทบต้านไม่ไหวแล้ว ราวกับต้องคุกเข่าให้มัน!”


 


“นั้นมันหุบเขาถงเทียน! หุบเขาลูกมหึมานั้นดูคล้ายหุบเขาถงเทียนอยู่หลายส่วน หากหล่นลงมา เมืองกุยฉางวินาศเป็นฝุ่นผงแน่!”


 


 


……………………


 


 


เช่นเดียวกันกับบริเวณตีนหุบเขาถงเทียนของจริงที่กำลังเกินภัยพิบัติสุดวิปลาส น่านฟ้าเหนือเมืองกุยฉางเองก็มีปรากฏการณ์สุดโกลาหลเช่นกัน


เหนือเมืองกุยฉาง จู่ๆก็มีหุบเขาลูกมหึมาปรากฏขึ้นท่ามกลางทุกสายตา


รัศมีเต๋าที่ปลดปล่อยออกมาจากหุบเขาลูกนี้ ช่างรุนแรงจนกดดันให้ทุกคนแทบต้องก้มกราบ


ยิ่งใหญ่เกินไป!


ยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด!


 


 


“ผู้อาวุโสซวน รีบหนีออกไปเมืองกุยฉางโดยเร็วเถิด! หากหุบเขาลูกนี้ถล่มตกลงมา แม้แต่พวกเราก็ไม่สามารถหนีได้ทัน!”


ณ ตำหนักตระกูลหวัง สีหน้าการแสดงออกของหวังซูพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก


ในระยะเวลาเกือบสามสิบปีที่ผ่านมานี้ หวังซูและหวังซวนเฟยอาศัยอยู่ในเมืองกุยฉางมาโดยตลอด ซึ่งนี่เปรียบเสมือนแรงคานอำนาจของหอมหาสมบัติมิให้ผงาดไปมากกว่านี้


ทว่าเพียงเหลือบเห็นหุบเขาถงเทียนลูกมหึมาที่ตั้งตระหง่านเหนือน่านฟ้า พวกเขาก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป


เผชิญกับความกดดันระดับนี้ แขนขาของทั้งสองสั่นเทาโดยมิตั้งใจ


 


หวังซวนเฟยสีหน้ามืดลง เขากล่าวตอบอย่างเคร่งขรึมว่า


“รีบไปกันเถอะ! ดูท่าเมืองกุยฉางคงไม่รอดแล้ว!”


หลังจากนั้นทั้งสองที่สนทนากันเสร็จสรรพ พวกเขาพลันเร่งฝีเท้าสับหนีออกนอกเมืองโดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลา


ซึ่งแท้ที่จริงแล้วนี่มิใช่แค่พวกเขา แต่เหล่านักสู้ของเมืองกุยฉางเองก็อพยพหนีออกจากเมืองจนเกือบหมด


ปัจจุบัน ทางเข้าเมืองกุยฉางถูกปิดผนึกโดยสมบูรณ์ ฝูงชนเบียดเสียดแน่นจนไม่มีแม้แต่น้ำสักหยดจะรินไหลผ่านไปได้ ต่างคนต่างต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด


แม้แต่องค์รักษ์ผู้พิทักษ์เมือง รวมไปถึงนายทวารเข้าประตูเมืองยังไม่รั้งรอ พวกเขาเองเข้าปะปนอยู่ในฝูงชนที่อพยพออกไปเช่นดัน


นี่หาใช่ความผิดของพวกเขาไม่ แต่เป็นเพราะแรงกดดันที่แผ่สะพัดเหนือน่านฟ้ากลับสะเทือนขวัญเกินไป!


 


พลังฟ้าดินที่แท้จริง มีหรือทั่มนุษย์จะหาญกล้าต้านทานได้?


ณ หอมหาสมบัติ ซูหลิงปู้และหยางรุยจับจ้องไปที่หุบเขาลูกมหึมานั้น ในทำนองเดียวกัน สีหน้าอารมณ์ในยามนี้ค่อนข้างรวนเรสองจิตสองใจ


 


“ท่านประมุขหอ พวกเราไม่หนีไปกับพวกเขารึ?”


ซูหลิงปู้กล่าว


 


หยางรุคลี่ยิ้มสุดระทมขมขื่นใจ ก่อนกล่าวว่า


“หนีไป? พวกเราสามารถหนีได้ด้วยรึ? ไม่ว่าวรยุทธเคลื่อนที่จะว่องไวเพียงใด เกรงว่าพวกเราก็หนีไม่ทันแล้ว!”


 


“เกิด…เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไฉนถึงต้องเป็นเมืองกุยฉาง?”


ซูหลิงปู้กล่าวขึ้นเจือน้ำเสียงแฝงปริศนามากมาย


 


“เฮ้ออ…นั้นสิ บนมหาพิภพถงเทียนมีเมืองมากมายนับไม่ถ้วน แต่ไฉนถึงต้องเป็นเมืองกุยฉาง? หรือเป็นไปได้ไหมว่า จู่ๆหุบเขาถงเทียนจะเคลื่อนที่มาหาเมืองกุยฉางเอง? แต่นี่เป็นไปได้อย่างไร?”


หยางรุยบ่นพึมพำ


 


 


…………………..


 


พริบตาเดียวเวลาบนโลกภายนอกพ้นผ่านไปสามสิบปี ในขณะที่เย่หยวนใช้เวลาอยู่ในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพไปแล้วถึงสามร้อยปี


อย่างไรก็ตามแต่ ในขณะที่มหาพิภพถงเทียนกำลังประสบภัยพิบัติสุดวิปลาส เย่หยวนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นจากห้วงสมาธิ


คู่ดวงเนตรแผดประกายแสงเจิดจ้า ผู้ใดได้เห็นต่างต้องให้ความเกรงขามอยู่หลายส่วน


สถานะความแกร่งกล้าในปัจจุบันกล่าวได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของเย่หยวนแล้ว!


 


ตรงกันข้ามกับ ชายชราในชุดอาภรณ์สีเทาอย่างหวู่เฉิน เขาได้แต่จับจ้องเย่หยวนด้วยความประหลาดใจ


เห็นเย่หยวนลืมตาตื่นจากสมาธิ เขาเผยสีหน้าแปลกๆก่อนเอ่ยถามขึ้นด้วยความวิตกสุดขีดว่า


“เจ้าหนู เจ้ากำลังทำบ้าอันใด?”


 


เนื่องด้วยตอนนี้วรยุทธบ่มเพาะพลังของเย่หยวนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นจนปิดไม่อยู่ พร้อมเอ่ยตอบอย่างยิ้มแย้มขึ้นว่า


“มิใช่ว่าท่านอาวุโสเฝ้ามองข้าอยู่ตลอดรึ? ข้าก็กำลังหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังของข้าขึ้นมา!”


 


เพราะหวูเฉินเฝ้ามองเย่หยวนอยู่ตลอด เขาจึงตระหนักได้ทันทีว่า ภัยพิบัติสุดวิปลาสด้านนอกคือฝีมือของเย่หยวนแน่นอน!


เพียงแต่ เขากลับไม่สามารถเข้าใจได้เลยสักนิด เย่หยวนไปเย้ยฟ้าท้าดินอะไรเข้า ไฉนถึงกระตุ้นให้มหาพิภพถงเทียนปั่นปวนได้ขนาดนี้


 


“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่า ตอนนี้เมืองกุยฉางกำลังตกสู่ความหายนะ! หุบเขาถงเทียนจู่ๆก็ปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้า!”


หวูเฉินกล่าวขึ้นด้วยความตกใจ


 


“หึ้ม? หุบเขาถงเทียน?”


เย่หยวนแลจับจ้องด้วยสายตาสุดว่างเปล่า ทันใดนั้นเขาะลนสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่สะท้อนกังวาลจากด้านนอก!


 


ในที่สุดหุบเขาถงเทียนก็ค่อยๆร่วงหล่นลงมาจากน่านฟ้าเหนือเมืองกุยฉางแล้ว!


ตึงงง….


 


แรงกดดันอันไร้ขอบเขตเริ่มเข้าบดขยี้พื้นพิภพอย่างช้าๆ ฟ้าดินเกิดปรากฏการณ์วิปลาสเปลี่ยนสี


ค่ายกลปกป้องเมืองกุยฉางในขณะนี้คล้ายกับแผ่นกระดาษบางรองใต้หุบเขาถงเทียน


 


“อ๊ากกก!!”


ทั่วบริเวณเมืองกุยฉาง เสียงกรีดร้องสุดเวทนาดังผสานรวมกลายเป็นหนึ่ง


 


เย่หยวนถอดสีหน้าในทันใด เสี้ยวพริบตาต่อมา เขาเร่งออกจากโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังห์พิภพโดยไว เมื่อเห็นสถานการณ์บนโลกภายนอก ท่าทางการแสดงออกดูวิตกถึงขีดสุด


“ท่านอาวุโส เกิดเรื่อนอะไรขึ้นกับที่นี่?”


เย่หยวนสีหน้าซีดเซียวหนักขณะเอ่ยถาม


 


“เจ้ายังกล้าถามข้า? ควรถามตัวเองดีกว่า! ภัยพิบัตินี้มิใช่เจ้าเรียกแล้วสวรรค์วิมารใดเรียกมา?!”


หวูเฉินตะโกนสวดใส่เย่หยวนไปหนึ่งบท


 


เย่หยวนตะลึงงันหนักเมื่อได้ยินเช่นนั้น


“ข้า? ไม่มีทาง?”


 


“ข้าก็เลยถามเจ้าไงว่า เจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่! ไฉนสรวงสวรรค์ถึงพิโรธขนาดนี้?!”


เสียงหวูเฉินแผดดังสนั่นร้องลั่น


เขามั่นใจเป็นที่สุด หุบเขาถงเทียนนี้ถูกเรียกมาโดยเย่หยวนแน่นอน!


 


เย่หยวนยิ้มขืนแลดูหดหู่หนัก


“ข้า…ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน! ข้าก็กำลังหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะตามปกติ และเพิ่งเสร็จสมบูรณ์เร็วๆนี้เท่านั้น!”


 


“หึ ข้าก็กล่าวจนปากเปียกปากแฉะ แต่เจ้ากลับไม่รู้จักฟัง! ตอนนี้เจ้าก็เห็นผลของการกระทำแล้วใช่ไหม? จะรับผิดชอบอย่างไรต่อ?”


หวูเฉินกล่าวขึ้นด้วยท่าทีที่ดูโกรธและผิดหวังอย่างมาก


 


คลืนนน!


ปรากฏว่า นี่คือหุบเขาถงเทียนของจริงขนานแท้ ขนาดของมันกว้างใหญ่ไพศาลจนบดบังดวงสุริยันจนมืดมิด ซึ่งรัศมีพื้นที่ที่ครอบคลุมกลับมิใช่แค่เมืองเล็กๆอย่างเมืองกุยฉางแห่งเดียว!


ทุกคนในรัศมีนี้กลับไม่มีที่ซ่อนแต่อย่างใด!


 


ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง กลิ่นอายสิ้นหวังคลุกระจายทั่วทุกหย่อมหญ้า ในที่สุดหุบเขาถงเทียนก็ถล่มลงมา ดิ่งพสุธากระแทกพื้นโดยตรง!


…..


……….


 


อย่างไรก็ตาม….ผลลัพธ์ที่ได้กลับมิใช่อย่างที่ทุกคนคิดไว้เลย ปรากฏว่าวันโลกาวินาศยังไม่มาถึง!


 


หุบเขาถง้ทียนลูกมหึมาจู่ๆก็หายวับลับสายตาไปทั้งๆแบบนั้น ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


 


“นี่…นี่เกิดบ้าอะไรขึ้นอีก? หุบเขานั้นหายไปไหนแล้ว?”


 


“ฮะ-ฮ่าฮ่า…รอดตายแล้ว! ข้ายังไม่ตาย! ข้ายังไม่ตายจริงๆ! ฮ่าฮ่าฮ่า…”


 


“บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป… สวรรค์…ทำให้ข้าขวัญเสียเกินไปแล้ว!”


 


 


…………………….


 


 


ในเวลานี้เอง เมืองกุยฉางเต็มไปด้วยเสียงอุทานยินดีปรีใจดังก้อง เพราะรอดชีวิตจากภัยพิบัติได้อย่างปาฏิหาริย์


เว้นเสียว่า เย่หยวนกลับขมวดคิ้วแน่น สีหน้าชวนสับสนงุนงงหนัก ก่อนเร่งปรี่เข้าไปในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลักงก์พิภพเพื่อตรวจสอบอะไรบางอย่าง


ทันใดนั้นเขาพลันเห็นหุบเขาถงเทียนจำลองที่แปรเปลี่ยนไป จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาเชื่อมต่อกับมันจนหลอมรวมกับดวงใจ


ก่อนค้นพบว่า บริเวณตีนเขาด้านล่างสุดของหุบเขาถงเทียนจำลอง สีสรรบริเวณนั้นกลับดูเข้มขึ้นถนัดตา


 


“ท่านอาวุโส ดูเหมือนว่า…ข้าจะดูดซับเต๋าภายในหุบเขาถงเทียนจำลองได้เล็กน้อย!”


เย่หยวนเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่ยังคงความไม่มั่นใจอยู่หลายส่วน


 


หวูเฉินหน้าเสียหนัก พลันกล่าวด้วยความไม่เชื่อว่า


“เจ้าหนู เจ้ากำลังทำให้ข้ากลัว! จอมเทพนิรันดร์ครอบครองหุบเขาถงเทียนจำลองมาเป็นเวลาเนินนานนับหลายล้านปี กระทั่งเขายังไม่กล้าพูดเลยว่า ตนสามารถดูดซับเต๋าจากในนั้นได้!”


 


เย่หยวนแช่มหายใจด้วยความตะลึง แม้แต่เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน


แต่ทันใดนั้น หุบเขาถงเทียนจำลองพลันหดขนาดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะบินรอนลงมาบนฝ่ามือของเย่หยวน!


 


เมื่อเห็นภาพฉากนี้ ดวงตาของหวูเฉินแทบถลนหลุดออกมา!


 


เย่หยวนสามารถดูดซับมันได้แล้วจริงๆ!


 


“เจ้า…เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”


หวูเฉินกล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึงสุดขีด


 


เย่หยวนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปชั่วขณะเช่นกัน ยามได้สติจึงกล่าวต่อว่า


“ข้า…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! ท่านอาวุโส…อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น! ข้าไม่รู้จริงๆ! ข้าเพียงมุ่งความสมาธิทั้งหมดเพื่อหลอมสร้างวรบุทธบ่มเพาะพลังบทแรกเท่านั้น และนั้นคือทั้งหมด!”


 


หวูเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดเอ่ยปากถามมิได้ว่า


“เจ้า…เจ้าดันไปหลอมสร้างวรยุทธวิปลาสแบบใดขึ้นมา?”


 


เย่หยวนกล่าวตอบว่า


“แน่นอนว่าต้องเป็นวรยุทธบ่มเพาะพลัง! ข้าเองก็ยังไม่ได้คิดชื่อเลย อืม…ท่าจะหาชื่อที่เหมาะสมกับมันที่สุดล่ะก็… ในเมื่อมันมีต้นกำเนิดมาจากหุบเขาถงเทียนจำลอง ดังนั้นข้าควรจะเรียกมันว่า…บัญญัติเทพแห่งถงเทียน!”



ตอนที่1341 วรยุทธบ่มเพาะพลังอันน่าสะพรึง


 


“บัญญัติเทพแห่งถงเทียน?”


หวูเฉินรำพึงเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อว่า


“หรือเป็นไปได้ไหมว่า วรยุทธบ่มเพาะพลังนี้เจ้าหลอมสร้างขึ้นมาจากหุบเขาถงเทียนจำลองจริงๆ? นี่…นี่เป็นไปไม่ได้!”


 


เย่หยวนยักไหล่พลางกล่าวตอบว่า


“ใครจะไปสน จะว่าไปตอนนี้ทุกคนสบายดีหรือไม้? อืม…ท่านอาวุโส ข้าปลีกวิเวกเก็บตัวมานานเท่าใดแล้ว?”


 


“กว่าสามร้อยปีได้ในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพแห่งนี้!”


หวูเฉินยังระทึกใจไม่หายกับระยะเวลาเพียงเท่านี้ เพราะก่อนหน้าที่เย่หยวนจะเข้าเก็บตัว เขาเคยกล่าวไว้ว่า อีกฝ่ายจำต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายพันปีขึ้นไป


แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับใช้ไปแค่สามสิบปีของโลกภายนอกเท่านั้น ก็สามารถหลอมสร้างบัญญัติเทพแห่งถงเทียนขึ้นได้สำเร็จแล้วจริงๆ!


 


“ผ่านไปสามสิบปีในโลกภายนอก? ข้าคาดว่าท่านประมุขหอหยางคงกำลังจับเข่านั่งกังวลอยู่เช่นเดิมกระมัง?”


เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มสุดขมขื่น


หากไม่มีโอสถของเขา เกรงหอมหาสมบัติจำต้องตกชั้น ความนิยมลดลงเหมือนก่อนหน้าเป็นแน่


เย่หยวนที่กำลังจะออกจากโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ ทันใดนั้นกลับถูกหวูเฉินหยุดเอาไว้เสียก่อน


“เดี๋ยวก่อน! ระดับพลังของเจ้าตอนนี้ได้มาถึงจุดสูงสุดแห่งอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็สามารถทะลวงขึ้นสู่ชั้นกลางได้! เราชายชราขอดูหน่อยเสียว่า วรยุทธบ่มเพาะพลังที่เจ้าหลอมสร้างกับมือจะทรงพลังเพียงใด!”


หวูเฉินกล่าว


ในตอนนี้ตัวเขาเต็มไปด้วยความสงสัยอยากรู้อยากเห็นยิ่งว่า วรยุทธบ่มเพาะพลังที่เย่หยวนสร้างขึ้นจะมีหน้าตาเป็นแบบใดกัน


วรยุทธการบ่มเพาะนี้จะต้องวิปลาสเพียงใดกัน ถึงสามารถกระตุ้นฟ้าดินและหุบเขาถงเทียนจนเกิดภัยพิบัติได้ขนาดนี้?


 


เย่หยวนยืนแข็งทื่อเมื่อได้ยินแบบนั้นและกล่าวว่า


“ท่านอาวุโสกล่าวมีเหตุผล ข้ามิอาจล่าช้าได้อีก จำต้องเลื่อนระดับชั้นโดยเร็ว”


กล่าวจบ เย่หยวนสะบัดแขนเสื้อยาว ปรากฏเป็นกองโอสถจำนวนหนึ่งอยู่ต่อหน้าต่อตา


ซึ่งพวกมันทั้งหมดล้วนแต่เป็นโอสถปราณเทวะขั้นเทวะ!


 


ด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวนในปัจจุบัน การจะหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นเทวะกลับมิใช่เรื่องน่าที่งใดๆอีกต่อไป


หากคนนอกเห็นเย่หยวนที่หยิบใช้โอสถฟุ่มเฟือยขนาดนี้ พวกเขาเหล่านั้นคงกรนด่าสาปแช่งเย่หยวนไปจนตาย


โอสถปราณเทวะขั้นเทวะนับเป็นของหายากมากในโลกภายนอก กล่าวได้ว่ามีแต่อุปสงค์ ทว่าปราศจากอุปทาน


 


ทว่าเย่หยวนกลับหยิบกินราวกับขนม!


 


แท้ที่จริงแล้ว เย่หยวนก็ตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้ลองใช้บัญญัติเทพแห่งถงเทียน


แม้ว่านี่จะเป็นวรยุทธบ่มเพาะพลังที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยตัวเขาเอง แต่นี่ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวเต๋าที่ได้จากหุบเขาถงเทียนจำลองมาหลอมสร้างเท่านั้น


สำหนับผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นเช่นไร กระทั่งเขาเองก็ยังไม่มั่นใจนัก


 


ดังนั้นเย่หยวนจึงเริ่มกลืนโอสถปราณเทวะลงไป และทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางโดยตรง!


ทันทีที่เม็ดโอสถตกสู่กระเพาะอาหารของเย่หยวน มันก็ได้รับการดูดซับฤทธิ์โอสถโดยบัญญัติเทพแห่งถงเทียนทันที


ทันทีทันใด สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนพลันผันเปลี่ยนในบัดดล!


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


หวูเฉินเอ่ยถามด้วยความกังวล


 


กระทั่งตัวเย่หยวนเองยังประหลาดใจเกินพรรณนา เขาเหลียวมองหวูเฉินและกล่าวว่า


“ฤทธิ์โอสถได้รับการดูดซับโดยสมบูรณ์แล้ว!”


 


คู่ดวงตาของหวูเฉินทอประกายตื่นตระหนกสุดขีด เขาอุทานขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า


“จะ-เจ้ากล่าวอันใด? ดูดซับเสร็จแล้ว? หมาย…หมายถึงว่าดูดซับฤทธิ์โอสถปราณะเทวะขั้นเทวะหมดแล้ว?”


 


เย่หยวนผงกศีรษะด้วยความตะลึงใจไม่เปลี่ยน ขณะที่กล่าวขึ้นว่า


“ถูกต้อง ข้าเพิ่งโคจรพลังปราณเทวะด้วยวรยุทธบ่มเพาะเพียงรอบเดียวเท่านั้น ฤทธิ์โอสถปราณเทวะทั้งหมดก็ได้รับการขัดเกลา พร้อมถูกดูดซับลงสู่ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์โดยสมบูรณ์ หื้ม? เดี๋ยวก่อน พลังปราณเทวะที่กักเก็บอยู่ในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์จู่ๆก็ควบแน่นลดขนาดลง!”


 


ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่ต่างสบสายตากันไปมาด้วยความมึนงงทั่งคู่


ก่อนหน้านี้ หวูเฉินยังตรวจพบว่า เย่หยวนอยู่ห่างจากอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น


แต่ในพริบตาเดียว ไฉนจากหนทางสั้นๆกลับกลายมาเป็นทางยาว!


 


 


“เจ้าหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังวิปลาสใดมา? นี่…นี่ไม่ผิดประหลาดเกินไปหน่อยรึ?”


แม้แต่หวูเฉินผู้เจนจัดผ่านประสบการณ์มาแล้วมากมาย ขอบเขตความรู้นับว่าไกลพ้น ทว่านี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญกับสถานการณ์แปลกประหลาดแบบนี้


 


ทันใดนั้นเอง เย่หยวนก็กล่าวขึ้นว่า


“ท่านอาวุโส แม้พลังปราณเทวะภายในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์จะหดตัวเล็กลง แต่ข้าสัมผัสได้อย่างชัดเจน พลังปราณเทวะภายในกายข้าเหล่านั้นกลับบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้ามาก!”


 


หวูเฉินครุ่นคิดเป็นการหนักเมื่อได้ยินแบบนั้นและกล่าวว่า


“ลองกลืนโอสถปราณเทวะลงอีกเม็ด แล้วดูดซับมันดู”


 


เย่หยวนพยักหน้าพร้อมทำตามที่หวูเฉินกล่าวไป


 


ทันทีที่เริ่มโคจรพลังปราณเทวะด้วยบัญญัติเทพแห่งถงเทียนอีกครั้ง โอสถปราณเทวะเม็ดนั้นก็ถูกดูดซับเข้าสู่ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์แทบจะในทันที!


สิ่งหนึ่งที่ควรทราบก็เลยก็คือ สำหรับนักสู้ทั่วไป แม้วรยุทธการบ่มเพาะพลังของพวกเขาจะท้าทายสวรรค์เพียงใด แต่อย่างน้อยที่สุดจำเป็นต้องใช้เวลาในการขีดเกลาและดูดซับโอสถปราณเทวะขั้นเทวะประมาณครึ่งถึงหนึ่งเดือนเต็ม


 


อย่างไรก็ตาม เย่หยวนสามารถขึดเกลาและดูดซับได้ทันที!


ความเร็วระดับนี้อยูเหนือจินตนาการไปแล้ว!


 


เย่หยวนพบว่าโอสถปราณเทวะขั้นเทวะที่เขากลืนลงไป ยังทันได้สัมผัสผลกระทบอันใด มันก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นคลื่นพลังปราณเทวะบริสุทธิ์ที่หลั่งไหลเข้าสู่ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ไปเสียแล้ว


เห็นดังนั้น รอบนี้เย่หยวนจจึงหยิบโอสถปราณเทวะขึ้นมาสามเม็ดพร้อมตบเข้าปากพร้อมกัน และโคจรพลังด้วยบัญญัติเทพแห่งถงเทียนอีกครั้ง


 


ทว่า…สามเม็ดยังคงน้อยเกินไป


 


ดังนั้น เย่หยวนไม่รอช้า เริ่มหยิบจั่วโอสถปราณเทวะเข้าปากมากขึ้นเรื่อยๆ


ไม่ช้าเกินรอ กองโอสถปราณเทวะตรงหน้าก็หมดลงโดยสมบูรณ์


ประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบเม็ดเห็นจะได้ เย่หยวนกลืนโอสถปราณเทวะขั้นเทวะทั้งหมดไปราวกับกินถั่วกรุบกรอบเพลินปาก


 


ด้านข้างไม่ห่างกาย หวูเฉินได้แต่จับจ้องอย่างโง่งม โพล่งตาเบิกโตประดุจไข่ห่านด้วยความตกตะลึงไม่เสื่อมคลาย


เขาไม่เคยเห็นใครบ่มเพาะพลังด้วยวิธีวิปลาสแบบเย่หยวนมาก่อน


พวกหมดที่เย่หยวนกระเดือกไปล้วนเป็นโอสถปราณเทวะชั้นเทวะกว่าเจ็ดสิบเม็ด หากเป็นคนอื่นๆที่ยัดกองโอสถไปมากขนาดนี้ ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์คงระเบิดเละไปนานแล้ว


 


“นี่…นี่มันหลุมไร้ก้นบ่อชัดๆ! เจ้าเพิ่งเป็นแค่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น แต่กลับใช้จ่ายมหาศาลขนาดนี้ หากในอนาคตที่อาณาจักรพลังของเจ้าสูงขึ้น ปริมาณทรัพยากรที่ใช้จะยิ่งมากขนน่ากลัวเพียงใด!”


หวูเฉินถอนหายใจเฉือกใหญ่พร้อมหลากหลายอารมณ์ที่พรั่งพรูออกมา


 


เย่หยวนเหลียวมองหวูเฉิน ปราศจากเล่ห์เหลี่ยมอันใด เขาคลี่ยิ้มสุดขมขื่นออกมาและกล่าวว่า


“ดูเหมือนว่า หลังจากนี้ข้าจำต้องหาเงินหาทองมาถลุงไม่รู้จบ ความอยากอาหารของข้ากลับมากผิดปกติ!”


 


หวูเฉินจู่ๆก็กล่าวขึ้นว่า


“เจ้าสัมผัสได้ไหมว่า พลังปราณเทวะของเจ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไม่?”


 


เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า


“อืม พลังปราณเทวะที่ไหลเวียนทั่วร่างกายบริสุทธิ์กว่าแต่ก่อนมาก! ยามข้าสำแดงใช้วรยุทธโจมตี น่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ประมาณสองถึงสามส่วนเลยทีเดียว!”


 


หวูเฉินพยักหน้าและกล่าวว่า


“ถูกต้อง! ไม่น่าแปลกใจที่วรยุทธการบ่มเพาะพลังของเจ้า ถึงสามารถกระตุ้นฟ้าดินให้วิปลาสได้ขนาดนี้! ข้าไม่คิดเลยว่า เจ้าเด็กหัวรั้นนี่จะมีโชคชะตาสุดท้าทายสวรรค์เพียงนี้!”


พลังปราณเทวะของเย่หยวนในตอนนี้ ทั้งบริสุทธิ์และเข้มข้นยิ่งกว่าก่อนหน้าลิบลับ


วรยุทธบ่มเพาะพลังที่แตกต่างกันไปของเหล่านักสู้ คือปัจจัยหลักที่ทำให้คุณภาพของพลังปราณเทวะไม่เหมือนกัน


หากเป็นวรยุทธบ่มเพาะพลังที่ไร้คุณภาพ พลังปราณเทวะที่ขัดเกลาได้กลับไม่สะอาดบริสุทธิ์เท่าที่ควร นั้นอาจส่งผลเสียต่อทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ได้ในอนาคต


เมื่อเข้าสู่ช่วงปัญหาคอขวด สิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มแสดงผลเสีย ระยะเวลาที่ติดอยู่จุดนี้จะขยายนานขึ้น หรือบางคนอาจไม่สามารถเลื่อนระดับชั้นได้อีกต่อไปเลยก็มี!


อีกหนึ่งหน้าที่สำคัญของพลังปราณเทวะคือ ช่วยเพิ่มอนุภาพของวรยุทธต่อสู้ หากผู้ใดมีพลังปราณเทวะที่บริสุทธิ์ ขุมพลังที่ปลดปล่อยออกมาย่อมสูงกว่าตามธรรมชาติ


สรุปแล้ว การที่พลังปราณเทวะของเย่หยวนบริสุทธิ์กว่าทั่วไป นี่กลับเป็นประโยชน์มากมายเกินบรรยาย


 


กล่าวได้ว่า วรยุทธบ่มเพาะพลังคือตัวกำหนดอนาคตของนักสู้ว่าจะเดินไปไกลได้แค่ไหน!


หากเย่หยวนเลือกที่จะใช้วรยุทธบ่มเพาะพลังของจอมเทพนิรันดร์ แน่นอนว่าในช่วงแรกย่อมพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่สุดท้ายนี้ก็จะไม่มีทางก้าวล้ำเหนือไปกว่าอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้าได้เลยชั่วชีวิต


แต่สิ่งที่เย่หยวนต้องการหาใช่อาณาจักรพรรดิเทพสวรรค์หรือจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้า


ไม่ว่าอย่างไร เขาจักต้องขึ้นไปถึงอาณาจักเต๋าบรรพกาลให้จงได้!


 


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเริ่มต้นความคิดที่จะหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังของตัวเองขึ้นมา


เมื่อพินิจมองถึงผลลัพธ์ที่ได้ในขณะนี้ นี่นับว่าคุ้มค่าแล้ว


 


“ดูเหมือนว่า หากต้องการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง เกรงว่ายังต้องใช้โอสถปราณเทวะขั้นเทวะอีกประมาณหลายร้อยเม็ด! ตอนนี้โอสถปราณเทวะใกล้หมดเต็มที คงต้องออกไปหลอมกลั่นใหม่อีกรอบ”


เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างหมดหนทาง


ด้วยปริมาณที่ต้องการขนาดนี้ หากในอนาคตไม่มีทรัพยากรเพียงพอ กลับเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญนัก


 


 


…………………..


 


 


เมื่อเย่หยวนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในหอมหาสมบัติ เขากลับพบว่าภายในหอมหาสมบัติแห่งนี้กลับเปลี่ยวร้างว่างเปล่า คล้ายธุรกิจที่กำลังจะปิดตัวลง


สถานการณ์ที่ตกต่ำถึงขั้นนี้ทำเอาเย่หยวนประหลาดใจอย่างมาก


ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าเก็บตัว มิใช่ว่ากำราบสามตระกูลใหญ่ไปหมดแล้ว?


 


“หงหยิน นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ไฉนถึงไม่มีลูกค้าเลยแม้แต่คนเดียว?”


เย่หยวนกล่าวกับหงหยินที่กำลังงีบหลับอยู่ในห้องโถง



ตอนที่1342 ดินแดนพฤกษานิรันดร์ต้องสะเทือน!


 


ณ ดินแดนพฤกษานิรันดร์ ในขณะนี้กำลังเกิดพายุลมปราณโหมกระหน่ำทั่วทั้งสารทิศ!


ร่องรอยพลังงานลึกล้ำกำลังหลั่งไหลผ่านฟ้าดินอย่างบ้าคลั่ง


ทันใดนั้นฟางเทียนในวัยชราภาพค่อยๆลืมตาขึ้น พร้อมความอ่อนเยาว์ที่หวนกลับคืนจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า คู่ดวงเนตรสาดแสงประกายเจิดจ้า


 


“ท่านอาวุโส! ท่านอาวุโส!”


 


ปังง!


ประตูตำหนักของฟางเทียนถูกเปิดออกจากข้างนอกโดยใครบางคน ปรากฏว่าเป็นเต็งหยุนที่พุ่งพรวดเข้ามาอยู่ตรงหน้า


 


ทันทีที่เต็งหยุนเห็นความอ่อนเยาว์ลงของฟางเทียน เขาก็เร่งกล่าวขึ้นทันทีอย่างสุขใจว่า


“ท่านอาวุโส! ท่าน…ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง? ฮ่าฮ่าฮ่า! ในที่สุด…ในที่สุดเราก็สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้สักที!”


 


ฟางเทียนคลี่ยิ้มกว้างและกล่าวว่า


“ถูกต้องแล้ว! ในที่สุดศาสตร์แห่งสวรรค์ที่หายสาปสูญก็กลับมาแล้ว! ดินแดนพฤกษานิรันดร์ถูกต่อชีวิตใหม่อีกครั้ง! แลนที่สำคัญที่สุดคือ…สิ่งนี้สามารถการันตีได้ว่า เย่หยวนยังมีชีวิตอยู่ในอีกโลกนึง!”


ก่อนหน้านี้ หางเทียนรู้ตัวดี อาณาจักรพลังของเขาไม่สามารถพัฒนาไปได้สูงกว่านี้แล้ว เป็นเวลากว่าหลายหมื่นปี แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้!


หลายปีที่ผ่านมา มหาศึกมากมายเวียนผ่านช่วงชีวิต เขาเห็นความเป็นไปของพิภพแห่งนี้มาอย่างยาวนาน จนท้ายที่สุดจำต้องละทิ้งความหวังที่จะขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าทิ้งไป


แต่มาวันนี้ เขากลับไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่า ขณะที่ตนกำลังนอนอยู่บนเตียงมรณะเพื่อเฝ้ารอความตายที่คืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ จู่ๆก็พลันสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เขาเฝ้าตามหามาแสนนาน


ศาสตร์แห่งสวรรค์หวนกลับมาแล้ว!


สำหรับฟางเทียนที่มีสามปัจจัยหลักครบถ้วนสมบูรณ์มาตั้งแต่ต้น หากต้องการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า กลับไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายอันใดนัก เพียงก้าวเท้าออกไปก็บรรลุตามประสงค์


ดังนั้นแล้ว ภายในดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ หากไม่นับรวมเย่หยวน ฟางเทียนคือคนแรกที่ขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้ในรอบแสนปี!


 


เต็งหยุนกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า


“ฮ่าฮ่าฮ่า กล่าวถูกต้องแล้วท่าน! ไม่เพียงเย่หยวนยังมีชีวิตอยู่ แต่เขายังบรรลุสู่ระดับชั้นที่พวกเราเกินหยั่งถึงไปแล้วแน่นอน! นึกไม่ถึงโดยแท้ เวลาไม่ถึงห้าสิบปี แต่ประสบความสำเร็จถึงขอบเขตที่สามารถกู้คืนศาสตร์แห่งสวรรค์ของดินแดนพฤกษานิรันดร์กลับมาได้!”


 


ฟางเทียนเองก็ดูโล่งใจลงอย่างมาก เขากล่าวว่า


“ใช่แล้ว หลายปีมานี้ข้ากังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยของเย่หยวน เฮ้ออ…ข้าไม่คิดเลยว่า จะวันที่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้จริงๆ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา เย่หยวนมักจะทำให้ข้าประหลาดใจเสมอ!”


ฟางเทียนจะไม่ประหลาดใจได้อย่างไร?


ทันทีที่เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ อายุขัยของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ใช้ชีวิตอยู่อีกห้าหมื่นปีกลับมิใช่ปัญหาเลย


ที่สำคัญกว่านั้น เนื่องจากแนวคิดของเข้าใจของเขายังลึกล้ำสูงเกินอาณาจักรพลังไปมาก ขอเพียงมีเวลาเพียงพอ ฟางเทียนจะสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าต่อได้ทันทีโดยตรง!


เมื่อถึงตอนนั้น อายุขัยของเขายิ่งมีแต่เพิ่มและเพิ่มมากขึ้น!


 


เย่หยวนมอบของขวัญยิ่งใหญ่ให้แก่ฟางเทียนอย่างแท้จริง!


 


ทันใดนั้นเอง พลันปรากฏรัศมีสุดน่าสะพรึงพวยพุ่งทะยานเสียดนภาสูงจรัส แรงกดดันของเผ่าอสูรพรั่งพรูไม่หยุดสุดท่วมท้น ทิศทางมาจากภายในห้องลับของหออาญาสิทธิ์


 


ฟางเทียนเลิกคิ้วกระดกขึ้นโดยพลันและกล่าวขึ้นเจือประหลาดใจว่า


“นั้นผู้อาวุโสกวนควานเทียน! ออกไปดูกันเร็ว!”


 


เหนือฟ้าน่านนภาสูง ร่างหนึ่งปราดพุ่งทะยานล่องเมฆา กลิ่นอายของเผ่าเต่าดำสุดแกร่งกล้าระเบิดคลั่งสะท้านพิภพ แรงกดดันอันน่ากลัวนี้โหมสะพลัดทั่วสารทิศหลายแสนลี้


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า… ในที่สุดศาสตร์แห่งสวรรค์ก็กลับมาแล้ว! สิ่งที่สวรรค์พรากจากตัวข้าไป ยามนี้เราชายชราได้คืนเสียที! ฮ่าฮ่าฮ่า…”


เสียงหัวเราะสุดบ้าคลั่งระเบิดแผดลั่น กวนควานเทียนสุขใจเหลือล้นเกินควบคุม แค่เสียงหัวร่อที่ปลดปล่อยออกมาก็รุนแรงและดุดันดุจสายฟ้าฟาด แต่ละระลอกที่ก้องกังวานต่งาทำให้เหล่าผู้คนโดยรอบอกสั่นขวัญหาย


สำหรับคนอื่นๆ แม้ว่าศาสตร์แห่งสวรรค์จะกลับมาแล้ว แต่ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่พวกเขาจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ทันที


ทว่าแต่เดิม กวนควานเทียนเคยเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นทันทีที่ศาสตร์แห่งสวรรค์กลับมา เขาจจึงหวนคืนสู่อาณาจักรพระเจ้าได้โดยตรง


ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่ศาสตร์แห่งสวรรค์กลับมา กวนควานเทียนยังทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดได้ในอึดใจเดียว!


 


 


“อิ้งหมัวหู่ ดีจริงๆ! พี่ใหญ่หยวน…เขายังปลอดภัยดี!”


ลี่เอ๋อที่ดูเย็นชาและสยบปากสงบคำอยู่ตลอดหลายสิบปี ยามนี้ถึงขั้นสูญเสียความเยือกเย็นเหล่านั้นไปหมดสิ้น


ห้าสิบปีที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนเลยที่นางไม่เฝ้าเป็นห่วงเย่หยวน


ตลอดมาจวบจนวันนี้ ในที่สุดก้อนศิลาขนาดยักษ์ก็ถูกยกออกจากใจของลี่เอ๋อ


 


อิ้งหมัวหู่ดูตื่นอกตื่นเต้นสุดขีด เร่งกล่าวขึ้นทันที


“นี่มิใช่เวลามาดีใจแล้ว! ในเมื่อศาสตร์แห่งสวรรค์ถูกกู้คืนกลับมา พวกเรารีบเร่งบ่มเพาะพลังให้ถึงอาณาจักรพระเจ้าโดยไว! ทันทีที่เราไปถึงมหาพิภพถงเทียน จะได้ลากพี่ใหญ่กลับมา! ในเมื่อดินแดนแห่งนี้ฟื้นขึ้นอีกครั้ง นั้นแสดงว่าความแกร่งกล้าของพี่ใหญ่สูงจนเกินจินตนาการพวกเราไปแล้ว!”


 


ลี่เอ๋อผงกศีรษะตอบ นางเห็นด้วยกับคำพูดของอึ้งหมัวหู่เช่นกัน


เพราะหลายสิบปีที่ผ่านมา นางแทบไม่ได้บ่มเพาะพลังเลย


มิใช่ว่านางไม่ต้องการหรือคร้านใจ แต่นางไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้เลย


ดังนั้นทันทีที่ทราบว่าเย่หยวนยังปลอดภัยดี นางจึงปลีกวิเวกเก็บตัวทันทีเพื่อมุ่งมั่นฝึกปรือ หวังทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าให้ได้โดยเร็วที่สุด


 


 


…………………………..


 


 


 


ภายในหุบเขาเหวพระเจ้า ณ ดินแดนเนรเทศ


ท่านบรรพบุรุษแห่งเผ่ามังกรเองก็อยู่ในกรณีเดียวกับกวนควานเทียน ทันทีที่ศาสตร์แห่งสวรรค์หวนกลับคืน เขาก็กลับขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ทันที


 


“จุนเอ๋อ เจ้าให้กำเนิดบุตรชายที่ประเสริฐนัก! ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า สิ่งที่เขาพยายามลงทุนลงแรงไป กลับได้ผลจริงๆ! ดูเหมือนว่า…คำสาปจะถูกทำลายไปแล้ว ส่วนเผ่าใดจะออกจากที่นี่ได้ก่อน แค่ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว!”


ท่านบรรพบุรุษกล่าว


 


แต่อ้าวจุนกลับถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวว่า


“ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ เขาคงลำบากไม่น้อยเลย!”


 


ท่านบรรพบุรุษคลี่ยิ้มอ่อนและกล่าวว่า


“อย่าปล่อยให้จินตนาการเติมแต่งไปไกลนัก ศาสตร์แห่งสวรรค์กลับคืนมาแล้วก็ควรฝึกปรือให้ดี! หลังจากที่เจ้าสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ อายุขัยส่วนหนึ่งที่ถูกคำสาปลิดรอนไปกลับคืนมา มิเช่นนั้น ตอนที่หยวนเอ๋อกลับมาเยี่ยมและพบว่าแม่ของเขาล่วงลับไปแล้ว ยามนั้นดินแดนแห่งนี้ไม่ระเบิดเป็นจุณเลยรึ?


 


อ้าวจุนหัวเราะคิดคักขำขันเล็กน้อย ยามได้ฟังท่านบรรพบุรุษกหล่าวหยอก นางพยักหน้าและกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า


“ท่านบรรพบุรุษกล่าวถูกต้องแล้ว ด้วยนิสัยของเขา ไม่แน่อาจถึงขั้นล้างพิภพจริงๆ”


 


 


ในขณะเดียวกัน คุนหวูกำลังเหลียวมองฟ้าไกลสุดสายตาไปทางทิศของประตูผนึกดินแดน พลางเอ่ยพึมพำขึ้นว่า


“เจ้าเด็กคนนี้มันยังปลอดภัย! อย่างไรก็ตาม…แค่ห้าสิบปีถึงขั้นทะลวงขึ้นไปยังอาณาจักรราชันย์พระเจ้าได้แล้วงั้นรึ? ช่างน่าทึงนัก! เฮ้ออ…ข้าล่ะอิจฉาตาแก่หวูเฉินจริงๆ ที่ติดตามเด็กนั้นไปได้”


หากกล่าวตามหลักเหตุและผล มีความเป็นไปได้เดียวที่หวูเฉินคิดออกคือ เย่หยวนจำต้องทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันย์พระเจ้าให้ได้เสียก่อน ถึงสามารถกู้คืนศาสตร์แห่งสวรรค์และพลังฉีลี้ลับกลับคืนสู่ดินแดนพฤกษานิรันดร์โดยส่งผ่านมาจากสมบัติเวทย์สวรรค์ทั้งสองชิ้นในตัว


แต่นี่เพิ่งผ่านไปแค่ห้าสิบปี เย่หยวนก็สามารถทำสำเร็จแล้ว


ใช้เวลาเพียงห้าสิบปี สามารถเลื่อนระดับชั้นจากอาณาจักรปฐมพระเจ้าขึ้นสู่อาณาจักรราชันย์พระเจ้าได้ นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปมาก!


 


 


……………..


 


 


 


“อ๊ะ! นะ-นายท่านเย่! ในที่สุดท่านก็ออกจากการเก็บตัวแล้ว!”


หงหยินที่กำลังงับหลับพลันสะดุ้งตื่นขึ้นทัน ทราบว่าเป็นเย่หยวนยามนี้ยิ่งตื่นตะลึงหนัก


 


“อืม การเก็บตัวคราวนี้กิบเวลานานมิใช่น้อย ถึงนั้นที่ว่ายุคสมัยเปลี่ยนผัน หอมหาสมบัติกลับเสื่อมอำนาจลงอีกครั้ง? เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไฉนหอมหาสมบัติถึงไม่มีลูกค้าอยู่เลยแม้แต่คนเดียว?”


เย่หยวนเอ่ยถามขึ้น


 


“ทุกอย่างจะดีกว่านี้หากมิใช่เพราะพวกตระกูลหวัง! ช่วงปีแรกๆที่นายท่านเย่เข้าสู่การเก็บตัว ตระกูลหวังเสื่อมอำนาจลงถึงขีดสุด จนกล่าวได้ว่าตกต่ำจนเกือบกลายเป็นตระกูลชนชั้นสอง แต่หลังจากที่พวกมันเชื้อเชิญจจอมเทพโอสถสองดาวมาเป็นกำลังเสริมจากตระกูลสาขาหลักในเมืองหมิงหยาง พวกมันก็แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดของหอมหาสมบัติไปจนหมด หลายปีมานี้ หอมหาสมบัติของเราต้องเผชิญพบกับความตกต่ำ แถมยังถูกเจ้าเมืองกับตระกูลหวังที่ร่วมมือกันปราบปรามกดดันหนัก พวกเราแทบประคองธุรกิจต่อไปไม่ไหวแล้ว”


หงหยินกล่าวอธิบายทันทีอย่างร้อนรน


 


“จอมเทพโอสถสองดาว? พวกตระกูลหวังเล่นใหญ่มิใช่น้อย ถึงขั้นต้องเชิญเชื้อจอมเทพโอสถสองดาวมาช่วยจริงๆ! ดูท่าก่อนหน้านี้ พวกเรายังมีเมตตาเกินไป!”


เย่หยวนแสยะยิ้มสุดเย็นชาพลางกล่าวขึ้น


ด้วยนิสัยของเย่หยวน หากลงมือได้เขาคงล้างบางตระกูลหวังไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว


อย่างไรก็ตาม ตามที่เย่หยวนพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เขารู้สึกว่าเจ้าเมืองกับตระกูลหวังกลับมีความสัมพันธ์มิได้ตื้นเขินเลย หากเคลื่อนไหวไปในตอนนั้น ทางฝ่ายเจ้าเมืองเองจำต้องเคลื่อนไหวตอบโต้เช่นกัน นั้นจึงเป็นเหตุผลที่เขายอมปล่อยไปก่อน


แต่เขากลับคาดไม่ถึง พวกมันไม่เพียงแต่ไม่กลับใจสำนึกผิด แต่ยังหยิ่งผยองเสียยิ่งกว่าเดิม จากชั่วช้ากลายมาเป็นชั่วช้ายิ่งกว่า


 


“นายท่านเย่ พวกจอมเทพโอสถสองดาวนั้นมีฝีมือน่าเกรงขามนัก ไม่เพียงนำโอสถปราณเทวะขั้นเทวะออกมาจำหน่ายได้ กระทั่งโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลางขั้นสวรรค์ก็ยังมี! พวกมันพยายามบดขยี้เราทีละน้อยๆ จนตอนนี้ไม่มีอะไรไปต่อกรพวกมันได้แล้ว!”


หงหยินกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ


 


การเชื้อเชิญจอมเทพโอสถสองดาวมา นับเป็นการทำลายความสมดุลในเมืองกุยฉางจนหมดสิ้น หอมหาสมบัติในยามนี้กลับไม่มีอะไรไปสู้ได้เลย


 


เย่หยวนที่ได้ยินแบบนั้นพลันกล่าวขึ้นด้วยความสงสัยว่า


“หอมหาสมบัติดเป็นถึงกลุ่มอำนาจใหญ่ของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติ ในเมื่อตระกูลหวังเชิญจอมเทพโอสถสองดาวมาได้ แล้วไฉนทางฝ่ายหอมหาสมบัติถึงจะเชิญจอมเทพโอสถสองดาวชั้นกลางไม่ก็ชั้นสูงมาเลย?”


 


หงหยินกล่าวขึ้นพร้อมพกพาความสิ้นหวังอยู่เต็มอก


“นายท่านเย่คงไม่ทราบ พวกเราเหล่าหอมหาสมบัติที่อยู่ภายใต้อาณาเขตของเมืองหลวงหวูเมิ่งล้วนอ่อนแอไร้อำนาจอย่างมาก ไม่เพียงจะอยู่ไกลจากเขตอำนาจของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติเท่านั้น แต่ทรัพยากรบุคคลอย่างจอมเทพโอสถสองดาวชั้นกลางชั้นสูง ย่อมถูกส่งไปยังอาณาเขตเมืองหลวงอื่นที่ใหญ่ๆ หลายปีที่ผ่านมา พวกเราเองก็เคยส่งคำร้องขอจอมเทพโอสถสองดาวชั้นกลางไปเช่นกัน แต่เบื้องบนกลับเมินและปล่อยผ่าน ให้พวกเราเผชิญวิบากกรรมกันเอาเอง”



ตอนที่1343 โอสถบ่มเพาะปราณ


 


แม้ว่าเขาจะพอคาดเดามาได้นานแล้ว แต่หอมหาสมบัติที่ตกต่ำถึงขั้นนี้กลับเกินความคาดหมายของเย่หยวนไม่น้อย


หอมหาสมบัติเป็นถึงธุรกิจหลักของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติ แต่ระบบการบริหารกลับน่าสังเวชโดยแท้


 


“เช่นนั้นพวกเราก็รั้นแต่ต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว?”


เย่หยวนกล่าวขึ้น


 


หงหยินพยักหน้าอย่างช่วยมิได้และกล่าวว่า


“คงต้องเป็นเช่นนั้น! แต่…พวกมันมีจอมเทพโอสถสองดาวอยู่ เราไม่มีทางเอาชนะในศึกครานี้ได้เลย!”


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“จอมเทพโอสถสองดาว ฟังดูน่าสนใจดีหนิ แต่ภายในเมืองกุยฉางแห่งนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถใช้โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองได้บ้าง? จะขายได้กี่เม็ดเชียว?”


 


หงหยินกล่าวตอบ


“เพราะแบบนั้นพวกตระกูลหวังจึงให้จอมเทพโอสถสองดาวหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลาง แถมประสิทธิภาพยังสูงมาก พวกมันหวังบีบเราให้ตายคามือจริงๆในคราวนี้!”


 


เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า


“อืม…โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลางงั้นรึ ดูท่าจะมีปัญหาไม่น้อยจริงๆ ดูท่าข้าจำต้องเลื่อนระดับในเร็ววันเสีย”


 


หงหยินงุนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น พลันไม่แน่ใจว่านั้นหมายความอย่างไร


 


เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า


“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวไปพบกับท่านประมุขหอก่อน โอ้ใช่แล้ว แม่นางหวานหรูสบายดีหรือไม่?”


 


เมื่อฟังว่าอีกฝ่ายเอ่ยถึงเหลียงหวางหรู หงหยินพลันคลี่ยิ้มหวานและกล่าวว่า


“ไม่สบายไปกว่านี้อีกแล้ว! พรสวรรค์ในเส้นทางแห่งการต่อสู้ของนางช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก! ในปัจจุบัน นางแกร่งกล้ากว่าข้าไปหลายขุมแล้ว!”


 


เย่หยวนเลิกคิ้วกระตุกและกล่าวถามว่า


“นางพัฒนาไวขนาดนั้นเชียว?”


เหลียงหวางหรูทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าเป็นที่เรียบร้อยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทว่าหงหยินกลับติดอยู่ที่อาณาจักรพระเจ้าไม่ขยับไปไหนนานมากแล้ว


เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เหลียงหวางหรูสามารถแซงหน้าหงหยินจนทิ้งทวนไม่เห็นฝุ่น นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงพรสวรรค์อันน่าเหลือเชื่อของนาง


 


สีหน้าการแสดงออกของหงหยินพลันแปรผันดูเศร้าสร้อย กล่าวเสียงละห้อยขึ้นว่า


“ถูกต้องแล้ว ในตอนนี้ข้ากลับมิใช่คู่มือของนางอีกต่อไป! ข้าสามารถบอกได้เลยว่า เพราะนายท่านเย่ช่วยชีวิตนางในวันที่นางไม่เหลืออะไรเลย ดังนั้นตอนนี้หวังหรูกลับเฝ้าคิดถึงท่านไม่เว้นวัน นางหลงท่านหัวปักหัวปำ! สงสัยท่านจะดูแลนางดีเกินไปกระมัง?”


 


เย่หยวนตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนส่ายหัวอานกล่าวว่า


“อย่ากล่าวเรื่องเช่นนั้นเลย หัวในของเย่คนนี้กลับมีเจ้าของแล้ว ที่ข้าช่วยแม่นางหวางหรูในตอนนั้นเพราะนางเคยช่วยชีวิตข้าไว้ หาได้ช่วยเหลือเพื่อหวังความสัมพันธ์ดั่งหนุ่มสาว”


เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็ผสานมือคำนับและจากไปทันที ทิ้งทวนหงหยินที่ทอดสายตามองพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น


 


เย่หยวนรู้สึกปวดเศียรไม่น้อยในยามนี้ เขาเพียงต้องการตอบแทนบุญคุณชีวิตที่เหลียงหวางหรูเคยช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ใครจะไปคิดว่ากลับเป็นการทิ้งหนี้รักสลักใจนางแบบนี้


เหลียงหวางหรูคือผู้ช่วยชีวิตของเขาในวันนั้น แล้วเป็นไปได้หรือไหมที่จะให้เย่หยวนงอแขนงอขาเฝ้ามองนางตายไปเฉยๆ?


 


ตอนนี้เขามีทั้งลี่เอ๋อทั้งมู่หลินเสวียแล้ว เย่หยวนไม่สามารถรับรักใครได้อีก


 


 


“ดูท่าในอนาคตต่อไป เขาอาจต้องสนทนาติดต่อกับแม่นางหวางหรูให้น้อยลง มิเช่นนั้นนางคงจมดิ่งไปกับความรู้สึกลงลึกไปกว่านี้แน่”


เย่หยวนพึมพำกับตัวเองพลางนวดขมับเบาๆ


 


 


……………………….


 


 


เมื่อหยางรุยเห็นเย่หยวนเดินเข้ามา ดั่งว่าเขาได้เห็นแสงแห่งความหวังอีกครั้ง!


 


“ขอบคุณสวรรค์! น้องเล็กเย่ หากเจ้ายังไม่ออกมา เกรงว่าหอมหาสมบัติต้องปิดตัวลงแล้ว!”


หยางรุยดึงเย่หยวนเข้ามากล่าวโดยไว


ภายใต้สถานการณ์มืดแปดด้านเช่นนี้  เย่หยวนคือความหวังเดียวที่เขาเหลืออยู่แล้ว


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ท่านประมุขหอไม่จำต้องกังวลไป ข้ารู้เรื่องทุกอย่างจากหงหยินหมดแล้ว”


 


หยางรุยจับจ้องเจือสายตาประหลาดใจ แต่ในไม่ช้าพลันมีข้อสงสัยหนึ่งผุดขึ้นมา จึงอดเอ่ยปากถามมิได้ว่า


“เจ้ามีทางหนีทีไล่อยู่? แต่…ดูท่าหนทางยังอีกยาวไกลกว่าจะเลื่อนขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางได้?”


การจะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลาง จำเป็นต้องมีขุมพลังอยู่ที่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางเสียให้ได้ก่อนเท่านั้น


ความแตกต่างระหว่างอาณาจักรพระเจ้ากลับมีมากเกินไป การจะข้ามขั้นเพื่อหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ กลับไม่มีทางเป็นไปได้เลย


หลังจากที่เย่หยวนเริ่มบ่มเพาะพลังด้วยบัญญัติเทพแห่งถงเทียน อาณาจักรพลังของเขากลับมิได้เพิ่มขึ้นเลย แถมยังลดลงอีก และยังดูแย่กว่าตอนก่อนเข้าเก็บตัวเล็กน้อย


ดังนั้นหยางรุยจึงอดสงสัยในคำกล่าวของเย่หยวนมิได้เลย


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ท่านประมุขหอโปรดเชื่อใจข้า ท่านเพียงป่าวประกาศออกไปว่า ทางหอหาสมบัติของเรากำลังจะเปิดตัวโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชนิดใหม่ขึ้น โดยประสิทธิภาพของโอสถชนิดนี้เหนือกว่าโอสถเสริมปราณถึงสองเท่าทวี แต่ราคายังคงเท่าเดิม! นอกจากนี้โอสถชนิดใหม่ที่เปิดตัวยังมีวางจำหน่ายทุกแบบ ตั้งแต่ขั้นต่ำจนไปถึงขั้นเทวะ!”


ทุกคำพูดที่เย่หยวนเอ่ยกล่าว ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่หยางรุยเป็นอย่างมาก


โอสถเสริมปราณเป็นโอสถที่นิยมในหมู่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางที่ใช้ในการบ่มเพาะพลัง ประสิทธิภาพของโอสถชนิดนี้สูงยิ่งกว่าโอสถปราณเทวะหลายขุม


เมื่อก้าวขึ้นถึงอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง โอสถปราณเทวะแทบจะไม่มีผลอันใดอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหันมาเลือกซื้อโอสถเสริมปราณแทน


เส้นทางการบ่มพลังที่ไร้ซึ่งความช่วยเหลือจากโอสถ กลับยากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์


ดังนั้นหากพวกเขามีเงินทอง ย่อมจับจ่ายซื้อโอสถระดับสูงมาใช้ทั้งสิ้น


 


หากกล่าวถึงในแง่ของประสิทธิภาพโอสถอย่างเดียว ประสิทธิภาพของโอสถปราณเทวะขั้นเทวะจะเทียบเท่ากับโอสถเสริมปราณขั้นสูง


อย่างไรก็ตามแต่ หากพินิจวิเคราะห์จากแง่มุมอื่นเป็นองค์ประกอบ โอสถปราณเทวะขั้นเทวะมีราคาแพงกว่ามาก แต่ข้อดีเพียงอย่างเดียวคือ โอสะขั้นเทวะสามารถกินได้อย่างไร้ขีดกำจัด ไม่จำเป็นต้องมากังวลถึงผลข้างเคียงเลย


สำหรับนักสู้โดยส่วนใหญ่ ถึงจะกินโอสถปราณเทวะขั้นเทวะได้อย่างไรจำกัด แต่กลับช่วยได้ไม่มาก


และที่สำคัญที่สุดคือ ด้วยราคาค่าตัวของมัน พวกเขาไม่สามารถซื้อกินได้ในระยะยาว


เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า นั้นคือเหตุผลที่โอสถปราณเทวะขั้นเทวะขายดีในช่วงแรก


 


แต่หลังจากที่หวังซวนเฟยมาถึงตระกูลหวัง เขาก็เข็นโอสถเสริมปราณขั้นสวรรค์ออกมาจำหน่ายทันที แน่นอนว่าสินค้าตัวนี้ย่อมได้รับความนิยมเป็นธรรมชาติ


เพราะนักหลอมโอสถของเมืองกุยฉาง ได้แต่หวังพึ่งโชคลาภกว่าจะหลอมกลั่นโอสถขั้นสวรรค์ได้สักเม็ด


 


อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนในยามนี้กลับบอกว่า เขากำลังจะเปิดตัวโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชนิดใหม่ขึ้นมา ได้ฟังดังนั้นพลันทำเอาหยางรุยขากรรไกรแทบร่วงกระแทกพื้น


 


“นะ-น้องเล็กเย่ เจ้า…เจ้ามิได้หยอกข้าเล่นใช่ไหม? ปะ-ประสิทธิภาพเหนือกว่าโอสถเสริมปราณสองเท่า? ไฉนข้าถึงไม่เคยได้ยินโอสถชนิดนี้มาก่อน?”


 


หยางรุยพลางคิดว่าเย่หยวนคงหยอกเขาเป็นแน่


แม้แต่ในเมืองหลวงหวูเมิ่ง โอสถที่ใช้บ่มเพาะพลังของเหล่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางยังเป็นโอสถเสริมปราณ


เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า บนมหาพิภพแห่งนี้จะมีโอสถชนิดใดที่ทรงประสิทธิภาพกว่าโอสถเสริมปราณถึงสองเท่า!


นอกจากนี้ราคายังเท่ากับโอสถเสริมปราณอีกด้วย!


 


นี่มันเพ้อฝันเกินไปจริงๆ


 


เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า


“ถือเป็นปกติมากที่ท่านประมุขหอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน โอสถศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้เรียกว่า โอสถบ่มเพาะปราณ เย่คนนี้เคยอ่านเจอในบันทึกโบราณเล่มหนึ่ง มันคือโอสถศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล แต่หากท่านประมุขหอยังรู้สึกกังขาใจในตัวเย่คนนี้ นอจนกว่าเย่คนนี้จะหลอมกลั่นเสร็จ แล้วค่อยป่าวประกาศอีกทีหนึ่งก็ยังไม่สาย”


เย่หยวนกำลังกล่าวขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่หยางรุยโดยธรมรชาติ ทั้งนี้ความหวังสุดท้ายที่จะช่วยกู้คืนชื่อเสียงของหอมหาสมบัติให้กลับคืนมาก็คือ โอสถบ่มเพาะปราณ


ซึ่งฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์ในตอนท้ายก็มิใช่ใดอื่นนอกจาก หอมหาสมบัติ


 


หากเปิดตัวหลังจากหลอมกลั่นเสร็จสิ้น แน่นอนว่าช่วงเวลาก่อนหน้าล้วนล่วงเลยเสียเปล่า


 


แท้ที่จริงแล้ว โอสถบ่มเพาะพลังนี้ มิใช่สิ่งที่เย่หยวนบังเอิญไปอ่านเจอในบันทึกเล่มใด ทั้งยังมิใช่สูตรโอสถที่หวูเฉินถ่ายทอดให้อีกด้วย


แต่โอสถบ่มเพาะปราณชนิดนี้ คือสูจรโอสถที่เย่หยวนคิดค้นขึ้นมาเอง!


 


เย่หยวนไม่เคยยึดติดกับสูตรโอสถเหมือนคนอื่นๆมากนัก ระหว่างการฝึกปรือและขัดเกลาศาสตร์แห่งโอสถ เขาเองก็ได้ทำการทดลองนู้นนี่ไปเรื่อย


สำหรับนักหลอมโอสถคนอื่นๆ สูตรโอสถเป็นดั่งเส้นทางที่ต้องเดินตามอย่างเคร่งครัด


แต่ในสายตาของเย่หยวน สูตรโอสถเปรียบเสมือนแผนที่ เขาจะไปเดินสำรวจที่ไหนก็ได้ในเมื่อมีเส้นทางอยู่ในมือ


 


มิเช่นนั้น เขาก็ไม่มีทางคิดค้นโอสถท้าทายสวรรค์ออกมาได้เช่นกัน


ในตอนที่อยู่ในดินแดนพฤกษานิรันดร์ เย่หยวนเคยคิดค้นสูตรโอสถมาแล้วมากมาย


 


ตอนนี้เย่หยวนเข้าถึงเต๋าได้โดยใช้ศาสตร์แห่งโอสถเป็นตัวเชื่อมต่อ ย่อมเป็นธรรมดาที่บัญญัติเทพแห่งถงเทียนย่อมมีเต๋าแห่งโอสถอันลึกซึ้งกอปรอยู่ด้วย


ผนวกรวมกับความเข้าใจของเย่หยวนต่อคุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นับหลายพันชนิด ผลลัพธ์ที่ได้คือสูตรโอสถศักดิ์สิทธิ์มากมายเป็นกองพะเนิน


และโอสถบ่มเพาะปราณก็เป็นหนึ่งในนั้น


 


หยางรุยสีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล เขารับกล่าวขึ้นว่า


“น้องชายเข้าใจผิดแล้ว! ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น! เพียงคำกล่าวของน้องชายกลับน่าตื่นตะลึงเกินไป พี่หยางคนนี้จึงตกใจไปชั่วขณะ”


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ท่านประมุขหอไม่จำเป็นต้องสุภาพ ที่ข้า,เย่หยวนมีวันนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะหอมหาสมบัติ หากข้าไม่แสดงความกตัญญูเป็นการตอบแทน เกรงว่าเย่คนนี้ก็ไม่ใช่คนแล้ว!”



ตอนที่1344 มอบให้ท่าน


 


“พวกเจ้าได้ยินรึยัง? หอมหาสมบัติเตรียมเคลื่อนไหวบ้างแล้ว! ได้ข่าวว่าพวกเขากำลังจะเตรียมเปิดตัวโอสถชนิดใหม่! ชื่อว่าโอสถ…เออ…โอสถอะไรนะ?”


 


“โอสถบ่มเพาะปราณ!”


 


“นั้นแหละ! นั้นแหละ! ชื่อว่าโอสถบ่มเพาะปราณ! ช่างน่าทึ่งโดยแท้! ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังได้ยินมาว่า ประสิทธิภาพของมันยังเหนือชั้นกว่าโอสถเสริมปราณถึงสองเท่า!”


 


“นี่เจ้าเองก็หูเบาเชื่อ? เห็นโอสถเป็นตลาดซื้อขายผักปลากระมัง? เจ้าควรทราบ คำว่าประสิทธิภาพเหนือกว่าถึงสองเท่ามันเกินจริงเพียงใด?”


 


“อืม…ก็จริง ข้าคิดว่าหอมหาสมบัติใกล้อยู่ไม่ไหวเต็มทน จึงจงใจใช้กลยุทธ์แบบนี้เพื่อดึงความสนใจของลูกค้ากลับมา ขอกล่าวตามสัตย์จริง หอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉางอ่อนด้อยที่สุดแล้วตั้งแต่ที่ข้าเคยเจอมา!”


 


“อืม แต่เพื่อต่อกรกับหอมหาสมบัติในปีนั้น ตระกูลหวังเองก็ออกโรงเต็มสูบเช่นกัน ก็หาใช่ว่าอ่อนด้อยสักทีเดียว อย่างไรก็ตามแต่…การที่ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันเช่นนี้ ผลประโยชน์กลับตกเป็นของลูกค้าอย่างพวกเรามากกว่า ส่วนเรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร เตรียมรอดูได้เลย”


 


 


…………………..


 


 


หัวข้อสนทนาหลักของผู้คนภายในเมืองฉางกุยในขณะนี้ มีแต่เรื่องของหอมหาสมบัติเต็มไปหมด


ทว่าคนส่วนใหญ่กลับมองหอมหาสมบัติในแง่ไม่ดีเท่าไหร่นัก


โอสถบ่มเพาะพลังคืออะไร? พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน


 


อย่างน้อยที่สุด ทั่วทั้งอาณาเขตของเมืองหลวงหวูเมิ่ง กลับไม่มีใครเคยได้ยินสรรพคุณของโอสถชนิดใดที่ท้าทายสวรรค์ขนาดนี้มาก่อน


แม้แต่หยางรุยที่ได้ฟังจากปากเย่หยวน เขายังไม่ค่อยมั่นใจนัก แล้วจะนับประสาอะไรกับฝูงชนเหล่านี้


 


ณ ตำหนักตระกูลหวัง เหล่าสมาชิกระดับสูงจำนวนมากกำลังนั่งประชุมกันอยู่ พลางเย้ยหยันข่าวนี้ไม่หยุดหย่อน


 


“ผู้อาวุโสซวน ในความเห็นของท่าน มีโอกาสหรือไม่ที่หอมหาสมบัติจะนำโอสถบ่มเพาะปราณออกมาจำหน่ายได้จริงๆ?”


หวังซูเอ่ยถาม


 


หวังซวนเฟยนั่งลูบเคราเพลิน พลางกล่าวขึ้นประดับรอยยิ้มแสนเหยียดหยามว่า


“ในความเห็นของข้า มีความเป็นไปได้ไม่ถึงหนึ่งส่วน! สูตรโอสถเสริมปราณได้ชื่อว่าเป็นโอสถบ่มเพาะพลังที่ดีที่สุดแล้วสำหรับอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางในมหาพิภพถงเทียน และความจริงในข้อนี้ก็ถูกพิสูจน์มาแล้วกว่าหลายร้อยล้านปี ณ ปัจจุบันโอสถเสริมปราณยังคงได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย แม้ไอ้เก็กเหลือขอนั้นจะมีพรสวรรค์เหนือชั้นอย่างไร แต่อย่างดีที่สุดก็ปรับปรุงสูตรโอสถให้ดีขึ้นได้ไม่ถึงห้าในร้อยส่วน ส่วนเรื่องประสิทธิภาพเหนือกว่าโอสถเสริมปราณถึงสองเท่าทวี กลับเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี!”


เมื่อได้ยินคำกล่าวของหวังซวนเฟย ความกังวลของทุกคนก็สลายหายวับไป


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนหอมหาสมบัติถึงเลือกยืนบนปลายเชือกกัน?”


หวังอวีเซียงเอ่ยถาม


 


หวังซวนเฟยกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า


“หลายสิบปีมานี้พวกเขาตกต่ำอย่างมาก และนี่คงไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วเช่นกัน”


ยิ่งได้ฟังดังนั้น เหล่าสมาชิกระดับสูงของตระกูลหวังทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก


เปิดศึกต่อสู้กันมาอย่างดุเดือดตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็จะจบลงเสียที


ในท้ายที่สุดนี้ การต่อสู้ก็ปิดฉากลงพร้อมกับความพ่ายแพ้ของหอมหาสมบัติ


 


หวังอวีเซียงกล่าวขึ้นทันทีด้วยความยินดีว่า


“จากตีตื้นจนบีบให้หอมหาสมบัติล้มจมได้ ทั้งหมดต้องขอบคุณพวกท่านทั้งสอง,คุณชายซูและผู้อาวุโสซวน!”


 


“หุหุ พวกเราก็แซ่หวังเหมือนกัน ไยต้องสุภาพอีก? ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางกับตระกูลหวังสาขาหลักแห่งเมืองหมิงหยาง ต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ผูกพันฉันมิตรไม่ดีกว่ารึ?”


 


หวังอวีเซียงสะดุ้งตื่นตัวภายในใจอย่างลับๆ ไหวพริบประสบการร์ของหวังซูคนนี้ค่อนข้างเฉียบคมนัก


คำกล่าวเหล่านี้แม้นเสมือนกับปฏิเสธคำชมอย่างสุภาพ แตกหากพินิจมองให้ขาด นั้นหมายถึง ยามพวกเจ้าทุกข์ข้าช่วยเหลือ ยามข้าเดือดร้อนพวกเจ้าต้องช่วยข้าเช่นกัน


 


เหล่าเยาวชนระดับหัวกะทิของตระหวังสาขาหลักในเมืองหมิงหยาง เป็นสังคมการแข่งขันที่ชิงดีชิงเด่นกันอย่างดุเดือด


หวังซูที่ต้องการหลุดออกจากวงล้อมนี้และทำให้ตนเองโดดเด่นที่สุด จึงเลี่ยงมิได้ที่ต้องหาฝักฝ่ายคอยสนับสนุน ทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะพลังถือเป็นปัจจัยหลักที่ไม่สามารถหลักเลี่ยงได้


ดังนั้นหวังซูจึงตัดสินใจยื่นมือมาช่วยเหลือ หวังเพื่อผูกมิตรกับฝ่ายตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉาง


 


หวังอวีเซียงมีปัญญาหลักแหลมตามอายุ แน่นอนว่าเขาจะไม่สามารถแยกแยะความหมายในคำกล่าวของหวังซูได้อย่างไร?


 


“คุณชายซู, ผู้อาวุโสซวน ตราบใดที่หอมหาสมบัติล้มจมโดยสมบูรณ์ นับว่าความขุ่นเคืองของตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางได้รับการสะสางเช่นกัน บุญคุณครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก!”


ประกายแสงเย็นเจือแววอาฆาตสาดส่องออกจากนัยน์ตาของหวังอวีเซียง


 


หวังซวนเฟยยิ้มแย้มกล่าวว่า


“จะว่าไป ไอ้เด็กเหลือขอนั้นเป็นแค่อาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติเท่านั้น ตราบใดที่ไม่มีหอมหาสมบัติอีกต่อไป การจะฆ่ามันหลังจากนี้กลับง่ายเกินไป ต่อให้หยางรุยออกโรงปกป้อง ต่อหน้าพวกข้ามันก็ไม่นับเป็นอันใด!”


 


เมื่อหอมหาสมบัติปิดตัวลง เย่หยวนเองก็ไม่ต่างอะไรกับต้นกล้าอ่อนไร้รากแหน


ตระกูลหวังในตอนนี้มีเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าถึงสองคน หากยังไม่สามารถจับตัวเย่หยวนมาได้ เกรงว่าไปฆ่าตัวตายดีกว่า?


 


 


…………………….


 


 


อีกครึ่งเดือนต่อมา เย่หยวนก็ออกจากการเก็บตัวอีกครั้ง


เมื่อหยางรุยเห็นเย่หยวนในตอนนี้ ถึงกับสะดุ้งโหย่งด้วยความตกตะลึงสุดขีดประดุจเห็นผี


 


“เจ้า…เจ้าเลื่อนระดับชั้นแล้ว?!”


 


ครึ่งเดือนก่อนหน้า เย่หยวนยังห่างไกลจจจากอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางอยู่ไกลโข


ทว่าครึ่งเดือนถัดมา กลับเลื่อนระดับชั้นแล้ว?


นี่ไม่เร็วจนถึงขั้นวิปลาสไปหน่อยรึ?


นักสู้ที่ฝึกปรือโดนทั่วไป จากอาณาจักรปฐมพระเจาชั้นต้นถึงอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง ไม่ว่ายังไงอย่างน้อยก็ต้องใช้ระยะเวลากว่าหลายพันปี


แม้แต่อัจฉริยะผู้มากพรสวรรค์ หรือผู้ครอบครองสุดยอดวรยุทธบ่มเพาะพลัง กระทั่งใครก็ตามที่มีกองโอสถคอยสนับสนุนไม่ขาดมือ ก็จำต้องใช้เวลากว่าหลายร้อยปี


 


ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางได้ภายในสิบห้าวัน นี่ไม่ผิดประหลาดเกินไปหน่อยรึ?


 


เย่หยวนคลี่ยิ้มบางพลางกล่าวว่า


“ประสบพบโชคดีจึงสามารถทะลวงผ่านปัญหาคอขวดได้ในอึดใจ ท่านประมุขควรทราบ ไม่เพียงข้าจะมีโอสถปราณเทวะขั้นเทวะเท่านั้น แต่ข้ายังมีโอสถบ่มเพาะพลังขั้นเทวะคอยช่วยอีกแรง”


 


ร่างกายหยางรุยสั่นสะท้านไปทั่วตัว  เขาเอ่ยถามอย่างแปลกใจขึ้นว่า


“เจ้าหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณเสร็จสิ้นแล้ว?”


 


เย่หยวนหัวเราะคิกคักเล็กน้อย กล่าวตอบว่า


“หรือเป็นไปได้ไหมที่ท่านประมุขหอคิดว่าข้าล้อเล่น? ท่านลองดูนี่สิ!”


ขวดโอสถขนาดพอดีมือปรากฏขึ้นในมือเย่หยวน เมื่อเปิดฝาออกมากลิ่นสุคนธรสหอมฉุยพลันกระจายทั่วบริเวณ


ฤทธิ์โอสถช่างเข้มข้นอุดมสมบูรณ์!


 


หยางรุยรับโอสถมาเม็ดหนึ่งด้วยความฉงนใจ เร่งตรวจสอบพร้อมท่าทีอยากรู้อยากเห็น


พินิจมองไปที่โอสถบ่มเพาะปราณเป็นครั้งแรก หยางรุยรู้สึกเชื่อมั่นสุดหัวใจ ยามนี้หอมหาสมบัติรอดพ้นจากวิกฤตแล้ว!


แม้ยังไม่รู้ว่าฤทธิ์โอสถเม็ดนี้ทรงประสิทธิภาพเพียงใด แต่เพียงพิจารณาจากรูปลักษณ์และลักษณะเด่นจากภายนอก เขาก็มั่นใจอย่างยิ่ง


“น้องเล็กเย่…ข้า…ข้าขอลองได้ไหม?”


หยางรุยเอ่ยถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“แน่นอนท่าน!”


 


หยางรุยตบโอสถเม็ดนั้นเข้าปากโดยตรง เมื่อเม็ดโอสถเข้าสู่ช่องปาก มันก็ออกฤทธิ์กระจายไปทั่วกายาทันที


เขารู้สึกได้บัลดลในเสี้ยวอึดใจต่อมา เป็นที่ชัดเจนว่าเขามิได้บ่มเพาะพลังมาเนินนานแล้ว แต่จู่ๆระดับพลังปราณเทวะภายในร่างพลันเพิ่มขึ้นทันทีแม้จะเล็กน้อยก็ตาม!


อย่ามองว่ามันเพิ่มระดับพลังปราณเทวะเพียงเล็กน้อย อย่าลืมเสีย หยางรุยยังไม่ทันขัดเกลาและดูดซับฤทธิ์โอสถเลยด้วยซ้ำ!


 


เมื่อซูหลิงปู้เห็นสีหน้าอันแสนลุ่มหลงของหยางรุย เขาก็อดใจเอ่ยปากถามมิได้ว่า


“เป็นอย่างไรบ้างท่านประมุขหอ?”


 


ทว่าหยางรุยกลับไม่สนใจเขาแม้สักนิด แต่หันไปทางเย่หยวนและกล่าวพร้อมกระโดดโล้ดเต้นด้วยความดีใจสุดขีด


“น้องเล็กเย่ เจ้าช่างน่าทึ่งโดยแท้! ข้ามั่นใจอย่างที่สุดว่า ทันทีที่โอสถชนิดนี้ถูกวางจำหน่าย ทั่วทั้งมหาพิภพถงเทียนต่างต้องสั่นสะเทือน! นี่คือการค้นพบครั้งใหญ่ที่จะปฏิวัติโลกแห่งโอสถไปตลอดกาล! โอสถบ่มเพาะพลังชนิดนี้จะนำมาซึ่งประโยชน์มากมายสำหรับเหล่านักสู้ระดับล่างในมหาพิภพถงเทียน!”


 


สีหน้าการแสดงออกของซูหลิงปู้ถึงกับแข็งค้างไปดื้อๆ ก่อนพรูหายใจเย็นช้าๆหวังดึงสติกลับคืน


คำกล่าวของหยางรุยให้ค่าหนักเกินไป!


ปฏิวัติโลกแห่งโอสถไปตลอดกาล…นำมาซึ้งประโยชน์ต่อนักสู้ในมหาพิภพถงเทียน!


ประเมินค่าสูงลิบลิ่ว!


 


แต่เย่หยวนเพียงยิ้มบางเป็นคำตอบ ก่อนจะหยิบกล่องหยกใบหนึ่งขึ้นมาและส่งให้ขณะกล่าวพลางว่า


“ภายในกล่องหยกใบนี้คือสูตรโอสถบ่มเพาะปราณ ข้าขอมอบให้แก่ท่านประมุขหอ หลายสิบปีมานี้ ข้า,เย่หยวนติดหนี้บุญคุณหอมหาสมบัติมามากมายเหลือเกิน ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะตอบแทนเช่นกัน นอกจากสูตรโอสถบ่มเพาะปราณอันนี้”


 


เนื้อกายพลันสั่นเทาไม่หยุด หยางรุยสาดสายตาจับจ้องเย่หยวนด้วยความสงสัยและกล่าวว่า


“น้องเล็กเย่ เจ้า…เจ้ามิได้ล้อเล่นใช่ไหม? เจ้าควรตระหนักดีที่สุดว่า สูตรโอสถบ่มเพาะปราณนี้มีค่ามหาศาลเพียงใด!”


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า


“เพราะข้าตระหนักทราบดี จึงมอบให้แก่ท่านประมุขหอ”



ตอนที่1345 ขายหมด


 


หยางรุยมองไปที่เย่หยวนด้วยสายตาเปี่ยมกตัญญู ก่อนจะพบว่าเย่หยวนเองก็กำลังจับจ้องเขาด้วยรอยยิ้ม


เขาสะดุ้งเฮือกภายในใจอย่างลับๆ ยามนี้เขาตระหนักได้ในทันทีว่า เพราะเหตุใดเย่หยวนถึงทำเช่นนี้


‘เด็กคนนี้ช่างมีความคิดที่ละเอียดและพิถีพิถันทุกขั้นตอนเกินวัยไปมาก การมอบสูตรโอสถล้ำค่าขนาดนี้ให้ นับเป็นการเคลื่อนไหวที่งดงามและชาญฉลาดยิ่ง!’


หยางรุยเอ่ยชมเย่หยวนภายในใจ


แม้แต่หยางรุยยังเห็นถึงความสำคัญของสูตรโอสถชนิดนี้ แล้วคนอื่นๆจะมองไม่เห็นได้อย่างไร?


เมื่อโอสถบ่มเพาะปราณถูกวางจำหน่ายออกไป เพียงไม่นานความนิยมของมันจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งมหาพิภพถงเทียนเร็วดุจโรคระบาด


ซึ่งทุกคนต่างทราบดี ยังมีใครอีกในหอมหาสมบัติที่สามารถคิดค้นสูตรโอสถอันท้าทายสวรรค์ได้ขนาดนี้ นอกจากอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติอย่างเย่หยวน? แน่นอนนี่มิใช่เรื่องดีเลยสำหรับเย่หยวน นี่จะกลายมาเป็นมันเผาร้อนๆในมือเย่หยวนทันที


ซึ่งเรื่องนี้อาจปะทุขึ้นรุนแรงจนเกิดเหตุโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่เลยก็เป็นได้


 


แต่หากบอกว่าสูตรโอสถชนิดนี้เป็นของหอมหาสมบัติ เหตุการณ์ทั้งหมดจะแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง


หอมหาสมบัติเป็นธุรกิจหลักของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติ มีใครบ้างกล้ายั่วยุล่วงความลับธุรกิจภายในของการดำรงอยู่ระดับนี้บ้าง?


แม้แต่ระดับชั้นจักรพรรดิเทพสวรรค์ด้วยกันยังไม่อยากไปตอแยสร้างปัญหา กับแค่สูตรโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลางเล็กน้อย นี่กลับได้ไม่คุ้มเสีย


 


ในจุดนี้ การเคลื่อนไหวและตัดสินใจของเย่หยวนนับว่าฉลาดรอบคอบอย่างมาก


และอีกเรื่องที่สำคัญก็คือ  เย่หยวนก็เอ่ยปากกล่าวไปแล้ว เขาต้องการตอบแทนบุญคุณจริงๆ


เพียงว่าของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่าเกินไปมาก


 


เมื่อหอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉางเปิดตัวโอสถบ่มเพาะปราณ พร้อมกวาดเงินทำกำไรได้อย่างมหาศาล ลองคิดได้เลย…สิ่งใดจะเกิดขึ้นต่อจากนี้?


หลังจากที่หยางรุยมอบสูตรโอสถชนิดนี้ให้แก่หอมหาสมบัติ เขาจะถูกตบรางวัลมูลค่ามหาศาลเกินจินตนาการ


ความโปรดปรานนี้มิอาจกล่าวได้ว่าไม่ใหญ่!


 


แน่นอน หยางรุยเข้าใจแจ่มแจ้ง เย่หยวนเลือกที่จะไม่ให้สูตรโอสถแก่เขาก็ได้เช่นกัน แค่ผลกำไรจากการจำหน่ายโอสถบ่มเพาะปราณหลังจากนี้ ก็นับเป็นค่าตอบแทนที่เกินพอแล้ว แต่เพื่อป้องกันมิให้หอมหาสมบัติเกิดปัญหาเช่นนี้อีกในอนาคต เขาจึงต้องมอบสูตรโอสถ หวังสร้างความมั่นคงให้แก่ธุรกิจของหยางรุยต่อไป


ท้ายที่สุดนี้ มีวิธีรับมือมากมายกับตระกูลหวัง แค่หลอมกลั่นโอสถเสริมปราณขั้นเทวะให้จำนวนหนึ่งและจากไปอย่างเงียบๆ ทั้งนี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเย่หยวนอีกแล้ว


 


ด้วยเหตุนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่า เย่หยวนให้ความสำคัญกับมิตรภาพมาเป็นอันดับหนึ่ง


ถึงขั้นที่ว่ายอมมอบของล้ำค่าเช่นนี้ เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงให้แก่หอมหาสมบัติ


 


หยางรุยสูดหายใจลึกๆและกล่าวว่า


“น้องเล็กเย่ ข้าเข้าใจแล้ว! ในอนาคตต่อไป โปรดนับข้าเป็นพี่น้องของเจ้าคนนึง ยามใดมีประสบปัญหา สามารถเรียกข้าให้ออกโรงได้ทุกเมื่อ! พี่ชายคนนี้ต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างยิ่ง!”


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า


“เช่นนั้น ข้าขอเสียมารยาท เรียกท่านว่าพี่หยาง พี่หยาง,โอสถบ่มเพาะปราณมีขั้นตอนการหลอมกลั่นค่อนข้างยาก หากผู้อาวุโสซ่งมีข้อสงสัยไม่เข้าใจอะไร ท่านก็ให้เขาเข้ามาหาข้าได้ทุกเมื่อ”


 


หยางรุยพยักหน้าและกล่าวว่า


“เข้าใจแล้ว ไม่มีปัญหา!”


ผู้อาวุโสซ่งเป็นจอมเทพโอสถสองดาวที่เบื้องบนส่งมาให้


เพียงว่าหลังจากที่เขามา สถานการณ์กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก


 


 


 


…………………….


 


 


“บัดซบ! บัดซบ! ข้ามาไม่ทันอีกแล้ว! ไอ้ฝูงสัตว์พวกนี้ไฉนมาเร็วกว่าตลอด?”


 


“หอมหาสมบัติจะวางจำหน่ายโอสถบ่มเพาะปราณชุดใหม่ในวันพรุ่งนี้ วันนี้กลับมาไม่ทันกิน รินน้ำสักหยดยังไม่ทัน!”


 


“ให้ตายเถอะ! นั้นเจ้า! เจ้าซื้อทันรึ?! ข้าขอซื้อต่อ ข้าให้ผลึกปราณเทวะห้าสิบก้อนต่อหนึ่งเม็ดไม่เกี่ยงคุณภาพ! พอจะขายให้ข้าได้ไหม?”


 


“ฝันไปเถอะ! อยากจะซื้อต่อข้าแต่ให้แค่ห้าสิบก้อน? ผลึกปราณเทวะห้าร้อยก้อนต่อหนึ่งเม็ด! นอกจากนี้ หากวันหน้าพวกเจ้าแย่งซื้อโอสถบ่มเพาะปราณมาได้ จะต้องแบ่งขายข้าในราคาเดิม!”


 


“หน้าเลือดนัก! ไปตายที่ไหนก็ไป!”


 


 


………………………


 


 


ทันทีที่วางจำหน่ายโอสถบ่มเพาะปราณ มันก็ขายดีเป็นพลุแตกระเบิดลั่นทั่วทุกมุมของเมืองกุยฉาง


ประตูทางเข้าหอมหาสมบัติเรียกได้ว่าแทบพัง!


เย่หยวนใช้เวลาอีกครึ่งเดือน หลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณชุดใหญ่


ส่วนเรื่องอื่นๆ เขากลับมิได้สนใจ


ในด้านกลยุทธ์ทางการตลาด หยางรุยและซูหลิงปู้นับเป็นพ่อค้าหัวธุรกิจผู้เจนจัดมากประสบการณ์ทั้งคู่


ทั้งสองช่วยระดมความคิด งัดเอากลเม็ดต่างๆนาๆออกมาใช้เพื่อโฆษณาตัวสรรพคุณสินค้า พวกเขายังไม่นำโอสถออกมาขายทันที แต่กลับนำโอสถบ่มเพาะปราณชุดแรกที่เย่หยวนเคยให้ไว้แจกจ่ายให้แก่เหล่านักสู้ เพื่อทดลองสรรพคุณโดยไม่เสียสักแดง


กลุ่มคนทดลองชุดแรกย่อมเต็มไปด้วยความสงสัย ส่วนใหญ่ที่อาสาเข้ามาทดลองล้วนแล้วแต่มาเพื่อจับผิดหวังแหกหน้า


อย่างไรก็ตาม ทันทีที่คนกลุ่มแรกทดลองโอสถเสร็จสิ้น โอสถบ่มเพาะพลังปราณก็ดังระเบิดระเบ้อทั่วทั้งเมืองกุยฉาง!


 


โอสถบ่มเพาะปราณเป็นโอสถชนิดใหม่เอี่ยม ทันทีที่กลืนโอสถชนิดนี้ลงไป ฤทธิ์โอสถก็กระจายทั่วทั้งร่าง ประสิทธิภาพเหนือชั้นอย่างชัดเจน


แม้ว่าทุกคนต่างก็ยังสงสัยในประสิทธิภาพของโอสถบ่มเพาะพลัง แต่แน่นอนว่าพวกเขาล้วนให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม


ในท้ายที่สุดนี้ เรื่องโอสถชนิดใหม่ของหอมหาสมบัติก็กลายมาเป็นประเด็นร้อนแรงที่สุดในช่วงเวลานี้


 


หลังจากกลุ่มทดลองตบโอสถเข้าปากเพื่อทดสอบฤทธิ์มัน ปรากฏว่ารัศมีแรงกดดันของพวกเขาเหล่านั้นก็เพิ่มสูงขึ้นกับตา ทั้งๆที่ยังไม่ทันขัดเกลาหรือดูดซับใดๆทั้งสิ้น!


สรรพคุณที่สุดยอดแบบนี้ โอสถเสริมปราณไม่สามารถทำได้แน่นอน


เหล่าผู้คนที่ได้เข้าร่วมการทดสอบ หลังจากที่ทดลองกันเสร็จสรรพ ถึงกับเร่งควักผลึกปราณเทวะทั้งหมดออกมา หวังเหมาหมดยกคลังโดยไม่ลังเล


 


เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้น จึงยิ่งเป็นการกระตุ้นความต้องการของทุกคนมากขึ้นไปอีก


 


 


ดังนั้น สิทธิ์การทดสอบสำหรับกลุ่มคนในชุดที่สองและสาม เหล่าฝูงชนต่างแห่กันจับจองแย่งกันอย่างบ้าคลั่ง


ถึงขั้นที่ว่ามีหลายต่อหลายคนขอประมูลซื้อต่อสิทธิ์เหล่านั้นด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว ทั้งหมดก็เพื่อเข้าไปทดสอบประสิทธิภาพโอสถ


ว่ากันว่าราคาประมูลสิทธิ์เข้าทดลองมีราคาสูงสุดอยู่ที่ผลึกปราณเทวะระดับต่ำถึงหนึ่งหมื่นก้อน!


หลังจากจบช่วงทดสอบประสิทธิภาพโอสถ หอมหาสมบัติแทบระเบิด!


ธารฝูงชนแห่เข้ามาไม่หยุดหย่อน หอมหาสมบัติผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุดในทันที!


 


ราคาเท่ากับโอสถเสริมปราณ แต่ประสิทธิภาพโอสถกลับสูงกว่าเป็นสองเท่า แล้วยังมีใครโง่ซื้อโอสถเสริมปราณกันอีก?


ดังนั้นมิใช่แค่ตระกูลหวัง ทั้งร้านค้าของตระกูลหลู่และตระกูลหลิน แทบจะกลายเป็นที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คนในชั่วข้ามคืน


 


 


ณ ตำหนักตระกูลหวัง ไม่มีผู้ใดอยู่อย่างเป็นสุขได้เลยสักคน รั้งแต่เดินไปเวียนมาไม่หยุดด้วยความกังวลสุดขีดคล้ายมดบนกระทะร้อน


 


“ผู้อาวุโสซวน ไหนท่านบอกว่า ไม่มีทางที่พวกมันจะวางจำหน่ายโอสถบ่มเพาะพลังได้? ตอนนี้พวกเราไร้ซึ่งมาตรการตอบโต้ใดๆเลย! ได้แต่นั่งเฉยๆรอวันตาย!”


หวังซูเอ่ยปากบ่น


 


สีหน้าการแสดงออกของหวังซวนเฟยบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งไม่ต่าง ยิ่งไปกว่า เขายังเป็นคนที่ลำบากใจที่สุดแล้ว


เพราะก่อนหน้า เขาดันลั่นวาจาด้วยความมั่นใจยิ่งว่า ฝ่ายหอมหาสมบัติไม่มีทางหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณอะไรนั้นได้แน่นอน


ฉะนั้นแล้ว นี่ยิ่งกว่าถูกลากออกมาตบหน้าฉะใหญ่กลางถนน!


 


ในความเป็นจริง หวังซูเองก็ทราบดี ถึงแม้ตระกูลหวังจะรู้ทันตอบสนองได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แต่หากต้องเผชิญหน้ากับสุดยอดไพ่ตายอย่างโอสถบ่มเพาะปราณ พวกเขาเองก็ไปไม่เป็นเช่นกัน


 


“นี่กลับโทษข้ามิได้เช่นกัน! แล้วพวกเจ้าทุกคนตรัสรู้ทราบเองได้หรือไม่ว่า เรื่องโอสถบ่มเพาะปราณอะไรนั้นจะเป็นความจริง?”


หวังซวนเฟยกล่าวโต้


 


“หมายความว่าตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางคงมิอาจอยู่รอดแล้วกระมัง?”


หวังซูกล่าวประชดขึ้นทันที


หลายทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อโค่นล้มหอมหาสมบัติ ค่าใช้จ่ายที่ตระกูลหวังต้องแบกรับก็เป็นจำนวนมหาศาลเช่นกัน


แต่พวกเขากลับคาดไม่ถึง ไม่เพียงหอมหาสมบัติยังคงอยู่รอด แต่พวกมันกลับผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้งได้!


 


การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของหอมหาสมบัติในรอบนี้ อาจเล่นพวกเขาถึงตายได้!


 


หวังซวนเฟิงแสยะยิ้มเย็นกล่าวขึ้นว่า


“โง่เง่านัก! หวังซู ความคิดความอ่านของเจ้ายังคงตื้นเขินเกินไป! หากเป็นเช่นนี้จะสามารถรับตำแหน่งสำคัญในอนาคตได้อย่างไร? ในมุมมองของข้า การเปิดตัวโอสถบ่มเพาะปราณจักส่งผลกระทบต่อมหาพิภพถงเทียนทั้งหมด! จักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติจะต้องใช้โอสถชนิดนี้ เพื่อกอบโกยผลกำไรอย่างไร้ขีดจำกัด!”


 


หวังซูกระนิ่มยิ้มเย็นชากล่าวว่า


“ผู้อาวุโสซวน ท่านคิดว่าข้ามิไม่เคยนึกถึงจุดนี้เลยรึ? เพียงว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อเย่หยวนไม่มีทางมอบสูตรโอสถชนิดนี้ให้ง่ายๆแน่นอน! สูตรโอสถที่สามารถทำกำไรมหาศาลขนาดนี้ ใครจะโง่คายออกมาง่ายๆกัน? ในท้ายที่สุดนี้พวกมันอาจตีกันเอง!”


 


 


หวังซวนเฟยตัวแข็งทื่อในบัดดล เห็นได้ชัดว่า เขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อน


 


หวังซูเหลียวมองไปที่หวังซวนเฟยเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า


“ดังนั้นแล้ว ไอ้เด็กเหลือขอนั้นกำลังขุดหลุมฝังศพตัวเองเท่านั้น! อย่าเห็นเพียงว่ายามนี้พวกมันสุขใจ อีกไม่นานเกินรอ ทั้งไอ้เด็กเหลือขอนั้นและหอมหาสมบัติจะเสียทุกอย่าง! ใกล้ถึงเวลาแล้ว หึหึ!”


 


พลันได้ยินคำวิเคราะห์ของหวังซู ทำให้หวังซวนเฟยและที่เหลือจุดประกายความหวังขึ้นอีกครั้ง!


 


ยามนี้หวังอวีเซียงเอ่ยปากกล่าวว่า


“เช่นนั้น คุณชายซูก็หมายความว่า…ให้พวกเรานิ่งไว้ก่อนอย่าพึ่งเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า?”


 


หวังซูพยักหน้าและกล่าวว่า


“ถูกต้อง!”


 


แต่สีหน้าการแสดงออกของหวังอวีเซียงกลับไม่สู้ดีนัก เขากล่าวขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆว่า


“แต่ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางของเราไม่สามารถทำอะไรหอมหาสมบัติในยามนี้ได้เลย แถมหลายปีมานี้ ทั้งทรัพยากรและเงินทองจำนวนมหาศาลของเราเองก็แทบไม่เหลือใช้แล้ว หากให้รั้งรอต่อไปเกรงว่าไม่ไหวแล้ว ก่อนที่หอมหาสมบัติจะทำลายกันเอง ตระกูลหวังของเราคงพังพินาศไปเสียก่อน!”


 


หวังซูอาศัยอยู่ในเมืองกุยฉางมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว จึงเข้าใจดีถึงสภาพการเงินและความคล่องตัวของตระกูลหวังในปัจจุบัน


ถึงช่วงหลายปีมานี้ธุรกิจจะเริ่มฟื้นตัวกลับมา แต่ยุคแห่งความตกต่ำก่อนหน้ากลับสร้างความเสียหายมากเกินไป


หวังซูได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่และกล่าวว่า


“สองสามวันต่อจากนี้ ข้าจะส่งสาสน์ขอความช่วยเหลือไปยังตระกูลหลักดู ให้พวกเขาส่งทรัพยากรเข้าหนุนหลังพวกเรา! สงครามในครานี้ล่วงเลยไปเกินครึ่งแล้ว ยามนี้เหลือแค่ว่าใครจะอยู่ได้นานกว่าเท่านั้น!”



ตอนที่1346 โชคดี


 


“ผู้อาวุโสเฟิ้งเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านหลอมกลั่นออกมาได้หรือไม่?”


คนที่เอ่ยถามขึ้นมีนามว่า ห่านเทียนแห่งหอมหาสมบัติสาขาเมืองหลวงหวูเมิ่ง และชายชราที่อยู่ตรงข้ามเขาคือหัวหน้านักหลอมโอสถแห่งหอมหาสมบัติ จอมเทพโอสถสามดาว,เซียวเฟิ้ง


 


เซียวเฟิ้งส่ายหัว คลี่ยิ้มขื่นกล่าวว่า


“เราชายชราเองก็ศึกษาศาสตร์แห่งโอสถมานับหลายหมื่นปี แต่กลับไม่คิดไม่ฝันมาก่อน แม้แต่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลางก็ยังไม่มีปัญญาหลอมกลั่น!”


 


ห่านเทียนตกตะลึงอย่างยิ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น เขากล่าวด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า


“ไม่ได้เลยงั้นรึ? นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร? โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลาง แม้แต่ท่านที่เป็นจุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถสามดาวก็ยังหลอมกลั่นไม่ได้จริงๆ?”


 


ครึ่งเดือนก่อน ห่านเทียนได้รับสูตรโอสถบ่มเพาะปราณมาจากหอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉาง


ด้วยหัวคิดทางด้านธุรกิจอันฉลาดหลักแหลมของหยางรุย หลังจากที่ได้รับสูตรโอสถของเย่หยวน เขาก็เริ่มคิดต่อยอดสร้างโอกาสเพื่ออนาคตทันที


ซึ่งหลังจากที่ส่งถึงมือห่านเทียนแล้ว เขาจึงเร่งระดมเหล่านักหลอมโอสถของเมืองหลวงหวูเมิ่งทันที เพื่อหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณตามสูตรที่ได้มา


แต่เขากลับตระหนักได้ทันทีในเวลาต่อมา เขาคิดง่ายเกินไป!


 


แม้หอมหาสมบัติในอาณาเขตเมืองหลวงหวูเมิ่งจะมีขุมพลังอ่อนแอที่สุด แต่ในจำนวนเหล่านั้นก็มีจอมเทพโอสถสองดาวไม่น้อยเช่นกัน


ทว่าเหล่าจอมเทพโอสถสองดาวกลับไม่มีใครสามารถหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณสำเร็จเลยสักคน!


 


ในท้ายที่สุดนี้ ห่านเทียนไร้ซึ่งทางเลือกอื่นจนต้องเชื้อเชิญจอมเทพโอสถสามดาวอย่างเซียวเฟิ้งให้ออกโรง


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ห่านเทียนประหลาดใจหนักเลยก็คือ แม้แต่เซียวเฟิ้งก็ยังล้มเหลว!


 


โอสถบ่มเพาะปราณมันไม่หลอมกลั่นยากเกินไปหน่อยรึ?


 


เซียวเฟิ้งถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า


“สูตรโอสถชนิดนี้คือผลงานชิ้นเอกของมหาพิภพถงเทียน หากปราศจากความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งโอสถในระดับลึกซึ้ง ก็ไม่มีทางหลอมกลั่นมันได้เลย เราชายชรา…ยังขาดตกไปหนึ่งส่วน!”


แท้ที่จริง เซียวเฟิ้งก็เกือบจะหลอมกลั่นได้สำเร็จแล้วเช่นกัน เพียงว่าในขั้นตอยสุดท้ายดูเหมือนว่าความเข้าใจของเขายังลึกซึ้งไม่พอ


 


ได้ยินวาจาคำกล่าวแบบนี้ ห่านเทียนถึงกับสะท้านขวัญจิตใจร่วงวูบ


ตอนที่เขาได้รับสูตรโอสถบ่มเพาะปราณมา เขาดีใจเป็นบ้าเป็นหลังประดุจได้ขุมสมบัติชิ้นโต แต่ยามนี้หากปราศจากผู้คู่ควรกลับแทบไม่มีค่าอันใด


หากไม่สามารถหลอมกลั่นออกมาได้ นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษแผ่นหนึ่งจริงหรือไม่?


 


“ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่า นี่จะเป็นการตักน้ำใส่ตะแกรง สวรรค์เล่นตลกแล้ว…เฮ้ออ…”


ห่านเทียนกล่าวขึ้นอย่างหดหู่ใจ


 


เซียวเฟิ้งลูบเครายาวไปพลาง ครุ่นคิดพินิจถึงเรื่องนี้ครู่ใหญ่ก่อนกล่าวว่า


“ท่านประมุขหอ ข้ามีความคิดดีๆแล้ว!”


 


ห่านเทียนโพล่งกล่าวตอบสนองทันควัน


“ผู้อาวุโสเฟิ้งคิดเห็นอย่างไร โปรดอย่าลังเลที่จะกล่าว!”


 


เซียวเฟิ้งกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า


“ข้าไปเมืองกุยฉางสักเที่ยวนึง!”


 


ห่านเทียนตัวแข็งทื่ฉับพลัน รีบเร่งส่ายหัวอานกล่าวว่า


“ดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่นักจริงหรือไม่? ผู้อาวุโสเฟิ้ง,สถานะของท่านสูงส่ง จะให้เดินทางไปยังสถานที่ทุรกันดารเช่นนั้นได้อย่างไร? หากท่านต้องการเข้าพบอาคันตุกะนักหลอมโอสถนามว่า เย่หยวน ให้ข้าเชิญเขาเข้ามาพบท่านที่นี่ดีกว่า”


 


ในสายตาของพวกเขา เมืองกุยฉางกลับมิใช่สถานที่ที่คุ้มค่าจะเดินทางไปเท่าไหร่


 


แต่เซียวเฟิ้งกลับส่ายหัวและกล่าวว่า


“ไม่ถูกต้องท่านประมุขหอ! อายุกลับไม่เกี่ยว ใครบรรลุก่อนผู้นั้นมีคุณสมบัติ เนื่องจากเย่หยวนผู้นี้สามารถหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณได้ นี่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ศาสตร์แห่งโอสถของเขาลึกล้ำเหนือกว่าเราชายชราไปแล้ว! อย่างน้อยที่สุดในบรรดาโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งทั้งหมด ข้ายังอ่อนด้อยกว่าเขานัก! อัจฉริยะมากพรสวรรค์แบบนี้ ในภายภาคหน้าย่อมก้าวล้ำเหนือกว่าเราชายชราแน่นอน! บุคคลทรงคุณค่าควรธำรงรักษาให้มั่น! ในอนาคตเขาจะกลายมาเป็นเสาหลักของหอมหาสมบัติ!”


 


ห่านเทียนพินิจตามไปและพยักหน้ารัวเห็นด้วยสุดใจ


“ผู้อาวุโสเฟิ้งกล่าวถูกต้องแล้ว! เช่นนั้น…การเดินทางครานี้ข้าต้องรบกวนท่านแล้ว และหากเป็นไปได้…นำเขากลับมาเมืองหลวงหวูเมิ่งด้วยจะเป็นการดีที่สุด!”


 


 


เสี่ยวเฟิ้งกล่าวตอบว่า


“หุหุ มิได้เป็นการรบกวนเลย! ข้ารู้สึกว่าบางที…การเดินทางครั้งนี้อาจเป็นโชคดีของข้าด้วยซ้ำ!”


 


 


 


……………………………..


 


 


ชั่วพริบตาครึ่งปีผ่านไป หลังจากที่หอมหาสมบัติเปิดตัวโอสถบ่มเพาะปราณ


ในช่วงครึ่งปีมานี้ร้านค้าของตระกูลหวัง, ตระกูลหลินและตระกูลหลู่ยังคงรกร้างไร้ซึ่งผู้คน


ตระกูลหลินกับตระกูลหลู่ยังพอทำเนา แต่ตระกูลหวังกล่าวได้ว่าขาดทุนป่นปี้ไม่เหลือดี


 


ส่วนเรื่องที่ว่าจะเกิดปัญหาระหว่างหอมหาสมบัติด้วยกันเอง จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเป็นจริงเลย


 


ครึ่งปีมานี้ เย่หยวนใช้ชีวิตอย่างผาสุกสำราญใจ


 


หลังจากจะต้องหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณในทุกๆวัน เวลาที่ว่างเขามักจะเข้าไปในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เพื่อขัดเกลาเต๋าให้ล้ำลึกยิ่งขึ้น


 


ช่วงเวลาดังกล่าว หยางรุยนับเงินคำนวณผลกำไรไม่หยุดหย่อนด้วยความปีติปลื้มใจ


หากให้บรรยายถึงสถานการณ์ตอนนี้ของหอมหาสมบัติ กล่าวได้ว่า เพชรชุบทอง!


ในทุกๆวันที่ผ่านไป หยางรุยยังคงจมลึกท่ามกลางความตื่นตะลึง


ผลึกปราณเทวะที่หอมหาสมบัติได้รับมาในช่วงครึ่งปีให้หลังนี้ มันแทบจะเทียบเท่าธุรกิจใหญ่ๆในเมืองหมิงหยางได้แล้ว


 


ท้ายที่สุดนี้ ตระกูลหวังก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป


 


ณ ตำหนักเจ้าเมืองกุยฉาง หวังซูเร่งเข้าพบท่านเจ้าเมืองเป็นการด่วน


 


“หุหุ น้องชายหวังซูมิใช่รึนั้น? เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าหวังซ่ง,พี่ชายของเจ้าทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายแล้วใช่หรือไม่?”


เจ้าเมือง,เฉินหย่งหนานกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ


 


หวังซูยิ้มตอบพร้อมกล่าวว่า


“ไม่มีข่าวใดที่ท่านพี่เฉินมิทราบจริงๆ! เขาเพิ่งทะลวงขึ้นไปได้เมื่อไม่นานมานี้”


 


เฉินหย่งหนานเค้นหัวร่อเล็กน้อย พลางกล่าวส่อสายตาสะท้อนแววอิจฉาออกมา


“พรสวรรค์ของหวังซ่งถือได้ว่าสูงมาก แถมยังมีตระกูลหวังคอยหนุนหลังอยู่อีก ต่างจากพวกเราที่วันๆต้องจัดการกับเรื่องทางโลกยวุ่นวายไม่เว้นวัน!”


 


หวังซูกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า


“ท่านพี่เฉินเองก็มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าเมือง มีอำนาจมากมายอยู่ในมือ ใครๆต่างต้องอิจฉาเช่นกัน!”


 


เฉินหย่งหนานหรี่ตาแคบเล็กน้อยและกล่าวว่า


“น้องชายหวังซู มาเยี่ยมเยือนครานี้คงมีเรื่องราวความเป็นมากระมัง?”


 


หวังซูลอบเร้นสาปแช่งจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้อยู่ในใจอย่างลับๆ แต่พื้นผิวภายนอกยังคงประดับยิ้มอยู่เช่นเดิม ขณะกล่าวไปว่า


“ถูกต้องแล้วท่าน แต่…เรื่องการบ่มเพาะพลังของท่านพี่เฉินอย่าได้กังวลไป ตราบใดที่ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางผงาดขึ้นอีกครั้ง ทรัพยากรการบ่มเพาะทั้งหมดของท่านพี่เฉิน ข้าจะให้ผู้อาวุโสอวีเซียงเป็นคนจัดการดูแลเอง! เช่นนี้…ท่าน…ท่านเห็นด้วยรึไหม?”


 


หวังอวีเซียงที่อยู่ข้างๆเร่งกล่าวเสริมขึ้นต่อว่า


“ใช่แล้ว! ใช่แล้ว! ในอดีตตระกูลหวังมิอาจช่วยเหลือท่านเจ้าเมืองได้เต็มที่เท่าที่ควร หวังว่าท่านเจ้าเมืองโปรดใจกว้างให้อภัย ซึ่งครั้งนี้เอง พวกเราตระกูลหวังก็เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆแทนคำขอโทษ”


 


ขั้วหัวใจของหวังอวีเซียงประดุจถูกมีดคมบาดลึกจนเลือดสดไหลหลั่ง แม้ว่าตระกูลหวังจะตกต่ำถึงขีดสุดเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องเจียดเนื้อส่วนหนึ่งมาเป็นเครื่องบรรณนาการให้เฉินหย่งหนาน


 


ตอนหวังซูกับหวังซวนเฟย เขาก็ใช้จ่ายเป็นจำนวนมหาศาลมากแล้ว มาครั้งนี้ยังต้องตัดเนื้อตัดเลือดแบ่งให้กับเฉินหย่งหนานอีก ค่าใช้จ่ายของตระกูลหวังในระยะนี้ค่อนข้างเกินงบไปไกลแล้ว


เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้ายังพอทำใจได้ แต่สำหรับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเฉกเช่นหวังซวนเฟยหรือเฉินหย่งหนาน กลับต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมหาศาลยิ่ง ค่าใช้จ่ายย่อมขยายสูงขึ้นตาม


ถึงกระนั่นเอง เมื่อเทียบกับตระกูลหวังที่ต้องล่มสลายลง เห็นได้ชัดว่าเขายังพอกัดฟันทำใจยอมรับได้


 


ความหายนะทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเกิดขึ้นจากไอ้บัดซบน้อยเย่หยวน


หวังอวีเซียงรังเกียจเย่หยวนจนเข้ากระดูกดำมาเนินนานแล้ว


 


ภายในเมืองหลวงหวูเมิ่ง มีสถานศึกษาหวูเมิ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังก่อตั้งอยู่


เหล่าเยาวชนที่จบการศึกษาจากที่แห่งนี้ โดยส่วนใหญ่ล้วนกลายมาเป็นคนใหญ่คนโต หรือเป็นแม้กระทั้งเจ้าเมืองเฝ้าปกครองเขตเมืองต่างๆในอาณาเขตของเมืองหลวงหวูเมิ่ง


หลังจากที่เฉินหย่งหนานและหวังซ่งจบการศึกษาไป คนหนึ่งได้ขึ้นกลายเป็นเจ้างเมืองกุยฉาง ในขณะที่อีกคนได้กลายมาเป็นรองเจ้าเมืองหมิงหยาง


 


แม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นเจ้าเมืองและอีกคนคือรองเจ้าเมือง ทว่าอย่างลืมเสีย อำนาจอิทธิพลระหว่างสองเมืองนี้ต่างกันอย่างมาก กลับเป็นเฉินหย่งหนานที่มีสถานะต่ำกว่าหวังซ่งอยู่หนึ่งขั้น


หวังซ่งเป็นถึงรองเจ้าเมืองหมิงหยาง แถมยังมีตระกูลหวังซึ่งเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ภายในเมืองค้อนหนุนหลังอยู่ตลอด ทั้งอำนาจและอิทธิพลเหนือกว่าเฉิงหย่งหนานอย่างเห็นได้ชัด


นอกจากนี้ หวังซ่งยังทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายได้ก่อนเขาอีก ในอนาคตต่อไป หวังซ่งจะถูกผลัดดันขึ้นสู่ตำแหน่งหน้าที่สำคัญในเมืองหลวงหวู่เมิ่งแน่นอน


ในอีกด้าน เฉินหย่งหนานยังคงย่ำอยู่กับที่และเฝ้าอิจฉาแหงนมองอีกฝ่ายเท่านั้น


 


สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน หอมหาสมบัติและตระกูลหวังขับเคี่ยวกันมาหลายสิบปี เขามีหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์จากระยะไกลโดยธรรมชาติ และรอเวลาให้ตระกูลหวังคลานมาพบเขาเอง


เพราะตอนนี้ตระกูลหวังไม่สามารถต่อกรได้ไหวอีกต่อไปแล้ว


 


แม้เขาจะเป็นเจ้าเมือง แต่เขาและทางฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองเองก็มีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมหาศาลเช่นกันให้แก่เบื้องบน หากสถานการณ์ยังคงเลวร้ายหนักไม่สามารถประคองรักษาได้ เขาจะสูญเสียรายได้จากช่องทางภาษีของเหล่าตระกูลใหญ่เป็นจำนวนมากจนน่ากลัว


ดังนั้นยามเห็นตระกูลหวังถ่อมาหาขนาดนี้ เขาจึงได้ความคิด ให้อีกฝ่ายจ่ายส่วยโดยส่วนตัวเข้าตัวเขาเอง


 


คนพวกนี้จะช่วยเติมเงินในกระเป๋าของเขาให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง


 


“หึหึ ผู้อาวุโสอวีเซียง เกรงใจแล้ว ที่พวกท่านมาในคราวนี้คงมิใช่เพราะเรื่องของหอมหาสมบัติ?”


ได้รับคำการันตีเกี่ยวกับแรงสนับสนุน ยามนี้เฉินหย่งหนานเปิดไพ่ขึ้นกลางโต๊ะทันที



ตอนที่1347 หากท่านไม่กล่าว ข้าคงตรัสรู้ทราบเองได้?


 


“งานเลี้ยงในคราวนี้มีภัยร้ายซ่อนอยู่! เย่หยวน เจ้าห้ามไปงานเลี้ยงเด็ดขาด!”


หยางรุยกล่าวสีหน้าเคร่งเครียด


ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก หยางรุยกับเย่หยวน ทั้งคู่ต่างได้รับคำเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงถึงมือ


ซึ่งคำเชิญทั้งสองใบนี้ออกโดยท่านเจ้าเมือง


ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา กลุ่มอิทธิพลทั้งสี่สู้รบปรบมือมาแสนนาน ทว่าฝ่ายเจ้าเมืองยังคงนิ่งเงียบไม่ไหวติง


แต่ครั้งนี้ในที่สุด ฝ่ายเจ้าเมืองก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว


ทว่าเย่หยวนกลับได้รับคำเชื่อจากเขาด้วย และนี่คือสิ่งที่ทำให้หยางรุยไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง


 


เย่หยวยยิ้มและกล่าวว่า


“แน่นอนว่าควรไป เหตุใดข้าถึงจะไม่ไปกัน? เป้าหมายของพวกนั้นคงหนีไม่พ้นโอสถบ่มเพาะปราณ หากข้าไม่ไป เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่มีวันจบ”


 


หยางรุยทราบโดตธรรมาชาติว่า จุดประสงค์ของคนพวกนั้นคือโอสถบ่มเพาะปราณ แต่หากเย่หยวนยังคงยืนยันที่จะไป นี่มิวิตกกังวลมิได้เลยจริงๆ


ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ เขาคนเดียวไม่สามารถปกป้องเย่หยวนได้แน่


 


“ข้าทราบ แต่…ข้ากลัวว่าคำเชื้อนี้กลับเป็นกับดัก!”


หยางรุยกล่าว


 


“ไม่มีทาง? ต่อให้เจ้าเมืองเชื้อเชิญข้าเป็นการส่วนตัว แต่พวกเขาจะใจกล้าลงมือเบ็ดเสร็จกับข้าเลยกระมัง? กลการณ์ทางการเมืองหาได้ทางตรงเช่นนั้น ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”


เย่หยวนเอ่ยถามพลางฉงนใจ


 


หยางรุยถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า


‘เจ้าไม่รู้อะไร พี่ชายของหวังซูที่มาจากตระกูลหลักจบจากสถานศึกษาหวูเมิ่งที่เดียวกับเจ้าเมืองเฉินหย่งหนาน ก่อนที่เจ้าจะออกจากการเก็บตัวครั้งล่าสุดเอง เจ้าเมืองก็ใช้เล่ห์กลขัดขวางเราทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นเจตนาที่เชิญเจ้าในคราวนี้ค่อนข้างชัดเจนพอแล้ว”


 


เย่หยวนขมวดคิ้วขึ้นทันทีที่ได้ยิน กล่าวตอบว่า


“หรือท่านกำลังจะบอกว่า พวกมันทั้งหมดล้วนสมรู้ร่วมคิดกัน? โดยมุ่งเป้าหมายมาทางเรา?”


 


หยางรุยพยักหน้าและกล่าวว่า


“หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียก่อน ก็ควรจะเป็นเช่นนั้นแน่! เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง เจ้าไม่ควรไปเด็ดขาด!”


ความซับซ้อนของสถานการณ์ภายในเมืองกุยฉางในยามนี้ ค่อนข้างเกินความคาดหม่ายของเย่หยวนนัก


อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งนี้กลับไม่สามารถทำให้เย่หยวนตกใจได้แม้แต่น้อย


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ในเมื่อพวกมันขี่หัวเราอยู่แล้วก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน ต่อให้ไม่ไปวันนี้ วันหน้าพวกมันก็จะกลับมาและก่อปัญหาให้อีกในภายหลัง แทนที่จะรอให้เป็นแบบนั้น สู้ใช้โอกาสเผชิญหน้ากลางโต๊ะไปเลยดีเสียกว่า”


 


หยางรุยกล่าวสวนด้วยสีหน้าเปี่ยมวิตกยิ่ง


“สวรรค์ ไฉนเจ้าถึงหัวรั้นแบบนี้กัน? เจ้าเมืองเฉินหย่งหนานเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลาง แถมยังมีพวกลิ่วล้ออีกสามตระกูลใหญ่ค่อยสนับสนุน หากพวกมันทั้งหมดลงมือพร้อมกัน ข้าก็ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้เช่นกัน!”


 


เย่หยวนเอ่ยหัวร่อคิกคักและกล่าวว่า


“ท่านประมุขหอกังวลเกินไปแล้ว แม้สายสัมพันธ์ของพวกเขาจะมีอยู่บ้าง แต่ข้าเองก็คิดว่าเจ้าเมืองไม่มีทางเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามขนาดนั้นแน่นอน ท้ายที่สุดแล้วตำแหน่งของเขากลับมิได้เล็กน้อยเลย ทำอะไรไม่คิดกลับเสี่ยงเกินไป”


 


 


……………………….


 


 


เมื่อเกลี้ยกล่อมเย่หยวนไม่สำเร็จ หยางรุยต้องจำใจพาเขาไปในที่สุด


เขาหวังได้เพียงว่าเฉินหย่งหนานจะครั่นคร้ามในบารมีของหอมหาสมบัติอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดก็อย่าเพิ่งลงไม้ลงมือกับเย่หยวนในวันนี้


ณ โถงใหญ่ใจกลางตำหนักเจ้าเมือง สถาปัตย์การออกแบบทั้งเริดหรูและโอ่อ่าเกินพรรณนา


 


เจ้าเมืองหน้าตายังหนุ่มยังแน่นอยู่บนที่นั่งอันทรงเกียรติพร้อมใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้างตลอดเวล ราวกับเขาผู้นี้เป็นมิตรกับทุกคน


หลังจากดื่มไปสองสามจอก เฉินหย่งหนานก็เอ่ยปากเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นทันที


 


“ขอบใจทุกท่านที่มาเป็นหน้าเป็นตาของเราเจ้าเมืองคนนี้ การที่ทุกกลุ่มอิทธิพลอย่างพวกท่านมารวมตัวกันในตำหนักเจ้าเมือง นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวประดุจเสาหลักแห่งเมืองกุยฉางของเรา ไม่มีฝักฝ่ายใดเป็นปฏิปักษ์กัน คงเป็นพรอันประเสริฐสุดแล้ว พวกท่านว่าจริงหรือไม่?”


 


สายตาที่จับจ้องของเฉินหย่งหนานกวาดกว้างมองหน้าทีละคน ซึ่งนี่กลับสร้างแรงกดดันให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก


แม้แต่หยางรุยเองก็รู้สึกดดันอย่างมากเช่นกัน


 


“ท่านเจ้าเมืองกล่าวถูกต้องแล้ว!”


อดีตประมุขตระกูลหลู่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม


 


“ถูกต้อง! ถูกต้องที่สุด! ดั่งคำกล่าวที่ว่า มิตรภาพสร้างเสถียรภาพความมั่นคั่ง! ฮ่าฮ่าฮ่า…”


อดีตประมุขตระกูลหลินเห็นชอบไม่ต่าง


 


แต่หวังซูกลับคลี่ยิ้มบางๆและกล่าวว่า


“ท่านพี่เฉินกล่าวถูกต้อง เมืองกุยฉางเป็นของทุกคน หามิใช่ครอบครัวเดียวกัน นั้นคงเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไหร่นัก!”


 


เฉินหย่งหนานเหลือบมองไปทางหยางรุยเล็กน้อยและกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเย็นว่า


“ท่านประมุขหอหยาง ท่านมีอะไรจะกล่าวหรือไม่?”


 


 


หยางรุยถอดสีหน้าไปเล็กน้อย ขณะคลี่ยิ้มตอบแช่มช้ากล่าวตะกุกตะกักว่า


“เอ่ออ…”


ตอนนี้สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงถึงขีดสุด ตระกูลหวังกำลังจะล้มสลาย แต่ดันมากล่าวเรื่องมิตรภาพ?


หากไม่ติดที่ว่าเฉินหย่งหนานอยู่ตรงนี้ หยางรุยคงลงมือเคลื่อนไหวไปบ้างแล้ว ทว่าแรงกดดันระดับนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลดศีรษะให้


 


คำกล่าวของหยางรุยจุกอยู่ปลายลิ้น ระหว่างที่เขากำลังจะเอ่ยตอบออกไป แต่จู่ๆเสียงของเย่หยวนก็แทรกดังขึ้นฉับพลัน


 


“อืม..อืมมม…อร่อยจัง! อร่อยมาก! หุหุ ตำหนักเจ้าเมืองหาใช่สถานที่ธรรมดาทั่วไป รสชาติอาหารจานนี้วิเศษนัก!”


เย่หยวนเลียริมฝีปากเล็กน้อยพลางจุ๊ปากเอ่ยชมอย่างเพลิดเพลิน


 


ภายใต้สถานการณ์ที่ตระกูลหลิน, ตระกูลหลู่และตระกูลหวังเปิดไพ่ว่าอยู่ข้างเดียวกัน แต่เย่หยวนกลับกำลังนั่งสวาปามอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย มิได้ใส่ใจรอบข้างเลยแม้แต่น้อย


 


ปลายคิ้วของเฉินหย่งหนานพลันกระตุกขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ พลันสาดสายตาจับจ้องไปที่เย่หยวน ทว่าเย่หยวนก็ยังมิได้สนใจ พร้อมยกสุรากระดกเอื้อก ดื่มด่ำรสชาติไม่แยแสใดๆ


 


เฉินหย่งหนานกำหมัดแน่นจนบนฝ้ายลองโต๊ะอาหารบริเวณนั้นหงิกงอ เขาในยามนี้รู้สึกอึดอัดใจอย่างที่สุด


แม้แต่เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นอย่างหยางรุย ยังเนื้อตัวสั่นสะท้านยามสัมผัสได้ถึงรัศมีความน่าสะพรึงที่พรั่งพรูออกมาจากอีกฝ่าย


 


“เย่หยวน หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เจ้าค่อนข้างไม่เห็นด้วยต่อคำกล่าวของเราเจ้าเมืองคนนี้?”


เฉินหย่งหนานหน้านิ่วกล่าวเสียงดัง


 


คอยหลังได้ยินชื่อตัวเองถูกเอ่ยเรียก เย่หยวนเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะอาหารในที่สุด ก่อนจับจ้องสายตาไปทางเฉินหย่งหนานพลางกล่าวอย่างใสซื่อว่า


“หื้ม? เมื่อครู่ท่านเจ้าเมืองกล่าวอะไรหรือไม่? พอดีอาหารของท่านอร่อยจนลืมใส่ใจฟัง!”


 


เสแสร้ง!


นี่มันเสแสร้งกันชัดๆ!


เฉินหย่งหนานสามารถกล่าวให้ทุกคนในโถงใหญ่ได้ยินครบถ้วน แล้วเป็นไปได้ไหมว่าคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับเขาจะไม่ได้ยิน?


ไม่มีทาง!


 


ต้องกล่าวก่อนว่า เย่หยวนเป็นบุคคลที่สำคัญมากสำหรับงานในวันนี้


มิฉะนั้นคงไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับเฉินหย่งหนานและอีกสามตระกูลใหญ่แน่นอน


 


เฉินหย่งหนานพยายามข่มโทสะสงบสติลงและกล่าวขึ้นว่า


“เราเจ้าเมืองกล่าวว่า ไม่มีฝักฝ่ายใดเป็นปฏิปักษ์กัน คงเป็นพรอันประเสริฐสุดแล้ว! เจ้าว่าคำกล่าวนี้เป็นจริงหรือไม่?”


 


ดวงตาประกายวิบวับเมื่อได้ยิน เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า


“โอ้ หากกล่าวถึงเรื่องความเป็นปฏิปักษ์ ในใจของข้ามีสองสิ่งยืนหนึ่ง ไม่ศรีภรรยายามพิโรธ ก็ไอ้ปีศาจบัดซบที่ข้าพึ่งจับมันทรมานไป แต่ยามนี้โดนของหนักปานนั้น ไอ้ปีศาจนั้นคงไม่มีปัญญาทำอะไรได้แล้ว! หื้ม? ไฉนพวกท่านถึงทำสีหน้าเช่นนั้น? ข้ากล่าวอันใดผิดไป?”


 


ศรีภรรยายามพิโรธ เป็นหนึ่งในใจของบุรุษเพศทุกคน แต่ไอ้ปีศาจบัดซบนั้น มันคือตัวอะไร? สำหรับพวกเขาช่างไร้สาระสิ้นดี


 


เฉินหย่งหนานโกรธจัดจนแทบอกระเบิดแตกตาย ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้กำลังพร่ามไร้สาระหวังเบี้ยงประเด็นออกทะเลอย่างชัดเจน


อีกด้านหนึ่ง หยางรุยในยามนี้เหงื่อแตกพลั่ก ในขณะที่หวังซูและคนอื่นๆล้วนหน้าเสียไม่ต่าง


 


การยั่วโมโหเจ้าเมืองกุยฉางกลับมิใช่กลยุทธ์ที่ดีนัก


 


เฉินหย่งหนานเค้นเสียงเย็นสบถเล็กน้อย ก่อนหันมากล่าวกับหยางรุยว่า


“ประมุขหอหยาง ที่เราเจ้าเมืองจัดงานเลี้ยงในวันนี้ขึ้นล้วนแต่มีเจตนาดี หวังให้ทุกฝักฝ่ายสานสัมพันธ์ให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้น! แต่ฝ่ายเจ้ากลับเห็นมันเป็นเรื่องตลก! นี่น่ะรึคือนิสัยที่แท้จริงของหอมหาสมบัติ?”


 


ความเย็นชาของเฉินหย่งหนานในขณะนี้ เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายแห่งอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลางเต็มสูบ แรงกดดันที่แพร่งพรายออกมาช่างน่าระทึกขวัญเกินไป


 


สีหน้าของหยางรุยซีดเซียวลงในบัดดล ขณะที่เขากำลังจะกล่าวตอบ ทว่ากลับถูกเย่หยวนกล่าวแทรกอีกครั้งว่า


“ฮ่าฮ่า มิทราบว่าท่านเจ้าเมืองกำลังกล่าวเรื่องอันใด? เห็นเป็นเรื่องตลกงั้นรึ? ข้าสงสัยเสียเหลือเกิน…กลุ่มอิทธิพลอย่างหอมหาสมบัติคงเป็นเรื่องตลกมากกระมัง? กลับเป็นท่านที่ไม่ยอมเข้าเรื่องจุดประสงค์ในวันนี้มากกว่า ที่ทำเช่นนี้คงเห็นหอมหาสมบัติของเราเป็นตัวตลก? หากท่านไม่กล่าว ข้าคงตรัสรู้ทราบเองได้?”


เฉินหย่งหนานที่กำลังบีบเค้นให้หยางรุยจนตรอกอย่างช้าๆ แต่การที่เย่หยวนเอ่ยปากรับหน้าจัดการเองเช่นนั้น กลับทำให้แผนการตาลปัตร ยามนี้เขาแทบกระอักพ่นเลือดสดออกเต็มปาก


หากมีเย่หยวนอยู่รอบๆแบบนี้ นี่จะไม่ยิ่งยุ่งยากเป็นการใหญ่งั้นรึ?


อย่างไรก็ตาม เฉินหย่งหนานก็มิได้ปรารถนาจะสร้างเรื่องไม่พึงประสงค์เช่นกัน ในความเป็นจริงจุดประสงค์ที่เขาเชิญหอมหาสมบัติมาในวันนี้ เพื่อเพียงสกัดความก้าวหน้ามิให้ล่วงล้ำฝ่ายอื่นๆจนเกินหน้าเกินตา


การใช้กำลังในการแก้ไขปัญญา กลับมีผลเสียมากกว่าได้


และท้ายที่สุดนี้ เขาเองก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวกับหอมหาสมบัติได้มากเช่นกัน


กลุ่มอิทธิพลนี้มิควรถูกยั่วยุล้ำเส้นจนเกินไป


เพราะนี่เป็นถึงธุรกิจของจักรพรรดิเทพสวรรค์!


 


เฉินหย่งหนานกัดฟันกรอดข่มกลั้นความโกรธในใจอย่างสุดกำลัง ก่อนแพร่เสียงเย็นสะท้านก้องว่า


“ข้ามีความคิดหนึ่งต้องการนำเสนอกับทุกท่าน ส่วนที่ว่าจะได้ผลหรือไม่ สุดแท้แล้วแต่พวกท่าน ท่านประมุขหอหยาง พวกเราทุกคนควรมีรายได้และเติบโตไปด้วยกัน ท่านไม่คิดเช่นนั้นรึ? แต่ในยามนี้โอสถบ่มเพาะปราณของหอมหาสมบัติกลับกดขี่ข่มเหงทุกคนเกินไป หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าธุรกิจของทุกฝ่ายคงไปต่อไม่ไหวแล้วเช่นกัน ไฉนท่านถึงไม่ขายโอสถบ่มเพาะปราณนี้ แบ่งปันให้แก่ฝ่ายอื่นๆอย่างเช่น ตระกูลหวัง,หลินและหลู่ สามตระกูลใหญ่ของเมืองบ้าง!”




ตอนที่1348 จริงใจที่สุดแล้ว


 


“ผลักไสผู้คนเกินไป!”


ทันทีที่เฉินหย่งหนานกล่าวจบ หยางรุยพลันลุกพรวดด้วยความโกรธจัด


คำขอนี้ช่างไร้ยางอายเกินไป!


แผนการในวันนี้ชัดเจนเกินไปนัก เฉินหย่งหนานพร้อมด้วยสามตระกูลใหญ่ลุกเข้ากดดันเขาหวังให้สละผลประโยชน์


 


“ท่านประมุขหอหยาง อย่าร้อนใจเกินควร! นั่งและคุยกันอย่างปัญญาชน! มิเช่นนั้น…หื้ม?”


หยางรุยไม่ต้องการจะนั่งลงอย่างเดิมแม้แต่น้อย ทว่าแรงกดดันของเฉินหย่งหนานที่ปกคลุมรอบบริเวณกลับรุนแรงเกินไป แรงหนึ่งพยายามบีบบังคับให้นั่งลง ส่วนเขาพยายามยืนหยัดให้ลึกขึ้น ถึงขั้นที่ว่าขาทั้งสองข้างของเขาสั่นพึบพับคล้ายไม่ไหวแล้ว


หยางรุยรู้สึกราวกับกำลังมีหุบเขาไทซานกำลังร่วงทับเข้ากลางหลังเต็มแรง ช่างเป็นแรงดันที่ทรงพลังเกินต้านทาน!


 


ขุมพลังแห่งอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลาง แกร่งกล้าเสียยิ่งกว่าอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นไม่ติดฝุ่น


หยางรุยไม่สามารถทำอะไรได้เลยเมื่ออยู่ตรงหน้าเฉินหย่งหนาน!


 


ขณะเดียวกับที่หยางรุยไม่สามารถต้านทานแรงกดดันนี้ได้ไหวอีกต่อไป คู่ขาค่อยๆพังทลายทรุดลงอย่างช้าๆ ทว่ากลับเป็นเย่หยวนที่ค่อยๆลุกขึ้นยืนดั่งทองไม่รู้ร้อน


รัศมีที่ปลดปล่อยออกจากร่างเย่หยวน เริ่มก่อตัวแกร่งกร้าวขึ้น สีหน้าการแสดงออกของเฉินหย่งหนานตื่นตะลึงสุดขีด ก่อนกวาดสายตาเข้าหาเย่หยวนด้วยความประหลาดใจ


หาใช่วิธีการปราบปรามด้วยระดับพลังเข้าข่มต้าน แต่เป็น…รัศมีกลิ่นอายแห่งเต๋าอันล้ำลึก!


 


ภายใต้รัศมีกลิ่นอายแห่งเต๋าของเย่หยวน แรงกดดันที่พรั่งพรูจากร่างของเฉินหย่งหนานแทบแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ!


 


เฉินหย่นหนานตื่นตระหนกถึงขีดสุด หากยังฝืนต้านรับต่อไป กลับเป็นเขาที่เป็นฝ่ายพ่ายลงเสียแทน!


เห็นดังนั้นเฉินหย่งหนานเร่งถอนแรงกดดันออกไปทันที บรรยายแสนกดดันก่อนหน้าคลายตัวลงอย่างรวดเร็ว


ทว่าสายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เย่หยวน พร้อมแววตื่นตะลึงใจไม่คลายอ่อน


 


“ท่านเจ้าเมือง เรื่องแบบนี้พวกเราสามารถพูดคุยกันได้ ยิ่งเป็นปัญญาชนอย่างพวกเรากลับมิใช่เรื่องจยากเลย ท่านว่าจริงหรือไม่?”


เย่หยวนกล่าวขึ้นคงประดับรอยยิ้มบนใบหน้า


ณ ปัจจุบัน ทุกคนในงานต่างจับจ้องเย่หยวนเป็นตาเดียว เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง สามารถบีบให้อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลางต้องร่นถอยได้?


นี่มันเรื่องเหลือเชื่อเกินไป!


 


เหตุที่ภาพฉากออกมาเป็นเช่นนี้กลับไม่มีอะไรเลย เพราะรัศมีกลิ่นอายแห่งเต๋าของเย่หยวนมีต้นกำเนิดมาจากหุบเขาถงเทียนจำลอง


ทั้งหมดเป็นเพราะบัญญัติเทพแห่งถงเทียน!


 


วรยุทธบ่มเพาะพลังที่เย่หยวนหลอมสร้างขึ้นมา กอปรมาจากเต๋าบนหุบเขาถงเทียนจำลอง ถึงขั้นที่ว่าสามารถกระตุ้นให้หุบเขาถงเทียนจริงๆเกิดปรากฏการณ์วิปลาสได้


กระทั้งเหล่าจอมเทพเต๋าบรรพกาลยังครั่นคร้ามอยู่หลายส่วน แล้วนับประสาอะไรกับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าเล็กๆน้อยๆแบบนี้?


 


“ก็เราเจ้าเมืองสั่งให้เขานั่งลง นี่มิใช่เพื่อพูดคุยทำข้อตกลงกันต่อรึ? ปรากฏว่าเป็นประมุขหอหยางที่ก่อความวุ่นวายขึ้นเอง! เราเจ้าเมืองมีเจตนาดีเชิญชวนทุกคนให้มาหารือร่วมกันเพื่อร่างมาตรการสำหรับทุกฝ่าย!”


เฉินหย่งหนานเร่งกล่าวแก้ตัว หวังสร้างทางออกให้ตัวเอง


อย่างไรก็ดี สิ่งนี้ไม่สามารถปกปิดความตื่นตูมภายในใจได้


ยามนี้เขาตระหนักได้แล้วว่า ไอ้เด็กเหลือขออาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางคนนี้ กลับดูอันตรายเสียยิ่งกว่าหยางรุยมาก!


 


เย่หยวนยกมือส่งสัญญาเล็กน้อยเชิงให้หยางรุยนั่งลงก่อน จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า


“ท่านเจ้าเมือง เรื่องมิอาจตำหนิท่านประมุขหอหยางได้ เพราะราคาที่ท่านเจ้าเมืองเรียกร้องกลับสูงเกินไปเช่นกัน! ผลกำไรจากโอสถบ่มเพาะปราณ ทุกคนน่าจะตระหนักดี การที่ยอมขายให้สามตระกูลใหญ่แบบนี้ ก็เท่ากับว่าพวกเขานั่งเฉยๆก็มีขนมเปี๊ยะร่วงล่นจากท้องฟ้าให้กินแล้ว นี่ไม่เอาเปรียบกันเกินไปรึ?”


 


“หึ! ใครว่าเราจะนั่งเฉยๆไม่ทำอะไรเลย! พวกเจ้าย่อมตั้งข้อแม้ได้ตามใจอิสระ ขอเพียงกล่าวออกมา! มิฉะนั้นพวกเราสามตระกูลใหญ่ขอผลึกกำลังเข้ากดดันหอมหาสมบัติให้รู้แล้วรู้รอด!”


หวังซูโพล่งกล่าวขึ้นอย่างสุดจะทน


วาจาคำกล่าวเหล่านี้ช่างไร้วาทะศิลป์และไร้ยางอายเกินไป


ไม่ว่าใครได้ยินต่างทราบได้ทันที หวังซูคิดเห็นหรือต้องการอย่างไรกลับชัดเจนประจักษ์ชัด


ความหมายนั้นก็คือ ยามลำบาก ข้าจะลากพวกเจ้าทั้งหมดลงไปพร้อมกัน!


 


อย่างไรก็ตาม เย่หยวนพลันยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขากล่าวตอบว่า


“แน่นอน ควรเป็นเช่นนั้นมากกว่า! ในเมื่อพวกท่านมาที่นี่เพื่อหวังเจรจาหารือด้วยความจริงใจ ตราบใดที่พวกท่านเสนอราคาจนพวกเราพอใจ โอสถบ่มเพาะปราณจัดส่งถึงมือแน่นอน”


คำกล่าวของเย่หยวนได้จุดประกายความหวังของทุกคนสว่างขึ้นในบัดดล


แน่นอน…เว้นเสียแต่หยางรุย


 


“เย่หยวน เจ้า…”


หยางรุยกล่าวขึ้นด้วยความกังวลสุดขีด


สาเหตุที่หอมหาสมบัติผูกขาดตลาดในส่วนนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะโอสถบ่มเพาะปราณอย่างไม่ต้องสงสัย


หากพวกเขายอมมอบสิทธิ์การจัดจำหน่ายให้แก่สามตระกูลใหญ่ ความได้เปรียบในข้อนี้จะหายไปทันที!


 


หยางรุยไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน


เย่หยวนเข้าจับจ้องไปที่อีกฝ่ายทันที ราวกับว่าให้เขาใจเย็นลงก่อน


 


หวังซูระงับความอิ่มเอมสุขใจโดยไวและกล่าวอย่างใจเย็นว่า


“เสนอข้อแม้เงื่อนไขมาได้เลยตามใจสะดวก ตราบใดที่มิได้ผลักไสพวกเราไกลเกินไป ข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะไม่ปฏิเสธ! หลังจากนี้ต่อไปพวกเราคือครอบครัวแห่งเมืองกุยฉาง ผลประโยชน์ร่วมกัน พัฒนาไปข้างหน้าพร้อมกัน!”


 


ครึ่งปีมานี้ ชื่อเสียงและความนิยมของโอสถบ่มเพาะปราณได้แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค แม้แต่เขตเมืองอื่นๆใกล้เคียง


ตอนนี้มิใช่แค่เหล่านักสู้ในเมืองกุยฉางเท่านั้น ยังมีอีกหลายต่อหลายคนที่เดินทางไกลจากเมืองอื่นเพื่อมาจับจ่ายโอสถบ่มเพาะปราณโดยไม่ลังเล


 


ปัจจุบันราคาโอสถบ่มเพาะปราณพุ่งสูงขึ้นเป็นหลายเท่าตัว แค่เหล่าผู้คนก็ยังยินดีควักกระเป๋าซื้อจับจองเช่นเดิมดั่งฝูงเป็ดรุมล้อม


ผลกำไรจากโอสถชนิดนี้เป็นจำนวนมหาศาลเกินนับ!


ดังนั้นหวังซูจะไม่อิ่มเอมใจได้อย่างไรเมื่อได้ยินเช่นนั้น?


 


หากมิใช่เพราะเกรงใจอดีตประมุขอีกสองตระกูล พวกหวังซูคงเผยสีหน้าอันสุขใจออกมาเกินกักเก็บ


พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า เย่หยวนจะยอมง่ายๆเช่นนี้


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ที่จริงข้ามิใช่คนเรื่องมากอะไร เพียงพวกเจ้าเข้ามาหาข้าด้วยความจริงใจ แค่ยกนิ้วทุกอย่างล้วนคลี่คลายด้วยดี”


เมื่อได้ฟังคำกล่าวของเย่หยวน พวกเขาทั้งสามตระกูลพลันใจชื้นกันเป็นแถบ


ดูเหมือนว่าหอมหาสมบัติยังคงเกรงกลัวบารมีของฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองในท้ายที่สุด!


 


เย่หยวนปิดปากไปชั่วขณะ ก่อนค่อยๆกวาดสายตาเข้ามาหวังหลินโป๋ที่นั่งอยู่อีกโต๊ะและกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า


“ชีวิตของเขาแลกกับสิทธิการจำหน่ายโอสถบ่มเพาะปราณ! เป็นอย่างไรเงื่อนไขง่ายมากใช่หรือไม่?”


 


ส่วนที่เหลือยังพอทำเนา แต่สีหน้าการแสดงออกของเหล่าสมาชิกตระกูลหลังพลันมืดทมิฬลงในทันใด


 


หวังหลินโปโพล่งลุกพรวดตะคอกใส่เย่หยวนอย่างเดือดดาลว่า


“ไอ้เด็กเหลือขอ! แกหมายความว่าอย่างไร?!”


 


หวังซูสีหน้ามืดตกพลางกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า


“เจ้าเห็นพวกเราสามตระกูลปัญญาอ่อนกระมัง?”


 


เย่หยวนยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแสและกล่าวว่า


“นี่เป็นความจริงใจที่สุดของข้าแล้ว! ในสุสานสายลมหยิน สามผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลหวังไล่ล่าข้ากับหลัวเจียจนเกือบตาย และแผนการทั้งหมดหวังหลินโปเป็นตัวต้นคิด! ความอีปยศครั้งนั้นยังจำฝังใจจวบจนวันนี้! หากไม่ยอมรับเงื่อนไข ข้าจะฝังทั้งตระกูลหวังแน่นอนหากมีโอกาส!”


 


ก่อนหน้านี้ เย่หยวนเพียงกลัวว่าจะเผลอไปทำลายเสถียรภาพความสมดุลของเมืองกุยฉางลง นั้นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไว้ชีวิตหวังหลินโปเอาไว้


แต่เมื่อเรื่องราวพัฒนาจนมาถึงจุดนี้ การที่เขาต้องการล้างโคตรตระกูลหวังกลับมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป


นอกจากนี้ทั้งสามตระกูลล้วนขี่บนหัวเย่หยวนราวกับของเล่น แล้วเย่หยวนหรือจะมอบความเมตตาใดๆให้อีก?


 


“หึ! ฝั่งทั้งตระกูลหวัง? ตัวเล็กแต่เสียงใหญ่ดีหนิ! อาศัยเศษเสี้ยวพลังอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง คิดว่าจะมีปัญญาทำอะไรได้?”


หวังอวีเซียงเค้นเสียงเย็นยะเยือกคำรามเยาะเย้ย


 


“เย่หยวน ไม่สร้างความเป็นปฏิปักษ์กลับเป็นรากฐานความสัมพันธ์ที่มั่นคงที่สุด! แม้ว่าตระกูลหวังเคยหลงผิดส่งคนไปฆ่าเจ้าในปีนั้น แต่เจ้าก็ยังปลอดภัยดีมิใช่รึ? นอกจากนี้กลับเป็นสามอาวุโสใหญ่ที่ล่วงลับจากไปแทน? นี่ก็ผ่านมาหลายสิบปี เรื่องใดวางได้เพียงทิ้งทวนไว้เบื้องหลังเสีย เช่นนี้ดีกว่าหรือไม่?”


เฉินหย่งหนานพยายามกล่าวโน้มน้าวใจ


 


 


เย่หยวนนึกตลกหัวเราะขึ้นอย่างขำขันและกล่าวว่า


“หุหุ ผลกำไรจากโอสถบ่มเพาะปราณมหาศาลเพียงใด ข้าคงไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใดอีกต่อไป เงื่อนไขเดียวเท่านั้น หากตกลงรับคำสัญญามีผลทันที! หากไม่เห็นด้วยก็ไม่จำต้องพูดคุยอะไรกันอีกแล้ว!”


ประโยคสั้นๆรวบรัดกระชับใจความของเย่หยวน ได้ปิดกั้นทุกทางเลือกเหลือเพียงสอง


ณ จุดนี้ บรรยากาศในงานเลี้ยงเย็นสะท้านต่ำลงในทันที จากมีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวกลับเงียบกริบดุจป่าช้า


หยางรุยไม่กล่าวเอ่ยคำแสดงออกใดๆ ทว่าภายในใจแทบกราบไหว้เย่หยวนไว้เหนือหัว


การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของเย่หยวนช่างเฉียบคมไร้ที่ติ จากจุดวิกฤตกลับตีตื่นกลายเป็นฝ่ายคุมสถานการณ์เอาเอง


ปัญหาและแรงกดดันทั้งหมดถูกโยนไปที่หวังหลินโปโดยตรง


หากเป็นหวังอวีเซียงเกรงว่าจะไม่มีเหตุและผลเกินไปหน่อย


และที่สำคัญหวังหลินโปยังเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าและไม่นับว่าเก่งกาจอันใด แต่สุดท้ายนี้เขาก็มีสถานะเป็นถึงประมุขตระกูลหวัง ตำแหน่งนี้กลับไม่ธรรมดา


 


ในเวลานี้ทุกคนต่างมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่หวังหลินโปเป็นทางเดียว


โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประมุขตระกูลหลินและหลู่ที่อยู่โต๊ะเดียวกัน พวกเขาเหลียวมองไปยังเขาเล็กน้อย


เห็นได้ชัดว่า พวกเขาเองก็ชักจะไม่แน่ใจเช่นกัน


 


แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือ หวังซูพลันสาดสายตาใส่หวังหลินโปโดยมิได้เผยถึงอารมณ์ใดๆเลย


นี่กลับเป็นสายตาที่แลดูน่ากลัวไม่น้อย


 


ถึงขนาดนี้แล้ว หวังหลินโปยังไม่ทราบได้อย่างไรว่า สถานการณ์ปัจจุบันของตนมันย่ำแย่เพียงใด?


“หวังซู หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เจ้าคิดจะฆ่าสมาชิกร่วมตระกูลตัวเอง เพียงเพราะโดนไอ้เด็กเหลือขอเป่าหูไปแค่ประโยคเดียว?”


สีหน้าของหวังหลินโปซีดเซียวหนักพร้อมเอ่ยถามขึ้นทันที




ตอนที่1349 รุมเตะตัดขาเพื่อผลประโยชน์


 


“แค่ก แค่ก… พี่ชายเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะมีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร?”


หวังซูกล่าวขึ้นอย่างตะกุกตะกัก


ต้องยอมรับเลยว่า เงื่อนไขนี้ของเย่หยวนล่อลวงเขาได้ครู่หนึ่ง


หวังหลินโปเป็นแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าทั่วไป นับเป็นกลุ่มคนที่พบได้ง่ายในตระกูลหวังสาขาหลัก เสียหนึ่งชีวิตเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิทธิ์การจำหน่ายโอสถบ่มเพาะปราณ นี่นับว่าคุ้มค่าอย่างมาก


แต่ความคิดแบบนี้ไม่สามารถพูดออกมาได้โดยเด็ดขากไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


ผู้ประสบความสำเร็จกลับไม่เคยสนใจเรื่องเล็กน้อย!


เขาชั่งใจอยู่ไม่น้อย ใช้ชีวิตของหวังหลินโปแลกเปลี่ยนและเข้าหาสานสัมพันธ์กับเย่หยวนอย่างสันติ


 


สีหน้าการแสดงออกของหวังอวีเซียงบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ หวังซูคิดวางแผนอะไรอยู่ในหัว มีหรือที่เขาจะไม่ทราบ?


แต่การที่อีกฝ่ายจะใช้ชีวิตของลูกชายตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิทธิ์การจำหน่ายแบบนี้ ต่อให้ถูกทุบตีจนตาย หวังอวีเซียงก็ไม่มีวันยอม!


เขายอมสู้ตายกับหอมหาสมบัติ!


 


สถานะของเย่หยวนในงานเลี้ยงแห่งนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน ไม่สามารถเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้าได้


 


สีหน้าของหวังอวีเซียงดำทมิฬมืดดั่งก้นหม้อไหม้ เขากล่าวขึ้นว่า


“เย่หยวน พวกเราต่างมาด้วยความจริงใจ แล้วเจ้าแสดงความจริงใจตอบพวกเราแล้วจริงๆรึ?”


 


“จริงใจ? พวกท่านน่ะรึจริงใจ? หุหุ,เกรงว่าเย่คนนี้คงตาบอดแล้วกระมัง ถึงไม่เห็นความจริงใจของพวกท่านเลย! อย่างไรก็ตาม เย่คนนี้พกความจริงใจมาเต็มอก ขอเพียงชีวิตของหวังหลินโปแค่คนเดียว ธุรกิจหลังจากนี้จะเป็นไปได้อย่างราบรื่นปราศจากปัญหาแน่นอน!”


เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมแสยะยิ้มบาง


 


หวังหลินโปโกรธจัดจนบดฟันเสียงดังกรอดแน่น ความเกลียดชังแววอาฆาตสะท้อนออกจากนัยน์ตาอย่างชัดแจ้ง นอกจากพ่อเขาแล้ว ทุกคนล้วนต้องการให้เขาตายไปจริงๆ!


 


 


“ท่านเจ้าเมือง เห็นได้ชัดว่า เย่หยวนจงใจยุยงปลุกปั่น ถึงขั้นที่ว่าหลอกล่อให้ฆ่าบุตรชายของเราชายชรา หอมหาสมบัติจิตใจดำมืดอำมหิต โปรดให้ความเป็นธรรม!”


หวังอวีเซียงกล่าวขึ้นเสียงเข้ม


 


คราวนี้ เฉินหย่งหนานกลับเงียบไม่พูดไม่จา เห็นปฏิกิริยาแบบนั้นทำเอาหวังอวีเซียงกับหวังหลินโปใจหายวาบ


 


“มีพยานเป็นถึงเราเจ้าเมือง หวังว่าหอมหาสมบัติคงไม่กลับคำกระมัง?”


เฉินหย่งหนานกลับหาได้สนใจวาจาคำกล่าวของหวังอวีเซียง ทว่าเอ่ยปากกล่าวถามลอยๆก่อนเหลียวสายตาจับจ้องเย่หยวนแทน


 


เย่หยวนคลี่ยิ้มเป็นคำตอบ หาได้ส่งเสียงเอ่ยปากใดๆ


 


หวังหลินโปหน้าเสียหนัก เขาเร่งกล่าวขึ้นสุดแสนกระวนกระวายใจ


“ทะ-ท่านเจ้าเมืองหมายความอย่างไร?”


 


เฉินหย่งหนานกล่าวตอบอย่างเย็นชาว่า


“ก็หมายความว่า ทุกคนที่ทำธุรกิจในเมืองกุยฉาง ล้วนต้องพึ่งพาความสามารถของตนเอง แต่เจ้ากลับเล่นสกปรก ส่งคนไปลอบสังหารอีกฝ่าย นี่มันทำเกินขอบเขตแล้ว!”


 


มีคนเปิดย่อมมีคนตาม ได้ยินแบบนั้นอดีตประมุขตระกูลหลินเร่งกล่าวเสริม เห็นพ้องต้องกันในทันใด


“ถูกต้อง! ทุกคนในที่แห่งนี้ย่อมตระหนักถึงสาเหตุที่แท้จริงดี เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันมิได้เริ่มจากน้องสาวอันไร้ยางอายของเจ้าหรอกรึ? นี่คือความผิดของตระกูลหวัง! ทั้งๆที่รู้ว่าผิดแต่ก็ยังไม่ยอมรับ! แถมยังส่งคนไปฆ่าเพื่อตัดปัญหา!”


 


อดีตประมุขตระกูลหลู่ยังกล่าวซ้ำเติมอีกว่า


“เส้นทางการต่อสู้ย่อมมีกฎการต่อสู้ เส้นทางธุรกิจย่อมมีกฎทางธุกิจเช่นกัน หวังหลินโป เจ้ากระทำเช่นนี้ นับว่าทำลายเสถียรภาพทางธุรกิจลง!”


 


รางมรณะเผยปรากฏอยู่ทั่วใบหน้าของหวังหลินโป ยามนี้สีหน้าซีดเซียวหนักจนท้ายที่สุดนี้ก็ตระหนักถึงความหมายที่ว่า ทุกคนรุมเตะตัดขาเพื่อผลประโยชน์


 


“พวกเจ้า…พวกเจ้าทุกคนช่างไร้ยางอายเกินไป!”


หวังหลินโปโกรธจัดจนพูดไม่ออก


ก่อนมาวันนี้ เขายังดีใจเป็นอย่างมาก


ทว่าปัจจุบันสถานการณ์กลับเปลี่ยนผัน ตัวละครที่ต้องกลายเป็นศพในงานเลี้ยงสีเลือดกลับเป็นตัวเขาเอง!


แม้แต่สหายร่วมตระกูลหวังยังเร้นซ่อนคมมีดอยู่เบื้องหลังไม่ต่าง


 


หวังอวีเซียงตะโกนลั่นด้วยความโกรธจัด


“ไอ้สองจิ้งจอกเฒ่า หุบปากไปซะ!! พวกแกมันไร้ยางอายเกินไป!”


 


เฉินหย่งหนานกล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า


“สิ่งที่พวกเขากล่าวไปถูกต้องแล้ว หวังหลินโป เนื่องจากเจ้ากระทำผิดร้ายแรง จำต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาเช่นกัน! เราเจ้าเมืองจะให้โอกาส ลงมือปลิดชีพเองหรือต้องให้เราผู้นี้ช่วย?”


 


หวังหลินโปดูราวกับไม่แยแสหรือเห็นใจใดๆอีกต่อไป ในน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเลือดเย็นไร้ความรู้สึก


ดูเหมือนว่าวันนี้ เขามิอาจหลีกเลี่ยงจากผลกรรมได้อีกต่อไป!


 


เสี้ยวอึดใจนั้นเอง คู่สายตาปราดเข้าจับจ้องไปที่หวังซูราวกับนี่คือฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของเขาแล้ว หวังหลินโปเร่งกล่าวอ้อนวอนทันที


“คุณชายซู เราเองก็เป็นญาติสนิทตระกูลเดียวกัน หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ท่านอยากเห็นข้าตายต่อหน้าต่อตาจริงๆ? ท่านอย่าไปลงเชื่อไอ้เด็กเหลือขอหรือคนพวกนี้ ทั้งหมดก็แค่หว่านเมล็ดสร้างความแตกแยก!”


 


 


หสวังหลินโปทราบถึงสถานะของหวังซูดี ขอเพียงหวังซูเปิดปากช่วยเหลือ เฉินหย่งหนานย่อมไม่กล้าลงมือเคลื่อนไหวแน่นอน


หวังซูเหลือบอมงอีกฝ่ายแต่กลับหาได้สนใจอันใดไม่


เมื่อสถานการณ์พัฒนามาไกลถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องหวังหลินโปอีกต่อไป


 


“พี่ชาย มิใช่ว่าหวังซูคนนี้ใจจืดใจดำ แต่เจ้าเองก็ก่อกรรมทำเรื่องไม่ดีมามาก ข้าเองก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน!”


หวังซูกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจเสียงยาว


 


คำตอบของหวังซูซึ่งเป็นดั่งฟางเส้นสุดท้าย ได้ขาดผึงความหวังที่เหลืออยู่ของหวังหลินโปแตกสลายในพริบตา


 


เสี้ยวอึดใจต่อมา ร่างของหวังหลินโปแปรสภาพเป็นธารแสงสายหนึ่งโฉบแล่นไปยังทางออกโถงใหญ่ทันที


 


“หึ! รนหาที่ตาย!”


เฉินหย่งหนานเค้นเสียงเย็นดังหึ ก่อนสะบักกรงเล็บคมของตนออกไป ร่างของหวังหลินโปหยุดชะงักในทันที


แต่ในขณะนั้นเอง หวังอวีเซียงพลันเคลื่อนไหวตอบโต้เช่นกัน!


ไม่มีทางเลือกอื่นใดให้ตัดสิน จะให้เฝ้าดูลูกชายของตนตายต่อหน้าต่อตาก็เกรงว่าใจแข็งไม่พอ!


 


สีหน้าของเฉินหย่งหนานมืดทมิฬลงเล็กน้อย เอ่ยปากคำรามน้ำเสียงเย็นชาไร้หัวใจ


“ประเมินตนสูงเกินไป!”


ขณพที่กล่าวขึ้น เฉินหย่งหนานพลันผันแปรกรงเล็บกลายมาเป็นฝ่ามือ ก่อนซัดกระหน่ำออกไปเต็มแรง!


 


บูมมมม!


 


เพียงฝ่ามือเดียวของดฉินหย่งหนาน ร่างของหวีอวีเซียงกระเด็นกระดอนออกไปไกลไร้ทิศทาง


ต่อหน้าเฉินหย่งหนานผู้นี้ หวังอวีเซียงกลับอ่อนแอเกินจะต่อกร!


หลังจากนั้นเฉินหย่งหนานก็เปลี่ยนจากฝ่ามือมาเป็นกรงเล็บอีกครั้ง ก่อนซาดกระบวนกรงเล็บออกไปอีกชุดหนึ่ง พร้อมฉีกร่างของหวังหลินโปเป็นชิ้นๆในพริบตา!


 


ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินหย่งหนานยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง


เพียงคลื่นกระบวนโจมตีในเสี้ยวพริบตา ตายหนึ่งเจ็บหนึ่ง!


 


รัศมีกลิ่นอายประดุจอยู่เหนือสรรพสิ่ง ก้มมองสรรพชีวิตไร้เทียมทาน


 


เวลาเดียวกัน หวังอวีเซียงนอนนิ่งอยู่บนพื้นพร้อมกระอักพ่นเลือดสดเต็มปากเต็มคำ


ลูกตาของพวกตระกูลหลู่กับตระกูลหลินแทบถลนออกมา พวกเขาจับจ้องไปยังเฉินหย่งหนานผุ้ไม่ไหวติ่งอย่างเหลือเชื่อ


พวกเขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เฉินหย่งหนานจะทรงพลังถึงขนาดนี้แล้ว


พินิจจากจุดนี้อีกฝ่ายคงห่างจากอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลายอีกไม่ไกลแล้ว


เฉินหย่งหนานสังหารหวังหลินโปอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต และโค่นหวังอวีเซียงลงอย่างง่ายดายเพื่อสร้างบารมี


เขามิได้แสดงพลังต่อหน้าสาธารณะชนมานานหลายปีมากแล้ว และตอนนี้เขาก็ทำให้ทุกคนเห็นว่า เจ้าเมืองผู้นี้กลับมิใช่คนที่ควรยั่วยุแต่อย่างใด


แน่นอน จุดประสงค์หลักที่ทำแบบนี้ไปก็เพราะ ให้เย่หยวนรู้สึกครั่นคร้ามในตัวเขา มั่นตระหนักนึงถึงสัญญาที่เคยให้ไว้ก่อนหน้า


ส่วนหยางรุยที่อยู่ข้างๆ ยามนี้ตื่นตะลึงสุดขีดจนสติหลุดนานแล้ว


 


ก่อนที่จะมา เฉินหย่งหนานไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่า เย่หยวนจะเป็นคนที่จัดการด้วยยากที่สุดแบบนี้ ถึงขั้นทำให้พันธมิตรระหว่างสามตระกูลใหญ่และตำหนักเจ้าเมืองแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี


 


ในตอนนี้ หวังหลินโปได้ตายลงแล้ว ส่วนหวังอวีเซียงได้รับบาดเจ็บสาหัส ตระกูลหวังในปัจจุบันแทนพิการกันหมด


ด้วยความแกร่งกล้าของชายหนึ่มเพียงคนเดียวไม่มีทางทำสำเร็จแน่ ทว่าเย่หยวนคนนี้อาศัยไหวพริบและความรอบคอบเพื่อปลุกปั่นยืมกำลังผู้คนให้ตีกันเอง คนประเภทนี้ช่างน่ากลัวเกินหยั่งรู้ได้!


 


เย่หยวนตระหนักทราบดี ไม่ว่าอย่างไรเรื่องโอสถบ่มเพาะปราณ เขาก็ไม่สามารถรั้งไว้นานกว่านี้ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องการใช้ประโยชน์จากจุดนี้ให้คุ้มค่าที่สุด โดยการใช้มันเพื่อหลอกล่อคนอื่นๆให้สังหารสองพ่อลูกตระกูลหวัง


จะเห็นได้ว่า แผนการในคราวนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม


 


เย่หยวนเฝ้าสังเกตอยู่ข้างสมรภูมิอยู่ตลอดเวลา คนเหล่านี้ล้วนใส่หน้ากากเข้าหากัน และแสร้งทำเป็นคนจิตใจงามศีลธรรมสูงส่ง ทว่าความเป็นจริงเนื้อในกลับเน่าเฟะ กระทั่งมิตรสหายในครอบครัวยังฆ่ากันได้เพื่อผลประโยชน์ ช่างน่าสมเพชจริงๆ


 


พวกนี้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานที่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น!


 


ลงมือเสร็จสรรพ เฉินหย่งหนานช้อนสายตาจับจ้องไปทางเย่หยวนอย่างเฉยเมยพร้อมเอ่ยเสียงเรียบว่า


“หวังหลินโปตายแล้ว แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นในเมืองกุยฉางยังคงทิ้งทวนร่องรอยอยู่บ้าง กล่าวได้ว่าเพียงความตายกลับมิอาจชดใช้ความผิดที่ก่อ! ประมุขหอหยาง เย่หยวน…ทุกคนกำลังรอฟังเจ้าอยู่!”


 


“รอฟังข้า? รอฟังอะไร?”


เย่หยวนปั้นสีหน้าใสซื่อไร้เดียงสา พลางเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย


 


เพียงคำพูดเดียวของเย่หยวน ทำเอาทุกคนหน้าถอดสีในบัดดล!


หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้คิดจะกลับคำจริงๆ?


 


เฉินหย่งหนานสีหน้ามืดทมิฬหนักกล่าวว่า


“เมื่อครู่เจ้าเพิ่งสัญญากับข้าและสามตระกูลใหญ่ไป ทว่าตอนนี้คิดกลับคำงั้นรึ?!”


 


เย่หยวนฉีกยิ้มกว้างเปี่ยมความสดใสสุดใจยิ่ง เขากล่าวตอบว่า


“สัญญา? ข้ากล่าวว่าสัญญางั้นรึ? หากจำไม่ผิดข้าบอกท่านไปว่า ขอเพียงชีวิตของหวังหลินโปแค่คนเดียว ธุรกิจหลังจากนี้จะเป็นไปได้อย่างราบรื่นปราศจากปัญหาแน่นอน หรือท่านจ้าเมืองได้ยินผิดไปจากนี้?”



ตอนที่1350 พวกเจ้าไม่มีปัญญาทำอะไรข้าได้!


 


“ฮะ-ฮ่าฮ่าฮ่า… น่าขัน! ช่างน่าขันจริงๆ!”


ไกลห่างออกไปหน้าประตู เสียงหัวเราะเยาะพลันดังลั่นออกจากปากของหวังอวีเซียนที่นอนอยู่กลางพื้น


ในตอนนี้ยังมีใครไม่ทราบอีกว่า ทุกคนล้วนถูกเย่หยวนหลอกกันหมด?


ตั้งแต่แอรกเริ่มจนบัดนี้ เย่หยวนไม่มีแม้แต่เสี้ยวความคิดที่จะขายสิทธิ์การจำหน่ายโอสถบ่มเพาะพลังให้แก่ฝ่ายอื่น ทั้งหมดก็เพื่อล่อให้พวกมันตีกันเอง!


กลุ่มเดรัจฉานพวกนี้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและน่ารังเกียจยิ่งกว่าอะไร เย่หยวนไม่คิดหยิบยื่นมิตรภาพให้อยู่แล้ว


 


สีหน้าของหวังซูดูเคร่งเครียดหนัก ขณะกล่าวขึ้นว่า


“เย่หยวน เจ้ากล้ากลิ้งกลอกกับพวกเรารึ?”


 


เย่หยวนคลี่ยิ้มอย่างแผ่วเบาและกล่าวว่า


“สัจจะสงวนไว้กับผู้มีปัญญาชนเท่านั้น ส่วนเดรัชฉานอย่างพวกเจ้ากลับไม่จำเป็น สิทธิ์การจำหน่ายมีหรือจะยอมมอบให้? ตัดตัวปัญหาอย่างพวกเจ้าไปตั้งแต่ตอนนี้ นับเป็นอนาคตที่สดใสของหอมหาสมบัติแล้ว ละคึรฉากนี้สนุกสนานดีจริงๆ ธาตุแท้ของพวกเจ้ากลับได้เห็นเต็มสองตา เหอะ เหอะ”


 


คำกล่าวของเย่หยวนชัดเจนแจ่มแจ้ง เสมือนฉีกเสื้อลายครามของจักรพรรดิอย่างไร้ปราณี


การแสดงฉากก่อนหน้า เย่หยวนทำราวกับพวกเขาเป็นตัวตลกเท่านั้น


 


“ดี! ดี! ดีมาก! ไอ้เด็กเหลือขอหาญกล้ายั่วยุเราเจ้าเมืองผู้นี้จริงๆ! ปัญญาอ่อนหรือไม่ที่รนหาที่ตายขนาดนี้?”


เฉินหย่งหนานกล่าวขึ้นพร้อมท่าทีสุดเคร่งขรึม


 


หยางรุยลุกขึ้นพรวดยืนขวางหน้าเย่หยวนทันที


“พวกเจ้าจะทำอะไร? เฉินหย่งหนาน ข้าขอเตือนไว้ก่อน เย่หยวนเป็นอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ คิดแตะต้องเขาเท่ากับปฏิปักษ์ต่อหอมหาสมบัติเช่นกัน!”


หยางรุยกล่าวขู่เสียงเย็น


เขาเองก็ไม่คิดว่า เย่หยวนจะเปิดไพ่ออกมาโต้งๆต่อหน้าอีกฝ่ายขนาดนี้


กล่าวถามว่าตอนนี้รู้สึกพอใจไหม ก็เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก แต่นี่กลับสร้างความบาดหมางต่อฝ่ายอื่นๆด้วยเช่นกัน


คนพวกนี้หาใช่คนดีไม่ และเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะปล่อยให้เย่หยวนรอดออกไป


 


เฉินหย่งหนานเค้นเสียงหัวเราะเยาะเมื่อได้ยินและกล่าวว่า


“หยางรุย เจ้าคิดขู่ให้ข้ากลัวรึ? เมืองนี้หาใช่อาณาเขตของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติ กลับเปล่าประโยชน์! ตราบใดที่เราเจ้าเมืองผู้นี้ไม่ฆ่าเจ้าเป็นพอ หอมหาสมบัติก็ทำอะไรข้าไม่ได้เช่นกัน!”


 


สีหน้าการแสดงออกของหยางรุยพลันผลัดแปร กล่าวสวนทันควัน


“ฮ่าฮ่า… หากเป็นก่อนหน้าไม่ว่าจะฆ่าข้าหรือไม่ หอมหาสมบัติคงไม่สนใจอันใด ทว่าตอนนี้ข้าได้ส่งสูตรโอสถบ่มเพาะปราณไปยังเบี้องบนแล้ว แล้วเจ้าคิดหรือว่า พวกเราจะนั่งดูอยู่เฉยๆ?”


 


คำกล่าวนี้ของหยางรุยทำเอาเฉินหย่งหนานและคนอื่นๆตกใจอย่างมาก


พวกเขาคิดแค่เพียงว่า ที่หอมหาสมบัติรุ่งเรื่องได้ขนาดนี้เพียงพึ่งพาเย่หยวนและสูตรโอสถที่อยู่ในกำมือนั้น


แต่ทุกคนกลับคาดไม่ถึงจริงๆว่า เย่หยวนกลับใจกว้างมอบสูตรโอสถนี้ให้ไปจริงๆ!


สถานการณ์ในตอนนี้ยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่


 


แม้เมืองแห่งนี้จะมิใช่อาณาเขตของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติ แต่พวกเขาเองก็ไม่สามารถมองข้ามขุมพลังของหอมหาสมบัติได้เช่นกัน


หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก เฉินหย่งหนานไม่มีทางจัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นแน่นอน


 


“ท่านพี่เฉิน เหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ ไม่ว่าอย่างไรไอ้เด็กเหลือขอนี่จำต้องตาย! หากปล่อยให้หนีรอดออกจากตำหนักเจ้าเมืองไปได้ เกรงว่าจะวุ่นวายยิ่งกว่านี้  มิฉะนั้น ทั้งท่านและพวกเราสามตระกูลใหญ่ยังจะดำรงอยู่ในเมืองกุยฉางได้อีกรึ? ในเมื่อมันไม่เต็มใจมอบโอสถบ่มเพาะปราณ เช่นนั้นมีแต่ต้องใช้กำลังเพื่อนำมันมา! มิฉะนั้นทุกอย่างในวันนี้จะเปล่าประโยชน์!”


หวังซูคำรามลั่นดึงสติทุกคนทันทีในเวลานี้


 


ใบหน้าของเจ้าเมืองกุยฉางถูกขยี้เละป่นปี้ไปหมดแล้วในวันนี้ หากไม่ฆ่าเย่หยวนให้ตาย เขายังจะมีหน้าปกครองเมืองกุยฉางต่อไปได้อย่างไร?


เฉินหย่งหนานครุ่นคิดจินตนาการตามหวังซู และพบว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวไปล้วนเป็นความจริง


เขาผงกศีรษะและกล่าวว่า


“เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว! แม้ในอนาคตข้าอาจต้องโทษร้ายแรง ทว่าวันนั้นกลับยังไม่มาถึง! แต่วันนี้….แกต้องตายเย่หยวน!”


นี่มิใช่เพียงแค่เฉินหย่งหนานเท่านั้น กระทั่งอดีตประมุขตระกูลหลินและหลู่ทั้งสองยังเข้าประจัญบาน ปิดล้อมตีกรอบเย่หยวนขนาบซ้ายขวาแล้ว


การล้อหลอกของเย่หยวนในครั้งนี้ของเย่หยวน  ต่างสร้างความไม่พอใจแก่ทุกคน


 


หวังซูแสยะยิ้มฉีกเย็นและกล่าวว่า


“เจ้าหนู คิดหรือว่า แค่มอบสูตรโอสถบ่มเพาะปราณจะทำให้ทุกอย่างเรียบร้อยดี? เมืองกุยฉางแห่งนี้เป็นถิ่นของท่านพี่เฉิน เจ้า…ไม่มีทางพลิกฟ้าเปลี่ยนสวรรค์ได้!”


 


เย่หยวนคลี่ยิ้มตอบจางๆและกล่าวว่า


“พวกเจ้าประเมินค่าตัวเองสูงเกินไป! อย่าคิดว่าตนเหนือสรรพสิ่งบงการทุกอย่าง ทว่าความเป็นจริง…พวกเจ้ากลับไม่มีปัญญาทำอะไรเลยด้วยซ้ำ!”


สิ้นเสียงกล่าวจบ สองมือไขว้หลังอย่างองอาจ เย่หยวนหมุนตัวกลับพลางกล่าวแช่มมุ่งไปทางประตูทางออก


 


“หึ! ช่างหยิ่งผยองนัก!”


เฉินหย่งหนานกรนเสียงแหบเย็น ทันทีทันใด ร่างแปรไสวกลายเป็นประกายแสงสายหนึ่ง พร้อมปราดพุ่งจู่โจมใส่เย่หยวนอย่างไร้ปราณี


ก่อนหน้า สังหารหวังหลินโปกับทำร้ายหวังอวีเซียงจนบาดเจ็บสาหัสยังไม่เท่าไหร่ แต่เย่หยวนตัวนี้ทำเอาเข้าโกรธจัด!


สำแดงกระบวนโจมตีคราวนี้ หวังปิดบัญชีเบ็ดเสร็จฉับไหว!


 


หยางรุยหน้าถอดสีหนัก เบื้องหน้าของเขาประดุจมีหุบเขาลูกยักษ์กำลังถาโถมเข้าใส่


ในขณะเดียวกัน ก็มีคลื่นพลังสุดแกร่งกร้าวอีกระลอกหนึ่งพุ่งตรงเข้าใส่เย่หยวน


 


นั้นคือหวังอวีเซียง!


 


“ไอ้เด็กบัดซบ หากวันนี้ฆ่าเจ้าไม่ได้ ข้าไม่ขอเป็นมนุษย์แล้ว!”


หวังอวีเซียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง


สองยอดฝีมือผนึกกำลังร่วมมือเพื่อโจมตีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว ต่อให้หยางรุยมีสามหัวหกแขน เขาก็ไม่มีทางหยุดการโจมตีเหล่านี้ได้เช่นกัน


 


แต่ทันใดนั้น จู่ๆก็มีอีกร่างหนึ่งปรากฏกายขึ้นข้างกายเย่หยวนจากตอนไหนไม่ทราบ


ทันทีที่ร่างนี้ประจักษ์สู่สายตา ผู้คนทั้งหมดต่างขนลุกซู่วสะเทือนขวัญอย่างหนัก บรรยากาศโถงกว้างแปรเปลี่ยนกายเป็นคุกน้ำแข็งในบัดดล


 


ซึ่งร่างนี้ยังจะเป็นใครได้อีกนอกเสียจากกุ้ยหยุน?


เพียงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ สายลมหนาวโถมเสียดแทงเข้าใส่หวังอวีเซียงโดยตรง


เผชิญหน้ากับฝ่ามือสุดอหังการของเฉินหย่งหนาน กุ้ยหยุนใช้แค่นิ้วชี้เพื่อรับมือ!


เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงสะเก็ดไฟแลบเสียดโลหะ ไม่มีใครตอบสนองได้ทันเลยสักคน


 


หวังอวีเซียงที่บาดเจ็บสาหัสแต่เดิม ยามนี้ถูกโจมตีซ้ำตอก ถึงกับหมดสติไม่รู้เป็นตายในอึดใจเดียว


แค่กุ้ยหยุนสะบัดแขนส่งๆออกไป ทั่วทั้งร่างของหวังอวีเซียงคล้ายถูกสายฟ้าฟาดเต็มแรง ก่อนหมดสติไปทั้งแบบนั้น


เสี้ยวพริบตาต่อมา เลือดที่ไหลเวียนภายในร่างเริ่มแข็งตัวก่อนจะเป็นเช่นนี้ทั่วกายาโดยสมบูรณ์


เมื่อปราดตามองอีกครั้ง หวังอวีเซียงกลับเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณแล้วเท่านั้น!


 


ในขณะที่เฉินหย่งหนานโดนดัชนีเพียงนิ้วเดียวของกุ้ยหยุนปักเข้ากลางหน้าผาก ก็ถึงกับกระเด็นออกไปไกล!


 


บูมมมม!


 


เสียงระเบิดดังก้อง ลมพายุโหมกล้าท้าปะทะเข้ามา ร่างของเฉินหย่งหนานถูกแรงถีบกระเด็นไปไกลอีกระลอก!


ร่างถูกส่งบินมิอาจควบคุม จนท้ายที่สุดอักกระแทกเข้ากับเสาหินอย่างแรง พร้อมกระอีกพ่นเลือดคำโต


แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ทั่วทั้งร่างกายจู่ๆเริ่มแข็งตัวคล้ายกลายเป็นรูปปั้นหิน เฉินหย่งหนานที่พบความผิดปกติชนิดนี้ ถึงกับหน้าถอดสีซีดเซียวในทันใด


ตกใจแค่ไหนกลับหาใช่นัยยะสำคัญ ยามนี้เขาเร่งโคจรพลังปราณณเทวะหมุนติ้วเร็วจี๋ หวังเพื่อล้างสถานะเยือกแข็งนี้ให้หมดไป


 


 


“วิญญาณชั่วสองดาว!”


คู่สายตาไสวของเฉินหย่งหนานแปรเปลี่ยนไป เบื้องลึกในแววตานั้นสาดสะท้อนความกลัวออกมาสุดหัวใจ


เพียงการปะทะแลกกระบวนคราเมื่อครู่ เขาก็ทราบทันทีว่าอีกฝ่ายเหนือชั้นกว่ามาก!


 


เห็นได้อย่างชัดแจ้ง เขามิใช่คู่มือของกุ้ยหยุนเลย!


 


หลายปีที่ผ่านมานี้ ความแกร่งกล้าของกุ้ยหยุนพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ภายใต้คำชีแนะของหวูเฉิน


อักขระร้อยภูตเต๋าในสองตัวแรก กุ้ยหยุนเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว  แม้เขายังไม่สามารถเลื่อนระดับชั้นขึ้นไปได้ ทว่าความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นกลับสูงจนยากจะพรรณนาในหนึ่งลมหายใจ


 


เฉินหย่งหนานกลับไม่มีค่าพอที่จะเอ่ยถึงต่อหน้าเขาเลย


 


“นายท่าน ต้องการให้ฆ่าพวกนี้เลยหรือไม่?”


กุ้ยหยุนโค้งคำนับให้เย่หยวนด้วยความเคารพ และเอ่ยถามรอรับสั่งตามประสงค์


 


ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวทำเอาทุกคนสั่นสะท้านสุดขั้วหัวใจ


พวกเขาไม่สงสัยแม้แต่น้อย กุ้ยหยุนแค่คนเดียวก็สามารถถล่มพวกเขาจนราบคราบได้แล้ว


ทั้งหมดในที่แห่งนี้กลับเป็นเพียงฝูงมดที่วิ่งเล่นไปมาเท่านั้น


ไม่สิ…ในสายตาของเย่หยวน มองเห็นพวกเขาเป็นตัวตลกที่กระโดดไปมาตั้งแต่ต้นแล้ว!


 


ที่เย่หยวนมั่นอกมั่นใจได้ขนาดนี้ กลับมีที่มาที่ไปจริงๆ แต่ถึงอย่างไรกลับไม่คิดว่าจะเป็นถึงวิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลาง!


 


สายตาของเย่หยวนกวาดมองสาดส่องไปทั่ว ก่อนจะหยุดลงจับจ้องเฉินหย่งหนาน เขากล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางๆว่า


“ท่านเจ้าเมือง งานเลี้ยงในวันนี้อาหารช่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก! ไว้มีโอกาส ค่อยเชื้อเชิญข้ามาใหม่ อ้อ…ข้ากำลังจะไปแล้ว ท่านยังมีอะไรจะกล่าวกับข้าอีกหรือไม่?”



ตอนที่1351 ความเด็ดขาดคือสัญลักษณ์แห่งบุรุษเพศ!


 


เปรี้ยงง!


สุดพิโรธจุกอกจนล้นปรี่ เฉินหย่งหนานทุกฝ่ามือฟาดโต๊ะตรงหน้าจะแหลกเป็นฝุ่นผงในพริบตา


ความอัปยศนี้ที่เย่หยวนมอบให้ นับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในชั่วชีวิตของเขา


“ท่านพี่เฉิน  ไอ้บัดซบเย่หยวนมันจะมากเกินไปแล้ว! ทั้งๆที่เบื้องหน้าเป็นถึงเจ้าเมือง แต่กลับไว้ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย!”


หวังซูโมโหจนแทบพ่นไฟออกจากปากไม่ต่างอยู่เคียงข้าง


 


กล่าวกันตามตรง หวังซูเองก็รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่แผ่สะพัดออกจากเย่หยวน


สายตาที่เย่หยวนกวาดมองและจับจ้องสรรพสิ่ง สิ่งนั้นกลับไม่สามารถเข้าใจได้เลย


ราวกับว่าเย่หยวนมองผ่านอ่านทะลุทุกสิ่งได้


ทว่าในตอยสุดท้าย เย่หยวนก็ยังไม่ลงมือปิดฉากตระกูลหวัง หรือเป็นไปได้ไหมว่า เขาเองก็ยังมีความเกริ่นเกรงตระกูลหวังอยู่บ้าง?


ตระกูลหวังเป็นตระกูลใหญ่มิเป็นสองรองใคร เสาะหาทั่วเมืองหมิงหยาง ตระกูลที่สามารถทัดเทียมได้กลับมีน้อยดุจเมฆชั้นบาง


ยิ่งไปกว่านั้น พี่ชายของหวังซูเองก็เป็นถึงรองเจ้าเมืองหมิงหยาง!


ยามนึกถึงในจุดนี้ หวังซูรู้สึกภาคภูมิใจเป็นที่สุด


สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ถึงแม้ไอ้เด็กเหลือขอนั้นจะทำตัวดั่งทองไม่รู้ร้อนหาได้เกรงกลัวอันใด ทว่าลึกๆแล้วมันเองก็ค่อนข้างกังวลเช่นกัน


 


“หึ! หากแค้นนี้มิได้ชำระ ข้า,เฉินหย่งหนานกลับชั้นต่ำกว่ามนุษย์แล้ว!”


เฉินหย่งหนานกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดโกรธเกลียด


 


หวังซูคล้ายต้องการกล่าวอะไรสักอย่าง แต่ท้ายที่สุดก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับไป


 


เฉินหย่งหนานที่เห็นท่าทางอีกฝ่ายก็เข้าใจได้ในทันที และหันไปกล่าวกับพวกตระกูลหลู่และหลินว่า


“เรื่องในวันนี้ ข้าหวังว่าจะมีแค่พวกเราไม่กี่คนที่ตระหนักทราบ อย่าให้รู้ว่ามันกระจายถึงหูคนอื่น!”


 


สองตระกูลหลู่และหลินเร่งพยักหน้าตอบโดยไวและกล่าวว่า


“ท่านเจ้าเมืองโปรดมั่นใจ ต่อให้ท่านไม่กล่าวตักเตือน พวกเราเองก็ไม่กล้าปริปากเช่นกัน!”


 


เฉินหย่งหนานโบกมือปัดอย่างไม่สบอารมณ์นัก เห็นดังนั้นพวกตระกูลหลู่และหลินเร่งจากลาออกไป


พวกเขาล้วนทราบดี เฉินหย่งหนานกับหวังซูในหลังจากนี้ จักต้องวางแผนร้ายเพื่อจัดการกับเย่หยวนแน่นอน


หากไม่ตามน้ำดันกล่าวคัดค้านออกไป เกรงว่าท้ายที่สุดกลับเป็นพวกเขาเองที่ขาดทุนครั้งใหญ่


เดิมทีสองอดีตประมุขของตระกูลหลู่และหลินหวังเตรียมตัวเก็บเกี่ยวผลกำไรจากงานเลี้ยงคราวนี้เต็มที่ ทว่าใครจะไปคิด นี่กลับเป็นงานเลี้ยงอำลาสหายเก่าแก่เสียแทน


 


หลังจากที่คนอื่นๆออกไป หวังซูก็เอ่ยขึ้นว่า


“ท่านพี่เฉิน ไอ้เด็กเหลือขอนั้นมีวิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลางคอยปกป้องอยู่ หากจะฆ่าเขาในเมืองกุยฉางกลับไม่ง่ายอีกต่อไป!”


 


แม้ว่าเฉินหย่งหยานจะไม่ชอบใจอย่างยิ่งที่ได้ฟังแบบนี้ แต่นี่ก็เป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้


 


“น้องซู หรือเจ้ามีปแผนรับมือแล้ว? เช่นไร หากไอ้เด็กบัดซบนั้นไม่ตาย เฉินคนนี้ก็ไม่สามารถฝึกปรือได้อย่างสงบสุขเช่นกัน!”


เฉินหย่งหนานกัดฟันกรอด กล่าวขึ้นด้วยความเกลียดชัง


 


มุมปากของหวังซูกระตุกขึ้นโดยพลัน เผยให้เห็นรถึงรอยยิ้มแปลกๆเร้นซ่อนความน่ากลัวอยู่หลายส่วน และกล่าวว่า


“ไอ้เด็กเหลือขอตัวนี้ก่อเรื่องไม่น้อยในงานเลี้ยง เช่นนั้นนับเป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับการตายของหวังหลินโปและหวังอวีเซียง โยนความผิดทั้งหมดที่เราก่อขึ้นให้มัน! แต่…”


กล่าวมาถึงจัดนี้ หวังซูเปลี่ยนเป็นกระซิบข้างหูเฉินหย่งหนานแทน พลันได้ฟังดังนั้นเฉินหย่งหนานพลันแสยะยิ้มฉีกเย็นออกมาทันที


 


“ฮ่าฮ่า! น้องซูช่างฉลาดหลักแหลมดีเยี่ยม! เพียงว่า…วิธีนี้จะไม่โหดร้ายเกินไปใช่ไหม?”


เฉินหย่งหนานเอ่ยถาม


 


“คิดเล็กคิดน้อยกลับไม่สมกับเป็นบุรุษ ความเด็ดขาดคือสัญลักษณ์แห่งบุรุษเพศ! ตราบใดที่ฆ่าไอเด็กเหลือขอนั้นได้ เรื่องอื่นยังต้องใส่ใจ?”


หวังซูกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส


 


 


…………………………


 


ณ ปัจจุบัน ขุมกำลังของตระกูลหวังลดลงไปกว่าครึ่ง ตระกูลเหลียงเองย่อมสูญเสียความรุ่งโรจน์ดั่งกาลอดีตเป็นธรรมดา


ไม่กี่วันมานี้ หวังเพียนหลานได้พาลูกสาวของตนกลับไปยังตำหนักตระกูลเหลียง สองแม่ลูกเต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่านไม่เว้นวัน


แต่จู่ๆนางก็ได้รับสาสน์จากผู้ใต้บัญชาของตระกูลหวัง เนื้อความระบุว่า หวังซูเชื้อเชิญให้นางไปเที่ยวเล่นตระกูลหวังสักรอบหนึ่ง


 


หวังเพียนหลานเองก็เดินทางเข้ามาจนมาถึงโถงใหญ่ของตระกูลหวังโดยมิได้รู้เรื่องรู้ราวอันใดมาก่อนเลย แต่ยามนี้ก็ค้นพบว่า ทั่วทั้งห้องโถงกลับเต็มไปด้วยผู้คนในชุดอาภรณ์สีขาวเกลื่อนสายตา


เบื้องหน้าของหวังเพียนหลาน นางเห็นเป็นผ้าห่อศพวางไว้อยู่ตรงใจกลาง


ทว่าบุคคลภายใต้ผ้าขาวนี้ นางกลับไม่ทราบเลยว่าเป็นใคร


 


หวังซูนั่งอยู่บนบัลลังก์อันทรงเกียรติ เขาช้อนสายตามองหวังเพียนหลานด้วยสีหน้าสุดเคร่งขรึม


ซึ่งนางเองก็มิได้โง่จนเกินไป เห็นภาพฉากแบบนี้หัวใจของนางสั่นระรัวหนัก สังหรณ์ไม่ดีพลันผุดขึ้นในทันที


 


“คุณชายซู นี่…นี่เกิดอะไรขึ้น?”


หวังเพียนหลานไม่รีรอที่จะเอ่ยถาม


 


ได้ฟังดังนั้นหวังซูค่อยๆลุกขึ้นยืนตรงพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางสุดโศกเศร้าว่า


“แม่นางเพียนหลาน…ซูคนนี้มีบางอย่างจะบอกกับท่าน”


 


ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็โค้งคำนับอย่างสุดซึ้งให้แก่หวังเพียนหลานและกล่าวว่า


“หวังซูคนนี้ช่างไร้ความสามารถ! และมิอาจปกป้องประมุขและผู้อาวุโสอวีเซียงได้!”


ในขณะที่กล่าวขึ้น เขาก็ดึงผ้าห่อศพออกมา ปรากฏเป็นศพของหวังอวีเซียงที่ถูกแช่แข็งต่อหน้าต่อตาทุกคน


 


“ท่านพ่อ!!”


เสียงกรีดร้องโหยหวนของหวังเพียนหลานดังระงมลั่นไม่หยุดหย่อน เสียงคร่ำครวญสุดเวทนากึกก้องทั่วทั้งตระกูลหวังดั่งคนเสียสติ


 


“ท่านพ่อ!! ไฉนเป็นเช่นนี้กัน!! ใคร…ใครมันกล้าทำขนาดนี้! คุณชายซูโปรดบอกเพียนหลานคนนี้ด้วยเถิดว่าเป็นฝีมือใคร!!?”


หวังเพียนหลานวิ่งเข้าไปกอดศพของหวังอวีเซียง พร้อร้องห่มร้องได้ประดุขคนบ้า นางระบายความรู้สึกที่แท้จริงออกมาจนล้นปรี่


ตลอดที่ผ่านมา ท่านพ่อและท่านพี่ต่างตามใจหวังเพียนหลานมาโดยตลอด


ยามนี้ไม่มีคนคอยคุ้มกะลาหัวให้แล้ว เช่นนั้นนางจะไม่เสียใจได้อย่างไร?


 


เมื่อสมาชิดคนอื่นๆของตระกูลหวังเห็นว่าเสาหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหวังตายลง สีหน้าท่าทางของทุกคนต่างเลวร้ายอย่างมากเช่นกัน


 


“คุณชายซู ท่านพ่อก็ยังสบายดีอยู่เลยมิใช่รึก่อนเข้าร่วมงานเลี้ยง แต่ไฉนจู่ๆถึงจากไปทั้งแบบนี้กัน? แล้ว…แล้วพี่ใหญ่ข้าอยู่ไหน?”


หลังจากกรีดร้องระทมขมขื่นอยู่นาน หวังเพียนหลานก็ดึงหวังซูเข้าประชดตัว และเอ่ยถามถึงพี่ชายของนางทันที


 


หวังซูรู้สึกขยะแขยงเป็นที่สุกกับสุกรอ้วนตัวนี้ แต่ก็มิอาจแสดงท่าทีรังเกียจออกไปได้ ปั้นสีหน้าเศร้าสร้อยกล่าวขึ้นว่า


“ท่านพี่เขา…ถูกระเบิดตายในอึดใจ ไม่เหลือแม้แต่ศพไว้ทำพิธี!”


 


ทั่วทั้งร่างของหวังเพียนหลานสั่นสะท้านแทบเป็นลมกลางคัน


“คุณชายซูโปรดบอกมา! ใครกันที่ทำเช่นนี้! ข้า…ข้าจะไปฆ่ามัน!”


ในเวลานี้ความโศกเศร้าผันแปรเปลี่ยนเป็นความอาฆาต หวังเพียนหลานกัดฟันกล่าวขึ้นด้วยความเกลียดชัง


 


หวังซูดูคล้ายกลืนไม่เข้าคล้ายไม่ออก แต่สุดท้ายจำต้องเอ่ยปากบอก


“มัน…ทั้งหมดเป็นฝีมือของหอมหาสมบัติ!”


 


ดวงตาบีบแน่นเส้นเลือดสีแสงสดพลันปูดโปน หวังเพียนหลานกำหมัดทุบพื้นอย่างบ้าคลั่ง เค้นเสียงกล่าวสะกดทีละคำขึ้นว่า


“หอ…มหาสมบัติ! เย่หยวน!! พวกแกล้างคอรอข้าได้เลย! ข้าจะทำให้พวกแกทรมานจนต้องร้องขอความตาย!!”


 


เห็นว่าหวังเพียนหลานพิโรธถึงขีดสุด ยามนี้พลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นบางๆบนมุมปากของหวังซู


 


 


 


………………………


 


 


 


“เย่หยวน เจ้ากำลังสร้างศัตรูกับทุกฝ่ายในเมืองกุยฉาง!”


หยางรุยถอนหายใจเสียงยาวพร้อมกล่าวขึ้น


 


 


เย่หยวนเหลียวมองหยางรุยแวบหนึ่งและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า


“ทำไมล่ะ? ไฉนท่านประมุขหอถึงตำหนิข้าแบบนั้น?”


 


หยางรุยนวดขมับหนุบๆ พบางหัวเราะประชดกล่าวตอบว่า


“เหอะ เหอะ เจ้าเด็กคนนี้ จะมาไม้ไหนอีกล่ะ? เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป ข้า,หยางรุยไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดอยู่แล้ว นอกจากนี้จะมีสักกี่คนที่ยั่วยุข้าจริงๆ? ส่งเรื่องที่เจ้าวางแผนตัดกำลังศัตรูในครั้งนี้…นับว่ายอดเยี่ยมอย่างมาก! เพียงแต่ว่า…คนที่เจ้าไปยุ่งด่วยกลับเป็นเฉินหย่งหนานกับหวังซู ตัวข้ากลับหาได้เกรงกลัวพวกมันไม่ แต่ข้ากังวลในเรื่องความปลอดภัยของเจ้ามากกว่า!”


 


ทว่าเย่หยวนกล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจนักว่า


“เหอะ ก็ดีแล้วที่เป็นแบบนั้น มันมายั่วยุข้าก่อน ครั้งต่อไปไม่จบลงด้วยดีอย่างในวันนี้แน่!”


ทันใดนั้นจิตสังหารอันน่าสะพรึงของเย่หยวนพลันปลดปล่อยออกมาโดยมิตั้งใจ สิ่งนี้ทำให้หยางรุยตื่นตกใจอย่างลับๆ


เขาเข้าใจมาตลอดว่า เย่หยวนเป็นเพียงนักหลอมโอสถคนหนึ่งเท่านั้น หาได้เป็นอันตรายต่อสิ่งใดอื่น ทว่ากลับคาดไม่ถึง เย่หยวนในอีกแง่มุมช่างเด็ดขาดในเรื่องฆ่าฟันยิ่งกว่าใคร!


 


“นอกจากนี้…อีกไม่นานข้าก็ไม่อยู่ในเมืองกุยฉางแล้ว หากพวกมันมีปัญญา ก็ตามจับข้าให้เจอล่ะกัน! ยามใดที่เจอข้า ยามนั้นคือวันตายของพวกมัน!”


เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม


 


 


หยางรุยตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าพลันผลัดเปลี่ยนในทันทีขณะเอ่ยขึ้นว่า


“เจ้า…เจ้าจะไปแล้วรึ?”


 


เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า


“เมืองกุยฉางแห่งนี้เล็กเกินไปสำหรับข้า หากข้าต้องการแข็งแกร่งกว่านี้ จำต้องออกเดินทางไปข้างหน้า! หุหุ ท่านพี่หยางสบายใจหายห่วงได้ ข้าเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ทางเบื้องบนของหอมหาสมบัติไม่มีทางนิ่งเฉยต่อหอมหาสมบัติสาขานี้ได้อีกแล้ว เรื่องโอสถบ่มเพาะพลังไม่ต้องกังวลว่าจะขาดตอน หลังจากนี้มีคนมาสนับสนุนต่อแน่นอน!”


 


หยางรุยตกใจเป็นคำรบสองเมื่อได้ฟังและกล่าวว่า


“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ทางเบื้องบนจะส่งจอมเทพโอสถระดับสูงมาที่นี่? นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?”


 


เย่หยวนเค้นเสียงหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า


“ท่านคิดว่า โอสถบ่มเพาะพลังเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถหลอมกลั่นได้งั้นรึ? หากการสันนิษฐานของข้าถูกต้อง ทางเบื้องบนควรต้องส่งจอมเทพโอสถสามดาวมาเป็นอย่างน้อย!”


 


หยางรุยพรูหายใจเย็นด้วยความตื่นกลัว นี่ช่างน่าทึ่งเกินไป!


ตลอดที่ผ่านมา เขามีหน้าที่ในการจัดจำหน่ายโอสถบ่มเพาะปราณเพียงอย่างเดียว จึงมิได้ตระหนักถึงความยากในการหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้เลย


แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวของเย่หยวน นี่มันไม่เกินจริงไปหน่อยรึ?


หรือเป็นไปได้ไหมว่า แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลาง ถึงกับต้องใช้จอมเทพโอสถสามดาวในการหลอมกลั่นเชียวรึ?


 

ตอนที่1352 สถานศึกษาหวูเมิ่ง


 


“เย่หยวน หากเจ้าต้องการที่จะแข็งแกร่งกว่านี้ ไฉนถึงไม่เข้าร่วมกับพวกเราหอมหาสมบัติอย่างเป็นทางการเสียล่ะ! เจ้าเองก็ทราบเช่นกัน หอมหาสมบัติเป็นของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติ ตราบใดที่เจ้าเข้าร่วมกับฝ่ายหอมหาสมบัติ เส้นทางในอนาคตของเจ้าล้วนไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางใด! เรื่องทรัพยากรการบ่มเพาะพลังกลับมิใช่ปัญหาเลย!”


หยางรุยกล่าวเสนอแนะ


 


“ขอบพระคุณยิ่งสำหรับความหวังดีของพี่หยาง แต่…เย่คนนี้มีแผนการในหัวอยู่แล้ว”


เย่หยวนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม


เมื่อได้ฟังคำตอบของเย่หยวนแบบนั้น หนางรุยก็อดผิดหวังมิได้


ด้วยความสามารถใจศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวน สิ่งนี้จะผลักดันให้เขาทะยานสู่ตำแหน่งที่สำคัญในอนาคตได้อย่างไม่ยากเลย


นี่นับเป็นอนาคตที่สดใสนักสำหรับตัวเย่หยวนเอง


อย่างไรเสีย เขากลับมีแผนของตัวเองแล้ว


สิ่งที่จำเป็นสำหรับเย่หยวนก็คือ กองสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จำนวนมหาศาล ที่เขายังได้รับไม่ขาดมือแบบนี้ เพราะต้องยอมรับเลยว่า หยางรุยเป็นคนใจกว้างหาไม่ตระหนี่แม้แต่น้อย


แม้กระทั่งดินแดนพฤกษานิรันดร์ในยุคที่ศาสตร์แห่งสวรรค์ยังรุ่งโรจน์ สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง กลับมิสามารถกล่าวได้ว่า เสาะหาได้ง่ายดาย จำนวนของพวกมันมีน้อยเป็นอย่างยิ่ง


 


ซึ่งโอสถศักดิ์สิทธิ์แต่ละชนิดที่เย่หยวนจะหลอมกลั่นต่อไปในอนาคต ค่าทรัพยากรเหล่านี้มันหนักเกินที่หอมหาสมบัติจะจ่ายไหว ต่อให้เป็นบุคคชั้นสูงของหอหมาสมบัติออกหน้าช่วยเหลือ แต่นี่ก็มิอาจตอบสนองความต้องการได้เพียงพอ


 


เย่หยวนไม่เชื่อว่า หอมหาสมบัติจะเป็นกลุ่มอิทธิที่อยู่ยงคงกระพันดั่งเสาศิลาค้ำสมุทรแบบนั้น


และที่สำคัญเลย หากมีคนอย่างเฟิงปิงที่คิดริษยาเขาอีกในอนาคต กลับเป็นหอมหาสมบัติแทนที่เป็นตัวภาระสำหรับเขา


ต่อไปในภายภาคหน้า เย่หยวนมั่นใจอย่างมากว่าเขาจำต้องพบเจอคนแบบเฟิงปิงแน่นอน


 


ทันใดนั้นเอง จู่ๆดวงตาแพรวประกายจ้าสว่างขึ้น หยางรุยนึกอะไรบางอย่างได้ทันควันเร่งกล่าวว่า


“หากเจ้าไม่เต็มใจเข้าร่วมกับหอมหาสมบัติ ไฉนถึงไม่ไปที่สถานศึกษาหวูเมิ่งดูล่ะ?”


 


“สถานศึกษาหวูเมิ่ง?”


เย่หยวนเอ่ยทวนด้วยความประหลาดใจ


 


 


“ถูกต้อง! สถานศึกษาหวูเมิ่งเป็นสถานศึกษาที่ถูกยอมรับเป็นวงกว้างในเมืองหลวงหวูเมิ่ง ทั้งเฉินหย่งหนานและหวังซ่งพี่ชายของหวังซูเองก็จบมาจากสถานศึกษาหวูเมิ่งมาเช่นกัน นี่คือสถานที่ที่รวบรวมเหล่าอัจฉริยะในเมืองหลวงหวูเมิ่งมากกว่าครึ่ง! ฟังว่ามีวรยุทธบ่มเพาะพลังที่ทำให้ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดได้อีกด้วย!”


หยางรุยกล่าว


 


เมื่อได้ฟังคำกล่าวของหยางรุย เย่หยวนก็เข้าใจได้ทันทีโดยไว


สถานศึกษาหวูเมิ่ง คล้ายกับสถานที่ผลิตบุคลากรของเมืองหลวงหวูเมิ่ง และนำเหล่าผู้คนที่จบการศึกษากระจายออกไปเพื่อบริหารบ้านเมืองภายใต้เขตเมืองย่อยของเมืองหลวงหวูเมิ่งอีกทีหนึ่ง


ด้วยวิธีนี้เมืองหลวงหวูเมิ่งจะสามารถควบคุมเขตเมืองยิบย่อยต่างๆได้โดยสมบูรณ์


ดังนั้นแล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นคนของสถานศึกษาหวูเมิ่ง ไม่ว่าเย่หยวนจะเดินทางไปไหนย่อมมีสถานะนี้คุ้มภัยอย่างหมดห่วง


ส่วนวรยุทธบ่มเพาะอะไรนั้น เย่หยวนกลับไม่มีความสนใจแม้สักนิด


เขาตั้งมั่นตัดสินใจไว้แล้วว่าจะเดินตามเส้นทางของตัวเอง วรยุทธบ่มเพาะพลังอื่นๆนอกเหนือจากของเขาย่อมด้อยค่าอย่างสิ้นเชิง


แต่คำกล่าวที่ว่า เป็นสถานที่ที่รวบรวมเหล่าอัจฉริยะกว่าครึ่ง สิ่งนี้ได้กระตุ้นความสนใจของเย่หยวนเป็นอย่างมาก


การสร้างความกดดันรอบด้านจะนำไปสู่ศักยภาพที่สูงขึ้น


 


“โอ้? แล้วข้าจะเข้าศึกษาในสถานศึกษาหวูเมิ่งได้อย่างไร?”


เย่หยวนเอ่ยปากถาม


 


หยางรุยกล่าวตอบว่า


“สถานศึกษาหวูเมิ่งจะรับสมัครผู้เข้าศึกษาใหม่ทุกๆหนึ่งร้อยปี ขอเพียงผู้ต้องการเข้าศึกษาเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขึ้นไป และมีอายุไม่เกินสองร้อยปี ย่อมมีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบเข้า หากผ่านการทดสอบจะได้กลายเป็นศิษย์นอกของสถานศึกษาหวูเมิ่ง สามปีต่อจากนั้น สถานศึกษาหวูเมิ่งจะมีการคัดเลือกศิษย์นอกกันอีกทีหนึ่ง”


 


เย่หยวนร้องอุทานเล็กน้อยก่อนกล่าวขึ้นพร้อมความประลหาดใจว่า


“เขตเมืองภายใต้การปกครองของเมืองหลวงหวูเมิ่งมีไม่ต่ำกว่าพันแห่ง จำนวนผู้สมัครจะมีมหาศาลเท่าใดกัน?”


เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าพบได้ทุกซอกทุกมุมในมหาพิภพถงเทียน


แม้จะเป็นเขตเมืองเล็กๆห่างไกลความเจริญ แต่อย่างน้อยน่าจะมีเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าไม่ต่ำกว่าหลักหมื่น!


ในความเป็นจริง แม้แต่ในเมืองกุยฉางแห่งนี้ เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าที่อายุต่ำกว่าสองร้อยปี เท่าที่คำนวณคร่าวๆเห็นเป็นประมาณร้อยกว่าคนเช่นกัน


แล้วนับประสาอะไรกับเขตเมืองใหญ่แห่งอื่นๆเหล่านั้น


 


หยางรุยคลี่ยิ้มขึ้นและกล่าวว่า


“ทุกครั้งที่สถานศึกษาหวูเมิ่งเปิดรับสมัคร ล้วนมีผู้เข้าสมัครไม่ต่ำกว่าห้าแสนคน! อย่างไรก็ตาม…ผู้ที่สามารถผ่านการทดสอบรอบแรกไปได้กลับมีเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น! หลังจากการทดสอบในรอบที่สองและสาม เหลือประมาณหลักร้อยคน แถมเกือบทั้งหมดล้วนเป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย มีส่วนน้อย…ที่เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด!”


 


 


เย่หยวนพยักหน้าและเอ่ยคิดอย่างประหลาดใจว่า


“มันยากขนาดนั้นเชียว?”


 


หยางรุยพยักหน้าตอบ


“ดังนั้น สถานที่แห่งนี้คือที่รวบรวมเหล่าอัจฉริยะยังไงล่ะ! ครั้งล่าสุดที่เปิดรับ มีคนผ่านแค่สามสิบคนเท่านั้น!”


 


เย่หยวนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ยิ่งประหลาดใจขึ้นเป็นทวี พลางสัมผัสถึงแรงกดดันได้อย่างชัดเจน


 


ทุกคนที่ลงสมัครล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน!


 


แต่อย่างที่หยางรุยกล่าวไปนั้นถูกต้องแล้ว เขาควรต้องเข้าศึกษาที่สถานศึกษาหวูเมิ่งจริงๆ


 


หากไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับเหล่าอัจฉริยะ ก็ไม่มีทางรู้ว่าจุดด้อยของตนอยู่ตรงไหน


พรสวรรค์ที่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายได้ภายในระยะเวลาสองร้อยปี กล่าวได้ว่า ทุกคนล้วนพิสูจน์ตัวเองแล้ว ต่อความศักยภาพอันเหลือล้นที่มี


เย่หยวนเคยบดขยี้ทุกคนบนดินแดนพฤกษานิรันดร์ได้ แต่บนมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ เขากลับไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่นัก


อายุกระดูกเย่หยวนเพียงร้อยปีต้นๆเท่านั้น ที่ได้เปรียบคนในช่วงวัยเดียวกัน เป็นเพราะเขาโกงเวลาฝึกปรืออยู่ในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพไปดว่าหลายร้อยปี


เพียงแง่มุมนี้แง่มุมเดียว เย่หยวนก็แพ้ให้กับเหล่าหัวกระทิของเมืองหลวงหวูเมิ่งไปแล้ว


ยิ่งไปกว่านั้น เมืองหลวงหวูเมิ่งยังเป็นแค่เมืองหลวงเล็กๆในมหาพิภพถงเทียนทั้งหมด!


 


ทั่วทั้งมหาพิภพถงเทียน มีเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าเมือหลวงหวูเมิ่งไม่รู้ตั้งกี่แห่ง


ในหมู่พวกเขาเหล่านั้น ย่อมมีพยัคฆ์ซ่อนมังกรขดอยู่มากมายนับไม่ถ้วน!


 


“ได้ฟังคำแนะนำของพี่หยาง เย่คนนี้จะตั้งตารอวันลงสมัครของสถานศึกษาหวูเมิ่งให้ดี!”


แววตาส่องสะท้อนออกากนัยน์ตาเย่หยวน เผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและสนใจอย่างมาก


 


แต่หยางรุยพลันคลี่ยิ้มบางและกล่าวว่า


“น้องเล็กเย่ ข้ามีเรื่องจะขอเจ้าหน่อย เพียงว่าสะดวกรับฟังหรือไม่?”


 


“ไฉนพูดจาห่างเหินเพียงใด โปรดอย่าลังเลที่จะกล่าว!”


เย่หยวนเอ่ยตอบ


 


 


“ถ้าหาก…ถ้าหากเจ้าไม่ผ่านการทดสอบของสถานศึกษาหวูเมิ่ง เจ้า…สนใจเข้าร่วมกับหอมหาสมบัติหรือไม่?”


หยางรุยยกนิ้วถูจมูกเล็กน้อยอย่างเก้อเขิน ขณะเอ่ยถามขึ้นเสียงเบาไม่มั่นใจ


 


ทันทีที่ได้ยินดังนั้น เย่หยวนพลันหัวเราะพรวดอย่างอดไม่อยู่พร้อมกล่าวว่า


“ฮ่าฮ่าฮ่า… ปรากฏว่าพี่หยางกำลังรอสิ่งนี้อยู่นี่เอง! แน่นอน! ไม่มีปัญหา!”


 


จากนั้นทั้งสองพลางสบตากันเล็กน้อย และระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น


มิใช่ว่าหยางรุยมองว่าเย่หยวนไร้ความสามารถ แต่บททดสอบของสถานศึกษาหวูเมิ่งกลับยากหินอย่างยิ่ง


 


ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนาต่อไปเรื่อย แต่จู่ๆเสียงดังเจี๋ยวจ๋าวพลันดังขึ้นจากด้านนอกหอมหาสมบัติ ดูเหมือนว่าจะเกิดจราจลบางอย่างขึ้น


 


เมื่อทั้งสองรีบเร่งออกไปดู ปรากฏว่าเป็นหวังเพียนหลานตัวอ้วน กำลังตะโกนด่าทอหอมหาสมบัติอย่างเสียๆหายๆกลางท้องถนนอีกครั้งดั่งก่อนหน้าไม่มีผิด!


 


แต่ความนี้ นางได้นำสมาชิกตระกูลหวังทั้งหมดพร้อมสวมชุดไว้ทุกข์ออกมาเป็นขบวน


ศพของหวังอวีเซียงถูกแขวนประจานบนประตูด้านหน้าหอมหาสมบัติตระหง่านชัด


 


รอบข้างทั่วบริเวณ เสียงฝูงชนกำลังซุบซิบดังเป็นระลอกไม่หยุดหย่อน


 


“หอมหาสมบัติทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ถึงขั้นที่ว่าบดขยี้ตระกูลหวังจนกลายสภาพมาเป็นเช่นนี้ ฆ่าทั้งสามผู้อาวุโสใหญ่ รวมทั้งหวังอวีเซียงกับบุตรชายของเขาอีก!”


 


“นั้นสิ ไม่คิดมาก่อนเลยว่า หอมหาสมบัติจะมีใจคอโหดเหี้ยมถึงปานนี้!”


 


“ไฉนตำหนักเจ้าเมืองถึงไม่ออกโรงมาจัดการปัญหาเรื้อรังนี้เสียที! ข้าไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า จะมีวันที่ตระกูลหวังตกต่ำถึงจุดนี้จริงๆ!”


 


 


………………..


 


 


หวังเพียนหลาน อสรพิษที่มีดีแค่ฝีปากสุดคมคาย สุกรอ้วนนางนี้หน้าด้านน่ารังเกียจเป็นที่สุด ยามนี้แผนเดียวที่นางคิดได้คือ พ่นน้ำลายสกปรกสาดใส่หวังให้ภาพลักษณ์ของหอมหาสมบัติเปรอะเปื้อน


 


เมื่อหยางรุยเห็นดังนั้นก็โกรธจัดจนตาพร่ามัวไปหมด


“พวกบัดซบตระกูลหวัง สันดานกลับเหมือนกันหมดจริงๆ! เปลี่ยนสีจากดำเป็นขาว สร้างภาพเก่งกันนัก! ข้าจะไปไล่พวกมันออกไปเอง!”


หยางรุยโพล่งคำรามอย่างเดือดดาล


ขณะที่เขากำลังขยับตัว ทว่ากลับถูกเย่หยวนหยุดไว้เสียก่อน


 


“พี่หยางสงบสติลงก่อน หวังเพียนหลานเป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น! ยิ่งไล่เท่าไหร่ กลับยิ่งทำให้ฝูงชนเข้าใจผิดมากขึ้นเท่านั้น! หากพวกมันต้องการแหกปากด่า ก็ให้พวกมันด่าจนสมใจ!”


เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม


 


สีหน้าการแสดงออกของหยางรุยเปลี่ยนไปและกล่าวว่า


“แต่หากปล่อยไปแบบนี้ พวกเราหอมหาสมบัติจะดำเนิธุกิจต่อไปได้อย่างไร?”


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“พี่หยางสบายใจได้ เย่คนนี้คำนวณทุกอย่างไว้เบ็ดเสร็จแล้ว นี่น่าจะได้เวลาพอดี”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)