Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1333-1336
ตอนที่1333 ที่จริงเรารั้งรอเองต่างหาก!
การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของเย่หยวน ทำให้ทั้งคู่ประหลาดใจมาก
แต่หาได้รีรอมากพิธีอันใด ร่างไสวทั้งสองแปรสภาพเป็นประกายแสงสายหนึ่ง ตรงเข้าจู่โจมเย่หยวนโดยมิให้ตั้งตัว
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางอ่อน คู่เท้ายังคงแน่นิ่งไม่ไหวติง ปล่อยให้อีกฝ่ายวิ่งเล่นตามสะดวก
“ไม่ต้องตื่นเต้นกันขนาดนั้นก็ได้ ผ่อนคลายเสียบ้าง”
เย่หยวนเอ่ยปากอย่างใจเย็น
สีหน้าการแสดงออกของหวังอวีเต๋าแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน มันตะโกนลั่นด้วยความคับแค้นใจว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอ ช่างหาญกล้าประกาศเวลาตาย! แกสังหารสมาชิกชนชั้นสูงของตระกูลหวังไปถึงสิบเอ็ดคน! วันนี้ ขอชำระแค้นเบ็ดเสร็จทั้งต้นทั้งดอก!”
แลเห็นท่าทีสบายอารมณ์ของเย่หยวน เพลิงโทสะภายในใจหวังอวีเต๋ายิ่งโหมปะทุเดือดดาลหนัก
ตอนนี้เขาแทบจะกินเลือดกินเนื้อเย่หยวนทั้งเป็นได้แล้ว
เย่หยวนยักไหล่หาไม่แยแส แสยะยิ้มกว้างพลางกล่าวตอบ
“ไม่ช้าก็เร็ว เย่คนนี้ก็เตรียมลบล้างตระกูลหวังออกจากเมืองกุยฉางอยู่แล้ว ตายก่อนสักคนสองคนในสุสานสายลมหยินนับเป็นเรื่องดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาลำเลียงศพมาฝังทีหลัง เช่นนั้นคงลำบากแย่! หรืออย่างไร…ยังต้องการสู้กับข้าเพื่อล้างแค้นอีก?”
หวังอวีเต๋าตะคอกเสียงแหบเย็น
“เจ้าคงกลัวขึ้นสมองไปแล้วกระมัง? ถึงได้บ้าไปแล้วเช่นนี้! เหอะ หากต้องการตำหนิก็ควรตำหนิตนเองที่ไปยั่วยุตระกูลหวังของเราตั้งแต่แรก! บนมหาพิภพมีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด! หากข้าต้องการให้แกตาย แกก็ต้องตาย!”
ได้ฟังแบบนั้น ทั้งเย่หยวนและพวกฉางเหลียนที่อยู่ด้านหลังต่างระเบิดเสียงหัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อนด้วยความสนุกสนาน
สีหน้าของหวังอวีเต๋ามืดตกลงโดยมิตั้งใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเหล่านั้น
“เสียสติกันไปหมดแล้วจริงๆ! ยามนี้หัวเราะได้ก็หัวเราะไป! หลังจากนี้หวังว่าจะยิ้มกันได้ออก! จงรู้เอาไว้ซะ ชาตากรรมของแกในตอนนี้มันทรมานเสียยิ่งกว่าความตาย!”
หวังอวีเต๋าตะโกนแผดสะท้านก้อง เขาปราดพุ่งจู่โจมเย่หยวนต่อพร้อมกับหวังอวีกั่น
เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดสองคน ผนึกกำลังเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน แรงกดดันที่ก่อเกิดกลับมหาศาลจนน่าตกใจ
ทว่าทันใดนั้นเอง กลับมีแรงกดดันที่น่าสะท้านขวัญเสียยิ่งหว่าปลดปล่อยออกจากร่างเย่หยวน!
สายลมหยินสุดขั้วเย็นสะท้านเสียดแทงร่างทั้งสองทะลวงถึงทรวงใน ไม่ว่าใครที่กล้าแกร่งพอๆกับหวังอวีเต๋ากับหวังอวีกั่นยังต้องแข็งทื่อหยุดชะงักทันควัน
จุดแข็งของสมาชิกที่เหลือของตระหวังอ่อนด้อยกว่าทั้งคู่ ดังนั้นจะทานทนสายลมหยินหอบนี้ไหวได้อย่างไร? ทันทีที่แรกสัมผัส จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาทั้งหมดกลับสลายปลิวไปกับสายลม!
ตึงงง!
ตึงงง!
ร่างของหวังอวีเต๋าและหวังอวีกั่นตกกระแทกพื้นอย่างแรง
ทั้งสองนัยน์ตาเบิกกว้างเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ไฉนถึงมีสายลมหยินสุดขั้วที่น่าสะพรึงขนาดนี้ปลดปล่อยออกจากร่างเย่หยวนได้?
ทั้งคู่รู้สึกราวกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาถูกแช่แข็งชั่วขณะ สายลมนี้ที่กอปรไปด้วยพลังธาตุหยินสุดขั้วกลับทรงพลังเกินไป!
ยามนี้เห็นเย่หยวนย่างสามขุมตรงเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หวังอวีกั่นพลันตื่นตะหนกสุดขีด
มันพยายามดิ้นสุดใจหวังให้หลุดออกจากพันธนาการนี้ ทว่าจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์ แล้วจะสามารถรวบรวมพลังได้อย่างไร?
“ก-แก…แกจะทำอะไร!?”
หวังอวีกั่นกล่าวเสียงสั่นอย่างหวาดกลัว
สายตาเย่หยวนเบนเข้าจับจ้องอย่างเย็นชา พลางกล่าวขึ้นว่า
“ทำอะไรน่ะรึ? หุหุ นายน้อยผู้นี้หาได้ทำอะไรเจ้าเสีย เห็นข้าเป็นคนใจคับแคบตั้งแต่เมื่อใด? มีหรือที่จะฆ่าเจ้า? อย่างไรก็ตาม…หลัวเจียมีเรื่องอยากจะกล่าวกับเจ้าอยู่พอดี”
เมื่อเย่หยวนกล่าวจบ ดั่งมีสายฟ้าฟาดสะบั้นใส่กลางหัวหวังอวีกั่น เนื่องจากหวังอวีกั่นไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ ดังนั้นจึงเป็นเย่หยวนที่ลากขามันไปหาหลัวเจียประดุจลากศพสุนัขข้างทาง
“จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของมันพิการชั่วขณะ ผลของมันยังคงอยู่ได้ประมาณครึ่งชั่วยาม จะทำอะไรกับมันก็รับทำ สมใจแล้วให้ฆ่าทิ้งทันที”
ระหว่างที่กำลังลากขาหวังอวีกั่นอยู่นั้น เย่หยวนหันมากล่าวกับพวกฉางเหลียนทั้งห้า
พวกฉางเหลียนทั้งห้าผสานมือคำนับเย่หยวนด้วยความตื่นเต้น และกล่าวว่า
“รับทราบนายท่าน! ทันทีที่พวกเราห้าพี่น้องระบายความแค้นจนสาแก่ใจ เราจะเชือดทิ้งทันที!”
เย่หยวนพยักหน้ารับคำ พร้อมลากรร่างของหวังอวีกั่นไถ่ไปกับพื้นจากไป
พวกฉางเหลียนทั้งห้าหันควับไปยังหวังอวีเต๋าที่สภาพยามนี้คล้ายสุนัขแก่ใกล้ตาย เหล่าห้าพี่น้องแสยะยิ้มฉีกกว้างด้วยความสุขใจอย่างหาที่เปรียบไม่
“หวังอวีเต๋า รู้สึกอย่างไรบ้างที่ต้องตกกลายเป็นเหยื่อ! แต่อย่างว่า หากข้าต้องการให้แกตาย…แกก็ต้องตาย!”
ฉางเหลียนเลียนแบบคำกล่าวของหวังอวีเต๋าเมื่อครู่อย่างขำขัน
ก่อนหน้านี้ไม่กี่อึดใจ หวังอวีเต๋ายังคงสถานะผู้ล่าไม่ห่างกาย ทว่ายามนี้กลับกลายมาเป็นเหยื่อเสียแล้ว
เฉพาะยามนี้ หวังอวีเต๋าเพิ่งเข้าใจว่า ทุกวาจาที่มันพล่ามไปต่อหน้าเย่หยวนล้วนไร้สาระทั้งสิ้น!
หวังอวีเต๋าไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้โดยสมบูรณ์ แต่สีหน้าการแสดงออกถึงกับบิดเบี้ยวน่าเกลียดสุดขีด
จนถึงตอนนี้ มันก็ยังคิดไม่ออกมาว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?
ไฉนถึงมีสายลมหยินสุดขั้วที่ทรงพลังขนาดนั้น ปลดปล่อยออกจากร่างเย่หยวนได้?
“หวังอวีเต๋า มิใช่ว่าแกอยากจะฆ่าพวกเราพี่น้องนักหนา?”
น้องสองกล่าวเย้ยหยันขึ้นพร้อมรอยยิ้มแสยะเย็น
ซวบบบ!
ทันทีทันใด คมดาบแหลมของน้องสี่ก็ปักทะลวงขั้วหัวใจของหวังอวีเต๋าโดยตรง หาได้ลังเลแม้แต่น้อยไม่
“แกฆ่าพี่สามกับน้องเจ็ดไป คงคิดไม่ถึงสิว่ากรรมจะตามสนองไวขนาดนี้?”
น้องสี่กัดฟันแน่นพร้อมกล่าวขึ้นด้วยความเกลียดชัง
สำหรับเซียนอาณาจักรพระเจ้า ต่อให้ถูกเสียบทะลุจนหัวใจเป็นรู มันก็ยังมิได้อันตรายถึงแก่ชีวิต ทว่าความเจ็บปวดแสนทรมานนั้นถึงกับแล่นเข้าสู่ห้วงสมองโดยตรง นับว่าทรมานเสียยิ่งกว่าความตายมากโข
ซวบบบ!
คมดาบอีกหนึ่งเล่มของน้องห้าสับฝ่ามือของหวังอวีเต๋า เลือดกระชูดพุ่งแรงดั่งน้ำพุ
“มือข้างนี้กระมังที่ใช้ดับชีพพี่สามกับน้องเจ็ด ข้าช่วยเติมแต่งสีสันให้เล็กน้อย หวังว่าแกจะชื่นชอบ? ทั้งหมดต้องขอบพระคุณนายท่านเย่โดยแท้ ที่ทำให้เรามีวันนี้!”
น้องห้าแสยะยิ้มกว้างแลดูสยดสยองขึ้นหลายส่วน
“อ๊ากก! อ๊ากกก!!”
เสียงกรีดร้องสุดเวทนาดังระงมลั่น ภายใต้การถูกทรมานอย่างหนักโดยพวกฉางเหลียนทั้งห้าคน นี่กลับทรมานเสียยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น
พวกฉางเหลียนหาใช่คนอ่อนต่อโลกไร้พิษภัย พวกเขากัดฟันสู้ชีวิตอยู่กลางบรรดานักสู้ระดับล่างตลอดทั้งปีทั้งชาติ หากมิคนใจเด็ดเย็นชา พวกเขาเองก็มิอาจอยู่รอดจวบจนวันนี้เช่นกัน
พวกเขาดีกับแค่พี่น้องด้วยกันเอง แต่ต่อหน้าศัตรู กลับไม่เคยแสดงความเมตตาให้สักครั้ง
การตายของน้องสามกับน้องเจ็ดยิ่งทำให้พวกเขาเกลียดชังหวังอวีเต๋าเข้ากระดูกดำ!
“ฉะ-ฉางเหลียน! พวกเจ้าไม่กลัวตระกูลหวังกลับมาแก้แค้นหรืออย่างไร! ถึงกับกล้าปฏิบัติกับเราชายชราผู้นี้เชียวรึ?!”
หวีงอวีเต๋ากัดฟันทานทนต่อตามเจ็บปวดที่โฉบแล่นผ่าน ก่อนตะโกนขู่เสียงดัง
พวกฉางเหลียนทั้งห้าระเบิดเสียงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินแบบนั้น พลันกล่าวเย้ยขึ้นว่า
“ไอ๊หย่า พวกเรา,ไอ้แก่ตัวนี้กำลังข่มขู่พวกเราอยู่จริงๆ? ข้ารู้สึกกลัวเหลือเกิน! พวกเจ้าล่ะกลัวหรือไม่กลัว?”
“กลัว! ข้ากลัวว่าวันนี้ยังทรมานไอ้แก่นี่ไม่หนำใจ! ต่อหน้าก้มกราบขอความเมมตา ข้านี่แหละจะเตะเสยหน้า!”
น้องหกกล่าวขึ้น
ฉางเหลียนหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ผู้อาวุโสรอง พวกเราห้าพี่น้องผิดไปแล้ว! แต่ปากท่าน…ก็คมกล้าใช่ย่อย! ฟริ้งง!”
ขณะฉางเหลียนระเบิดเสียงหัวร่อดังสนั่น คมดาบพลันตวัดโฉบเฉี่ยว ฟันปากของหวังอวีเต๋าจนเหวอะเละ
ใบหน้าของหวังอวีเต๋าในยามนี้กลายมาเป็นสีเขียวสลับดำ เนื่องด้วยทนรับความเจ็บปวดจนเจียนสิ้นสติแล้ว เขายังพอเอ่ยปากกล่าวได้บ้าง
“กะ-แก…แกอย่าลืม… ตระกูลหวัง…ยังมีพี่ใหญ่ของข้า!”
ฉางเหลียนกลับหาได้แยแสใดๆและกล่าวว่า
“ใช่ตาแก่อวีเซียงหรือไม่? หื้ม? ต่อให้เป็นโคตรบิดามาก็ไม่กลัว! มากันยกตระกูลหวังยังได้!”
จากนั้นพี่น้องทั้งห้าก็สามัคคีชุมนุมรุมทรมานคนละทีสองที ก่อนจับหวังอวีเต๋าลงกรงขัง
ภายใต้การทรมานอันไร้สิ้นสุดของพวกเขาทั้งห้า หวังอวีเต๋าแทบตายทั้งเป็น
สุดท้ายนี้ มันก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลยสักนิด ไฉนพวกคนเหล่านี้ถึงมั่นใจได้ขนาดนั้น กระทั่งที่ว่า พี่ใหญ่ของมันอย่างหวังอวีเซียง ก็หาได้เกรงกลัวใดๆไม่!
พี่ใหญ่ของหวังอวีเต๋าเป็นถึง เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้น!
ภายในเมืองกุยฉาง หวังอวีเซียงถือเป็นการดำรงอยู่ในระดับต้นๆที่แกร่งกล้าหาผู้ใดทัดเทียม แม้แต่หยางรุยเองก็ยังไม่กล้าสอดว่องยั่วยุเช่นกัน!
คนพวกนี้กลับไร้สติปัญญา หาได้รู้จักเกรงกลัว?
ไม่สิ….พวกนี้มิได้สนใจพี่ใหญ่ของมันเลยด้วยซ้ำ!
ชั่วพริบตาพ้นผ่าน ใกล้หมดเวลาครึ่งชั่วยามแล้ว
หวังอวีเต๋าเริ่มรู้สึกได้ว่า จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตนค่อยๆฟื้นตัวขึ้นบ้างเล็กน้อย
เมื่อค้นพบเช่นนี้พลันทำให้มันตื่นเต้นจนอธิบายไม่ถูก เพราะมันยังสังเกตเห็นว่าฉางเหลียนและที่เหลือยังคงเพลิดเพลินไปกับการทรมานมันในกรงขัง จนลืมเรื่องเวลาไปแล้ว
ตราบใดที่มันทนรอได้อีกสักพัก ต่อไปได้ถึงเวลาแก้แค้นเสียที!
หวังอวีเต๋ากำลังอธิษฐานอย่างสุดหัวใจให้ พวกฉางเหลียนลืมเรื่องเวลาไป
“ฟื้นพลังขึ้นบ้างรึยัง? คงรู้สึกถึงความหวังอยู่ใช่หรือไม่? แกคง…กำลังคิดว่าจะแก้แค้นพวกเราอย่างไรให้สาสม? หุหุ แกคิดมากเกินไปแล้ว! ที่จริงพวกเราตั้งใจรั้งรอให้ถึงเวลานี้เองต่างหาก! ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เสียงของฉางเหลียนเปรียบเสมือนปีศาจที่กระชักความหวังสุดท้ายของหวีอวีเต๋า พร้อมบดขยี้จนแหลกเป็นเสี่ยงๆ
ตอนที่1334 ข่าวเศร้าของตระกูลหวัง
ตุบบ!
ร่างสภาพคล้ายสุนัขจรใกล้ตายของหวังอวีกั่นถูกเหวี่ยงอัดพื้นอย่างไม่ใยดี
“หวังอวีกั่น! เย่หยวน…นี่เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อหลัวเจียเห็นหวีงอวีกั่นสภาพเจียนตาย ร่องรอยตื่นตกใจพลันปรากฏทั่วใบหน้าของเขา
ด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวน จะสามารถเปลี่ยนให้หวังอวีกั่นมีสภาพน่าสังเวทขนาดนี้ได้อย่างไร?
แต่ความเป็นจริงกลับประจักษ์ชัดต่อหน้าต่อตา มันไม่ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเชื่อหรือไม่แล้ว
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางเอ่ยตอบ
“ท่านอย่าได้กังวลเรื่องเหล่านั้น ข้าพาตาแก่นี่มาให้ท่าน ส่วนที่ว่าจะฆ่าหรือหั่นอวัยะแยกชิ้นอย่างไร สุดแท้แล้วแต่ท่านเลย”
หลัวเจียได้แต่จับจ้องไปยังเย่หยวนอย่างโง่งม หาได้รู้เรื่องราวก่อนหน้าแม้สักนิด
เย่หยวนในปัจจุบันยังคงมีพลังอยู่ที่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเช่นเดิม หาได้มีความเปลี่ยนแปลงอันใด
แต่…ไฉนเขาทำได้ขนาดนี้กัน?
“ยะ-ยกโทษให้ข้าด้วย! เย่…เย่หยวน ทั้งหมด…ทั้งหมดเป็นความผิดของเราชายชราเอง! เราชายชราผิดไปแล้ว เย่หยวน…หลัวเจีย…โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ขอพอมีเมตตาอยู่บ้างและปล่อยข้าไป เราคนนี้ขอสัญญา ไม่ว่าต้องการเรียกร้องสิ่งใด ล้วนยินดีจ่ายด้วยความเต็มใจ!”
หวังอวีกั่นกล่าวขึ้นอย่างอ่อนแรง
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นตอบ
“ข้าบอกไปแล้ว ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพี่หลัว จะเป็นหรือตายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา! ข้าเองก็จะไม่ไปขัดเช่นกัน”
คนที่เกือบตายภายใต้เงื้อมมือของหวังอวีกั่นในตอนนั้นคือหลัวเจีย ดังนั้นเย่หยวนจึงไม่มีอำนาจไปตัดสินใจแทนเขา
ส่วนเหตุผลที่เขาพาหวังอวีกั่นมาที่นี่ก็เพื่อให้หลัวเจียระบายความแค้นออกจากจิตใจ
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ หลัวเจียหาใช่คนใจอ่อนแม้แต่น้อย หากมีโอกาสตาแก่นี่ตายแน่นอน
“หลัว…”
ยังไม่ทันจะเริ่มขอร้องอ้อนวอนใดๆ กลับมีแสงคมดาบสีเย็นโฉบตัดสะบั้นเหนือบ่าในพริบตา
คมดาบพลังปราณเทวะสะบั้นศีรษะของหวังอวีกั่นหลุดกระเด็นไม่รู้ทิศ
ผู้อาวุโสอันสูงส่งแห่งตระกูลหวังนาม,หวังอวีกั่น ยามนี้จำต้องล่วงลับพร้อมสภาพสุดอนาจ
หลัวเจียหาได้ใส่ใจมีเยื้อใยใดๆกับอีกฝ่ายเลย ด้วยบุคลิกของเขาย่อมไม่ยอมเสวนาให้เสียเวลาเปล่า
“พล่ามเยอะเสียเวลา! คิดว่ากราบกรามแล้วข้าจะยอมปล่อยมันไป? โง่เง่าจริงๆ!”
หลัวเจียสบถด่าอย่างหยามเหยียด
เย่หยวนระบายยิ้มตอบเมื่อได้ยินเช่นนั้นและกล่าวว่า
“ยามผู้คนตกสู่สถานการณ์สิ้นหวัง ย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อมีชีวิตรอดต่อไป”
“หากเป็นข้า ข้าคงไม่วิงวอนร้องขอความเมมตาต่ออีกฝ่ายแน่ อยู่แบบไร้ศักดิ์สิทธิ์หลังจากนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากตกนรกทั้งเป็น!”
หลัวเจียกล่าวเสียงเย็นเรียบนิ่งตอบ
เย่หยวนหัวเราะคิกคักเล็กน้อยและกล่าวถามว่า
“แล้วเป็นอย่างไร? ระบายความแค่นได้บ้างหรือยัง?”
หลัวเจียนพยักหน้ากล่าวตอบ
“สบายใจขึ้นมากนัก ว่าแต่…เย่หยวนเจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ข้าจะบอกท่านก็ได้ แต่ท่านต้องช่วยเก็บเป็นความลับ! แม้แต่ท่านประมุขหอก็อย่าได้แพร่งพรายเด็ดขาด! ว่าอย่างไรทำได้หรือไม่?”
หลัวเจียกลั้นหายใจเฮือก ก่อนส่ายหน้ารัวๆพลางเอ่ยตอบ
“ข้าทำไม่ได้! เช่นนั้นลืมไปเถอะ เจ้าเองก็ลึกลับตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้าไม่รู้อีกสักเรื่องคงไม่ถึงตาย!”
หลัวเจียเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ในเมื่อเรื่องใดเขาไม่สามารถทำได้ ย่อมไม่รับปากส่งเดชแน่นอน
แต่เพราะแบบนี้เขาจึงยิ่ประเมินเย่หยวนไว้สูงลิบลิว
ส่วนเย่หยวนเองก็พอจะทราบ เป็นเรื่องธรรมดาที่หลัวเจียอยากรู้อยากเห็นยิ่งว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่อีกฝ่ายเองก็ไม่ต้องการมีเรื่องปิดบังกับหยางรุยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงจำใจเลือกที่จะไม่เอ่ยถามต่อ
สำหรับเย่หยวน แท้ที่จริงแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องมีเรื่องอันใดปิดบังเมื่ออยู่ต่อหน้าหลัวเจียเลย เพียงเขาเองก็ทราบนิสัยใจคอของหลัวเจียดี หากกล่าวไปแล้วทำให้อีกฝ่ายเป็นทุกข์ เย่หยวนก็เลือกที่จะไม่บอกดีกว่า
ท้ายที่สุดนี้ กุ้ยหยุนคือไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเย่หยวนในปัจจุบัน!
“โอ้ใช่แล้ว หวังอวีเต๋ากับหวังอวีมินล่ะ? พวกมันอยู่ที่ไหน? หรือว่าเจ้าเองก็…”
จู่ๆหลัวเจียพลันนึกอะไรออกจึงเอ่ยปากถามเย่หยวนทันที
เย่หยวนยิ้มแย้มเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“ระหว่างทางมา ข้าฆ่าหวังอวีมินทิ้งไปแล้ว ส่วนหวังอวีเต๋า ยามนี้คงกำลังลิ้มรสความสนุกไม่รู้จบ”
สีหน้าการแสดงออกของหลัวเจียรวนเรแปรเปลี่ยนมากครั้ง เขาเอ่ยกล่าวเสียงสั่น
“เจ้าเด็กนี่…เจ้ามันสัตว์ประหลาดชัดๆ!”
ไม่นานหลังจากนั้น พวกฉางเหลียนทั้งห้าเร่งตรงเข้ามาสมทบ พร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยวนอย่างพร้อมเพรียงและกล่าวว่า
“ขอบพระคุณนายท่านอย่างยิ่งที่ช่วยทำให้ความปรารถนาของเราเป็นจริง! ความแค้นของน้องสามและน้องเจ็ดนับว่าถูกสะสางเป็นที่เรียบร้อย! นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเราห้าพี่น้องขอรับใช้นายท่านชั่วชีวิต! หากนายท่านสั่งให้เรามุ่งหน้าสุดขอบตะวันออก เราก็จะไปสุดขอบตะวันออก ท่านเรียกให้เราไปสุดขอบตะวันตก เราก็จะไปสุดขอบตะวันตก! ชีวิตที่เหลือของมอบการรับใช้ให้แก่ท่าน!”
ฉางเหลียนกล่าวขึ้น
เย่หยวนกล่าวตอบเสียงเย็นว่า
“ข้าจะต้องการชีวิตของพวกเจ้าไปเพื่ออันใด? พวกเจ้ารับโอสถเหล่านี้และกลับไปฝึกฝนให้ดีเถิด”
หลังจากกล่าวจบ เย่หยวนก็โยนขวดโอสถขวดหนึ่งให้ฉางเหลียน
ฉานเหลียนที่รับไว้และเปิดออกดูถึงกับเนื้อตัวสั่นสะท้านโดยไม่ตั้งใจ ก่อนร้องอุทานลั่นด้วยความตกตะลึงยิ่งว่า
“นายท่าน…แต่นี่…แต่นี่ล้ำค่าเกินไป! พวกเราไม่สมควรได้รับ!”
ภายในขวดโอสถนั้นมีโอสถปราณเทวะขั้นเทวะอยู่!
ของล้ำค่าขนาดนี้ ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ภายในเมืองกุยฉาง!
ยิ่งไปกว่านั้น เย่หยวนยังให้โอสถปราณเทวะขั้นเทวะแก่พวกเขาถึงสิบเม็ด!
เย่หยวนถอนหายใจเล็กน้อยพลางกล่าวตอบว่า
“แค่โอสถเล็กๆน้อยๆ กลับหาใช่เรื่องใหญ่อันใด แถมอีกอย่างที่น้องสามกับน้องเจ็ดของเจ้าถูกฆ่า ทั้งหมดก็เป็นเพราะข้า นี่ถือเป็นคำขอโทษจากข้าเช่นกัน”
ฉางเหลียนและน้องๆอีกสี่คนต่างรู้สึกซาบซึ้งเหลือกำหนด พวกเขาติดอยู่ที่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางมาหลายร้อยปีแล้ว และยังคงล้มเหลวเรื่อยไปเมื่อพยายามทะลวงเลื่อนระดับขึ้น
แต่ด้วยโอสถปราณเทวะขั้นเทวะเหล่านี้ พวกเขาจะสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยด้วยซ้ำ
และมิใช่แค่เขาคนเดียว ด้วยจำนวนโอสถที่เย่หยวนมอบให้ มันเพียงพอแล้วที่จะยกระดับพลังของน้องๆอีกสี่คนด้วยเช่นกัน
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งนายท่าน!”
พวกฉางเหลียนทั้งห้าเร่งโขกศีรษะให้เย่หยวนด้วยความปลื้มปีติอย่างหาพรรณนาไม่
………………………
“อะไรนะ? กล่าวอีกครั้ง?!”
ณ ตำหนักตระกูลหวัง หวังหลินโปลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งพร้อมตะคอกถามย้ำกับชายหนุ่มผู้มีหน้าที่ดูแลตำหนักของเหล่าบรรพบุรุษ
“ท่านประมุข ทั้งผู้อาวุโสรอง, ผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสสี่ เฉกเช่นเดียวกับเหล่าสมาชิกชนชั้นสูงของตระกูลหวังทั้งหมดที่ส่งออกไป ยามนี้ตะเกียงชีวิตของพวกเขาดับมอดลงหมดแล้ว!”
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นเยาวชนผู้มากพรสวรรค์คนหนึ่งของตระกูลหวัง ทว่าตอนนี้กลับมีสีหน้าซีดเซียวราวกับบิดามารดาของตนถูกปลิดชีพทิ้ง
ส่วนบางสิ่งที่เรียกว่า ตะเกียงชีวิต มันแต่ละอันจะมีร่องรอยพลังจิตวิญญาณของเหล่าสมาชิกตระกูลหวังผสมอยู่ ทั้งนี้มันเป็นตัวแสดงให้เห็จนถึงสถานะของนักสู้คนนั้นๆว่าเป็นอย่างไร
ยามที่ตพเกียงชีวิตมอดดับลง นั้นแสดงว่าสมาชิกคนนั้นได้ล่วงลับไปแล้ว หรือไม่ก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต
“เป็นไปไม่ได้! ผู้อาวุโสทั้งสามล้วนเป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด! ใครบ้างในเมืองกุยฉางสามารถกำจัดพวกเขาทิ้งได้ในคราวเดียว?!”
ทั่วทั้งกายาของหวังหลินโปสั่นสะท้านไม่หยุดขณะเอ่ยกล่าว
การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของหวังหลินโป กลับไม่ต่างอะไรกับส่งคนของตระกูลไปตายเช่น
ยิ่งไปกว่านั้นเอง ผู้อาวุโสทั้งสามท่านี้ยังเป็นถึงกระดูกสันหลังของตระกูลหวัง!
ณ ปัจจุบัน หากพวกเขาทั้งสามล่วงลับตายไปแล้วจริงๆ นี่นับเป็นวิกฤตครั้งร้ายแรงที่สุดของตระกูลหวัง!
ถึงยังพอมีหวังบ้างที่ตระกูลหวังอาจฟื้นตัวขึ้นในอนาคต แต่กว่าจะถึงวันนั้น เกรงว่ามีกลุ่มอิทธิพลอื่นมากมายค่อยจ้องเล่นงานอยู่แน่นอน!
พวกเขาไล่ล่าเย่หยวนสุดขอบฟ้าหวังเอาชีวิต แต่ยามนี้จะเป็นไปได้ไหมว่า…พวกเขาตระกูลหวังทั้งหมดจำต้องตายลงในเงื้อมมือของเย่หยวนแทน?
แต่นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
เย่หยวนเป็นเพียงเด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเองมิใช่รึ? ถึงจะมีหลัวเจียค่อยปกป้องอยู่ก็เถอะ แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่สามารถกำราบสามผู้อาวุโสได้ภายในเวลาเดียวกัน?
ยิ่งคิดเท่าไหร่ หวังหลินโปกลับยิ่งไม่เข้าใจอะไรได้เลย!
หลังจากนั้นไม่นาน หวังหลินโปก็หันมากล่าวกับเยาวชนคนนั้นอย่างสิ้นหวังว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว! แต่เรื่องนี้จำต้องเก็บเป็นความลับ! หากเจ้ากล้าแพร่งพรายออกไป เตรียมรับทัณฑ์บนจากตระกูลได้เลย!”
เยาวชนคนนั่นเร่งขานตอบและจากออกไปทันที
หวังหลินโปยังคงนั่งท่าเดิมพร้อมครุ่นคิดเช่นนี้ตลอดทั้งคืน
นับตั้งแต่ที่เขารับสืบทอดตำแหน่งประมุขตระกูลหวังต่อจากหวังอวีเซียง ก็กล่าวได้ว่าตระกูลหวังอยู่ใรรุ่นทองแห่งความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด
ตลอดที่ผ่านมา ไม่เคยมีช่วงเวลาใดเลนที่ขารู้สึกสิ้นหวังขนาดนี้มาก่อน!
ในที่สุด ยามเช้าแรกอรุณก็ของอีกวันได้มาถึง หวังหลินโปยังคงนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมสีหน้าซีดเซียวอย่างหนัก เขาค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นและตรงไปยังห้องลับชั้นใต้ดิน
“ท่านพ่อ!”
หวังหลินโปแผดเสียงแหบแห้ง ร้องเรียกบุคคลหนึ่งที่อยู่ภายในนั้น
ไม่นานนัก สุ่มเสียงชราคนหนึ่งพลันดังตอบจากส่วนลึกของห้องลับชั้นใต้ดิน
“นั้นหลินโปรึ? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
หวังหลินโปเปิดปากคล้ายอยากจะพูดอะไรออกมา แต่กลับไม่รู้จะพูดอันใดในท้ายที่สุด
“หื้ม? นี่ดูมิใช่ตัวเจ้าเลย ปัญหาคราวนี้ หยางรุยเป็นคนกระทำงั้นรึ?”
ชายชรากล่าวขึ้น
หลังจากเงียบไปนาน ในที่สุดหวังหลินโปก็ทำใจรวบรวมความกล้าและเอ่ยปากเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง มันกล่าวทิ้งท้ายทั้งน้ำตาว่า
“ท่านพ่อ ลุงรอง,ลุงสามและลุงสี่… พวกเขา…พวกเขาล่วงลับไปแล้ว!”
บูมมมม!!
ประตูภายในส่วนลึกที่สุดของห้องลับพลันระเบิดเสียงดังสนั่น ลมกระโชกหอบใหญ่ซักผ่านออกมาจากในห้องรุนแรง
ตอนที่1335 เผยธาตุแท้
กลางดึกรัตติกาลสงัด ทันทีทันใดพลันปรากฏร่างหนึ่งเดินโซซัดโซเซหนีตายเข้าไปในหอมหาสมบัติ
แต่เมื่อหงหยินเห็นร่างนี้ นางถึงกับผงะด้วยความตกใจ
ร่างนี้ปกคลุมไปด้วยบาดแผลมากมาย ประดับเลือดสีทองคล้ำอาบชโลมทั่วร่าง ประดุจเพิ่งขึ้นจากบ่อโลหิต แลดูน่าสยดสยองสุดขีด
“หลัวเจีย! กะ-เกิด…เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? แล้วนายท่านเย่ล่ะ?”
หงหยินที่เห็บดังนั้นทราบทันทีว่าเป็นใคร ก่อนปราดเร่งเข้าช่วยประคองร่างขึ้นมา
เขาคนนี้มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากหลัวเจีย!
“เร็ว…เร็วเข้า! พาข้า…พาข้าไปหาท่านประมุขหอ!”
หลัวเจียกัดฟันข่มความเจ็บปวดเพื่อสื่อสารให้อีกฝ่ายรับรู้โดยไว
“เข้าใจแล้ว! เดี๋ยวข้าจะพาไปเอง!”
หงหยินกล่าตอบทันควัน
ซึ่งในขณะเดียวกัน เฟิงปิงโผล่พรวดออกมาจากห้องโถงด้านใน เขาปรี่ตรงเข้ามาหาอุทานขึ้นลั่นด้วยความตกใจ
“หลัวเจีย ไฉนเจ้าถึงบาดเจ็บปางตายเช่นนี้! เร็วเข้า! มาให้ข้ารักษาก่อนโดยไว!”
ใบหน้าของหลัวเจียยามนี้ซีดขาวคล้ายแผ่นกระดาษบาง เห็นเฟิงปิงดังนั้นเขาเอ่ยกล่าวอย่างอ่อนแรงขึ้นว่า
“ขอบพระคุณยิ่งสำหคับความตั้งใจดีของผู้อาวุโสเฟิง แต่เรื่องนี้เร่งด่วนยิ่งกว่าอาการบาดเจ็บของข้า จำต้องเข้าพบท่านประมุขหอโดยด่วน! เรื่องรักษาอาการบาดเจ็บของข้าเกรงว่าภายหลังเป็นดีที่สุด!”
สีหน้าการแสดงออกของเฟิงปิงพลันแปรเปลี่ยน เขากล่าวขึ้นอย่างสงสัยขึ้นว่า
“หลัวเจีย นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? มิใช่ว่าเจ้าเป็นคนพาเย่หยวนไปยังสุสานสายลมหยินหรอกรึ? แล้วเขาอยู่ที่ไหน?”
หลัวเจียกล่าวเล่าเจือหน้าเสียหนักว่า
“ตระกูลหวังส่งสามผู้อาวุโสออกมตามล่าพวกเราไม่หยุดหย่อน โชคยังดีที่เย่หยวนมีวิชาลับควบคุมพวกวิญญาณชั่ว จึงช่วยสกัดและพาข้าตีฝ่าออกจากวงล้อมได้ ก่อนแยกจากเขาสั่งให้ข้าเร่งกลับมาขอความช่วยเหลือ! ยามนี้จำต้องทิ้งทุกอย่างและเร่งฝีเท้ากลับมาทันที เร่งขอกำลังเสริมจากท่านประมุขหอโดยไว! เย่หยวนในตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรกลับไม่ทราบแล้ว!”
เฟิงปิงตกใจอย่างมากเมื่อรับทราบข่าวนี้ เขาเร่งกล่าวขึ้นว่า
“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร? เรื่องนี้มีเพียงพวกเราไม่กี่คนที่ทราบกัน! แล้วตระกูหวังไปได้ข่าวนี้มาจากแห่งหนใดกัน?”
หลัวเจียส่ายหัว
“ไม่รู้! ตอนนี้มิใช่เวลามากล่าวเรื่องนี้ หากปล่อยต่อไป เย่หยวนจะต้องตายแน่นอน! หงหยินช่วยประคองข้าไปหาท่านประมุขหอโดยเร็ว!”
หงหยินวิตกกังวลยิ่งในเรื่องความปลอดภัยของเย่หยวน ได้ยินดังนั้นนางจึงประคองหลัวเจียเข้าไปหาหยางรุยทันที
หลังจากที่สองคนนั้นจากไป สีหน้าการแสดงออกของเฟิงปิงพลันรวนเรผันเปลี่ยนหลายต่อหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุกข่มท่าทีกัดฟันแน่น ก่อนเร่งบึ่งออกไปจากหอมหาสมบัติทันทีในค่ำคืนอันมืดมิด
…………………
“เย่หยวนนับเป็นต้นเงินต้นทองของหอมหาสมบัติอย่างแท้จริง หยางรุยไม่มีทางงอแขนงอขายืนดูอยู่เฉยๆแน่! ทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ชีวิตของผู้อาวุโสทั้งสามคนนั้นได้ตกอยู่ในอันตรายแน่นอน!”
ภายในห้องสมุดของตระกูลหวัง เฟิงปิงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าค่อนข้างกังวลอย่างชัดเจน
แต่คำกล่าวนี้ของเขาได้ทำให้หวังหลินโปเริ่มมีหวังอีกครั้ง!
หวังหลินโปเผยสีหน้าประหลาดใจยิ่งยวด ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่เป็นเรื่องจริงรึ? พวกลุงรองยังอยู่ในสุสานสายลมหยินจริงๆใช่ไหม?”
เฟิงเปิงเร่งโต้กลับทันทีอย่างร้อนรน
“แล่วข้าจะโกหกเจ้าทำไม? ก่อนหน้านี้ไม่นาน หลัวเจียลากสังขารกลับมาหอมหาสมบัติ สภาพค่อนข้างสะบัดสะบอม ทั่วร่างชโลมเลือด ปัจจุบันมันทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดแล้วก็จริง แต่เจ้าลองติดดู ผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลหวังล้วนเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดเช่นกัน ไม่ว่าฝีมือเพลงดาบจะน่ากลัวแค่ไหน แต่กลับไม่มีทางต่อกรได้นานนัก มิฉะนั้นมันจะรีบกลับมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากหยางรุยรึ? เห็นได้ชัดว่า สถานการณ์ในขณะนี้ของพวกนั้นเลวร้ายแค่ไหน! ข้ากลัวว่าหยางรุยจะเป็นคนลงมือเอง จึงเป็นเหตุให้ข้าเร่งมาแจ้งให้เจ้าทราบทันที! ส่ง่าท่านอวีเซียงออกโรงโดยไวเถอะ มิฉะนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาอาจน่ากลัวเกินจินตนาการ!”
ข่าวนี้สร้างความปรพหลาดใจเกินไปนักต่อเขา จนเรียกได้ว่าล้างอารมณ์หดหู่ก่อนหน้าไปจนหมดจากใจของหวังหลินโป
หวังหลินโปนกล่าวตอบทันทีอย่างมีชีวิตชีวา
“เอาล่ะ! เจ้ากลับไปก่อน อย่าทำอะไรผิดแปลกให้พวกมันสงสัยได้! ข้าจะไปพบท่านพ่อก่อนและเชื้อผู้อาวุโสที่เหลือออกโรง! สองวันมานี้พวกข้าไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่นัก เพราะกังวลเกี่ยวกับเรื่องของพวกลุงรอง”
เฟิงปิงพยักหน้าและรีบกล่าวตอบว่า
“เข้าใจแล้ว ข้าจะหลับทันที!”
ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็จากไปทันที ขึ้นทะยานควบม้าท้าลมด้วยความเร็วดุสายฟ้าออกไปท่ามกลางค่ำรัตติกาลอันเงียบสงัด
เฟิงปิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า เย่หยวนยังมีไพ่เด็ดอย่างวิชาควบคุมวิญญาณชั่วอยู่ด้วย จนสามารถพาหลัวเจียฝ่าวงล้อมของเหล่าผู้อาวุโสทั้งสามออกมาได้
ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินเย่หยวนต่ำเกินไปจริงๆ
แต่เมื่อหวังอวีเซียงออกโรงเมื่อใด เย่หยวนจะไร้ซึ่งโอกาสรอดชีวิตใดๆอีก
“ยามดึกยามดื่นเช่นนี้ ผู้อาวุโสเฟิงยังมีอารมณ์สุนทรีย์ ควบม้าชมวิวเมืองอย่างสบายอารมณ์!”
ขณะที่เฟิงปิงกำลังมุ่นกับความคิดตัวเองอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านหลัง จนทำเอาเขาสะดุ้งเฮือกขนลุกซู่ว!
เมื่อเบี่ยงสายตาเข้าจับจ้อง เฟิงปิงแทบตาถลนออกมา!
“เย่หยวน! จะ-จะ-จะ-เจ้า…ไฉนถึงอยู่ที่นี่ได้? มิใช่ว่าเจ้า…มิใช่ว่า…”
สุ้มเสียงเมื่อครู่กลับมิใช่ใครอื่นนอกเสียจากเย่หยวน!
เฟิงปิงที่เห็นเย่หยวนตัวเป็นๆยังคงอยู่ดี เขาถึงขั้นลิ้นแข็งกล่าวติดอ่างไม่เป็นภาษา
เย่หยวนจับจ้องไปที่เฟิงปิงพร้อมกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“ไฉนผู้อาวุโสเฟิงกล่าวราวกับว่าไม่อยากให้ข้าอยู่ที่นี่? หรือเพราะคิดว่ายามนี้ข้าควรติดอยู่ในสุสานสายลมหยินจนออกไปไหนไม่ได้? เอ…หรือคิดว่าข้าควรตายลงไปในนั้นแล้วดี?”
เฟิงปิงปั้นหน้าดีใจขึ้นมาทันควัน และโพล่งกล่าวด้วยความตื้นเต้นขึ้นว่า
“ดะ-ดี…ดีจริงๆ! เจ้ายังไม่ตาย! เห็นหลัวเจียกลับมาด้วยสภาพเช่นนั้น ข้าเป็นห่วงแทบตาย! สวรรค์ทรงโปรด เจ้ายังปลอดภัยดี! ฮะ-ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ปฏิกิริยาการตอบโต้ขชองเฟิงปิงก็เร็วมิใช่น้อย ทันทีที่รู้ว่าก้าวพลาด จึงเร่งเปลี่ยนสีทันที
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“ผู้อาวุโสเฟิง ท่านคิดว่า…ไม่แปลกไปหน่อยรึ ทั้งๆที่อาการบากเจ็บของหลัวเจียเลวร้ายขนาดนั้น แต่ก็ยังเดินทางออกไปออกจากหอมหาสมบัติในยามวิกาลโดยไม่ไยดีเช่นนี้? อย่างน้อยก็น่าจะเข้าไปหาท่านประมุขหอด้วยกัน?”
เฟิงปิงถอดสีหน้าในบัดดล เขากล่าวเสียงขรึมขึ้นว่า
“เจ้า…เจ้าหมายความอย่างไรกัน?”
“หุหุ หมายความอย่างไรงั้นรึ? ยามวิกาลดึกดื่นแบบนี้ ไม่เพียงสนับสนุนพวกพ้อง แต่กลับเดินทางไปหาถิ่นศัตรูคู่อาฆาตของหอมหาสมบัติ ข้าสงสัยเหลือเกินว่านี่หมายความว่าอย่างไร?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงเหยียบเย็น
คลื่นหลากอารมณ์ขนาดมหึมาถาโถมเข้าใส่จิตใจของเฟิงปิง แต่เขายังคงเก็บงำระงับสีหน้า พลางแสร้งทำเป็นไม่รู้และกล่าวอย่างงุนงงว่า
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าหมายความอย่างไร! เจ้าไปเห็นตอนไหนว่าข้าไปยังตระกูลหวัง? เย่หยวนเจ้าตื่นกลัวจนระแวงคนรอบกายไปหมดแล้ว!”
“ระแวงงั้นรึ? เกรงว่ามิใช่เพียงข้าคนเดียวที่ระแวงแล้วกระมัง?”
เย่หยวนกล่าวแช่ม พร้อมส่งยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มให้อีกฝ่ายตอกคืน
ทันใดนั้นเอง พลันมีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏกายขึ้นจากด้านหลังของเย่หยวน
ผู้นำก้าวย่างออกมามีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างไม่น่าเชื่อ นั้นจะเป็นใครได้อีกหามิใช่หยางรุย?
การปรากฏตัวของหยางรุยทำให้ เศษเสี้ยวความหวังสุดท้ายของเฟิงปิงแตกสลายในพริบตา!
ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้แล้วว่า ทั้งหมดมันเป็นกับดักที่ขุดไว้ให้เขาโดยเฉพาะ
เย่หยวนวางกับดักนี้เพื่อล่อให้เขามุ่งหน้าไปส่งข่าวถึงตระกูลหวัง
และเฟิงปิงก็เดินตามทางที่วางไว้โดยสมบูรณ์แบบ
หยางรุยมองไปที่เฟิงปิงด้วยคาวมผิดหวังสุดพรรณนาและกล่าวอย่างเจ็บใจว่า
“ในตอนที่หลัวเจียบอกข้า ข้ายังปักใจไม่เชื่อด้วยซ้ำ! เฟิงปิง! ข้า,หยางรุยดูแลเอาใจใส่เจ้าดั่งพี่น้องญาติสนิทคนหนึ่ง แต่ไฉนเจ้าถึงเลือดเย็นทรยศหอมหาสมบัติได้ลงคอ!”
เฟิงปิงทราบดีว่าวันนี้คงไม่มีโชคดีอันใดหลงเหลืออีกต่อไป เขาจึงเอ่ยกล่าวด้วยเสียงอันเหยียบเย็นว่า
“ข้ามิเคยคิดทรยศต่อหอมหาสมบัติแม้นสักครั้ง! ข้าแค่ต้องการให้ไอ้แด็กเหลือขอนี่ตายๆไปซะ! หากยังมีไอ้เด็กเหลือขอนี่อยู่ ข้า,เฟิงปิงจะไม่มีวันได้เชิดหน้าชูตาขึ้นอีกในหอมหาสมบัติแห่งนี้! ในอนาคต หัวหน้านักหลอมโอสถแห่งหอมหาสมบัติยังคงเป็นข้า และต้องเป็นข้าตลอดไป!”
เมื่อได้ฟังแบบนั้น หยางรุยเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่หยุดหย่อน ก่อนกล่าวว่า
“ดังนั้น เจ้าจึงขายข่าวนี้ให้กับตระกูลหวัง ปรารถนายืมมือตระกูลหวังฆ่าเย่หยวนทิ้ง?”
เฟิงปิงกล่าวตอบเสียงเย็นสะท้านลั่น
“ถูกต้อง! หอมหาสมบัติมีข้าไม่มีมัน หากมีมันก็ไม่มีข้าเช่นกัน! ตั้งแต่ที่ไอ้เด็กเหลือขอนี่เข้ามา เจ้าก็ไม่เห็นหัวข้าเลยด้วยซ้ำ?”
หยางรุยโมโหจัดจนกัดฟันแน่นเสียงดังกรอด เอ่ยปากแพร่เสียงสุดเคร่งขรึม
“เจ้าก็ควรทราบดี เย่หยวนมีความสำคัญเพียงใดต่อหอมหาสมบัติ ทั้งหมดนี้ก็มิใช่เพื่ออนาคตของเราทุกคน? แต่เจ้ากล้าหักหลังพวกเราได้อย่างไร!”
เฟิงปิงแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า
“แล้วอย่างไร? จู่ๆก็มีเด็กไม่ทราบภูมิหลังปรากฏตัวขึ้นในหอมหาสมบัติดั่งฟ้าประทานมา ตื้นลึกหนาบางกลับไม่รู้จักแม้แต่น้อย ทว่ากลับไว้ใจกันนัก! ข้าที่ต้องการกำจัดไอ้เด็กนี่ทิ้งไปนับว่าสมควรแล้ว ข้าทำทุกอย่างก็เพื่อประโยชน์ของหอมหาสมบัติ!”
“เหอะ เพื่อประโยชน์ของหอมหาสมบัติ? ถึงขนาดยอมขายสหายสนิทดั่งพี่น้องให้ไปตาย? ในตอนนั้นหลัวเจียเกือบถูกหวังอวีกั่นฆ่าตาย นี่รึที่เรียกว่าเพื่อประโยชน์? หลัวเจียกับเจ้าต่อสู้ร่วมกันมานับครั้งไม่ถ้วน ไฉนถึงทำกันได้ลงคอ?”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดรังเกียจ
“ผู้ประสบความสำเร็จกลับไม่พะว้าพะวังเรื่องไร้สาระ! เลิกพล่ามไร้สาระเสีย ข้าเพียงต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแน่กับสหายเฒ่าทั้งสามของตระกูลหวัง?”
เฟิงปิงกล่าวถามขึ้น
จนถึงบัดนี้ เขาก็ยังไม่เชื่อ!
เย่หยวนจะไปทำอะไรกับผู้อาวุโสทั้งสามคนนั้นได้? แค่หนีพ้นมืออกมาได้นับว่าปาฏิหาริย์มากแล้ว!
เย่หยวนยักไหล่พลางกล่าวตอบว่า
“ตายหมดแล้ว ครั้งนี้ตระกูลหวังส่งยอดฝีมือออกไปทั้งหมดสิบหกคน ทั้งหมดล้วนตายสิ้น”
ตอนที่1336 หุบเขาถงเทียนจำลอง!
“เป็นไปไม่ได้! ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าจะไปเข้าคู่สามคนนั้นได้อย่างไร? ข้าไม่เชื่อ!”
สายตาที่จับจ้องของเฟิงปิงแปรเปลี่ยนดูเอาจริงเอาจัง เห็นได้ชัดแจ้ง เขาไม่เชื่อคำพูดของเย่หยวน
ความเป็นไปได้เดียวที่มีแนวโน้มมากที่สุดคือ เย่หยวนอาศัยวิชาลับควบคุมวิญญาณชั่วและตีฝ่าออกจากวงล้อมของผู้อาวุโสทั้งสาม จึงหนีกลับมาเมืองกุยฉางได้อย่างที่เห็น
เป็นที่ชัดเจน คำอธิบายนี้สมเหตุสมผลกว่ามากโข
แต่เย่หยวนพลันยักไหล่และกล่าวอย่างแยแสไม่ว่า
“ความจริงก็คือความจริง หากการสันนิษฐานของข้าถูกต้อง ตะเกียงชีวิตของพวกมันทั้งสามเองก็คงดับมอดลงไปแล้ว หวังอวีเซียงควรจะทราบดีที่สุด รู้สึกว่ามันเองก็ลอบไปตรวจสอบให้แน่ใจที่สุสานสายลมหยินแล้วเช่นกัน”
หวังอวีเซียงเร่งตรงปรี่ไปยังสุสายสายลมหยินพร้อมพกพาเศษเสี้ยวความหวัง และหลังจากกลับมาเขาถึงขั้นไม่พูดไม่พาพลางปลีกวิเวกด้วยความสิ้นหวัง
การจากไปของเหล่าพี่น้องตระกูลหวัง นับเป็นเรื่องเลวร้ายยิ่ง และที่เลวร้ายที่สุดคือเขาไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หยางรุยพลันอดลอมองเย่หยวนมิได้ เบื้องลึกในแววตานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความประหลาดใจและสับสน
สุดท้ายนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เย่หยวนเป็นเพียงเซียนมือใหม่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น แต่ไฉนถึงสามารถจบชีวิตของสามผู้อาวุโสแห่งตระกลหวังได้?
ทั้งสามคนนั้นล้วนแต่เป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด ภายใต้อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าลงมา พวกเขานับเป็นการดำรงอยู่ที่ไร้เทียมทาน ยากนักที่จะหาผู้ใดทัดเทียม
เว้นเสียแต่ว่า เย่หยวนจะครอบครองขุมพลังระดับอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าอยู่ มิฉะนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จำกัดทั้งสามออกไปได้พร้อมกัน
ยิ่งไปกว่านั้นพวกนั้นทั้งสามยังนำยอดฝีมือของตระกูลหวังมาอีกฝูงหนึ่ง
เมื่อเขาพยายามสอบถามจากหลัวเจีย คำตอบของอีกฝ่ายก็ค่อนข้างคลุมเครือ หาได้เจาะลึกลงละเอียดอันใด ซึ่งสิ่งนี้ยิ่งเพิ่มความสับสบให้หยางรุยเข้าไปใหญ่
ในสายตาของหยางรุย นับวันอาคันตุกะนักหลอมโอสถคนนี้ก็ยิ่งลึกลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามั่นใจได้ก็คือ ด้วยนิสัยของเย่หยวน การกระทำของเขาแบ่งแยกได้อย่างชัดเจนระหว่างคนที่รักและคนที่เกลียด
แม้กระทั่งภายใต้สถานการณ์ที่เจียหลัวบาดเจ็บสาหัสและกำลังจะตาย เย่หยวนยังเลือกที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อหนีตายไปด้วยกัน
ทุกคนสามารถบอกได้เป็นเสียงเดียว ภายใต้สถานการณ์วิกฤตคือการพิสูจน์เนื้อแท้ของผู้คน ซึ่งการกระทำเหล่านี้ของเย่หยวนล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของหยางรุยในที่สุด
ไม่ว่าเย่หยวนจะลึกลับหรือทรงพลังสักเพียงใด สุดท้ายนี้ก็มิใช่เรื่องเลวร้ายอันใดเลยสำหรับหอมหาสมบัติ
“เฮ้ออ… ผู้อาวุโสเฟิง ข้ากับท่านก็ทำงานช่วยเหลือกันมาหลายปี แต่ไม่คิดเลยว่า…จะมีวันนี้จริงๆ!”
หยางรุยถอนหายใจไม่หยุดหย่อนกล่าวขึ้น
เฟิงปิงเค้นเสียงเย็นกล่าวตอบว่า
“ถูกต้อง ข้ารับใช้หอมหาสมบัติมาแทบทั้งชีวิต แต่ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกลับได้ผลลัพธ์แบบนี้! เพียงเห็นเด็กใหม่ดีกว่าก็ถีบหัวส่งคนเก่าอย่างไม่แยแส! เหอะ เหอะ”
“ไฉนเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้? แม้ในวันนี้ที่เย่หยวนกลายมาเป็นคนสำคัญของหอมหาสมบัติ แต่ข้าก็ยังให้เจ้าดำรงอยู่ในตำแหน่งสำคัญไม่ต่าง ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรวิญญาณหรือเงินทอง ข้าก็ยังสนับสนุนเจ้าเหมือนเดิม นี่รึที่เรียกว่าถีบหัวส่ง? ประมุขหอมหาสมบัติคนนี้หาใช่คนเช่นนี้ไม่!”
หยางรุยกล่าว
“หึ! เลิกพล่ามกันได้แล้ว! อยากจะฆ่าหรือปล่อยไปแล้วแต่ตามใจชอบ!”
เฟิงปิงตะโกนกู้ร้องเสียงเย็นชา
เมื่อหยางรุยเห็นว่า เฟิงปิงไม่ยอมฟังเหตุผลของตนอีก เช่นนั้นพลันถอนหายใจไม่หยุไม่หย่อน
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า สุดท้ายแล้วทุกอย่างจะลงเอยด้วยบทสรุปเช่นนี้จริงๆ
หยางรุยถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
“หลัวเจีย!”
หลัวเจียรับส่ง ร่างไสวกลายสภาพเป็นประกายแสงสายหนึ่งวูบวาบประดุจภูตผี
“อ๊ากกก! หยางรุย เจ้า…เจ้าจะต้องไม่ตายดี!”
เฟิงปิงแผดเสียงโห่ร้องลั่นสุดแสนอเนจอนาถ
เฟิงปิงยังไม่ตายในท้ายที่สุด แต่กลับถูกทำลายทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์แทนจนไม่สามารถระดมพลังปราณเทวะใดๆได้อีกต่อไป ยามนี้เขากลายมาเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์
หลัวเจียเข้าคุมตัวเฟิงปิงกลับไป ระหว่างนั้นหยางรุยหันมองไปยังเย่หยวนด้วยสีหน้าแววตาแสนรู้สึกผิดและกล่าวว่า
“สหายน้อยเย่หยวน เรื่องในคราวนี้ กลับเป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน! ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าภายในหอมหาสมบัติกลับมีคนทรยศเสียเอง หยางคนนี้ต้องขอโทษสหายน้อยเย่หยวนจริงๆ”
ในตอนนี้หยางรุยมิได้มองเย่หยวนเป็นคนพิการหรือไร้ความสามารถอีกต่อไป ต่อจากนี้กลับเป็นหอมหาสมบัติเสียเองที่ต้องการขอความช่วยเหลือจากเย่หยวน
สามารถบดขยี้สามผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลหวังได้ในคราเดียว ไม่ว่าเย่หยวนจะมีไผ่เด็ดแบบใดแฝงเร้นอยู่ แต่เขาย่อมมีปัญญาป้องกันตัวเองอยู่แล้ว
และไพ่ตายที่ว่าอาจยังสามารถสร้างภัยคุกคามต่อเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้เลยด้วยซ้ำ!
เย่หยวนผสานมือก่อนกล่าวกับหยางรุยว่า
“คำกล่าวของท่านประมุขหอ แลดูเย่คนนี้เป็นคนนอกเกินไป! เรื่องนี้เป็นความผิดของเฟิงปิงทั้งหมด แล้วมันจะข้องเกี่ยวกับหอมหาสมบัติได้อย่างไร? ในทางตรงข้าม หากมิใช่เพราะหอมหาสมบัติที่ยื่นมือช่วยเหลือในวันนั้น ก็คงไม่มีเย่ในวันนี้เช่นกัน”
หยางรุยโบกมือปัดพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้มตอบว่า
“สหายน้อยใจดีเกินไปแล้ว! เฟิงปิงคงตำแหน่งหัวหน้านักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติมาเนินนาน มีสถานะและอำนาจสูงส่ง จึงเป็นสาเหตุให้ข้าประมาทและมองข้ามไป แม้วันนี้ยังไม่มีเรื่องของเจ้าเข้ามา แต่ในหอมหาสมบัติที่มีอันตรายซุกซ่อนอยู่เช่นนี้ วันไหนจะปะทุขึ้นก็ยังมิทราบ!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า
“เช่นนั้น เย่คนนี้ต้องขอบพระคุณท่านประมุขหออย่างยิ่ง! บุญคุณที่หอมหาสมบัติมอบให้เย่คนนี้ช่างยิ่งใหญ่ดุจภูเขา! เย่คนนี้คงตอบแทนในสิ่งที่ถนัดช่ำชองที่สุด หลังจากกลับไป ข้าจะหลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะเพื่อชูจุดขายของหอมหาสมบัติขึ้นอีกครั้ง กลยุทธ์นี้น่าจะดึงดูดเหล่านักสู้ในเมืองกุยฉางได้ไม่น้อย”
หยางรุยดีใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ฟังดังนั้น ก่อนกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะว่า
“เช่นนั้นต้องรบกวนเจ้าแล้วสหายน้อย!”
ยามสนทนากับคนฉลาดทุกอย่างย่อมไปโดยง่าย เฟิงปิงในตอนนี้กลายเป็นคนพิการ หยางรุยจำต้องรายงานเรื่องนี้ไปยังเบื้องบนและขอให้ทางนั้นส่งนักหลอมโอสถคนใหม่มาอีกครั้ง
ในช่วงเวลานี้เอง เขาวานให้เย่หยวนเป็นผู้ดูแลสถานการณ์โดยรวม
อันที่จริงแล้ว แม้ว่าเบื้องบนจะส่งจอมเทพโอสถสองดาวมาช่วยเหลือ แต่หยางรุยก็มั่นใจว่า อีกฝ่ายคงไม่มีประสิทธิภาพเท่าเย่หยวนแน่นอน
แค่จอมเทพโอสถสองดาวจะไปหลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะได้อย่างไร?
ท้ายที่สุดนี้ นักสู้โดยส่วนใหญ่ในเมืองกุยฉางยังเป็นแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้า ส่วนประชาชนทั่วไปเป็นเพียงนักสู้อาณาจักรเต๋าลึกลับ ดังนั้นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงจึงไม่มีประโยชน์มากนัก
………………………………
ในช่วงเวลาต่อมา เมืองกุยฉางกลับสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง
ตระกูลหวังประสบความสูญเสียอย่างหนัก หลังจากนี้ต่อไปพวกจำต้องกลับสู่ยุคแห่งความล้มสลาย
สำหรับหอมหาสมบัติ ณ ปัจจุบันกล่าวได้ว่า พวกเขากำลังทะยานสู่ยุคแห่งความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดอย่างรวดเร็ว!
โอสถขั้นเทวะที่เปิดตัวขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของหอมหาสมบัติแพร่หลายกระช่อนทั่วทั้งเมืองกุยฉาง
แน่นอนว่าโอสถขั้นเทวะหาใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถจับจ่ายเอื้อมถึงได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นต่ำสุดก็ตาม
หอมหาสมบัติขึ้นกลายมาเป็นกลุ่มอิทธิพลที่ทรงอำนาจที่สุดในเมืองกุยฉาง!
นี่คือยุคทองของหอมหาสมบัติอย่างแท้จริง จนแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดของสามตระกูลใหญ่ไปมากกว่าขึ้น
นาทีนี้ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าหอมหาสมบัติอีกแล้ว
ในขณะนี้เอง เย่หยวนก็กำลังเข้าสู่การเก็บตัวฝึกปรือ หลังจากที่หลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะได้จำนวนที่กำหนด
อาณาจักรพลังของเขาหยุดนิ่งมาเป็นเวลานานแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เพียงไม่มีเวลาบ่มเพาะพลัง แต่เนื่องจากทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงไม่สามารถบ่มเพาะฝึกปรือใดๆได้เลย แต่แล้วปัญหาทุกอย่างทั้งภายนอกและภายในก็ได้รับการแก้ไขหมดจด นับเป็นยามดี ในที่สุดเย่หยวนก็เริ่มบ่มเพาะพลังต่อได้เสียที
“เจ้าหนู เจ้าต้องคิดไตร่ตรองให้ดี! การจะสร้างเต๋าของตัวเองขึ้นมา นั้นหมายถึงจะต้องสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังของตัวเองขึ้นมาโดยเฉพาะ ถึงมีศิลาจารึกบัลลังก์สวรรค์คอยช่วยเหลือก็จริง แต่นั้นกลับเป็นกระบวนการที่เสียเวลายืดเยื้อเกินไป! บางทีเจ้าอาจจะได้รับวรยุทธบ่มเพาะพลังที่ท้าทายสวรรค์ยิ่ง แต่…สิ่งที่ต้องแรงมาคือเวลาที่เสียไปอย่างมหาศาล!”
ภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์สวรรค์ หวูเฉินยังคงพยายากล่าวโน้มน้าวใจเย่หยวนเป็นครั้งสุดท้าย
ทั้งๆที่มีวรยุทธบ่มเพาะพลังอันท้าทายสวรรค์ของจอมเทพนิรันดร์อยู่ในมือแท้ๆ เย่หยวนสามารถหยิบใช้วรยุทธบ่มเพาะพลังอันนี้ เพื่อฝึกปรือจนขึ้นไปยืนอยู่บนจุดๆเดียวกับจอมเทพนิรันดร์ได้ในไม่ช้าก็เร็ว
นี่เป็นทางลัดที่ดีที่สุด แต่เย่หยวนกลับเลือกที่จะปฏิเสธและยืนกรานที่จะสร้างเต๋าของตัวเองขึ้นมา
คู่สายตาเข้าจับจ้องอย่างแน่วแน่ เย่หยวนกล่าวตอบว่า
“ท่านอาวุโส โปรดอย่าโน้นนาวตัวข้าอีกต่อไป! ข้าเคยกล่าวไปแล้วตั้งแต่ที่อยู่ในดินแดนพฤกษานิรันดร์ ข้าจะก้าวเดินบนเส้นทางที่ข้าเบิกขึ้นเอง ไม่ว่ามัน…จะยากลำบากเพียงใดก็ตาม!”
หวูเฉินอยู่กับเย่หยวนมาก็ตั้งนาน มีหรือที่ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอของเด็กหนุ่มคนนี้? ได้ฟังแบบนั้นจึงเงียบลงทันทีเพราะรู้ว่ากล่าวต่อไปก็ไร้ประโยชน์
เขาทำได้แค่ถอนห่ายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า
“เจ้าสหายหัวรั้นคนนี้ ดูท่าไม่บรรลัยก็บรรลุ! ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่า เจ้าจะสามารถสร้างวรยุทธบ่มเพาะท้าทายสวรรค์เพียงใด!”
ตึงงง….
ภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ จู่ๆก็ปรากฏหุบเขาลูกใหญ่ขึ้นจากกลีบเมฆ!
ม่านตาดำเย่หยวนพลันขยาดขยายกว้าง กลิ่นอายความลี้ลับเกินหยั่งรู้พรั่งพรูถาโถมเข้าใส่โดยตรง
ปรากฏว่า นี่คือร่างที่แท้จริงของศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ!
“อ๊อก…”
เย่หยวนไม่สามารถต้านทานต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ปลดปล่อยออกจากหุบเขาลูกมหึมานี้ได้แม้แต่น้อย จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกโจมตีจนบาดจเจ็บสาหัสทันที
“เจ้าเด็กคนนี้ ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงหารู้จักไม่จริงๆ! เพียงกลิ่นอายแห่งยอดเต๋าที่กอปรอยู่ในหุบเขาถงเทียนจำลอง มันก็มากเกินพอที่จะสังหารเซียนอาณาจักรจักรเทพสวรรค์ได้แล้ว! แต่เจ้ายังจะต้องเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าอีก!”
หวูเฉินบ่นเสียงเย็น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น