Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1329-1332
ตอนที่1329 ปิดล้อมดักฆ่า!
“นายท่าน มีบางอย่างไม่ถูกต้อง! ภายในถ้ำราชันย์แห่งภูตมัน…เงียบเกินไป!”
สีหน้าการแสดงออกของยอดฝีมือคนนำทางกลับไม่สู้ดีนัก
หวังอวีเต๋าสีหน้ามืดตกไม่ต่างและกล่าวว่า
“หุบปาก! ตั้งใจนำทางไปก็พอ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่า ไอ้เด็กเหลือขอนั้นจะมีปัญญาพลิกฟ้าดินได้!”
ไม่จำเป็นต้องให้ยอดฝีมือคนนี้กล่าวเตือน หวังอวีเต๋าก็พอรู้สึกได้เป็นนัย มีบางสิ่งอย่างผิดแปลกออกไปจริงๆ
พวกเขาเดินเท้าเข้ามาในถ้ำราชันย์แห่งภูต เฝ้าระวังภัยรอบด้านหาใช่ประมาท แต่ตลอดทางมานี้กลับไม่พบเจอวิญญาณชั่วแม้แต่ตนเดียว
ในเมื่อถ้ำราชันย์แห่งภูตเป็นถึงจุดที่อันตรายที่สุดในสุสานสายลมหยิน เช่นนั้นก็ควรมีวิญญาณชั่วซ้องสุมอยู่เป็นจำนวนมาก
หวังอวีกั่นคล้ายรู้สึกดั่ง ขนลุกชูชันประดุจหนังไก่ยันศีรษะ ยามนี้ห้ามใจอดเอ่ยปากขึ้นมิได้ว่า
“พี่สอง หรือพวกเรา…ควรถอนตัวออกมาตั้งหลักก่อนดี?”
ได้ฟังข้อเสนอของหวังอวีกั่น หวังอวีเต๋าชักเริ่มหวั่นใจเช่นกัน
“หากมันจนตรอกถึงขั้นใช้ชีวิตอาศัยอยู่ภายในนี้เลยล่ะ? เราจะทำอย่างไร?”
หวังอวีเต๋าเอ่ยถาม
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ยอดฝีมือที่นำทางมากล่าวตอบทันควัน
“ไม่มีทาง! ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด อย่างมากก็อยู่ที่นี่ได้ไม่เกินหนึ่งปี! ภายในถ้ำแห่งนี้มีพลังธาตุหยินเข้มข้นเป็นพิเศษ มันจะเข้ากัดกร่อนร่างกายและจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หากปล่อยนานเข้าอาจสร้างความเสียหายรุนแรงถึงชีวิต! บางคนรากฐานพลังพังเสียหายหนัก บางคนทนทานได้ไหวแต่สุดท้ายก็กลายมาเป็นผีดิบ!”
หวังอวีเต๋าหน้าถอดสีในบัดดล ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าสุสานสายลมหยินจะเป็นสถานที่ที่ชวนขนหัวลุกได้ขนาดนี้
ยามได้ยินคำยืนยันจากพวกขาประจำ เช่นนี้เขาจึงตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
“เข้าใจแล้ว พวกเราถอนตัว!”
หัวใจเต้นกระหน่ำรุนแรง กล่าวได้ว่าแทบพุ่งออกจากลำคอของหวังอวีเต๋า
แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะหมุนตัวจากไป จู่ๆสายลมเย็นยะเยือกหอบใหญ่พลันพัดผ่านสะท้านขวัญ
วูววว! วูววว!
เสี้ยวอึดใจต่อมา ยังไม่ทันรู้สึกฟื้นตัว รอบกายพวกเขาก็เต็มไปด้วยวิญญาณชั่วมากมายโผล่ออกมาจากไหนไม่ทราบ!
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายทั้งสิ้น!
พินิจจากสายตาน่าจะมีไม่ต่ำกว่าพัน!
วิญญาณชั่วจำนวนขนาดนี้ แม้แต่หวังอวีเต๋าที่เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดยังเสียวซ่าสะท้านยันหนังศีรษะเช่นกัน
ไม่ว่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดจะแกร่งกล้า หรือสามารถบดขยี้พวกปฐมพระเจ้าชั้นปลายได้ง่ายเพียงใด แต่นั้นก็มิได้หมายความว่า เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดจะไร้เทียมทานคงกระพันเสมอไป
ยิ่งเป็นวิญญาณชั่วกลับยิ่งยากที่จะจัดการรับมือ
ผนวกกับปริมาณนับพันตนที่กระโจนออกมาพร้อมกับ แม้หวังอวีเต๋าและหวังอวีกั่นจะผนึกกำลังร่วมมือกันอย่างไร พวกเขาก็ไม่มีทางหนีรอดมาได้โดยไร้รอยขีดข่วน
“นี่…เกิดะอะไรขึ้นกันแน่? พวกมันโผล่มากจากไหนตั้งมากมาย?”
“ผู้อาวุโสรอง ระ-เราจะทำอย่างไรกันดี?”
“วิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายทั้งสิ้น! จำนวนขนาดนี้พวกเราตายแน่!”
……………………
สีหน้าของสองผู้อาวุโสแห่งตระกูลหวังอย่างหวังอวีเต๋ากับหวังอวีกั่นผลัดสีดำสลับเขียว
กลิ่นอายความสิ้นหวังกำลังคืบคลานเข้ามาในหมู่พวกเขาแล้ว
วิญญาณชั่วหนึ่งดาวขั้นปลายนับหลายสิบก็ว่าคับขันพอแล้ว ยามนี้มากันเป็นหลักพัน จะไม่ให้พวกเขาสิ้นหวังได้อย่างไร?
“พวกเจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! เอาแต่พร่ามไม่หยุดคงหนีรอดออกจากฝูงผีพวกนี้ได้? ติดตามเราชายชรามา แล้วหาทางออกไปด้วยกัน!”
หวังอวีเต๋าค่อนข้างมีสติตามอายุ คงบีมีล้นหลามหนึ่งเสียงตะโกนเดียวทำเอาทุกคนสงบลงทันใด
ในเวลาเดียวกัน หวังอวีเต๋าเรียกทวนยาวของตนออกมาพร้อมเข้าสัประยุทธ์เดือดกับฝูงวิญญาณชั่วโดยตรง
“โฮ่ววว! โฮ่ววว!”
เสียงกรีดร้องสุดเวทนาดังระงมก้องหูไม่หยุดหย่อน วิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายยังคงอ่อนแอเกินไปเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังอวีเต๋า
แต่การโหมสัประยุทธ์ของหวังอวีเต๋า ถึงจะทำให้วิญญาณชั่วเหล่านั้นร้นถอยออกไปได้บ้าง ทว่ามันกลับยิ่งกระตุ้นให้วิญญาณชั่วเหล่านั้นบ้าคลั่งยิ่งขึ้นในเวลาต่อมา ก่อนเบี่งเป้าหมายเข้าโจมตีคนอื่นๆแทน
“อวีกั่น เจ้าคุมด้านหลัง ข้าจะอยู่ด้านหน้าค่อยเปิดทางให้เอง ระวังอย่าให้ผีชั่วพวกนี้ทะลวงเข้ามาได้!”
หวังอวีเต๋าผ่านศึกใหญ่มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ถึงยามนี้นับว่าคับขัน แต่กลับหาตื่นตูมไม่
เขากับหวังอวีกั่นมาตรได้ว่าเป็นทหารเจนสมรภูมิ ยามสู้รบเข้าประจำตำแหน่งเป็นระบบอย่างรู้งานกัน ซึ่งนี่สามารถลดความกดดันของคนอื่นไปได้มากโข
อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยจำนวนของวิญญาณชั่วทีมีมากเกินไป นอกจากพวกมันจะดุร้ายและไม่กลัวตาย พวกมันยังทำทุกหนทางเพื่อหวังกลืนกินอย่างกระหาย
ในไม่ช้า หนึ่งในพวกเขาก็ไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไป
“อ๊ากกก!!”
ยอดฝีมือของตระกูลหวังที่มีความแกร่งกล้าอ่อนแอที่สุด ดันพลาดท่าถูกวิญญาณชั่วกลุ่มใหญ่กระชากออกมาพร้อมรุมกินโต๊ะไม่เหลือ
วิญญาณชั่วเหล่านี้ดืนกระหายจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของมนุยษ์เป็นที่สุด คล้ายกับฝูงฉลาดกระหายเลือด ยอดฝีมือของตระกูลหวังคนนั้นถูกวิญญาณชั่วนับหลายสิบตนแย่งกันกลืนกินอย่างเอร็ดอร่อย
ไม่นานเกินรอ ยอดฝีมือคนนั้นก็เหลือแต่ศพเย็นชืดไร้วิญญาณ
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาคนนั้นถูกวิญญาณชั่วฉีกกระชากแย่งกินไม่เหลือซาก
เมื่อทุกคนเห็นภาพฉากขวัญสะเทือนชนิดนี้ ถึงกับไม่กล้าหายใจแรง
บางที…เหยื่อรายต่อไปอาจเป็นพวกเขา!
วิญญาณชั่วเหล่านี้ทราบดี ของร้อนของเย็น ใครควรแตะต้องใครไม่ควรยุ่งย่าม พวกมันต้องค่อยเฝ้าระวังเพียงหวังอวีเต๋ากับหวังอวีกั่นเท่านั้น ส่วนที่เหลือที่อยู่ตรงใจกลางกลับเป็นเหยื่ออันโอชะ
ในไม่ช้า สมาชิกอีกหนึ่งคนของตระกูลหวังก็ถูกลากออกจากกลุ่ม
“หลินฉิว!”
ดวงตาของหวังอวีเต๋าแดงกล่ำด้วยความโกรธจัด เหยื่อรายนี้ที่ตายลงหาใช่ผู้ใดอื่นนอกจาก หลานชายแท้ๆของหวังอวีเต๋า
ก่อนที่จะเดินทางมา เขาไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า วันนี้กลับต้องหยิบยืมขุมพลังของตระกูลหวังมาขนาดนี้เพื่อจับเด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเพียงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ราคาความสูญเสียยังมหาศาลจนน่ากลัว
เว้ยเสียแต่เศร้าก็ส่วนเศร้า สถานการณ์ตอนนี้ยิ่งเสียเปรียบหนักเมื่อจำนวนคนลดลง
วิญญาณชั่วนับหลายร้อยบุกเข้ามาไม่เว้นวาย แม้เขาจะแกร่งกล้า แต่กลับไม่สามารถยื่นมือช่วยเหลือใครได้เช่นกัน
หากพลาดพลั้งเพียงครั้งเดียว อาจสะดุดเท้าตนเองตกไปตายได้ไม่ต่าง
มีสองผู้อาวุโสอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดป้องกันหน้าหลังตลอดทาง ยามนี้เริ่มเคลื่อนเข้าใกล้ปากทางออกถ้ำบ้างแล้ว
เพียงว่าเสียงหลานชายคนเองยังคงกรีดร้องโหยหวนดังก้องอยู่ในหูหวังอวีเต๋าไม่รู้จบ
หัวใจของเขาราวกับถูกคมมีดบาดลึกจนเลือดสดไหลซิบออกมา!
“ฆ่า!”
วันนี้หวังอวีเต๋าประสบความสูญเสียมากเกินไป ราคานำจ่ายจำนวนมหาศาลเช่นนี้ นับเป็นการสลักเส้นทางอาฆาตสีโลหิตไว้แล้ว ทวนยาวสะบั้นคอวิญญาณชั่วตนหนึ่งด้วยความอาฆาตแค้น พร้อมพุ่งออกจากถ้ำราชันย์แห่งภูตโดยตรง
ดวงตายามนี้ของหวังอวีเต๋าเปี่ยมแค้นสุดอาฆาต จนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด
ทิ้งท้ายสุด ร่างหนึ่งปราดพุ่งออกมาจากถ้ำ หวังอวีกั่นหนีออกมาได้เป็นคนท้าย
บูมมมม!
แต่วิญญาณชั่วหาได้มีเจตนาปล่อยศัตรูลอยนวลไม่ พวกมันกลุ่มใหญ่ตามติดพวกหวังอวีเต๋าออกมาจากถ้ำราชันย์แห่งภูตเช่นกัน พร้อมไล่ล่าพวกนั้นต่อไป
หวังอวีเต๋าได้แต่กักเก็บความแค้นและเศร้าโศกอยู่ในใจ นาทีนี้จำต้องพาทุกคนหนีออกไปให้ได้
ไม่รู้ว่าไล่ล่ากันยาวนานเพียงใด แต่ในที่สุดก็ไม่มีวิญญาณชั่วตามติดอีกต่อไป ทุกคนที่เห็นว่าหนีพ้นต่างทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง หายใจหอบถี่สูดอากาศเข้าปอดอย่างบ้าคลั่ง
หวังอวีเต๋ากวาดสายตามองไปยังคนที่เหลือรอดออกมาได้ ซึ่งนั้นทำเอาเขาตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ในคราแรกที่นำกำลังกันมา หากรวมยอดฝีมือที่นำทางมาแล้วก็มีทั้งหมดสิบเจ็ดคน!
ทว่าตอนนี้หากนับรวมตัวเขาและหวังอวีกั่นแล้ว กลับเหลือแค่ห้าคนเท่านั้น!
แค่เข้าออกถ้ำครั้งเดียว กลับสูญเสียกำลังคนไปถึงสิบสองคน!
นอกจากยอดฝีมือที่ทำหน้าที่นำทางแล้ว หลานชายของหวังอวีเต๋ายังตายลงภายในถ้ำแห่งนั้นไปอีก
นี่ยังไม่รวมเหล่าผู้คนระดับสูงของตระกูลหวังอีกมากมาย
พวกเขาเหล่านี้โดยส่วนใหญ่เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย มีชั้นกลางปะปนอยู่เล็กน้อย
การเดินทางครั้งนี้ ที่สูญเสียผู้คนระดับสูงของตระกูลหวังกลุ่มนี้ไปจำนวนมาก กล่าวได้ว่าขุมกำลังของตระกูลหวังลดลงไปกว่าครึ่ง!
“เย่หยวน! หากข้ามิอาจชำระหนี้แค้นควาวนี้ได้ ข้า,หวังอวีเต๋าผู้นี้ไม่ขอเป็นคน! เราชายชราขอสาบานต่อสรวงสวรรค์ ข้าจะต้องฆ่าแกให้ได้ในสุสานสายลมหยินแห่งนี้!”
ดวงตาของหวังอวีเต๋าดั่งท่วมท้นไปด้วยโลหิต กรามกระทบบดแน่นด้วยความเกลียดชังเย่หยวนสุดขั้วหัวใจ
แต่เขาคงลืมคิดไปว่า กลับเป็นพวกเขาที่ไล่ล่าเย่หยวนและทำตัวเองทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะอย่างไร มิว่าทางอ้อมหรือทางตรง เย่หยวนได้สังหารสมาชิกตระกูลหวังไปมากเกินไปแล้ว และนี่นับเป็นความผิดสลักบัญชีเลือดอย่างแท้จริง
………………………
ภายในถ้ำราชันย์แห่งภูต ห้าพี่น้องฉางเหลียนได้แต่อ้าปากขากรรไกรข้างเติ่งแทบร่วง ความประหลาดใจนี่แสนตราตรึงใจเสียเหลือเกิน
พวกเขาสบตากันไปมาพร้อมสีหน้าประดุจเห็นผี
“พะ-พี่ใหญ่…เมื่อครู่ท่านเห็นหรือไม่? นั้นเป็นถึงวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลาย! เขา…เขาสามารถควบคุมวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายได้ตามใจนึก!”
ฉางเหลียนช้อนสายตาจับจ้องเย่หยวนที่กำลังนั่งสมาธิด้วยความยำเกรงสุดขีด!
เฉพาะคราวนี้ พวกเขาเป็นประจักษ์ต่อความแกร่งกล้าของเย่หยวนอย่างแท้จริง!
ปรากฏว่า หากเย่หยวนต้องการฆ่าพวกเขา กลับทำได้ง่ายดายประดุจพลิกฝ่ามือเท่านั้น!
ตอนที่1330 วิญญาณชั่วสองดาว!
“นะ-น้อง..ไม่สิ! นายท่าน! ครั้นก่อนหน้ากลับเป็นพวกเราที่โง่เขลา มีตาหามีแววไม่ นายท่านโปรดอย่าถือสา!”
ฉางเหลียนผสานมือแน่นกล่าวกับเย่หยวนด้วยความเคารพสุดใจ
แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มเหงื่อเย็นไหลซิบไม่หยุด เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวเจือสุขใจกลายๆ
โชคดีอย่างยิ่งที่เขาเลือกที่จะไม่เป็นศัตรูกับเย่หยวน มิฉะนั้นกลับเป็นเจ็ดพี่น้องที่ตาบเกลี้ยง หาใช่แค่น้องสามกับน้องเจ็ด
เมื่อวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายเข้าตีกรอบปิดล้อมพวกหวังอวีเต๋า ฉางเหลียนและเหล่าน้องๆต่างเฝ้าดูจากในส่วนลึกของถ้ำ
ฉากภาพระทึกที่เย่หยวนสรรสร้างขึ้นมาจำต้องตราตรึงใจพวกเขาไปชั่วชีวิต
ลืมไปเลยสำหรับหวังอวีเต๋า แม้แต่ฉางเหลียนที่เป็นผู้ชนอยู่รอบนอกยังขนเสียวซ่านยันหนังศีรษะ
อย่างไรก็ตามแต่ เมื่อเห็นว่าสมาชิกตระกูลหวังค่อยๆถูกรุมกินโต๊ะไปทีละคนสองคน ฉางเหลียนและน้องๆอดรู้สึกดีใจมิได้
กล่าวกันตามตรง พวกตระกูลหวังหลงลำพองคิดว่าตนยิ่งใหญ่คับฟ้า จะสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจเกินไป ถึงขั้นที่ว่าฆ่าน้องสามกับน้องเจ็ดราวกับผักปลากไม่ใยดี นับว่ากรรมตามสนองพวกบัดซบเหล่านี้แล้ว
เย่หยวนค่อยๆลืมตาทั้งสองข้างขึ้นและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า
“ข้าหาใช่คนใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น ตราบใดที่พวกเจ้าไม่ยั่วยุนายน้อยผู้นี้ก่อน โดยปกติข้าไม่ไปก่อปัญหาให้อยู่แล้ว เส้นทางของเจ้า เจ้าก็ควรเลือกเดินด้วยตนเอง มิอยากให้กลุ่มอิทธิพลภายนอกใดมาแทรกแซงกำหนดชะตาชีวิตแทน ข้าได้เห็นมิตรภาพระหว่างพวกเจ้าเจ็ดพี่น้องที่ช่างลึกซึ้งและน่าประทับใจยิ่ง นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าช่วยสะสางหนี้แค้นให้ในคราวนี้”
หวูเฉินเฝ้าติดตามทุกการเคลื่อนไหวโดยรอบบริเวณถ้ำแห่งนี้ตลอด ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกถ้ำราชันย์แห่งภูตกลับมิอาจรอดพ้นจากสายตาของเขาได้เช่นกัน
แต่เดิมเขาพลันคิดไปว่า พวกเจ็ดวีรบุรุษสายลมหยินนั้นก็เป็นแค่กลุ่มโจรที่มีความโลภเป็นตัวขับเคลื่อนเท่านั้น ทว่าใครจะไปคิด มิตรภาพพี่น้องระหว่างพวกเขากลับทรงคุณค่าเหนือชีวิต!
คาดไม่ถึงเลยว่า ทั้งฉางเหลียนหรือกระทั่งน้องสามและน้องเจ็ดจะมีความซื่อสัตย์และเป็นห่วงมากขนาดนี้
สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างกินใจไม่น้อยสำหรับเย่หยวน นั้นจึงเป็นเหตุให้เขาปล่อยให้พวกฉางเหลียนเข้ามาหลบภัยในนี้
หลังจากที่หวูเฉินดูดกลืนวิญญาณชั่วไปจำนวนหนึ่ง สภาพของเขาก็ดีขึ้นอย่างมากในอึดใจ
ซี่งวิธีการต่างๆที่หวูเฉินสำแดงใช้ออกมา พลันทำให้เย่หยวนแอบตะลึงใจยิ่งเช่นกัน
หวูเฉินหลอมสร้างวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายที่กลืนกินไปออกมาภายใต้คำสั่งที่ว่า ให้พวกมันทั้งหมดเข้าปิดล้อมพวกตระกูลหวัง
สำหรับวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายและวิญญาณชั่วหนึ่งดาวขั้นสุด นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง!
วิญญาณชั่วหนึ่งดาวกลับหาได้มีสติสัมปชัญญะใด พวกมันทำไปล้วนเป็นตามสัญชาตญาณทั้งสิ้น
ดังนั้นแล้วเพียงหวังอวีเต๋าย่างเท้าเข้าไปในถ้ำราชันย์แห่งภูต ผลลัพธ์ที่ได้ต่อจากนี้นับว่าน่าสังเวชไม่น้อย
“ใช่ ใช่ ใช่แล้ว! ใช่แล้วท่าน! ก่อนหน้านี้ที่พวกเรายั่วยุเจตนาร้ายกลับโง่เขลายิ่งกว่าสุนัข! ตระกูลหวังแข็งแกร่งเกินไป จึงเป็นเหตุให้พวกเราทั้งห้าคิดร้ายหวังโยนความผิดใส่ท่านแทน! แต่หากมีนายท่านอยู่ ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานตระกูลหวังจำต้องถูกลบล้างออกไปจากเมืองกุยฉางแน่นอน เหลือแค่รอเวลาเท่านั้น! หากนายท่านมีเมตตาใจกว้าง โปรดรับพวกเราเป็นผู้ติดตามต่อจากนี้ด้วยเถิด อนาคตต่อไปพวกเราจะได้มีโอกาสแก้แค้นตระกูลหวังบ้าง”
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยกล่าวว่า
“กล่าวตามสัตย์จริง ข้าเองก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่า พวกตระกูลหวังจะเป็นสุนัขบ้าได้ขนาดนี้ เพียงเพราะพวกเจ้าเป็นนำทางข้า พวกมันกลับระบายความโกรธใส่พวกเจ้าแทน นายน้อยผู้นี้จะล้างบางตระกูลหวังให้สิ้นชื่อแน่นอน! พวกเจ้าก็ติดตามข้ามาต่อจากนี้!”
แววประกายสว่างพลันสาดส่องออกจากนัยน์ตาของฉางเหลียน เขาเร่งกล่าวขึ้นอย่างมีความสุขว่า
“นายท่าน พวกเรายิ่งดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นคนติดตามของท่าน! นับเป็นเกียรติแล้ว! ต่อจากนี้พวกเราห้าพี่น้องขอรับใช้และปฏิบัติตามคำสั่งของท่านจวบจนวันตาย!”
ฉางเหลียนส่งสัญญาณเชิงสายตาให้น้องๆที่เหลือ และค่อยๆคุกเข่าคำนับเย่หยวนด้วยความเลื่อมใส
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“อืม ต่อจากนี้พวกเจ้าคือผู้ติดตามของข้า แน่นอนว่าข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผลกำไรที่พวกเจ้าได้รับมา เพียงแต่ข้ามิอาจทนต่อเรื่องลับหลังทรยศได้ หากนายน้อยผู้นี้จับได้ว่าพวกเจ้ามีเจตตนาร้ายแอบแฝงดั่งก่อนหน้า ก็อย่าตำหนิว่านายน้อยผู้นี้เป็นคนโหดเหี้ยม!”
ฉางเหลียนตื่นตระหนกหนักเมื่อได้ฟังแบบนั้น เขาเร่งกล่าวตอบทันควันว่า
“มิกล้า! มิกล้า! เพียงการตายของน้องสามกับน้องเจ็ด พวกเราก็สูญเสียมามากเกินพอแล้ว เรื่องโง่เขลาแบบนั้นกลับไม่กล้านำใส่สมอง! นอกจากนี้สิ่งเดียวที่พวกเราปรารถนาที่สุดในปัจจุบันคือ ล้างแค้นให้แก่น้องสามกับน้องเจ็ดเท่านั้น!”
เย่หยวนที่เพิ่งเอ่ยปากไป ทันใดนั้นสีหน้าการแสดงออกของเขาพลันมืดขรึมลงทันทีอย่างยำเกรง
ท่าทีของพวกฉางเหลียนเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ประดุจว่ายามนี้กำลังมีอสรพิษร้ายกำลังจับจ้องเข้าใส่
โดยรอบบริเวณปรากฏแรงกดดันประหลาดเข้าห่อหุ้มร่างกายเอาไว้อย่างมิดชิด
“วิญญาณชั่วหนึ่งดาวขั้นสุด! นายท่าน…นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ศึกสัประยุทธ์ก่อนหน้าของพวกหวังอวีเต๋านับว่ายิ่งใหญ่มากแล้ว ทว่ายามสัมผัสถึงขุมพลังนี้กลับอาอาจเสียยิ่งกว่า
เฉกเช่นเดียวกับเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด วิญญาณชั่วหนึ่งดาวขั้นสุดกลับยากที่จะกำราบปราบปราม
ทันใดนั้น ปรากฏการณ์ก่อเกิดเกลียวคลื่นพายุหมุนวนเป็นกระแสน้ำสุดเชี่ยวกราก พร้อมแผดขยายรัศมีกระจายออกไปอย่างรวดเร็วโดยมีเย่หยวนเป็นจุดศูนย์กลาง
วิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายเหล่านั้นถูกดูดเข้าไปในกระแสน้ำวนนั้นโดยตรง ในที่สุดวิญญาณของพวกทันทั้งหมดก็ถูกเย่หยวนกลืนกินลงไป!
วิญญาณชั่วหนึ่งกาวขั้นสุดมิอาจต่อต้านใดๆได้แม้สักนิด จนท้ายที่สุดจำต้องกลายมาเป็นอาหารบำรุงของหวูเฉินโดยมิอาจขัดขืน
ภาพฉากแสดงประจักษ์ชัดแก่คู่สายตา ฉางเหลียนและที่เหลือเบิกตาโตแทบถลนทะลักออกมา
สามารถควบคุมวิญญาณชั่วหนึ่งดาวขั้นสุดได้เป็นฝูงใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นยังกลืนกินพวกมันทั้งแบบนั้นอีก ภาพฉากนี้กลับให้ความรู้สึกสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก
เขา…เขาไม่กลัวตายเลยรึ?
พวกฉางเหลียนเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่มาไม่น้อยกว่าร้อยปี แต่กลับไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนว่า จะมีใครหยิบใช้วิธีประหลาดเช่นนี้เข้าจัดการ
กลับกลายเป็นว่า นายน้อยของพวกเขาเล่นกลืนกินวิญญาณชั่วเหล่านั้นทั้งเป็น!
ฉางเหลียนและที่เหลืออดกระเดือกน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่มิได้ ยามนี้ตระหนักทราบแล้วว่า นายท่านของพวกเขาลึกลับน่ากลัวเพียงใด
ในท้ายที่สุดนรี้ กลับเป็นฉางเหลียนที่เริ่มรู้สึกเห็นอกเห็นใจหวังอวีเต๋าอยู่บ้างแล้ว
ไปหาเรื่องใครไม่หาเรื่อง ดันมาหาเรื่องเย่หยวนผู้นี้ซะได้ นับว่าตระกูลหวังชะตาขาดแล้ว!
ในปัจจุบัน โดยรอบแห่งนี้ยังเหลือวิญญาณชั่วหนึ่งดาวขั้นสุดอีกประมาณสามถึงสี่สิบตนที่ดักซ่อนตัวอยู่ ต่อการเผชิญหน้าแบบนี้ เย่หยวนจำต้องระมัดระวังตัวอย่าได้ประมาทเช่นกัน
แม้พวกมันจะคอยดักซุ้มอยู่ทั่วทั้งถ้ำ ทว่ายามนี้กลับไม่มีตนใดหาญกล้าเหยียบย่างออกมาเผชิญหน้าเลย
วิญญาณชั่วหนึ่งดาวพวกนี้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ เนื่องจากเมื่อครู่พวกมันรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของไข่มุกสยบวิญญาณได้อย่างชัดเจน ตามสัญชาตญาณจึงทำให้พวกเขาเลือกที่จะหลบมุมซ่อนตัวเป็นดีที่สุด
สรรพสิ่งบนผืนพิภพล้วนมีบางสิ่งเสริมสร้างและพิฆาตกันและกันเสมอ วิญญาณชั่วเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและจัดการยากยิ่งสำหรับนักสู้ที่เป็นมนุษย์
แต่ไข่มุกสยบวิญญาณเองก็นับเป็นของแสลงของพวกมันเช่นกัน!
หลังจากทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงบดังเดิม ในที่สุดฉางเหลียนพลันถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ขณะเดียวกับยังรู้สึกระทึกขวัญเหลือเชื่อตราตรึงหาเสื่อมคลาย
ภายในสุสานสายลมหยินแห่งนี้ โดยปกติจะมีแต่มนุษย์ที่พยายามหลบเลี่ยงเปลี่ยนเส้นทางเมื่อเห็นวิญญาณชั่ว
แต่วันนี้ สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นพวกวิญญาณชั่วแทนที่พยายามหลบเลี่ยงหนีหน้ามนุษย์
ฉางเหลียนรตระหนักได้ทันที โลกทั้งใบที่เขาเคยรู้จักกลับเล็กกว่าที่คิดไว้มาก!
เย่หยวนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ฉางเหลียนที่เห็นแบบนั้นก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้ว่า
“นายท่าน เราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”
ทว่าเย่หยวนหาได้สนใจวาจาคำกล่าวของฉางเหลียนไม่ แต่สายตาพลันแบนไปทางส่วนลึกของถ้ำ
ภายในนั้นเปรียบดั่งห้วงแห่งความมืด สาดสายตาทอดยาวแค่ไหนก็มิอาจมองเห็นอะไรได้เลย
“ในเมื่อมาแล้ว ไยไม่แสดงตัวเสียหน่อย?”
รอยยิ้มแสยะเย็นฉีกขึ้นบนมุมปาก เย่หยวนกล่าวน้ำเสียงเรียบลื่น
ฉางเหลียนและที่เหลือต่างสะดุ้งโหย่งตกใจ ยามนี้ทั่วทั้งใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยความมึนงง
วิญญาณชั่วหนึ่งดาวโดยส่วนใหญ่ถูกกำราบสิ้นไปแล้วมิใช่รึ? ส่วนที่เหลือก็ซ่อนตัวไม่กล้าออกมา? หรือเป็นไปได้ไหมว่า ภายในถ้ำแห่งนี้ยังมีคนอื่นอยู่อีก?
ขณะที่พวกเขากำลังกังขาสงสัย ประกายแสงหนึ่งสีเย็นพลันปรากฏขึ้นจากส่วนลึกของถ้ำ
ร่างหนึ่งย่างสามขุมก้าวแช่มออกมาจากความมืดอย่างช้าๆ
ทันทีที่ร่างนี้ปรากฏขึ้นสู่สายตา พวกฉางเหลียนทั้งห้าถึงกับสั่นสะท้านขวัญเสียเกินพรรณนา
กลิ่นอายอันทรงพลังขนาดนี้ ทำให้พวกเขาไม่สามาถขยับเขยื้อนใดๆได้เลยแม้แต่ปลายนิ้ว!
บุคคลนี้แข็งแกร่งเกินไป!
ด้วยขุมพลังที่ซุกซ่อนอยู่ของบุคคลนี้ หากมีเจตนาต้องการฆ่าพวกเขาจริงๆ คงทำได้เพียงปัดมือส่งเบาๆ!
แต่…ไฉนถึงมีการดำรงอยู่ระดับนี้ภายในถ้ำราชันย์แห่งภูต?
บุคคลที่ปรากฏกายออกมาคือ ชายรูปร่างคนหนึ่งที่ดูท่าทางอ่อนโยนและเป็นมิตร เสมือนกับองศ์ชายจากเชื้อพระวงศ์ใหญ่
พินิจจากภายนอกกลับมิได้แตกต่างอะไรจากคนทั่วไปมากนัก แต่หากพิจารณาใกล้ๆโดยละเอียดจจะพบว่า ร่างกายของเขาดูคล้ายกับภาพมายาเบาบางไม่เหมือนจริง
“มนุษย์น้อย เจ้าค่อนข้างพิเศษนัก!”
ชายรูปงามคนนั้นกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ความหมายในคำกล่าวของเขาค่อนข่างชัดแจ้ง ชายรูปร่างที่ยืนตรงหน้ากลับมิใช่มนุษย์!
อย่างไรก็ตามแต่ ต่อหน้าเผชิญกับกลิ่นอายอันทรงพลังขนาดนี้ เย่หยวนกลับยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยามได้ยินแบบนั้น เย่หยวนคลี่ยิ้มกล่าวตอบว่า
“ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่า ภายในถ้ำราชันย์แห่งภูตจะมีวิญญาณชั่วสองดาวดำรงอยู่จริงๆ แถมยังเป็นวิญญาณชั่วสองดาวที่วิวัฒนาการจนมีสติสัมปชัญญะอย่างเจ้าด้วย!”
ตอนที่1331 อักขระร้อยภูตเต๋า!
“วะ-วิญญาณชั่วสองดาว?”
สีหน้าของฉางเหลียนมืดตกลงกะทันหัน สายตาของเขาจับจ้องไปที่ชายรูปงามคนนั้นด้วยความหวาดกลัว
แม้นั้นจะเป็นเพียงคำบอกเล่าว่ามีวิญญาณชั่วสองดาวภายในสุสานสายลมหยิน แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนเช่นกัน
พวกเขาคาดไม่ถึงเลยสักนิด ชายรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้าแท้จริงแล้วกลับมิใช่มนุษย์ แต่เป็นวิญญาณชั่วสองดาว!
วิญญาณชั่วสองดาวธรรมดาทั่วไปยังพอทำเนา แต่นี่ยังเป็นถึงวิญญาณชั่วที่วิวัฒนาการจนก่อเกิดสติสัมปชัญญะขึ้นแล้ว
หากนับกันตามจริง วิญญาณชั่วสองดาวทั่วไปยังไม่ถึงหนึ่งในหมื่นของวิญญาณชั่วที่มีสติสัมปชัญญะ
เนื่องจากพวกมันเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณเท่านั้น
เผชิญพบกับวิญญาณชั่วสองดาวแบบนี้ หวูเฉินไร้ซึ่งอำนาจดำเนินการใดๆเช่นกัน เพราะพวกมันมีสัญชาตญาณเป็นแรงขับเคลื่อน
ถึงกระนั่นหวูเฉินกํไม่คิดไม่ฝันเลยว่า วิญญาณชั่วสองดาวภายในถ้ำราชันย์แห่งภูตยังวิวัฒนาการจนก่อเกิดสติสัมปชัญญะได้อีก
ชายรูปงามตนนั้นหาได้กล่าวปฏิเสธเช่นกัน แต่เอ่ยปากกล่าวว่า
“มีบางอย่าง…ที่ข้าต้องระมัดระวังตัวยิ่ง!”
แท้ที่จริงแล้ว เย่หยวนเองก็ประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน นอกจากนี้ก่อนหน้าเขายังคิดว่า วิญญาณชั่วสองดาวเป็นผีก็มิใช่เป็นคนก็ไม่เชิง และดุร้ายไร้สติ
แต่คาดไม่ถึงโดยแท้ วิญญาณชั่วสองดาวที่พบเจอจะกลับกลายมาเป็นแบบนี้จริงๆ!
ยิ่งไปกว่านั้น ญาณสัมผัสรับรู้ของอีกฝ่ายก็ดูท่าจะไวมากเสียด้วย
ม่านตาดำของฉางเหลียนหดแคบตีบตันยามจ้องมองไปทางเย่หยวน ทั่วทั้งใบหน้าประดับประดาความหวาดกลัวสุดเปี่ยมล้น
แม้แต่วิญญาณชั่วสองดาวตรงหน้ายังกล่าววาจาเช่นนั้นแสดงถึงความครั่นคร้ามต่อเย่หยวนประจักษ์ชัด!
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือ หากวิญญาณชั่วสองดาวต้องการจะฆ่าพวกเขา เพียงขยับปลายนิ้วก็เพียงพอแล้ว
ทว่ายามเผชิญหน้ากับเย่หยวนที่เป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น อีกฝ่ายกลับรู้สึกความหวั่นเกรงอย่างมาก!
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“สองดาวชั้นกลาง อืม…นับว่าไม่เลว! ข้าไม่คิดเลยว่า การที่เจ้าสามารถวิวัฒนาการจนก่อเกิดสติสัมปชัญญะขึ้นได้ จะช่วยให้เจ้ารอดตายจากข้าในวันนี้ นายน้อยผู้นี้จะไม่ฆ่าเจ้า”
ฉางเหลียนขนลุกซู่วเป็นหนังไก่ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขาแทบอยากจะวิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เย่หยวนคนนี้บ้าบิ่นเกินไป!
นั้นเป็นถึงวิญญาณชั่วสองดาว แต่เย่หยวนก็ยังจะไปพล่ามวาจาเช่นนั้นอีก
เดี๋ยวก่อน…สองดาวชั้นกลาง?
ฉางเหลียนแทบลมจับหมดสติลงทั้งแบบนั้น เขาทราบดีว่านี่หมายความว่าอย่างไร?!
กล่าวว่าอาณาจักรปฐมพระเจ้า แต่ละระดับชั้นย่อยกว้างใหญ่ดุจฟ้าดิน แต่หากเป็นอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า กลับไพศาลดั่งข้ามสวรรค์ฟ้าทั้งมวล!
ความแตกต่างระหว่างชั้นต้นกับชั้นกลาง ช่างไพศาลไร้ขอบเขตเกินไป!
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ เย่หยวนสามารถบอกได้อย่างไรว่า อีกฝ่ายเป็นวิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลาง?
เมื่ออาณาจักรพลังห่างชั้นกันเกินไป ผู้ที่ด้อยกว่าจะมิอาจสัมผัสถึงขุมพลังอีกฝ่ายได้
ความลึกลับมีมากเกินไป ห้าพี่น้องฉางเหลียนมิสามารถเข้าใจอะไรได้ทันสักอย่าง
ทว่าชายรูปร่างตนนั้นกลับกล่าวตอบว่า
“เจ้าจะทราบได้อย่างไร…ว่าข้าทำอะไรเจ้ามิได้เลย? อาศัยตัวเจ้า…ยังอ่อนแอเกินไป!”
เย่หยวนโต้วาจาตอบประดับรอยยิ้มกว้าง
“หากเจ้ายังไม่มีสติสัมปชัญญะก็ลืมไปได้เลย คงมิอาจหลีกเว้นการสัประยุทธ์นองเลือดได้นแน่นอน แต่ในเมื่อเจ้ามีสตินึกคิด ก็ไม่จำเป็นต้องสู้กับนายน้อยผู้นี้ให้เสียเวลา”
เย่หยวนกลั่นกรองวาจากล่าวขึ้นไปตามจริง หาใช่หวังข่มขู่หรือเล่นแง่ใดๆ
ชายรูปงามคลี่ยิ้มตอบเช่นกันและกล่าวว่า
“ขอนับถือในความใจกล้าอันล้นเหลือของเจ้า แต่หากข้าต้องการฆ่าเจ้าจริงๆ เพียงกระดิกนิ้วเกรงว่าบรรลุผลแล้ว!”
ไล่หลังที่กล่าวจบ คลื่นพลังหยินสุดขั้วหอบใหญ่ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมถาโถมเข้าในใส่เย่หยวน หวังพิฆาตในอึดใจเดียว
เพียงแต่เย่หยวนยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงใดๆ ในขณะที่พวกฉางเหลียนทั้งห้ายืนแข็งทื่อหน้าถอดสีกันไปแล้ว
พวกเขากลัวจนไม่ขยับเท้าก้าวกันไม่ออก
ปรากฏว่า ยังไม่ทันที่วิญญาณชั่วสองดาวเคลื่อนไหว พวกเขาก็ชะตาขาดได้แล้ว!
ทว่าพลันมีรัศมีพลังไร้สภาวะกลุ่มหนึ่งเข้าห่อหุ้มเย่หยวนเอาไว้อย่างทันท่วงที
ทันทีที่คลื่นพลังหยินสุดขั้วตรงถึงเบื้องหน้าเย่หยวน มันกลับสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
รูม่านตาของชายรูปงามตีบแคบในทันใด สิ่งนี้ยืนยันได้อย่างชัดแจ้ง เย่หยวนกลับไม่ง่ายดั่งผิวเผินที่เห็น!
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางว่า
“อย่าเคลื่อนไหวให้เสียเวลาเปล่า นายน้อยผู้นี้ถือว่าให้โอกาสเจ้า ประทับสัญญาณสวรรค์และยอมรับข้าในฐานะเจ้านาย! บางทีสิ่งที่เจ้าจะได้รับตอบแทนหลังจากนี้อาจยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ!”
ในขณะที่กล่าวออกไปแบบนั้น เย่หยวนก็พลางก้าวแช่มตรงเข้ามาพวกฉางเหลียนทั้งห้า ก่อนยื่นนิ้วตรงเข้าแตะกลางหน้าผากของทั้งห้าเบาๆ
ทันใดนั้น พลังวิญญาณสายหนึ่งก็ค่อยๆหลั่งไหลเข้าสู่กายาของทั้งห้า ก่อนกระจายเป็นชั้นพลังเคลือบคลุมทั่วร่างโดยตรง
ทั้งห้าเนื้อตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย พวกเขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและพลังอันล้นเหลือปลดปล่อยออกมาจากภายในร่างกาย
อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งที่พวกเขาตกใจที่สุดกลับมิใช่เรื่องนี้ ทว่าเป็นคำกล่าวของเย่หยวนเมื่อครู่!
วาจาคำกล่าวนี้สะเทือนฟเสะท้านดินเกินไป จนพวกเขาทำได้แต่อ้าปากค้าพลางจับจ้องเย่หยวนอย่างว่างเปล่า
ก่อนหน้านี้ นายท่านของพวกเขากล่าวอะไรไป?
ต้องการให้วิญญาณสองดาวชั้นกลางที่มีสติสัมปชัญญะมารับใช้เขาในฐานนายท่าน?
เอ่อ…นายท่านของพวกเขามิได้กินยาผิดแขนงมาใช่หรือไม่?
ชายรูปงามได้ฟังดังนั้นยังพลันมึนงง ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะลั่นทั้งๆแบบนั้นและกล่าวว่า
“ช่างน่าขัน! เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นอย่างเจ้า กล้าดีอย่างไรถึงพร่ามวาจาไร้สาระเช่นนี้ออกมา!”
ระดับชั้นของโลกปราณยุทธกล่าวได้ว่าเข้มงวดยิ่ง เนื่องจากอาณาจักรพลังของเย่หยวนอยู่ต่ำเกินไป วาจาคำกล่าวเหล่านี้จึงไม่ต่างอะไรกับการดูหมิ่นดูแคลนอีกฝ่ายเลย
แม้จะไม้ดคยเป็นทั้งมิตรหรือศัตรู แต่แค่ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวกลับมีน้ำหนักพอที่จะบาดหมางถึงขั้นฆ่าแกงกันได้แล้ว
ทว่าเย่หยวนหาได้สะทกสะท้านใดไม่ เขาเพียงยื่นนิ้มชี้ออกมาแล้ววาดอะไรบางอย่างขึ้นกลางอากาศ
ฉางเหลียนและที่เหนือไม่แน่ใจว่า นั้นหมายความอย่างไร จนปัญญานึกคิด เย่หยวนกำลังทำอะไรแปลกๆอยู่กันแน่?
ดูจากโครงร่างที่วาดออกมา ละม้ายคล้ายคลึงกับอักขระยันต์อะไรสักอย่าง
ฉางเหลียนอดเหลียวมองไปทางชายรูปงามมิได้ ก่อนพบว่าอีกฝ่ายกลับถอดสีหน้าในบัดดลประดุจถูกสายฟ้าฟาดใส่กลางหัว เฉพาะยามนี้พวกฉางเหลียนถึงกับคลี่ยิ้มภายในใจอย่างมีความสุข!
ดูเหมือนว่าอักขระยันต์ที่เย่หยวนวาดขึ้นกลางอากาศจะเป็นบางสิ่งที่อีกฝ่ายค่อนข้างขยาดไม่น้อย
“อักขระร้อยภูตเต๋า! จะ-เจ้า…เจ้ากำลังวาดอักขระร้อยภูตเต๋าอยู่จริงๆ!!”
ชายรูปงามพลันหน้าซีดเผือก โพล่งอถทานลั่นด้วยความตกใจ
เย่หยวนหัวร่อเสียงเบาอยู่สองสามคำ กล่าวตอบประดับยิ้มสวยว่า
“หุหุ ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็รู้จักอักขระร้อยภูตเต๋าเช่นกัน จะได้ไม่เปลืองแรงอธิบายให้มากความ”
ชายรูปงามเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด ริมฝีปากสะท้านสะเทือนกล่าวขึ้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า
“เจ้ามนุษย์น้อย เจ้า…เจ้ารู้จักอักขระร้อยภูตเต๋าได้อย่างไร?”
เย่หยวนกล่าวตอบเสียงเย็นว่า
“นายน้อยผู้นี้รู้ได้อย่างไรกลับหาสำคัญไม่ เพียงเจ้าให้คำตอบว่าจะยอมรับใช้ข้าในฐานะเจ้านายหรือไม่ก็… แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ ความคิดแปลกๆชนิดนั้นกลับโยนทิ้งไปได้เลย”
สายตาของชายรูปงามแปรเปลี่ยนเป็นดูจริงจังในบัดดล ยามนี้หลายความคิดเริ่มตีกันใจเริ่มรวนเรตัดสินใจไม่ได้
สำหรับคำเตือนที่เย่หยวนทิ้งทวนไว้ให้ สิ่งนี้กลับกระทบต่อตัวเขายิ่งกว่าสิ่งใด
วิญญาณชั่วระดับชั้นอย่างมัน เมื่อเจอกายเนื้อของนักสู้ที่แข็งแกร่งพอ มันจะหล่อหลอมพลังงานเข้าสู่ร่างวิญญาณ นี่เทียบเท่ากับการยึดครองร่าง แต่ก็มิใช่สักทีเดียว
เนื่อจากวิญญาณช่าวอย่างพวกมันเป็นภูตอิสระ และไม่จำเป็นต้องพึ่งพากายเนื้อเพื่อความอยู่รอดใดๆ
ความคิดแปลกๆที่เย่หยวนเอ่ยไปคงหมายถึงเรื่องนี้ไม่ผิดแน่
แต่ไฉนเย่หยวนถึงมองผ่านอ่านความคิดของมันได้ขาดขนาดนี้?
หากเป็นคนอื่น มันคงกลืนกินวิญญาณและหล่อหลอมกายเนื้อโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย มันสามารถทำได้กระทั่งปล้นความทรงจำอีกฝ่ายมา
แต่สำหรับเย่หยวนคนนี้กลับผิดประหลาดเกินไป!
ตั้งแต่แรกเริ่มที่พบหน้า กลิ่นอายของเย่หยวนที่ปลดปล่อยออกมาก็ทำให้มันรู้สึกอันตรายยิ่งแล้ว
ขุมพลังของไข่มุกสยบวิญญาณถึงจะเป็นคลื่นพลังบางๆ แต่นั้นกลับต้องทำให้มันระมัดระวังตัวขึ้นอย่างมากโข
อีกด้านหนึ่ง พวกฉางเหลียนทั้งห้าไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง พวกเขาได้แต่ยืนรอคำตัดสินใจจากอีกฝ่าย
พวกเขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เย่หยวนจะต้องการจับวิญญาณชั่วสองดาวมาเป็นผู้รับใช้!
อย่างน้อยที่สุด ยามนี้อีกฝ่ายก็ครั่นคร่ามหวั่นเกรงยิ่งแล้ว!
นายท่านของพวกเขากลับยิ่งลึกลับมากขึ้นเรื่อยๆ เขาคือใครกันแน่?
ฝีมือในศาสตร์แห่งโอสถสุดฉกาจไร้เทียมทาน ความแกร่งกล้าบนเส้นทางแห่งการต่อสู้อันเกินหยั่งรู้ แถมตอนนี้ยังสามารถปราบปรามจนวิญญาณชั่วสองดาวถึงกับจำนน
ฉางเหลียนพลันรู้สึกได้ โลกนี้มันบ้าไปแล้ว!
ทุกสิ่งอย่างที่เขาเห็นในวันนี้ กลับเป็นการขยายขอบเขตอันไกลโพ้นของเขาอย่างไม่รู้จบ
เวลาเลยผ่านไปอย่างช้าๆ สีหน้าของชายนรูปร่างดูรวนเรสองจิตสองใจหนัก
เย่หยวนหาได้กล่าวปลุกกระตุ้นใดๆ และยังยืนนิ่งรอฟังคำตอบอย่างเงียบๆ
เขามั่นใจอย่างยิ่งว่า อีกฝ่ายมิอาจทานทนต่อเสน่ห์ของอักขระร้อยภูตเต๋าได้แน่นอน
“เอาล่ะ ข้าตกลง!”
ในที่สุดชายรูปงามก็ยอมปริปากตอบ
ตอนที่1332 ออกไปเตะก้น
เสี้ยวขณะนั้นเอง ได้เกิดตราสัญญาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นระหว่างเย่หยวนและชายรูปงามตนนั้น
“กุ้ยหยุนทำความเคารพนายท่าน!”
วิญญาณชั่วสองดาวตนนั้นกล่าวทำความเคารพ
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“อืม ความทรงพลังของอักขระร้อยภูตเต๋า นายน้อยผู้นี้คงมิต้องพรรณนาอันใดนัก เจ้าเพียงช่วยเหลือข้าเท่าก็พอ แล้วข้าจะค่อยๆมอบสิ่งนี้ให้แก่เจ้าทีละส่วน หากเจ้าสามารถสำเร็จวรยุทธนี้ได้อย่างถ่องแท้ การจะขึ้นกลายเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์แห่งภูตกลับหาใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป”
กุ้ยหยุนที่ได้ฟังดังนั้นดวงตาเป็นประกายในทันใด เขาเร่งกล่าวขอบคุณด้วยความอิ่มเอมใจว่า
“กุ้ยหยุนจะไม่ลืมบุญคุณ!”
“เอาล่ะ ข้าจะพาเจ้าไปเข้ามาในมิติส่วนตัวของข้าก่อน ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ทำอะไรแน่นอน”
เย่หยวนเอ่ยปากกล่าวต่อ
มิติส่วนตัวที่ว่ากลับหาใช่ใดอื่นนอกเสียจากไข่มุขสยบวิญญาณ แต่พวกฉางเหลียนพลันคิดไปว่า ภายในตัวเย่หยวนคงมีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์พื้นที่ติดตัวอยู่ จึงหาใดประหลาดใจอันใด
กล่าวก่อนว่า สำหรับเซียนอาณาจักรพระเจ้าคนหนึ่งที่มีเครื่องศักดิ์สิทธิ์พื้นที่ติดตัวสักชิ้น กลับเป็นเรื่องปกติเกินไป
กุ้ยหยุนเองก็มิได้รู้สึกอะไรเช่นกัน แต่เมื่อร่างของเขาปรากฏตัวขึ้นในมิติของไข่มุกสยบวิญญาณ เขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันที!
เสี้ยวพริบตาที่ได้พบกับหวูเฉิน กุ้ยหยุนดั่งว่ากำลังยืนอยู่ต่อหน้าภูเขาลูกมหึมาที่ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจข้ามฝ่าไปได้
“หุหุ เจ้าภูตน้อย เจ้านี่มันโชคดีจริงๆ! ไม่เพียงก่อเกิดสติสัมปชัญญะได้ในระดับพลังเพียงแค่นี้ แต่ยังมีโอกาสได้เจอเราชายชราอีก บางทีในภายภาคหน้า เจ้าอาจจะได้กลายเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์แห่งภูตจริงๆ!”
หวูเฉินกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
วิญญาณชั่วสองดาวรูปงามตนนี้ กลับกลายเป็นภูตน้อยตัวจิ๋วไปแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าหวูเฉิน
“ทะ-ท่านอาวุโส นามขานของท่านคือ?”
กุ้ยหยุนกล่าวขึ้นอย่างระมัดระวัง
หวูเฉินกล่าวตอบว่า
“เราชายชรานามว่า หวูเฉิน ก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้า ผู้ติดตามเชิงรับใช้ของเจ้าเด็กนี่ เย่หยวนคือเจ้านายของข้า!”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น กุ้ยหยุนก็เริ่มค้นพบแล้วว่า เย่หยวนคนนี้น่ากลัวเพียงใด
“ท่านอาวุโสหวูเฉิน สถานที่แห่งนี้คือที่ใด ไฉนข้ารู้สึกว่ามันแตกต่างจากเครื่องรางพื้นที่ทั่วไปโดยสิ้นเชิง?”
กุ้ยหยุนกล่าวขึ้นด้วยความฉงนสงสัย
“สถานที่แห่งนี้คือห้วงมิติชั้นในของสมบัติเวทย์สวรรค์ เราชายชราเป็นจิตวิญญาณของสมบัติเวทย์สวรรค์ชิ้นนี้ ในอนาคตต่อไป ที่แห่งนี้นับเป็นบ้านใหม่ของเจ้าและอยู่ร่วมกับเราชายชรา ตราบใดที่เย่หยวนเอ่ยปากบอกอนุญาต เราชายชราจะถ่ายทอดอักขระร้อยภูติเต๋าให้เจ้าทันที!”
หวูเฉินกล่าว
ยามนี้กระจิตกระใจของกุ้ยหยุนคล้ายโหว่งเหวงขาวโพล่นไปหมด ยืนตัวแข็งทื่อจับจ้องอีกฝ่ายอย่างโง่งมทำอะไรไม่ถูก
ทันทีที่ได้ยินคำว่า‘สมบัติเวทย์สวรรค์’ ประดุจมีสายฟ้าฟาดอัดศีรษะมันอย่างจัง
“ทะ-ท่าน…ท่านอาวุโส ท่านกำลังบอกว่า…ที่นี่…ที่นี่คือห้วงมิติภายในสมบัติเวทย์สวรรค์?!”
ทั้งปากทั้งลิ้นของกุ้ยหยุนแข็งค้าง พูดติดอ่างแทบไม่เป็นภาษา
ความประหลาดใจที่หวูเฉินมอบให้ในตอนนี้รุนแรงเกินไปนัก
เรื่องนี้ยังสะเทือนขวัญเสียยิ่งกว่าอักขระร้อยภูตเต๋า!
ในตอนนี้มันรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่น่าเชื่อ หากเมื่อครู่กุ้ยหยุนปฏิเสธข้อเสนอของเย่หยวนไป ป่านนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันจะตายอย่างไร?
หากเข้าจู่โจมทางกายภาพใส่เย่หยวนโดยตรง หวูเฉินกลับไม่มีพลังอำนาจให้ความช่วยเหลือใดๆได้เลย
แต่ความน่ากลัวที่แท้จริงกลับต่อจากนั้น โดยธรรมชาติของวิญญาณชั่ว หลังสังหารเหล่านักสู้เสร็จ พวกเขาจำต้องเข้าสำรวจจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายเสียก่อน ซึ่งนั้นเท่ากับล่วงล้ำเข้าสู่อาณาเขตของหวูเฉินผู้นี้โดยไม่รู้ตัว ผลลัพธ์ที่ได้ต่อจากนั้นอาจน่ากลัวเสียยิ่งกว่าความตาย!
ไม่น่าแปลกใจไฉนเย่หยวนถึงดูไม่เกรงกลัวเลย แถมยังดูเห็นใจให้โอกาสมมันอีก ปรากฏว่าเด็กคนนี้มิได้ข่มขู่ส่งเดชจริงๆ
“ถูกต้องแล้ว นี่คือสมบัติเวทย์สวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นสมบัติเวทย์สวรรค์แขนงจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดอันดับต้นๆแห่งมหาพิภพถงเทียน! ภูติน้อย นี่จึงเป็นสาเหตุที่เราชายชรากล่าวว่า ตัวเจ้านั้นโชคดีมากจริงๆ หากเป็นยามที่ข้าอยู่ในสภาวะสุดยอด ตัวเจ้าคงไม่นับเป็นอันใด! แต่ตอนนี้เจ้าคือผู้รับใช้ของเย่หยวน นับเป็นมิตรสหาฝ่ายเดียวกัน!”
หวูเฉินกล่าว
วิญญาณชั่วสองดาวกลับเป็นเพียงผีตัวน้อยในสายตาของหวูเฉินเท่านั้น
หากใช่สิ่งเพราะเขาในปัจจุบันเปรียบเสมือนพญาเสือบาดเจ็บ มีหรือที่หวูเฉินจะมาสนใจกุ้ยหยุนให้เสียเวลาเปล่า?
แต่ประโยคนี้ของหวูเฉินเองก็ทำเอากุ้ยหยุนกังวลใจเช่นกัน
เนื่องจากในตอนนี้ ความแกร่งกล้าของมันยังสูงกว่าเย่หยวนมาก นั้นจึงเป็นเหตุผลที่เสนอทางเลือกมาเช่นนี้ แต่หากในอนาคต เมื่อถึงเวลาที่มันหมดประโยชน์แล้วล่ะ? มิใช่ว่าเย่หยวนจะฆ่ามันทิ้งทันทีเลยรึ?
หวูเฉินสายตาเฉียบคม เพียงปราดครู่เดียวก็มองผ่านอ่านความกังวลอีกฝ่ายออกทันที เช่นนั้นจึงกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“เจ้าสบายใจได้ เจ้าเด็กเวรเย่หยวนคนนี้ มันให้ความสำคัญกับคำว่ามิตรภาพยิ่งกว่าชีวิตมันเองเสียอีก ตราบใดที่เจ้ามอบความจริงใจแก่เขา เขาก็จะมอบความจริงใจกลับคืนเป็นหลายเท่าตัว! เขาเองก็กล่าวออกจากปากแล้วว่า จะช่วยให้เจ้าได้ขึ้นกลายเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์แห่งภูต เช่นนั้นก็วางใจได้เลย ส่วนที่ว่าเจ้าจะเชื่อคำพูดของข้าหรือไม่ เดี๋ยวเจ้าติดตามไปสักพักแล้วจะรู้เองโดยธรรมชาติ แต่ตอนนี้ เราชายชราจะถ่ายทอดอักขระร้อยภูติให้แก่เจ้าก่อนส่วนหนึ่ง!”
อักขระร้อยภูตเต๋าเป็นวรยุทธอันไร้เทียมทานสำหรับศาสตร์แห่งภูตโดยเฉพาะ
ตามชื่อของมันที่เอ่ยกล่าว อักขระร้อยภูตเต๋าคือ มีอักขระทั้งหมดร้อยอักษร!
ซึ่งอักขระในแต่ละอักษรทั้งลึกซึ้งและยิ่งใหญ่เกินพรรณนายิ่ง
ตำนานกล่าวขานกันว่า ตราบใดที่คนๆนั้นเข้าใจอีกขระทั้งหมดร้อยอักษรอย่างถ่องแท้ คนเหล่านั้นจะสามารถเลื่อนขั้นกลายมาเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์แห่งภูตได้ กระทั่งมหาพิภพยังต้องเงยศีรษะขึ้นจับจ้อง!
ความสำเร็จในระดับชั้นนั้นส่งผลต่อกุ้ยหยุนรุนแรงเกินไป
จอมเทพนิรันดร์เองก็เป็นนักหลอมโอสถที่ทรงพลังยิ่งคนหนึ่งในมหาพิภพถงเทียน จึงเป็นธรรมดาที่เขาจักต้องค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โดยละเอียด
อักขระร้อยภูตเต๋าอันนี้ เขาได้รับมาจากจักรพรรดิสวรรค์แห่งภูติที่เคยไปฆ่ามาในอดีต หลังจากที่ได้รับมา จจอมเทพนิรันดร์ก็เริ่มศึกษาอย่างหนัก
และด้วยความแข็งแกร่งของหวูเฉิน การจะถ่ายทอดให้แก่กุ้ยหยุนกลับมิใช่เรื่องยากเลย
………………………….
ในโลกภายนอก พวกฉางเหลียนทั้งห้ายังคงยืนอ้าปากขากรรไกรค้างเติ่งไม่หุบ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับมิได้พัฒนาไปตามที่พวกเขาคาดคิดเลยสักนิด ผลที่ได้คือตื่นตะลึงไม่ได้สติจวบจนปัจจุบัน
นั้นเป็นถึงวิญญาณชั่วสองดาว การดำรงอยู่ระดับชั้นนี้สามารถกำจัดพวกเขาทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจนึก ทว่ายามนี้กลับเชื่องยิ่งกว่าอะไร?
เมื่อพวกเขาทั้งห้าทราบว่า กุ้ยหยุนเป็นวิญญาณชั่วสองดาว ก็พลันคิดกันไปกว่า คราวนี้ถึงคราชะตาชีวิตขาดสะบั้นแน่นอน แต่ใครจะไปนึก ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมากลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าอย่างน่าเหลือเชื่อ
วิญญาณชั่วสองดาวในปัจจุบันได้กลายมาเป็นผู้รับใช้ของเย่หยวนไปแล้ว!
“ขะ-ขอบพระคุณนายท่าน! เอ่อ…เมื่อครู่นายท่านวาดอะไรบนอากาศรึ? ถึงสามารถทำให้วิญญาณชั่วสองดาวยอมเป็นผู้รับใช้ท่านได้อย่างง่ายดาย?”
ฉางเหลียนรวบรวมความกล้าและเอ่ยถามขึ้นทันที
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“ข้าอธิบายไปก็ยากจะเข้าใจ เอาเป็นว่าสิ่งนี้คือวรยุทธบ่มเพาะพลังของเหล่าเซียนภูต ข้าเพียงหยิบยื่นโอกาสดีๆให้แก่อีกฝ่ายและนั้นเป็นทั้งหมด แล้วยังมีเหตุผลอื่นใดที่จะปฏิเสธข้อเสนอเช่นนี้อีก?”
พวกฉางเหลียนทั้งห้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากล่าวขึ้นจากความกลัวในก้นบึ้งหัวใจว่า
“นายท่านช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว! เราห้าพี่น้องเลื่อมใสจากใจจริง!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มพลางเอ่ยตอบว่า
“หยุดประจบเสีย! หรือพวกเจ้าทั้งห้าไม่อยากล้างแค้นแทนพี่น้องกันแล้ว? ออกไปเตะก้นหวังอวีเต๋ากันเถอะ!”
พวกฉางเหลียนทั้งห้าใจสั่นสะทก แววฉายประกายที่สาดสะท้อนออกจากนัยน์ตาเปี่ยมปริ่มสุดอิ่มเอมใจ
ถูกต้องแล้ว ยามนี้มีวิญญาณชั่วสองดาวเป็นกำลังเสริมเคียงข้างพวกเขา กล่าวได้ว่าสุสานสายลมหยินกลับกลายไปเป็นสนามเด็กเล่น ที่จะระหกระเหินไปไหนก็ได้ตามใจชอบ
แล้วหวังอวีเต๋ายังนับเป็นตัวอันใดอีก?
พรึบบ!
พวกฉางเหลียนทั้งห้าทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้นทันทีก่อนกล่าวขึ้นว่า
“นายท่าน ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ช่วยล้างหนี้แค้นให้แก่พวกเราห้าพี่น้อง! ชั่วชีวิตของพวกเราห้าพี่น้องหลังจากนี้ขอรับใช้ท่านตลอดไป!”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นเอ่ยตอบ
“ลุกขึ้นเถอะ แต่ไหนแต่ไร ตระกูลหวังกับข้ากลับอยู่ร่วมโลกกันมิได้อยู่แล้ว ต่อให้พวกมันมิได้ผูกปมความแค้นกับพวกเจ้า ข้าเองก็ไม่ปล่อยไว้เช่นกัน หวังอวีเต๋าจำต้องตายในวันนี้!”
………………………
“พี่สอง หากพวกนั้นยังไม่ออกมา เป็นไปได้ไหมว่าพวกเราจำต้องตั้งรกฐานพักแรมอยู่ที่นี่ไปอีกหลักปี?”
หวังอวีกั่นเอ่ยถาม
แม้พวกเขาจะนับเป็นชนชั้นแกร่งกล้า แต่หากต้องค้างแรมในสุสานสายลมหยินตลอดทั้งปี นั้นกลับสร้างความอึดอัดไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
หวังอวีเต๋ากล่าวตอบเสียงเคร่งขรึม
“หากมิเป็นแบบนั้นยังมีทางเลือกใดอีก? จนปัญญาจริงๆว่าไอ้เด็กเหลือขอนั้นไปฝึกปรือวิชานอกรีตมาแบบใด ถึงสามารถควบคุมวิญญาณชั่วฝูงใหญ่ขนาดนั้นได้ ไม่น่าแปลกใจไฉนถึงอยากเข้ามาในสุสานสายลมหยินนักหนา ปรากฏว่ามันฝึกฝนวิชานอกรีต!”
หวังอวีกั่นครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนกล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักว่า
“พี่สองไฉนเราถึงไม่…เชิญพี่ใหญ่ออกโรง! ข้ารู้สึกว่าไอ้เด็กเหลือขอตัวนี้ผิดปรพะหลาดเกินไป หากดำเนินการต่อไปโดยไม่ระมัดระวังเกรงว่าอาจนำซึ่งผลลัพธ์ไม่คาดฝัน!”
ได้ฟังคำแนะนำของหวังอวีกั่น เขาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนส่ายหัวตอบกลับทันทีโดยไว
“เรายังมีหน้าไปเจอพี่ใหญ่อีกรึ? อีกอย่างหากมิได้ฆ่าไอ้เด็กเหลือขอนั้นด้วยตัวเอง ชาตินี้ก็ล้างความอาฆาตในจิตใจไม่ออก!”
“โอ้? ผู้อาวุโสรองอยากฆ่าข้าขนาดนั้นเชียว? แต่ข้าสงสัยเสียจริง…ผู้อาวุโสรองจะมีปัญญาทำอะไรข้าได้? เกรงความความอาฆาตนี้จำต้องติดตัวลงนรกไปพร้อมกับท่าน!”
ในเวลานั้นเอง สุ้มเสียงเย่หยวนพลันสะท้อนกังก้องออกจากถ้ำ
“เย่หยวน!”
ทั้งหวังอวีเต๋าและหวังอวีกั่นลุกพรวดในทันใด พร้อมจับจ้องต้นเสียงเปี่ยมจิตสังหารเต็มสูบ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น