Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1325-1328

ตอนที่1325 เจ้าหนู,เด็กใหม่กระมัง?


 


“รู้สึกอย่างไรบ้าง?”


 


“อ่อนแอเกินไป! วิญญาณชั่วตนนี้เป็นแค่หนึ่งดาวชั้นต้น ไม่พออุดช่องฟันเลยด้วยซ้ำ!”


 


“เอ่อ…ท่านอาวุโส ท่านไม่ดูหิวกระหายเกินไปหน่อยรึ?”


 


“เจ้าบ้านี่! ไข่มุกสยบวิญญาณเป็นถึงสมบัติเวทย์สวรรค์! ต่อให้เจ้าประเคนวิญญาณชั่วสี่หรือห้าดาวมา มันก็ยังไม่พอยาไส้ข้าด้วยซ้ำ!”


 


“เช่นนั้น เราควรทำอย่างไรดี?”


 


“วิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายอย่างน้อยสามถึงห้าร้อยตน! มิฉะนั้นแย่แน่!”


 


“ท่านอาวุโส แล้วข้าจะไปหาวิญญาณชั่วสามถึงห้าร้อยตัวจากไหนในตอนกลางวันแสกๆ? แล้วจำนวนขนาดนี้พอประคองชีวิตท่านได้นานเพียงใด?”


 


“เกือบสิบปี! หากข้าได้กินวิญญาณชั่วสองดาวก็น่าจะได้ประมาณร้อยปี”


 


เย่หยวนกรอกตามองบนเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นอย่างวิตกว่า


“ท่านคิดว่าตอนนี้ข้าจะสามารถจับวิญญาณชั่วสองดาวมาได้? หากบังเอิญเจอพวกมันจริงๆ เกรงว่ายังไม่ทันที่ท่านจะได้กินมัน แต่มันคงกินข้าไปก่อนแล้ว!”


 


“ฮ่าฮ่า! ข้าแค่กล่าวให้ฟัง! แต่ถ้าหากข้าสามารถกลืนกินวิญญาณชั่วสองดาวได้จริงๆ ข้าจะสามารถช่วยเจ้าบ่มเพาะจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้เลื่อนระดับชั้นไปได้เช่นกัน!”


หวูเฉินกล่าวขึ้นลอยๆ


 


ทันใดนั้นเอง คู่ดวงตาของเย่หยวนพลันสว่างไสวขึ้นทันใด ยามได้ยินหวูเฉินกล่าวไป


หลังจากทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ พัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนก็เกรงว่าถึงทางตันแล้วเช่นกัน


บัญญัติแห่งจอมโอสถกลับเป็นเพียงอักษรจารึกศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ มันช่วยให้เย่หยวนบรรลุถึงระดับเก้าขั้นสมบูรณ์ก็จริง แต่หลังจากนั้นกลับไม่เป็นผลอันใดอีกต่อไป


หากต้องการเดินบนเส้นทางแห่งโอสถต่อไป จำต้องมีวรยุทธบ่มเพาะจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นระบบต่อไปเช่นกัน


ในแง่มุมนี้ ไข่มุกสยบวิญญาณนับเป็นยอดปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่สุดแล้ว!


นึกถึงจุดนี้ได้ เย่หยวนก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าตนกำลังขาดแคลนวรยุทธบ่มเพาะจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆ


และยิ่งไปกว่านั้นเอง วรยุทธบ่มเพาะพลังที่เขาใช้ตลอดมากลับเริ่มด้อยประสิทธิผลแล้วเช่นกัน


ตั้งแต่กลับชาติมาเกิดใหม่มาเป็นเย่หยวน วรยุทธบ่เพาะพลังที่เขาฝึกปรือตลอดมาก็คือ วรยุทธเก้าเซียนบูรพา


หากเป็นในอาณาเขตดินแดนพฤกษานิรันดร์ วรยุทธเก้าเซียนบูรพานับเป็นหนึ่งในวรยุทธบ่มเพาะพลังที่ทรงพลังที่สุด และยังสามารถรองรับผู้ฝึกปรือไปได้ถึงอาณาจักรบรรพกาลพระเจ้า


แต่สำหรับเย่หยวนในปัจจุบันที่อยู่บนมหาพิภพถงเทียน วรยุทธเก้าเซียนบูรพากลับไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของเขาได้อย่างชัดเจน


 


“ดูเหมือนว่า ข้าต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด!”


เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมอารมณ์หลากหลายที่พรั่งพรู


 


หวูเฉินกล่าวว่า


“วรยุทธบ่มเพาะพลังของจอมเทพนิรันดร์ถูกบันทึกอยู่ในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพหมดแล้ว ซึ่งวรยุทธบ่มเพาะของเขานับว่าเป็นหนึ่งในวรยุทธบ่มเพาะพลังที่ดีที่สุดแล้วในมหาพิภพถงเทียน! หากเขาไม่ด่วนจากลาไปเสียก่อน ป่านนี้คงได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้า!”


 


“จักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้า? แล้วมันแตกต่างจากจักรพรรดิเทพสวรรค์หรือไม่?”


เย่หยวนเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย


 


“อืม จักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้า คือจุดสูงสุดแห่งจักรพรรดิเทพสวรรค์ ผู้ใดสำเร็จถึงขั้นนี้ กล่าวว่าทรงพลังที่สุดแล้วภายใต้จอมเทพเต๋าบรรพกาล! วรยุทธบ่มเพาะพลังของจอมเทพนิรันดร์นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับเจ้าที่จะฝึกปรือกลายเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้า!”


หวูเฉินกล่าวอธิบาย


 


ตามที่หวูเฉินกล่าวไป เย่หยวนตระหนักชัดทันที วรยุทธบ่มเพาะพลังของจอมเทพนิรันดร์มาตรได้ว่าเป็นวรยุทธบ่มเพาะพลังชั้นสูงสุดแห่งมหาพิภพถงเทียนอย่างแท้จริง


ท้ายที่สุดนี้ บนมหาพิภพถงเทียน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบ่มเพาะพลังให้ได้ถึงอาณาจักรเต๋าบรรพกาล


 


การขึ้นกลายเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้านับเป็นจุดสูงสุดของปนิธานทั้งปวง


 


อย่างไรก็ตาม เย่หยวนกลับเงียบไม่ไหวติง


เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้นว่า


“ท่านอาวุโสกล่าวว่า วรยุทธบ่มเพาะพลังของจอมเทพนิรันดร์ถูกบันทึกอยู่ในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ? แล้วมีวรยุทธชนิดอื่นที่อยู่ในนี้ด้วยหรือไม่…?”


 


หวูเฉินกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มเย็นว่า


“เหอะ เจ้ามันใจใหญ่เกินไป เมื่อมาถึงมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้แล้ว เจ้าก็พึงทราบ ความยากลำบากในการฝึกปรือหลังจากนี้มันแสนเข็ญเพียงใด มีวรยุทธบ่มเพาะชั้นเลิศอยู่ตรงหน้ากลับไม่เอา เจ้ายังไม่เลิกล้มความคิดที่จะขึ้นเป็นจอมเทพเต๋าบรรพกาลอีกงั้นรึ?”


 


เมื่อได้ยินเย่หยวนกล่าวถามเช่นนี้ หวูเฉินก็ตระหนักทราบทันทีว่า เย่หยวนกำลังคิดอะไรอยู่ได้ทันที


ทว่าคำกล่าวเหล่านี้กลับไร้สาระเกินเป็นไปได้ เย่หยวนคนนี้ประเมินความสามารถตนเองสูงเกินไปจริงๆ


 


ทว่าเย่หยวนเพียงคลี่ยิ้มบางกล่าวตอบว่า


“ท่านอาวุโส ข้าทราบดีว่า การจะย่างก้าวไปถึงอาณาจักรเต๋าบรรพกาลมายากลำบากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ แต่สุดท้ายนี้ อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้ากลับไม่มีความหมายอันใดสำหรับข้าเลย!”


 


หวูเฉินกล่าวสวนทันทีด้วยเสียงอันเหยียบเย็นว่า


“หากบอกว่า ต้องการจะบรรลุสู่อาณาจักรเต๋าบรรพกาล เราชายชราคิดว่า การไปเชื้อเชิญให้จอมเทพเต๋านิรันดร์ลงมือช่วยเหลือกลับยังมีความเป็นไปได้เสียกว่า! เมื่อถึงตอนนั้นที่เจ้าขึ้นกลายเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้า นับว่าเจ้ามีคุณสมบัติขอความช่วยเหลือจากจอมเทพเต๋าบรรพกาลได้บ้างแล้ว”


 


แต่เย่หยวนกลับตอบเสียงแข็งขึ้นว่า


“แต่สุดท้ายข้าก็หาใช่จอมเทพเต๋าบรรพกาลอยู่ดี!”


 


หวูเฉินถึงกับสำลักจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปครู่ใหญ่


 


หลังจากนั้นไม่นาน หวูเฉินก็กล่าวขึ้นว่า


“เอาล่ะ แท้ที่จริงแล้วศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เป็นจอมเทพนิรันดร์ที่ได้รับโดยบังเอิญในตอนที่ขึ้นสำรวจหุบเขาถงเทียน! บนหุบเขาถงเทียนเปรียบเสมือนขุมสมบัติอันไร้ขีดจำกัด! ในตอนแรกที่จอมเทพนิรันดร์เพิ่งได้มันมา มันยังเป็นแค่เศษหินบนหุบเขาถงเทียนเท่านั้น แต่ภายในเศษหินก้อนนี้กลับมีขุมพลังอันไร้ขีดจำกัดแฝงเร้นอยู่ หลังจากการขัดเกลาพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยจอมเทพนิรันดร์ ในที่สุดมันก็เลื่อนขั้นกลายมาเป็นสมบัติเวทย์สวรรค์อย่างที่เจ้าเห็นในปัจจุบัน”


 


เย่หยวนที่ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกตกใจอย่างมาก ใครจะไปคาดคิดว่าศิลาจารึกบัลลังก์พิภพจะมีภูมิหลังอันลึกล้ำขนาดนี้!


ความยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานของหุบเขาถงเทียน เย่หยวนพอจะทราบมาบ้างแล้วจากหวูเฉินกับคุนหวู


ปรากฏว่า ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพจะเป็นเพียงเศษหินก้อนหนึ่งบนหุบเขาถงเทียนเท่านั้น!


 


“เช่นนั้น ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพก็สามารถพัฒนาต่อยอดขึ้นไปได้อีก และอาจมีโอกาสเลื่อนขั้นกลายเป็นสมบัติจักรพรรดิเวทย์สวรรค์?”


เย่หยวนโพล่งกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ


 


หวูเฉินกล่าวตอบ


“ในทางทฤษฏีมีความเป็นไปได้!”


 


เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวต่อว่า


“เช่นนั้น ยามที่ท่านอาวุโสกลืนกินวิญญาณชั่วจนอิ่มแล้ว ข้าจะดำดิ่งสู่ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพเพื่อสร้างเต๋าของตัวเองขึ้นมา!”


 


หวูเฉินพูดไม่ออกเป็นคำรบสอง


เขาค้นพบแล้วว่า สหายน้อยเย่หยวนคนนี้เป็นเพียงลาหัวรั้นตัวหนึ่ง!


เมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจในเรื่องใดเด็ดขาดแล้ว จะไม่สามารถฉุดรั้งดึงสติกลับมาได้อีกต่อให้มีม้าเป็นพันหมื่นตัวมาช่วยดึง


ซึ่งเขายังคงเป็นเช่นนี้เสมอมา กระทั่งในช่วงเวลาเป็นตายอย่างตอนห้วงอวกาศ


 


 


 


…………………………….


 


 


“พี่ชาย ข้ามีข้อสงสัยเล็กน้อย มีสถานที่ใดในสุสานสายลมหยินบ้างที่มีวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายกระจุกรวมตัวกันเยอะๆ?”


เย่หยวนเดินสำรวจภายในสุสานสายลมหยินเป็นเวลานาน แต่กลับพบว่าวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายกลับหาได้ไม่ง่าย! น้อยครั้งนักถึงจะเจอวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นต้นสักตัว


ซึ่งวิญญาณชั่วระดับชั้นนี้นับว่าไร้ประโยชน์ต่อหวูเฉิน


 


เย่หยวนค้นพบได้ว่า สถานที่แห่งนี้ขยับขยายไกลโพ้นทั่วสารทิศ การจะตามหาวิญญาณชั่วชั้นปลายโดยไร้จุดหมายกลับเสียเวลาเปล่า ดังนั้นเขาจึงต้องเดินไปถามคนอื่นๆเพื่อขอความช่วยเหลือ


 


คนกลุ่มคนั้นเหลียวหลังกลับมา และเมื่อได้เห็นอาณาจักรพลังของเย่หยวน พวกเขาก็อดส่งสายตาดูถูกมิได้


“เจ้าหนู เด็กใหม่กระมัง? ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ควรเดินสำรวจแค่รอบนอกจะดีกว่า! ส่วนลึกหลังจากนี้ค่อนข้างอันตรายยิ่ง อย่างเจ้าหากเข้าสำรวจต่อไป เกรงว่าจะกลายเป็นอาหารว่างของพวกวิญญาณชั่วแทน!”


ฉางเหลียนกล่าว


ปรากฏว่า กลุ่มคนที่เย่หยวนเดินเข้าไปทักถามกลับเป็น เจ็ดวีรบุรุษสายลมหยิน ที่ถูกพวกตระกูลหวังไล่ไป!


 


หลังจากที่ทั้งเจ็ดคนเข้ามา พวกเขาก็มุ่งหน้าไปสู่ส่วนลึกที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย


พวกเขาเจ็ดพี่น้องชอบมาลาดตะเวนและสำรวจที่แห่งนี้ตลอดปี จึงคุ้นเคยกับสุสานสายลมหยินดั่งส่วนหลังตำหนัก


ที่ใดมีวิญญาณชั่วปรากฏกายขึ้น ที่นั้นย่อมมีสมบัติธรรมชาติ นี่คือคติประจำใจของพวกเขา


 


สำหรับตระกูลหวัง ถึงแม้พวกเขาจะแกร่งกล้าไร้เทียมทาน แต่กลับหาได้มีความคุ้นเคยกับสถานที่แบบนี้ไม่


 


ฉางเหลียนไม่นึกไม่ฝัน พวกเขาบังเอิญวิ่งชนเข้ากับเย่หยวนพอดิบพอดีในที่แห่งนี้


 


เย่หยวนกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า


“พี่ชายทุกท่านคงคุ้นชินกับสถานที่นี้เป็นอย่างดี?”


เขาเองก็ค่อนข้างคัดคนถามเช่นกัน กลุ่มนักสู้บางกลุ่มวิ่งไปเวียนมาคล้ายแมลงวันไร้หัว เป็นที่ชัดเจนว่าไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่สักเท่าไหร่ แตกต่างจากพวกฉางเหลียน ทันทีที่เข้ามาพวกเขาก็เดินทางลัดเลาะอย่างรวดเร็วและกระฉับกระเฉงยิ่ง ดังนั้นเย่หยวนจึงสันนิฐานว่า กลุ่มคนพวกนี้น่าจะเป็นขาประจำของสุสานสายลมหลิน


 


 


ฉางเหลียนมุ่นคิ้วขมวดหนาและกล่าวว่า


“พวกเราทั้งเจ็ดรู้จักกันในนาม เจ็ดวีรบุรุษสายลมหยิน แล้วเจ้าคิดว่าพวกเราคุ้นเคยกับที่นี้หรือไม่? เจ้าหนู พวกเรามาที่นี่เพื่อเสาะหาสมบัติธรรมชาติ คงไม่มีเวลามาแนะแนวเด็กใหม่เท่าไหร่นัก ทางที่ดีสำรวจเพียงรอบนอก หวังว่าจะมีโชคดีกับเขาบ้าง”


ต่อหน้าความปรารถนาดีของฉางเหลียน เย่หยวนกลับหาได้สนใจไม่เลย


สิ่งที่เขาต้องการคือ นำความคุ้นเคยต่อสถานที่แห่งนี้ของพวกฉางเหลียนมาใช้ประโยชน์


 


เย่หยวนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า


“พี่ชายและทุกท่าน เนื่องจากมีความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี เช่นนั้นรบกวนช่วยข้าตามหาวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายให้ได้หรือไม่ ตราบใดที่ข้าเสาะพบ ข้าจะให้ผลึกปราณเทวะระดับต่ำแก่พวกท่านทันทีห้าพันก้อนเป็นค่าเหนื่อย คิดเห็นอย่างไรบ้าง?”



ตอนที่1326 เจ็ดวีรบุรุษเข้าพนัน


 


“ผลึกปราณเทวะห้าพันก้อน!”


ฉางเหลียนขยับขยายสายตาแปรเปลี่ยนดูจริงจังในทันใด พลางสูดไอเย็นแช่มลึก


สำหรับพวกเขาแล้ว ถึงจะเป็นผลึกปราณเทวะระดับต่ำ แต่จำนวนกว่าห้าพ้นก่อนกลับมิใช่มูลค่าน้อยๆ


แม้ว่าเจ็ดวีรบุรุษสายลมหยินแต่ละคนจะเป็นความแกร่งกล้าไม่ธรรมดา เนื่องเพราะขัดเกลาฝีมืออยู่ในสุสานสายลมหยินมาโดยตลอด แต่ผลึกปราณเทวะจำนวนห้าพันก้อนก็ทรงเสน่ห์ยั่วยวนเกินไปจริงๆ


ข้อเสนอของเย่หยวนเพียงง่ายนิดเดียว นำพาอีกฝ่ายไปหาสถานที่ที่มีวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลาย เท่านี้ก็จะได้ห้าพันก้อนโดยไม่ต้องลงแรง!


เป็นเพียงคนนำทางก็ลาภลอยล้นพ้น!


ผลึกปราณเทวะระดับต่ำจำนวนห้าพันก้อน กลับมิได้หากันง่ายๆ


 


เย่หยวนกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า


“ถูกต้อง ผลึกปราณเทวะระดับต่ำจำนวนหนึ่งพันก้อนแรกให้เป็นค่ามัดจำ ตราบใดที่พวกท่านพาข้าไปยังสถานที่ต่างๆจนรวบรวมวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายได้ครบห้าร้อยตน ยามนั้นอีกสี่พันก้อนที่เหลือจ่ายครบมิขาดตกแน่นอน”


เย่หยวนเคยช่วยให้หอมหาสมบัติกอบโกยผลกำไรปริมาณมหาศาลมาแล้ว โดยทั่วไปเขาหาใช่คนปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร้มารยาท


ผลึกปราณเทวะระดับต่ำนับเป็นค่าเงินกลางที่ทุกคนสนใจ แน่นอนว่าเย่หยวนย่อมเจียดออกมาจ่ายได้อย่างไม่มีปัญหา


ตราบใดที่ไม่ถลำลึกมากเกินไป หอมหาสมบัติย่อมไม่พูดติเตียนอะไรแน่นอน


 


“หะ-ห้าร้อยตน?!”


ฉางเหลียนถึงกับพูดไม่ออก


ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มันบ้าไปแล้วจริงๆ แทบทำเอาผู้คนหัวใจหยุดเต้นเพียงเพราะคำพูด!


วิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายจำนวนห้าร้อยตน แม้แต่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ


แต่เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นคนนี้กลับหาญกล้าอวดดีได้อย่างไร?


ไร้ยางอายเกินไป!


 


ทันทีทันใด ฉางเหลียนพลันสังเกตเห็นสายตาแปลกๆจากโดยรอบที่สาดสะท้อนออกมา


ไม่จำต้องเหลียวหลังกลับมองก็ยังทราบ น้องอีกหกคนที่เหลือเผยจิตสังหารออกมาอย่างชัดแจ้ง!


เย่หยวนทำตัวประเจิดประเจ้อเกินไป ซึ่งภายในสถานที่ลับตาคนแบบนี้ การจะดักฆ่าเพื่อชิงทรัพย์กลับมีให้เห็นถมไป


เขาที่ถึงขั้นเอ่ยปากเสนอผลึกปราณเทวะระดับต่ำจำนวนมากถึงห้าพันก้อนได้อย่างไม่สะทกสะท้าน จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า ในตัวเขาที่พกมาควรจะมีมากกว่าที่ทราบอยู่มาก


ตราบใดที่พวกเขาฆ่าปิดปากเย่หยวนได้สำเร็จ ผลึกปราณเทวะในตัวของเย่หยวนจะกลายเป็นของพวกเขาโดยชอบธรรมทันที


หากเทียบกับการที่ต้องนำทางแล้ว พวกเขาย่อมเต็มใจฆ่าปิดปากเย่หยวนเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า


 


ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว มันมิใช่เพียงน้องทั้งหกคนของเขาเท่านั้นที่เผยจิตสังหารออกมา กระทั่งตัวฉางเหลียนเองก็ลอบคิดเช่นเดียวกัน


แต่ในฐานะยอดฝีมือเจนจัดผู้ผ่านโลกมามากคนหนึ่ง ฉางเหลียนยังต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับสภานการณ์ผิดแปลกแบบนี้


เขาสาดสายตาจับจ้องเย่หยวนอย่างอดมิได้ ทั้งๆที่พวกขาทั้งเจ็ดแพร่งพรายจิตสังหารข้นคลักออกมาขนาดนี้ แต่ไฉนเย่หยวนยังคงนิ่งราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใด หาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย


 


ดั่งหัวใจของฉางเหลียนกระชากเต้นกระหน่ำรุนแรง ใจหนึ่งก็รู้สึกกลัว ส่วนอีกใจก็มิอาจจทานทนเสน่ห์แสนเย้ายวนของผลึกปราณเทวะจำนวนห้าพันก้อนได้ไหว


 


แต่ในขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนไหว จู่ๆฉางเหลียนพลันสังเกตเห็นรอยยิ้มเหยียดเย็นปรากฏขึ้นบนมุมปากของเย่หยวนบางๆ


หัวใจของฉางเหลียนจับขั้วเยือกแข็งในบัดดล ถึงกับหยุดมือโดยกะทันหัน ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปประดุจตามคำสั่งจากอำนาจเหนือธรรมชาติ


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ตกลง! น้องเล็กช่างมากน้ำใจไพศาล ข้า,ฉางเหลียนนับเป็นสหายคนหนึ่งของน้องเล็ก!”


ฉางเหลียนรับถุงบรรจุผลึกปราณเทวะระดับต่ำจำนวนหนึ่งพันก้อน พร้อมกล่าวขึ้นอย่างเป็นมิตรพลางหัวเราะร่า


ท่าทางวาจาของฉางเหลียนทำเอาขากรรไกรของทั้งหกค้างเติ่งในทันใด


พี่ใหญ่ของพวกเขาเป็นคนใจดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด?


 


เย่หยวนคลี่ยิ้มและกล่าวว่า


“ไปกันเถอะ!”


 


ฉางเหลียนกล่าวตอบพร้อมเสียงหัวเราะว่า


“แน่นอน! ออกเดินทาง!”


ภายใต้การนำของฉางเหลียน ไม่นานเย่หยวนก็เริ่มพบเจอกับวิญญาณชั่วที่แกร่งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ


ฉางเหลียนกับที่เหลือค่อนข้างตื่นตัวกันมากขึ้น ก่อนเริ่มเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวังยิ่ง


ฉางเหลียนแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทั้งเจ็ด เขาเป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางทว่าหากต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลาย ไม่ต้องรอให้พวกเขาวิ่งหนี แค่เข้าใกล้ยังขยาดสุดใจ


 


“เบื้องหน้าของน้องเล็กคือถ้ำนรกม่วง ภายในนั้นมีวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายอยู่ไม่น้อย แม้แต่พวกเรายังไม่กล้าจะย่างกรายเฉียดเข้าไป”


ฉางเหลียนกล่าว


 


เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า


“เช่นนั้นพวกท่านรอข้าอยู่ด้านนอกถ้ำ!”


 


เมื่อกล่าวจบ เย่หยวนก็ตรงดิ่งเข้าไปในถ้ำนรกม่วงโดยตรง


 


“พี่ใหญ่ ไฉนถึงไม่ลงมือตั้งแต่ตอนนั้น? ข้ากล้าพนันได้เลย ในตัวของเจ้าเด็กนั้นควรจะมีผลึกปราณเทวะอย่างต่ำก็ห้าหมื่นก้อน!”


เห็นว่าเย่หยวนหายลับจากสายตาไป น้องเจ็ดอดเอ่ยปากทักท้วงมิได้


 


“ใช่แล้วพี่ใหญ่! ปกติท่านไม่ได้เป็นแบบนี้เลย! ตราบใดที่เห็นลูกแกะตัวอ้วนมาให้ขุน ป่านนี้ท่านลงมือเสร็จสรรพไปนานแล้ว!”


น้องสามกล่าวเสริม


 


ฉางเหลียนกวาดสายตาจับจ้องพวกเขาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่


“ไฉนข้าจะไม่ทราบว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? ข้าเองก็เกือบลงมือแล้วเช่นกัน!”


 


“แล้วไยถึงเปลี่ยนใจชั่วขณะ? หากเด็กคนนั้นตายลงภายในถ้ำนรกม่วง กว่าพวกเราจะไปเก็บผลึกปราณเทวะออกมาได้ กลับเป็นเรื่องยากเข็ญยิ่ง!”


น้องเจ็ดกล่าว


 


ในมุมมองของพวกเขา เย่หยวนเป็นคนเด็กอ่อนต่อโลกคนหนึ่งที่มีแต่เงินทอง


เด็กคนนี้ไม่ทราบถึงความน่าหลัวของสุสานสายลมหยินเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังบุ่มบ่ามเข้าไปในถ้ำนรกม่วงโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น นี่กลับแตกต่างอะไรกับรนหาที่ตายเอง?


 


ฉางเหลียนเหลือบมองต้นเสียงเล็กน้อย คลี่ยิ้มแสยะเย็นกล่าวว่า


“พวกเจ้าคิดจริงๆรึว่า เด็กนั้นจะกล่าวส่งๆไป? เหอะ เหอะ ยิ่งการกระทำของเด็กนั้นจะดูไร้สาระเท่าไหร่ นั้นกลับเป็นสิ่งที่เราไม่ควรยุ่งย่าม! ไม่รู้ว่าเหตุใดเช่นกันข้าถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน รอยยิ้มในตอนนั้น ดั่งว่ากำลังถูกล่าอยู่อย่างไงอย่างงั้น!”


 


อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของฉางเหลียนกลับมิได้ช่วยเปลี่ยนทัศนคติของทั้งหกได้เลย


 


น้องสองกล่าวแทรกขึ้นว่า


“พี่ใหญ่ แต่มันเป็นแค่เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น! ไฉนถึงต้องหวาดกลัวมันขนาดนี้? พวกเราเจ็ดพี่น้อง เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางถึงสามคน หรือเป็นไปได้ไหมที่เราจะเอาเจ้าเด็กนั้นไม่ลง?”


 


ฉางเหลียนกล่าวตอบเสียงเย็นว่า


“พวกเจ้ารอดูต่อไป ข้าท้าพนัน เด็กนั้นสามารถออกจากถ้ำนรกม่วงได้แน่!”


 


น้องเจ็ดกล่าวตอบว่า


“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เด็กคนเดียวจะไปต่อกรกับวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายได้อย่างไร? แค่ชั้นต้นยังสัประยุทธ์ด้วยไม่ไหวเลยกระมัง?”


 


น้องสามยังกล่าวอีกว่า


“ถูกต้องพี่ใหญ่! ไม่ว่าอย่างไรเราคงได้แค่พันก้อนแล้วจริงๆ มันไม่มีทางออกมาได้แน่นอน!”


 


 


ฉางเหลียนเค้นเสียงหัวร่อสองสามคำ พร้อมกล่าวว่า


“เช่นนั้นกล้าพนันกับข้าหรือไม่? ข้า,ฉางเหลียน เจนจัดผ่านโลกมาก็มาก สัญชาตญาณในตัวข้ามันบอกว่า เด็กคนนั้นไม่ง่ายดั่งผิวเผินแน่นอน!”


 


น้องเจ็ดกล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า


“พี่ใหญ่ ข้าว่ารอบนี้สัญชาตญาณของท่านอาจผิดพลาดไป! เช่นนั้นเดิมพันด้วยอะไร?”


 


ฉางเหลียนกล่าวตอบว่า


“กำหนดสามวันหลังจากนี้ หากเด็กนั้นออกมาได้ ผนึกปราณเทวะอีกสี่พันก้อนที่เหลือเป็นของข้า! แต่หากเด็กนั้นไม่ออกมา ไม่เพียงจะมอบพันก้อนนี้ให้ ข้าจะให้พวกเจ้าเพิ่มอีกคนละหนึ่งพันก้อน!”


 


เมื่อฉางเหลียนกล่าวแบบนี้ออกไป น้องทั้งหกพลันระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นทันใด


 


 


“ฮ่าฮ่า! พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านใจกว้างขนาดนี้ เช่นนั้นพวกเราน้องเล็กขอรับคำพนัน! แค่สามวันเกรงว่าจะดูเอาเปรียบพี่ใหญ่เกินไป ต่อให้เป็นสามสิบวัน เจ้าเด็กนั้นก็ไม่มีทางออกมาได้! ถึงตอนนั้นตามเก็บศพได้เลย!”


น้องเจ็ดกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะคึกครื้นดีใจ


 


“พี่ใหญ่ หากครบกำหนดแล้วอย่ากลับคำเชียว! พนันคราวนี้ท่านแพ้เต็มประตู!”


น้องสองกล่าวเสริม


 


“พี่ใหญ่ พวกเราคลุกคลีอยู่ในสุสานสายลมหยินมาเนินนานเท่าใด? ท่านเคยเห็นมาก่อนรึว่า มีเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นหนีรอดออกจากถ้ำนรกม่วงมาได้?”


น้องสามยังแผดเสียงหัวเราะดังลั่นไม่หยุด


 


ฉางเหลียนแค่ยิ้มตอบแต่หาได้กล่าวอันใดไม่ เพราะเขายังคงเชื่อในสัญชาติญาณตนเองในท้ายที่สุด


กล่าวกันตามตรง ฉางเหลียนคนนี้ค่อนข้างเป็นคนละเอียด วิสัยทัศน์เฉียบขาดอ่านสถานการณ์ออก


และยังคงเป็นเพราะเขาที่สามารถนำพาเหล่าน้องๆของตนหลุดรอดออกจากเงื้อมมือของตระกูลหวังได้


หากเป็นคนอื่นกล่าวผิดหรือใช้วาจาชวนสงสัยเพียงประโยคเดียว ตระกูลหวังคงฆ่าปิดปากพวกเขาไปนานแล้ว


 


 


 


………………………….


 


 


“พี่สอง สุสานสายลมหยินกว้างไพศาลเกินไป ภูมิศาสตร์ค่อนข้างสลักซับซ้อน พวกเราควรเริ่มหามันจากตรงไหนก่อนดี?”


หวังอวีกั่นที่รู้สึกเวียนศีรษะอย่างหนักกับพื้นที่ภายในสุสานสายลมหยิน ยามนี้อดเอ่ยกล่าวขึ้นมิได้


 


หวังอวีเต๋ากล่าวตอบเสียงเข้มว่า


“หาใครสักคนเพื่อถามทาง! ไอ้เด็กเหลือขอนั้นเป็นหน้าใหม่ไม่เคยมาที่แห่งนี้มาก่อน อย่างน้อยน่าจะเป็นที่สะดุดตาของขาประจำแถวนี้บ้าง และเชื่อได้ว่า มันเองก็ไม่รู้ทิศทางเหมือนเราเช่นกัน!”


 


แววเนตรท่อประกายสว่างวับ หวังอวีกั่นประจักษ์แจ้งในทันทีและกล่าวว่า


“พี่สองช่างชาญฉลาด!”


 


หวังอวีเต๋าหันไปสั่งการผู้ใต้บัญชาในทันใด


“พวกเจ้ากระจายกันไปไถ่ถามหาเด็กเหลือขอนั้นมา! หากมีใครบางคนพบเจอคนไม่คุ้นหน้า จงเร่งซักถามให้ละเอียด! เข้าใจหรือไม่?”




ตอนที่1327 ถ้ำราชันย์แห่งภูต


 


“พี่ใหญ่ พวกเราทั้งหมดขอร่วมพนัน แต่นี่ยังมีอันใดให้ลุ้นอีก? เด็กนั้นไม่มีทางออกมาได้อยู่แล้ว”


น้องเจ็ดกล่าวขึ้น


 


“ถูกต้องเลย วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับพี่ใหญ่หรือไม่? ไฉนท่านไม่เป็นตัวเองเลย!”


น้องสามเอ่ยกระตุ้น


เหล่าน้องทั้งหกเหลือบมองเฝ้าสังเกตการณ์เป็นระยะ ฉางเหลียนที่เห็นแบบนั้นพลันกล่าวเสียงเย็นพร้อมรอยยิ้มว่า


“เพิ่งผ่านไปครึ่งวัน พวกเจ้ากลับรอไม่ไหวแล้ว?”


 


“พี่ใหญ่ นี่พวกเรายังช่วยรักษาน้ำใจท่านอยู่!”


น้องเจ็ดกล่าว


 


ฉางเหลียนคลี่ยิ้มเอ่ยปากกล่าว


“อย่าพึงรักษาน้ำใจข้าเลย! พวกเราพี่น้องร่วมสายเลือดกันมา ไยต้องสุภาพกันอีก? ในเมื่อเริ่มพนันกันแล้วก็ต้องไปให้สุด!”


 


ทว่าขณะนั้นเอง สุ้มเสียงหนึ่งพลันแผดดังข้างหูดั่งผีกระซิบ


 


“พวกท่านพนันอะไรกัน?”


ทั้งเจ็ดเหลียวมองต้นเสียงกันแทบไม่ทัน ใบหน้าปกประดับความตะลึงสุดขีด


คนที่กล่าวดังขึ้นกลับคือ เย่หยวน!


 


“จะ-จะ-เจ้า…เจ้าออกมาได้อย่าง? ไม่เดี๋ยวก่อน…ไฉนถึงออกมาได้?”


คล้ายลิ้นอ่อนแรงกะทันหัน น้องเจ็ดตะลึงจนแทบยืนตรงไม่ได้


ที่เหลืออีกหกคนต่างมีสีหน้าไม่ต่างกัน ขยับขยายพินิจจับจ้องเย่หยวนสำรวจดูว่า นี่ผีหรือคน?


อึดใจต่อมา พวกเขาค้นพบว่า สภาพเย่หยวนยังคงดูดีไร้รอยขีดข่วนใดๆ ประหนึ่งว่าภายในถ้ำนรกม่วงไม่มีวิญญาณชั่วอยู่เลย


ภาพฉากนี้ กระทั่งฉางเหลียนยังอ้าปากค้างขากรรไกรแทบร่วงเช่นกัน


สัญชาตญาณของเขาบอกว่า เย่หยวนคนนี้หาใช่เด็กธรรมดาทั่วไป แต่กลับคาดไม่ถึงเช่นกันว่า เพียงครึ่งวันก็สามารถออกมาได้แล้วจริงๆ


เขาที่บอกว่าเย่หยวนจะต้องออกมาได้ภายในสามวัน ยังแอบหลงคิดไปว่าตนประเมินเด็กคนนี้สูงเกินไปหรือเปล่า


แต่ไม่คิดไม่ฝัน สามวันกลับนานเกินไปด้วยซ้ำสำหรับเย่หยวน!


 


ทันทีที่ได้คำกล่าวของน้องเจ็ด เย่หยวนอดเอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างสงสัยมิได้


“ท่านกำลังกล่าวอันใด? ข้าก็เดินออกมาเอง หาใช่วิญญาณชั่วในนั้นประเคนออกมา”


 


“แต่…แต่…แต่ภายในนั้นมีวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายอยู่เป็นโขยง!”


น้องเจ็ดกล่าวตะกุกตะกักเรียงลำดับคำแทบไม่ถูกเนื่องด้วยตะลึงไม่หาย


 


เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า


“อืม มีวิญญาณชั่วชั้นปลายอยู่ภายในนี้จริงๆ แต่จำนวนกลับน้อยเกินไป เดินเตร่เข้าไปเกือบครึ่งวันกลับมีแค่เจ็ดหรือแปดตนเท่านั้น ยังห่างไกลจากห้าร้อยยิ่งนัก! มีบริเวณอื่นอีกหรือไม่? พาข้าไปหาที”


 


ฉางเหลียนสะดุ้งโหย่งก่อนเร่งกล่าวว่า


“มี! มีแน่นอน! ตามข้ามาเลยน้องชาย!”


 


เย่หยวนพยักหน้า คล้อยเดินตามหลังฉางเหลียนไปติดๆ


กลุ่มพวกเขามุ่งหน้าสู่ส่วนลึกภายในสุสานสายลมหยิน


ยิ่งลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งพบวิญญาณชั่วมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังทรงพลังแกร่งกล้าเสียกว่ารอบนอกมาก


แต่ฝีไม้ลายมือของเย่หยวนที่สำแดงออกไป ต่างทำเอาเจ็ดพี่น้องต้องอ้าปากค้างตลอดทาง


วิญญาณชั่วที่แต่เดิมพวกเขาทั้งเจ็ดต้องผนึกกำลังกันปราบปราด ยามนี้กลับดูไร้เรี่ยวแรงเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน เสมือนกับจับไก่มาเชือดทิ้งด้วยมือเปล่า


แค่บีบเค้นเบาๆ ก็แหลกสลายทันที!


 


เจ็ดวีรบุรุษสายลมหยินเข้าสำรวจเตร็ดเตร่อยู่ในสุสานสายลมหยินมาก็หลายปี แต่ไม่เคยมีใครฆ่าวิญญาณชั่วเหล่านี้ได้ตายสนิท


ที่ปราบปราดอย่างมากพวกมันเพียงถอยหนีออกไปเท่านั้น


ด้วยเหตุนี้ เหล่าน้องทั้งหกเชื่อสนิทใจแล้วว่า เย่หยวนคนนี้แกร่งกล้าทรงพลังเพียงใด


ในที่สุดทั้งเจ็ดก็พาเย่หยวนมายังถ้ำแห่งที่สอง หลังจากที่เย่หยวนเข้าสำรวจถ้ำหายลับไป พวกเขาก็เริ่มจับกลุ่มสนทนาทันควัน


 


น้องเจ็ดผู้ซึ่งตื่นตระหนกที่สุดเร่งปราดเหงื่อเย็น หันควับกล่าวกับฉางเหลียนว่า


“โชคดีจริงๆที่พี่ใหญ่เป็นคนฉลาด! มิเช่นนั้นพวกเราคง…แหลกคามือเด็กนั่นเหมือนกับวิญญาณชั่วแล้ว!”


 


ฉางเหลียนเองก็ยังระทึกขวัญไม่หาย หากตอนนั้นเขาตัดสินใจลงมือกับเย่หยวน เกรงว่านามขาน เจ็ดวีรบุรุษสายลมหยินคงสิ้นชื่อไปจากผืนพิภพแล้วในวันนี้


 


แต่เป็นที่แน่นอน เย่หยวนไม่มีทางบดขยี้พวกเขาทั้งเจ็ดเหมือนกับวิญญาณชั่วเหล่านั้นได้


ที่เขาสามารถจัดการกับวิญญาณชั่วเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้แก่หวูเฉิน


ซึ่งวิธีสังหารวิญญาณชั่วที่หวูเฉินหยิบยกมาใช้ กระทั่งเย่หยวนยังแอบตะลึงอยู่ในใจ


แล้วนับประสาอะไรกับพวกฉางเหลียนทั้งเจ็ดที่เห็นจากภายนอก สิ่งเดียวที่พวกเราตระหนะกทราบก็คือ เย่หยวนแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง!


ทรงพลังไร้เทียมทาน!


 


ฉางเหลียนคลี่ยิ้มอ่อนแสนขื่นใจและกล่าวว่า


“ขอกล่าวตามสัตย์จริง ข้าเองก็ไม่คิดว่า เขาจะทรงพลังได้ขนาดนี้!”


 


“หรือเป็นไปได้ไหมว่า เด็กคนนี้ปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้? เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นจะไร้เทียมทานขนาดนี้ได้อย่างไร?”


 


ฉางเหลียนส่ายหัวและกล่าวว่า


“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่ทราบ แต่จะด้วยวิธีใด พวกเราอย่าโลภเกินควร รับผลึกปราณเทวะห้าพันก้อนแล้วลาจากจะดีกว่า มิฉะนั้นอาจอันตรายถึงชีวิต! เรื่องพนันก็ถือว่าพี่ใหญ่ต้องเสียมารยาทแล้ว!”


 


เมื่อได้ยินประโยคท้ายของฉางเหลียน น้องทั้งหกพลันคลี่ยิ้มอย่างขมขื่น


หากยังฝืนกันต่อ เกรงว่ามีภัยถึงชีวิตจริงๆ!


นอกจากนี้ ผลึกปราณเทวะนวนห้าพันก้อนกลับมิใช่จจำนวนน้อยๆเลยเช่นกันสำหรับพวกเขา


หักค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ฉางเหลียนกับที่เหลือจำต้องล่าสมบัตินำไปขายเป็นเวลาสามปีเต็มกว่าจะได้เงินมาขนาดนี้!


เห็นสีหน้าของฉางเหลียนอันแสนยำเกรงต่อเย่หยวน อีกหกคนรู้สึกอึดอัดราวกับอมแมลงวันไว้


เป็ดปรุกสุกพร้อมทานกลับบินจากไปทั้งแบบนี้!


ผลึกปราณเทวะระดับต่ำห้าพันก้อน แต่เดิมพวกเขาจะได้คนละเจ็ดร้อยกว่าก้อนเศษเมื่อแบ่งสันปันส่วนกันเสร็จ


ทว่าตอนนี้ทั้งหกได้แค่พันก้อนเท่านั้น หากนำมาแบ่งกันเรียกได้ว่าน้อยจนขี้เหร่


เสียพนันครั้งใหญ่!


 


“นี่ พวกเจ้าอย่าทำหน้าแบบนั้น  ในเมื่อรับคำท้าก็ควรต้องเตรียมใจมาแล้วที่จะแพ้! เอาล่ะ เอาล่ะ เดี๋ยวหาว่าพี่ใหญ่ใจขดแคบ ข้ายอมถอยหนึ่งก้าวขอรับแค่สามพันก้อน ส่วนที่เหลืออีกสองพันพวกเจ้านำไปแบ่งกันเอง!”


ฉางเหลียนกล่าวขึ้น


ได้ฟังดังนั้น ทุกคนอดคลี่ยิ้มดีใจมิได้ก่อนเร่งขอบคุณฉางเหลียนด้วยความปลื้มใจ


ในความคิดของฉางเหลียน กลับมองลึกไปกว่าการเดิมพันอย่างที่น้องทั้งหกคิด


การที่ยอมเสียสละลดทอนผลประโยชน์ตนเอง กลับสามารถซื้อใจน้องทั้งหกได้เป็นอย่างดี การพนันคราวนี้กลับคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม


 


 


 


…………………….


 


ผ่านไปครึ่งวัน เย่หยวนก็ออกจากถ้ำอีกครั้ง


เว้นเสียว่าคราวดีกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย หวูเฉินได้กินวิญญาณชั่วเพิ่มอีกประมาณสิบตน


แต่เย่หยวนกลับไม่พอใจยิ่งกับจำนวนเพียงแค่นี้ ก่อนกล่าวกับฉางเหลียนขึ้นว่า


“น้อยเกินไป! มีถ้ำแห่งอื่นอีกหรือไม่? ขอแบบมีเป็นสิบเป็นร้อยในถ้ำเดียว!”


 


ฉางเหลียนแอบตกใจเมื่อได้ฟังแบบนั้น เขาไม่สามารถเข้าใจได้แม้สักนิดว่า ไฉนเด็กหนุ่มอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นถึงสามารถจัดการวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายได้?


แต่เขายังคงกล่าวว่า


“มีน่ะมี แต่สถานที่แห่งนั้นอันตรายเกินไป พวกเราเจ็ดพี่น้อง…ไม่กล้าเสี่ยงไป!”


 


เย่หยวนกล่าวตอบเสียงเย็นว่า


“ไม่ต้องห่วง เพียงพาข้าไปยังสถานที่นั้นก็พอ ที่เหลือเดี๋ยวข้าล้างบางพวกมันให้เอง ข้าขอรับประกันความปลอดภัยของพวกท่าน เช่นนี้ดีกว่า ข้าเพิ่มให้อีกสองพันก้อน!”


 


อำนาจเงินตรากระทั่งปีศาจยังยอมโม่หินประเคนมอบ ที่ฉางเหลียนและน้องทั้งหกยอมเสี่ยงอันตรายเข้าเสาะหาสมบัติภายในสุสานสายลมหยิน ทั้งหมดก็เพื่อผลึกปราณเทวะมิใช่รึ?


เย่หยวนที่มอบเงินก้อนโตขนาดนี้ให้โดยไม่จำต้องเสียงแรงเหนื่อย มีหรือที่พวกเขาจะไม่หวั่นไหว?


ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าตัวก็กล่าวเองแล้วว่า เขาจะล้างบางพวกมันให้เอง รับประกันความปลอดภัยได้ ด้วยเหตุนี้ยังมีอะไรให้เจ็ดพี่น้องต้องกังวลอีก?


 


ฉางเหลียนกัดฟันแน่นกล่าวขึ้นว่า


“ตกลง! ประมาณพันลี้ต่อจากนี้มีสถานที่แห่งหนึ่งนามว่า ถ้ำราชันย์แห่งภูต! ไม่เพียงมีวิญญาณชั่วรวมตัวอยู่ภายในนั้นมากมาย แต่พวกมันทั้งหมดล้วนทรงพลังแกร่งกร้าว! หลังจากเข้าแล้ว น้องชายควรจำสลักให้ขึ้นใจ ว่าห้ามเข้าลึกจนเกินไป เพราะภายในนั้นยังมีวิญญาณชั่วหนึ่งดาวขั้นสุด! และตามคำกล่าวขานกันมา ในส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำราชันย์แห่งภูตยังมีวิญญาณชั่วสองดาวดำรงอยู่ด้วย เพียงว่าไม่มีใครเคยเห็นมันมาก่อน!”


 


เย่หยวนพลางตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น งานนี้กลับต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นเป็นเท่าตัว


วิญญาณชั่วหนึ่งดาวขั้นสุดยังพิชิตแทบไม่ไหว แล้วหากเจอเข้ากับวิญญาณชั่วสองดาว หวูเฉินในยามอ่อนแอนเช่นนี้จะเอาอะไรไปต่อกร?


 


เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า


“ขอบพระคุณยิ่งสำหรับคำเตือน ข้าจะระวังตัวให้ดี!”


เห็นเย่หยวนกล่าวตอบกำชับสีหน้าเคร่งเครียด ฉางเหลียนก็ประเมินได้ทันทีว่า วิญญาณชั่วหนึ่งดาวขั้นสุดน่าจะเป็นขีดกำจจัดของเย่หยวนแล้ว


ซึ่งผลลัพธ์ชนิดนี้นับว่าเกินพอแล้วที่จะสร้างความประหลาดใจแก่เขาได้


 


เมื่อเดินทางมาถึง พวกเขาก็ปล่อยให้เย่หยวนเข้าไปในถ้ำราชันย์แห่งภูต ในขณะที่ทั้งเจ็ดยืนเฝ้ารออยู่รอบนอก


 


แต่จู่ๆใครจะไปคาดคิด ขณะยืนเฝ้าพลางสนทนาพูดคุยอย่างสนุกสนาน จู่ๆก็มีร่างนับสิบปรากฏกายขึ้นพร้อมเข้ารุมล้อมจากทั่วสารทิศโดยมีพวกเขาเจ็ดพี่น้องเป็นจุดศูนย์กลาง!


 


“หุหุ เสาะหากันแทบตายกว่าจะเจอ! ไม่คิดเลยว่าไอ้บัดซบเย่หยวนจะสบรู้ร่วมคิดกับพวกเจ้า! เรื่องทำป้ายตราตรวจจับพัง งานนี้ต้องคิดบัญชีให้เสร็จสรรพ!”


วาจาคำกล่าวที่แพร่พรายออกมาเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารแสนล้นเหลือ หวังอวีเต๋าสาดสายตาจจ้องเขม็งไปทางเจ็ดวีรบุรุษสายลมหยินอย่างเดือดดาล



ตอนที่1328 ไล่จับเต่าในขวด


 


การปรากฏตัวของหวังอวีเต๋าและคนอื่นๆ ล้วนทำเอาเจ็ดวีรบุรุษสายลมหยินประหลาดใจยิ่งยวด พวกเขายืนแข็งทื่อในทันใด


แต่ฉางเหลียนตอบสนองมีฏิกิริยาโต้ตอบรวดเร็วที่สุด ได้ฟังแบบนั้นเขาเข้าใจสถานการร์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ในทันที


ในขณะเดียวกับ ยามทราบความจริง ตัวเขากลับตื่นตะลึงไม่น้อย


มิใช่ว่าอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติเป็นคนพิการหรอกรึ? ไฉนพบหน้ากันจริงๆกลับทรงพลังแกร่งกล้าขนาดนี้?


ฉางเหลียนในปัจจุบันยืนยันได้แล้วว่า เด็กหนุ่มคนนั้นที่เข้าไปยังถ้ำราชันย์แห่งภูตก็คือ อาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ,เย่หยวน!


 


“ท่านผู้สูงส่ง ฉางคนนี้หาเข้าใจไม่ ท่านกล่าวถึงสิ่งใด? หากข้ามีความสามารถถึงขั้นทำลายป้ายตราตรวจจับได้ ข้าคงไม่ต้องเสี่ยงตายในสุสานสายลมหยิน เพื่อเสาะหาสมบัติขายประทังชีวิตเช่นนี้ตลอดทั้งปี!”


ฉางเหลียนกล่าวขึ้นพร้อมผสานมือคำนับอีกฝ่าย


หนึ่งความคิดโฉบแล่นดั่งสายฟ้าสว่างวาบ ก่อนเร่งเอ่ยปากให้การปฏิเสธทันที ยามนี้โอกาสของพวกเขามีเพียงน้อยนิดเท่านั้น


ซึ่งในความเป็นจริง ฉางเหลียนก็ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ตลอดที่ผ่านมาเด็กหนุ่มคนนั้นก็คือเย่หยวนที่ตระกูลหวังกำลังตามล่า


 


อย่างไรก็ตาม หวังอวีเต๋ากลับเค้นเสียงหัวเร่อเย็นสั่นกระเพือมยามได้ยินแบบนั้น เขากล่าวตอบว่า


“เจ้าเลิกเล่นลิ้นได้แล้วกระมัง? สิ่งเดียวที่ข้าเชื่อคือความจริงที่เห็นด้วยสองตาคู่นี้! พวกเราได้สอบถามผู้คนโดยรอบนี้มาแล้ว ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกัน หลังจากที่ไอ้เด็กเหลือขอนั้นเข้ามาในสุสานสายลมหยิน กลับเป็นพวกเจ้าที่นำทางมันมาโดยตลอด ต่อให้พิจารณาแค่จุดนี้ พวกเจ้าก็สมควรตายแล้ว!”


 


ฉางเหลียนคร่ำครวญสบถขึ้นภายในใจอย่างลับๆ แต่ยังคงปั้นสีหน้าใสซื่อมึนงงพลางเอ่ยถามว่า


“ท่านผู้สูงส่ง เราผู้ต่ำต้อยไม่ทราบจริงๆว่าท่านกำลังกล่าวถึงเรื่องอันใด! ความจริงก็คือ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเสนอผลึกปราณเทวะจำนวนเจ็ดพันก้อนเป็นค่านำทาง แต่…ฉางคนนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เด็กหนุ่มคนนั้นกลับเป็นคนที่ผู้สูงส่งนั้นตามหาอยู่!”


 


หวังอวีเต๋าเอ่ยเสียงเย็นแผดดังว่า


“ไม่ว่าจะเล่นลิ้นอย่างไรกลับเปล่าประโยชน์ ความจริงกลับหนีไม่พ้น พวกเจ้าให้ความช่วยเหลือไอ้เด็กเหลือขอนั้นจริงๆ! พวกเจ้า! จับพวกมันมา! ใครคิดขัดขืนฆ่าได้ทันที!”


 


คำกล่าวของหวังอวีเต๋า ได้ดับความหวังสุดท้ายของฉางเหลียนจนหมดสิ้น


 


สีหน้าแปรเปลี่ยนในทันใด ฉางเหลียนโพล่งตะโกนดังลั่น


“พวกเจ้ารีบหนีเข้าไปในถ้ำ!”


 


ในเวลานี้ทางหนีทุกด้านถูกปิดผนึกโดยสมบูรณ์ มีเพียงถ้ำราชันย์แห่งภูตเท่านั้นที่เป็นทางหนีเดียวของพวกเขา


พบเห็นภาพฉากเช่นนั้น หวังอวีเต๋าตอบสนองทันควัน ขณะยกฝ่ามือกระหน่ำตบออกไปทันที!


“พวกมดปลวกไม่รู้จักเป็นตาย!”


 


ขุมพลังปราณเทวะสุดแกร่งกร้าวระเบิดคลั่งในทันใด คลื่นพลังฝ่ามือขนาดยักษ์อัดอากาศปราดเข้าใส่พวกเขาทั้งเจ็ดโดยตรง


 


ฉางเหลียนเผยสีหน้าน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ พร้อมตะโกนลั่นขึ้นว่า


“พวกเจ้ารีบเข้าไปเร็ว!”


ยามนี้เขาระเบิดความแข็งแกร่งอาบท่วม รีดเร้นพลังปราณเทวะทั้งหมดออกมาสุดชีวิต หวังเพื่อสกัดต้านการโจมตีของหวังอวีเต๋า


อย่างไรก็ตามแต่ นี่กลับเป็นเพียงมดน้อยพยายามโค้นต้นไม้!


เผชิญหน้ากับเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดเฉกเช่นหวังอวีเต๋า ฉางเหลียนกลับไร้ซึ่งคุณสมบัติที่จะต่อกรโดยสิ้นเชิง


 


อย่างไรก็ตามแต่ ฉางเหลียนตัดสินใจเด็ดขาดหวังใช้ชีวิตแลกชีวิต ยอมตายเพื่อปกป้องน้องๆทั้งหกให้หนีเข้าถ้ำไปได้!


แม้‘เจ็ดวีรบุรุษสายลมหยิน’หาใช่คนดีอะไร แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหายนะที่คืบคลานเข้ามา เรื่องมิตรภาพกลับมาเป็นอันดับหนึ่ง


ในฐานะที่เป็นพี่คนโต ฉางเหลียนไม่คิดลังเลแม้แต่น้อย ยอมสละชีพเพื่อเข้าขวางหอกแทนน้องๆ!


 


แต่ในเวลานั้นเอง จู่ๆกลับมีอีกสองร่างพุ่งออกมารับหน้าแทนฉางเหลียน


 


“พี่ใหญ่จงมีชีวิตอยู่ต่อไป ฝากแก้แค้นไอ้บัดซบพวกนี้แทนพวกเรา!”


 


สองคนนั้นกลับเป็น น้องสามและน้องเจ็ด!


 


ดวงตาของฉางเหลียนแดงกล่ำแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือดสด


ทว่ายามนี้ฝ่ามือของกวังอวีเต๋าปราดลุถึงตรงหน้าแล้ว แม้เขาอยากจะช่วยเพียงใด แต่กลับสายเกินไปแล้วเช่นกัน!


 


บูมมมมม!


 


อนุภาพทำลายล้างอันมหาศาลชนิดนี้ ได้บดขยี้น้องสามกับน้องเจ็ดกระเด็นออกไปไร้ทิศทาง


ฉางเหลียนโดนลูกหลงไปไม่น้อย เขากระอักพ้นเลือดสดคำโตพร้อมน้ำตา ขณะรายรอบปรากฏเป็นร่างน้องสามและน้องเจ็ดที่หยุดหายใจเป็นที่เรียบร้อย


 


แต่ฉางเหลียนเป็นคนเด็ดขาดยิ่ง เขาทราบดีว่าตอนนี้หาใช้เวลามามัวลังเลเสียใจ ยามนี้เร่งคลานขึ้นจากพื้นดินและมุ่งหน้าหนีเข้าไปในถ้ำราชันย์แห่งภูตทันที


แม้ว่าฝ่ามือของหวังอวีเต๋าจะสามารถเด็ดชีพน้องสามกับน้องเจ็ดได้ในพริบตา แต่กว่าฝ่ามือนั้นจะมาถึงฉางเหลียน อนุภาพกลับถูกสองคนนั้นช่วยลดทอนได้มาก ยามนี้หยิบยืมแรงระเบิดจากฝ่ามือให้เป็นประโยชน์ ปราดพุ่งเข้าไปในถ้ำราชันย์แห่งภูตทันที


ด้วยความเร็วของเขาผนวกกับแรงระเบิดที่พลักไสออกไป จึงล่วงลุเข้าไปในถ้ำได้อย่างรวดเร็ว


 


“พี่สอง เราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”


หวังอวีกั่นเอ่ยถาม


 


“ควรทำอะไรงั้นรึ? ก็ตามมันเข้าไปไง! สถานการณ์ในตอนนี้กลับไม่ต่างอะไรกับไล่จับเต่าในขวด!”


หวังอวีเต๋ากล่าวขึ้นโดยใช่ลังเลไม่


 


ในเวลาเดียวกัน ยอดฝีมือคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้นด้วยความหวาดกลัว


“ตะ-แต่…นายท่าน สถานที่แห่งนี้คือ…ถ้ำราชันย์แห่งภูต!”


ยอดฝีมือคนนี้นับเป็นขาประจำในสุสานสายลมหยินเช่นกัน และยังเป็นคนนำทางพวกตระกูลหวังมายังที่นี่


 


สีหน้าของหวังอวีเต๋ากดต่ำเหยียบเย็นลงในทันใด ก่อนกล่าวขึ้นว่า


“ถ้ำราชันย์แห่งภูต?”


 


ยอดฝีมือผู้ทำหน้าที่นำทางกล่าวอธิบายว่า


“ถ้ำราชันย์แห่งภูตเป็นจุดที่อันตรายที่สุดแล้วในสุสานสายลมหยิน มีวิญญาณชั่วซ่องสุมอยู่ในนั้นนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังมีคำเล่าขานกันว่า ส่วนลึกที่สุดของถ้ำราชันย์แห่งภูตยังมีวิญญาณชั่วสองดาวดำรงอยู่! หากบังเอิญพบเจอวิญญาณชั่วสองดาวนั้นเข้า เกรงว่าได้แต่ทิ้งชีวิตอยู่ภายในนั้น!”


 


สีหน้าของหวังอวีเต๋าเปลี่ยนไปคล้ายกังวลขึ้นหลายส่วนเมื่อได้ฟัง แต่ขณะเดียวกับก็พลันโล่งใจในเวลาต่อมา เค้นเสียงเหยียบเย็นเอ่ยขึ้นว่า


“แล้วอย่างไร? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าไอ้เด็กเหลือขอนั้นจะกล้าเข้าไปยังส่วนลึกภายในถ้ำ! ตามไปเร็ว!”


 


ยอดฝีมือคนนั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูก แลเห็นทุกคนโถมกำลังวิ่งเข้าไปภายในถ้ำราชันย์แห่งภูต จึงทำได้แต่วิ่งตามไปเท่านั้น


 


 


…………………….


 


 


พวกฉางเหลียนทั้งห้าไม่เคยเข้ามาในถ้ำราชันย์แห่งภูตมาก่อน สถานที่แห่งนี้นับเป็นอาณาเขตต้องห้ามสำหรับนักสู้เผ่ามนุษย์อย่างพวกเขา


ดังนั้นหลังจากที่ทั้งห้าหนีเข้ามาในถ้ำ แต่ละคนจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวอันใดมากนักและเกาะกลุ่มกันไป


แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ ระหว่างทางที่ผ่านมา พวกเขากลับไม่พบวิญญาณชั่วเลยแม้แต่ตนเดียว!


ไม่ทราบเช่นกันว่าทั้งห้าเดินเท้าเข้าสำรวจนานเพียงใด แต่ทันใดนั้นเบื้องหน้า พวกเขาพลันเห็นร่างๆหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่อย่างนิ่งสงบ


 


 


“พี่ใหญ่ นั้น…นั้นมันไอ้เด็กเหลือขอมิใช่รึ?!”


 


“หากมิใช่เพราะไอ้เด็กคนนี้ น้องสามกับน้องเจ็ดคงไม่ต้องมาตายแบบนี้เช่นกัน! แค้นนี้เราจะชำระให้เอง!”


 


“พี่ใหญ่ ฆ่าไอ้เด็กเหลือขอนี่เถอะ! แก้แค้นให้พี่สามกับน้องเจ็ด!”


 


เหล่าพี่น้องที่เหลือต่างกลับไปพลางน้ำตาซึมไป เห็นได้ชัดว่า การตายของน้องสามและน้องเจ็ด พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้แม้แต่น้อย


ทั้งหมดทราบดี พวกเขาหาใช่คู่มือของหวังอวีเต๋าได้เลย ดังนั้นจึงหันมาระบายความโกรธใส่เย่หยวนแทน


 


ฉางเหลียนในยามนี้เองก็บาดเจ็บมิใช่น้อย เขาเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตออกจากฝ่ามือของหวังอวีเต๋ามาได้


เห็นว่าน้องๆของตนโพล่งสบถด่าด้วยความขุ่นเคือง เขากลับไม่ค่อยพอใจนัก สีหน้าการแสดงออกของเขาน่าเกลียดถึงขีดสุด


“พวกเจ้า ความอยุติธรรมล้วนต้องมีคนชดใช้ก็จริง แต่คนใดก่อบัญชีแค้นคนนั้นต้องชดใช้! น้องสามกับน้องเจ็ดถูกตายฆ่าด้วยฝีมือของหวังอวีเต๋า ดังนั้นคนที่ต้องชดใช้ควรเป็นมัน! เรากับน้องเล็กเย่เป็นเพียงคู่ธุรกิจระหว่างทางเท่านั้น อย่าแก้แค้นส่งเดช!”


ฉางเหลียนกล่าวขึ้น


 


สุ้มเสียงเหล่านี้เอง ทำให้เย่หยวนค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้า ก่อนเหลียวมองฉางเหลียนเจือประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากกล่าวว่า


“ตระกูลหวังมันไร้ยางอายกว่าที่ข้าคิดมากนัก แต่คนที่ทำให้น้องสามกับน้องเจ็ดตายกลับมิใช่ข้า แต่เป็นพวกท่านเอง! หากต้องนับข้าเป็นคนที่ต้องแก้แค้นก็อย่าได้สุภาพอันใดอีก นายน้อยผู้นี้พร้อมทวงความยุติธรรมให้ตนเองเช่นกัน!”


 


คำกล่าวของเย่หยวนได้ไปกระตุ้นโทสะของพวกที่เหลือจนระเบิดออกมาในที่สุด


 


“พวกเราคือสาตุที่ทำให้น้องสามกับน้องเจ็ดตาย? ไอ้บัดซบน้อย เจ้าอย่ามากล่าวหาส่งเดช!”


 


“อย่าคิดเพียงว่า สามารถกำจัดวิญญาณชั่วได้ไม่กี่ตัวก็มีทุนรอนให้พวกเราเกรงขาม! ท้ายที่สุดนี้ เจ้าก็มันแค่เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น! ข้าไม่เชื่อหรอกว่า เจ้าจะต่อกรพวกเราพี่น้องได้!”


 


แต่ฉางเหลียนกลับยืนนิ่งไม่ตอบโต้อันใด สีหน้าของเขามิดทมิฬถึงขีดสุด คำกล่าวของเย่หยวนกลับทำให้เขาโศกเศร้าเสียใจยิ่งกว่าอะไร!


 


เย่หยวนแสยะยิ้มเย็นฉีกปรากฏบนมุมปาก ก่อนกล่าวอย่างเฉยเมยขึ้นว่า


“พวกเจ้าทั้งเจ็ดล้วนเผยจิตสังหารหวังฆ่าชิงทรัพย์ข้าตั้งแต่แรกเจอ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้! หากกล่าวตามตรง พวกเจ้าเป็นเพียงกลุ่มโจรที่นอกจากเสาะหาสมบัติแล้ว รายได้หลักกลับเป็นการดักสังหารปล้นทรัพย์คนอื่น! หากพวกเจ้ามาด้วยเจตนาดีกว่านี่แต่แรก นายน้อยผู้นี้คงออกโรงช่วยเหลือไปนานแล้ว! หรือไม่ก็พาเข้ามาในถ้ำราชันย์แห่งภูตด้วยกัน”


 


ได้ฟังคำกล่าวของเย่หยวนดังนี้ พวกฉางเหลียนทั้งห้าสะดุ้งตกใจขึ้นทันที


ปรากฏว่า เย่หยวนทราบตั้งแต่แรกแล้วว่า พวกเขาคิดอ่านหวังฆ่าอย่างไร เพียงว่าเย่หยวนเลือกที่จะไม่กล่าวถึงตลอดมา!


 


ตอนนี้น้องสามกับน้องเจ็ดตายลง นับเป็นผลกรรมของพวกเขาที่คิดไม่ดีต่อเย่หยวนแล้ว!


มิใช่ว่าพวกเจาไม่ต้องการฆ่าเย่หยวน เพียงว่าฉางเหลียนรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างในตัวเขาได้ นั้นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขามิได้ลงมือ


 


ดังนั้นเย่หยวนเองก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของคนเหล่านี้เลย


ระหว่างทางที่ผ่านมา ปล่อยเป็นเรื่องของธุรกิจเท่านั้น


 


“นอกจากนี้ หากข้าไม่เห็นแก่สายพันธ์พี่น้องของพวกเจ้า มีหรือที่พวกเจ้ายังคงรักษาชีวิต วิ่งหนีเข้ามาจนพบกับนายน้อยผู้นี้ได้?”


เย่หยวนกล่าวขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)