Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1313-1324
ตอนที่ 1313
แสดงละครฉากใหญ่
ผู้จัดการซูมากความสามารถเจนจัดด้านประสบการณ์ร้อยพันรอบด้าน เขาผิดข่าวนี้อย่างมิดชิดและไม่มีปริปากบอกใบ้ปราศจากร่องรอย
หวังหลินโปทราบดีว่า พิษขนวิหคพันราตรีของเขารุนแรงเพียงใด
ถึงมีโอสถล้างพิษขั้นสวรรค์เข้าช่วยเหลือจุนเจือ แต่อย่างมาก เหลียงหวางหรูก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสี่สิบวันแน่นอน
เช้าตรู่ของวัน เขาส่งน้องสาวของเขา,หวังเพียนหลานออกไปดูตรวจสถานการณ์
หวังเพียนหลานนำคนกลุ่มใหญ่จำนวนหนึ่งอยู่รอบกาย จนธารน้ำยังไหลผ่านไม่ได้ เพื่อเดินทางไปยังหอมหาสมบัติ
แต่สิ่งที่ทำให้ขากรรไกรทุกคนค้างเติ่งคือ หวังเพียนหลานในวันนี้มาพร้อมกลับชุดอาภรณ์สีขาว ใบหน้าอ้วนของนางยังอาบน้ำตาเปียกชุ่ม
ผู้คนรอบข้างที่พลุกพล่านมากมาย โดยธรรมชาติ ย่อมมีพวกหูตาของสามตระกูลใหญ่ลอบเร้น
หอมหาสมบัติเปิดศึกจนก่อเป็นความขัดแย้งกับตระกูลหวัง เหล่าฝูงชนในเมืองต่างเมืองเป็นเรื่องตลก
แน่นอน ฝ่ายที่ดูตลกมิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก พวกหอมหาสมบิต
สิ่งที่ตระกูลหวังเชี่ยวชาญที่สุดคือศาสตร์การใช้พิษ และปัจจุบันก็ได้ถูกเผิดเผยแล้วว่า พิษลับที่เป็นผลงานชิ้นเอกของตระกูลหวังก็คือ พิษขนวิหคพันราตรี ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนร้ายแรงเกินจินตนาการ
ทุกคนต่างทราบดีว่า ในเมืองกุยฉางแห่งนี้ ไม่มีใครสามารถถอนพิษขนวิหคพันราตรีนี้ได้!
เพราะสิ่งนี้จึงทำให้ผู้คนมองหอมหาสมบัติในแง่ที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
แม้แต่ตระกูลหลินและตระกูลหลู่ อีกสองตระกูลใหญ่ยังต้องระวังตระกูลหวังเช่นกัน
ท้ายที่สุดนี้ทวนคมยังง่ายต่อการหลบ แต่ลูกดอกซ่อนพิษที่เร้นแฝงกลับยากที่จะป้องกัน
“ซูหลิงปู้ รีบส่งมอบคนของข้ามาเดี๋ยวนี้! หวางหรูเป็นสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งของพวกเราตระกูลเหลียง ต่อให้ตายก็ต้องตายในตระกูลเหลียง!”
“โอ้ใช่แล้ว อาคันตุกะนักหลอมโอสถหน้าใหม่ของหอมหาสมบัติ มิใช่บอกว่าสามารถรักษาพิษขนวิหคพันราตรีได้หรอกรึ? ไฉนจนถึงตอนนี้ก็ยังปิดปากเงียบ? ทุกคนมาดูนี่เร็ว! ไอ้พวกหอหมาสมบัติมันเป็นพวกหลอกลวง!”
“ฮึก ฮึก…หวางหรูของข้า! เจ้าตายอย่างไม่ยุติธรรม!”
…………
หวังเพียนหลานแกว่งแขนแกว่งขา ก้อนไขมันทั่วร่างขยับกระเพื่อมไม่หยุดหย่อน พร้อมตะโกนลั่นสุดเสียงพลางร้องห่มร้องไห้แสนระจมใจหน้าประตูหอมหาสมบัติ
นางยังเรียกเหลียงหวางหรูว่า‘สมาชิกตระกูล’ได้อย่างหน้าตาเฉย
การแสดงละครครั้งใหญ่นี้ต่างทำเอาทุกคนประหลาดใจจริงๆ
มิใช่หวังเพียนหลานรึที่เป็นแม่เลี้ยงใจร้าย จับเหลียงหวางหรูไปขังในคุกใต้ดิน?
ไฉนยังหน้าด้านเสแสร้งเช่นนี้อีก?
หวังเพียนหลานร้องห่มร้องไห้ราวกับว่าลูกสาวแท้ๆตัวเองตายก็ไม่ปาน
วัตถุประสงค์ของหวังหลินโปนั้นชัดเจนมาก ในเมื่อมีใครบางคนกล้าท้าทายพิษขนวิหคพันราตรีที่เป็นถึงไพ่ตายลับของตระกูลหวัง ดังนั้นนี่จะเป็นโอกาสเชือดศัตรูให้ตาย!
อย่างน้อยที่สุด เขาต้องการที่จะตบไอ้สารเลวน้อยนั้น ที่บังอาจทำลายชื่อเสียงของเขาจนเสียหน้าไปพักใหญ่!
ตราบใดที่เย่หยวนถูกแหกหน้า เด็กนั้นก็จะกลายเป็นเผือกร้อนที่หอมหาสมบัติไม่กล้าเก็บไว้กับตัวอีกเลย
หวังหลินโปประสบความล้มเหลวที่ทำให้เย่หยวนอับอายในวันนั้น และกลับเป็นฝ่ายเขาที่ต้องอับอายเสียแทน สิ่งนี้ทำให้หวังหลินโปมิอาจปล่อยไว้ได้ หากมิได้ลบล้างความเกลียดชังภายในใจ
หากเย่หยวนไม่ตาย เขาเองก็ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน
เศษสวะพิการตัวหนึ่งกลับหาญกล้ายั่วยุเหนือหัวแห่งเมืองกุยฉางแห่งนี้ เกรงว่าความตายไอ้เด็กเหลือนี่จะสะกดไม่เป็น!
“ไอ้หมูอ้วน หน้าด้านไร้ยางอาย! พุงย้อยจนแทบลากพื้นแล้ว!”
“ยังกล้ามาเสแสร้งอีก? หน้าตายังน่าเกลียดไม่พอ จิตใจยังต่ำทรามเกินพรรณนา! ถึงกล้านำพิษขนวิหคพันราตรีให้ลูกเลี้ยงกินจริงๆ!”
“ถูกต้อง! แต่จะว่าไปวันนี้ผลจะเป็นอย่างไร? ข่าวลือก่อนหน้าหรือไม่เป็นความจริง?”
“อย่างไรก็ตามแต่ หอมหาสมบัติจะสามารถรักษาพิษนี้หรือไม่ ต้องรออีกฝ่ายเคลื่อนไหว แต่หากทำไม่สำเร็จจริงๆ งานนี้คงอับอายขายขี้หน้าไปอีกนาน!”
“นั้นเป็นถึงพิษขนวิหคพันราตรี ยามนี้กล่าวกันว่าเป็น ยอดพิษอันดับหนึ่งของเมืองกุยฉางแห่งนี้ เว้นเสียแต่เป็นโอสถล้างพิษขั้นเทวะ มิฉะนั้นไม่มีทางรักษาได้! บางทีฝ่ายหอมหาสมบัติอาจมีไพ่ตายซ่อนอยู่เช่นกัน?”
“ไม่หรอก! ข้าได้ยินมาว่า อาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติเป็นแค่คนพิการ ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น แต่เขาก็ยังกล้ากล่าวว่า ตนสามารถล้างพิษขนวิหคพันราตรีได้! ไพ่ตายที่ว่าหรือจะเป็นเพียงฝีปาก?”
……………………….
หลังจากแผนของตระกูลหวังได้ปลุกกระตุ้นผู้คนจนหันมาสนใจประเด็นร้อน หอมหาสมบัติก็ถูกเพ่งเล็งอีกคครั้ง
ไม่เพียงหามีผู้ใดมองดีเลยสำหรับฝ่ายหอมหาสมบัติ แต่ก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ดูถูกเหยียดหยามเย่หยวน พวกเขารู้สึกว่า กลับเป็นเย่หยวนเสียเองที่เป็นตัวก่อปัญหาทั้งหมด จนทำให้หอมหาสมบัติต้องตามเช็ดตามล้างแบบนี้
หากเรื่องลงเอยไม่ดีอย่างหวัง งานนี้เป็นฝ่ายหอมหาสมบัติที่เข้าเนื้อเต็มๆ
ในเวลานี้ ผู้จัดการซูถูกเหล่าพยักงานคนอื่นๆตามตัวกันให้ควั่กซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อเห็นหวังเพียนหลานลงทุนเสแสร้งเล่นละครฉากใหญ่ เขาก็อดสะใจมิได้
“เหอะ แม้แต่พวกเราก็ยังไม่คาดคิดว่า เย่หยวนจะสามารถหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะได้ แล้วมีหรือหวังหลินโปจะนึกถึงขั้นนั้น? เป็นเพราะข้าที่พยายามปกปิดเรื่องนี้สุดตัว พวกมันถึงได้เต็มใจกระโดดลงหลุมเองเช่นนี้! ให้หญิงอ้วนนั้นวิ่งเล่นไปอีกสักครู่ รอตบหน้าทีเดียว ผลที่ออกมาคงวิเศษเป็นอย่างยิ่ง!”
ผู้จัดการซูกล่าวขึ้นพร้อมเปล่งเสียงหัวร่อดังสุดเยือกเย็น
แน่นอน ความลับยังคงเป็นความลับ ผู้จัดการซูผู้นี้เป็นคนฉลาดหลักแหลม ร่องรอยแห่งความปีติดีใจจะปรากฏขึ้นบนผิวหน้าของเขาได้อย่างไร?
หยางหรูกำชัดเขาเด็ดขาด ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของหอมหาสมบัติ และเตรียมตบหน้าตระกูลหวังอย่างไร้ปราณี และนี่ถือเป็นโอกาสได้ผลักนำนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติอย่างเย่หยวนไปในตัว!
ด้วยแผนการนี้ของเขา จะส่งผลให้สถานะของหอมหาสมบัติดีขึ้นเป็นอย่างมาก
สำหรับหวังเพียนหลาน พระแม่สุกรตัวอ้วนนี้ คงยิ้มเยาะได้อีกไม่นานแล้ว
“นี่คือเขตของหอมหาสมบัติ ไม่อนุญาตให้คนนอกประพฤติกิริยาต่ำทราม! หากเจ้ามีเหตุผลที่รุดมาหาก็จงรีบกล่าว! ไม่เช่นนั้น อย่าถือตำหนิว่าหอมหาสมบัติของเราเสียมารยาท!”
ผู้จัดการซูกล่าวขึ้นพร้อมท่าทางสุดเคร่งขรึม
ยามเห็นการปรากฏตัวของผู้จัดการซู หวังเพียนหลานนึกกระอักกระอ่วนใจอยู่หลายส่วน แต่ก็ยังกล่าวตอบพร้อมถ่อยคำเย้ยเยาะว่า
“ซูหลิงปู้ เจ้าเห็นหรือไม่ มีนับร้อยสายตาที่คอยจับจ้องเจ้าอยู่! ข้าไม่เชื่อหรอกว่า แกจะกล้าลงมือลงไม้กับผู้หญิงคนหนึ่ง!”
ผู้จัดการซูขมวดคิ้วเข้ม พลางกล่าวว่า
“หวังเพียนหลาน เจ้าต้องการอันใด? ไม่กลัวสามีของเจ้าเสียหน้าเลยกระมัง?”
หวังเพียนหลานยิ้มร่า นางกล่าวเสียงเย็นตอกสวน
“เหอะ ไอ้อาคันตุกันักหลอมโอสถของเจ้า พาหลัวเจียบุกมาตระกูลเหลียงและลักพาตัวเหลียงหวางหรูไป แถมยังทำร้ายสามีและท่านลุงสองของข้าจนบาดเจ็บสาหัส พวกหอมหาสมบัติข่มเหงผู้คนมากเกินไป หวางหรู เจ้าช่างน่าสงสารนัก ที่ต้องมาตายอย่างไม่ยุติธรรมเช่นนี้!”
ผู้จัดการซูกล่าวขึ้นอย่างไม่มีความสุขว่า
“เล่นลิ้นเผยความไม่หมด! แม่นางหวางหรูถูกพวกเจ้าวางยาพิษสาหัส เย่หยวนจึงต้องบุกเข้าไปตระกูลเหลียงเพื่อช่วยออกมา เลือดเย็นอำมหิตเช่นนี้แต่กลับราวกับตัวเองไร้ความผิด! ถึงจะเป็นลูกติด แต่ก็ยังกล้าวางยาพิษ ใจคอต่ำทรามสิ้นดี!”
หวังเพียนหลานกรอกตาไปมาพลันนึกดีใจ ในที่สุดตาแก่ตัวนี้ก็ตกหลุมพราง!
“ซูหลิงปู้ เจ้าหยุดโยนความผิดได้แล้ว! ปกติหวางหรูเกลียดชังข้าสุดหัวใจ เพราะข้าไปแทนที่ตำแหน่งแม่ของนาง ดังนั้น นางจึงต่อต้านข้าทุกอย่างในบ้าน หาเรื่องทะเลาะกับข้าไม่เว้นวัน! ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องจริง! พอยามนี้นางสมโอกาสแอบขโมยขวดใส่พิษขนวิหคพันราตรีไป และแอบกินเอง หากข้าอยู่ตรงนั้นมีหรือจะทนดูอยู่เฉยๆ? ไม่ว่าอย่างไร นางก็เป็นเหมือนลูกสาวข้าอีกคน ทว่าอย่างไรก็ดี มีไอ้พิการแถวนี้หลงเสน่ห์นาง จนถึงขั้นบุกเข้ามาลักพาตัวหนีออกไป ส่วนเหตุผลที่นางกลั้นใจกินพิษเข้าไปเอง หวังเพื่อใส่ความให้ทุกคนมองข้าในแง่ร้าย! แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังรักนางดั่งลูกแท้ๆ! ฮึก.. ฮึกก.. โถ่ลูกหวางหรูช่างน่าสงสาร เจ้าต้องมาตายอย่างไม่ยุติธรรม!”
ต้องยอมรับกันตามตรง ทักษะการแสดงของหญิงอ้วนนางนี้ยอดเยี่ยม เล่นตรงบทเป็นที่สุด ยามนี้ธารน้ำตาไหลรินไม่หยุดหย่อน
เสียงโอดครวณอันสุดแสนน่าสงสารนี้ สามารถหลอกผู้คนไปได้มาก
สับสนระหว่างขาวดำ ใครจริงใครปลอม เรื่องนี้กลับไม่มีใครทราบ เหล่าฝูงชนเริ่มเบี่ยงสายตาเข้าจับจ้องไปที่ผู้จัดการซู
เย่หยวนเป็นผู้กระทำผิดจริง และมีสิทธิ์หอมหาสมบัติเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
ที่หวังเพียนหลานกล่าวไปล้วนมีเหตุมีผลทุกอย่าง จนทำให้ฝูงชนโดยรอบเกลียดนางไม่ลงแล้ว
ตอนที่ 1314
ล้างมลทิน
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง! แม้สุกรอ้วนนางนั้นจะต่ำทราม แต่เย่หยวนก็ต่ำทรามยิ่งกว่า!”
“ยิ่งคิดยิ่งถูกต้อง! ข้าเองก็เคยได้ยิน ถึงสุกรอ้วนนี่จะชอบกดขี่ข่มเหงคนอย่างไร แต่นางก็รักเหลียวหวางหรูดั่งลูกในไส้!”
“เรื่องแม้เลี้ยงกับลูกติดที่ไม่ค่อยถูกกัน ล้วนปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งในครอบครัว หากเป็นเช่นนั้นจริง เรื่องนี้ช่างสมเหตุสมผลยิ่งนัก!”
“เหลียงหวางหรูหลงผิดยังพอสำเนา แต่ไอ้ชาติชั่วนั้นมันใจกล้าถึงขั้นลักพาตัวออกมา! ช่างเป็นสาวน้อยที่น่าสงสารนัก!”
“อาคันตุกะนักหลอมโอสถบัดซบนั้น จะไปรักษาพิษได้อย่างไร? ทั้งหมดเป็นเพียงคำหลอกลวง!”
“รักษาบิดามันเถอะ! พิษขนวิหคพันราตรีของตระกูลหวัง น่ากลัวเกินพรรณนา ไม่มีใครสามารถถอนพิษออกได้ แล้วไอ้พิการนั้นหรือจะมีปัญญา? คนปัญญาอ่อนยังไม่เชื่อเลยกระมัง?”
……………….
แผนการของหวังเพียนหลาน นางได้เตรียมการมานานแล้ว ในเวลานี้ถึงคราวแสดงฉากใหญ่จึงไร้ที่ติ
นางหาได้ซุกซ่อนสันดาน‘แม่ใจร้าย’แม้สักนิด แต่หยิบยกประเด็นแม่เลี้ยงกับลูกติดมากล่าวถึงแทน ซึ่งนี่มีความน่าเชื่อถือสูงมาก
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ชื่อเสียงวีรกรรมต่างๆของนางจะแพร่กระจายไปทั่วเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นางมีความสำคัญต่อตระกูลเหลียงขนาดไหน
ดังนั้นข้ออ้างนี้จึงทีน้ำหนักความน่าเชื่อถือทันที
แน่นอน ด้วยสติปัญญาของนางเพียงอย่างเดียว ไม่มีทางคิดแผนการอันไร้ที่ติเช่นนี้ออกมาได้
กลับเป็นหวังหลินโปที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด
เมื่อเห็นปฎิกิริยาของทุกคนที่เปลี่ยนผัน หวังเพียนหลินพลันลอบยิ้มดีใจพลางชื่นชมพี่ชายตัวเองอย่างลับๆ
ด้วยการเคลื่อนไหวในครานี้ ทั้งเย่หยวนและหอมหาสมบัติจะกลายเป็นฆาตกรทันที!
เผชิญหน้าต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนาๆของทุกคน ซูหลิงปู้สีหน้ามืดทมิฬน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ แต่ภายในใจพลันรู้สึกจ๊กจี้กระตุกเส้นฮาแทบขำลั่นออกมา
“เลิกปิดบังผู้คนได้แล้ว! ยิ่งพวกเจ้าทำเช่นนี้ ทุกคนก็ยิ่งตาสว่าง!”
ทันทีทันใด ซูหลิงปู้ระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น และกล่าวว่า
“หวังเพียนหลาน เลิกเล่นละครได้แล้ว! แท้ที่จริง แม่นางหวางหรูหายเป็นปกตินานแล้ว! แต่นางผิดหวังกับตระกูลเหลียงของพวกเจ้ายิ่งกว่าอะไร และนางจะไม่มีวันกลับตระกูลเหลียงอีก! พวกเจ้ากลับไปซะ! หากถึงขั้นที่ต้องลงมือ เกรงว่าไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์!”
ยิ่งซูหลิงปู้กล่าวเช่นนี้ หวังเพียนหลานยิ่งรู้สึกดีใจเข้าไปใหญ่
เหล่าฝูงชนโดยรอบเห็นพ้องต้องกัน ฝ่ายหอมหาสมบัติกำลังปั้นน้ำเป็นตัว
แต่นี่ก็มิอาจตำหนิผู้คนได้เช่นกัน ตระกูลหวังเชี่ยวชาญด้านพิษ และพิษขนวิหคพันราตรีก็เป็นถึงผลงานชิ้นเอกของตระกูล ความน่ากลัวของมันสลักจารึกลงในใจของทุกคนลึกเกินไป
พวกเขาไม่เชื่อโดนสิ้นเชิง หอหมาสมบัติไม่มีทางถอนพิษนั้นได้แน่
“ซูหลิงปู้ อย่าผลักไสข้าไปมากกว่านี้! ข้าอยากจะเห็นเสียจริง นางยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว! หวางหรูเป็นลูกสาวของข้า นางเป็นคนของตระกูลเหลียง! แล้วหอมหาสมบัตเกี่ยวข้องอย่างไรกับนาง? ทุกคนว่ามั้ย?”
หวังเพียนหลานกล่าวถามทุนคน
“ถูกต้อง! นอกจากหอมหาสมบัติจะสมรู้ร่วมคิดกับฆาตกร ยังจะไม่ยอมส่งมอบศพของคนอื่นอีก! บัดซบโดยแท้!”
“ในเวลานี้ หอมหาสมบัติยังกล่าวลำพองตัวถือดี?”
“ส่งมอบศพออกมา! ส่งมอบศพออกมา!”
………………….
ชั่วขณะนั้นเอง ยามที่เหล่าฝูงชนลุกฮือทวงความเป็นธรรม
ภายในโรงน้ำชาแห่งนี้ที่อยู่ตรงข้ามหอมหาสมบัติ ชายวัยกลางคนทั้งสองกำลังนั่งจิบชาอยู่
“หลู่จินห่าว ข้าทราบดี วันนี้เจ้าไม่มีทางพลาดละครฉากใหญ่นี้แน่นอน หึหึ…ช่างดีงามนัก!”
ชายคนหนึ่งเอ่ยปากกล่าว
หลู่จินห่าวยิ้มกล่าวตอบ
“หวังหลินโปคนนี้ ทั้งเจ้าและข้าต่างรู้จักมันดียามมันเคลื่อนไหว พวกเราห้ามเคลื่อนไหว ยามมันลงมือ ต้องมีหลั่งเลือด!”
ชายสองคนนี้หาใช่ใครอื่นนอกจากประมุขตระกูลใหญ่ทั้งสอง ตระกูลหลู่,หลู่จินห่าว และตระกูลหลิน,หลินซือเทียน
“หวังหลินโปวางแผนได้แนบเนียนมิดชิดดีจริงๆ คราวนี้หอมหาสมบัติถึงคราวล้มสลายจริงๆ!”
หลินซือเทียนกล่าวต่อ
“แผนการของหยางรุยไม่จำต้องกล่าวอะไรมากนัก แต่สิ่งเดียวที่ข้าสงสัยคือ ไฉนมันถึงตัดสินใจพลาด เข้าช่วยเหลือเด็กพิการนั้น?”
หลู่จินห่าวกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีใครทราบเรื่องนี้! แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาด ย่อมนำไปสู่ความล้มจมในท้ายที่สุด คราวนี้หอมหาสมบัติล้มสลาย ศัตรูตัวฉกาจจของเราหายไปแล้วหนึ่ง”
หลินซือเทียนกล่าว
“เห้ออ… ยามที่หอมหาสมบัติล้มสลายไป เจ้ากับข้าต้องระวังเป็นเท่าตัว หลินหวังโปผู้นี้มีความทะเยอทะยานไม่เล็กเลย!”
หลู่จินห่าวกล่าว
หลินซือเทียนพยักหน้า เบื้องลึกภายในใจพลันรู้สึกไม่ต่างกัน
………………..
ในขณะเดียวกัน รอยยิ้มประหลาดพลันกดลึกบนใบหน้าของซูหลิงปู้
ทันใดนั้นเอง เขาพลันถอนหายใจเสียงยาว ก่อนกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า
“พิษที่ตกค้างภายในร่างของแม่นางหวางหรูยังขับไม่หมดดี ยังต้องพักฟื้นอีกสักพัก แต่ในเมื่อเจ้าเห่าหอนไม่หยุดเช่นนี้ ข้าคงต้องเชิญนางออกมาให้ประจักษ์แก่ทุกสายตา แม่นางหวางหรูออกมา!”
คำกล่าวนี้ของซูหลินปู้ทำเอาทุกคนปิดปากเงียบในบัดดล
พวกเขากังขาสงสัยยิ่ง สิ่งที่ซูหลิงปู้กล่าวไปเป็นเพียงคำพร่ามไร้สาระหรือไม่
“ซูหลิงปู้ หน้าด้านไร้ยางอาย! ประวิงเวลาเล็กน้อยกลับเปล่าประโยชน์!”
นางตะโกนสุดเสียงด้วยความเย้ยหยันสุดใจ
นางไม่เชื่อว่า วันนี้นางจะถูกหักหน้าจนตาย เพราะสุดท้ายนี้ หอมหาสมบัติไม่มีวันชุบชีวิตเหลียงหวางหรูให้ออกมาเผยโฉมต่อหน้าต่อตาได้แน่นอน
ซูหลิงปู้ระเบิดหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนกล่าวว่า
“ฮ่าฮ่า อย่าเพิ่งออกตัวจนกว่าเห็นสิ่งใดแท้ปลอม!”
เสี้ยวอึดใจต่อมา ปรากฏอิสตรีงามสองร่างค่อยๆเดินออกมาจากภายในหอมหาสมบัติ
หงหยิงประคองร่างบางของเหลียงหวางหรูออกมา สภาพโดยรวมในปัจจุบันของนางยังดูไม่ดีนัก แต่นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ซูหลิงปู้หาได้กล่าววาจาไร้สาระไม่
หวังเพียนหลานขยี้ตาแทบหลุด ด้วยความกังขาสุดใจ สายตาของนางมีปัญหาจริงๆแล้วหรือไม่!
แต่ไม่ว่าจะเพ่งอย่างไร ตรงหน้านางนี้ยังเป็นใครได้อีกนอกเสียจาก เหลียงหวางหรู!
“นั้น…นั้นมันเหลียงหวางหรูจริงๆ! นาง…นางยังไม่ตาย!”
“สายตาของข้ามิได้มีปัญหาใช่ไหม? พวกเขาสามารถถอนพิษขนวิหคพันราตีได้จริงๆ?!”
“สวรรค์! หอมหาสมบัติทำได้อย่างไรกัน? นี่…ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
…………………
การปรากฏตัวสู่สายตาสาธารณะชนของเหลียงหวางหรู ต่างปลุกกระตุ้นฝูงชนยกใหญ่
ยามก่อนหน้าทุกคนล้วนคิดว่านางได้ตายลงไปแล้ว ทว่าตอนนี้กลับยืนอยู่ต่อหน้าต่อตา นางยังมีชีวิตอยู่จริงๆ!
ตระกูลหวังเชี่ยวชาญด้านยาพิษมากกว่าใครๆ
แต่ยามนี้นางกลับได้รับการรักษาแล้ว!
แน่นอนว่า คนที่ตื่นตกใจที่สุดยังคงเป็นหวังเพียนหลาน ที่ยามนี้ตะลึงค้างไม่คลายอ่อน
“นี่…นี่เป็นไปไม่ได้! ข้าเป็นคนกรอกพิษขนวิหคพันราตรีลงปากนางกับมือ! นี่เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้แน่นอน!”
หวังเพียนหลานตกใจจนเผลอหลุดปากในท้ายที่สุด
เมื่อได้ฟังอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น ซูหลิงปู้พลันแสยะยิ้มเย็นทันทีก่อนกล่าวว่า
“อ้าว? ไหนว่าแม่นางหวางหรูเป็นใครกินยาพิษเอง? ไฉนตอนนี้ถึงมาบอกว่า ข้ากรอกพิษใส่ปากนางกับมือ?”
หวังเพียนหลานสะดุ้งเฮือก นางกล่าวตะกุกตะกักทันใด
“ขะ-ข้า…ข้า…ข้า…”
ติดอ่างไม่เป็นภาษาอยู่นาน จนในที่สุดนางเองก็ไม่รู้จะกล่าวอันใดตอบเช่นกัน
เหลียงหวางหรูยืนนิ่งพลันเหลียวสายตาจับจ้องหวังเพียนหลานอย่างไม่แยแสอันใด
นางสะกิดเรียกหงหยิงเบาๆ ซึ่งอีกฝ่ายเองก็เข้าใจทันควันและกล่าวกับคนใช้ว่า
“ไปหยิบปากกากับหมึกมา!”
ไม่นาน คนใช้ก็เร่งกลับมาพร้อมอุปกรณ์ทั้งสองอย่าง พร้อมวางลงต่อหน้าเหลียงหวางหรู
นางบรรจงเขียนลงกระดาศอย่างรวดเร็ว ซึ่งเนื้อความปรากฏดังนี้ :
‘แม่เลี้ยงชั่วเป็นคนวางยาหรูคนนี้ ซึ่งที่ผ่านมา นางเอาแต่ทุบตีและดุด่าหรูคนนี้ตลอดมา ครั้งล่าสุด หรูคนนี้ได้มอบผลึกปราณเทวะระดับต่ำให้แก่เย่หยวนเป็นจำนวนร้อยกว่าก้อนเศษ แต่หรูคนนี้กลับโดนแม่เลี้ยงชั่วจับโยนลงในคุกใต้ดิน อดข้าวอดน้ำ แถมยังวางยาพิษและปล่อยให้ตายคากรงขัง หัวใจของหรูคนนี้ได้ตายลงแล้วตั้งแต่ตอนนั้น ทว่าก็ยังโชคดีได้เย่หยวนเข้าช่วยเหลือ ท่านพ่อที่ดูเหมือนเป็นความหวังสุดท้าย ยังเห็นดีเห็นงามกับแม่เลี้ยงชั่ว สุดท้ายนี้ ข้า,หวางหรู ขอออกจากตระกูลเหลียง และไม่ขอยุ่งเกี่ยวใดๆกับตระกูลนี้อีกตลอดไป’
เมื่อเขียนเสร็จ เหลียงหวางหรูก็ค่อยๆวางปากกาพร้อมด้วยน้ำตาที่เริ่มรินไหล
ตอนที่ 1315
หนูข้ามถนน
ซูหลิงปู้สั่งให้หงหยิงถ่ายถอดเนื้อความออกไปทั้งหมดโดยละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นเขาพลันถอนหายใจเสียงใหญ่และทิ้งท้ายไปว่า
“เฮ้อ…ชสาวน้อยผู้น่าสงสาร หงหยิงพาแม่นางหวางหรูกลับไปพักผ่อนเถอะ!”
ด้วยนิสัยของเหลัยงหวางหรู การจะผลักดันนางจนมาถึงจุดนี้ได้กลับมิใช่เรื่องง่ายเลย
ในตอนนั้น ไม่ว่าเหลียงหวางหรูจะถูกทุบตีอย่างไร นางก็เลือกที่จะให้อภัยมทาโดยตลอด
แต่ความเฉยเมยของเหลียงหมิงอี้ที่มีต่อนางในครั้งนี้ จึงทำให้เหลียงหวางหรูสูญเสียความหวังและความเชื่อใจทั้งหมดไป
ในที่สุดนางก็ตาสว่าง ตระกูลเหลียงแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีที่ว่างสำหรับนางอีกต่อไป
ยามนี้ฝูงชนพินิจจับจ้องไปยังเหลียงหวางหรูที่เดินกลับไปทั้งน้ำตา ประกอบคำเนื้อความจากที่เขียนทั้งหมด สิ่งที่ทำให้หลายต่อหลายคนเห็นใจไปตามๆกัน
นี่คือเนื้อความที่ถูกกลั่นกรองมาจากประสบการณ์อันแสนขมขื่นตลอดหลายปีของนาง
ทันทีทันใด หวังเพียนหลานรู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากคนรอบข้างที่รายล้อม ทุกสายตาต่างจับจ้องนางด้วยความรังเกียจสุดหัวใจ
สายตานั้นยังเผยให้เห็นถึงความโกรธเกรี้ยว ที่พวกตนถูกสุกรอ้วนนี่หลอกใช้ประโยชน์!
จำต้องหน้าด้านเพียงใด ถึงบอกว่าเหลียงหวางหรูเปรียบเสมือนลูกแท้ๆ
ทั้งที่ความเป็นจริง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหลียงหวางหรูถูกทุบตีดุด่าราวกับไม่ใช่คน
ส่วนเรื่องอื่นๆ คงไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใดอีก!
“เจ้า…พวกเจ้าจะทำอะไร? ข้า…พี่ชายของข้าเป็นถึงประมุขตระกูลหวัง หวังหลินโป!”
หวังเพียนหลานตะคอกขู่ทุกคนเสียงดังลั่น
“ถุย!! ตระกูลหวังมันแน่แค่ไหนเชียว!”
เสมหะสีขาวขุ่นก้อนใหญ่พุ่งแปะหน้าหวังเพียนหลานอย่างแม่นยำ จากนั้นยังมีธารเสมหะจากฝูงชนนับไม่ถ้วนถ่มถุยกระหน่ำใส่ทั่วหน้าทั่วตัวของหวังเพียนหลานต่อไม่หยุดหย่อน
เสี้ยวอึดใจต่อมา กลิ่นเน่าเหม็นพลันคลุ้งไปทั่วร่างอ้วนๆของนาง จนนางหายใจแทบไม่ออก
นางเร่งปรี่ร้นถอยในทันใด แต่ต้องพลาดสะดุดขาตัวเองจนล้มขมำไปกับพื้นดิน นี่ยิ่งเข้าทางทุกคน ฝูงชนทั่วสารทิศตรงเข้ามากระหน่ำถุยเสมหะก้อนหนาอัดนางประดุจสายฝน
“ถุย! ไอ้สวะ!”
“ถุย!! รีบๆไปให้พ้นหน้า!”
“ถุย! คิดว่าตัวเองวิเศษวิโสเพียงใด! ไสหัวไป!”
……………..
คำสาปแช่งพร้อมน้ำลายปนก้อนเสมหะสาดกระเซ็นจากทั่วทุกมุม หวังเพียนหลานในยามนี้เนื้อตัวเปียกชโลมน้ำลายเหนียว ส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากร่างกาย
เมื่อทุกคนตระหนักได้ว่าตนถูกหลอกใช้ ความงจริงเผยปรากฏ พวกเขาโกรธเกี้ยวเป็นที่สุด
ยามนี้ถ่มถุยน้ลายจนปากแห้ง บางคนถึงขั้นสั่งน้ำมูกใส่จนหวังเพียนหลานไม่มีที่หลบ
“กรี๊ดด! กรี๊ดด! กรี๊ดดด!! น่าขยะแขยง! ไอ้พวกบัดซบ! พวกแก…พวกแกตายแน่! ข้าจะสั่งให้พี่ขายมาไล่ฆ่าพวกแกทีละคน อ๊อกก…”
ในขณะที่หวังเพียนหลานกำลังอ้าปากตะโกนขู่ ก็มีเสมหะก้อนหนึ่งพุ่งเข้าปากนางโดยตรง
นางไม่สามารถทนรับไหวอีกต่อไป และเริ่มอาเจียนออกมากองกับพื้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ทุกคนต่างหัวเราะเยาะด้วยความสะใจ
ภาพฉากในขณะนี้คือ หวังเพียนหลานที่กำลังนอนจมกองอ้วกพร้อมก้อนเสหมะชโลมทั่วร่าง คำขู่ของหวังเพียนหลานกลับไม่มีผลอันใดเลย ซึ่งหากกล่าวตามจริง ไม่ว่าตระกูลหวังจะทรงอิทธิพลอย่างไร แต่การจะฆ่าล้างผู้คนจำนวนมหาศาลขนาดนี้กลับไม่มีทางเป็นไปได้
หวังเพียนหลานในปัจจุบัน ไม่ต่างอะไรกับสุกรที่ถูกทุกคนถ่มถุยทุบตีอย่างสนุกมือ
อย่างไรก็ตามแต่ ถึงทุกคนจะมุงรังแกนางเพียงใด ทว่านั้นไม่ถึงขั้นฆ่าแกง ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอจนทำให้นางจำฝังใจไปชั่วชีวิตแล้ว
ในความเป็นจริง ปล่อยให้นางตายไปยังดีเสียกว่าด้วยซ้ำ
แม่เลี้ยงชั่วควรได้รับความอัปยศเช่นนี้
เนื่องจากหวังเพียนหลานไม่สามารถพยุงตัวขึ้นได้เลย ดังนั้นเหล่าผู้ใต้บัญชาของนางจึงทำให้เพียงแหวกฝูงชนเข้ามาช่วย และนำตัวนางออกจากหอมหาสมบัติทันที
หวังหลิงโปที่เห็นแบบนั้นช่างมีความสุขประดุจบุปผางามบานในใจ เห็นยามนี้หวังเพียนหลานจากไป เขาก็แยปากกล่าวขึ้นพร้อมเสียงดังฟังชัดว่า
“ตอนนี้ ทุกท่านคงทราบแล้วใช่หรือไม่ หอมหาสมบัติของเราหาใช่ฆาตกร ในภายภาคหน้า หากมีใครถูกวางยาพิษ สามารถมาได้ที่หอมหาสมบัติของเรา! ทุกท่านจงมั่นใจ ข้าคนนี้ขอรับประกัน โอสถถอนพิษของที่นี่มีประสิทธิภาพดีเลิศ!”
เมื่อคำกล่าวเช่นนี้ออกมา ต่างทำให้ทุกคนตื่นตะลึงในทันใด!
“ผู้จัดการซู ท่านกำลังจะบอกว่า…ไม่มีพิษชนิดใดที่พวกท่านไม่สามารถถอนได้?”
มีบางคนกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย
ซูหลิงปู้ยิ้มและกล่าวว่า
“แน่นอนว่าข้าไม่กล่วาเกินจริงขนาดนั้น! บนมหาพิภพแห่งนี้มีพิษพันหมื่นชนิด แล้วข้าจะรักษาได้หมดอย่างไร? แต่พิษทุกชนิดภายในเมืองกุยฉางแห่งนี้ พวกเราหอมหาสมบัติขอรับประกัน สามารถรักษาได้ทั้งหมด!”
ความหมายในคำกล่าวนี้ค่อนข้างชัดเจนเกินไป!
ตั้งแต่เย่หยวนเข้ามา หอมหาสมบัติก็แข็งแกร่งขึ้นโดนพลัน
ถ้าแม้แต่พิษขนวิหคพันราตรียังสามารถรักษาได้ แล้วยังมีพิษใดน่ากลัวอีก?
ทุกคนต่างตระหนักชัดแจ้งดีเยี่ยมถึงความรุนแรงของพิษขนวิหคพันราตรี โดยธรรมชาติหากไม่สามารถรักษาได้จริง ย่อมไม่มีใครกล้ารับประกันขนาดนี้แน่นอน
“ผู้จัดการซู หรือเป็นไปได้ไหมที่…อาคันตุกะนักหลอมโอสถคนใหม่ของหอมหาสมบัติ เป็นคนหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะขึ้นเองกับมือ?”
มีบางคนเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
ซูหลินปู้กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“หากกล่าวถึงอาคันตุกะนักหลอมโอสถของเรา เขามีนามว่าเย่หยวน และยังเป็นบุคคลที่น่าทึ่งนัก! ทุกคนคงทรราบดีว่า ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้รับความเสียหายหนักจนไม่สามารถระดมสร้างพลังปราณเทวะได้ ดังนั้นเขาจึงหลอมกลั่นโอสถโดยใช้ศาสตร์แห่งค่ายกล!”
“ห่ะ?! หลอมกลั่นโอสถโดยใช้ค่ายกล!”
“ภูมิหลังของอาคันตุกะท่านนี้เป็นใครกันแน่? ไฉนถึงเก่งฉกาจถึงขั้นใช้ค่ายกลเพื่อหลอมกลั่น!”
“ผู้จัดการซู พวกท่านเก็บไพ่ตายสุดยอดไว้กับตัวโดยแท้ ดูเหมือนว่าในภายภาคหน้า หอมหาสมบัติจะมีแต่ของดีมาวางจำหน่าย!”
…………………..
ซูหลิงปู้ที่กล่าวเช่นนั้นออกไป มันได้กลายมาเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในตอนนี้ทันที
ทุกคนต่างตกตะลึงจนแทบลืมหายใจ
ไม่ว่าจะเป็นโอสถล้างพิษขั้นเทวะ หรือการหลอมกลั่นโอสถด้วยศาสตร์แห่งค่ายกล ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับเมืองกุยฉางแห่งนี้
ท้ายที่สุดนี้ ในขั้นต้นทุกคนต่างคิดว่า เหลียงหวางหรูสิ้นใจตายไปแล้ว
แต่นี่ไม่เพียงนางยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่พวกเขายังได้มาพบเจอกับเรื่องมหัศจรรย์ชนิดนี้อีก!
เมื่อเห็นภาพฉากเหล่านี้ ซูหลิงปู้ก็ยิ้มจนตาหยี๋
ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงของเย่หยวน จึงดังกระช่อนไปทั่วทั้งเมืองกุยฉางอย่างรวดเร็ว
ในอนาคตต่อไป ไม่เพียงอำนาจอิทธิของหอมหาสมบัติจะขยายตัวขึ้นจนบดบังตระกูลอื่นๆ แต่เหล่านักสู้ยอดฝีมือแทบทั้งหมดต่างต้องขอร้องอ้อนวอนเย่หยวนให้ช่วยหลอมกลั่นโอสถให้
……………………….
ภายในโรงน้ำชา หลู่จินห่าวและหลินซือเทียนค่อยๆนั่งลงอย่างแช่มช้า ขณะนี้พวกเขายังระทึกใจไม่ได้สติดี
ทันทีที่เหลียงหวางหรูปรากฏตัวขึ้นมา ทั้งสองที่กำลังนั่งจิบน้ำชาถึงกับลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกัน
เหตุการณ์สำคัญระดับนี้ มันเพียงพอแล้วที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเมืองกุยฉางในปัจจุบัน!
ใครๆต่างก็คิดกันว่า กิจการของหอมหาสมบัติอาจถึงขั้นล้มละลาย ยามนั้นอำนาจอิทธิพลของตระกูลหลู่และตระกูลหลินจะต้องผงาดขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่เรื่องกลับกลายมาเป็นแบบนี้ พวกเขาทั้งสองตระกูลเองต้องได้รับผลกระทบแน่นอน
อย่างไรก็ตามแต่ ฝ่ายที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดยังคงหนีไม่พ้น ตระกูลหวัง!
“ตาแก่หลู่ ข้าคิดไม่ออกจริงๆว่า หยางรุยไปเสาะหาสัตว์ประหลาดชนิดนี้มาจากไหน!”
หลินซือเทียนกล่าวขึ้นพลางจิบชาด้วยความขื่นขม
หลู่จินห่าวยิ้มตอบอย่างขมขื่นไม่ต่าง เขากล่าวว่า
“อาคันตุกะนักหลอมโอสถคนใหม่ของหอมหาสมบัติ ช่างลึกลับอย่างแท้จริง! แต่ใครจะไปคิดว่า เขาจะทรงพลังมากฝีมือขนาดนี้! หลังจากนี้ต่อไป พวกเราสองตระกูลจำต้องเผชิญกับความยากลำบากเสียแล้ว”
“นั้นสิ! นักหลอมโอสถผู้นั้นสามารถหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะได้จริงๆ สถานะของพวกเราในยามนี้กลับไม่นับเป็นอันใดแล้ว! แต่กระนั้นเอง คนที่ปวดเศียรที่สุดยังเป็นหวังหลินโป เรื่องของวันนี้คงไปปิดกั้นอนาคตอันสดใสของตระกูลหวังหมดสิ้น?”
หลินซือเทียนคลี่ยิ้มไม่คลายอ่อน
“หึ เจ้านั้นกำลังขุดหลุมฝังตัวเอง! สร้างความวุ่นวายมากว่าหนึ่งเดือน สุดท้ายกลับเป็นผลเสียครั้งใหญ่หลวง!”
หลู่จินห่าวกล่าวขึ้นด้วยความยินดีเจือลึก
………………………
ต่อสรรพเหตุการณ์ภายนอก เย่หยวนกลับตัดขาดโดยสิ้นเชิง
สำหรับเขาในตอนนี้ทุกเสี้ยวอึดใจมีค่าล้ำ
การหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะและโอสถล้างพิษ ถึงจะทำได้อย่างน่าประทับใจ แต่โอสถทั้งสองชนิดนั้นกลับเป็นเพียงพื้นฐาน
โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว ทั้งยากและซับซ้อนยิ่งกว่าโอสถทั้งสองชนิดนั้นนับพันหมื่นเท่า!
แม้เย่หยวนจะใช้ระยะเวลาอันสั้นหลอมกลั่นโอสถสองชนิดนี้ ทว่าโอสถตราสวรรค์กลับต้องใช้เวลาถึงสิบปี!
เย่หยวนยังคงดำดิ่งอยู่กับการฝึกปรืออย่างบ้าคลั่ง ภูมิความรู้ปริมาณมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ห้วงสมองของเขาเต็มไปหมด
เขากัดฟันแน่นและพยายามทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า!
ตอนที่ 1316
ร้อยปีแห่งการฝึกปรืออันขมขื่น
ภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ วันเวลาไหลเวียนเรียงผ่านไปโดยเงียบ พริบตาเดียวก็เกือบจะครบร้อยปีแล้ว
หวูเฉินมองไปที่โอสถขั้นเทวะเม็ดหนึ่งตรงหน้า กลิ่นสมุนไพรหอมฟุ้งไปทั่ว เขาพูดไม่ออกกล่าวไม่ถูกอยู่นาน
โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวขั้นเทวะ!
เย่หยวนสามารถทำได้จริงๆโดยที่ใช้เวลาไม่ถึงศตวรรษด้วยซ้ำ!
หวูเฉินยังไม่อยากจะเชื่อสายตาจวบจนตอนนี้ เย่หยวนได้ทำบางอย่างสำเร็จ โดยที่บางอย่างนั้นแม้แต่จอมเทพนิรันดร์ก็ไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น!
เขาพยายามประเมินเย่หยวนในแง่ดีที่สุดแล้ว แต่จำต้องพบว่า สิ่งที่ประเมินไปกลับต่ำกว่าเกณฑ์จนเป็นเรื่องตลก
ชายหนุ่มเบื้องหน้าไม่สามารถตัดสินใจด้วยสามัญสำนึกใดๆได้!
“ท่านอาวุโส ในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ!”
เย่หยวนรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน เขาย่อมตระหนักทราบ ความสำเร็จนี้ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก
“อืม…สำเร็จแล้ว! เจ้าหนู,เจ้าเกิดมาเพื่อหลอมกลั่นโอสถจริงๆ! สำหรับบางคน มีเวลาร้อยปีก็ยังเข้าใจคุณสมบัติสมุนไพรต่างๆไม่หมดเลยด้วยซ้ำ”
หวูเฉินกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจหลากอารมณ์ลึกล้ำ
เย่หยวนศึกษาสมึนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จนเห็นแจ้งทะลุปรุโปร่ง
นับตั้งแต่ที่เข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ในตอนนั้น รากฐานความรู้และความเร็วในการเรียนรู้ของเขาก็สูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกันมาก แต่นั้นก็หาได้หมายความว่ามันจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เย่หยวนสามารถนำสมุนไพรวิญญาณต่างๆมาหาจุดที่เชื่อมโยงกัน และค่อยๆขยายขอบเขตความรู้ความเข้าใจในแบบของเขาใหม่
หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจคุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละชนิดได้อย่างรวดเร็ว
ถึงเส้นทางในศาสตร์แห่งค่ายกลของเย่หยวนยังไม่ดีเท่าศาสตร์แห่งโอสถ แต่จวบจนวันนี้กล่าวได้ว่า อัตราความก้าวหน้าสูงลิบลิ่ว
ค่ายกลที่ใช้เพื่อหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว มันซับซ้อนเสียยิ่งกว่าค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นไม่รู้กี่หมื่นเท่า
แต่เย่หยวนใช้เวลาเพียงยี่สิบปีก็สามารถเข้าใจทั้งหมดได้โดยละเอียด!
“ท่านอาวุโส ท่านเคยกล่าวว่า เพราะข้าเคยเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ จึงทำให้ข้ามีจุดเชื่อมต่อไปถึงอัตตา นั้นเป็นเหตุผลที่ความเข้าใจของข้าต่อเต๋าลึกซึ้งยิ่งขึ้น จนนำมาสู่ความเร็วในการเรียนรู้ที่สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ที่ผ่านมาถึงได้ราบรื่นนัก”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ก็เป็นเช่นนั้นถูกแล้ว แต่การที่เจ้าสามารถดำดิ่งเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ในตอนนั้น มันแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเรียนรู้ของเจ้าเช่นกัน เจ้าหนู,เจ้านี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ!”
หวูเฉินกล่าว คู่แววตายังคงงำประหลาดแววตื่นตะลึงหาคลายอ่อนไม่
“หุหุ ขอบพระคุณยิ่งสำหรับคำชมของท่านอาวุโส ยามนี้ข้าควรกลืนโอสถเม็ดนี้ก่อนเป็นดีที่สุด! ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของข้าถูกทำลายมาเป็นเวลาสิบปีเต็ม กายาไร้ซึ่งร่องรอยพลังปราณเทวะใดๆ ตัวข้าแทบพิการถาวรเต็มทีแล้ว!”
เย่หยวนไม่สามารถรีรอได้อีกแล้ว หากยังปล่อยไว้เช่นนี้ เขาจะกลายเป็น‘คนพิการ’โดยสมบูรณ์
เมื่อโอสถไหลลงสู่กระเพาะ ฤทธิ์โอสถคล้ายมวลน้ำป่ามหึมาพลันไหลบ่าอาบทั่วแขนขา ไขกระดูกทั้งหมดในร่างกายของเขาทันที
ไม่นานเกินรอ เย่หยวนสัมผัสได้ชัดแจ้ง ยามนี้ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขากำลังถูกซ่อมแซมทีละเล็กละน้อยแล้ว
โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวนับว่าสมชื่อคำเลื่องลือโดยแท้!
ในที่สุด ศตวรรษแห่งความเพียรก็บรรลุผลแล้วในปัจจุบัน
แม้โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวจะเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง แต่ความยากในการหลอมกลั่นกลับคนละโลก
เย่หยวนใช้ความเพียรพยายามขนาดไหนในช่วงร้อยปีมานี้ มีเพียงหวูเฉินเท่านั้นที่ตระหนักทราบ
“โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวช่างเป็นโอสถมหัศจรรย์โดยแท้ มันสามารถกระตุ้นศาสตร์แห่งสวรรค์ในร่างกายและซ่อมแซมทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ได้จริงๆ!”
เย่หยวนอุทานลั่นด้วยความตื่นตะลึง
หวูเฉินกล่าวว่า
“แน่นอน! มิใช่ว่าโอสถอื่นใดก็ตามที่ลุถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์จะได้การยอมรับจากศาสตร์แห่งสวรรค์เสียหมด! ด้วยอาการบาดเจ็บของเจ้าตอนนี้ มีเพียงโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวเท่านั้นที่สามารถรักษาได้ แต่นี่ก็ไม่รับประกันเช่นกันว่า ในอนาคตจะมีผลข้างเคียงใดแฝงเร้นหรือไม่”
เย่หยวนพยักหน้าเชิงสัญญาณว่าเข้าใจ
แม้โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวจะสามารถซ่อมแซมทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ส่วนที่ว่ามันจะส่งผลข้างเคียงอะไรหรือไม่ในการฝึกปรือในอนาคต เรื่องนี้กลับไม่มีใครทราบ
แต่อย่างลืมไปเสีย นี่เป็นถึงโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวขั้นเทวะ!
กระบวนการดูดซับฤทธิ์โอสถกินเวลาถึงสิบวันสิบคืนเต็ม!
โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว คล้ายกับมียอดปรมาจารย์เข้าซ่อมแซมฟื้นฟูทะเลจจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวน จนเริ่มกลับกลายเป็นปกติทีละเล็กน้อย
ในที่สุดร่องรอยพลังวิญญาณจากภายนอกก็ค่อยๆไหลบ่าเข้าสู่กายาเย่หยวนได้ หลังจากปรับแต่งโคจรไปครู่หนึ่ง มันก็กลายเป็นพลังปราณเทวะพร้อมหลั่งไหลเข้าสู่ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์!
เย่หยวนในยามนี้รู้สึกถึงความแข็งแกร่งอีกครั้ง การที่ได้ควบคุมพลังปราณเทวะดั่งใจนึก ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!
………………………..
“เย่หยวนปลีกวิเวกเก็บตัวอยู่ในหอมหาสมบัติเป็นเวลาสิบปีแล้ว! กองโอสถที่เขาทิ้งไว้ให้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเกินไป จนขายหมดไปตั้งแต่สองปีก่อน! ตอนนี้กลับมาให้นักหลอมโอสถของทางเรามาหลอมกลั่นเหมือนเดิม คุณภาพกลับสู้ไม่ได้เลย! ส่วนเจ้าพวกตระกูลหวังเองก็ผ่านช่วงวิกฤติมาได้แล้ว ตอนนี้พวกมันกำลังเงยหัวขึ้นอีกครั้ง!”
นับตั้งแต่เหตุการณ์ของเหลียงหวางหรูเมื่อสิบปีก่อน หอมหาสมบัติก็ได้รับความนิยมอย่างยิ่งจนสามารถปราบปรามสามตระกูลใหญ่ได้อย่างอยู่หมัด
อาจกล่าวได้ว่า ที่มีทุกวันนี้ได้เพราะยืมมือคนอื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโอสถปราณเทวะและโอสถล้างพิษที่เย่หยวนทิ้งเอาไว้ให้ ไม่ว่าคุณภาพจะเป็นระดับขั้นใด ขอได้ชื่อว่าเย่หยวนหลอมกลั่นกับมือ พวกมันล้วนได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
คุณภาพโอสถของเย่หยวนสูงกว่าโอสถระดับขั้นเดียวกันมาก นอกจากนี้ ด้วยปริมาณโอสถของเย่หยวนที่มีอย่างจำกัด พวกมันจึงได้รับความนิยมเป็นเท่าทวี
ปริมาณโอสถที่เขาทิ้งให้ไว้มีมหาศาลก็จริง แต่นั้นกลับไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าได้เลย
ช่วงสิบปีมานี้ หอมหาสมบัติเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ยิ่งโอสถที่เย่หยวนทิ้งไว้ให้ลดน้อยลง ทางหอมหาสมบัติจำเป็นต้องเพิ่มราคา หวังเพื่อชะลอวิกฤติในภายหน้า
ถึงกระนั้น เหล่าฝูงชนกลับยอมควักเงินในจำนวนที่มากขึ้นโดยไม่ลังเล
ผู้ที่ย่างเท้าเข้าร้านค้าย่อมมีเงินไม่ขาดมือ
ในที่สุดโอสถที่เย่หยวนทิ้งไว้ให้จึงหมดลงไปตั้งแต่สองปีก่อน
เวลานั้นนับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของหอมหาสมบัติ ประสิทธิภาพสินค้าของพวกเขาตกฮวบ
ท้ายที่สุด ทางฝ่ายสามตระกูลใหญ่ได้โอกาสและเริ่มโต้กลับทันควัน เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดทันที
เย่หยวนไม่เคยออกจากการเก็บตัวมาเลยแม้นสักครั้ง ซึ่งนี่ทำให้ซูหลิงปู้วิตกกังวลใจยิ่ง
แต่หยางรุยกลับหาได้พะว้าพะวังอันใด เขากล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“เฒ่าซู สายตาของเจ้าคับแคบเกินไป! หากพวกมันอยากวิ่งเล่นก็ปล่อยไป รอให้พวกมันกระโดดโลดเต้นจนกว่าจะเหนื่อย!”
ซูหลิงปู้คลี่ยิ้มสุดแสนขมขื่นกล่าวว่า
“ข้าเองก็สงสัยมานานแล้ว ไฉนท่านประมุขหอถึงหาได้กังวลใจไม่? สถานการณ์ปัจจุบันอาจนำพาเราไปสู่ความตกอับดั่งกาลอดีตอีกครั้ง”
หยางรุยกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า
“แล้วอย่างไร? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า พวกเรายังมีเย่หยวน! ในตอนนั้นเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นก็สามารถหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะได้ แล้วนี่ถึงขั้นเก็บตัวเป็นเวลาสิบปีเต็ม เจ้าลองคิดดู เมื่อเขาออกมาอีกครั้ง ความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งโอสถของเขาจะบรรลุสูงล้ำเพียงใด?”
คู่ดวงตาไสวของซูหลิงปู้เปล่งประกายขึ้นทันใด ก่อนจะพบว่าสายตาของตนยังคับแคบมองการณ์ไม่ขาดจริงๆ
เขาลืมไปสนิท สิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนคือ ยามนี้หอมหาสมบัติมีเย่หยวน!
ตราบใดที่ยังมีเย่หยวน หอมหาสมบัติสามารถกลับขึ้นมาผงาดได้ทุกเมื่อ!
ยิ่งไปกว่านั้น เย่หยวนเก็บตัวถึงสิบปีเต็ม มีเพียงสวรรค์ที่ทรงทราบ เส้นทางแห่งโอสถของเขาก้าวล้ำไปไกลถึงไหนแล้ว!
ซูหลิงปู้กล่าวขึ้นว่า
“ท่านประมุขหอ ท่านคิดว่า…เย่หยวนสามารถหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวได้สำเร็จหรือไม่?”
หยางรุยส่ายหัวกล่าว
“เจ้าเองก็เป็นนักหลอมโอสถ คำถามนี้เจ้าน่าจะเจนจัดยิ่งกว่าใคร แต่หากในความเห็นของข้า หลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวภายในระยะสิบปียังคงเร็วเกินไป แต่…พวกเรารอได้!”
ซูหลิงปู้ยังพลางคิดไปว่า คำถามของตนค่อนข้างไร้สาระเกินไปเช่นกัน ความยากในการหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว กล่าวได้ว่าเข้าขั้นวิปลาส
ต่อให้เป็นจอมเทพโอสถสองดาว แต่คนที่สามารถหลอมกลั่นได้ก็น้อยจนนับนิ้ว
เป็นความจริงที่พรสวรรค์ในการหลอมกลั่นโอสถของเย่หยวนสูงจนวิปลาส แต่หากต้องการข้ามขั้นไปถึงจุดนั้นเกรงไม่มีทางภายในสิบปี
“ท่านประมุขหอ เช่นนั้น ซูคนนี้ขอลา”
เมื่อกล่าวจบ ซูหลิงปู้ก็จากออกมาทันที
“ผู้จัดการซู!”
ขณะที่ซูหลิงปู้กำลังเดินกลับไปยังโถงต้อนรับ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจนเขาชะงักฝีเท้าลงทันที
เขาเร่งเหลียวมองตามสุ้มเสียง พลางกล่าวขึ้นด้วยความดีใจอย่างอดมิได้
“เย่หยวน! ในที่สุดเจ้าก็ออกมา! หากเจ้ายังไม่ออกจากการเก็บตัวอีกสักปีสองปี เกรงว่าหอมหาสมบัติของเราจำต้องย้ายสาขาเสียแล้ว!”
เย่หยวนหัวเราะเก้อแก้เขินเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า
“ผู้จัดการซูมากอารมณ์ขันนัก ในเมื่อเย่คนนี้ยังอยู่ ทางหอมหาสมบัติยังต้องเสียแรงย้ายถิ่นฐานไปไหน?”
ซูหิงปู้แผดเสียงหัวเราะตอบๆเล็กน้อย แต่ทันทีทันใดเขาพลันถอดสีหน้าก่อนอุทานลั่นอย่างตะกุกตะกักว่า
“จะ-จะ-เจ้า…ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าหายดีแล้ว?”
เย่หยวนในปัจจุบันแตกต่างจากก่อนหน้าลิบลับ ยามนี้ทั่วร่างกายของเขาปลดปล่อยรัศมีแรงกดดันสุดน่าเกรงขามกว่าใครๆ ราวกับมิใช่คนพิการดั่งก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง!
ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนได้รับการซ่อมแซมจนกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง!
ตอนที่ 1317
สุสานวิญญาณร้าย
“อืม สวรรค์ตอบแทนด้วยความซื่อสัตย์ ในที่สุดข้าก็ฟื้นกลับเป็นปกติ!”
เย่หยวนหาได้มีเจตนาปกปิดใดๆ แต่ก็ยอมรับออกมาตามตรง
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะอยู่อย่างไรเขาก็เป็นเพียงคนพิการไร้ความสามารถคนหนึ่ง แต่ภาพฉากในปัจจุบันกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
สำหรับซูหลิงปู้ที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ นี่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จากเศษผ้าขาดกลับกลายมาเป็นผ้าไหมลายคราม ความตื่นตะลึงที่ก่อเกิดภายในใจช่างเกินพรรณนาอย่างแท้จริง
ซูหลิงปู้เองก็เป็นจอมเทพโอสถหนึ่งดาวเช่นกัน เช่นนั้นเขาย่อมตระหนักแจ่มแจ้ง โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวหลอมกลั่นยากเพียงใด
ในบรรดาจอมเทพโอสถหนึ่งดาวทั้งหมด ไม่มีใครสามารถหลอมกลั่นได้แน่นอน
ยื่นมองสองข้างจับไหล่เย่หยวนอย่าเบามือ ซูหิงปู้กล่าวขึ้นว่า
“เจ้า…เจ้าสามารถหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวได้แล้วจริงๆ?”
โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว ถึงจะเป็นโอสถระดับหนึ่ง แค่นี่คล้ายเป็นมวยข้ามรุ่นที่ซับซ้อนเสียยิ่งกว่าโอสถล้างพิษขั้นเทวะหลายทวีเท่า
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดกลับหาใช่ตรงส่วนนั้น สูตรโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวหาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะรู้ได้เลย
สำหรับเย่หยวนที่สามารถหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้ได้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ภูมิหลังของเขาหาใช่คนธรรมดาทั่วไป!
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“หากข้าไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวได้ ข้าก็ไม่สามารถซ่อมแซมทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นกัน”
“ฟู่วว…”
ซูหลิงปู้พรูไอเย็น กวาดสายตาเข้าจับจ้องเย่หยวนประดุจเห็นผีและกล่าวว่า
“เจ้าเด็กคนนี้ สัตว์ประหลาดชัดๆ! แต่เจ้ามาได้จังหวะดีจริงๆ ถ้ายังไม่ออกมา เราชายชราคนนี้จะตามออกมาเอง!”
เย่หยวนเอ่ยถามอย่างงุนงง
“นี่มีเรื่องอันใดกัน?”
ซูหลิงปู้กล่าวตอบว่า
“เจ้าคงยังไม่ทราบ หลายปีมานี้ โอสถที่เจ้าหลอมกลั่นกับมือเป็นที่นิยมยิ่งในเมืองกุยฉาง…”
จากนั้นซูหลิงปู้ก็เริ่มเอ่ยเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดในรอบหลายปีมานี้ เย่หยวนที่ได้ฟังทั้งหมดพลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า โอสถที่เขาหลอมกลั่นจะเป็นที่ต้องการขนาดนี้จริงๆ
เย่หยวนกล่าวตอบไปตามตรงทันทีว่า
“เช่นนั้น ข้าขอเวลาชั่วครู่หนึ่งเพื่อหลอมกลั่นโอสถมาเพิ่ม ข้าไม่กล้ากล่าวไปถึงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลาง แต่หากเป็นชั้นต่ำ ย่อมมิใช่ปัญหา”
ซูหลิงปู้ตื่นเต้นดีใจอย่างมากเมื่อได้ฟังและกล่าวตอบว่า
“หุหุ เด็กคนนี้รู้หน้าที่มีความรับผิดชอบ! เช่นนั้นต้องเดือดร้อนเจ้าแล้ว!”
เย่หยวนตระหนักดีว่า เขาเป็นหนี้บุญคุณของหอมหาสมบัติครั้งใหญ่ หากไม่มีหอมหาสมบัติตัดสินใจช่วยเหลือเขา ทั้งผลึกปราณเทวะและสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จำนวนมหาศาลขนาดนั้น เขาไม่มีโอกาสได้มาแน่นอน และสุดท้ายนี้ คงไม่จัดห้องอำนวยความสะดวกให้แก่เขาได้เก็บตัวเป็นเวลาสิบปี
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผลกำไรที่เย่หยวนได้มาก กลับเทียบไม่ได้กับที่สิ่งหอมหาสมบัติได้รับจากเย่หยวน ที่หอมหาสมบัติรุ่งเรือนจนถึงทุกวันนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะกองโอสถที่เย่หยวนทิ้งเอาไว้ให้เมื่อสิบปีก่อน
ในช่วงสิบปีมานี้ มาตรได้ว่า หอมหาสมบัติรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดจนสามารถบดขยี้สามตระกูลใหญ่จนจมดินและเงยหน้าขึ้นไม่ได้เป็นเวลานาน
ในเรื่องนี้ย่อมเกี่ยวพันถึงเย่หยวนแน่นอน
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“โอ้ใช่แล้ว ในห้องที่ข้าเก็บตัวมีกองโอสถที่ข้าหลอมกลั่นเยอะพอสมควร ท่านส่งคนไปจัดการได้ตามสะดวกก่อนเลย หรือหากท่านต้องการโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะ ก็สามารถให้ข้าหลอมกลั่นได้หลังจากนี้ ส่งรายการโอสถที่ต้องการกับสมุนไพรมาที่ห้องได้เลย ข้าขอไปเยี่ยมแม่นางหวางหรูก่อนเป็นอันดับแรก”
ซูหลิงปู้เร่งกล่าวขึ้นทันที
“แน่นอน แน่นอนเลย! แต่จะว่าไป…หลายปีมานี้ แม่นางหวางหรูเฝ้าคิดถึงเจ้าไม่เว้นวัน!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นจู่ๆเขาด็เอ่ยถามขึ้นว่า
“จะว่าไปแล้ว ผู้จัดการซู ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่า ใกล้ๆเมืองกุยฉางมีสุสานวิญญาณร้ายตั้งอยู่หรือไม่?”
สีหน้าการแสดงออกของซูหลิงปู้เปลี่ยนไปทันใด เขาพินิจครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวขึ้นว่า
“เจ้ากำลังเสาะหาสถานที่เช่นนั้นไปเพื่ออันใด? สุสานวิญญาณร้ายหาใช่สถานที่ดีไม่!”
ก่อนหน้าหวูเฉินเคยกล่าวไว้ว่า บริเวณเมืองต่างๆบนมหาพิภพถงเทียน ยังมีสถานที่ชนิดหนึ่งที่ปรากฏขึ้นให้เห็นทั่วไป ซึ่งนั้นมีนามว่า สุสานวิญญาณร้าย
สุสานวิญญาณร้ายเป็นป่าช้าของเหล่าเซียนที่ตายลงอย่างไม่ปกติ บางคนถูกใส่ร้ายยัดเยียดความอยุติธรรม บางคนตายลงพร้อมกับความอาฆาต มันเป็นแหล่งรวมวิญญาณชั่วร้ายจนหลอมรวมกลายเป็นสุสานวิญญาณร้าย
เนื่องจาก หลังขึ้นกลายเป็นอาณาจักรพระเจ้า เหล่าเซียนพวกนี้จะมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่ง แม้กายเนื้อสิ้นอายุขัย แต่จิตวิญญาณยังคงอยู่ พวกมันในสุสานวิญญาณร้ายชอบไล่ฆ่าสังหารกันเองเพื่อความอยู่รอด กินพลังวิญญาณของวิญญาณตนอื่นเพื่อเสริมแกร่งให้ตนเอง
วิญญาณร้ายที่เหลือรอดโดยส่วนใหญ่ล้วนทรงพลังทั้งสิ้น
ซึ่งนักสู้ทั่วไปไม่เหมาะกับสถานที่อะไรเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย
นอกจากกายเนื้อสดใหม่ที่เป็นเป้าสายตาของเหล่าวิญญาณชั่วพวกนี้แล้ว จิตวิญญาณของนักสู้ยังเป็นยาบำรุงชั้นดีของพวกมัน
เมื่อพวกมันตรวจพบได้ว่า มีนักสู้หรือเซียนหลงเข้ามา พวกวิญญาณชั่วเหล่านี้จะแห่รุมโจมตีอย่างบ้าคลั่ง หวังเพื่อครอบครองกายเนื้อใหม่และกลืนกินจิตวิญญาณ
แต่ภายในสุสานวิญญาณร้ายเหล่านี้ก็หาใช่สถานที่เลวร้ายสักทีเดียว เนื่องจากมีพลังงานขั้วลบอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก มันย่อมก่อกำเนิดสมบัติธรรมชาติที่กอปรไปด้วยพลังธาตุหยินอันเข้มข้น ดังนั้นแล้วจึงมีเหล่าเซียนมากมาย เข้าผจญสู้รบกับเหล่าวิญญาณชั่วหวังเพื่อเสาะหาสมบัติธรรมชาติ
ผู้ใดโชคดีได้สมบัติธรรมชาตินั้นมา จะช่วยประหยัดเวลาบ่มเพาะฝึกปรืออย่างขื่นขมได้ถึงหลายร้อยปีเต็ม!
แต่ผู้ใดประสบโชคร้าย ผลลัพธ์กลับไม่ดีอย่างหวัง พวกเขาอาจกลายเป็นวิญญาณที่ถูกไล่ล่าตลอดไปภายในสุสานวิญญาณร้าย
ดังนั้น เมื่อได้ยินว่าเย่หยวนต้องการจะไปสุสานวิญญาณร้าย สีหน้าการแสดงออกของเขาจึงแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“เย่คนนี้ต้องการหลอมกลั่นโอสถชนิดหนึ่ง และจำเป็นจะต้องใช้หญ้าลายรัตติกาล ดังนั้นข้าจำต้องเดินทางไปยังสุสานวิญญาณร้าย”
เรื่องที่เขาครอบครองไข่มุกสยบวิญญาณ ซึ่งเป็นถึงหนึ่งในสามสมบัติเวทย์สวรรค์ของจอมเทพนิรันดร์ เย่หยวนย้อมไม่เปิดเผยออกไปตามธรรมาชาติ นั้นจึงเป็นเหตุให้เขากุเหตุผลปลอมขึ้นมา
การเดินทางไปยังสุสานวิญญาณร้ายในครั้งนี้ มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะไปเพื่อเสาะหาสมุนไพรใช้หลอมกลั่นโอสถ แต่ไปเพื่อค้นหาอาหารบำรุงพลังให้แก่หวูเฉิน
เหล่าวิญญาณชั่วร้ายภายในสุสานวิญญาณร้ายนี่แหละ คืออาหารบำรุงชั้นเลิศสำหรับหวูเฉิน
หากเย่หยวนยังไม่เร่งเสาะหาอาหารหล่อเลี้ยงหวูเฉิน มู่หลินเสวี่ยอาจต้องตายในที่อีกไม่ช้า
ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จำต้องไปสุสานวิญญาณร้ายให้จงได้
ขณะที่ซูหลิงปู้กำลังจะเอ่ยตอบ เขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ภายในหอมหาสมบัติไม่มีหญ้าลายรัตติกาล!
สมบัติธรรมชาติของสุสานวิญญาณร้ายเป็นของหายากมากในโลกภายนอก
เพราะทุกคนที่หาญกล้าเดินทางเข้าสำรวจสุสานวิญญาณร้าย โดยส่วนมากย่อมมีราคานำจ่ายคือชีวิต! จำนวนสมบัติธรรมชาติที่หลุดรอดออกมาถึงโลกภายนอกจึงน้อยมาก
“จริงๆก็มี…ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างออกไปจากเมืองกุยฉางประมาณหนึ่งล้านลี้ ที่นั้นมีสถานที่นามว่า,สุสานสายลมหยินอยู่ มันคือสุสานวิญญาณร้ายที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณเมืองกุยฉางทั้งหมด ที่แห่งนั้นอันตรายยิ่งกว่าสุสานในจุดอื่นๆอยู่มาก ที่ข้าแนะนำที่แห่งนี้เป็นเพราะ สุสานวิญญาณร้ายในจุดอื่นๆไม่น่าจะมีหญ้าลายรัตติกาลได้”
ซูหลิงปู้กล่าว
เย่หยวนเริ่มสนใจขึ้นทันตาเมื่อได้ฟัง เพราะวิญญาณชั่วทั่วๆไปไม่ค่อยมีผลต่อหวูเฉินมากนัก
หวูเฉินเคยกล่าวไว้ว่า สุสานวิญญาณร้ายแห่งใดมีหญ้าลายรัตติกาลอยู่ แสดงว่าที่นั้นย่อมมีวิญญาณร้ายที่ทรงพลังยิ่งดำรงอยู่
นั้นจึงเป็นสาเหตุที่เย่หยวนอ้างออกไปเช่นนั้น
และเขาเองก็คิดไม่ถึงว่า มันจะมีจริงๆ!
“ผู้จัดการซู ช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับสุสานสายลมหยินให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
เย่หยวนเอ่ยถาม
ซูหลิงปู้พยักหน้าและกล่าวว่า
“ได้แน่นอน! สุสานสายลมหยินเป็นสุสานวิญญาณร้ายที่ใหญ่ที่สุดในอาณาเขตเมืองกุยฉาง มีเซียนผู้ทรงพลังมากมายเข้าท้าทายสุสานสายลมหยินตลอดทั้งปี หวังเพื่อเสาะหาโชคดีเก็บเกี่ยวสมบัติธรรมชาติธาตุหยินกลับออกมา เพราะมีสมบัติธรรมชาติธาตุหยินบางชนิดเป็นที่นิยมยิ่งในหมู่เซียนผู้ฝึกปรือ ทว่ามีข่าวการตายหรือหายสาบสูญไปของเหล่าเซียนต่อปีไม่น้อยกว่าหลักร้อยคน! กล่าวกันว่าภายในส่วนลึกของสุสานสายลมหยิน มีวิญญาณชั่วสองดาวที่แกร่งกล้าเทียบเทียมกับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าของฝ่ายมนุษย์ดำรงอยู่! ผู้ใดโชคร้ายไปพบเข้า ล้วนชะตาขาดสะบั้นอย่างไม่ต้องสงสัย!”
เย่หยวนยังถึงกับสั่นสะท้านเล็กน้อยเมื่อได้ยิน!
อาณาจักรปฐมพระเจ้า ถูกแบ่งออกเป็นอาณาจักรย่อยดังนี้ ชั้นต้น, ชั้นกลาง, ชั้นปลายและขั้นสุด
แต่ละอาณาจักรย่อย แตกต่างเสียยิ่งกว่าฟ้าดินเกินประมาณ
เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางสามารถบดขยี้ เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ!
ในขณะที่เย่หยวนที่เพิ่งฟื้นตัวขึ้นมา ความแข็งแกร่งของเขายังอยู่ที่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น
หากเจอวิญญาณชั่วสองดาว เขาได้ลาโลกอย่างไม่ต้องสงสัย!
หวูเฉินกล่าวว่า มหาพิภพถงเทียนแตกต่างจากดินแดนพฤกษานิรันดร์โดยสิ้นเชิง
ในดินแดนพฤกษานิรันดร์ หวูเฉินสามารถดูดกลืนพฤกษาวิญญาณมรณะได้อย่างง่ายดาย
แต่หากเป็นที่นี่ อย่างมากเขาก็สามารถรับมือได้เพียงวิญญาณหนึ่งดาวขั้นสุด หรือก็คือพลังฝีมืออยู่ที่อาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดเท่านั้น
หากพบเจอกับวิญญาณชั่วหนึ่งดาว จำต้องใช้เวลาสักพักใหญ่หวูเฉินถึงจะปราบปรามมันลงได้
แต่ถ้าเป็นวิญญาณชั่วสองดาว พวกเขาไม่มีทางจัดการกับมันได้แน่นอน
เย่หยวนคิดไม่ถึงมาก่อนเลยว่า การเดินทางในครั้งนี้จะอันตรายอย่างมาก!
ซูหลินปู้มองผ่านอ่านความคิดของเย่หยวนได้อย่างรวดเร็ว เขาจึงเอ่ยขึ้นต่อว่า
“หากเจ้ายืนกรานที่จะไปให้ได้ เช่นนั้นนำหลัวเจียไปด้วยจะดีกว่า”
ตอนที่ 1318
โอสถเต๋าตรัสรู้และโอสถปรับแต่งจิตวิญญาณ!
“หวางหรู เจ้ากำลังคิดถึงเขาอยู่กระมัง?”
หงหยิงอดใจกล่าวหยอกมิได้ เมื่อเห็นเหลียงหวางหรูเหมอลอยเป็นครั้งที่ร้อยของวัน
ใบหน้างามสวยประดุจหยกขาวของเหลียงหวางหรูเห่อแดงขึ้นทันที นางก้มศีรษะหลบหน้าลงอย่างเขินอาย
หงหยิงอดหัวเราะอย่างรักใคร่มิได้พลางกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าคิดถึงเขาเช่นนี้ หาใช่เรื่องน่าอายอันใด? อัจฉริยะอย่างนายท่านเย่ มีหญิงใดไม่ชอบพอบ้าง? อันที่จริงแล้ว หงหยิงคนนี้เองก็ชอบเขามิใช่น้อย แต่ช่างน่าเสียดาย หงหยิงหาได้มีชะตาต้องกับเขา และทราบดีว่าอีกฝ่ายมิได้คิดเช่นนั้นกับข้า”
หงหยิงตระหนักชัดตั้งแต่แรกแล้วว่า ตราบใดที่เย่หยวนสามารถซ่อมแซ่มทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ได้ เขาจะผงาดขึ้นฟ้าอีกครั้งในไม่ช้าก็เร็ว
หรือแม้ว่าเขาจะไม่สามารถซ่อมแซมทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ได้อีกเลยชั่วชีวิต แต่เพียงอาศัยฝีมือในการหลอมกลั่นโอสถ ไม่ว่าอยู่ที่ใดเขาก็ยังมีค่าประดุจทองคำ!
การที่ประมุขหอมหาสมบัติถึงขั้นส่งหลัวเจียออกไปเพื่อคุ้มกันเย่หยวนโดยเฉพาะ นี่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดในตัวเขา ที่ควรค่าแก่การดูแลรักษาเยี่ยงชีวิต
เหลียงหวางหรูสนใจอย่างมากเมื่อได้ฟังแบบนั้น ก่อนเงยมองหงหยิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หงหยิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นางกล่าวประดับคู่รอยยิ้มอันขมขื่นว่า
“ข้ามิได้ล้อเจ้าเล่น! ไม่เพียงพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งโอสถของนายท่านเย่เท่านั้น แต่เขายังเป็นคนมีคุณธรรมสูงส่งและมากสัจจะ มิเช่นนั้นเขาจะยอมถึงขั้นบุกเข้าตระกูลหวังเพื่อขอร้องให้ช่วยเหลือเจ้าได้อย่างไร? แต่ช่างน่าเศร้า ข้ากับเขาถูกลิขิตให้อยู่ห่างดั่งคนละโลก”
เมื่อเหลียงหวางหรูได้ฟังแบบนั้น พลอยรู้สึกเศร้าตามไปด้วย
ไม่เพียงนางจะเป็นใบ้เท่านั้น แต่นางยังเป็นแค่มนุษย์ หาใช่เซียนหรือนักสู้ผู้ฝึกตน
หากกล่าวถึงวิถีชีวิตที่ห่างกันคนละโลก นางคงไม่ยิ่งกว่าอีกรึ?
ในเวลานั้นเอง เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้นจากด้านนอก หงหยิงรับหน้าที่ออกไปเปิดประตู ก่อนจำต้องปากกว้างด้วยความตกตะลึงสุดขีด บุคคลที่มาหามิใช่ใครอื่นนอกจากเย่หยวน!
“นายท่านเย่ ท่านออกจากการเก็บตัวแล้ว! อ๊ะ! ท่าน…ท่าน…ท่านฟื้นความแข็งแกร่งกลับมาได้แล้ว?!”
ริมฝีปากงามอันอวบอิ่มของหงหยิงถึงขั้นอ้าค้างเติ่งไม่หุบ นางยืนแข็งทื่อตื่นตะลึงอยู่นาน
แน่นอน เพราะในที่แห่งนี้ไม่มีใครสามารถหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวได้
นั่นหมายความว่า….
เย่หยวนกล่าวอย่างยิ้มแย้มตอบ
“ถูกต้อง สิบปีแห่งความขมขื่นได้จบลงแล้ว ในที่สุดข้าก็ประสบความสำเร็จ! หลายปีที่ผ่านมา เย่คนนี้ต้องขอบพระคุณท่านอย่างยิ่งที่ช่วยดูแลและอยู่เคียงข้างแม่นางหวางหรูเสมอมา”
หัวใจดวงน้อยๆของหงหยิงสั่นระรัวด้วยความดีใจ สายตาของนางที่จับจ้องเย่หยวนในยามนี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส
ได้ยินแบบนั้น นางเร่งโบกมือปัดและกล่าวว่า
“นายท่านเย่กล่าวอันใดเช่นนั้น? ข้ากับหวางหรูกลายมาเป็นสหายสนิทยิ่งกว่าอะไร หลายปีมานี้พวกเราแลกเปลี่ยนเรื่องราวมากมายให้แก่กัน นางเป็นหญิงสาวที่เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตา เอาซะข้าดูแย่ไปเลย!”
เหลียงหวางหรูที่เห็นว่าเป็นเย่หยวน ยามนี้นางรีบโพล่งลุกขึ้นและตรงเข้าหาเย่หยวนพร้อมท่าทางแสนสุขใจ
เมื่อเย่หยวนเห็นดังนั้น เขาก็อดรู้สึกผิดต่อนางมิได้และกล่าวว่า
“แม่นางหวางหรู หลายปีที่ผ่านมา เย่คนนี้เอาแต่เก็บตัวสันโดษ ปล่อยเจ้าทิ้งไว้เบื้องหลัง ขอโทษด้วยจริงๆ!”
สีหน้าของเหลียงหวางหรูยังคงยิ้มแย้มไม่คลายอ่อน นางส่ายหัวตอบเชิงบอกว่า หาใช่เรื่องติดใจอันใดไม่
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“แต่ออกมาจากการเก็บตัวครั้งนี้กลับไม่เสียเปล่า ข้ายังนำข่าวดีมาให้ท่าน!”
เหลียงหวางหรูที่ได้ยินแบบนั้น พลันหันไปสบตากับหงหยิงด้วยความสงสัย
เย่หยวนไม่ปล่อยให้นางแขวนค้างยืนงง ก่อนหยินโอสถทั้งสองเม็ดออกมาทันที
สายตาของหงหยินที่จับจ้องถึงกับแปรเปลี่ยนในบัดดล นางโพล่งอุทานลั่นด้วยความตะลึงว่า
“นายท่านเย่ หรือนี่…นี่คือโอสถเต๋าตรัสรู้!?”
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างค่อนข้างแปลกใจว่า
“ท่านเองก็รู้จักโอสถเต๋าตรัสรู้ด้วยรึ?”
เพราะโอสถทั้งสองชนิดนี้หาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีโอกาสได้เห็น
ต่อให้เป็นหอมหาสมบัติ ก็ไม่มีโอสถชนิดนี้วางจำหน่ายทั่วไป
เพราะไม่มีใครสามารถหลอมกลั่นมันขึ้นมาได้
เย่หยวนจึงคาดไม่ถึงว่า หงหยิงจะรู้จักโอสถสองชนิดในมือเขาจริงๆ
“มันคือโอสถเต๋าตรัสรู้จริงๆด้วย! เมื่อสามสิบปีก่อน ท่านประมุขหอเคยได้รับโอสถชนิดนี้มาจจากเบื้องบนอีกที เป็นบุญตาที่หงหยิงคนนี้มีโอกาสได้เห็น แต่ไม่คิดเลยว่า หลังจากตอนนั้นเป็นเวลาหลายสิบปี ข้าได้เห็นอีกครั้งต่อหน้าต่อตา! นายท่านเย่หลอมกลั่นเองกับมือจริงๆรึ?”
หงหยิงกล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึง
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“หากข้ามิได้หลอมกลั่นขึ้นมาเอง มันคงร่วงลงจากท้องฟ้ากระมัง?”
หงหยิงทราบดีว่าไรเป็นอะไร แต่นางก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาอยู่ดี โอสถเต๋าตรัสรู้หลอมกลั่นยากเย็นเพียงใดย่อมตระหนักทราบ ในบรรดานักหลอมโอสถทั้งหมดในเมืองกุยฉาง ไม่มีใครสามารถหลอมกลั่นได้สักคน
นางไม่คิดไม่ฝัน เย่หยวนจะหลอมกลั่นได้จริงๆ
“ข้า…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”
หงหยิงตระหนักได้ทันที นางกล่าวผิดไปและรีบกล่าวอธิบาย
เย่หยวนกล่าวตอบพลางหัวเราะเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่า ข้าหลอกเล่น ท่านอย่าถือเลย”
หงหยิงที่ได้ยินเช่นนั้นพลางโล่งอก ก่อนเอ่ยถามขึ้นต่อว่า
“นายท่าน แต่คุณภาพโอสถเต๋าตรัสรู้เม็ดนี้เหนือกว่าเม็ดก่อนหน้าที่ข้าเคยเห็นโดยสิ้นเชิง! โอ้ใช่แล้ว! อันนี้คือโอสถเต๋าตรัสรู้ ส่วนอันนั้น…ควรจะเป็นโอสถปรับแต่งจิตวิญญาณ?”
เย่หยวนพยักหน้ากล่าวตอบว่า
“แม่นางหงหยินฉลาดนัก! ถูกต้องนี่คือโอสถปรับแต่งจิตวิญญาณ!”
ได้ยินเช่นนั้นหงหยินอดนึกย้อนกลับไปมิได้ ถึงคำกล่าวของเย่หยวนที่เคยลั่นไว้กับตระกูลหวัง
นางคิดไม่ถึง เขาจะสามารถทำได้ดั่งปากว่าไว้จริงๆ!
จากที่วินิจฉัยโดยละเอียด ที่เหลียงหวางหรูพูดไม่ได้ สืบเนื่องมาจากร่างกายของนางขาดเต๋าบางส่วนไป
ซึ่งหากต้องการซ่อมแซมเต๋าที่บกพร่องให้สมบูรณ์อีกครั้ง จำต้องใช้โอสถปรับแต่งจิตวิญญาณ
และผลของโอสถเต๋าตรัสรู้เม็ดนี้จะช่วยให้เหลียงหวางหรูทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้โดยตรง!
ในดินแดนพฤกษานิรันดร์ สำหรับคนที่ต้องการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า คนๆนั้นจำต้องบ่มเพาะให้ขอบเขตจิตใจบรรลุไปถึงอาณาจักรคนฟ้ารวมเป็นหนึ่งขั้นสมบูรณ์
และการจะขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าขนานแท้ ยังต้องมีสามปัจจัยหลักที่มิอาจขาดตกได้ พลังปราณ,ร่างกายและจิตวิญญาณ
แต่ผู้คนบนมหาพิภพถงเทียนสามารถทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้โดยใช้โอสถ
ดังนั้นการใช้โอสถเพื่อขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้า จึงไม่นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใดสำหรับมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้
เว้นเสียว่า ความยากในการหลอมกลั่นโอสถเต๋าตรัสรู้ กลับมิใช่สิ่งที่จอมเทพโอสถหนึ่วดาวโดยทั่วจะไปสามารถทำได้
ถึงจะหลอมกลั่นได้สำเร็จสักเม็ด ราคาของโอสถชนิดนี้ยังสูงลิบลิ่ว และหาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจับจ่ายซื้อมาได้
ในตอนนั้นเย่หยวนเคยลั่นวาจากล่าวกับหวังหลิงโปไปว่า ไม่เพียงเขาจะถอนพิษขนวิหคพันราตรีเท่านั้น แต่เขายังจะช่วยทำให้เหลียงหวางหรูขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าอีกด้วย!
และตอนนี้มันก็เกิดขึ้นจริงแล้ว!
หากหวังหลินโปทราบเรื่องนี้เขา อยากจะรู้เสียว่าจะเผยสีหน้าแบบใดออกมา?
…………………….
ค่ำคืนกลางห้วงราตรี เงาสีทมิฬเคลื่อนทะยานเหินผ่านน่านฟ้ารัตติดกาล ตรงเข้าสู่ตระกูลหวัง
เบื้องหน้าหวังหลินโป ปรากฏเป็นนักสู้ชุดคลุมดำที่ตรงเข้ามารายงานสถานการณ์
สำหรับการปรากฏตัวของนักสู้ชุดคลุมดำในยามราตรีแบบนี้ หวังหลิงโปหาได้ตกใจไม่
“เจ้ามาก็ดี ฝั่งหอมหาสมบัติมีการเคลื่อนไหวอะไรใหม่ๆหรือไม่?”
หวังหลินโปเอ่ยปากกล่าวถามอย่างใจเย็น
นักสู้ชุดคลุมดำปิดบังใบหน้ามิดชิด ไม่สามารถมองผ่านอ่านลักษณะใบหน้าได้เลย
“เย่หยวนออกจากการเก็บตัวแล้ว!”
นักสู้ชุดคลุมดำกล่าวตอบ
หวังหลินโปกระตุกคิ้ว พลางคลี่ยิ้มแปลกๆขึ้นบนมุมปากก่อนกล่าวด้วยสีหน้าแสนรังเกียจว่า
“ในที่สุด ไอ้พิการนั้นก็ออกมาเสียที! ความอัปยศอดสูที่ตระกูลหกวังต้องแบกรับตลอดสิบปี ยามนี้ข้าจะชะล้างให้สิ้นซาก!”
“เหอะ แต่ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาเองก็ฟื้นกลับเป็นปกติแล้ว!”
ทั่วทั้งรางกายของหวังหลิงโปสั่นสะท้านหนัก สายตามุ่งจับจ้องนักสู้ชุดคลุมดำอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ข่าวนี้คล้ายสายฟ้าฟาดอัดศีรษะของเขาเต็มแรง
“มันหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวได้จริงๆ! นี่…นี่เป็นไปไม่ได้!”
หวังหลินโปคำรามลั่นด้วยความโมโห
นักสู้ชุดคลุมดำกล่าวพร้อมสายตาขมวดจริงจัง
“เราชายชราคนนี้จำต้องโกหกเจ้า? ไม่เพียงหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวได้เท่านั้น กระทั้งโอสถปรับแต่งจิตวิญญาณและโอสถเต๋าตรัสรู้ เขาเองก็สามารถหลอมกลั่นขึ้นได้! เจ้าเริ่มรู้สึก…ร้อนๆที่หน้าบ้างรึยัง?”
ดวงตาหวังหลินโปแทบถลนออกมา ใบหน้าของมันร้อนผาวขึ้นแล้วจริงๆ
สิบปีก่อนเย่หยวนลั่นวาจาอะไรไว้ หวังหลินโปจดจำได้ดี ครั้งนี้ราวกับมันถูกตบหน้าฉะใหญ่!
หลังจากนั้นไม่นาน เขาค่อยๆสูดหายใจเช้าลึกๆดึงสติกลับมา ก่อนกล่าวจับนักสู้ชุดคลุมดำต่อว่า
“มิใช่ที่เจ้ามาในวันนี้ มาเพื่อเยาะเย้ยข้าอย่างเดียวกระมัง?”
นักสู้ชุดคลุมดำหัวเราะขื่นและกล่าวว่า
“ไม่ใช่แค่นี้แน่นอน เย่หยวนต้องการไปยังสุสานสายลมหยิน!”
ตอนที่ 1319
มีคนทรยศ!
สองคน สองทาง
เย่หยวนกับหลัวเจีย คนหนึ่งอยู่ซ้าย อีกคนอยู่ขวา สองคู่ก้าวแช่มย่างสามขุมเปิดท้องถนนโล่งกว้าง
เช้าตรู่วันนี้ ดวงสุริยันยังมิทันสว่างขึ้นเฉิดจรัส ทั้งสองก็เดินทางออกจากเมืองกุยฉางไปอย่างเงียบงัน
เสี้ยวพริบตาเดียว ทั้งสองควบทะยานออกไกลนับหลายหมื่นลี้
ออกจากเมืองครั้งนี้ เย่หยวนยังต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง
เขาทราบดี ทันทีที่ตระกูลหวังทราบข่าวเขาออกจากเมืองกุยฉาง พวกนั้นจะต้องล่าสังหารเขาแน่นอน
ระยะสิบปีมานี้ เย่หยวนฝึกปรือหลอมกลั่นโอสถอยู่ในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพโดยตลอด ซึ่งจำนวนโอสถที่หลอมกลั่นขึ้นได้ นับเป็นจำนวนมหาศาลเกินพอสำหรับหอมหาสมบัตินำไปจำหน่าย
โอสถเหล่านี้ เย่หยวนได้กำชับกับผู้จัดการซูไว้อย่างดี ยามเขาและหลัวเจียออกจากเมืองแล้วเท่านั้น ถึงจะเริ่มวางจำหน่ายได้
ข่าวที่เขาออกจากการเก็บตัว ถือเป็นความลับสุดยอดยิ่ง นอกจากสมาชิกระดับสูงไม่กี่คนของหอมหาสมบัติ ก็ไม่มีใครทราบเลย
นับเป็นเวลาสิบปีเต็มที่เย่หยวนไม่เคลื่อนไหวใดๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่ตระกูลหวังจะว่างจนจับตาเขาดูตลอด
เย่หยวนทราบดี ที่ตระกูลหวังกลายมาเป็นสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองกุยฉางได้ แสดงว่าพวกเขามีบรรพบุรุษที่เป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าดำรงอยู่นแน่นอน
ซึ่งขุมพลังใหญ่ขนาดนี้ เพียงความแกร่งกล้าของเย่หยวนในปัจจุบันกลับมิใช่คู่มือได้เลย
ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากระมัดระวังตัวให้ดีที่สุด
เว้นเสียแต่ เย่หยวนกลับไม่ทราบเลยว่า ข่าวของเขากลับรั่วไหลไปถึงหูหวังหลินโปเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยใครบางคน
ซึ่งตระกูลหวังเองก็เตรียมการแอบซุ่มโจมตีนานแล้ว
ขณะที่ทั้งสองกำลังควบทะยานเร่งรุด จู่ๆก็มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาขวางทาง
ไร้ซึ่งบ้านเรือน ปราศจากโรงเตี๊ยมแหล่งพักพิงใดๆ บริเวณนี้ช่างเป็นสถานที่ล่อแหลมเหมาะสำหรับดักฆ่านัก
วูบบ… วูบบบ…
ทั้งสองยังไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง กระทั่งอีกฝ่ายยังไม่ทันเห็น ทว่าญาณสัมผัสพลันลั่นดังทันใด สายลมกระโชกแรงสองหอบซัดกระหน่ำจู่โจมพวกเขา
เย่หยวนหน้าถอดสี พลันกระโจนขึ้นฉับพลัน
บูมมมม!
ลูกมังกรที่พวกเขาขี่อยู่ถูกซัดกระเด็นบดขยี้ไม่เหลือ
เหล่าเซียนในมหาพิภพถงเทียนไม่สามารถบินได้ พวกเขาจึงต้องใช้ลูกมังกรเพื่อเดินทางระยะไกล หากทรงประสิทธิภาพมีกำลังวังชาดี อาจเดินทางได้ไกลถึงหลายหมื่นลี้ต่อวัน!
แต่ใครจะไปคาดคิด กลับเกิดโศกนาฎกรรมกับลูกมังกรทั้งสองเสียก่อน
ยามนี้ขยับขยายสายตาสาดพินิจร่างตรงหน้า ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึง เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดขนานแท้!
ทั้งสองกลิ่งตกลงมา หลัวเจียที่เห็นดังนั้นถึงขั้นมุ่นคิ้วอุทานลั่นว่า
“หวังอวีกั่น!”
ปรากฏว่า อีกฝ่ายเป็นชายชราคนหนึ่ง เขาคลี่ยิ้มบางกล่าวขึ้น
“ข้าไม่คิดไม่ฝัน ยังมีใครบางคนจดจำเราชายชราผู้นี้ได้! เจ้าคงเป็นหลัวเจีย ข้าเคยได้ชื่อเสียงเรียงนามของเจ้ามาบ้าง จอมดาบอันดับหนึ่งแห่งหอมหาสมบัติม,หลัวเจีย!”
หลัวเจียขมวดคิ้วแน่น แต่ไม่ตอบ
เย่ยหยวนพลันขมวดคิ้วตามเช่นกัน เขากล่าวถามขึ้นว่า
“คนของตระกูลหวัง?”
หลัวเจียพยักหน้าเร่งกล่าวอธิบาย
“ผู้อาวุโสสี่ของตระกูลหวัง ขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าได้ตั้งแต่ห้าพันปีก่อน! โดยปกติแล้ว เขามักจะปลีกวิเวกเก็บตัวอย่างสันโดษมาโดยตลอด แต่ข้าไม่เคยเลยว่า หวังหลินโปจะส่งเขาออกมาจริงๆ!”
เย่หยวนถอนหายใจอย่างไร้ประโยชน์เฮือกยาว ก่อนกล่าวว่า
“ข้อมูลของเรารั่วไหลออกไปแล้วจริงๆ ดูท่า…ภายในหอมหาสมบัติจะมีคนทรยศ!”
“เป็นไปไม่ได้!”
หลัวเจียโพล่งตอบสวนทันที
เห็นได้ชัดว่า เขาไม่มีวันเชื่อสนิทใจ ภายในหอมหาสมบัติไม่มีทางมีคนทรยศแน่นอน
เย่หยวนเพียงคลี่ยิ้มบางแต่หาได้เอ่ยตอบอันใด
เดินทางออกจากเมืองคราวนี้ เขาเก็บทุกรายละเอียดและระวังตัวอย่างที่สุด แต่ก็ยังอุตส่าห์มีข่าวรั่วไหลไปถึงตระกูลหวังจนได้ เรื่องนี้ผิดปกติชัดเจน แต่ตัวละครผู้น่าสงสัยในหอมหาสมบัติกลับมีมากเกินตรวจจับ
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่เถียงอันใดตอบ
เย่หยวนยังไม่แน่ใจว่า ใครกันที่ทรยศต่อหอมหาสมบัติ?
“มันคือใคร?”
หลัวเจียเอ่ยถาม
“มีคนที่น่าสงสัยอยู่ แต่ข้ายังไม่กล้าการันตีในตอนนี้ นี่มิใช่เวลามาตามสืบ เจ้าพอจะต่อกรกับชายชราคนนั้นได้หรือไม่?”
เย่หยวนเอ่ยขึ้น
หลัวเจียกอดดาบพลางเหลียวจับจ้องไปที่หวังอวีกั่น เขากล่าวเสียงเข้ม
“ข้าจะถ่วงเวลาเอง! เจ้าถอยไปก่อน!”
ทันทีที่ได้ยินวาจาเหล่านั้น หวังอวีกั่นอดใจระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างอดมิได้และกล่าวว่า
“เด็กน้อยฟ้าต่ำแผ่นดินสูงหาตระหนักไม่! ยามที่เราชายชราท่องยุทธตะลุยเมืองกุยฉางสารทิศ พวกเจ้ายังไม่ทันลืมตาดูโลกด้วยซ้ำ! ข้าทราบ ใครต่อใครต่างยกย่อเจ้าว่าสามารถสัประยุทธ์ต่อกรกับเซียนปฐมพระเจ้าขั้นสุดได้อย่างสูสี แต่ต่อหน้าเราชายชรา เจ้าที่มิใช่เซียนปฐมพระเจ้าขั้นสุดขนานแท้ กลับถึงคราวเคราะห์แล้ว!”
หลัวเจียมิใช่นิสัยใช้วาจาเป็นอาวุธ ได้จังหวะพลางร่ายกระบวนดาบเข้าจู่โจมโดนตรง!
เกร๊งงง!
รัศมีคมดาบสีเย็นสาดสะท้อนถอนจากฝักดาบ
สุ้มเสียงหัวเราะของหวังอวีกั่นพลันหยุดชะงักทันใด ดาบของหลัวเจียปราดลุถึงตรงหน้าเขาแล้ว!
“อาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด! นี่เป็นไปได้อย่างไร!”
หวังอวีกั่นร้องอุทานลั่น
ถึงยามนี้จะตื่นตะลึงสุดขีด แต่ปฏิกิริยาของเขายังคงเฉียบคมว่องไวไม่ลดทอนแม้แต่น้อย
เกร๊งงง!
ทวนยาวเข้าปะทะกับคมดาบของหลัวเจีย เสียงโลหะกระแทกชนดังเสียดหู
อาวุธคมเข้าต้านรับรุนแรง เห็นท่าไม่ดีเขาเร่งปรีถอยออกห่างหลัวเจียช่วงตัว
ครั้งนี้หลัวเจียเข้าคู่กับเขาได้!
“เหอะ เราชายชราผู้นี้ต้องยอมรับ ช่างน่าแปลกใจโดยแท้ ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดได้ก่อนออกจากเมือง!”
แม้หวังอวีกั่นจะตื่นตะตกใจ ทว่าหาได้วิตกกังวลไม่
แม้พลังฝีมือของหลัวเจียจะน่าสะพรึงขวัญ แต่ก็ยังมิใช่คู่มือของเขาอยู่ดี
ท้ายที่สุดนี้ หวังอวีกั่นเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าแล้ว!
แต่น่าเสีย ขั้นตอนนี้กลับยากเย็นดั่งการขึ้นสวรรค์
หากมิอาจพานพบประสบโชคชะตาครั้งใหญ่ ชั่วชีวิตนี้คงยากที่จะทะลวงขึ้นไป
หลัวเจียเหลือบมองเย่หยวนเล็กน้อย พร้อมแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความขอบคุณ
ทั้งหมดเป็นเพราะเย่หยวนได้มอบโอสถปราณเทวะขั้นเทวะให้แก่หลัวเจียอย่างลับๆ ซึ่งนั้นช่วยทำให้เขาก้าวข้ามผ่านปัญหาคอขวดเจ้าปัญหามาได้
เขาติดอยู่ที่จุดสูงสุดแห่งอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายมานานเกินนับแล้ว ซึ่งโอกาสที่จะเลื่อนระดับต่อไปกลับไม่มีแม้แต่แวว
ด้วยระดับพลังของหลัวเจีย แท้ที่จริงโอสถปราณเทวะไม่มีผลอันใดต่อเขานานแล้ว
เว้นเสียแต่เป็น โอสถปราณเทวะขั้นเทวะ!
โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นต่ำที่เย่หยวนหลอมกลั่นกลับไม่ส่งผลอะไรกับเขามากนัก แต่หากเป็นโอสถปราณเทวะขั้นเทวะ ตราบใดที่มีจำนวนมากพอ ก็สามารถกลืนเข้าไปได้เรื่อยๆจนกว่าจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า
แน่นอน นี่คือขอบเขตเบื้องต้นและข้อกำจัดของโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง
ภายใต้ฤทธิ์โอสถปราณเทวะขั้นเทวะที่เข้าไปกระตุ้น ในท้ายที่สุดหลัวเจียก็ทะลวงฝ่าปัญหาคอขวดที่ติดอยู่นานเป็นเวลาเนินนานได้ในอึดใจเดียว
หวังอวีกั่นนับเป็นชายชราหัวไวและฉลาดหลักแหลม ปัญญาประสบการณ์สูงส่งตามอายุ เพียงปราดตาเดียว เขาก็อ่านผ่านอ่านสถานการณ์ออกในทันที ก่อนที่จะอดกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจมิได้ว่า
“ดูท่าเด็กคนนี้จะเป็นคนช่วยให้เจ้าฝ่าปัญหาคอขวดขึ้นมาได้? ด้วยระดับของเจ้าในตอนนี้ มีเพียงโอสถปราณเทวะขั้นเทวะเท่านั้นที่ใช้ได้ผล! ช่างน่าทึ่งนัก! เด็กคนนี้สามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นเทวะให้เจ้ากรอกกินได้ราวกับขนม ไม่น่าแปลกใจว่าไฉนหวังหลินโปถึงกลัวเจ้าขนาดนี้ หากอยู่กับตระกูลหวังของข้าแต่แรก คงดูแลอย่างดีเช่นกัน ทว่ากลับน่าเสียดาย หอมหาสมบัติได้ตัวไป เช่นนั้นจำต้องตาย หากไม่ตายพวกเราตระกูลหวังจะเงยหน้าขึ้นสู่ฟ้าได้อีกอย่างไร?”
เมื่อกล่าวจบหวังอวีกั่นหาได้ปกปิดจิตสังหารใดๆอีก
หลัวเจียส่งเสียงเย็นเอ่ยแช่มขึ้นว่า
“หากต้องการฆ่าเขา ข้ามศพข้าไปก่อน!”
หวังอวีกั่นยิ้มและกล่าวว่า
“พัฒนาการของเจ้าชวนข้าตะลึงได้ก็จริง แต่นั้นมิได้หมายความว่าผลลัพธ์ที่ได้จะต่างออกไป! ท้ายที่สุดนี้ ประสบการณ์ของเจ้ากลับไม่เจนจัดเท่าข้า!”
กล่าวจบ ทวนยาวของหวังอวีกั่นเร่งปรี่พลังปราณไหลเวียนก่อตัวแน่น ยามเพลงทวนปราดรุกออกไป คลื่นพลังร่ายคลั่งดุจมังกรพิโรธ!
หลัวเจียสีหน้าขรึมเข้ม นี่เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่เขาวิตกถึงขนาดนี้!
เพลงทวนของหวังอวีกั่นทั้งหนักหน่วงและทรงพลัง บัญชานภาควบคุมกระแสลมอย่างอิสระ และอย่างลืมเสีย เขาเป็นจอมทวนผู้เจนจัดคนหนึ่ง!
ร่างของหลัวเจียคล้ายแผ่นกระดาษบางต้านพายุ หากโดนเพลงทวนนี้เข้าสักบท เกรงว่าตัวขาดเป็นสองท่องในพริบตา
อย่างไรก็ตามแต่ เพลงดาบคลั่งของหลัวเจียก็หาใช่ชนชั้นกินเจ นี่เป็นกระบวนดาบที่มีพื้นฐานคือความคล่องตัว
หลัวเจียไม่ได้ปะทะกับหวังอวีกั่นตรงๆ แต่เลือกที่จะหยั่งเชิงเคลื่อนต้านเคลื่อนรุกตามจังหวะ
“เย่หยวน เจ้าออกไปก่อน! ข้าจะถ่วงเวลาเขาเอง!”
หลัวเจียตะโกนลั่น
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนหาได้มีเจตนาหนี เขากล่าวตอบเสียงเย็นว่า
“เย่คนนี้หาใช่คนทิ้งมิตรสหาย! หากวันนี้พี่หลัวพินาศ เย่คนนี้ก็ขอพินาศไปพร้อมกัน!”
ลั่นวาจาหนักแน่นโดยไม่มีลังเลแม้สักนิด
สุ้มเสียงเย่หยวนเอ่ยลั่นเข้าหูหลัวเจีย เขาพลันรู้สึกประทับจับใจยิ่ง
เย่หยวนคนนี้ถือสัจจะคุณธรรมนำใจ หากเป็นคนอื่นคงหนีหางจุกตูดไปนานแล้ว
คำกล่าวนี้ได้ปลุกกระตุ้นจิตวิญญาณนักสู้ในกายหลัวเจียจนเลือดร้อน รัศมีแรงกดดันบนคมดาบยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ
เย่หยวนเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น ความแตกต่างระหว่างทั้งสองกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป จนมิอาจแทรกแซงช่วยเหลือได้เลย เลี่ยงไม่ได้นอกจากยืนสังเกตการณ์อยู่ข้างศึกสัประยุทธ์
ความแกร่งกล้าของเย่หยวนหาใช่สิ่งที่เซียนในระดับเดียวกันจะต่อกรได้ก็จริง แต่จะให้มาสัประยุทธ์ข้ามระดับแบบในดินแดนพฤกษานิรันดร์คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
หากนับเสียงแห่งจอมเทพมังกร ซึ่งเป็นไพ่ตายเด็ดของเย่หยวน นั้นยังพอมีทุนรอนต่อกรกับเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางได้บ้าง
แต่หวังอวีกั่นเป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด!
ยามนี้เห็นว่าเย่หยวนไม่มีเจตนาคิดหลบหนี หวังอวีกั่นลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พัฒนาการของเจียหลัวเหนือกว่าที่เขาคาดไว้มาก
ถึงจะฆ่าหลัวเจียลงได้ แต่หากเย่หยวนคิดหนีออกไป การจะไล่ล่าจับตัวอีกครั้งกลับเป็นเรื่องยากแน่นอน
ตอนที่ 1320
แพ้คู่
“หลัวเจีย อนาคตของเจ้านับว่าไร้ขีดจำกัด! เพิ่งทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดได้หมาดๆ แต่กลับสัประยุทธ์ต่อกรกับเราชายชราได้สูสี! นี่นับว่าน่าภาคภูมิยิ่งนักแล้ว!”
หวังอวีกั่นแอบประหลาดใจอย่างอดมิได้ ความลึกล้ำของหลัวเจียคนนี้สูงเกินความคาดหมายของเขายิ่ง
หากหลัวเจียทะลวงขึ้นถึงจุดนี้ก่อนหน้าประมาณแปดถึงสิบปี เขาจะมิใช่คู่มือของหลัวเจียได้เลย
ทว่าตอนนี้เขาที่คุ้นชินกับขุมพลังในมือมากกว่าย่อมได้เปรียบเหนือชั้น ยามนี้หลัวเจียถูกไล่ต้อนจนตันแล้ว
เพลงทวนของหวังอวีกั่นทั้งหนักหน่วงทรงพลัง กระทั่งความเร็วร่ายกระบวนยังนับไม่ไม่ช้า
ความคล่องแคล่วของหลัวเจียลดลงอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย
แต่ทันทีทันใด สีหน้าการแสดงออกของหวังอวีกั่นพลันผลัดเปลี่ยน จิตสังหารแห่งดาบของหลัวเจียพุ่งทะยานเสียดฟ้าสูง
ทั้งคนทั้งดาบคล้ายว่าหลอมรวมเป็นหนึ่ง ผิวหนังถูกรมแดงเดือดประดุจเหล้าสีโลหิต
“เพลงดาบฟ้าดินนิรันดร์กาล!”
เสี้ยวพริบตา ทั้งความเร็วและพละกำลังของหลัวเจียก็เพิ่มทวีขึ้นนับสิบเท่า!
หลัวเจียที่ถูกไล่ต้อนเสียเปรียบมาโดยตลอด ยามนี้พลิกสถานการณ์กลับในอึดใจ การเคลื่อนไหวทิ้งทวนเพียงลำแสงสายหนึ่งโฉบวูบเสมือนภูตผี พุ่งเข้าโจมตีหวังอวีกั่น
การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าหลัวเจียจงใจใช้ชีวิตแลกชีวิต!
เย่หยวนมองผ่านอ่านสถานการณ์ออกอย่างรวดเร็ว หลัวเจียหยิบใช้วิธีผลาญพลังปราณเทวะในร่ายกายเพื่อดึงศักยภาพตนเองออกมาให้ถึงขีดสุด
แต่วิธีเช่นนี้มันสร้างภาระหนักยิ่งให้แก่ร่างกายของเขาเอง
นอกจากนี้ สภาวะพลังที่แกร่งกล้าขึ้นยังเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น
หากเขาไม่สามารถจัดการหวังอวีกั่นให้ตายได้ภายในเวลาที่กำหนด เย่หยวนกับเขาเตรียมตีตั๋วลงนรกได้เลย!
“นับเป็นกระบวนท่าที่ทรงอนุภาพ แต่การทำเช่นนี้กลับทำให้ข้าปิดฉากเจ้าเร็วขึ้น!”
หวังอวีกั่นกล่าวขึ้นพร้อมเสียงเย็นแผดดัง
แม้ระดับฝีมือและประสบการณ์จะแตกต่างกันไม่น้อย แต่การจะสังหารหลัวเจียให้อยู่หมัดภายในเวลาอันสั้นกลับไม่มีทางเลย
หวังอวีกั่นตวัดทวนยาวเข้าพินิจทิ่งทะลุดังทิศทาง พร้อมส่องประกายยิ้มสีเย็น
เพลงทวนนี้มิได้ต่างจากก่อนหน้าเลย
เขาไม่ลังเลแม้สักนิด พร้อมทิ่งแทงทวนยาวออกไปอย่างมั่นใจ
แต่ขณะที่ปลายทวนกำลังดิ่งเข้าปะทะกับคมดาบ จู่ๆหลัวเจียก็อันตธานหายวับไปต่อหน้า
ม่านตาดำของหวีงอวีกั่นตีบแคบหดเล็กในทันใด ยามนี้ปรารถนาชักทวนออกมาตั้งหลัก แต่กลับสายเกินไปเสียแล้ว
ชวิ้ง!
ชวิ้ง!
เสียงคู่โลหะดังเสียด ปลายคมแหลมทั้งสองเจาทะลุเข้าเนื้อโดยตรง!
ทวนยาวของหวังอวีกั่นเสียบทะลวงผ่านทรวงอกของหลัวเจีย
ในขณะที่คมดาบของหลัวเจียทะลวงเสียบเข้ากลางอกของหวังอวีกั่น!
แลกหมัดหนัก!
“พร๊วดด!”
“พร๊วดด!”
ทั้งสองกระอักพ่นเลือดสดคำโตออกมาโดยพร้อมเพรียง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลัวเจีย ยามนี้ธารเลือดสีทองไหลรินลงมาตามแนวของทวนยาว สภาพยามนี้ค่อนข้างน่าสยดใจไม่น้อย
หลัวเจียหมดสติไปทั้งแบบนั้น ปล่อยร่างแขวนค้างอยู่บนทวนยาว
คู่ดวงเนตรของหวังอวีกั่นแข็งค้าง พลางเปี่ยมไปด้วยความไม่แน่ใจ ไฉนคมดาบเหมือนครู่ถึงพลาดสายตาเขาไปได้?
แต่ในไม่ช้า เขากลับคร้านจะใส่ใจและเร่งพลังปราณเทวะอย่างบ้าคลั่งจนเร็วจี๋ เพื่อต้องการทะลวงหมุนทวนยาวในมือ
หวังอวีกั่นหวังบดขยี้อวัยวะภายในของหลัวเจียให้แหลกเป็นชิ้นๆ!
แต่ทันใดนั้นเอง แสงประกายคมเฉียบเย็นปราดพุ่งเข้าใส่ทันที เย่หยวนตรงเข้ามาจู่โจมสกัดทันควัน!
จังหวะสอดผสานของเย่หยวนกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ ไม่ปล่อยโอกาสให้หวังอวีกั่นปิดฉากสังหารหลัวเจียได้ลง
แม้ว่าหวังอวีกั่นจะแข็งแกร่งมาก แต่นั้นมิได้หมายความว่าจะจัดการทุกอย่างได้ตามใจนึก
“เพลงดาบไม่เลว! แต่น่าเสียดาย เจ้ายังไม่ชำนาญลึกล้ำ!”
หวังอวีกั่นส่งเสียงเอ่ยดังขึ้น ยามนี้ไม่มีเวลาปิดฉากหลัวเจียอีกต่อไปและเตะร่างที่เสียบคาอยู่ออกจากทวนยาวของตน
ลูกเตะนี้ทรงพลังหวังเอาให้ตาย ร่างไร้สติของหลัวเจียกระเด็นออกไปโดยตรงหลายหมื่นฉื่อ
กระบวนเคลื่อนไหวของหวังอวีกั่นคล่องแคล่วคล่องตัวนัก ทวนยาวโบกสะบัดจัดท่า เขากระหน่ำโจมตีใส่เย่หยวน
ในมุมมองของหวังอวีกั่น ถึงเขาในตอนนี้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เย่หยวนกลับไม่มีพิษภัยนักต่อตัวเขา
แต่ทันใดนั้นเอง รอยยิ้มเหยียดเย็นพลันปรากฏขึ้นบนมุมปากเย่หยวนโดยพลัน
สีหน้าการแสดงออกของหวังอวีกั่นแปรเปลี่ยนในทันที
“กรรร!!”
เสียงมังกรคำรามดังลั่นสะท้านสวรรค์อัดใส่หน้าของหวังอวีกั่นโดยตรง!
หลังจากที่เย่หยวนเดินทางมาถึงมหาพิภพถงเทียน นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนได้สำแดงใช้เสียงแห่งจอมเทพมังกร!
หากกล่าวให้ถูกต้องคือ นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนปลดปล่อยเสียงแห่งจจอมเทพมังกรหลังจากทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า!
ภายในดินแดนพฤกษานิรันดร์ เพียงใช้เต๋าควบคุมสรรพสิ่งได้ แค่สะบัดนิ้วก็ฆ่าล้างเสร็จสรรพ ไม่จำต้องถึงมือเสียงแห่งจอมเทพมังกรเลย
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนที่ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้แล้ว การสำแดงใช้เสียงแห่งจอมเทพมังกรในครานี้ กลับแตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง
ฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงของเขาได้ตื่นขึ้นแล้ว ระดับความลึกล้ำของเสียงแห่งจอมเทพมังกรย่อมพัฒนาขึ้นด้วยเป็นเท่าทวี
แต่เนื่องจากแต่ก่อน มีข้อกำจัดทางด้านอาณาจักรพลัง เขาจึงสำแดงใช้ได้เพียงระดับแรกเท่านั้น แถมยังใช้ได้แค่สองถึงสามอึดใจไม่เกินนี้
แต่ปัจจุบัน ข้อจำกัดต่างๆกลับลดน้อยลงมาแล้ว
พลานุภาพทำลายล้างของเสียงแห่งจอมเทพมังกรในตอนนี้ มาตรได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของระดับแรกแล้ว!
การสัประยุทธ์ข้ามระดับกลับหาใช่ปัญหาเลย!
หากหวังอวีกั่นอยู่ในระยะที่ห่างกว่านี้ เย่หยวนย่อมไม่สามารถทำอันตรายได้เช่นกัน
แต่ตอนนี้ระยะโจมตีคือหน้าต่อหน้า!
หวังอวีกั่นขนลุกซู่วยันหนังศีรษะ คล้ายถึงสายฟ้าฟาดอัดกลางหัว ชั่วครู่ต่อมาเขาบาดเจ็บถึงขั้นหลั่งเลือดออกจากทาวรทั้งเจ็ด
โดยเฉพาะบาดแผลที่หลัวเจียฝากไว้ก่อนหน้าที่กลางอก ภายใต้แรงกระตุ้นจากเสียงแห่งจอมเทพมังกร ปากแผลฉีกขยายใหญ่ขึ้นทันทีพร้อมธารโลหิตสีทองพุ่งกระฉูดออกมาราวกับน้ำพุ
ผลการสัประยุทธ์ที่หลัวเจียถึงขั้นใช้ชีวิตแลกชีวิต เย่หยวนไม่ยอมปล่อยโอกาสทองเช่นนี้ให้หลุดมือได้ไม่ว่าอย่างไร!
สิบอึดใจ!
นี่คือขีดจำกัดที่เย่หยวนสามารถทำได้ในปัจจุบัน หากยังฝืนไปมากกว่านี้เขาจะไม่มีแรงเหลือสำหรับหนีอีกต่อไป
ความแตกต่างระหว่างเขากับหวังอวีกั่นมีมากเกินไป เย่หยวนไม่มีทางฆ่าอีกฝ่ายได้เลย
เขาทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสที่สุดทำที่จะทำได้แล้ว
ในพริบตาเดียว เย่หยวนตีเชิงร่นถอยออกมาห่างก่อนคว้าร่างหลัวเจียและหนีออกไปโดยไว
“ตาเฒ่าบัดซบ หนี้แค้นในวันนี้ ข้า,เย่หยวนได้สลักจำฝังใจไว้แล้ว! หัวสุนัขนั้นข้าจะเป็นคนสะบั้นออกมาเองในสักวัน! เย่หยวนผู้นี้ขอรับปากไม่ตระบัดสัตย์!”
ลั่นวาจาทิ้งทวนจบ เย่หยวยเร่งฝีเท้าเร็วจี๋หนีหายไปสุดสายตาของหวังอวีกั่น คำกล่าวเปี่ยมอาฆาตยังฝังระทึกกึกก้องกลางห้วงอากาศไม่คลายอ่อน
สีหน้าของหวังอวีกั่นในยามนี้ซีดเผือกอย่างมาก เขาไม่คิดเลยว่า เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นอย่างเย่หยวนจะเก็บซ่อนไพ่ตายที่น่ากลัวขนาดนี้เอาไว้ด้วย
พลังเต๋าฟ้าดินที่กอปรอยู่ในคลื่นเสียงคำรามนั้นอยู่ในระดับที่น่ากลัวเกินไปนัก หากระดับพลังของเย่หยวนสูงกว่านี้เล็กน้อย หวังอวีกั่นอาจต้องพบจุดจบในวันนี้อย่างเลี่ยงมิได้
หวังอวีกั่นทราบดี เย่หยวนเป็นนักหลอมโอสถ แต่คาดไม่ถึงเลยว่า ความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งการต่อสู้เองจะสูงส่งถึงเพียงนี้
แม้แต่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางยังหาใช่คู่มือของเย่หยวนไม่เช่นกัน!
จำต้องเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายขึ้นไปเท่านั้น ที่จะสามารถสู้รบปรบมือกับเย่หยวนได้
เรื่องในวันนี้อาจดูเหมือนว่าหลัวเจียช่วยเหลือเย่หยวน
แต่ในความเป็นจริง กลับเป็นเย่หยวนที่ช่วยกู้สถานการณ์และหนีออกมาได้
หากมิใช่เพราะเย่หยวนช่วยให้หลัวเจียเลื่อนระดับได้ ต่อให้หลัวเจียจะหยิบใช้ไพ่ตายทุกแขนงออกมา ก็ไม่มีทางทำให้หวังอวีกั่นบาดเจ็บถึงขั้นนี้ได้เช่นกัน
“กระบวนโจมตีเมื่อครู่เป็นวรยุทธต่อสู้ของเผ่าอสูรอย่างชัดเจน! แต่…แต่มันเป็นมนุษย์ มันไปเรียนรู้จากแห่งหนใดกัน?”
หวังอวีกั่นตบโอสถเม็ดหนึ่งเข้าปากทันทีพร้อมสายตาแดงกล่ำ
บนทรวงอกปรากฏเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ พินิจจากจุดนี้น่าสยดสยองหาที่เปรียบไม่
บาดแผลที่หลังเจียฝากเอาไว้ให้ มีระยะความกว้างเพียงตัวดาบเท่านั้น
แต่เสียงแห่งจอมเทพมังกรของเย่หยวน กลับทำให้ปากแผลของเขาฉีกตัวขยายออกจนกลายมาเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่อย่างที่เห็น
เว้นเสียว่า แม้อาการบาดเจ็บจะค่อนข้างสาหัส แต่นั้นก็มิได้อันตรายถึงชีวิต
การจะฆ่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าให้ตายสักคนหนึ่ง นับเป็นเรื่องยากมาก
สามวันต่อมา อาการบาดเจ็บของหวังอวีกั่นก็เริ่มควบคุมได้ในที่สุด
เขาหยิบยันต์สื่อสารแผ่นหนึ่งออกมาและเอ่ยปากกล่าวว่า
“สถานการณ์เปลี่ยน การซุ่มโจมตีล้มเหลว! ส่งผู้อาวุโสสองกับผู้อาวุโสสามออกมา! ไม่ว่าอย่างไรจักต้องฆ่าเด็กนั้นโดยเร็วที่สุด!”
ในขณะที่กล่าวจบ ยันต์สื่อสารนั้นก็สลายหายไปกลางอากาศ
ณ เวลาเดียวกัน เย่หยวนได้นำร่างหลัวเจียที่กำลังบาดเจ็บสาหัสหลบหนีออกไปไกลนับหลายหมื่นลี้แล้วตอนที่1321 ต่อให้ใช้ชีวิตแลกชีวิตก็ยอมเสี่ยง
ณ ตำหนักตระกูลหวัง สีหน้าของหวังหลินโปในขณะนี้ดำมืดประดุจเมฆดำ
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ผู้อาวุโสสี่ที่ถึงขั้นเคลื่อนไหวเป็นการส่วนตัวจะประสบความล้มเหลวในการลอบสังหารเย่หยวน!
สำหรับความแกร่งกล้าของผู้อาวุโสสี่ ตัวเขาชัดแจ้งดีกว่าใครๆ
แม้หลัวเจียจะเป็นที่รู้จักในนาม ยอมดาบอันดับหนึ่งแห่งหอมหาสมบัติ ทว่าต่อหน้าผู้อาวุโสสี่คนนี้ กลับไม่มีคุณสมบัติมากพอจะกล่าวถึง
แต่กระนั้นเอง ผู้อาวุโสสี่กลับทำพลาดไปแล้วจริงๆ!
ยามพบตัวแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยทั้งสองหนีไปง่ายๆแน่นอน แต่ถึงขั้นที่ว่าผู้อาวุโสสี่ต้องติดต่อกลับมายังตระกูลเพื่อขอกำลังเสริม นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ทั้งสองฝ่ายเคยปะทะกันมาแล้วแน่นอน!
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ สองคนนั้นสามารถต่อกรจนประวิงเวลาหนีไปได้!
ข้อสันนิฐานนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะหากไม่ลงเอยเช่นนั้น คนอย่างผู้อาวุโสสี่ไม่มีทางเอ่ยปากของความช่วยเหลือจากตระกูลแน่นอน
แต่สิ่งหนึ่งที่หวังหลินโปไม่สามารถเข้าใจได้เลยก็คือ มองข้ามหลัวเจียคนนั้นไป ตัวแปรสำคัญควรจะเป็นเย่หยวน อย่างไรก็ตาม…เย่หยวนมีทุนรอนอันใดถึงสามารถสร้างปัญหาให้แก่ผู้อาวุโสสี่ได้ขนาดนั้น?
“หลินโป เจ้าเรียกพวกข้ามามีเรื่องอันใด?”
ผู้อาวุโสชราอีกสองคนย่างกรายเข้ามาในตำหนัก และนั้นเป็นใครอื่นไปมิได้นอกจาก ผู้อาวุโสสอง,หวังอวีเต๋า กับ ผู้อาวุโสสาม,หวังอวีมิน
ทั้งสองต่างเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดเช่นกัน แต่ความแกร่งกล้านับว่าเหนือชั้นกว่าหวังอวีกั่นอยู่หนึ่งขุม
พลางได้ยินแบบนั้น หวังหลินโปเร่งเอ่ยปากเล่าเรื่องเย่หยวนให้ฟังอย่างร้อนใจ
“ท่านลุง หากเราปล่อยเด็กนั้นให้ลอยนวลไป คงเป็นเรื่องยากยิ่งหลังจากนี้ที่ตระกูลหวังจะผงาดขึ้นมาได้อีกในเมืองกุยฉาง! ท่านลุงต้องเร่งตักไฟตั้งแต่ต้นลม จัดการปัญหาให้หมดสิ้นภายในสุสานสายลมหยินนั้น!”
หวังหลินโปเผยสีหน้ากระวนกระวายใจ กล่าวขึ้นเสียงเคร่งขรึม
เมื่อได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมดจากปากหวังหลินโป หวังอวีเต๋าสีหน้าทมิฬมืดลงเล็กน้อยและกล่าวว่า
“แม้เมืองกุยฉางจะอยู่ในอาณาเขตปกครองของจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟู่เฟย แต่ชื่อเสียงของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติเองก็เลื่องลือไม่แพ้กัน เราควรปราบปรามหอมหาสมบัติอย่างให้เกินพอดี เราเองอย่าล้ำเส้นให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่โต แต่เด็กหนุ่มแซ่เย่นั้นเองก็มิควรมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน! เวลานี้คือโอกาสดีที่สุดแล้วที่จะลอบสังหารมิให้ข่าวกระจายออกไป!”
หวังหลินโปเร่งพยักหน้าเห็นงามและกล่าวว่า
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น! หากเด็กนั้นกลับถึงเมืองกุยฉางหรือหยางรุยรู้เรื่องนี้เสียก่อน ยามนั้นพวกเราจะไม่มีโอกาสเคลื่อนไหวใดๆอีกต่อไป!”
หวังอวีเต๋าเหลียวข้างกล่าวกับชายชราอีกคนทันที
“เฒ่าสาม เร่งออกเดินทางตามไปสมทบโดยไว สหายน้อยคนนี้นับเป็นตัวปัญหาใหญ่ของตระกูลหวัง!”
“ไปกันเถอะพี่สอง!”
หวังอวีมินหาได้คัดค้านใดและพยักหน้ากระชับเร่งมือ
………………..
“เฮ้ออ… ท่านยังไม่ตายใช่ไหม? ลุกขึ้นให้ข้าดูทีว่าท่านยังไม่ตายจริงๆ!”
เมื่อหลัวเจียลืมตาขึ้นฟื้นสติอย่างช้าๆ เย่หยวนที่เห็นดังนั้นพลันถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
ก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายกำลังประสบอาการเจียนตาย เย่หยวนต้องระเห็จอุ้มร่างของหลัวเจียหนีไปให้ไกลที่สุด
ยามนี้พอเห็นว่าหลัวเจียพ้นขีดอันตรายแล้ว นั้นจึงเป็นเหตุว่าทำไมเย่หยวนถึงกล่าวเสียดสีออกมา
ปัจจุบัน วันเวลาเลยผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มแล้ว นับตั้งแต่เดินทางออกจากเมือง
เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของหลัวเจีย เย่หยวนต้องนำจ่ายเป็นราคาจำนวนมหาศาล
โอสถฟื้นฟูขั้นเทวะที่เขาหลอมกลั่นเตรียมไว้ หมดลงไปมากเช่นกัน
ประสิทธิภาพของโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นต่ำ ไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่นักต่ออาการบาดเจ็บของหลัวเจีย
ดังนั้น เย่หยวนจำต้องใช้จำนวนเข้าว่าเพื่อทดแทนในส่วนนี้
โชคยังดีที่ทั้งตัวเย่หยวนเปรียบเสมือนคลังโอสถเคลื่อนที่อยู่แล้ว แถมทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นโอสถขั้นเทวะ นั้นจึงทำให้หลัวเจียรอดพ้นจากความตายมาได้
หากเป็นคนอื่นที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสปานนี้ คงเตรียมตัวตายอย่างไม่ต้องสงสัย
หลัวเจียกัดฟันข่มความเจ็บ บังคับร่างตนเองให้ลุกขึ้นนั่ง เขาจับจ้องเย่หยวนด้วยความประหลาดใจยิ่งและกล่าวว่า
“เจ้าเป็นคนช่วยข้าไว้?”
เย่หยวนกล่าวตอยอย่างยิ้มแย้มกลับไป
“ที่แห่งนี้ยังมีคนอื่นอีกรึ?”
“แต่ข้าบาดเจ็บสาหัส…”
หลัวเจียประจักษ์ทราบดีถึงความรุนแรงของบาดแผลที่ตนได้รับ ยามที่เขาปลดปล่อยกระบวนไพ่ตายออกมาปะทะกับหวังอวีกั่น เขาก็ดตรียมใจตายไว้แล้ว
แต่นั้นก็แลกมากับหวังอวีกั่นที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ต่าง เขาต้องการซื้อเวลาเพื่อให้เย่หยวนหลบหนีออกไป นั้นคือทั้งหมดที่เขาจำความได้
เย่หยวนโบกมือปัดพลางกล่าวติดตลกว่า
“ระหว่างข้ากับท่านก็หาใช่สายสัมพันธ์ตื้นเขิน คงเป็นไปได้ที่ข้าปล่อยให้ท่านสิ้นตายตายไปเฉยๆ?”
หลัวเจียกล่าวขึ้นว่า
“ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านประมุขหอครั้งใหญ่หลวง เขากำชับเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย ต่อให้ต้องใช้ชีวิตแลกชีวิต ข้าก็เต็มใจยอมเสี่ยง! อย่างน้อยก็คงตอบแทนเขาได้บ้าง!”
เย่หยวนเค้นเสียงหัวเราะเบาๆพลางกล่าวว่า
“ชีวิตของท่านมันไร้ค่าเพียงนั้นเลยงั้นรึ? ตอนนี้ นับว่าท่านตายไปครั้งนึงแล้ว นี่ถือว่าชดใช้หมดสิ้น และตอนนี้ข้าก็ฟื้นชีวิตท่านขึ้นมาใหม่!”
หลัวเจียสำลักเล็กน้อยเมื่อได้ยืน แม้วาจาคำกล่าวของเขาจะดูแปลกๆ แต่ก็มิอาจเช่นกันว่าจะกล่าวหักล้างอย่างไร
คราวนี้เขาท่องประตูนรกแล้วครั้งหนึ่ง การที่เย่หยวนจะกล่าวแบบนั้นก็ไม่เชิงว่าแปลกเกินไป
“หุหุ ข้ากล่าวหยอกท่านเล่น! อย่านำใส่ใจจนเกินเหตุ อาการบาดเจ็บของท่านเพิ่งฟื้นตัว ยังต้องพักผ่อนอีกสักพักใหญ่ แต่เราเองก็สายมากแล้วเช่นกัน หนทางเบื้องหน้าอาจต้องลุยหนักเป็นเท่าตัว”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพลางตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
เขาทราบดี ชายหัวแข็งแบบนี้กลับสอนไม่ง่าย ต่อให้ตีด้วยไม้ไผ่แข็งก็ยังไม่ฟัง ซึ่งหากต้องนั่งเถียงกับอีกฝ่าย คงเป็นอะไรที่น่าเบื่ออย่างยิ่ง
แต่กระนั่นเอง หลัวเจียคนนี้ถือสัตย์คุณธรรมนำหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่าหาญกล้านำชีวิตตนเองแหขวนอยู่บนเส้นดายเพื่อตอบแทนบุญคุณ นี่ทำให้เย่หยวนได้เห็นอะไรหลายๆอย่างในตัวอีกฝ่าย
คนประเภทนี้ควรค่าแก่การคบหาทำความรู้จัก
หลัวเจียพลันนึกขึ้นได้ก่อนขมวดคิ้วถามว่า
“เจ้าช่วยข้าไว้ แล้วหวังอวีกั่นล่ะ?”
เย่หยวนดูครุ่นคิดไปเล็กน้อยและกล่าวว่า
“อีกฝ่ายเองก็สาหัสไม่น้อยเช่นกัน กว่าจะฟื้นคืนสู่สภาวะสุดยอดน่าจะประมาณครึ่งเดือนเศษ ต่อไปคงได้เจอกันอีก ณ สุสานสายลมหยินเป็นแน่”
หลัวเจียพลันหรี่สายตาแคบลง ราวกับตั้งใจจะจับใจความบางอย่างจากคำพูดของเย่หยวน
ตัวเขาตระหนักทราบดีถึงอนุภาพคมดาบของเขา ถึงแม้นจะทรงพลัง แต่กลับไม่มีทางทำให้อีกฝ่ายสาหัสหนักขนาดนั้นได้
พักผ่อนเพียงสองสามวัน โดยปกติก็ควรฟื้นกลับสู่สภาวะสุดยอดได้แล้ว
แต่เย่หยวนกลับบอกว่า อีกฝ่ายจำต้องใช้เวลาพักฟื้นถึงครึ่งเดือนเศษ!
เป็นไปได้ไหมว่า…ตอนนั้นดาบของเขาบังเอิญแทงโดนจุดสำคัญพอดี?
หรือ…ที่อีกฝ่ายสาหัสขนาดนั้นเป็นเพราะเย่หยวน?
หากพินิจคิดย้อนกลับไป ตัวหลัวเจียถูกทวนยาวทะลวงร่างลอยเคว้ง หากเย่หยวนไม่เคลื่อนไหวออกโรงเองก็ไม่มีทางช่วยชีวิตเขาได้แน่นอน
หลัวเจียสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้!
มันอาจเป็นแบบนั้นจริงๆ แม้หวังอวีกั่นจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากคมดาบของเขา แต่มันก็ยังหาใช่สิ่งที่เย่หยวนจะลงไม้ลงมือทำอะไรได้
นอกจากนี้ตัวเขาที่ค้างเติ่งอยู่บนทวนยาวของอีกฝ่าย มันไม่มีทางที่เขาจะรอดชีวิตออกมาเองได้เลย จะกล่าวว่าอีกฝ่ายเห็นใจเมตตาจึงไว้ชีวิต? นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้!
แต่…แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นสามารถบดขยี้เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดได้?
ยิ่งคิดเท่าไหร่ หลัวเจียก็ยิ่งรู้สึกเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น
“นี่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่?”
เย่หยวนมองผ่านอ่านสีหน้าของหลัวเจียออกอย่างแม่นยำ ยามนี้จึงเอ่ยถามเรียกสติ
หลัวเจียได้สติขึ้นทันใด แต่ก๋ยังกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า
“แต่ลูกมังกรของเราถูกหวังอวีกั่นฆ่าทิ้งหมดแล้ว เช่นนี้จะเดินทางยังไงต่อ?”
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“ง่ายมาก ท่านรอข้าอยู่ตรงนี้ชั่วครู่หนึ่ง เดี๋ยวข้ากลับมา!”
เพียงร่างสั่นกระตุกเล็กน้อย เย่หยวนเคลื่อนตัวหายไปอย่างรวดเร็วจนลับสายตาหลัวเจียไป
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา หลัวเจียที่เผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย ยามนี้สะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าควบตรงเข้ามาจากระยะไกล
พินิจจากกลิ่นอายนั้นต้องเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ผิดเพี้ยน!
หลัวเจียสัมผัสได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเหล่าอสูรมากมายเร้นซ่อนแฝงกาย ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะมีอสูรศักดิ์สิทธิ์ปรากฏกายขึ้นเฉกเช่นยามนี้
เว้นเสียแต่ สภาพ ณ ปัจจุบันของเขากลับเลวร้ายเกินกว่าจะไปต่อกรกับอสูรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้
หลัวเจียเร่งคิดหาหนทางหนีโดยไว แต่ขณะที่กำลังพยายามพยุงร่างขึ้นวิ่ง เขาก็พบว่าบนร่างอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งมีใครบางคนกำลังขี่อยู่จริงๆ!
เย่หยวน!
ชายผู้นี้สามารถฝึกอสูรศักดิ์สิทธิ์ให้เชื่องได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม!
หลัวเจียเบิกตาโพล่งกว้างแทบถลนออกมา เขาคาดไม่ถึงเลยว่า มันจะเป็นเรื่องง่ายอย่างที่เย่หยวนกล่าวไว้จริงๆ!
อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ตรงเข้ามาใกล้มีทั้งหมดสองตัว ซึ่งพวกมันคือเสือดาวเมฆลมกรด อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเร็วอันโดดเด่นยืนหนึ่ง
ซึ่งหนึ่งในนั้น ยังเป็นเสือดาวเมฆลมกรดตัวเดียวกับที่ปิดล้อมเย่หยวนเอาไว้ในตอนนั้น
ทันทีทันใด หลัวเจียพลันนึกไปถึงเรื่องราวที่ตระกูลเหลียงและตระกูลหวังเคยกล่าวกับเย่หยวน วิชาควบคุมอสูร!
แต่ภายหลัง เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าวิชานั้นไม่มีจริง หลังจากที่เย่หยวนปลดปล่อยแรงกดดันของเผ่ามังกรออกมา
แต่ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนว่า สายเลือดมังกรที่ไหลเวียนอยู่ในกายเย่หยวนหาใช่สายเลือดมังกรทั่วไป!
ยามนี้หลัวเจียตระหนักได้ว่า เบื้องหลังของชายหนุ่มนามว่าเย่หยวนเก็บซ่อนความลึกลับไว้ลึกเกินไป!
“หุหุ เอาเข้าจริง พวกเจ้าตัวนี้ยังสะดวกเสียยิ่งกว่าลูกมังกรที่นำออกมาในทีแรกอีก!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพลางหัวเราะแช่มเล็กน้อย
ตอนที่1322 สกัดทุกทางหนี
“เจ้าสามคนนั้นมานี่!”
นักสู้ผู้หนึ่งสวมชุดอาภรณ์คล้ายทหารยามตะโกนเรียกกลุ่นักสู้ทั้งสามที่กำลังจะเดินทางเข้าสู่สุสานสายลมหยิน
สีหน้าการแสดงออกของทั้งสามพลันผันเปลี่ยน หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจว่า
“มีอะไร?”
ทหารยามตะโกนตอบเสียงเย็นว่า
“พวกเจ้าทั้งสาม ประทับฝ่ามือลงตรงนี้!”
“เหอะ! พวกเจ้าเป็นใคร? ไฉนมีสิทธิ์มาสั่งการคนอื่น?”
“หากไม่ประทับเอง เราจะช่วยประทับให้!”
“ช่างน่าขัน! พวกเราสามคนเข้าออกสุสานสายลมหยินไม่ต่ำกว่าร้อยรอบแล้ว! ไม่ยักจะรู้ว่ามีด่านตรวจสอบแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด แล้วพวกเจ้าเป็นใคร ไฉนถึงหยิ่งยโสถึงเพียงนี้!?”
“พวกเราเป็นใครกลับสำคัญไม่ เพียงแต่ข้าสั่งส่วนพวกเจ้าปฏิบัติตาม!”
“แล้วหาก…เราไม่ทำตามล่ะ?”
………………..
ไม่นานทั้งสามก็ประทับฝ่ามือลงในป้ายตราบางอย่างแต่โดยดี
ในไม่ช้า ป้ายตรานั้นก็เปล่งแสงเป็นสัญญาณไฟสีเขียวออกมา
ทหารยามที่เห็นแบบนั้นก็เหลียวมองทั้งสามและกล่าวว่า
“แค่ประทับมือลงไปตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว ไฉนถึงต้องให้ลงไม้ลงมือ?”
กลุ่มนักสู้ทั้งสามหาได้เอ่ยกล่าวหักล้างอันใด ก่อนจากไปพร้อมสีหน้าเจือหงุดหงิด
ในขณะนี้ ปรากฏผู้คนต่อแถวออกไปยาวอยู่ด้านนอกสุสานสายลมหยิน
ทุกคนต่างต้องการเข้าไปในสุสานสายลมหยิน แต่จำต้องผ่านการตรวจสอบจากป้ายตรานั้นเสียก่อน
กลุ่มทหารยามเหล่านี้หาใช่ฝักฝ่ายใดอื่น นอกเสียจากคนของตระกูลหวังที่เปลี่ยนชุดเครื่องแต่งกายเพื่อปิดบังตัวตน
เนื่องด้วยการกระทำที่ดูเสียมารยาทขนาดนี้ หากทราบว่าเป็นคนของตระกูลหวังอาจเสียงชื่อยิ่งไปกว่าเดิม ดังนั้นจึงจำต้องปิดขังตัวตนเอาไว้
“พี่สอง วิธีนี้จะได้ผลจริงๆใช่หรือไม่? หากเด็กนั้นย้อนกลับไปเสียก่อนล่ะ?”
หวังอวีกั่นกล่าวถามหวังอวีเต๋าด้วยความกังวลใจ
หวังอวีเต๋ากล่าวตอบว่า
“ผ่อนคลายเถิด อวีมินดักเส้นทางกลับของเจ้าเด็กนั้นเป็นที่เรียบร้อย เว้นเสียว่า เขาไม่ต้องการหญ้าลายรัตติกาลแล้ว ยามนั้นให้อวีมินถ่วงเวลาและพวกเราเร่งรุดตามไปสมทบก็ยังทัน แต่ตามที่ข้าสันนิฐาน ทันทีที่เด็กนั้นออกจากการเก็บตัวก็ต้องการที่จะมาสุสานสายลมหยินเป็นอับดับแรก แสดงว่าเขากำลังต้องการหญ้าลายรัตติกาลอย่างมากแน่นอน”
หวังอวีกั่นกล่าวขึ้นว่า
“ข้ากังวลเกินไปเอง แต่ไม่รู้เลยว่าหากหยางรุยทราบเรื่องนี้ มันจจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”
หวังอวีเต๋าเค้นเสียงหัวร่อคำโตและกล่าวตอบอย่างเย็นชาว่า
“เหอะ ต่อให้ไอ้เด็กนั้นตายแล้วมันจะทำอะไรได้? พวกเราจัดขุมกำลังดักซุ้มส่งข่าวมาตลอดทาง ไอ้เด็กนั้นใช้เสือดาวเมฆลมกรดเป็นภาหนะ ถึงไม่รู้ว่ามันไปเอามาจากไหร แต่ที่ยืนยันได้ก็คือ มันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ แต่…นั้นคือข่าวกรองที่เราได้มาทั้งหมด เด็กนั้นสังหารขุมกำลังที่เราดักซุ้มไว้จนไม่เหลือแล้ว!”
หวังอวีกั่นใจสั่นสะทก เขากล่าวขึ้นทันทีว่า
“ข้าไม่คิดเลยว่า ไม่เพียงมันจะเป็นนักหลอมโอสถมือฉกาจ แต่ในเส้นทางแห่งการต่อสู้กลับเหนือชั้นไม่เป็นสองรองใคร! หากมิใช่เพราะระดับพลังของมันที่ขาดตกเกินไป ป่านนี้พี่สองอาจไม่มีโอกาสเห็นหน้าน้องสี่คนนี้อีกตลอดไป!”
เมื่อนึกถึงภาพฉากในตอนนั้น หวังอวีกั่นยังสลักจจำฝังลึกอยู่ในใจ
หลัวเจียและเย่หยวน กลับแข็งแกร่งเกินจินตนาการของเขาไปมาก
เพราะยามนั้น เขาตระหนักได้ทันทีว่า เพียงตนคนเดียวเอาทั้งคู่ไม่อยู่แน่นอน จึงเป็นเหตุที่ต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูล
หวังอวีเต๋าปรี่รุดมาเสริมอย่างรวดเร็ว พร้อมนำเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำแขนงตรวจสอบติดตัวมาด้วย
ซึ่งป้ายตราตรวจจับอันนี้สามารถระบุจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนักสู้ได้โดยละเอียด ตราบใดที่ถือครองป้ายตราตรวจจับนี้อยู่ ไม่มีใครสามารถหลบพ้นจากสายตาได้
แน่นอนว่าพวกเขาควรนำเครื่องรางชนิดนี้ติดตัวมาด้วย เพราะเย่หยวนอาจแปลงโฉมลอบเร้นแฝงกายจนหลุดมือพวกเขาไป
………………………….
ภายในกองขยะ ปรากฏหัวทั้งสองโผล่พรวดออกมาเชิงสังเกตการณ์ไปพลาง
สีหน้าการแสดงออกของหลัวเจียเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน ขณะเขากล่าวขึ้นว่า
“ตระกูลหวังคิดวางตาข่าย หวังให้เขาหนีเสียบปลายหอก! คิดไม่ถึงเลยว่า พวกนั้นจะนำป้ายตราตรวจจับมาด้วย!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“อุตส่าห์หอบกันมาทั้งตระกูลหวัง ก็ดี! ข้าจะได้ล้างโคตรมันให้สิ้นซากโดยไว!”
หลัวเจียหันมองหน้าเย่หยวนอย่างอดมิได้ ก่อนจะกล่าววาจาดั่งไร้ประโยชน์ว่า
“เจ้าก็ยังปากเก่งได้! ระหว่างทางมานี้มีคนของมันซ่อนอยู่มากมาย ถึงจัดการไปแล้ว แต่อย่างไรก็ดี พวกมันเองก็ควรจะรู้แล้วว่า เรามาถึงที่นี่แล้ว!”
ถึงอย่างนั้น เมื่อหลัวเจียหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าว เขาเองก็รู้สึกประทับใจในตัวเย่หยวนมิใช่น้อย
ตลอดทางที่ผ่านมา ทุกคนที่ดักซุ้มอยู่ล้วนถูกพบโดยเย่หยวนทั้งสิ้น ไม่ว่าใครจะแอบซ่อนแนบเนียนเพียงใด แต่กลับไม่มีสักคนที่สามารถหนีพ้นจากสายตาอันเฉียบคมของเย่หยวนได้
ชายหนุ่มคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดชัดๆ!
มิเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องถึงมือระดับผู้อาวุโส แค่หน่วยดักซุ้มโจมตีตามทางก็สามารถฆ่าเย่หยวนทิ้งได้โดยง่านแล้ว
แต่เป็นเพราะพวกดักซุ้มโจมตีมีจำนวนมิใช่น้อย บางคนจึงส่งข่าวเย่หยวนออกไปได้ทันท่วงที พวกหวังอวีเต๋าจึงตระหนักทราบว่า พวกเขาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสุสานสายลมหยินแล้ว
“หุหถ ไฉนข้าถึงปากเก่งมิได้ ก็ข้าหาได้หวาดกลัวพวกมันไม่! ในเมื่อพวกมันมาเพื่อสังหารข้า ดังนั้นพวกมันเองก็ควรเตรียมใจที่จะถูกข้าสังหารเช่นกัน!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพลางหัวร่ออย่างสุขใจ
“จะ-เจ้า…เจ้าคิดสังหารหมู่? นี่ล้อเล่นหรืออย่างไร?! ครั้งล่าสุดเป็นเพราะหวังอวีกั่นคิดประมาท จึงทำให้เจ้าหนีออกมาได้สำเร็จ แต่ยามนี้มันเรียกหวังอวีเต๋ามาเป็นกำลังเสริม ยิ่งไปกว่านั้นหวังอวีเต๋าคนนี้ยังแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าหวังอวีกั่นมากนัก! เย่หยวน เราควรกลับไปยังหอมหาสมบัติและขอความช่วยเหลือจากท่านประมุขหอก่อนดีกว่า!”
ระหว่างทางมานี้ กระทั่งหลัวเจียเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่า ตนเริ่มเอ่ยปากสนทนากับเย่หยวนมากขึ้นเรื่อยๆ
หลัวเจียคนนี้ยังคงใจแข็งเยือกเย็นก็จริง แต่เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้เย่หยวนตกอยู่ในอันตรายเช่นกันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ได้ฟังข้อเสนอของหลัวเจียดังนั้น เย่หยวนกลับส่ายหัวและกล่าวตอบว่า
“สายไปแล้ว! หากเรากลับลำตรงนี้กลับยิ่งเข้าทางตระกูลหวังเข้าไปใหญ่! หากการสันนิษฐานของข้าถูกต้อง เส้นทางกลับของเราน่าจะถูกตัดขาดไปนานแล้ว น่าจะมีคนดักอยู่เช่นกัน”
ในคาวมเป็นจริง เรื่องมีคนซุ่มแฝงดักทางกลับไว้กลับหาใช่สาระสำคัญสำหรับเย่หยวน แต่เรื่องนี้กลับไม่สามาระรีรอได้อีกแล้ว
ยามนี้หวูเฉินอ่อนแอลงทุกที เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนที่เขาจะคงความเสถียรของพลังได้
บุ๋นบู๋แบ่งรับแบ่งสู้ เย่หยวนย่อมไม่มีปัญหา แต่มู่หลิงเสวียกลับมิอาจชักช้าได้อีกแล้ว
สีหน้าการแสดงออกของหลัวเจียเคร่งขรึมหนักอึ้ง เขากล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า
“เช่นนั้น…เราควรทำอย่างไรต่อ?”
เย่หยวนกล่าวว่า
“อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี หาที่ซ่อนตัวรอข้าไปก่อน จากนี้ข้าลุยเดี่ยวเอง!”
“ไม่ได้! อย่าลืมไปเสีย เจ้าเพียงลำพังกลับไม่สามารถกวาดล้างตระกูลหวังได้ ต่อให้ฝ่าพวกมันไปได้ แต่วิญญาณชั่วภายในสุสานนั้นก็หาใช่สิ่งที่เจ้าจะต่อกรได้เช่นกัน! ข้าทราบดีว่า ตัวเจ้าแข็งแกร่งกว่าที่เห็นมาก แต่วิญญาณชั่วภายในสุสานสายหลิมยิ่งมันน่ากลัวกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้มาก!”
หลัวเจียกล่าวปฏิเสธเสียงแข็งในทันที
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ผ่อนคลายเถอะ เป็นไปได้หรือทีคนอย่างข้าจะคิดสั่นส่งตัวเองไปตาย? แต่ยามนี้ท่านเชื่อหรือยังว่า ภายในหอมหาสมบัติมีคนทรยศ?”
ใบหน้าหลัวเจียบิดเบี้ยวอย่างน่าเกียจเกินพรรณนา เขาไม่คิดเลยว่า คำคาดคะเนของเย่หยวนในทีแรกจะมีเค้าความจริงบ้างแล้ว
หากต้องการใช้ป้ายตราตรวจจับ จำต้องจองต่อขอสิทธิ์ในการใช้และคนๆนั้นสามารถยืมได้แค่วันต่อวันเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่า หากไม่มีคนอยู่ภายในหอมหาสมบัติ พวกตระกูลหวังจะไม่มีทางนำป้ายตราตรวจจับอันนี้ออกมาใช้ได้ตามใจนึกขนาดนี้แน่นอน
ซึ่งนี่ก็หาใช่เครื่องรางทั่วๆไปไม่ เย่หยวนกับหลัวเจียตระหนักได้ทันทีที่ได้เห็น คนทรยศที่เป็นไส้ศึกมีตำแหน่งค่อนข้างสูงภายในหอมหาสมบัติ!
หลัวเจียกัดฟันแน่นและกล่าวว่า
“หากข้ารู้ว่าเป็นใคร ข้าจะฉีกแขนฉีกขามันให้เป็นชิ้นๆ!”
หลัวเจียผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา ใครกระทำอย่างไรกับเขา เขาย่อมกระทำเช่นนั้นตอบ
แต่เดิม การเดินทางในคราวนี้ควรจะราบเรียบสงบ แต่ใครจะมาคาดคิด กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเพิ่มพูนเข้ามาตั้งมากมาย
หากใช่เพราะเย่หยวนช่วยไว้ ป่านนี้เขาคงตายไปนานแล้ว
เย่หยวนตบไหล่ของหลัวจับเบาๆสองสามที พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ผ่อนคลาย หลังจากที่เรากลับถึงหอมหาสมบัติ ท่านย่อมได้โอกาสนั้นแน่นอน!”
หลัวเจียเงยศีรษะขึ้นมองเย่หยวน แต่ทันใดนั้นท่านตาดำของเขาพลันหดแคบตีบตันเท่ารูเข็มด้วยความตกตะลึง
หลัวเจียพบว่า จู่ๆโฉมหน้าของเย่หยวนพลันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ราวกับว่าเปลี่ยนกลายเป็นอีกคน
ในเวลาเดียวกัน ทั้งท่าทางการแสดงออกของเย่หยวนก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน ก่อนเตรียมก้าวแช่มไปต่อแถว เช่นเดียวกับนักสู้คนอื่นๆที่ต้องการเข้าสู่สุสานสายลมหยิน
ตอนที่1323 ป้ายตราตรวจจับพัง
หลัวเจียคลี่ยิ้มขื่นกล่าวว่า
“ไร้ประโยชน์! เว้นเสียแต่เจ้าสามารถปลอมแปลงจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ ต่อให้เจ้าจะมีวิชาแปลงโฉมใบหน้าเลิศล้ำอย่างไร แต่กลับไม่มีทางซ่อนจากป้ายตราตรวจจับได้เลย!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางพลางกล่าวว่า
“ท่านรอดูเป็นพอ!”
ทันทีที่กล่าวจบ เย่หยวนก็ตรงออกไปรวมกลุ่มที่หน้าด่านตรวจสอบของตระกูลหวังทันที
“หยุด!”
เมื่อทหารยามคนหนึ่งเห็นเย่หยวนโผล่ออกมา เขาก็สั่งหยุดอีกฝ่ายทันที
เย่หยวนปั้นหน้าตื่นตระหนกพลางกล่าวเสียงตะกุกตะกักด้วยความกลัว
“ทะ-ท่าน…ท่านต้องการอันใด? ข้า…ข้าไม่มีผลึกปราณเทวะเหลือแล้ว!”
ทหารยามคนนั้นพินิจเพ่งตรวจสอบเย่หยวนโดยละเอียด ก่อนกล่าวว่า
“ใครต้องการผลึกปราณเทวะจากเจ้า? จงนำมือมาประทับตรงนี้!”
“เอ๊ะ? อะ-โอ้…ง่ายมาก! ง่ายมาก!”
เย่หยวนหาได้เผยทีท่าลังเลแม้แต่น้อย ก่อนเร่งประทับฝ่ามือลงบนป้ายตราตรงหน้าทันที
หลัวเจียจับจ้องภาพฉากนี้แทบไม่กระพริบตาอยู่เบื้องหลังซากกองขยะ หัวใจของเขากระหน่ำเต้นแรงเจียนกระโจนออกมาจากลำคอ
สำหรับหลัวเจีย เขาไม่เคยพบเจอสถานการณ์ใดที่บีบคั่นหัวใจขนาดนี้มาก่อน
แต่ทันทีทันใด คู่ดวงตาพลันโพล่งกว้างแทบถลนออกมา แววตื่นตะลึงที่สาดสะท้อนเผยชัดเต็มสองตาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ!
ป้ายตราตรวจจับ…เปล่งสัญญาณไฟเป็นสีเขียว!
“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
หลัวเจียพึมพำกับตัวเองด้วยความตกใจต่อภาพฉากตรงหน้า
เขาไม่เคยเห็นมาก่อนสักครั้งที่ป้ายตราตรวจจับจะทำงานผิดพลาดเฉกเช่นตอนนี้!
เดี๋ยวก่อน! นี่มิได้ทำงานผิดพลาด แต่ระบบมันรัว!
ที่ป้ายตราตรวจจับขึ้นสัญญาณไฟสีเขียวหมายถึงว่า จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ตรงกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ในขณะที่สัญญาณไฟสีฟ้าคือตัวบ่งชี้ถึงบุคคลที่กำหนดเกณฑ์เอาไว้
หากตอนนี้ป้ายตราตรวจจับขึ้นสีเขียว นั้นแสดงว่าระบบเกณฑ์ตรวจจับภายในป้ายตราอันนี้เกิดอาการรัว!
ไม่น่าแปลกใจว่าไฉนเย่หยวนถึงมั่นใจปานนั้น ปรากฏว่าเขาซ่อนไพ่เด็ดสำหรับรับมือตราป้ายตรวจจับไว้อยู่แล้ว
ยามที่เย่หยวนประทับฝ่ามือลงไปบนป้ายตราตรวจจับ หวังอวีเต๋าและหวังอวีกั่นพลันเหลียวหันเข้าจับจ้องโดยมิตั้งใจ
อย่างไรก็ตามแต่ พวกเขาหาได้สังขาสงสัยอันใดไม่ เพราะลักษณ์ท่าทางของเย่หยวนไม่ต่างอะไรจากนักสู้ระดับล่างทั่วๆไปนัก
นักสู้โดยส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามาในสุสารสายลมหยิน ล้วนแต่เป็นชนชั้นระดับต่ำสุด มิฉะนั้นใครหน้าไหนจะเต็มใจเสี่ยงตายภายในนี้เพื่อผลกำไรที่ไม่แน่นอน?
แถมการที่เย่หยวนให้ความสนใจกับผลึกปราณเทวะประหนึ่งชีวิตตัวเองดั่งปฏิกิริยาแรกตอบโต้ นี่ยิ่งช่วยขจัดความสงสัยในใจของพวกเขาได้โดยตรง
เห็นว่าป้ายตราตรวจจับส่งสัญญาณไฟเป็นสีเขียว พวกเขาก็ขี้เกียจมาสนใจเย่หยวนอีกต่อไป
“เหอะ ไอ้พวกโง่ไม่รู้จักใช้ของดี ยังกล้าดีต่อหน้าเราชายชราผู้นี้! ประเมินความสามารถตนเองสูงเกินไป!”
ภายใต้ห่วงจิตสำนึกของเย่หยวน สุ้มเสียงเย็นยะเยือกพลันเอ่ยดัง หวูเฉินกรนด่าเหยียดหยามพวกตระกูลหวังด้วยความรังเกียจ
หากกล่าวตามสัตย์ ป้ายตราตรวจจับนี้ก็หาใช่ของดีไม่ แถมยังใช้ไม่เป็นทำตัวอวดฉลาด คิดจะตรวจสอบจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนต่อหน้าหวูเฉินผู้นี้? นี่ดูถูกฝีมือเขาเกินไป!
ผู้คนอาชีพเดียวกับกลับเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุด คำกล่าวนี้กลับหาใช่ความเท็จเลย
หวูเฉินผู้นี้เป็นใคร?
เขาเป็นถึงไข่มุกสยบวิญญาณ สมบัติสวรรค์สายจิตวิญญาณที่ทรงพลังที่สุด! รุ่นบรรพบุรุษลายครามอย่างเขา เล่นกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาไม่รู้เท่าไหร่!
กับแค่เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำชิ้นเดียว ต่อหน้าสมบัติเวทย์สวรรค์กลับเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่ง!
“ฮ่าฮ่า เจ้าพวกนี้ดูท่าจะไม่รู้ ภายในตัวข้ายังมีโคตรบรรพบุรุษของพวกมันดำรงอยู่!”
เย่หยวนแอบกล่าวเยินยอหวูเฉินเล็กน้อย
หวูเฉินเคเนเสียงหึพลางกล่าวว่า
“ขยะเช่นนี้อย่าเอาข้าไปนับญาติด้วยเลย แค่ของเล่นชิ้นเดียว ข้าสั่งให้เป็นเขียวย่อมเป็นเขียว สั่งให้เป็นฟ้าย่อมเป็นฟ้า หรือแม้แต่สั่งให้เป็นเหลือง ก็ยังต้องเป็นเหลือง!”
ทันทีทันใด คู่ดวงเนตรของเย่หยวนพลันท่แประกายสว่างขึ้นทันควันก่อนกล่าวว่า
“ท่านอาวุโส สามารถเปลี่ยนมันเป็นสีฟ้าได้ใช่หรือไม่?”
หวูเฉินกล่าวตอบทันที
“แน่นอน หาใช่เรื่องยากอันใด? หากเดาไม่ผิด…เจ้าคิดจะหลอกล่อพวกมัน?”
เย่หยวนแสยะยิ้มเย็นเอ่ยปากว่า
“ถูกต้องแล้ว! หากไม่ทำให้ตระกูลหวังประสบปัญหาเสียบ้าง เกรงพวกมันคิดว่านายน้อยผู้นี้คงง่ายต่อการรังแก!”
ความคิดนี้ของเย่หยวนทำเอาหวูเฉินสะดุ้งเฮือกเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า
“นั้นง่ายมาก! เดี๋ยวข้าจะดัดแปลงมันใหม่เอง!”
ณ โลกแห่งความจริง เย่หยวนโบกมือปัดเบาๆและกล่าวถามทหารยามด้านข้างด้วยความตื่นกลัวไม่จางหาย
“นี่…ข้า…ข้าไปได้แล้วใช่หรือไม่?”
ทหารยามคนนั้นโบกมือไล่ด้วยความรำคาญและกล่าวว่า
“จะไปไหนก็ไป!”
เย่หยวนแสยะยิ้มแสนเจ้าเล่ห์และวิ่งออกไปทันที
เมื่อเห็นเย่หยวนผ่านด่านตรวจไปได้โดยสวัสดิภาพ หลัวเจียพลางถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความโล่งใจ
แต่เย่หยวนที่ผจญกับสุสานสายลมหยินคนเดียว กลับค่อนข้างทำให้เขากังวลมิใช่น้อย
เขาหาได้เสาะหาที่ซ่อนตัวอย่างที่เย่หยวนแนะนำไป แต่เฝ้ามองอยู่บริเวณซากปรักหักพังแถวปากทางเข้าสุสานสายลมหยิน
ไม่นานหลังจากที่เย่หยวนเข้าไปในสุสานสายลมหยิน ก็มีนักสู้อีกกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามา หวังเพื่อเข้าไปในสุสานสายลมหยินเช่นกัน
แต่เมื่อนักสู้คนแรกประทับฝ่ามือลงไป จู่ๆก็พลันเกิดเรื่องประหลาดขึ้น
“สีฟ้า! นั้นเขา!”
ทหารยามคนนั้นตะโกนโห่ร้องดังลั่นและเตรียมลงมือเสร็จสับทันใด
นักสู้คนนั้นไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น พลันยืนนิ่งอย่างว่างเปล่าเจือมึนงง
“พี่ชาย พวกท่านเข้าใจผิดแล้วกระมัง? พวกเราเจ็ดพี่น้องเป็นที่รู้จักในนาม‘เจ็ดวีรบุรุษสายลมหยิน’ ซึ่งเข้าออกสุสานสายลมหยินเป็นอาจินตลอดทั้งปี แล้วข้าจะใช่คนที่พวกท่านตามหาได้อย่างไร?”
นักสู้คนนั้นมิได้เผยเจตนาร้ายลงมือต่อต้านใดๆ แต่ใช้วาจาเข้าไกล่เกลี่ยด้วยความใจเย็น
“ใช่แล้ว พวกเราเจ็ดพี่น้องนับว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองกุยฉาง แล้วพวกเราจะใช่คนที่พวกท่านตามหาได้อย่างไร? เกรงว่าเกิดความเข้าใจผิดแล้วกระมัง?”
หนึ่งในเจ็ดพี่น้องกล่าวเสริม
“เหอะ ก็เห็นๆอยู่ว่าป้ายตราตรวจจับขึ้นสีฟ้า! หรือจะกล่าวว่าป้ายตราอันนี้ทำงานผิดพลาด? อย่าคิดขัดขืนจะดีกว่า!”
ทหารยามคนนั้นกล่าวตอบ
ขณะนี้เหล่าทหารยามของตระกูลหวังเร่งเข้าปิดล้อมเจ็ดวีรบุรุษสายลมหยินในทันที ตราบใดที่หนึ่งในพวกเขากล้าขยับเขยื้อนแม้สักนิด พวกเขาจะลงมือโจมตีทันที
เมื่อทราบว่าป้ายตราตรวจจับเปลี่ยนกลายเป็นสีฟ้า หวังอวีเต๋าและหวังอวีกั่นพลันตื่นตัวขึ้นทันที
แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายของอีกฝ่าย ทั้งคู่อดสงสัยมิได้
นามขาน เจ็ดวีรบุรุษสายลมหยิน หวังอวีเต๋าเคยได้ยินผ่านหูอยู่บ้างจริงๆ
ความแข็งแกร่งของทั้งเจ็ดไม่นับว่าอ่อนแอ พวกเขาเกลือกกลั้วอยู่กับสุสานสายลมหยินมาตลอดทั้งปี ทั้งยังเคยขายสมบัติธรรมชาติให้แก่ตระกูลหวังมาก่อน
ผู้นำเจ็ดวีรบุรุษสายลมหยินนามว่า ฉางเหลียน กล่าวขึ้นอย่างระมัดระวังว่า
“ท่านอย่าเพิ่งโจมตีพวกเราเสีย บางที…อากเกิดข้อผิดพลาดกับป้ายตราตรวจจับก็เป็นได้?”
ขณะที่ทหารยามกำลังจะเอ่ยปากตอบโต้ หวังอวีเต๋าก็เดินตรงเข้ามา
เขาพินิจมองฉางเหลียนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากกล่าวว่า
“เจ้าคือ ผู้นำเจ็ดวีรบุรุษสายลมหยิน,ฉางเหลียน?”
ทันทีที่ฉางเหลียนได้ยินแบบนั้นก็ดีใจปรี่ล้น ก่อนเร่งกล่าวตอบทันทีว่า
“ถูกต้องแล้ว! ท่านเองก็คงทราบ พวกเราเจ็ดพี่น้องไม่เคยก่อปัญหากับฝักฝ่ายใดมาก่อน พวกเราหวังว่า…”
หวังอวีเต๋าขมวดคิ้วหนาเป็นปมแน่นและกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าลองประทับมืออีกครั้ง!”
ฉางเหลียนตระหนักดี ชายชราตรงหน้าช่างน่าเกรงขามยิ่ง เขาไม่กล้าขัดขืนใดๆและประทับฝ่ามือลงไปแต่โดยดี
สีเขียว!
สีหน้าการแสดงออดของฉางเหลียนดูผ่อนคลายลงก่อนผสานมือกล่าวว่า
“ควรจะเป็นเพราะเครื่องรางตรวจจับอันนี้เกิดความผิดพลาดกระมัง?”
หวังอวีเต๋าหาได้สนใจเขาแต่อย่างใด และเอ่ยปากกล่วากับที่เหลือว่า
“พวกเจ้าเองก็เร่งประทับลงมา!”
พวกเขาที่เหลือทั้งหกต่างสบสายตากันไปมาด้วยความงุนงง นี่กลับหาใช่เรื่องที่พวกเขาจะเข้าใจได้ แต่ฉางเหลียนเร่งกล่าวดึงสติกลับทันควัน
“ยังยืนงงอันใด? ไม่ได้ยินที่ท่านผู้นี้กล่าว?”
ทั้งหกสะดุ้งโหย่ง ก่อนเร่งประทับฝ่ามือลงตามลำดับ
เหลือง!
ม่วง!
ฟ้า!
คราม!
แดง!
ผลลัพธ์ที่ได้ของแต่ละคนยิ่งทำให้สีหน้าของหวังอวีเต๋าดำมืดทมิฬหนัก
ฉางเหลียนปาดเหงื่อเย็นที่ชโลมชุ่ม วิตกว่าผลลัพธ์เช่นนี้จะยิ่งทำให้ชายชราผู้นี้บรรดาโทสะ
เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์อันปวดเศียรแบบนี้ทำเอาอีกฝ่ายแทบถึงขีดจำกัดแล้ว เขาทำได้แต่ยืนนิ่งๆไม่เข้าไปพัวพันกับธุระของคนอื่นเป็นดีที่สุด
คนสุดท้ายที่ประทับฝ่ามือลงไป ยิ่งทำให้สีหน้าการแสดงออกของหวังอวีเต๋ามืดทมิฬดั่งก้นหม้อไหม้เกรียม!
แสงหลากสีระยิบวิบวับประดุจสายรุ้ง!
ฟู่วว!
ทันใดนั้นควันสีฟ้าฟุ้งกระจายออกจากป้ายตราตรวจจับทั่วสารทิศ
แกร๊งงง!
ทำลายแหลก!
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากกล่าวเลยในเวลานี้
สมาชิกคนสถดท้ายของเจ็ดวีรบุรุษสายลมหยิน ตกใจกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด จนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตอนที่1324 แผนยั่วยุของเย่หยวน
“นี่…นี่เกิดบ้าอันใดขึ้น?”
หวังอวีกั่นตกใจอย่างยิ่งยามเห็นเช่นนั้น พลางไม่แน่ใจว่าไฉนป้ายตราตรวจจับถึงเป็นแบบนี้
แต่สีหน้าการแสดงออกของหวังอวีเต๋าเปลี่ยนไปในบัดดล เร่งหันควับไปทางสุสานสายลมหยินและโพล่งกล่าวว่า
“บัดซบ! ไอ้คนตะกี้ต้องเป็นไอ้เด็กเหลือขอนั้นแน่! พวกเราโดนมันหลอก!”
หวังอวีเต๋ารู้สึกตัวได้โดยไว ในตอนนี้โกรธเกรี้ยวเป็นฝืนเป็นไฟ ทั้งทุบอกทั้งกระทืบเท้าอย่างแรง
ทว่ามันกลับสายไปแล้ว!
ณ ปัจจุบัน เย่หยวนไปไหนถึงไหนก็มิทราบ
ภายในสุสานสายลมหยินกว้างขวางขยับขยายทั่วทิศทาง หากต้องการไล่จับเย่หยวนภายในนั้นค่อนข้างทำได้ยาก
“พี่สอง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หวังอวีกั่นเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ
สีหน้าของหวังอวีเต๋ามืดดำสนิทพลางกล่าวว่า
“หากข้าเดาไม่ผิด ป้ายตราตรวจจับอันนี้คงถูกไอ้เด็กเหลือขอนั้นพังไปแน่นอน! ชายหนุ่มก่อนหน้าคือเย่หยวนที่แปลงโฉมเร้นแฝงเข้ามา!”
หวังอวีกั่นตกตะลึงเฮือกใหญ่ เขากล่าวว่า
“เป็นไปไม่ได้? ตอนนั้นป้ายตราตรวจจับก็ออกมาเป็นสีเขียวมิใช่รึ?”
หวังอวีเต๋าเหลียวมองต้นเสียงดั่งมองคนโง่ เขากล่าวตอบว่า
“ยังจะพึ่งป้ายตราตรวจจับ? สิ่งนี้กลับเป็นเรื่องตลกต่อหน้าไอ้เด็กเหลือขอนั้น! ถึงไม่รู้ว่ามันหยิบใช้วิธีการใดถึงทำให้พังได้ แต่มันก็ทำไปแล้ว!”
หวังอวีเต๋ายามนี้เปี่ยมไปด้วยโทสะเดือดปะทุ กล่าวได้ว่าแทบอยากกินเย่หยวนทั้งเป็น
ชายหนุ่มคนนี้ไม่เพียงหลุดรอดออกจากใต้ตาพวกเขาได้ ซ้ำยังทำลายเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำไปอีก
ถึงจะเป็นมหาพิภพถงเทียน แต่เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำก็ยังเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าอย่างมากเช่นกัน
บรรดาเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าโดยเฉลี่ยไม่มีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำอยู่ในครอบครอง
เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป อย่างน้อยที่สุดก็มีราคาไม่ต่ำกว่าหลักแสนผลึกปราณเทวะระดับต่ำแล้ว!
ยิ่งเป็นป้ายตราตรวจจับที่เป็นถึงเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำ ราคายิ่งสูงลิบลิ่วกว่าหนึ่งล้านผลึดปราณเทวะระดับต่ำ!
เมื่อได้ยินหวังอวีเต๋ากลับเช่นนั้น หวังอวีกั่นพลันรู้สึกได้ในที่สุด
ยิ่งครุ่นพินิจเท่าใด นี่กลับมีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว!
“พี่สอง ท่านกำลังจะบอกว่า เด็กนั้นจงใจพังป้ายตราตรวจจับเพื่อปั่นพวกเรา?”
“ก็มิจริงรึ? มันสามารถลอบเร้นเข้าไปได้อย่างเงียบๆ แต่มันเลือกที่จะพังป้ายตราตรวจจับ! นี่มันพยายามสื่อว่า จับให้ได้ถ้าพวกเจ้าแน่จริง! หรือนี่ยังมิใช่การยั่วยุ?”
หวังอวีเต๋ากล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดโกรธเกรี้ยว
โกรธก็ส่วนโกรธ แต่ลึกๆแล้วหวังอวีเต๋ายังคงประหลาดใจยิ่งเช่นกัน
ป้ายตราตรวจจับหาใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถพังได้!
ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้ามา แต่ก็เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะพังป้ายตราตรวจจับโดยไม่ส่งเสียงอะไรเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นแค่พังเฉยๆยังพอทำเนา แต่นี่สามารถควบคุมให้ป้ายตราตรวจจับแสดงสัญญาณไฟออกมาได้ทุกสี!
โชคยังดีสำหรับพวกเขา หากเจ็ดวีรบุรุษสายลมหยินไม่มาในวันนี้ พวกเขาอาจสร้างความผิดพลาดครั้งใหญ่!
“เอ่อ…พี่สอง พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”
หวังอวีกั่นกล่าวขึ้นแตกตื่นหนัก
ยามนี้ตัวเขาตระหนะกชัด เย่หยวนมีหลากหลายวิธีการเพื่อรับมือกับพวกเขาอย่างแท้จริง เสมือนเม่นที่มิอาจแตะต้องได้
ที่ตระกูลหวังประเมินไว้ในคราแรกคือ เย่หยวนเพียงมีพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งโอสถที่สูงมาก แต่ไม่คิดเลยว่า กระทั่งศาสตร์แห่งการสู้เองยังทรงพลังน่าสะพรึงขวัญยิ่งแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ก็ดูเหมือนว่าเย่หยวนคนนี้ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเผ่าอสูรอีกด้วย
ศัตรูของตระกูลหวังในตอนนี้ทำเอาพวกเขาปวดเศียรสุดขีด
หวังอวีเต๋าสาดสายตาใส่เจ็ดวีรบุรุษสายลมหยินอย่างดุร้าย ก่อนคำรามอัดใส่หน้าว่า
“ยังจะมองอะไร? ข้าห้ามให้พวกเจ้าเข้ารึ?”
ฉางเหลียนและที่เหลือทราบทันที นี้ราวกับว่าอีกฝ่ายปล่อยตัวพวกเขาเป็นกลายๆ ยามได้ยินแบบนั้นเร่งโค้งตัวคาราวะหนึงทีและหนีบึ่งหนีควันโขมง
ฉางเหลียนคนนี้เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง ความแกร่งกล้าของเขานับว่าหาใช่ชนชั้นกินเจไม่
ทว่าต่อหน้าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดอย่างหวังอวีเต๋าและหวังอวีกั่น พวกเขาจะไปมีทุนรอยทัดเทียมได้อย่างไร?
“พี่ใหญ่ นี่เกิดบ้าอะไรขึ้น?”
ระหว่างทางมีน้องชายคนหนึ่งเอ่ยปากถามขึ้น
ฉางเหลียนเห็นว่าพวกตนเดินออกมาไกลระยหนึ่งแล้ว จึงส่งเสียงกล่าวตอบไปเบาๆ ว่า
“ตระกูลหวังกำลังจับใครข้าเองก็ไม่ทราบ แต่คนที่พวกเขากำลังไล่จับ ไม่เพียงผ่านไปได้อย่างฉลุย แต่ยังสามารถพังป้ายตราตรวจจับได้อีกด้วย! เจ้าก็เห็นว่าพวกเขาโมโหแค่ไหน?”
ทุกคนเดาะลิ้นดังเป๊าะเสียงดังเมื่อไขข้อสงสัยกระจ่าง
“พี่ใหญ่ ท่านทราบได้อย่างไรว่า นั้นคือคนของตระกูลหวัง”
ฉางเหลียนกล่าวตอบว่า
“เหอะ ข้าเคยเจอหวังอวีเต๋ามาก่อน แต่เนื่องจากเราหาใช่คนสำคัญอันใด เขาจึงจำข้าไม่ได้และนั้นคือทั้งหมด”
“ตระกูลใหญ่อันทรงอิทธิพลอย่างตระกูลหวังยังจะใช้ป้ายตราตรวจจับ? พวกเขากำลังตามจับใครกันแน่?”
แววประกายเฉียบเย็นสาดสะท้อนออกจากนัยน์ตาฉางเหลียน เขาแสยะยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“เหอะ ยังเป็นใครได้อีก? หากข้าเดาไม่ผิดๆ คนนั้นควรจะเป็นอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ! สามารถทำให้ตระกูลหวังเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ได้ คงมีแต่เขาแล้วจริงๆ ทว่าภูมิหลังของอาคันตุกะนักหลอมโอสถผู้นี้เปี่ยมไปด้วยความลึกลับโดยแท้ ถึงจะพิการไม่สามารถระดมพลังปราณเทวะได้ แต่ฝีมือในการหลอมกลั่นโอสถกลับท้าทายสวรรค์ยิ่ง! ไม่เพียงแค่นั้น ณ ปัจจุบันยังสามารถพังป้ายตราตรวจจับได้อีก น่าเหลือเชื่อ!”
ปรากฏว่าฉางเหลียนแสร้งทำเป็นไม่รู้โดยตลอด เขาทราบตั้งแต่แรกแล้วว่า อีกฝ่ายเป็นคนของตระกูลหวัง และมาคุมเข้มที่นี่เพื่อจับตัวเย่หยวน
นักสู้พเนจรอย่างเขาเจนจัดเปลี่ยนสีได้ตลอดเวลา ทั้งไหวพริบและการปรับตัวนับว่าเหนือชั้นไม่เป็นสองรองใคร
หากก่อนหน้านี้ ฉางเหลียนเผยว่าตนรู้จักอีกฝ่าย นั้นกลับไม่ต่างอะไรกับการทิ้งชีวิตเล่นเลย
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ฉางเหลียนเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในตัวเย่หยวน ถึงจะไม่เคยพบหน้ากันก็ตาม
สามารถก่อปัญหาให้ตระกูลหวังหัวปั่นได้ขนาดนี้ อาจมีเพียงเขาคนเดียวภายในเมืองกุยฉางแล้ว?
หยางรุยกับตระกูลหวังไม่ค่อยกินเส้นกันมานานแล้ว และทั้งสองฝ่ายต่างไม่เคยมีใครยอมใคร
“แต่หากกล่าวตามสัตย์จริง โอสถปราณเทวะที่อาคันตุกะนักหลอมโอสถผู้นี้หลอมกลั่นกับมือ ช่างทรงประสิทธิภาพคุ้มราคายิ่งนัก! โอสถของเขาผู้นั้นดีกว่าโอสถของตระกูลหวังมาก!”
ฉางเหลียนพยักหน้าตอบ
“ครั้งที่แล้ว ข้าถึงขั้นยอมควักเนื้อไม่น้อยเพื่อซื้อโอสถของเขามาเก็บไว้ คุณภาพนับว่ายอดเยี่ยมไร้ที่ติ! มิเช่นนั้นตระกูลหวังคงไม่ประสบปัญหาใหญ่เช่นนี้แน่ หากข้าเป็นหวังหลินโป ข้าเองก็จำต้องกำจัดเขาผู้นั้นทิ้งเช่นกันเพื่อตัดปัญหาในนาคต!”
เมื่อเห็นว่าพวกฉางเหลียนและที่เหลือเดินเท้าออกกันไปไกลปแล้ว หวังอวีเต๋าก็กล่าวขึ้นว่า
“อวีกั่น เจ้ารีบไปแจ้งอวีมินโดยเร็ว เร่งตามสมทบมาที่สุสานสายลมหยิน! ให้เขาดักรออยู่ปากทางเข้า ส่วนพวกเรา…เข้าไปไล่ล่ามัน! มันหาญกล้ายั่วโมโหพวกเรา? เราชายชราผู้นี้จะมิยอมให้มันเหยียบย้ำตระกูลหวังไปมากกว่านี้แล้ว! หึ!”
…………………..
เมื่อตรงเข้าไปในสุสานสายลมหยิน เย่หยวนพลันรู้สึกได้ถึงสายลมเย็นสะท้านจากส่วนลึกภายในถ้ำ นี่ทำเอาเนื้อตัวเขาสั่นเทาโดยมิตั้งใจ
เขาเร่งโคจรพลังสายเลือดมังกรภายในกายทันที เพื่อสกัดกั้นสายลมเย็นยะเยือกเหล่านี้
เนื่องจากสายลมเย็นในสุสานแห่งนี้กอปกไปด้วยพลังธาตุหยินสุดขั้ว ดังนั้นเย่หยวนจึงต้องใช้สายเลือดมังกรมีพลังธาตุหยางเข้าพิฆาตปราบปราม
ในบริเวณนี้ยังพบเห็นเหล่านักสู้ที่ต่อแถวเข้าก่อนหน้าอยู่ปะปลาย
แต่ยิ่งเดินทางเข้าไปลึกเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงมขึ้น วิญญาณชั่วขุมหนึ่งพุ่งปราดเข้ามาหวังกลืนกินเย่หยวนอย่างรวดเร็ว
วิญญาณชั่วตัวนี้มุ่งเป้าไปยังจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนที่ยากจะป้องกัน
ยามมือใหม่ใสซื่อหลงเข้ามาในสุสานสายลมหยิน หากพวกเขาเหล่านี้ไร้ซึ่งผู้เจนจัดมากประสบการณ์นำทาง ล้วนเสร็จสุดราย
ทว่ายามที่เย่หยวนเห็นวิญญาณชั่วตนนั้นพุ่งเข้าใส่ กลับเป็นเขาที่รู้สึกกระปรี้กระเปร่ายิ่ง คู่ดวงตาลุกวาวประหนึ่งราชาหมาป่าเจอเหยื่อ
“ฮ่าฮ่า มาได้ตรงเวลา! เช่นนั้นนายน้อยผู้นี้…ขอรับประทาน!”
เย่หยวนระเบิดเสียงหัวเราะลั่นด้วยความยินดีปรีใจ
ฟุบบบ!
กรบเล็บมังกรของเย่หยวนเข้าตะปบวิญญาณชั่วตนนั้นแน่น ราวกับจับผักจับปลามากิน
วิญญาณชั่วตนนั้นกรีดร้องระทมหนัก มันไม่คิดเลยว่ากลับเป็นฝ่ายตนเองที่เป็นเหยื่อเสียแทน
“ท่านอาวุโส ถึงตาท่านแล้ว!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เหอะ ยังต้องให้เด็กอย่างเจ้ามาสอน?”
ภายในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวน ไข่มุกสยบวิญญาณตื่นขึ้นในทันใด ก่อเกิดกระแสน้ำวนสุดเชี่ยวกรากโดยมีเย่หยวนเป็นจุดศูนย์กลาง
วิญญาณชั่วตนนั้นถูกกระแสน้ำวนดูดกลืนเข้าไปโดยตรง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น