Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1309-1312
ตอนที่ 1309
ทัศนคติจากหลัวเจีย
“ท่านลุง จริงๆแล้วหรงเอ๋อ…หรงเอ๋อชอบท่านมานานแล้ว!”
เรือนร่างของเหลียงหวางหรงเดือดพล่านสุดเร้าร้อน ขณะกระโจนเข้าใส่นางปลดแพรพรรณอาภรณ์ออกจนหมด หวังเผด็จศึกทันทีที่ถึงตัวหวังหลินโป
ครั้งก่อนนางก็พลาดท่าเช่นนี้ให้กับเย่หยวน ในคราวนี้เองก็อีหรอบเดิมไม่มีผิดเพี้ยน นางได้ใจจนประมาทเกินไป โยนคำว่าระวังตัวปลดทิ้งไปจนหมด ดั่งว่าตนเองยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง เมฆาสวรรค์เก้าชั้นควบคุมได้ดั่งใจ
เพราะเหตุนั้น จึงเป็นอีกครั้งที่นางพ่ายให้แก่เย่หยวนโดยไม่รู้ตัว
หวังเพียนหลานที่เห็นภาพฉากนี้ นางถึงกับสะดุ้งโหย่งด้วยความตกใจ ไฉนจู่ๆลูกสาวของนางถึงกลายมาเป็นแบบนี้?
หวังหลินโปขมวดคิ้วแน่น พร้อมโบกหลังมือตบหน้าดังสนั่น
เพี๊ยะ!
เสียงตบดังชัดกึกก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่
เหลียงหวางหรงในสภาพเปลือยกายถูกตบกระเด็น หมุนเคว้งกลางอากาศ ก่อนตกลงบนพื้นและนอนแน่นิ่งไป
“หรงเอ๋อ! ท่านพี่ทำบ้าอะไรอยู่!”
หวังเปียนหลานกรีดร้องสุดเสียงเสมือนคนเสียสติ พร้อมปรี่ตรงไปช่วยลูกสาวของนาง
ทว่าหวังหลินโปหาได้สนใจน้องสาวของตนสักนิด สาดสายตาเฉียดเย็นเจือแววอำมหิตหลายส่วนใส่เย่หยวนโดยตรง
“วิชาลวงตา! ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ! แต่เช่นนี้…เจ้าสมควรตาย!”
สีหน้าการแสดงออกของหวังหลินโปเยือกเย็นถึงขีดสุด เป็นที่ชัดแจ้ง ยามนี้เจตนาหวังฆ่าเย่หยวนให้ตายคาที่
ทว่าเย่หยวนเพียงยิ้มตอบว่า
“ในเมื่อไม่จริงใจต่อกันตั้งแต่แรก เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคุยอะไรกันอีก แต่อย่าประมาทเย่คนนี้จนเกินไป! หลัวเจีย กลับกันเถอะ!”
เย่หยวนหมุนตัวควับจากไปโดยไม่เหลียวหลังมองอีกเลย
ส่อแววประหลาดใจสะท้อนออกจากนัยน์ตาของหลัวเจีย เฉพาะตอนนี้ท่าทีของเขาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลางลอบมองเย่หยวนเป็นนัย
หวังหลินโปย่นคิ้วแทบติดชน เขาตะโกนขู่เสียงเย็นขึ้นว่า
“หากเจ้ากล้าย่างเท้าออกจากตระกูลหวัง นางนั้นจะต้องตายแน่นอน!”
เย่หยวนกล่าวตอบโดยไม่เหลียวหลังกลับมองใดๆ
“มั่นใจเถอะ หวางหรูจะต้องไม่ตาย แต่ท่านกลับไม่แน่! และไม่เพียงนางจะไม่ตายเท่านั้น แต่นางจะยังอ้าปากพูดขึ้นได้อีกครั้ง! ข้าจะทำให้นางทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าในสักวัน ใครที่เคยรังแกนาง ถึงตอนนั้นไล่คิดบัญชีทั้งต้นทั้งดอก!”
เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็เดินจากไปทันที หาได้แยแสหวังหลินโปใดๆอีกต่อไป
พอหวังหลินโปได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะเยาพดังลั่น และตะโกนไล่หลังกลับไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า…แกมันไอ้เด็กโง่! พิษขนวิหคพันราตรีของตระกูลหวัง ต่อให้เป็นตาแก่เฟิงปิงก็ยังไม่มีปัญญาทำอะไรได้! อาศัยเศษเดนอย่างแก คงได้แต่คุยโม้โอ้อวดไปวันๆ? ฝันไปเถอะ!”
ต่อหน้าเย่หยวนที่ลั่นวาจาไว้ว่า จะทำให้หวางหรูสามารถกลับมาพูดได้อีกครั้งและขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้า หวังหลินโป เลือกที่จะไม่ใส่ใจแม้สักนิด
เพราะเรื่องจำพวกนี้…มันไม่มีทางเป็นไปได้!
เหตุผลที่เย่หยวนตัดสินใจลงมือกับเหลียงหวางหรง เป็นเพราะเขาตระหนักทราบแล้วว่าครอบครัวนี้หาดีไม่ได้สักคน และไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรเลย
เขาลอบสังเกตน้ำเสียงและถ่อยคำของคนพวกนี้มาโดยตลอด พอหวังหลินโปรู้ว่าเขาไม่มีวิชาควบคุมอสูร อีกฝ่ายก็ทิ้งขว้างหมอดความสนใจ
สิ่งที่มาแทนคือ ท่าทางการแสดงออกที่เปี่ยมไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
คำสัญญาของคนประเภทนี้กลับไว้วางใจไม่ได้
ต่อให้เย่หยวนคุกเข่าก้มกราบต่อหน้าเหลียงหวางหรงอย่างไร แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางให้โอสถถอนพิษแก่เขาแน่นอน
เหตุผลที่นางกล่าวออกไปเช่นนั้น หวังแค่เพื่อสร้างความอัปยศขมขื่นใจแก่เย่หยวนเล่นเท่านั้น
ทว่าน่าเสียดายนัก ทั้งๆที่เหลียงหวางต้องการจะสร้างความอับอายให้แก่เย่หยวน แต่กลับนางที่ต้องอับอายขายหน้าแทน!
เย่หยวนเดินตรงออกจากตระกูลหวังและไม่เหลียวมองอีกเป็นคำรบสอง
แผ่นหลังเย่หยวนค่อยๆลับสายตาไป สีหน้าการแสดงออกของหวังหลินโปเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตสุดหัวใจ
………………………..
“สำหรับเย่หยวนคนนี้ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”
หยางรุยกดสายตาลึกล้ำง้ำประกาย พลางเอ่ยปากขึ้นถามหลัวเจีย
เขาเป็นคนออกคำสั่งให้หลัวเจียเฝ้าติดตามเย่หยวนไป นอกจากนี้ยังมีอีกหน้าที่หนึ่งคือเฝ้าสังเกตเย่หยวน
เพราะท้ายที่สุดนี้ ภูมิหลังของเย่หยวนเป็นมาอย่างไรกลับไม่มีใครทราบเลย
“คุณธรรมสูงส่ง ฉลาดวางตัว มองการณ์ไกลเกินหยั่งรู้!”
หลัวเจียกล่าวประเมิน
หยางรุยเบิกตาโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง เขากล่าวตอบอย่างน่าประหลาดใจว่า
“โอ้? จะมีใครสักคนที่ทำให้เจ้าประเมินได้ขนาดนี้กล่าวว่ามิใช่เรื่องง่าย! เด็กคนนั้นน่าประทับใจเพียงนั้นเชียว?”
หยางรุยตระหนักดี หลัวเจียผู้นี้ดั่งทหารเจนศึกผ่านประสบการณ์ชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน ผู้คนโดยรอบน้อยนักที่สามารถเข้าถึงเขาได้
และหลัวเจียคนนี้เองก็ไม่เคยกล่าวประเมินผู้ใดสูงส่งขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน!
สามารถทำให้เขากล่าวว่า คุณธรรมสูงส่ง ฉลาดวางตัว จึงถึงขั้นเกินหยั่งรู้ได้ เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา
แต่ความพิการและทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเด็กคนนี้ที่เสียหายอย่างหนัก มันเป็นความจริงที่ไม่ตายในท้ายที่สุด แล้วหลัวเจียที่ใช้คำว่า‘เกินหยั่งรู้’แบบนี้ เขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?
“บางที เขาอาจเป็นมังกรที่กำลังจำศีลอยู่!”
ประกายแสงแวววับสาดสะท้อนออกจากแววตาของหลัวเจีย
สีหน้าการแสดงออกของหยางรุงดูสนใจถึงทันตา เขากล่าวว่า
“ถ้าเช่นนั้น ความหมายของเจ้าคือ เราควรดูแลเด็กคนนี้ต่อไป?”
หลัวเจียเงียบไปชั่วขณะก่อนกล่าวว่า
“บางทีนี้อาจเป็นผลกำไรมหาศาลเกินจินตนาการ”
หยางรุยขมวดคิ้วพลางกล่าวต่อว่า
“แล้วเจ้าคิดว่าเขาจะหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะได้หรือไม่?”
หลัวเจียส่ายหัว เห็นได้ชัดเขาไม่คิดว่าเย่หยวนจะสร้างปาฏิหาริย์ได้
เพราะท้ายที่สุดนี้ เขามีเวลาแค่สามสิบกว่าวันเท่านั้น
และก็ดูเหมือนว่า เย่หยวนจะรู้แต่วิธีหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะ การจะมาเริ่มหลอมกลั่นโอสถล้างพิษในยามนี้กลับไม่ทันการณ์
…………………
เมื่อกลับมาถึงหอหมาสมบัติ เย่หยวนก็ขอยืมสมุนไพรจำนวนมากและผลึกปราณเทวะจากผู้จัดการซูไป พร้อมปลีกวิเวกเก็บตัวอยู่ในห้องทันที
สี่สิบวันที่ได้ ยามนี้เสียไปแล้วสี่วัน เขายังมีเวลาเหลือสามสิบวัน หรือก็คือหนึ่งปีในโลกของศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ
ซึ่งในหนึ่งปีนี้ ไม่เพียงต้องฝึกปรือหลอมกลั่นโอสถให้ได้ขั้นเทวะเท่านั้น แต่เขายังต้องหลอมกลั่นโอสถล้างพิษหนึ่งดาวขั้นเทวะให้สำเร็จ!
งานนี้ยากเข็ญเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาฝึกปรือหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะเสียด้วยซ้ำ
แม้ความเข้าใจของเย่หยวนต่อค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นจะค่อนข้างลึกล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ปรารถนาที่จะหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นเทวะ นี่ยังคงขาดตกอยู่มาก
เพราะแม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นสวรรค์ได้เลย!
“ค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นเป็นรากฐานสำคัญสำหรับหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งทั้งหมด หากมิอาจวฝึกปรือจนสำเร็จเชี่ยวชาญ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ค่ายกลหลอมกลั่นชนิดอื่นๆให้คล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพพอ!”
หวูเฉินกล่าว
“ผู้อาวุโสโปรดมั่นใจ ข้ายอมทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร เรื่องรีบร้อนเก็บเกี่ยวผลลัพธ์แบบนั้น มันหาใช่นิสัยของผู้เยาว์ไม่”
เย่หยวนกล่าว
“ถึงแม้พรสวรรค์ของเจ้าจะไม่ธรรมดา แต่การจะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ให้ได้ขั้นเทวะภายในหนึ่งปี นี่ยังคงเป็นเรื่องยากมาก! ดังนั้นเจ้าจะต้องเตรียมใจให้พร้อม!”
“ข้าเตรียมใจพร้อมอยู่เสมอ! และข้าจักต้องทำสำเร็จแน่นอน!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสายตาอันมุ่งมั้ง
หวูเฉินจับตามองเย่หยวนแต่มิได้กล่าวอันใดตอบ
เขาค้นพบแล้วว่า เย่หยวนเป็นพวกที่แข็งแกร่งขึ้นก็ต่อเมื่อเผชิญพบกับปัญหาที่แข็งแกร่งกว่า
ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์กดดันยากลำบากมากเท่าไหร่ ความมุ่งมั่นของเขาก็ยิ่งขยายตัวขึ้นเป็นหลายทวีเท่า
ใช้ความสงบเข้าสยบทุกอุปสรรค!
นี่คือความรู้สึกที่เย่หยวนมอบให้แก่หวูเฉิน
ไม่ว่าหนทางเบื้องหน้าจะดูท่าสิ้นหวังเพียงใด แต่หวูเฉินก็ไม่เคยเห็นเย่หยวนหัวเสียขุ่นเคืองแม้สักครั้ง
หวูเฉินเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องยอมรับตามตรง บุคคลที่มีจิตใจมั่นคงขนาดนี้หาได้ยากมาก
บางทีที่เย่หยวนมาได้ถึงขนาดนี้ อาจเป็นเพราะความมุ่งมั่นของเขาเองล้วนๆ
สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยก็คือ เย่หยวนที่เข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าในตอนนั้น ได้ช่วยประหยัดเวลาไปมากโข
โดยปกติ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำความเข้าใจต่อสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ชนิดต่างๆได้อย่างลึกซึ้งภายในเวลาอันสั้นขนาดนี้
ผนวกกับการหลอมกลั่นนับครั้งไม่ถ้วนก่อนหน้า จึงทำให้ความเข้าใจของเย่หยวนต่อสมุนไพรเหล่านี้ก้าวล้ำไปเกินแปดจากสิบส่วนเต็มแล้ว!
เนื่องด้วยความคล่องมือและความเข้าใจต่อค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นที่เพิ่มทวีขึ้นตามลำดับ คุณภาพโอสถปราณเทวะที่เย่หยวนหลอมกลั่นได้ก็สูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
หนึ่งเดือดต่อมา ในที่สุดเย่หยวนก็หลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นสวรรค์ได้เป็นผลสำเร็จ!
ยามนี้ถึงคราวฝึกปรือจริงจัง เป้าหมายต่อไปคือ โอสถปราณเทวะขั้นเทวะ!
ตอนที่ 1310
อนุมานจัดเรียงและทบทวน!
ขั้นสวรรค์!
ขั้นสวรรค์!
และก็ยังขั้นสวรรค์!
ครึ่งปีผ่านไป นับตั้งแต่ที่เย่หยวนปลีกวิเวกเก็บตัว ไม่ว่าเขาจะหลอมกลั่นอย่างไรก็ไม่สามารถก้ามข้ามไปสู่ขั้นเทวะได้สักที!
ระหว่างขั้นสวรรค์ถึงขั้นเทวะ เปรียบเสมือนช่องว่างที่ไม่สามารถข้ามฝ่าไปได้เลย ต่อให้เย่หยวนลงแรงกายแรงใจมากมายเพียงใด แต่ก็มิอาจทำได้สำเร็จเสียที
สามเดือนผ่านไป เย่หยวนยังคงหลอมกลั่นได้แต่ขั้นสวรรค์อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งระยะเวลาสามเดือนมานี้ เย่หยวนไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
“ท่านอาวุโส ทั้งๆที่ผู้เยาว์เข้าใจคุณสมบัติของสมุนไพรต่างๆได้อย่างลึกซึ้งแล้วแท้ๆ แต่ไฉนถึงหลอมกลั่นไม่ได้ขั้นเทวะสักที?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมความสงสัย
หวูเฉินกล่าวตอบลว่า
“ขั้นเทวะมิได้ขึ้นอยู่กับความเข้าใจเพียงอย่างเดียว หาใช่เพียงขั้นสวรรค์ที่อาศัยความมานะอดทนก็ทำสำเร็จ แต่นี่ยังต้องพึ่งพาโชคชะตา! โอสถชนิดเดียวกันแต่เม็ดหนึ่งเป็นขั้นเทวะ ประสิทธิภาพย่อมต่างกันคนละโลก! ความเข้าใจต่อเต๋าที่ลึกล้ำมากพอ คือกุญแจสู่ความสำเร็จ แถมเจ้ายังฝึกปรือได้แค่สามเดือน ระยะเวลาแค่นี้นับว่าสั้นเกินไปมาก!”
กล่าวได้ว่า โอสถขั้นเทวะคือบททดสอบชั้นดีสำหรับนักหลอมโอสถ!
มิใช่เพียงความสามารถที่สูงพอ แต่นักหลอมโอสถคนนั้นจำต้องมีอะไรพิเศษและโดดเด่นกว่านั้น
ลืมไปเลยกับแค่สามเดือน สามปี หรือสามสิบปี มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย!
เย่หยวนราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่งได้ฉับพลันเมื่อได้ฟัง เขากล่าวขึ้นว่า
“เช่นนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของโอสถขั้นเทวะคือเต๋า? คล้ายกับตอนที่ข้าหลอมกลั่นโอสถท้าทายสวรรค์และสามารถสื่อจิตถึงเต๋าได้?”
หวูเฉินลูบเคราขาวของเขาเล็กน้อยพลางคลี่ยิ้มด้วยความชื่นชม
“ถูกต้องแล้ว! เส้นทางห่างโอสถหาได้พึ่งพาแต่ทักษะ อย่าได้ดูแคลนเต๋าว่าไม่สำคัญ มุ่งมองแต่ประตูบานปิดนั้นกลับหาใช่วิธีแก้ปัญหา!”
เย่หยวนพยักหล้าและกล่าวตอบว่า
“ผู้เยาว์ทราบแล้ว!”
เมื่อกล่าวจตบเย่หยวนก็นั้งขัดสมาธิทันที มิได้หลอมกลั่นใดๆอีกต่อไป
ภายในใจของเขาพยายามสื่อจิตเชื่อมกับโอสถศักดิ์สิทธิ์ทีละเล็กละน้อย
ย้อนทวนคำบรรรยายทั้งหมดที่หวูเฉินเคยสั่งสอน รวมไปถึงความเข้าใจต่อค่ายกลปราณเทวะชั้นต้น จนนำสู่โอสถปราณเทวะขั้นสวรรค์ทุกเม็ดที่เขาหลอมกลั่นได้
พินิจวิเคราะห์ใส่ใจทุกรายละเอียดระหว่างทาง เย่หยวนเริ่มจับจุดอะไรบางอย่างได้อีกครั้ง
ทุกกระบวนการหลอมกลั่น เย่หยวนเก็บทุกรายละเอียดยิบย่อย ดังนั้นในแต่ละครั้งที่หลอมกลั่น เขาล้วนจดจำได้เป็นอย่างดี
เย่หยวนในปัจจุบันเสมือนว่าย้อนกลับไปเป็นมือใหม่อีกครั้ง มีหลายต่อหลายครั้งที่เขารู้สึกเบื่อหน่ายยามต้องพบเจอกับกระบวนการอันซับซ้อนในการหลอมกลั่นโอสถ
เย่หยวนค่อยๆเข้าสู่ภวังค์ความคิด
ในขณะนี้ ประดุจว่าข้อมูลคุณสมบัติจำเฉพาะของสมุนไพรแต่ละชนิดคล้ายตัวต่อที่กระจัดการจายอยู่ในหัวของเขา
เย่หยวนตั้งตนกลางใจกลางมหาสมุทรความคิดอันกว้างใหญ่ไพศาลของตน และกำลังเรียบเรียงทบทวนทั้งหมดใหม่อีกครั้ง
หลังจากนั้นเย่หยวนก็ได้จัดเรียงชิ้นส่วนประกอบขึ้นใหม่ทั้งหมด!
จากที่ว่าคุ้นเคยกับคุณสมบัติของสมุนไพรทั้งห้าชนิดเป็นอย่างดี ยามนี้กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งภูมิความรู้ใหม่ๆที่ไม่คุ้นตา
สิ่งที่เขาประกอบขึ้นมาใหม่จนเป็นรูปเป็นร่างนี้ ได้มอบแนวคิดใหม่ๆมากมายให้แก่เขา
จากนั้นเย่หยวนยังคงเรียบเรียงมันทั้งหมดขึ้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
วันเวลาผ่าไป ชั่วพริบตาถัดมา อีกหนึ่งเดือนได้ผ่านไป
เย่หยวนลืมตาขึ้นช้าๆ แววประกายแสงเจิดจรัสจ้าสาดสะท้อนประจักษ์สายตา
หวูเฉินมองหน้าเย่หยวนด้วยความประหลาดใจ พลางเอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้า…เจ้าเข้าใจทุกอย่างแล้วรึ?”
เย่หยวนพยักหน้าพร้อมคลี่ยิ้มบางๆตอบ
“น่าจะเช่นนั้น!”
หวูเฉินตื่นตกใจยิ่งยามได้ยินเช่นนั้น พลันโพล่งอุทานลั่น
“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร? แค่เดือนเดียว…เจ้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว?”
หวูเฉินตระหนักชัดแจ้งดีเยี่ยม โอสถปราณเทวะขั้นเทวะช่างลึกล้ำเกินจะเข้าใจเพียงใด!
แม้โอสถปราณเทวะจะเป็นเพียงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับพื้นฐานที่สุด แต่ความยากในการหลอมกลั่น สูงกว่าโอสถท้าทายสวรรค์ไม่รู้กี่ร้อยเท่า
หากปราศจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลาเนินนาน ไม่มีใครสามารถทำความเข้าใจต่อโอสถปราณเทวะขั้นเทวะได้เลย!
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนกลับกล่าวว่าตนเข้าใจหมดแล้วภายในระยะเวลาสามเดือนเศษเท่านั้น
ความเร็วในการพัฒนาระดับนี้ ค่อนข้างแตกต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
ผลึกปราณเทวะทั้งแปดชิ้นที่ถูกวางประจำตำแหน่ง ถูกเปลี่ยนกลายเป็นยอดเต๋ากอปรความลึกซึ้งกว้างไกลนับล้านลี้
หวูเฉินตาแทบทะลักถลนออกมา ในที่สุดเขาก็เชื่อแล้วว่าเย่หยวนไม่ได้โกหก!
เขา…เขาเข้าใจมันแล้วจริงๆ!
ความเข้าใจของเขาแตกต่างจากนักหลอมโอสถคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง เพราะโชคดีดั่งถูกรางวัลใหญ่จึงบังเอิญหลอมกลั่นโอสถได้ขั้นเทวะ แต่เย่หยวนสามารถเข้าใจเต๋าของโอสถปราณเทวะชนิดนี้ได้อย่างถ่องแท้ จึงสามารถหลอมกลั่นได้
ในอนาคตต่อไป ยามใดที่เย่หยวนมีโอกาสหอลมกลั่นโอสถเทวะอีกครั้ง โอกาสที่จะหลอมกลั่นได้เป็นขั้นเทวะจะสูงเกินหนึ่งในสิบส่วนแน่นอน!
เพราะเขาหลอมกลั่นด้วยความเข้าใจ หาใช่พึ่งพาโชคชะตา
ไม่ควรมองประมาทเห็นเพียงแค่หนึ่งส่วน เลิกหวังได้เลยสำหรับนักหลอมโอสถทั่วไป แม้แต่จอมเทพโอสถหนึ่งดาวที่มีฝีมือฉกาจ โอกาสหลอมกลั่นได้ขั้นเทวะยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของหนึ่งส่วนเลยด้วยซ้ำ!
นอกจากนี้การที่เย่หยวนสามารถหลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะได้ตั้งแต่เนิ่นๆ มันยังช่วยตอกย้ำรากฐานบนเส้นทางแห่งโอสถของเย่หยวนให้มั่นคงเสถียรยิ่งขึ้นไปอีก
ประกายสว่างเจิดจ้าค่อยๆจางหายไป โอสถเม็ดโปร่งแสงประดุจเพชรน้ำงามปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเย่หยวน
โอสถปราณเทวะขั้นเทวะ!
“เจ้า…เจ้าทำสำเร็จจริงๆ! ช่างน่าทึ่ง! สัตว์ประหลาดชัดๆ! เจ้าใช้เวลาแค่เจ็ดเดือนเท่านั้น! แค่เจ็ดเดือนเจ้าสามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นเทวะได้แล้ว!”
หวูเฉินโพล่งอุทานขึ้นอย่างร้อนรนตื่นเต้น
ในยามนี้ เขาตระหนักได้แล้วว่า ตนประเมินเย่หยวนต่ำเกินไปมาก
ชายหนุ่มคนนี้เกิดมาเพื่อหลอมกลั่นโอสถ!
ทักษะรากฐานอันมั่นคง ผนวกกับพรสวรรค์อันน่าสะพรึง ได้ก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น!
รวมกับระยะเวลาก่อนหน้า เย่หยวนใช้เวลาไปเจ็ดเดือนแล้วภายในโลกแห่งศิลาจารึกเลื่องสวรรค์
เขาใช้เวลาเพียงช่วงสั้นๆก็สามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นเทวะได้สำเร็จ!
นี่ช่างเป็นเรื่องน่าทึ่งโดยแท้!
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือ กว่าที่จอมเทพนิรันดร์จะบรรลุถึงจุดนี้ได้ เขายังต้องใช้เวลากว่าร้อยปี!
ในขณะที่เย่หยวนยังใช้ไปไม่ถึงหนึ่งส่วนร้อยของเวลาที่จอมเทพนิรันดร์เสียไป!
อย่างไรก็ตามแต่ สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนหาได้สำราญดีใจใดๆ
เจ็ดเดือนได้ผ่านพ้นไปแล้ว ปัจจุบันเขาเหลือเวลาอีกแค่ห้าเดือนเท่านั้น!
เย่หยวนใช้เวลาตั้งเจ็ดเดือนกว่าจะหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นเทวะได้สำเร็จ แล้วโอสถล้างพิษล่ะ?
เขามิอาจเสียเวลาไปมากกว่านี้ได้แล้ว!
“ท่านอาวุโส โปรดชี้แนะวิธีหลอมกลั่นโอสถล้างพิษหนึ่งดาวแก่ผู้เยาว์ด้วย!”
เย่หยวนกล่าว
หวูเฉินพยักหน้าตอบและโดยไม่รีรออันใด เขาเริ่มอธิบายข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโอสถล้างพิษโดยทันที
วัตุดิบสำหรับหลอมกลั่นโอสถล้างพิษมีทั้งหมดเจ็ดชนิด หวูเฉินบรรยายคุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดชนิด กินเวลายาวนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเต็ม!
สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดชนิดนี้มีความศับซ้อนและยุ่งยากในการจัดการเกินพรรณนาได้
ในที่สุดเย่หยวนก็ตระหนักทราบ ไฉนโอสถปราณเทวะถึงได้ชื่อว่าเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับพื้นฐานที่สุด
อย่างไรก็ตาม รากฐานในการหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนในปัจจุบันค่อนข้างเสถียรดีแล้ว เขาหาใช่มือใหม่โง่งมอีกต่อไป
เปรียบเทียบกับตอนที่ศึกษาโอสถปราณเทวะ ความเร็วในการทำความเข้าใจของเย่หยวนต่อโอสถล้างพิษขนิดนี้ค่อนข้างไวกว่าอย่างไม่เห็นฝุ่น
กระทั่งหวูเฉินที่ได้เห็นพัฒนาการของเย่หยวน เขายังอดตะลึงมิได้
เขาติดสอยห้อยตามจอมเทพนิรันดร์มาก็นาน ฝ่าร้อนฝ่าหนาวในมหาพิภพถงเทียนก็เป็นเวลาหลายร้อยพันปี เหล่าอัจฉริยะชนิดที่จากลูกปลากระโดดข้ามประตูมังกร เขาเองก็พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง
แต่เขากลับไม่เคยเห็นผู้ใดที่มีพัฒนาการเร็วขนาดนี้แบบเย่หยวนมาก่อน!
สำหรับพรสวรรค์บนเส้นทางแห่งโอสถของเย่หยวน คำยามเดียวที่อธิบายได้คือ สัตว์ประหลาด!
“แค่ร่างโครงภาพก็เกินอนุมานได้! ความเข้าใจของเจ้าเด็กคนนี้เกินหยั่งถึงได้โดยแท้! หลังจากหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้ ราวกับศักยภาพในตัวเขาถูกจุดติดขึ้น! บนเส้นทางแห่งโอสถของเขาในภายภาคหน้า การันตีความสำเร็จอย่างไร้ขีดจำกัด! เมื่อเวลานั้นมาถึงแม้แต่จอมเทพนิรันดร์ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้!”
หวูเฉินกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่หลายหลากพรั่งพรู
ตอนที่ 1311
โอสถล้างพิษขั้นเทวะ!
เฟิงปิงและผู้จัดการซู ตรงเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสอย่างระมัดระวังเบาเสียง ภายในหงหยิงกำลังดูแลเหลียงหวางหรูที่นอนโทรมอยู่
“แม่นางหวางหรูเป็นอย่างไรบ้าง?”
ผู้จัดการซูเอ่ยถามหงหยิง
หงหยิงส่ายหน้าพลางแพร่งเผยสีหน้าไม่สู้ดีนัก นางกล่าวตอบว่า
“ตอนนี้แม้แต่จะกลืนอาหารยังไม่ไหว นางไม่สามารถยื้อชีวิตไปได้นานกว่านี้แล้ว”
ผู้จัดการซูถอนหายใจเฮือกใหญ่กล่าวว่า
“สุดท้ายนี้ก็ปาฏิหาริย์ก็ไม่มีจริง! สาวน้อยจิตใจงามแบบนี้…น่าเสียดายนัก!”
เฟิงปิงกล่าวว่า
“โอสถล้างพิษขั้นเทวะจะสามารถหลอมกลั่นง่ายดายได้อย่างไร? กระทั่งเราชายชราที่ก้าวถึงตำแหน่งจอมเทพโอสถสองดาวไปครึ่งก้าวแล้ว ก็ไม่มีปัญญาไปหลอมกลั่นได้เช่นกัน มิใช่ว่าเราชายชราดูถูกดูแคลนเย่หยวน แต่ด้วยระยะเวลาแค่นี้ เขาไม่มีทางทำได้เลย!”
ผู้จัดการซูหาได้โต้งแย่งเรื่องนี้ เขาพยักหน้ากล่าวเสริมต่อว่า
“เย่หยวนคนนี้ทะนงตนมากศักดิ์สิทธิ์ เหตุที่ตระกูลหวังเชิญเขาเข้าไป ก็เพื่อกระตุ้นจุดนี้ของเย่หยวน จนไปเดิมพันอะไรเข้า ซึ่งนี่ส่งผลกระทบต่อหอมหาสมบัติเต็มๆ! หวังหลินโปมันเจ้าเล่ห์กว่าที่คิดนัก!”
ที่เย่หยวนลั่นวาจาออกไปต่อหน้าหลังหลินโปว่า ไม่เพียงเขาจะหาทางแก้พิษขนวิหคพันราตรีเท่านั้น แต่เขายังจะรักษาจนเหลียงหวางหรูกลับมาพูดได้อีกครั้ง และทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้า
วาจาเหล่านี้ถูกแพร่กระจายไปทั่วเมืองกุยฉางโดยตระกูลหวังจนเกิดเสียงฮือฮา
พิษขนวิหคพันราตรีเป็นความลับที่ถูกเก็บงำไว้ในตระกูลหวัง ยามนี้ตระกูลหวังถึงขั้นยอมกล่าวถึงเรื่องพวกนี้ให้แก่สาธารณะชนฟังโดยตรง
เนื่องจากยามนี้ หอมหาสมบัติได้มายั่วยุตระกูลหวังก่อน ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นละครน่าสนุกฉากหนึ่งสำหรับเหล่าฝูงชน
หากเวลานั้นมาถึง และหอมหาสมบัติไม่สามารถรักษาเหลียงหวางหรูให้หายได้ ไม่เพียงหน้าแตก แต่คล้ายยังถูกลากมาตบกลางสาธารณะชนทั้งหมด ซึ่งนี่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงถึงชื่อเสียงของหอมหาสมบัติ
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้เฟิงปิงถึงกับขมวดคิ้วเข้ม กล่าวอย่างไม่ค่อยสุขใจนักว่า
“พรสวรรค์ในศาสตร์แห่งโอสถของเด็กคนนี้ไม่เลวเลย แต่เพียงว่าเขาหยิ่งผยองเกินไป! ลั่นวาจาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่เพียงตัวเองจะเสียหน้า แต่พลอยทำให้หอมหาสมบัติเสียชื่อไปด้วย!”
ผู้จัดการซูยังคงปกป้องเย่หยวน เขายิ้มตอบว่า
“เด็กวัยหนุ่มสาวมีใครบ้างไม่หยิ่งผยองยามมีฝีมือ? แถมหวังหลินโปยังรังแกผู้คนมากเกินไป จงใจพาเข้ามาเพื่อสร้างความอัปยศขนาดนั้น เป็นใครก็โกรธเหมือนกัน”
“หึ! แต่เขาก็ปากหนักเกินไป! ถึงจะลั่นวาจาอะไรไปอย่างน้อยก็ควรมีทุนรอนบ้าง! ไอ้บัดซบหวังหลินโปไม่เพียงตบหน้าเด็กคนนี้ แต่นี่ยังลามมาถึงหอมหาสมบัติ!”
เฟิงปิงกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นี่เอง
จู่ๆเงาร่างหนึ่งพลันพัดผ่านเข้ามาราวกับสายลม
“แม่นางหงหยิง หวางหรูเป็นอย่างไรบ้าง?”
เย่หยวนเอ่ยถามอย่างกังวลใจ
หงหยิงส่ายหัวกล่าวว่า
“อาการเลวร้ายนัก! แม่นางหวางหรูอยู่ระหว่างความเป็นความตายเต็มทน นายท่านเย่…ท่านโปรดทำใจไว้หน่อยก็ดี!”
เช่นเดียวกับผู้จัดการซูและเฟิงปิง หงหยิงเองก็ไม่คิดว่าเย่หยวนจะสามารถหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะได้เช่นกัน
สีหน้าของเย่หยวนดูจริงจังขึ้นหลายส่วน เขาเร่งเข้าประคองช้อนร่างเหลียงหวางหรูขึ้นอย่างแช่มช้า ก่อนพบว่าริมฝีปากของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มอมดำ ผิวพรรณซีดขาวราวกับแผ่นกระดาษบาง ยามนี้นางหมดสติไปแล้ว
เย่หยวนขมวดคิ้วเข้ม เร่งหยิบโอสถเม็ดหนึ่งขึ้นและกรอกเข้าปากเหลียงหวางหรูโดยตรง
ผู้จัดการซู, เฟิงปิง สายตาทั้งสองดูจริงจังขึ้นทันควัน เร่งขยับขยายจับจ้องโอสถเม็ดนั้นในมือเย่หยวนในบัดดล
แม้จะเป็นเสี้ยวเวลาสั้นๆ แต่ทั้งสามต่างเห็นได้อย่างชัดแจ้ง!
โอสถที่เย่หยวนกรอกลงปากของเหลียงหวางหรูจะเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจาก โอสถล้างพิษหนึ่งดาวขั้นเทวะ!
แต่เย่หยวนไม่มีเวลามาสนใจความตื่นตะลึงของทั้งสอง เขาหันมากล่าวกับหงหยิงว่า
“แม่นางหงหยิง ข้าต้องรบกวนท่านยืมผลึกปราณเทวะจำนวนหนึ่ง เพื่อช่วยหลอมกลั่นโอสถให้นางต่อทันที”
หงหยิงมิได้รู้สึกแปลกใจอะไรแบบผู้จัดการซูหรือเฟิงปิง เพราะนางไม่เคยเห็นโอสถขั้นเทวะมาก่อน
โอสถระดับชั้นแบบนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดได้ครอบครองต่างหวงแหนเยี่ยงชีวิต และไม่มีทางนำออกมาให้ผู้คนภายนอกได้เห็นแน่นอน
“เข้าใจแล้ว!”
หงหยิงเปล่งเสียงเอ่ยตอบด้วยความเต็มใจ และควักผลึกปราณเทวะจำนวนหนึ่งส่งให้เย่หยวนทันที
ผู้จัดการซูและเฟิงปิงสบตากันไปมาครู่หนึ่ง ระหว่างทั้งสองต่างเห็นแววประหลาดใจของกันและกัน
“เย่หยวน นั้น…นั้นคือ…โอสถล้างพิษขั้นเทวะ?”
ผู้จัดการซูเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เมื่เห็นผิวพรรณของเหลียงหวางหรูกลับมีน้ำมีนวลขึ้น ยามนี้เย่หยวนก็เบาใจลงมาก ถอนหายใจเสียงยาวอย่างโล่งอก ในที่สุดเขาสก็กลับมายิ้มได้อีกครั้งและกล่าวตอบไปว่า
“ถูกต้องแล้ว! โชคดีนักที่ข้าทำสำเร็จทันเวลา! มิฉะนั้นเย่คนนี้คงจดจำเป็นตราบาปชั่วชีวิต!”
“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร? ขะ-ขั้นเทวะ…โอสถล้างพิษขั้นเทวะจริงๆ!”
เฟิงปิงรู้สึกดั่งว่าลิ้มของตนแข็ค้างชั่วขณะ กว่าจะกล่าวออกมาได้แต่ละคำลำบากเหลือเกิน
โอสถล้างพิษเม็ดนี้ถึงเป็นเพียงโอสถล้างพิษหนึ่งดาว แต่ความยากในการหลอมกลั่นกลับสูงกว่าโอสถปราณเทวะมาก
ยิ่งไปกว่านั้น การจะหลอมกลั่นให้ได้ขั้นเทวะ นี่มิใช่สิ่งที่นักหลอมโอสถทั่วไปจะสามารถทำได้เลย
อย่างน้อยที่สุด ภายในเมืองกุยฉางแห่งนี้ก็ไม่มีใครสามารถหลอมกลั่นมันขึ้นมาได้!
แต่เย่หยวนกลับทำได้จริงๆ!
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“ถูกต้องแล้วผู้อาวุโสเฟิง! กว่าที่เย่คนนี้จะหลอมกลั่นได้ขั้นเทวะ ถึงกับอดหลับอดนอน อดข้าวอดน้ำเป็นหลายวันเต็ม จนท้ายที่สุดนี้ด้วยความบังเอิญจนทำได้สำเร็จ!”
ผู้จัดการซูกับเฟิงปิงต่างลอบสูดไอเย็นเข้าช้าๆ แม้เย่หยวนจะถ่อมตัวเพียงใด แต่นั่นก็เป็นถึงโอสถขั้นเทวะ!
ที่ผ่านมาเย่หยวนเก็บตัวฝึกปรือก็หลอมกลั่นเพียงแค่โอสถปราณเทวะมาโดยตลอด
ผ่านไปแค่สามสิบวัน เขาสามารถหลอมกลั่นโอสถล้างพิษษขั้นเทวะได้จริงๆรึ?
เว้นเสียแต่ว่า…ตลอดเวลาที่ผ่านมา เย่หยวนปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้!
“ฮึก…”
เหลียงหวางหรูกระเส่าร้องเสียงแผ่วเบาคล้ายยุง สิ่งนี้ทำให้เย่หยวนตื่นเต้นยิ่ง
โอสถล้างพิษขั้นเทวะมันได้ผลจริงๆ!
ไม่นาน จากที่ริมฝีปากม่วงคล้ำ ยามนี้ค่อยๆจากหายไป สีหน้าของนางเริ่มมีน้ำมีนวลกลายเป็นสีกุหลาบอ่อน
หงหยิงที่ได้ยินสองเฒ่านั้นตื่นตะลึงกันยกใหญ่ ยามนี้นางเพิ่งทราบ อะไรเป็นอะไร เร่งหันควับมองเย่หยวนราวกับเห็นผี นางโพล่งอุทานลั่นว่า
“นายท่านเย่ นายท่าน…ทำได้แล้วจริงๆรึ?”
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางพลางพยักหน้าตอบ
กล่าวกันตามตรง เย่หยวนเองก็รู้สึกทึ่งต่อความสำเร็จนี้เช่นกัน
ก่อนหน้า เขากำจัดความคิดฟุ้งซ่านออกโดยสิ้นเชิง จึงมิได้หวนนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้เลย
โอสถศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งโลกใบใหม่ของเขา!
อย่างไรก็ตามแต่ เขาเองจำต้องพึ่งพาพรสวรรค์และพรแสวงอย่างหนัก เพื่อที่จะหลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะขึ้น ซึ่งยามนี้กลับมาย้อนนึกถึงทีหลัง เย่หยวนก็รู้สึกภูมิใจไม่น้อย
เพราะเย่หยวนตระหนักดีแล้วว่า โอสถล้างพิษขั้นเทวะมันหลอมกลั่นยากเพียงใด!
ในที่สุด เหลียงหวางหรูพลันได้สติขึ้น ดวงเนตรคู่ไสวงามค่อยๆคลี่เปิดขึ้นอย่างแช่มช้า
แต่ทันทีที่เห็นเย่หยวน ดวงเนตรคู่นั้นพลันสาดสะท้อนเปี่ยมแววขอบคุณอย่างเต็มใจ ไม่ว่าอย่างไรนางพยายามฝืนร่างตัวเองลุกขึ้นให้ได้
เย่หยวนเร่งจับนางนอนลงเหมือนเดิมและกล่าวว่า
“ตอนนี้อย่าพึ่งคิดอันใดเลย ร่างกายของท่านยังอ่อนแอมาก รอจนกว่าพิษทั่วทั้งร่างจะถูกกำจัดออกทั้งหมดเสียก่อน ตอนที่ข้าอยู่ในตระกูลหวัง ข้าบอกกับหวังหลินโปไปว่า ไม่เพียงจะถอนพิษให้เจ้า แต่ข้ายังจะทำให้เจ้ากลับมาพูดได้อีกครั้ง และทำให้เจ้าขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้า! จนถึงตอนนั้น เจ้าจงทำให้ผู้คนเหล่านั้นที่เคยรังแกเจ้าได้รู้ว่า พวกมันกำลังเล่นด้วยผิดคนแล้ว!”
เหลียงหวางหรูพูดไม่ได้ก็จริง แต่เมื่อได้ยินแบบนั้น นางก็รู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
เรื่องขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้า นางหาได้สนใจไม่
แต่เรื่องที่จะกลับมาพูดได้อีกครั้ง กลับเป็นสิ่งที่ปรารถนาที่สุดในก้นบึ้งหัวใจของนาง!
เฟิงปิงกับผู้จัดการซูสั่นเทาไปทั่วทั้งตัว พลางระลึกถึง‘วาจาอันหยิ่งผยอง’ที่เย่หยวนเอ่ยลั่นเอาไว้ในตระกูลหวัง
ก่อนหน้านี้ พวกเขายังคงรู้สึกว่า วาจาคำกล่าวของเย่หยวนเพ้อฝันเกินจริง แถมยังลากหอมหาสมบัติลงเหวตามไปด้วย
แต่ในท้ายที่สุดนี้ พวกเขาก็ได้รู้แล้วว่า ที่เย่หยวนกล่าวไปทั้งหมดหาได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย!
พรสวรรค์ในศาสตร์แห่งโอสถของเด็กคนนี้น่ากลัวเกินไป ใครจะไปคาดคิดว่าเย่หยวนจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ ถึงขั้นที่ว่า ต่อไปอาจลากทั้งโคตรตระกูลหวังออกมาตบหน้าดังสนั่น!
ผู้จัดการซูกับเฟิงปิง ทั้งสองหันหน้าเข้าจับจ้องกันเล็กน้อยพร้อมคลี่ยิ้มออกมาทันที
หวังหลินโปหาเรื่องยิงตัวตายชัดๆ!
ตอนที่ 1312
ผลกำไรมหาศาลที่เย่หยวนทิ้งทวนให้
“เจ้าว่าอย่างไร? เขา…เขาสามารถหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะได้จริงๆ?”
พอได้ฟังรายงานจากผู้จัดการซู หวางรุยสะดุ้งโหย่งตกตะลึงสุดขีด สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัด เสียงของเขาโพล่งดังคล้ายสูญเสียความเยือกเย็นชั่วขณะ
ผู้จัดการซูยังคงระทึกใจไม่หาย สีหน้าการแสดงออกคล้ายยังไม่ได้สติดี ผิดธรรมชาติแตกต่างจากตัวในยามปกติไป
“จริงแท้แน่นอน! ตอนที่เขาป้อนโอสถให้แม่นางหวางหรู พวกเขาทั้งสามเห็นกับตาคู่นี้! หลังจากนั้นไม่นาน พิษที่ติดค้างในร่างกายของนางก็ค่อยๆถูกล้างออกไปจนสิ้น!”
หยางหรูสูดหายใจแช่มลึกสุดปวดหวังดึงสติมิให้หลุดลอยออก
ข่าวนี้ช่างน่าเหลือเกินจินตนาการเขามาก!
ทันทีที่เขาตัดสินใจที่จะปกป้องเย่หยวน หยางหรูไม่คิดไม่ฝัน ผลลัพธ์ที่ได้กลับย้อนคืนกลับเป็นผลดีอย่างไม่คาดคิด!
ยามนี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า เย่หยวนคือต้นกล้าชั้นเยี่ยมที่ควรค่าแก่การเลี้ยงดูยิ่ง!
อย่างไรก็แล้วแต่ พัฒนาการของเย่หยวนก็เกินความคาดหมายของเขาไปมากจริงๆ
“ยังมีอีกเรื่อง! เย่หยวนสั่งให้พวกเราไปช่วยเก็บกวาดห้องบ่มเพาะฝึกปรือของเขา แต่หลังจากที่พวกเราส่งคนไปทำความสะอาดกลับพบว่า ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยโอสถปราณเทวะและโอสถล้างพิษจำนวนมหาศาล ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นโอสถขั้นสวรรค์! มีขั้นยอดเยี่ยมและขั้นสูงปะปนเป็นส่วนน้อย!”
คู่ดวงตาของหยางรุยสว่างวาบ เขากวาดสายตาจ้องเขม็งไปที่ผู้จัดการซูทันทีและกล่าวว่า
“เจ้ากล่าวว่าอันใด?! แทบทั้งหมดล้วนเป็นโอสถขั้นสวรรค์! ไหนก่อนหน้าเจ้าถึงบอกว่าเขาไม่รู้จักวิธีหลอมกลั่นโอสถล้างพิษ? นี่…นี่ใช้เวลาแค่เดือนเดียว สามารถเป็นคนให้เป็นเซียนได้เลย?”
ผู้จัดการซูพยักหน้า ความตื่นตะลึงที่สลักจารึกในใจยังไม่คลายอ่อน
“ยอดเซียนเลยกระมัง!”
“ฟู่วว…”
หยางหรูพรูเย็นเจือทึ่งตะลึง ท่าทีกิริยาสุดองอาจดั่งราชวงศ์ชั้นสูง ยามนี้หยางหรูคนนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ปัจจุบัน ราวกับเขาเป็นกระต่ายน้อยขี้ตกใจ
สีหน้าการแสดงออกดูสนใจในตัวเย่หยวนอย่างหาที่เปรียบไม่
หลังจากไม่ได้สติอยู่นาน หยางรุยสะดุ้งเฮือกและเร่งกล่าวกับผู้จัดการซูทันทีว่า
“เย่หยวนอยู่ไหน? ไปเรียกเขามาหาข้าเดี๋ยวนี้! ไม่! ไม่! ข้าจะไปหาเขาเอง!”
ในขณะที่หยางรุงกำลังรีบลุกขึ้น แต่กลับถูกผู้จัดการซูหยุดไว้พร้อมกล่าวว่า
“ท่านประมุขหอไม่จำเป็น! ตอนนี้เย่หยวนปลีกวิเวกเก็บตัวเรียบร้อยแล้ว!”
หยางรุงตะลึงงันไปอีกชั่วครู่และกล่าวว่า
“เขาไม่จำเป็นต้องหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะแล้วมิใช่รึ? แล้วจะเข้าเก็บตัวเพื่ออันใดอีก?”
ผู้จัดการซูส่ายหัวเล็กน้อย
“เขาฝากหงหยิงช่วยดูแลแม่นางหวางหรูจากนี้ต่อ ก่อนจะขนกองสมุนไพรอีกกองใหญ่และเข้าเก็บตัวอีกครั้ง”
หยางรุยขมวดคิ้วย่น เขากล่าวว่า
“รายการสมุนไพรที่เขาสั่งไปมีอะไรบ้าง?”
ผู้จัดการซูกล่าวตอบว่า
“สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เขาสั่งในรอบนี้มีมากกว่ารอบก่อนหน้า แถมยังค่อนข้างหลากหลายชนิด พิจารณาโดยรวม คาดเดาได้ยากว่าเขาวางแผนหลอมกลั่นโอสถชนิดใดบ้าง”
หยางรุยเงียบลงคล้ายครุ่นคิด ทันทีทันใด เขาสะดุ้งขึ้นทันทีเหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนสาดสายตาสายใส่ผู้จัดการซูด้วยสายตาสุดแผดเผา เขากล่าวว่า
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…จะเป็นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว?”
ม่านตาดำของผู้จัดหารซูหดแคบตีบตันคล้ายได้ยินผิดไป เขาเผยสีหน้าหวาดกลัวขึ้นและโพล่งกล่าวปฏิเสธ เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินตอนนี้
“ไม่มีทาง? ถึงแม้จะเป็นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว แต่กระทั่งจอมเทพโอสถสองดาวเองก็ไม่สามารถหลอมกลั่นได้เลย! แต่…หากพิจารณาจากรายการสมุนไพรเหล่านั้น ก็มีความเป็นไปได้สูงมาก! ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาเสียหายขั้นรุนรีง มีเพียงโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้!”
หยางรุยรู้สึกได้ในทันใด การที่เขาตัดสินใจช่วยเย่หยวนเอาไว้ นับเป็นความคิดที่ชาญฉลาดยิ่ง!
กระทั่งตอนนี้ เขาเองก็ยังหวาดกลัวในพรสวรรค์ของเย่หยวน
หากเย่หยวนสามารถหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งๆดาวได้ ชื่อเสียงของหอมหาสมบัติจะต้องยิ่งใหญ่ทรงอำนาจเป็นเท่าตัว!
ถึงหอมหาสมบัติจะมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งมหาพิภพถงเทียน แต่เนื่องจากเมืองกุยฉางไม่ได้อยู่ในอาณาเขตการปกครองของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติ ดังนั้นหอมหาสมบัติแห่งนี้จึงมิได้มีสง่าราศีมากมายนัก
เนื่องจากหอมหาสมบัติมีมากมายนับไม่ถ้วนบนมหาพิภพถงเทียน ดังนั้นชื่อเสียงอำนาจย่อมแตกต่างออกไปตามเขตอำนาจ
ตามคำกล่าวที่ว่า : จ้าวมังกรมิอาจปราบปรามงูถิ่นได้จนหมด เหล่ากลุ่มอิทธิพลประจำถิ่นสามารถปราบปรามหอมหาสมบัติได้ หากพวกเขาคิดลงมือจริงๆ
เพียงหอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉาง การจะต่อกรกับตระกูลหวังที่ร่วมมือกับตระกูลเหลียง กลับมิใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
ถึงตระกูลเหลียงจะเป็นกลุ่มอำนาจเล็กๆที่มีจำนวนนับสิบภายในเมือง
แต่ตระกูลหวังเป็นถึงสามตระกูลใหญ่ที่แท้จริงผู้ชักใยเมืองกุยฉาง หากตระกูลเหลียงเพียงอย่างเดียว จะไปหาญกล้ายั่วยุหอมหาสมบัติได้อย่างไร?
หอมหาสมบัติอาศัยป้ายทอง พึ่งพานามขานของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติ ถึงสามารถตั้งตระหง่านได้ในเมืองกุยฉาง
แต่หากนับกันโดยรวม หอมหาสมบัติสาขาเมืองชนบทอันห่างไกลเช่นนี้ บุคคลระดับสูงกลับหาได้ให้ความสำคัญเลย
เพื่อให้หยางรุยบริหารหอมหาสมบัติสาขานี้ต่อไป เขาเองก็เร่งท้อแท้แล้วเช่นกัน
เขาไม่มีทางสนใจหรือเจียดเนื้อเข้าสนับสนุนใครง่ายๆแน่นอน หากมิใช่สัตว์ประหลาดเฉกเช่นเย่หยวน
ท้ายที่สุดนี้ หยางรุยหมดหวังกับคำว่าเหล่าอัจฉริยะมาแล้วมากมายเกินไป
ความแข็งแกร่งของเฟิงปิงนับว่าไม่เลวก็จริง แต่นั้นก็มิได้โดดเด่นเหนือคนอื่นๆในเมืองกุยฉาง
แม้แต่หัวหน้านักหลอมโอสถของทั้งสามตระกูลใหญ่ก็ยังอยู่ในระดับสูงกว่าของเฟิงปิง
ซึ่งพรสวรรค์ในเส้นทางแห่งโอสถของเย่หยวนจะนำมาสู่รุ่งอรุณของหอมหาสมบัติอีกครั้ง หยางรุยเชื่อมั่นในศักยภาพของเย่หยวน มิเช่นนั้น เขาจะยอมถึงขนาดส่งหลัวเจียออกไป แถมยังยั่วยุตระกูลหวังอีก
“ไม่ต้องสนใจไป! หากเขาต้องการอะไร ทำตามคำขอของเขาทุกอย่าง! ไม่ว่าจะเป็นผลึกปราณเทวะหรือสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อย่าคิดตระหนี่เด็ดขาด!”
หยางหรูกล่าว
ผู้จัดการซูคลี่ยิ้มบางพลางกล่าวตอบว่า
“ท่านประมุขหอ ทำดีกับเย่หยวนในตอนนี้ ภายภาคหน้าเขาอาจนำมาซึ่งผลกำไรมหาศาล! ศักยภาพของเด็กคนนั้นไร้ขีดจำกัด! แค่ตอนนี้พวกเราก็เริ่มกำไรแล้ว!”
หยางหรูเค้นเสียงหัวเราะเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า
“ล้อเล่นเกินจริงกระมัง หรือคือเราที่เป็นหนี้บุญคุณเขา?”
ผู้จัดการซูกลับผงกศีรษะกล่าวตอบทันควัน
“แค่โอสถปราณเทวะขั้นสวรรค์ที่เขาทิ้งให้พวกเราจำนวนหลายร้อยเม็ด ก็นับเป็นกำไรมหาศาลแล้ว! คำนวณคร่าวๆก็เป็นกำไรกว่าหนึ่งแสนผลึกปราณเทวะระดับต่ำแล้ว! เด็กคนนั้นใช้ใจแลกใจ เคยช่วยเหลือเขาไว้ตอนลำบาก ยามนี้เขาให้ทุกอย่างโดยไม่แบมือขอเงินสักแดง! แถมทุนที่เราเคยช่วยเขาไปยังไม่ถึงร้อยก้อนผลึกปราณเทวะระดับต่ำด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เขาตอบแทนกลับมา มีทั้งโอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยม ทั้งขั้นสวรรค์ นับหลายร้อยเม็ด คุณภาพโอสถที่เขาหลอมกลั่นการันตีคุณภาพ!”
ร่างหยางรุยถึงกับสั่นสะท้านทันทีที่ได้ยิน เขากล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า
“กำไรมหาศาลขนาดนั้นเชียว?”
ผู้จัดการซูยิ้มและกล่าวต่อว่า
“นี่ยังเป็นเพียงส่วนของโอสถปราณเทวะ ภายในห้องบ่มเพาะฝึกปรือของเขายังมีกองโอสถล้างพิษขั้นสวรรค์อีกกว่าห้าร้อยเม็ด ขั้นยอดเยี่ยมและขั้นสูงรวมแล้วอีกพันกว่าเม็ด! ท่านคิดว่า ทั้งหมดนี้คิดเป็นกำไรเท่าใด?”
หยางรุยสูดไอเย็นเข้าลึกสุดขั้วปอด ยังทันจะอารมณ์สลบดี ยามนี้ถีงขั้นกระสับกระส่ายหนัก
สิ่งที่ผู้จัดการซูกล่าวไปก่อนหน้า เขาหาได้สนใจมากนัก สิ่งที่ยังทำให้เขาตกตะลึงที่สุดยังเป็น โอสถล้างพิษขั้นเทวะที่เย่หยวนหลอมกลั่นออกมาได้!
ตอนนี้หยางรุยทราบเพียงว่า เย่หยวนคือเครื่องหลอมกลั่นโอสถที่ยอดเยี่ยมเหนือสิ่งใด!
หากกล่าวตามหลักเหตุและผล เย่หยวนที่ช่วยหอมหาสมบัติหลอมกลั่นโอสถจำนวนมากมายขนาดนี้ เขาควรจะได้รับส่วนแบ่งโดยธรรมชาติ
แต่เย่หยวนกลับไม่ต้องสิ่งพวกนั้น และเต็มใจมอบผลประโยชน์ทั้งหมดให้แก่หอมหาสมบัติ
ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า หอมหาสมบัติเริ่มเดิมพันครั้งใหญ่ได้ถูกข้างแล้ว!
ทีแรกแผนการในหัวของหยางรุยคือ ส่งมอบสมุนไพรวิญญาณและผลึกปราณเทวะให้เย่หยวนในปริมาณมาก หวังเพื่อให้ติดหนี้บุญคุณหอมหาสมบัติ จะกลัวผิดใจไม่กล้าออกไปไหนและอย่าสร้างกำไรต่อไป
ทว่าใครจะไปคิดว่า กลับเป็นฝ่ายหอมหาสมบัติเสียเองที่ติดหนี้บุญคุณเย่หยวนครั้งใหญ่
ผลลัพธ์แบบนี้ หาใช่สิ่งที่เขาเคยนึกเคยฝันมาก่อนไม่
“เด็กหนุ่มคนนี้…น่ากลัวจริงๆ!”
หยางรุนเงียบนิ่งเป็นเวลาครู่ใหญ่ ก่อนเค้นคำเอ่ยประโยคนี้ออกมา
แผนการก่อนหน้าที่วาดวางเอาไว้ ยามนี้กลับไร้ประโยชน์ไปโดยปริยาย
ผู้จัดการซูคิดเห็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน เขาพยักหน้ากล่าวว่า
“ถูกต้องแล้ว เราชายชราเองก็คิดแบบนั้น!”
หยางรุยโบกมือปัดเอ่ยปากขึ้นว่า
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นอย่าไปรบกวนเขาเชียว หากเขาสามารถหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวขึ้นมาได้จริงๆ ต่อไปหอมหาสมบัติแห่งนี้จักถึงคราวผงาดขึ้นสู่ฟ้า! ตอนนี้ปิดข่าวเรื่องที่คุณหนูคนโตของตระกูลเหลียงกำลังฟื้นตัวให้สนิท หากมีข่าวหลุดออกมาเมื่อไหร่ เจ้าจะต้องรับผิดชอบ!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น