Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1304-1308
ตอนที่ 1304
อาคันตุกะนักหลอมโอสถ
ระดับขั้นโอสถศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนกับของโอสถชั้นสามัญทั่วไป
เหนือกว่าขั้นยอดเยี่ยมคือ ขั้นสวรรค์ และเหนือกว่าขั้นสวรรค์คือขั้นเทวะ!
แค่จะหลอมกลั่นโอสถซักชนิดเฉกเช่นโอสถปราณเทวะ การจะหลอมกลั่นให้ได้โอสถปราณเทวะขั้นต่ำจำต้องใช้เวลาฝึกฝนแสนขื่นขมเป็นหลักเดือน
หากลุถึงขั้นสูง อาจต้องใช้เวลาเป็นหลักปีขึ้นไป
ในขณะที่ขั้นเทวะ จำเป็นต้องใช้เวลาเป็นหลักสิบปีกว่าจะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์สักชนิดให้ได้ถึงขั้นเทวะ!
สิบปีแห่งความขื่นขมนี้ คือการฝีกปรือหลอมกลั่นโอสถอย่างบ้าคลั่งต่อเนื่องไม่หยุด!
อย่างไรก็ตาม โอสถศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิดที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าขั้นเทวะ หากนักสู้คนนั้นยังคงบริโภคโอสถชนิดนั้นๆอย่างต่อเนื่อง ฤทธิ์โอสถจะอ่อนลงเรื่อยๆจนไร้ผลในท้ายที่สุด
แต่นั้นมิใช่สำหรับโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะ!
กล่าวได้ว่า หากผู้ใดสามารถหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ให้ถึงขั้นเทวะได้ นั้นอาจสามารถยกระดับอาณาจักรพลังของคนๆนั้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด! ความเร็วในการพัฒนาเหนือชั้นเสียยิ่งกว่าคนอื่นๆนับร้อยเท่าพันเท่าก็ว่าไม่เกินจริง!
ด้วยเหตุนี้ โอสถปราณเทวะขั้นเทวะจึงหาใช่สิ่งของธรรมดาที่หาได้ทั่วไป
หากเปรียบเทียบกับโอสถชั้นสามัญทั่วไปขั้นเหนือฟ้า กระทั่งมันยังไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึงต่อหน้าโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะแม้สักนิด
หากกล่าวให้ถูกคือ โอสถชั้นสามัญขั้นเหนือฟ้ายังมิอาจเทียบชั้นกับโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นสวรรค์ได้เลยด้วยซ้ำ!
ร้านโอสถโดยส่วนใหญ่ พวกเขาจะไม่นำโอสถปราณเทวะขั้นสวรรค์ออกมาจำหน่าย
ส่วนโอสถขั้นเทวะ กลับเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานกันเท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุว่า ทำไมทั้งๆที่เย่หยวนหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้ถึงขั้นยอดเยี่ยมแล้วแท้ๆ แต่หวูเฉินกลับหาได้ชื่นชมใดๆ
สุดท้ายนี้ โอสถปราณเทวะก็เป็นเพียงโอสถศักดิ์สิทธิ์รดับพื้นฐานชนิดหนึ่ง มันยังคงห่างไกลจากโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวไกลโข!
โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว เป็นโอสถที่หลอมกลั่นได้ยากเข็ญเสียยิ่งกว่าโอสถปราณลึกล้ำ!
ในจุดนั้น เย่หยวนจำต้องปลูกฝังแนวคิดความเข้าใจให้ลึกซึ้งกว่านี้เสียก่อน
ความเข้าใจนำมาสู่รากฐานที่มั่นคง!
ดูดซับโอสถปราณเทวะเข้าร่างกายเพื่อเปลี่ยนกลายเป็นพลังปราณเทวะ สิ่งนี้จะช่วยย้ำรากฐานให้หนักแน่นคงทนยิ่งกว่าเดิม
…………………………..
“นายท่านเย่ ในที่สุดท่านก็ออกจากการเก็บตัว! ครั้นล่าสุด ท่านนำโอสถปราณเทวะขั้นสูงมามอบให้แก่หงหยิงคนนี้เป็นกองพะเนิน หงหยิงทึ่งจนเกือบลืมหายใจ! สงสัยว่าคราวนี้ นายท่านเย่จะทำให้หงหยิงคนนี้ได้หยุดหายใจจริงๆกระมัง?”
เมื่อหงหยิงเห็นว่าเย่หยวนตรงออกมาจากห้องบ่มเพาะ นางก็เดินเข้าไปหาทันทีพร้อมยิ้มกว้างทักทายพลางกล่าวติดตลกหยอกล้ออีกฝ่ายเล็กน้อย
หลังจากที่ได้สนทนาคุยกันหลายครั้งเข้า เย่หยวนก็ดูสนิทชิดเชื้อกับหงหยิงขึ้นมาก โดยเฉพาะหลังได้รับของสนับสนุนมากมายจากนาง ทั้งผลึกปราณเทวะและสมุนไพรอีกเป็นคลัง
ซึ่งไม่นานมานี้เอง เย่หยวนก็ผลาญผลึกปราณเทวะและสมุนไพรที่ได้ไปเป็นจำนวนมหาศาลเช่นกัน จนแม้แต่หงหยิงที่รู้เรื่องยังพลันรู้สึกหนักใจอย่างลับๆ
ยิ่งสองสามวันก่อน มีคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มนำเรื่องนี้ไปนินทา
แต่โชคยังดี หลังจากผู้จัดการซูทราบเรื่อง ไม่เพียงเขาจพไม่กล่าวว่าตำหนิใดๆนาง แต่ยังออกหน้าชำระค่าสิ่งของเหล่านั้นแทน และไล่ระงับคำนินทาจนเงียบหายไป
อย่างไรก็ตามแต่ หากเย่หยวนเอาแต่รับอยู่ฝ่ายเดียวโดยปราศจากผลงานเด่น นี่อาจเป็นปัญหาสำหรับหงหยิงที่ย้อนเข้าตัวในภายหลัง
จึงกล่าวได้ว่า หงหยิงกำลังวางเดินพันครั้งใหญ่บนตักเย่หยวนอยู่!
นี่นางใจเด็ดกล้าเสี่ยงขนาดนี้ เพราะนางมองเห็นศักยภาพอันไร้ขัดจำกัดในตัวเย่หยวน!
หากนางสามารถซื้อใจนักหลอมโอสถอัจฉริยะให้ขึ้นตรงกับทางหอมหาสมบัติได้ ในอนาคตต่อไป ตำแหน่งของนางในหอมหาสมบัติจะต้องเลื่อนสูงขึ้นดั่งแพเรือที่ไหลไปตามกระแสน้ำ
เย่หยวนมองผ่านอ่านความคิดคนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แล้วมีหรือจะไม่ทราบถึงแวววิตกที่เร้นซ่อนอยู่ในส่วนลึกบนนัยน์ตาคู่งามนั้น?
“ข้าเองก็มีข้อสงสัย โอสถเม็ดนี้จะมีทุนรอนมากพอให้ประหลาดใจหรือไม่?”
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางเล็กน้อยและวางโอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยมไว้ต่อหน้าต่อตาหงหยิงทันที
คู่ม่านตาดำไสวของหงหยิงหดแคบแทบตีบตันเท่ารูเข็ม เงาสาดสะท้อนจากสายตานั่นเปี่ยมล้นความตื่นตะลึงสุดขีด
“ทะ-ท่าน…นายท่านเย่ นี่…นี่…ช่างน่าทึ่งเกินไปแล้ว!”
หงหยิงแทบสำลักกล่าวติดอ่างไม่เป็นภาษา
ไม่ว่าโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่หลอมกลั่นได้จะอยู่ในระดับขั้นได้ แต่วัตถุดิบและอัตราส่วนที่ใช้ล้วนเท่าเดิมเหมือนกันหมด
นั้นหมายความว่า ขณะที่ราคาทุนเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยิ่งหลอมกลั่นได้โอสถคุณภาพสูงเพียงใด ผลกำไรก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ในทำนองเดียวกัน อธิบายได้ว่า ต้นทุนค่าวัตถุดิบของโอสถปราณเทวะอยู่ที่ผลึกปราณเทวะระดับต่ำสิบก้อนต่อเม็ด หากหลอมกลั่นได้เป็นขั้นยอดเยี่ยม ราคาขายอย่างต่ำที่สุดจะอยู่ที่ผลึกปราณเทวะระดับต่ำห้าร้อยก้อน!
ผลกำไรเพิ่มขึ้นสูงถึงห้าสิบเท่า!
หงหยิงจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่า เย่หยวนจะสามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยมได้เร็วปานนี้?
เย่หยวนยิ้มกว้างแจ่มใส พลางถอดแหวนเก็บของส่งให้แก่หงหยิงและกล่าวว่า
“ผลไม้สุกหอมถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว โอสถปราณเทวะไม่มีประโยชน์สำหรับข้า โอสถทุกเม็ดภายในนี้เป็นของหอมหาสมบัติเพื่อนำไปค้าขายต่อไป”
หงหยิงยื่นมือเข้ารับแหวนเก็บของวงนั้นและเพ็งจิตตรวจสอบทันที เฉพาะเสี้ยวอึดใจนี้ นางถึงกับตะลึงจนเหยื่อเย็นไหลบ่า
ภายในแหวนเก็บของวงนี้ได้จัดเก็บโอสถปราณเทวะเป็นหลักหลายโหล นอกจากนี้ในบรรดาพวกมันทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นโอสถขั้นสูงประมาณหกส่วน มีเพียงสี่ส่วนที่เหลือเป็นขั้นกลางและต่ำปะปนกันไป
ก่อนหน้านี้ จากการหลอมกลั่นครั้งต้นๆของเย่หยวน หงหยิงได้ประเมินไว้ว่า อัตราความสำเร็จของเย่หยวนอยู่ประมาณสามถึงสี่ส่วน
ซึ่งหากกล่าวตามจริง อัตราส่วนประมาณนี้นับว่าค่อนข้างสูงมากแล้ว!
แต่ตอนนี้ นางการันตีได้อย่างเต็มปาก อัตราความสำเร็จของเย่หยวนสูงถึงเจ็ดจากสิบส่วนแล้ว!
หรือก็คือ เขาแทบจะไม่ประสบความล้มเหลวเลย!
เย่หยวนคนนี้จัดได้ว่าน่ากลัวอย่างแท้จริง!
แม้แต่ผู้จัดการซูยังไม่สามารถทำได้ขนาดนี้เลยเช่นกัน
“นะ-นายท่านเย่ โปรดรอหงหยิงสักครู่ ข้าต้องรายงานเรื่องนี้กลับผู้จัดการซูโดยตรง! เรื่องใหญ่แบบนี้มันเกินความรับผิดชอบของหงหยิงคนนี้แล้วจริงๆ”
หงหยิงก้มศีรษะโค้งให้เย่หยวนหนึ่งที และจากไปพร้อมควานตื่นตะลึงสลักใจหาคลายอ่อนไม่
ด้วยบุคลิกนิสัยของเย่หยวน เขามิได้สนใจลาภยศหรือชื่อเสียงอันใดแม้สักนิด แต่ถ้าหากเขาไม่เผยความสามารถออกมาในยามแบบนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่ เขาจะได้ฝ่ายหอมหาสมบัติมาช่วยหนุนหลังสนับสนุน
สิ่งที่เขาจำต้องเผชิญในขณะนี้คือตระกูลเหลียงที่ทรงอำนาจยิ่งในเมืองนี้ แถมทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาเองก็ยังได้รับความเสียหนักจนเกินเยี่ยวยาภายในเวลาอันสั้น หากเขายังไม่หาขั้วอำนาจใดเข้ามาช่วยหนุนหลัง เวทีนี้กลับเป็นเรื่องยากที่จะหาที่เอาชนะตระกูลเหลียงได้
และเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า หอมหาสมบัติแห่งนี้คือผู้ช่วยที่ดีที่สุด
เย่หยวนเชื่อว่า มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ บุคคลระดับสูงของหอมหาสมบัติจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ โดยหาได้แยแสดาวรุ่งดวงใหม่ที่กำลังจะแจ้งเกิดในถิ่นของตัวเองเช่นนี้
เขามั่นใจอย่างยิ่งในเรื่องนี้ เพราะพัฒนาการในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แม้แต่หวูเฉินยังอดทึ่งมิได้ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่หอมหาสมบัติจะไม่แยแสเขาเลย?
แค่โอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยมเพียงเม็ดเดียวมันก็เพียงพอแล้ว!
………………………..
“เจ้ากำลังบอกว่า เยาว์ชนหนุ่มที่ชื่อเย่หยวนสามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยมได้ด้วยค่ายกล?”
ชายคนหนึ่งในชุดอาภรณ์หวูหราตกใจอย่างยิ่งเมื่อได้ฟังรายงานจากปากของผู้จัดการซู
ผู้จัดการซูพยักหน้าและกล่าวตอบว่า
“ขอเดิมพันด้วยประสบการณ์ทั้งหมดของเราชายชรา เรื่องนี้เป็นความจริงแน่นอน! ทั้งผลึกปราณเทวะและสมุนไพรทั้งหมด เขาได้ซื่อจากทางเราและเช่าห้องบ่มเพาะเพื่อใช้เป็นสถานที่หลอมกลั่น ทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นจบจนล้วนอยู่นาสายตาของพวกเราหอมหาสมบัติ จากที่พินิจวิเคราะห์ เขาน่าจะหลอมกลั่นโดยใช้วรยุทธค่ายกลเต๋ากลั่นโอสถ,ค่ายกลปราณเทวะชั้นต้น!”
ชายในชุดอาภรณ์หรูครึ่นรำพึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวขึ้นว่า
“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ หอมหาสมบัติของเราก็โชคดีค้นพบเพชรน้ำงามเข้าให้แล้ว! แต่เจ้าตรวจสอบภูมิหลังของเด็กคนนั้นมาดีแล้ว?”
ผู้จัดการซูกล่าวตอบว่า
“ทำการตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อย เขาได้รับการช่วยเหลือจากคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเหลี่ยงกลางระหว่างเดินทางกลับเมือง ส่วนความเป็นมาโดยกำเนิดกลับไม่ทราบ แต่ตอนนี้…พวกตระกูลเหลียงกำลังออกตามล่าตัวเขาอยู่ เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากระตระกูลเหลียงหลังจากนั้นจะไม่ค่อยดีนัก นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในหอมหาสมบัติและหลอมโอสถแลกเงินเพื่อประทังชีวิต”
ผู้จัดการซูกล่าวเล่าเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดของเย่หยวนให้อีกฝ่ายฟัง
ชายในชุดอาภรณ์หรูประหลาดใจชั่วขณะเมื่อได้ฟังเรื่องราว และกล่าวขึ้นประดับรอยยิ้มบางว่า
“เป็นเช่นนี้นี่เอง เขาจงใจเปิดเผยความสามารถให้พวกเขาเห็น เพื่อขอหลักประกันความคุ้มครองจากทางเรา?”
ผู้จัดการซูกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น!”
ชายในชุดอาภรณ์หรูรำพึงกับตัวเองอีกสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากกล่าวต่อว่า
“หากเป็นไปตามที่เจ้ากล่าวไป เด็กคนนั้นคงเริ่มศึกษาในเส้นทางแห่งโอสถได้ไม่นาน แต่พรสวรรค์กลับน่ากลัวยิ่งนัก! ด้วยสิ่งนี้จะนำพาเขาไปสู่ความสำเร็จอันไร้ขอบเขตในอนาคต! อัจฉริยะประเภทนี้ หากกลุ่มอิทธิพลใดในเมืองกุยฉางทราบเรื่องเข้า มีหวังจับจ้องตาเป็นมัน! เว้นเสียว่าพวกเราจำใจตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ฆ่าเด็กคนนี้ทิ้งไป! มิฉะนั้นห่กปล่อยไว้ อาจเป็นการสร้างศัตรูในอนาคต! เพียงแต่ตอนนี้เราไม่มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้น! ผู้จัดการซู เจ้าจงไปยื่นขอเสนอว่าจ้างเย่หยวนให้มาเป็นอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเขาให้มาลงในบัญชีของทางหอมหาสมบัติโดยตรง นอกจากนี้ เขายังไม่สามารถป้องกันตัวเอง เช่นนั้นส่งหลัวเจียไปคุ้มกันเขา”
ผู้จัดการซูโค้งคำนับให้อีกฝ่ายและกล่าวว่า
“ท่านประมุขหอช่างปรีชายิ่งนัก!”
ผู้จัดการซูทราบดี ประมุขหอหยางรุ่ยผู้นี้เป็นคนมองการณ์ไกล ความคิดอ่านเฉียบคมไม่เป็นสองรองใคร เพียงได้ฟังก็เห็นถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดในตัวเย่หยวนได้ทันที
หยางรุ่ยระเบิดเสียหัวเราะคำโต
“ตาเฒ่า อายุปูนนี้ก็เลิกประจบข้าได้แล้ว! โอ้ใช่แล้ว งานนี้หงหยิงทำได้ดีมาก พนักงานมากความสามารถแบบนี้ควรส่งเสริม มอบโอสถปราณเทวะขั้นสวรรค์แก่นาง”
ผู้จัดการซูกล่าวตอบอย่างยิ้มแย้มว่า
“เช่นนั้นตาเฒ่าคนนี้ขอขอบคุณท่านประมุขหอในนามของหงหยิง”
ตอนที่ 1305
คมดาบของหลัวเจีย!
เมื่อก้าวย่างออกจากหอมหาสมบัติ เย่หยวนก็ถูกจางชุนและยอดฝีมืออีกคนเข้าขวางทางทันที
“น้องเย่ เจ้าปล่อยให้พวกเราเฝ้ารอแสนขื่นใจนัก หายตัวเข้ากลีบเมฆเป็นเดือน!”
จางชุนกล่าวขึ้นกล่าวขึ้นพร้อมแสยะยิ้มอย่างขมขื่นใจ
เย่หยวนตระหนักชัด สองคนนนี้เจตนาหาเรื่องชัดแจ้ง ยามนี้แสร้งทำเป็นมึนงงไร้เดียงสาและกล่าวถามพลางเติมแต่งสีหน้าใสซื่อว่า
“กำลังรอข้าอยู่งั้นรึ? พอดีข้าได้ยินมาว่าหอมหาสมบัติแห่งนี้เปิดให้เช่าห้องบ่มเพาะพลัง เนื่องจากไม่อยากรบกวนตระกูลเหลียงจนเกินไป จึงเปิดเช่าห้องของที่นี่เพื่อฝึกปรือ”
จางชุนมึนตึบกล่าวถามว่า
“ฝึกปรือ?”
ได้ข่าวว่าทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสียหายขั้นรุนแรง แล้วจะเอาอะไรไปฝึกปรือ?
หาข้ออ้างพล่ามแบบนี้ ดูท่าจะเนียนตามากกระมัง?
เย่หยวนยิ้มแต่มิได้ตอบอันใดกลับไป ก็ถูกอย่างที่กล่าวไป ฝึกปรือหลอมกลั่นโอสถ หรือเขาใช้คำผิดกัน?
จางชุนหัวเราะแห้งตอบ ยามนี้เขาแสร้งทำเป็นนสวกับนึกเหตุหมายที่มาได้กระทันหัน เร่งโพล่งกล่าวเสียงสั่นสีหน้าซีดลงทันที
“โอ้ใช่แล้ว! คุณหนูใหญ่กำลังป่วยหนัก ไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อยกระทั่งดื่มน้ำยังไม่ไหว คุณหนูรองบอกกว่านางสนิทกับเจ้าที่สุดแล้ว เช่นนั้นจึงเร่งปรี่มารอเจ้าถึงที่นี่ เร็วเข้า หากคุณหนูใหญ่พบหน้าเจ้า บางทีอาการอาจจะดีขึ้น!”
สองคู่หู่จางชุนเฝ้ารอเย่หยวนจนแทบรากงอกแล้ว แน่นอนว่าพวกเขารู้สึกได้ว่า เย่หยวนจะต้องรู้อะไรบางอย่างถึงได้ไหวตีออกห่างตระกูลเหลียงแบบนี้ จึงเป็นสาเหตุที่พวกเจ้าต้องโกหกเพื่อล่อเย่หยวนกลับไป
บนท้องถนนกลางเมืองแบบนี้ ฝูงชนชุกชุมสุดสายตา เป็นเรื่องยากที่จะลงมือจัดการเย่หยวนเด็ดขาด
ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว จางชุนก็มิได้ถือว่าโกหกเช่นกัน
เพราะ ณ ปัจจุบัน เหลียงหวางหรูใกล้ตายแล้วจริงๆ!
แน่นอน พอได้ยินแบบนั้นเย่หยวนเร่งตีบทแตก สีหน้าการแสดงออกของเขามืดลงฉับพลันกล่าวว่า
“เกิดอะไรขึ้น?!”
จางชุนผันแปรสีหน้าคล้ายไม่สบายใจเท่าไหร่นักพร้อมกล่าวตอบไป
“จางคนนี้มิทราบเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่! เพียงว่า ระยะนี้นางดูซึมเศร้าหม่นหมองใจยิ่ง นางเริ่มกินข้าวน้อยลงจนน่าเป็นห่วง กระทั่งตอนนี้ติดเตียงลุกไปไหนไม่ได้แล้ว!”
เย่หยวนขมวดคิ้วยับยู่และกล่าวว่า
“กลับตระกูลเหลียงกันเถอะ!”
จากนั้นเย่หยวนเร่งฝีเท้าวิ่งนำกลับตรพะกูลเหลียงทันที จางชุนและยอดฝีมืออีกคนต่างสบสายตากันด้วยความดีใจ
แต่จางชุนพลันสังเกตเห็นว่า ข้างกายเย่หยวนกลับมีบุรุษชุดซอมซ่อกอดดาบอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากพวกเขากำลังรีบจึงมิได้เอ่ยถามอะไรไป
แต่สัญชาตญาณจากเบื้องลึกในใจของจางชุนเอ่ยเตือนไม่หยุดหย่อน บุรุษคนนี้แม้แต่เขาไม่สามารถหยั่งถึงได้เลย
เนื่องจากระยะทางระหว่างหอมหาสมบัติกับตระกูลเหลียงหาได้ไกลกันนัก เพียงเย่หยวนเร่งฝีเท้าครู่เดียวก็มาถึงในไม่ช้า
มาถึงตรงนี้ จางชุนเห็นว่าบุรุษชุดซอมซ่อที่กอดดาบอยู่ตลอดเองก็ต้องการที่จะเข้าไปด้วย เห็นเช่นนี้เขาจึงเร่งปรี่ตัวเข้าขวางเพื่อหยุดอีกฝ่ายทันที
“พี่ชาย เนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่ของตระกูลเหลียง โปรดรออยู่ตรงนี้!”
บุรุษที่กอดดาบทำราวกับมิได้ยินเสียงของจางชุน เขายังคงก้าวแช่มตรงเข้าสู่ตรพะกูลเหลียงอย่างสงบเยือกเย็น
สีหน้าของจางชุนและยอดฝีมืออีกคนมืดทมิฬฉับพลัน ทั้งคู่พยักหน้าให้กันอย่างรู้งาน พร้อมเตรียมเคลื่อนไหวลงมือฉับไว
ทว่าเพียงเสี้ยวความพินิจความคิด สายลมหอบหนึ่งกระโชกซัดใส่ทั้งคู่พร้อมเสียงลมหวนกึกก้องดังหอน
ทั้งคู่หน้าถอดสีในบัดดล ทั่วร่างสั่นเทาไม่หยุดพลางขนลุกซู่วยันหนังศีรษะชี้ตั้งตระหง่าน
ปลายผมสองเส้นบางร่วงลอยลงมา แผ่นหลังของทั้งคู่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
ช่างเป็นคมดาบที่ฉับไวยิ่ง!
พวกเขายังไม่ทันสังเกตเลยว่า บุรุษชุดซอมซ่อผู้นี้โจมตีตั้งแต่ตอนไหน!
สองคู่หูจางชุนไม่คิดสงสัยแม้แต่น้อย ตราบใดที่บุรุษชุมซอมซ่อผู้นี้มีจิตคิดประหาร ศีรษะของพวกเขาได้หลุดจากบ่าในพริบตาแน่!
ยามนี้สองคู่หู่จางชุนยืนแข็งค้างดั่งรูปปั่นหินประดับหน้าประตูตระกูลเหลียง ส่วนเย่หยวนหาได้แยแสสนใจพร้อมย่างสามขุมตรงเข้าสู่ภายใน ขณะที่บุรุษชุดซอมซ่อยับงคงกอดดาบก้าวแช่มติดตามไม่ห่างกาย
“ท่านอาวุโส หวางหรูอยู่ที่ใด?”
เย่หยวนสื่อจิตเอ่ยถามด้วยเสียงเคร่งขรึม
“อยู่ในคุกใต้ดินตำหนักหลังสวน ข้าพาเจ้าไปเอง”
หวูเฉินกล่าว
ภายใต้การนำทางของหวูเฉิน เย่หยวนก็พบทางเข้าคุกใต้ดินในไม่ช้า
ยามที่เฝ้าคุกใต้ดินล้วนเป็นมนุษย์ไร้วรยุทธ เย่หยวนซัดกระหน่ำพวกนั้นกระเด็นไร้ทิศทางด้วยกำปั้นหนัก
ภายในคุกใต้ดินแห่งนี้ เย่หยวนพบเหลียงหวางหรูที่นอนหมดสติ ร่างกายซูบผอมจนน่ากลัว
ดวงตาทั้งสองข้างของนางจมลึกเล็กน้อย ใต้ตาออกเป็นสีดำม่วงเหมือนกับริมฝีปากของนาง เห็นได้ชัดว่า นางถูกวางยาพิษขั้นร้ายแรง
คู่ดวงตาสีเทาหม่นไร้แวว ยามนี้ท่อประกายแผ่วบางเมื่อเห็นหน้าเย่หยวน
ในขณะที่เย่หยวนรู้สึกขื่นขมระทมใจยิ่ง ไฉนสาวน้อยผู้มีจิตใจงามเช่นนี้ถึงได้รับการปฏิบัติดูแลอย่างไม่เป็นธรรมขนาดนี้?
เขาก้มตัวนั่งยองข้างนางและกล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า
“ไม่เป็นไรแล้ว ออกไปพร้อมกันกับข้าเถอะ”
คู่สายตาหม่นไร้ประกายเผยแววสู้ชีวิต นางพยายามผงกหัวตอบ
เย่หยวนสูดหายใจลึกๆ พร้อมหลากหลายอารมณ์ที่พรั่งพรูเข้าสู่จิตใจ สำหรับสาวน้อยนางนี้ เขายังคงไว้ไมตรีผูกพันดั่งมิตรสหายคนหนึ่ง
เขาค่อยๆช้อนมือและอุ้มร่างของเหลียงหว่างหรูออกไปโดยตรง
บุรุษในชุดซอมซ่อผู้นี้มิใช่ใครอื่นนอกจากหลัวเจียที่ประมุขหอหยางรุ่ยส่งมา เขาผู้นี้ตามติดเย่หยวนดั่งเงา หาได้แสดงสีหน้าความรู้สึกใดๆออกมาให้เห็นเลย
“วันนี้ข้า,เย่หยวนนับเป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว!”
ตอนเดินผ่านหน้าหลัวเจีย เย่หยวนหยุดฝีเท้าเล็กน้อยและกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย
หลัวเจียพยักหน้าเล็กน้อย แต่หาได้แสดงสีหน้าหรือวาจาคำกล่าวอันใด และเขายังคงตามติดเย่หยวนไม่ห่างกายเช่นเดิม
แต่ทันทีที่พวกเขาขึ้นมาจากคุกใต้ดิน ก็มีกลุ่มยอดฝีมือมากมายตีกรอบรุมล้อมปิดกั้นทุกทางหนี
ทั้งสองคนเบื้องหน้าที่ยืนรออยู่หาใช่ใครอื่นนอกจาก คู่สามีภรรยา เหลียงหมิงอี้และหลัวเพียนหลานอย่างแม่นยำ
“เย่หยวน! ไอ้คนอกตัญญู เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ! บุตรสาวของข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตเจ้า แต่เจ้ากลับใช้ความกตัญญูตอบแทนบุณคุณโดยการทำร้ายคนของตระกูลเหลียงบาดเจ็บ!”
เหลียงหมิงอี้ตะโกนลั่น
เย่หยวนสาดสายตาเย็นเฉียบจับจ้องอีกฝ่าย แววประกายส่องสะท้อนจากนัยน์ตาเปี่ยมล้วนจิตอาฆาตเจืออำมหิตฟลายส่วน
ว่ากันว่า แม้แต่เสือยังไม่กินลูกของมันเอง ทว่าเดรัจฉานเหลียงหมิงอี้ตัวนี้กลับต่ำทรามเสียยิ่งกว่าสัตว์เหล่านั้น
“หึ แค้นนักรึไง? ชุมนุมอสูรในครั้งนั้นก็เป็นแกจงใจจัดฉากขึ้นมาเอง! หลงเสน่ห์โสเภณีนางนี้ จึงวางมาดเป็นวีรบุรุษ! แท้ที่จริงกลับแค่เศษสวะชิ้นหนึ่ง!”
หวังเพียนหลานกล่าวเย้ยหยันด้วยความรังเกียจ
เหลียงหวางอี้ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน เขาค่อนข้างอ่อนไหวอย่างยิ่งกับคำว่า‘โสเภณี’
หากลูกสาวของตนเองเป็น‘โสเภณี’ แล้วตัวเขาเป็นอะไร?
แต่ในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่า มันมิใช่เวลามายืนทะเลาะแตกคอกันเอง
ในที่สุดเย่หยวนก็ตระหนักได้ว่า สันดานของตระกูลนี้กลับเดรัจฉานกันทั้งบ้าน
เหลียงหวางหรูที่เกิดท่ามกลางผู้คนภายในตระกูลบัดซบนี้ แต่ก็ยังสามารถรักษาธาตุแท้เดิมเอาไว้ได้ มิใช่สันดานเสียแบบคนอื่นๆ ซึ่งนี่มิใช่เรื่องง่าย เย่หยวนรู้สึกนับถือจากใจจริง
“อตัญญู? คนเป็นพ่อยังกล้าวางยาพิษใส่ลูกตัวเองจนนอนทรมานรอความตาย ยังกล้าพูดเรื่องจริยธรรมกับคนอื่นอีกรึ? คุณหนูหวางหรูช่วยชีวิตข้า นายน้อยผู้นี้ย่อมต้องตอบแทนเป็นธรรมดา แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับพวกท่าน?”
เย่หยวนกล่าวขึ้นเสียงเย็นสะท้าน
“ช่างน่าขันสิ้นดี! นางเป็นบุตรสาวของข้า นั้นเท่ากับว่าตระกูลเหลียงช่วยชีวิตเจ้า! เจ้าไม่คิดแม้แต่จะตอบแทน แถมยังกล้าลักพาตัวบุตรสาวข้าไปอีก! ในวันนี้ เจ้าอย่าหวังเดินออกจากตระกูลเหลียงได้!”
เหลียงหมิงอี้คำรามด่า
เย่หยวนเพียงครี่ยิ้มบางพลางกล่าวตอบว่า
“ตอบแทน? จะเอาอะไรล่ะ? วิชาควบคุมอสูรของข้า?”
ทันทีที่เหลียงหมิงอี้และหวังเพียนหลานได้ยินคำว่า‘วิชาควบคุมอสูร’ แววตาพวกเขาพลันเปล่งประกายขึ้นทันทีด้วยความโลภ
แต่เหลัยงหมิงอี้ค่อนข้างหัวไว เขาจะแสดงความโลภออกมาจนเด่นชัดขนาดนั้นได้อย่างไร?
“หึ! อย่าให้ข้าต้องเสียแรงลงมือ! ลักพาตัวเหลียงหวางหรูนับเป็นโทษร้ายแรงมิอาจให้อภัย! วางหวางหรูลงเดี๋ยวนี้และจงยอมจำนนเสีย! หากให้ความร่วมมือ บางทีท่านประมุขผู้นี้ยังพอไว้ชีวิตเจ้าได้!”
เหลียงหวางอี้กล่าวขึ้นและเดินตามแผนชั่วที่วางไว้อย่างแนบเนียน
เย่หยวนจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา พลางกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“ท่านประมุขเหลียง พ่ออย่างท่านกระทั่งชีวิตลูกตัวเองยังยอมขาย ตั้งแต่นายน้อยผู้นี้ลืมตาดูโลกยังไม่เคยพบเจอผู้ใดบัดซบเท่าท่านมาก่อน! อย่างงี้เสีย หากท่านมีปัญญาหยุดข้าได้จริงๆ ก็รีบๆเข้ามาเถอะ”
เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็อุ้มเหลียงหวางหรูออกไปโดยไม่แยแสสนใจใดๆอีก
“หึ! ไอ้เด้กพิการนี่ช่างหน้าด้านกล้าอวดดี! ลำพังคิดจะพึ่งพาแค่สหายซอมซ่อที่พกมาด้วย? เอาสวะเช่นนี้มาแค่ตัวเดียว คิดดูแคลนตระกูลเหลียงมากเกินไปแล้ว!”
เหลียงหมิงอี้เค้นหัวเราะเย็นหนึ่งคำ ทันใดนั้นยอดฝีมือนับหลายสิบปราดเข้าโจมตีเย่หยวนและหลัวเจียทันที
พินิจจากรัศมีกลิ่นอายของพวกเขาเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นทั้งสิ้น!
วูบ! วูบ! วูบ!
ร่างนับหลายสิบคนพุ่งเข้าจู่โจมเย่หยวนก่อน เพื่อปิดกั้นโอกาสหลัวเจียมิให้ยื่นมือมาช่วยทัน
แต่เสี้ยวอึดใจนั้นเอง ทัศนีภาพของทุกคนพลันพร่าวมัวหนัก สายลมซัดกระชากหอบใหญ่ เสียงกรีดร้องคร่ำครวญดังระงมลั่นในทันใด
ชวิ๊ง! ชวิ๊ง! ชวิ๊ง!
ประกายคมดาบสีโลหิตจรัสฉาย!
ยอดฝีมือขงอตระกูลเหลียงนับหลายสิบกระเด็นกระดอนออกไปเสียกระบวนไร้ทิศทาง
ม่านตาดำของเหลียงหมิงอี้พลันหดแคบฉับพลัน เขาเร่งขยับขยายสายตามองไปที่หลัวเจียด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ขณะอึดใจต่อมา เขาอุทานดังลั่นประหนึ่งเห็นผี
“จอมดาบคลั่ง! เจ้า…เจ้าคือจอมดาบคลั่งแห่งหอมหาสมบัติ,หลัวเจีย!!”
รูปลักษณ์หน้าตาของหลัวเจียกลับไม่คุ้นนักต่อสาธารณะชน แต่นามขาน จอมดาบคลั่ง กลับเป็นที่เลื่องลือกึกก้องทั่วสารทิศ
เพลงดาบของเขาเป็นเอกลักษณ์เด่นชัด ขณะที่เขาสำแดงใช้ต่อหน้า มีหรือที่เหลียงหมิงอี้จะจำไม่ได้เชียว?
เพลงดาบที่บิดพลิ้วแต่ดุดันป่าเถื่อนขนิดนี้ ยังเป็นใครได้อีกนอกจากจอมดาบคลั่ง,หลัวเจีย?
“เย่หยวนเป็นอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ ผู้ใดกล้าแตะต้องเขา มันผู้นั้นคือศัตรูของคมดาบในมือข้า!”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวเจจียเอ่ยปากกล่าวขึ้น
ตอนที่ 1306
เตะชนแผ่นเหล็ก
“อะ-อาคันตุกะนักหลอมโอสถ? น้องหลัว เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่? คนพิการจะไปหลอมกลั่นโอสถได้อย่างไร?”
พลางกล่าวออกไปแบบนั้น แค่เหลียงหมิงอี้รู้สึกได้ว่า นี่หาใช่เรื่องตลกไม่!
แต่…เย่หยวนไม่มีแม้แต่ร่องรอยพลังปราณเทวะหลงเหลืออยู่ในกายาเลย แล้วจะไปใช้อะไรหลอมกลั่นกัน?
อย่างไรก็ตาม หลัวเจียผู้นี้คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งหอมหาสมบัติ ซึ่งเป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย!
ชายผู้นี้คลั่งดาบยิ่งกว่าข้าวสามมื้อ เพลงดาบของเขาสำเร็จถึงระดับสูงสุด พลังฝีมือถึงขั้นที่ว่าเทียบเทียมได้กับเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด ไม่เป็นรองหรือเสียเปรียบกว่าอันใด
ชายผู้นี้มิใช่บุคคลที่จะไปยั่วยุได้เลย!
ดังนั้น เหลียงหมิงอี้จึงตกใจแทบสะดุ้งโหย่ง ที่จู่ๆหลัวเจียปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ยามนี้ไม่ต้องสงสัยแล้วว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเย่หยวนกับหอมหาสมบัติหาใช่ตื้นเขินไม่
หลัวเจียผู้นี้มิใช่คนที่ชายพอการไร้ความสามารถอย่างเย่หยวนจะสามารถสั่งให้ทำโน้นทำนี่ได้
แต่ใครจะทราบ หลังจากหลัวเจียกล่าวจบประโยคไป เขาก็มิได้เอ่ยปากส่งเสียงใดๆอีกเลย ราวกับกลับกลายมาเป็นคนใบ้อีกครั้ง
ท่าทีสุขุมเยือกเย็นชนิดนี้ ส่อแววน่าเกรงขามสุดขีด
“ท่านประมุขเหลียง ดูท่าท่านยังคงกังขาสงสัย ถ้าอยากรู้ก็มาค้นหาคำตอบเอาเอง…หากท่านมีความสามารถพอ”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมเหลียวหางตาจับจ้องอย่างหยามเหยียด
เหลียงหมิงอี้อดสำลักมิได้เมื่อได้ยินแบบนั้น ทว่าเขาในตอนนี้กลับต้องระมัดระวังเป็นหลายเท่าตัว
เขาหาใช่คู่มือของหลัวเจียผู้นี้ได้เลย!
หวังเพียนหลานเร่งโพล่งตะคอกขึ้นทันทีด้วยความกระวนกระวายไม่เป็นดั่งใจ
“หมิงอี้ เจ้าจะไปกลัวพวกมันทำไม? เมืองกุยฉางแห่งนี้หาใช่อาณาเขตของพวกมันหอมหาสมบัติ แถมยังมีพวกเขาตระกูลหวังคอยหนุนหลังอีก แล้วหอมหาสมบัติจะไปทำอะไรได้? ไปเรียกท่านลุงสองมา ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่าหลัวเจียมันจะมีดีอย่างที่กล่าวขานจริงๆหรือไม่!”
หวังเพียนหลานกระชากแขนเสื้อดึงสติเหลียงหมิงอี้ นางพยายามแสดงให้เห็นว่า สุดท้ายนี้เย่หยวนกลับไม่มีค่าอันใดให้ต้องหวาดกลัว
ซึ่งในท้ายที่สุด ยังคงเป็นเพราะความโลภที่ครอบงำจิตใจไม่เสื่อมคลาย
สีหน้าการแสดงออกของเขาสงบเยือกเย็นขึ้นในเวลาต่อมา ก่อนเอ่ยสั่งไปว่า
“ไปเชิญท่านลุงสองมา! บอกเพียงว่ายามนี้ตระกูลเหลียงประสบหายนะ มีศัตรูโฉดชั่วบุกเข้ามา โปรดท่านลุงสองยื่มมือช่วยเหลือ! ส่วนพวกเจ้าที่เหลือเข้าโจมตีพร้อมกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่า หลัวเจียจะมีปัญญาปกป้องไอ้พิการนั้นได้หมด!”
ภายใต้คำสั่งการของเหลียงหมิงอี้ เหล่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าต่างรุดระดมพล ตีกรอบห้อมล้อมพวกเย่หยวนทั้งสามไว้อีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้เอง สถานการณ์ถึงพลิกกลับสู่วิกฤติอีกครั้ง
ทว่าเย่หยวนกับหลัวเจียทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขายังคงก้าวแช่มออกไปโดยหาได้สนใจรอบข้างแม้แต่น้อย พร้อมกำลังจะเดินจากไป
เผชิญกับพวกเขาที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนแบบนี้ เหล่ายอดฝีมือตระกูลเหลียงต่างครั่นคร้ามขึ้นหลายส่วน ถึงยังตีกรอบล้อมเช่นนั้น แต่กลับไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวเปิดฉาก
“รีบๆฆ่าพวกมันสักที! หากใครขัดขืนนับเป็นศัตรูกับตระกูลเหลียงและตระกูลหวัง!”
หวังเพียนหลานโวยวายเสียงดังลั่น ทุกคนได้ฟังเช่นนั้น ตัวสั่นเทาด้วยความวิตก
ท้ายที่สุดนี้ พวกเขาได้แต่กัดฟันเริ่มเคลื่อนไหวอย่างจนใจ แต่ยังไม่ทันยกไม้ยกมือ สายลมกระโชกแรงหอบใหญ่ตัดผ่านหน้าทันทีทันควัน
“อ๊ากกกก!!”
เสียงกรีดร้องคร่ำครวญอย่างสุดแสนเวทนาดังกึกก้อง มือของเหล่ายอดฝีมือตระกูลเหลียวถูกตัดขาดสะบั้นหลุดลอยเคว้งกลางอากาศ ยามนี้ทั่วทั้งบริเวณกลางเป็นบ่อน้ำพุเลือดสดที่พุ่งกระชูดไม่หยุดหย่อน
ยังไม่ทันเห็นว่าหลัวเจียโจมตีตั้งแต่ตอนไหน ทว่ายามได้สติอีกครั้ง ข้อมมือของพวกเขาทุกคนก็ถูกตัดขาดไปเสียแล้ว
พวกที่เหลือรอดถึงกับขวัญเสียหนัก คู่ขาสั่นเทาก้าวไม่ออกแม้สักนิด
ไม่ว่าหวังเพียนหลานจะตะโกนขู่เข็ญอย่างไร ทว่าพวกเขาเองก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน
กระทั่งการโจมตีของอีกฝ่ายยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำ แล้วจะเอาอะไรไปสู้?
เย่หยวนกับหลัวเจียยังคงก้าวแช่มออกไปโดยไม่แยแสใดๆ พร้อมตรงออกไปถึงหน้าประตูตระกูลเหลียงเตรียมจากไปไม่เร่งไม่รีบ
การปรากฏตัวในครั้งนี้ ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือโดยแท้
ตระกูลเหลียงไม่สามารถทำอะไรเย่หยวนได้เลย
เหลียงหมิงอี้เองก็เป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง ต่อหน้าหลัวเจียผู้นี้ มีหรือจะกล้าแม้แต่จะขยับตัว?
เหลียงหมิงอี้ทราบดี หลัวเจียไม่เคยสนใจเลยว่าศัตรูหรือคู่ต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด เพราะเขาย่อมทุ่มสุดตัวถึงเลือดถึงเนื้อเมื่อต้องออกโรง
ไม่แกตายข้าก็พินาศ!
ขณะที่เย่หยวนและหลัวเจียกำลังจะออกไป เหลียงหมิงอี้และหวังเพียนหลานพลันถอดสีหน้าทันที
ทว่าเวลานั้นเอง ทัศนียภาพเบื้องหน้าพลันเบลอพร่าหนัก ชายชราคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นขวางหน้าประตูตระกูลเหลียง
“ท่านลุงสอง!”
ยามนี้เมื่อเหลียงหมิงอี้เห็นชายชราคนนั้น เขาก็ดีอกดีใจอย่างยิ่ง
ชายชราคนนี้เป็นลุงคนรองของเหลียงหมิงอี้ และยังมีพลังฝีมือสูงที่สุดของตระกูลเหลียงในปัจจุบัน เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย,เหลียงฮุย
“หมิงอี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ก่อนหน้าที่กำลังจากการปลีกวิเวก เขาเองก็ยังได้ยินกรีดร้องดังระงมทั่วทั้งลานกว้างหลังตำหนัก
“ท่านลุงสอง หวางหรูถูกไอ้บัดซวบสองตัวนั้นลักพาตัวไป! ทั้งๆที่นางมีจิตเมตตาช่วยชีวิตระหว่างทาง แต่ใครจะไปรู้ไอ้บัดซบนี่กลับเป็นหมาป่ากระหาย จ้องครอบครองความงามของหวางหรู จนถึงขั้นบุกเข้ามาในตระกูลเหลียงโดยตรงเช่นนี้!”
เหลียงหมิงอี้กล่าวขึ้น
เมื่อเหลียงฮุยได้ยินแบบนั้นพลันอดโมโหมิได้ เขาสาดสายตาใส่เย่หยวนเจือแววอำมหิตเปี่ยมล้นและกล่าวว่า
“ปรากฏว่า มีคนพิการกล้าอวดดีกับตระกูลเหลียงของข้าจริงๆ?”
เหลียงหมิงอี้เร่งกล่าวต่อ
“มิทราบเลยว่าไอ้เด็กบัดซบนี้หยิบใช้กลอุทายอันใดออกมา ถึงได้ล่อลวงให้หอมหาสมบัติถึงขั้นออกโรงมาปกป้องขนาดนี้! ถึงขั้นที่ว่าฝ่ายนั้นส่งหลัวเจียออกมาคอยคุ้มกัน มันจึงได้ใจบุกทำร้ายพวกเราเช่นนี้!”
เหลียงฮุยสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนปราดสายตาเหลียงมองไปยังชายในชุดซอมซ่อที่อยู่ด้านหลังเย่หยวน
เหลียงหมิงอี้เห็นแบบนั้น กล่าวเสริมเติมต่อว่า
“ท่านลุงสอง ยามนี้มีแค่เหลัวเจียตามลำพัง จัดการเสร็จสรรพ จับไอ้เด็กพิการนี้มาทรมานเป็นบทเรียน!”
สีหน้าเหลียงฮุยมืดขรึมลง เขาพยักหน้ากล่าวตอบว่า
“ไม่มีปัญหา! พลังฝีมือหลัวเจียผู้นี้นับว่าแกร่งกล้า เราชายชราจะสกัดยับยั้งเอาไว้ ยามนั้นเร่งไปจับตัวเด็กนั้นมาลงโทษ!”
เหลียงหมิงอี้รู้สึกตื่นอกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ฟังเช่นนั้น
“โปรดมั่นใจเถอะ ไอ้เด็กนั้นแค่คนพิการ กลับหาใช่ปัญหาไม่!”
เหลียงฮุยพยักหน้าตอบ ยามนี้หันมากล่าวกับหลัวเจียว่า
“หลัวเจีย! เจ้าเป็นถึงจอมดาบอันดับหนึ่งแห่งหอมหาสมบัติ แต่วันนี้ เจ้ากลับรังแกตระกูชลเหลียงของข้าจนเกินไป! เราชายชราขอท้าพิสูจน์ นามขานจอมดาบอันดับหนึ่งแห่งหอมหาสมบัติ ตัวเจ้าสมควรได้รับจริงหรือเท็จ!”
หลัวเจียยังคงยืนเงียบไม่ไหวติง ราวกับว่าบนผืนพิภพแห่งนี้มีเพียงเขาอยู่ตัวคนเดียว
เหลียงฮุยสีหน้ามืดตก ร่างของเขาพุ่งปราดตรงออกไปทันที มือข้างหนึ่งเรียกดาบวิเศษจับกระชับแน่น เพียงเสี้ยวประกายแสงวูบวาบ กลับหาทราบไม่ว่าคมดาบก็ลุถึงหลัวเจียตั้งแต่เมื่อไหร่
ระหว่างระดับชั้นของอาณาจักรปฐมพระเจ้า กลับเป็นช่องว่างที่หาสิ่งใดทดแทนไม่ มันเหลื่อมล้ำชนิดนี้กว้างใหญ่ประดุจฟ้าดิน
ถึงหลัวเจียนและเหลียงฮุยจจะเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายเหมือนกัน แต่ด้วยประสบการณ์ตามอายุ กลับยังปรากฏระยะห่างอยู่พอสมควร
ซึ่งความแกร่งกร้าวของเหลียงฮุยเองก็เข้าใกล้อาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดแล้วเช่นกัน ผนวกกับประสบการณ์สุดเจนจัด กระบวนโจมตีนี้สะเทือนฟ้าสะท้านปฐพีอย่างแท้จริง
ในขณะเดียวกัน เหลียงหมิงอี้เองก็เคลื่อนไหวออกมาอย่างพร้อมเพรียง!
เป้าหมายของเขาก็คือเย่หยวน!
แม้หลัวเจียจะได้ชื่อว่าเป็น จอมดาบอันดับหนึ่งแห่งหอมหาสมบัติ แต่เนื่องจากพลังฝีมือของเขาใกล้เคียงออกเป็นรองเหลียงฮุยอยู่หนึ่งส่วน การจะสลัดออกจากเหลียงฮุยให้หลุด กลับเป็นไปได้ภายในเวลาอันสั้น
ทว่าทันใดนั้นเอง ยามนี้กลับมีพายุคลั่งก่อตัวขึ้นฉับพลัน!
เกร๊งงง!
คล้ายเสียงกริ่งแหลมคมแผดดังขึ้น!
ในที่สุด ทุกคนต่างก็ได้เห็นหลัวเจียจับดายขึ้นมาประจักษ์แก่สายตาเสียที!
ไร้ซึ่งจิตสังหารแห่งดาบ ปราศจากพลังปราณเทวะ สิ่งเดียวที่เห็นมีเพียงคมดาบยาวที่ยกชูชันขึ้นมา
เกร๊งงง!
เสียงโลหะปะทะแผดก้อง
พร๊วดดด!
ดาวยาวของหลัวเจียแทงทะลุกลางอกของเหลียงฮุยเข้าอย่างโหดเหี้ยม
อย่างไรก็ตามแต่ พลังสภาวะกลับหาได้ลดทอนลงแม้แต่น้อย ร่างของเหลียงหมิงอี้เพิ่งทะยานได้ครึ่งทาง ยามนี้พลันต้องสกัดต้านคมดาบของหลัวเจียที่ปราดพุ่งเข้ามาแทน!
คู่ดาบยาวเข้าปะทะ สะเก็ดไฟสาดกระเซ็นจากคมโลหะ ผู้คนโดยริบได้แต่จับจ้องด้วยความหวาดกลัว เนื่อตัวสั่นเทาไม่หยุดหย่อน
“นี่…ไฉนถึงแข็งแกร่งปานนี้? อีกเพียงก้าวเดียว ผู้อาวุโสสองก็ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจจ้าขั้นสุดแล้วแท้ๆ แต่ไฉนถึงพ่ายต่อหลัวเจียในหนึ่งกระบวนเช่นนี้!”
“ทำอะไรได้? จอมดาบอันดับหนึ่งแห่งหอมหาสมบัติช่างแกร่งกล้าสมคำล่ำลือ!”
“ตอนนี้ตระกูลเหลียงเตะชนแผ่นเหล็กแข็งแล้วจริงๆ หอมหาสมบัติกลับมิใช่กลุ่มอิทธิพลที่ควรยั่วยุเลย!”
เหล่ายอดฝีมือตระกูลเหลียงที่ยังเหลือต่างประหลาดใจยิ่งกับภาพฉากเมื่อครู่ ในขณะที่เย่หยวนยังคงอุ้มเหลียงหวางหรู พร้อมก้าวย่างออกจากประตูตระกูลเหลียงไปโดยหาได้แยแสใดๆไม่
ตอนที่ 1307
ไปให้ขายขี้หน้า?
“ผู้อาวุโสเฟิง เป็นอย่างไรบ้าง?”
ภายในห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสของหอมหาสมบัติ เย่หยวนกำลังเอ่ยปากถามไถ่เฟิงปิงที่กำลังจับชีพจรของเหลียงหวางหรูด้วยความกังวลใจยิ่ง
เฟยปิงผู้นี้เป็นหัวหน้านักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ ภายใต้คำขอร้องจากผู้จัดการซู เขาจึงเดินทางมาหาเพื่อวินิจฉัยอาการของเหลียงหวางหรู
ถึงเย่หยวนจะขึ้นชื่อว่าเป็น จอมเทพโอสถ แต่เขาก็ทำได้เพียงหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ส่วนเรื่องอาการของเหลียงหวางหรู เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เฟิงปิงส่ายศีรษะเล็กน้อยพลางถอนหายใจกล่าวตอบว่า
“ร่างกายของแม่นางหวางหรูเป็นเพียงมนุษย์ แต่พิษที่นางได้รับกลับเป็นถึงพิษระดับศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นนางจะทนความทรมานขนาดนี้ได้อย่างไร? คุณสมบัติของพิษชนิดนี้จะค่อยๆกัดกร่อนร่างกายอย่างช้าๆ และจะแล่นเข้าสู่หัวใจในท้ายที่สุด!”
เย่หยวนถึงกับหน้าเสียทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ณ ปัจจุบันเขาไร้ซึ่งพลังปราณเทวะใดๆในร่างกาย และไม่สามารถช่วยเหลือเหลียงหวางหรูใดๆได้เลย
แต่ในฐานะที่เป็นนักหลอมโอสถเหมือนกัน เย่หยวนย่อมทราบดีถึงความหมายที่ว่า หากพิษแล่นเข้าหัวใจได้ ผลลัพธ์ต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร
ไม่ว่าพิษจะอ่อนเพียงใด แต่หากปล่อยไว้จนแล่นเข้าสู่หัวใจได้สำเร็จ ยามนั้นแม้แต่จักรพรรดิหยกยังหมดปัญญาช่วยเหลือ!
“ผู้อาวุโสเฟิง หรือเป็นไปได้ไหมว่าจะไร้หนทางช่วยจริงๆ?”
เฟิงปิงส่ายหัวอีกครั้งและกล่าวตอบอย่างขมขื่นว่า
“หากต้องการกำจัดพิษนี้ออกไป จำต้องใช้โอสถล้างพิษหนึ่งดาวขั้นเทวะเข้าพิฆาตเท่านั้น! แต่ในเมืองกุยฉางแห่งนี้ กลับไม่มีใครสามารถหลอมกลั่นโอสถล้างพิษหนึ่งดาวขั้นเทวะได้เลย!”
โอสถล้างขั้นเทวะ เปรียบเสมือนพระเจ้าเหนือสรรพชีวิต มีตัวตนแต่มิอาจย่างสัมผัสถถึงได้!
ลืมไปเลยสำหรับเหล่านักหลอมโอสถในเมืองกุยฉาง ต่อให้เป็นจอมเทพโอสถสองดาวจากที่อื่นก็ไม่มีทางหลอมกลั่นได้เลยเช่นกัน
ขึ้นชื่อว่าโอนถขั้นเทวะ ไม่เพียงจำเป็นต้องฝีมือความสามารถอันแกร่งกล้า แต่ยังพึ่งพาโชคชะตาอันท้าทายสวรรค์ถึงจึงจะประสบความสำเร็จ
ผู้จัดการซูถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากล่าวว่า
“ข้าเองก็รู้จักเด็กสาวนางนี้ นางเป็นคนน่ารักจิตใจเปี่ยมเมตตา เห้ออ…กระทั่งข้าเองยังคาดไม่ถึง เสืออย่างเหยีงหมิงอี้กลับกินลูกของมันลงจริงๆ ช่างไร้จิตสำนักโดยแท้!”
ผู้อาวุโสเฟิงเผยสีหน้าท่าทีสุดหยามเหยียดเมื่อได้ฟัง เขากล่าวขึ้นเสริมว่า
“เหลียงหมิงอี้ไร้ยางอายเกินเยียวยา! หากย้อนกลับไป เพื่อตีสนิทชิดเชื้อกับตระกูลหวัง เขาขึ้นขั้นยอมแต่งงานกับหวังเพียนหลาน ในขณะที่ปล่อยให้ศพของภรรยาเก่านอนนิ่งอยู่แบบนั้น หาได้สนใจทำพิธีอันใดอยู่นาน เรื่องนี้กลายมาเป็นหัวข้อสนทนาอยู่พักใหญ่ จนบัดนี้กลายเป็นเรื่องตลกเลื่องชื่อภายในเมืองกุยฉางไปแล้ว”
จู่ๆราวกับว่าผู้จัดการซูอยากจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่ก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงคอทันทีอย่างลับๆ แต่นั้นดันไปสะดุดตาเย่หยวนเข้าอย่างจัง
“ผู้จัดการซู ท่านพอจะมีหนทางช่วยเหลือหวางหรูได้บ้างหรือไม่?”
เย่หยวนรีบกล่าวถาม
เฟิงปิงได้ยินแบบนั้น พลันหันมองไปที่ผู้จัดการซูก่อนกล่าวว่า
“อย่าหวังเลย แผนนี้ข้าว่าไม่ได้ผล”
ผู้จัดการซูถอนหายใจเสียงยาวกล่าวขึ้นว่า
“ถูกต้อง เย่หยวน,ข้าเองก็คิดว่าแผนการนี้ไม่น่าจะได้ผล อย่าให้กล่าวเสียดี เช่นนั้นอาจเป็นการหาปัญหาใส่ตัวเจ้าเปล่าๆ”
สีหน้าฉงนใจหนัก เย่หยวนเอ่ยถามต่อทันที
“ผู้จัดการซูโปรดบอกผู้เยาว์มาเถิด แม่นางหวางหรูเป็นผู้มีบุญคุณ เย่คนนี้มิอาจทนดูอยู่เฉยๆได้!”
เฟิงปิงยิ้มและกล่าวว่า
“เรื่องนี้มิได้สำคัญที่ว่าเจ้าจะทำได้หรือไม่ได้ แต่อยู่ที่ว่าฝ่ายนั้นจะยอมช่วยจริงๆรึเปล่า”
เย่หยวนกวสดตามองทั้งสองสลับไปมาอย่างงุนงง ผู้จัดการซูถอนหายใจอีกระลอกใหญ่พลางกล่าวว่า
“พิษที่แม่นางหวางหรูได้รับไปคือ พิษขนวิหคพันราตรี เป็นไพ่ตายลับของตระกูลหวัง ซึ่งพิษตัวนี้ ตราบใดที่ยังไม่แล่นเข้าสู่หัวใจ หวังหลินโปของตระกูลหลังสามารถรักษาให้หายได้!”
“เพียงแต่ว่า…หวังหลินโปเป็นพี่ชายแท้ๆของหวังเพียนหลาน!”
หัวคิ้วเย่หยวนขมวดถักแน่นแทบชนกัน ความหมายความเฟิงปิงและผู้จัดการซูค่อนข้างชัดเจนแจ่มแจ้ง
นี่คือยาพิษลับของตระกูลหวัง จึงมีเพียงคนของตระกูลหวังเท่านั้นที่สามารถรักษาได้
ซึ่งคนที่รักษาได้ก็คือ พี่ชายของหวังเพียนหลาน!
หรือเย่หยวนต้องไปขอร้องอ้อนวอนตระกูลหวังให้ช่วยจริงๆ?
ครั้งนี้ เย่หยวนบุกตรงไปยังตระกูลเหลียงเพื่อลักพาตัวคุณหนูตระกูลออกมา ส่วนผู้อาวุโสสองกับเหลียวหมิงอี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยหลัวเจีย นี่นับเป็นหายนะของตระกูลเหลียงก็กล่าวไม่ผิด
ด้วยความแค้นในคราวนี้ผนวกกับสันดานนิสัยอันโหดเหี้ยมของหวังเพียนหลานแล้ว มีหรือที่นางจะยอมให้พี่ชายของนางช่วยถอนพิษให้เหลียงหวางหรู?
เย่หยวนสูดไอเย็นเข้าลึกๆแช่มช้า กล่าวถามเฟิงปิงขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสเฟิง แม่นางหวางหรูอยู่ได้อีกนานเพียงใด?”
เฟิงปิงครุ่นคิดไปชั่วขณะ ก่อนให้คำตอบว่า
“พูดยากนัก น่าจะ…ไม่เกินพรุ่งนี้!”
สีหน้าเย่หยวนตกลงในทันใด เขาเอ่ยปากถามอีกครั้งว่า
“ผู้อาวุโสเฟิง เย่หยวนคนนี้ขอโอสถล้างพิษหนึ่งดาวชั้นสวรรค์! แน่นอนเย่คนนี้หาได้ขออย่างเดียวโดยไม่จ่ายสักแดง หลังจากนี้ข้าขออุทิศตัวหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะขั้นสวรรค์ให้เป็นจำนวนหนึ่งร้อยเม็ด!”
เฟิงปิงเหลียวมองเย่หยวนโดยไวและกล่าวตอบพร้อใบหน้าประดับประดารอยยิ้มสุดเห็นใจว่า
“ตามที่ข้ารู้มา เจ้าสามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้เพียงชนิดเดียวใช่หรือไม่? ตอนนี้มิใช่ว่าเจ้าต้องการจะยึดเวลาออกไป เพื่อวางแผนหลอมกลั่นโอสถถอนพิษหนึ่งดาวขั้นเทวะด้วยตัวเอง? ยอมแพ้เสียเถอะ! เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย!”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ข้าจะเดินทางไปที่ตระกูลหวังก่อน เพื่อขอร้องพวกเขา หากพวกเขาย่อมตกลงให้ความร่วมมือ เรื่องนี้คงจบลงอย่างมีความสุข แต่หากไม่ยอม…เย่คนนี้คงไม่เหลือหนทางอื่นแล้วเช่นกัน!”
คำกล่าวของเย่หยวน ทำเอาทุกคนประหลาดใจกันอย่างยิ่ง
พวกเขาทราบดี เย่หยวนเป็นคนที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีเพียงใด ถึงขั้นที่ว่าบุกเข้าไปยังตระกูลเหลียงโดยลังเลแม้สักนิด
เช่นนั้นแล้ว เรื่องจะไปก้มหัวให้ใครอื่น มันควรจะเป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันทำแน่นอน ชนิดที่ว่าต่อให้ต้องตายก็ยอม
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนเองต่างก็มองแผนนี้ในแง่ไม่ดีเท่าไหร่นัก ถึงเย่หยวนจะยอมอ่อนข้อขนาดนี้ แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลหวังจะยอมช่วย
สุดท้ายนี้เพื่อช่วยชีวิจเหลียงหวางหรู เย่หยวนถึงกับยอมทำเรื่องอัปยศอดสูยิ่ง อย่างการก้มศีรษะให้คนอื่น!
“เย่หยวน เจ้ามั่นใจดีแล้วใช่ไหม?”
ผู้จัดการซูที่เข้าใจนิสัยเย่หยวนดีกล่าวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
แต่เย่หยวนก็ยังยิ้มกว้างกล่าวตอบไปว่า
“แม่นางหวางหรูต้องทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ก็เพราะข้า นางคือผู้มีพระคุณช่วยเหลือชีวิตข้าไว้ ต่อให้เหลือแค่เศษเสี้ยวของความหวัง เย่คนนี้ก็ขอลองดูสักตั้ง!”
ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นต่างรู้สึกทึ่งอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่า แท้ที่จริงแล้วเย่หยวนจะเป็นคนซื่อสัตย์และกตัญญูต่อผู้มีบุญคุณขนาดนี้!
ทั้งเฟิงปิงและผู้จัดการซูต่างเป็นคนฉลาดหัวไว พวกเขาตระหนักทราบมานานแล้วว่า ที่เย่หยวนลงมือทำสิ่งต่างๆเช่นนี้หาได้ปรารถนาครองใจเหลียงหวางหรูแม้แต่น้อย ในทางตรงข้าม สายตาที่เย่หยวนมีให้นางกลับไม่มีเรื่องรักใคร่เลยสักนิด
ทั้งหมดที่เย่หยวนทำลงไปก็เพื่อตอบแทนบุญคุณที่นางเคยเมตตาเขาไว้!
ในตอนนั้นเอง เย่หยวนก็สัมผัสได้ว่าแขนเสื้อตนเองถูกกระตุกดึงเบาๆ ยามก้มศีรษะกวาดตามอง ปรากฏว่าเป็นเหลียงหวางหรูที่พยายามเรียกเขา
แม้นางจะพูดไม่ได้ แต่เย่หยวนก็เห็นได้อย่างชัดแจ้ง คู่ดวงเนตรสวยของนางเห่อร้อนแดงระเรื่อ พร้อมหยดน้ำตาใสที่ไหลรินลงมา
ถึงนางจะอ่อนเพลียอย่างมากในตอนนี้ แต่สติสัมปชัญญะของเหลียงหวางหรูยังคงครบถ้วนสมบูรณ์ดี
เย่หยวนที่เต็มใจยอมรับความอัปยศเช่นนี้เพื่อนาง ซึ่งสำหรับตัวนางเองก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“คุณหนูหวางหรู ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเช่นนั้น เย่คนนี้ติดหนี้บุญคุณท่านครั้งใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรเย่คนนี้จะต้องรักษาท่านให้จงได้!”
เหลียงหวางหรูพยายามพยักหน้าตอบเล็กน้อย ทว่าอามรณ์ความรู้สึกจากก้นบึ้งจิตใจกลับปั่นป่วนไปหมด
…………………..
“ท่านพี่ต้องช่วยข้า! ท่านหาได้ทราบไม่ว่า ไอ้เด็กเหลือขอแซ่เย่นั้นมันหยิ่งผยองเพียงใดในตอนนี้! มันไม่เห็นตระกูลหวังอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ…”
ณ เรือนพักตระกูลหวัง หวังเพียนหลานกำลังเอ่ยปากบ่นถึงเรื่องเย่หยวนไม่หยุดหย่อน ในขณะที่พี่ชายของนาง,หวังหลินโปยังคงนิ่งสงบหาได้แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ
เขายืนเงียบพร้อมสอมมือไขว้หลังอยู่ตลอด ขณะที่น้องสาวของเขายังคงบ่นต่อไม่หยุด
หวังหลินโปรู้จักนิสัยใจคอของน้องสาวนางนี้ดี คำพูดของนางมีเพียงหนึ่งจากสิบส่วนเท่านั้นที่พอเชื่อถือได้จริงๆ
นอกจากนี้ เรื่องภายในตระกูลเหลียงที่นางไม่ค่อยลงรอยเท่าไหร่นักกับลูกติดของเหลียงหมิงอี้ เขาจะไม่ทราบได้อย่างไร?
เขารู้มานานแล้ว!
“เปียนหลาน เจ้าบอกข้ามาตามตรง มีความลับอะไรในตัวของเด็กแซ่เย่นั้น?”
หวังหลินโปมือเชิงหยุดมิให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ นางชะงักปากทันทีพร้อมท่าทางที่เริ่มรวนเรแปลกไป
“ท่านพี่ ท่าน…หมายความอย่างไร?”
หวังหลินโปกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“เพียนหลาน การที่เจ้าออกเรือนและยืนเคียงข้างผู้เป็นสามี นี่นับเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมควรแล้ว แต่ก็อย่าลืมเสีย ใครกันที่ทำให้เจ้ามีอำนาจอิทธิมากมายขนาดนี้ในตระกูลเหลียง! ตระกูลเหลียงสามารถผงาดขึ้นมาได้ แต่ก็…สามารถดับลงได้เช่นกัน! เจ้าลองคิดให้ไตร่ตรองให้ดี ที่เหลียงหมิงอี้เชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้ามีอำนาจในกำมือจริงๆ?”
หวังเพียนหลานสะดุ้งเฮือก นางตระหนักดีว่า ที่ตระกูลเหลียงกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งอย่างในปัจจุบัน ทั้งหมดเพราะมีท่านพี่คอยช่วยอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด
ที่เหลียงหมิงอี้ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับหวังเพียนหลานมากนัก เป็นเพราะกลัวว่าหวังหลินโปจะเลิกช่วยเหลือเขา!
“ท่านพี่ ข้า…ข้า…”
วาจาประโยคเดียวของหวังหลินโป ทำเอาหวังเพียนหลานไปต่อไม่ถูก
ในแง่ของความคิดอ่าน นางยังคงตื้นเขินเกินไป!
“ยิ่งสถานะของตระกูลหวังสูงส่งเท่าไหร่ในเมืองกุยฉาง มันก็ยิ่งส่งผลดีต่อพวกเจ้าในภายภาคหน้า! โอกาสดีเช่นนี้ เจ้าไม่คิดจะกล่าวเลยรึ?”
หวังหลินโปยังคงกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม
หวังเพียนหลานพยักหน้าตอบอย่างจนใจ
“แล้วเจ้าเด็กนั้นมีความลับอะไรซ่อนอยู่?”
ตอนที่ 1308
ความอัปยศของตระกูลหวัง
“เหอะ ไอ้เด็กเหลือขอ ท่านประมุขตระกูลไม่มีเวลาว่างมาพบคนอย่างแก จะไปไหนก็ไป!”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งดูคล้ายจะเป็นพ่อบ้านประจำตระกูล กำลังตะคอกใส่เย่หยวนด้วยท่าทีหยาบคายเจือรังเกียจ
เป็นเวลากว่าสามวันแล้ว หลังจากที่เย่หยวนบุกเข้าตระกูลเหลียงเพื่อช่วยเหลียงหวางหรูออกมา
ซึ่งสามวันที่ผ่านมานี้ เย่หยวนยังคงเดินทางไปเฝ้าอยู่หน้าประตูตระกูลหวังทุกวัน
ตลอดทั้งวันจนสุริยันตกดิน สิ่งที่เขาได้ยินยังคงเป็นประโยคซ้ำๆเดิมๆ
เย่หยวนทราบดี หวังหลินโปจงใจให้เขายืนรออยู่แบบนี้จนแห้งตายไปสักวัน
แต่เย่หยวนหาได้แสดงสีหน้าความรู้สึกใดๆออกมาสักนิด สีหน้าท่าทางดุจผิวน้ำนิ่งสงัดไร้ระลอก พร้อมผสานมือโค้งให้เล็กน้อยและกล่าวคำอำลาจากมา
เหม่อมองเย่หยวนจากด้านหลัง พ่อบ้านที่เฝ้าหน้าประตูพลันรู้สึกแปลกใจใช่ย่อยไม่ต่าง
“เจ้าเด็กนี่มันตามตื้อติดหนึบโดยแท้ หากกเป็นคนอื่นคงยอมแพ้ไปตั้งนานแล้ว”
พ่อบ่านคนนั้นพึมพำกับตัวเอง
สองสามวันนี้ พวกเขาได้เปลี่ยนวิธีรับมือไปเรื่อยๆเพื่อสร้างความลำบากใจให้แก่เย่หยวน อย่างเช่นขมขู่ถึงขั้นฆ่าแกง ตลอดจนสาดน้ำไล่ตะเพิดเย่หยวนกลับไป ทว่าเขายังคงนิ่งหาได้ตื่นตูมใดๆ ก่อนลาจากเขายังคงผสานมือโค้งคำนับเล็กน้อยอย่างใจเย็น
ในวันนี้ พวกเขาได้เกณฑ์เหล่าลูกหลานของตระกูลหวังมาดักรอหน้าประตู และเข้าทุบตีทำร้ายเย่หยวนยังไร้เหตุผล
ซึ่งเย่หยวนหาได้สู้กลับไม่ แต่ยังดีที่มีหลัวเจียคอยจัดการ
กล่าวกันตามสัตย์จริง ยามนี้แม้แต่พ่อบ้านคนนั้นก็ไม่อยากสู้หน้าเย่หยวนแล้วเช่นกัน
หากเป็นคนอื่นๆ คงตัดใจไปนานมากแล้ว
ทว่าเย่หยวนก็ยังอดทนอดกลั้นต่อไป
ระยะเวลาที่เย่หยวนกำหนดไว้คือห้าวัน หลังจากวันที่ห้าผ่านพ้นไปแล้ว แต่หวังหลินโปยังไม่คิดออกหน้ามาพบเขา ตอนนั้นคงเหลือเพียงหนทางเดียว นั้นคือหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะด้วยตัวเอง!
เย่หยวนได้ขอซื้อโอสถล้างพิษขั้นสวรรค์มาจากเฟิงปิง หลังจากที่เหลียหวางหรูกลืนมันลงไป ฤทธิ์โอสถก็เข้าระงับการแพร่กระจายของพิษขนวิหคพันราตรีได้ชั่วคราว
โชคนยังดีที่โอสถล้างพิษขั้นสวรรค์ยังทรงประสิทธิภาพอยู่บ้าง จึงสามารถชะลอพิษขนวิหคพันราตรีลามสู่หัวใจได้เป็นเวลาสี่สิบวัน
ด้วยเหตุนี้ เย่หยวนจึงมีเวลาเพิ่มขึ้นอีกสี่สิบวัน
ความยากในการหลอมกลั่นโอสถล้างพิษ ซับซ้อนยุ่งยากเสียยิ่งกว่าโอสถปราณเทวะ
แต่สำหรับเย่หยวน ไม่ว่าหนทางจะยากเข็ญเพียงใด เขาก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อไปโดยหาลังเลไม่
ตามคำกล่าวของหวูเฉิน ขั้นตอนต่อไปที่เย่หยวนต้องศึกษาคือ การหลอมกลั่นโอสถบ้างพิษ ทั้งนี้ก็เพื่อวางรากฐานไปสู่โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวต่อไป
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนจำต้องฝึกฝนจนกว่าจะหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะให้ได้ขั้นเทวะเสียก่อน
งานนี้นับว่ายากมาก ขนาดเย่หยวนเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นักว่าตนจะทำได้สำเร็จหรือไม่ แต่ถึงอย่างไร เขาก็มิอาจทนดูเหลียงหวางหรูทนทุกข์ทรมานแบบนี้ได้เช่นกัน
ดังนั้น ถึงทราบว่าตระกูลหวังจงใจทำให้เขาขายหน้า แต่มันก็ต้องอดทนเช่นกัน
แต่…หากวันใดวันหนึ่งโชคชะตาเปลี่ยนผัน วันนั้นตระกูลหวังจำต้องชดใช้ต่อการกระทำของพวกมันเองเป็นเท่าทวี!
หลัวเจียที่เฝ้าติดตามเย่หยวนอยู่ตลอด ถึงสีหน้าท่าทางยังคงไม่แยแสอันใด แต่มีหลายครั้งที่เขาหันมองเย่หยวนพร้อมแววตานึกชื่นชม
คนประเภทนี้น้อยนักที่ได้พบเจอ
“ฮ่าฮ่า พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก! ท่านไม่ทราบหรอกว่า ไอ้เด็กเหลือขอตัวนี้มันหยิ่งผยองเพียงใดในตอนนั้น! พอมาวันนี้ ข้าคาดไม่ถึงจริงๆว่า มันจะเจียมเนื้อเจียมตัวได้ขนาดนี้! ได้อีนางโสเภณีนั้นกลับไป แต่สุดท้ายก็ต้องคลานเข่ากลับมาหา! น่าสมเพช! ทำแบบนี้ต่อไป ให้มันได้ลิ้มรสความอัปยศจนจุกอกตายไปเลย!”
เมื่อได้รู้จักกับคำว่า‘เอาคืน’ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หวังเพียนหลานรู้สึกมีความสุขยิ่ง นางเอาแต่ระเบิดเสียงหัวเราะไม่หยุดไม่หย่อน
หวังหลินโปคลี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวตอบว่า
“เด็กคนนี้มีจิตใจที่หยิ่งทะนง แต่สามารถทนรับความอัปยศได้ขนาดนี้โดยไม่สะทกสะท้านใด ความมุ่งมั่นระดับนี้หาใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ! ยามใดที่เจอคนประเภทนี้ หากไม่สามารถผูกมิตรได้ ก็จำต้องฆ่าทิ้งเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเท่านั้น!”
แต่หวังเพียนหลานกลับหาได้แยแสใดๆไม่ นางระเบิดเสียงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำกล่าวของเขา
“พี่ใหญ่ ท่านคิดมากเกินไป! ไอ้แค่เด็กพิการคนหนึ่งมันจะทำอะไรได้? มีดีแต่อาศัยหอมหาสมบัติเข้าข่มขู่ ข้าอยากจะหัวเราะจนตาย!”
หวังหลินโปเหลียวมองน้องสาวหน้าโง่ของตัวเองเล็กน้อย ก่อนส่ายหัวอย่างจนใจและมิได้กล่าวอะไรอีกเลย
จากนั้นครู่หนึ่ง เขาสั่งคนให้ไปเรียกพ่อบ้านเฝ้าประตูมา
“พรุ่งนี้เช้าเมื่อเด็กนั้นมาถึง พามันมาที่ห้องโถงใหญ่โดยทันที”
……………………
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่หยวนปรากฏตัวขึ้นกลางห้องโถงใหญ่ ขณะที่เบื้องหน้ายืนประจักษ์พร้อมหน้า ทั้งหวังหลินโป, หวังเพียนหลานและเหลียงหวางหรงตามลำดับ บรรยากาศภายในห้องนี้ดูตคงเครียดไปเสียหมด คล้ายสามคนนี้กำลังจะพิพากษาเย่หยวนร่วมกัน
แต่เย่หยวนหาได้รู้สึกกดดันอันใดไม่ เขาเพียงผสานมือคำนับหวังหลินโปและกล่าวว่า
“เย่หยวนคาราวะท่านประมุขตระกูลหลินโป!”
ทว่าหวังหลินโปกลับไม่รับไหว้เมินเย่หยวน ท่าทางการแสดงออกของเขาแสนโอหังเป็นที่สุด
“เจ้าเป็นอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ?”
“ถูกต้องแล้ว!”
“ดูธรรมดา ไร้ฝีมือ! ที่เจ้าต้องการพบข้าก็เพราะต้องการโอสถถอนพิษขนวิหคพันราตรี?”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวตอบว่า
“แล้วนั้นไม่ถูกแล้วรึ? คุณหนูหวางหรูมีศักดิ์เป็นหลานสาวของท่านประมุขหลินโป หวังว่าท่านจะมีเมตตาช่วยเหลือชีวิตนาง!”
“หุหุ หลานสาว? เย่หยวน กระทั่งคนโง่ยังฉลาดกว่าเจ้า! ท่านพี่มีหลานสาวเพียงคนเดียวนั้นก็คือหรงเอ๋อ! หากนางจะตายก็ปล่อยให้มันตาย! นังโสภาณีนั้นพวกเราไม่นับญาติ!”
หวังเพียนหลานกล่าวขึ้นพลางหัวเราะคิกคักชอบใจ
ใบหน้าทรงอ้วนนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามอย่างหาที่เปรียบไม่
หวังหลินโปกล่าวตอบเสียงเย็นว่า
“เพียนหลานกล่าวถูกต้องแล้ว นางนั้นหาได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกับข้าไม่ แล้วเรื่องอะไรข้าต้องเสียแรงไปช่วย? เว้นเสียแต่ว่า…เจ้าจะสามารถหาสิ่งของอื่นมาเสนอกับพวกเรา?”
พลางกล่าวขึ้นเช่นนี้ แววตาของหวังหลินโปสาดสะท้อนความโลภประกายยิบยับ
วิชาลับที่สามารถควบคุมได้แม้กระทั่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นปลาย ต่อให้เป็นหวังหลินโปก็ยังปรารถนาต้องการ
เย่หยวนหันเข้าจับจ้องหวังหลินโป พร้อมกล่าวเสียงเย็นตอกกลับไป
“ข้าทราบ สิ่งที่พวกท่านต้องการคือวิชาควบคุมอสูร แต่แท้ที่จริงแล้ว ข้าไม่มีวิชาควบคุมอสูรอะไรนั้นเลย!”
หวังเปียนหลานตะคอกด่าสวนทันที
“แกเห็นพวกเราเป็นเด็กอมมือหรืออย่างไร? แกมันก็แค่คนพอการ แต่สามารถควบคุมอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นปลายได้ หากมิใช่เพราะวิชาควบคุมอสูร แล้วเจ้าจะทำได้อย่างไร?”
เย่หยวนหาใช่กล่าวพล่ามไร้สาระ ทันทีทันใดแรงกดดันของเผ่ามังกรก็ถูกปลดปล่อยออกจากร่างเย่หยวนจางๆ
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของเผ่ามังกรนี้ หวังหลินโปพลันโพล่งตาโต รูม่านตาดำพลันหดเล็กตีบตันในทันใด
ถึงแม้แรงกดดันนี้จะไม่รุนแรงนัก แต่เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นแรงกดดันของเผ่ามังกรไม่ผิดแน่!
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเย่หยวนมิได้โกหก แววตาคู่นั้นเผยให้เห็นถึงความผิดหวังออกมาอย่างอดไม่อยู่
สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเลือดเย็นสุดขั้ว หวังหลินโปกล่าวขึ้นว่า
“เช่นนี้นี่เอง ในเมื่อเจ้าไม่มีวิชาควบคุมอสูร แล้วเจ้ายังมีคุณสมบัติอะไรมาต่อรองกับข้าผู้นี้อีก? ช่วยคนภายนอกหาใช่นิสัยของข้า แถมดีแล้วนี่นางนั้นจะได้ตายๆไปเสียที หากอยู่ต่อมีแต่จะทำให้หรงเอ๋อลำบากใจเปล่า!”
เย่หยวนกล่าวตอบว่า
“เย่หยวนคนนี้ไม่มีอะไรมาต่อรองก็จริง แต่ตราบใดที่ท่านประมุขหลินโปเต็มใจช่วยเหลือ เย่คนนี้ยินดีหลอมกลั่นโอสถให้ตระกูลหวังเป็นเวลาสิบปีเต็มโดยไม่ตั้งเสียเงินสักแดงเดียว!”
หวังหลินโปแสยะยิ้มเยาะ พลางกล่าวอย่างรังเกียจว่า
“เจ้าคิดว่า ข้าจะเชื่อจริงๆรึว่าเจ้าเป็นนักหลอมโอสถ? ที่ตบตาคนอื่นได้คงเพราะขอความช่วยเหลือจากเฟิงปิงกระมัง? เด็กพิการอย่างเจ้าจะสามารถหลอมกลั่นโอสถได้อย่างไร? แต่อย่างไรก็ตาม…ใช่ว่าข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าสักทีเดียว ยังต้องการช่วยนางอยู่หรือไม่?”
เย่หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกล่าวตอบว่า
“ท่านประมุขหลินโปโปรดชี้แนะ”
หวังหลินโปยิ้มและกล่าวว่า
“สิ่งที่เจ้าเคยทำลงไปทำให้หรงเอ๋อเสียใจเป็นที่สุด ถึงขั้นร้องห่มร้องไห้กับข้าหลายต่อหลายครั้ง! ตราบใดที่เจ้าสามารถทำให้นางพอใจได้ เราประมุขตระกูลยินดีช่วยเหลือ!”
เวลานั้นเอง เหลียงหวางหรงพลันเดินตรงเข้ามาหาเย่หยวน ก่อนเดินวนรอบเย่หยวนพลางพินิจครุ่นคิด หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
“ไอ้สวะ คงคาดไม่ถึงใช่หรือไม่…ว่าวันหนึ่งเจ้าจะต้องคลานเข่ากลับมาอ้อนวอนคุณหนูผู้นี้? ไหนล่ะ? ไอ้คนอวดดีก่อนหน้า? หากเก่งจริงก็อวดดีต่อหน้าคุณหนูผู้นี้อีกสิ!”
เย่หยวนสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนโค้งคำนับทรงสวยและกล่าวขึ้นอย่างสุภาพว่า
“เย่คนนี้มีตาหามีแววไม่ หวังว่าคุณหนูหวางหรงจะไม่เอาความ!”
เหลียงหวางหนงกล่าวขึ้นอย่างสาแก่ใจว่า
“อยากให้ข้าไม่เอาความ? ยอมได้! ข้าขอแค่อย่างเดียว ไอ้สวะ,คลานเข่าเข้ามาหาคุณหนูผู้นี้และเรียกข้าว่ามารดาสามครั้ง! บางทีสิ่งนี้อาจจะช่วยทำให้ข้าพอใจได้บ้าง!”
ด้านหลังเย่หยวน หลัวเจียที่กำลังกอดดาบดั่งทองไม่รู้ร้อนอยู่ตลอด เมื่อได้ยินแบบนี้ แม้แต่เขาเองยังอดเบี่ยงหน้าหนีโดยมิตั้งใจ ความอัปยศอดสูขนาดนี้เขาทนมองต่อไปไม่ได้จริงๆ
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆท่าทีของเหลียงหวางหรงพลันเปลี่ยนไปฉับพลัน พวงแก้มนวลขาวของนางกลายเป็นสีแดงกล่ำ ประดุจเรือนร่างรู้สึกเร้าร้อนถึงขีดสุดเกินต้านทาน นางพุ่งเข้าใส่หวังหลินโปอย่างบ้าคลั่ง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น