Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1300-1303
ตอนที่ 1300
คุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“โอสถศักดิ์สิทธิ์ย่อมรับซื้อโดยธรรมชาติ แต่จะต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพโอสถที่หลอมกลั่นได้ ทางเราหอมหาสมบัติมีเกณฑ์พิจารณาอยู่เช่นกัน หากเป็นโอสถปราณเทวะ คุณภาพห้ามต่ำกว่าขั้นกลาง มิฉะนั้นทางเราขอสงวดสิทธิ์งดรับทุกประการ”
หงหยิงยังคงตกใจอยู่ลึกๆไม่เสื่อมคลาย แต่ภายนอกก็ยังสงบนิ่งดุจผิวน้ำ
นอกจากนี้นางยังงุนงงฉงนใจเป็นที่สุด ดูเหมือนว่าชายพิการคนนี้กำลังประสบปัญหาเรื่องเงินทอง
แต่…ทั้งๆที่เขารู้จักวรยุทธค่ายกลเต๋ากลั่นโอสถ แต่ไฉนถึงเป็นคนจนที่แม้แต่ห้องบ่มเพาะระดับเหลืองก็ไม่มีปัญญาเช่า?
เย่หยวนเองก็หาได้ใส่ใจว่าหงหยิงจะคิดอย่างไร เขายังคงถามต่อว่า
“ข้าสงสัยว่าเกณฑ์การรับซื้ออยู่ที่ราคาเท่าใด?”
หงหยิงหาได้รนร้อนใจอันใด นางกล่าวอธิบายด้วยความใจเย็นว่า
“โอสถปราณเทวะขั้นกลางรับซื้ออยู่ที่ยี่สิบห้าผลึกปราณเทวะระดับต่ำ โอสถปราณเทวะขั้นสูงอยู่ที่แปดสิบผลึกปราณเทวะระดับต่ำ และโอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยมอยู่ที่สี่ร้อยผลึกปราณเทวะระดับต่ำ”
ซึ่งราคาขายของโอสถปราณเทวะขั้นกลางในหอมหาสมบัติจะอยู่ที่ยี่สิบห้าผลึกปราณเทวะระดับต่ำ, โอสถปราณเทวะขั้นสูงจะอยู่ที่หนึ่งร้อยก้อน ขณะที่โอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยมเท่ากับห้าร้อยก้อน
เนื่องจากหอมหาสมบัติเป็นฝ่ายรับซื้อโดยตรง ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บส่วนต่างไว้ทำกำไรโดยธรรมชาติ
เย่หยวนเองก็เห็นว่า ราคาประมาณนี้ค่อนข้างยุติธรรมมากแล้ว
แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ขายได้มากที่สุดยังคงเป็นโอสถปราณเทวะขั้นต่ำ
นักสู้โดยส่วนใหญ่จะใช้แต่โอสถปราณเทวะขั้นต่ำกันเท่านั้น
เนื่องจากเวลาใช้โอสถปราณเทวะที พวกเขาใช้กันยกโหลเป็นกองพะเนิน หากเป็นโอสถปราณเทวะขั้นกลางยังพอทำเนา แต่หากเป็นขั้นสูง พวกเขาต้องใช้จ่ายทีเป็นหลักร้อยถึงพันกว่าก้อน ซึ่งจำนวนผลึกปราณเทวะขนาดนั้น พวกเขาโดยส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาจ่ายไหว
สำหรับโอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยม นั้นเป็นราคาที่สูงลิบลิ่ว
แต่กระนั้นอย่างไร หอมหาสมบัติถือคติที่ว่า ไม่ขายสินค้าที่ไร้คุณภาพต่อผู้บริโภค ดังนั้นไม่ว่าโอสถปราณเทวะขั้นต่ำจะมีความต้องการสูงเพียงใด แต่พวกเขาก็เลือกที่จะไม่ขายในท้ายที่สุด
เย่หยวนพยักหน้าขณะผสานมือกล่าวกับหงหยิงว่า
“ขอบพระคุณมากแม่นาง”
กวาดสายตามมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่คล่อยไกลห่างออกไป คู่ดวงเนตรไสวน้ำงามพลันกรอกไปมาเล็กน้อย
แม้นางจะคิดว่า เย่หยวนไม่สามารถหลอมโอสถปราณเทวะได้จริงๆ แต่หงหยิงยังคงสนใจในตัวเย่หยวนมิใช่น้อย
หลังจากเข้าสู่ห้องบ่มเพาะ เย่หยวนก็ดึงจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จมดิ่งลงไปในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพและทำตามที่หวูเฉินชี้แนะ ทันทีทันใดทัศนีภาพโดยรอบพลันพล่ามัวหนัก ราวกับเขาหลุดไปยังห้วงอวกาศสีขาวน้ำนม
จากนั้นเย่หยวนได้ค้นพบว่า อัตราการไหลของเวลสในที่แห่งนี้เร็วกว่าโลกภายนอกอย่างมาก
“ท่านอาวุโส มาเริ่มกันเถอะ!”
เย่หยวนสูดหายใจเข้าลึกๆพร้อมกล่าวขึ้นประดับคู่สายตาสุดแสนแน่วแน่
เขามีเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น หรือเท่ากับหนึ่งร้อยวันในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ!
ภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยวัน เย่หยวนจะต้องฝึกฝนจนกว่าจะหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้ นี่เป็นบททดสอบที่ท้าทายอย่างหาที่เปรียบไม่ เขามิอาจปล่อยทิ้งเวลาให้เสียเปล่าได้แม้แต่เสี้ยวอึดใจ
นี่เป็นภารกิจที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย!
หวูเฉินกล่าวว่า
“หากเปรียบเทียบกับโอสถชั้นสามัญทั่วไป กระบวนการหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ทั้งยากและซับซ้อนกว่ามาก! เจ้าเคยหลอมกลั่นโอสถท้าทายสวรรค์มาแล้วก็จริง แต่นั้นก็ยังอยู่ในขอบเขตของโอสถชั้นสามัญทั่วไป! สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์แรงกว่าสมุนไพรวิญญาณทั่วไปถึงหนึ่งหมื่น หรือกว่าหนึ่งแสนเท่า! ต่อให้เป็นสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำสุดก็ตาม! ดังนั้นแล้ว ก่อนที่จะหลอมกลั่นโอสถ เจ้าจะต้องทำความคุ้นเคยกับสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน! จงจำเอาไว้ เจ้ามีโอกาสแค่สิบครั้ง!”
สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เย่หยวนซื้อมา นั้นเท่ากับโอสถปราณเทวะทั้งหมดสิบชุด!
เขาไม่เพียงต้องใช้ทั้งสิบชุดนี้เพื่อนำมาวิจัยศึกษาสร้างความคุ้นเคย แต่เขายังต้องใช้ที่เหลือเพื่อหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้สำเร็จ
นอกจากนี้เย่หยวนยังต้องเป็นโอสถปราณเทวะขั้นกลางขึ้นไปเท่านั้น
เงื่อนไขสุดหฤโหดแบบนี้ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยภายในหนึ่งร้อยวัน!
หวูเฉินถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า
“เจ้าหนู ต่อให้เป็นจอมเทพนิรันดร์ แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำสิ่งที่เจ้าเชื่อมั่นสำเร็จ!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางพลางกล่าวตอบว่า
“ท่านอาวุโสกังวลเกินไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป รอจนกว่าเย่คนนี้ล้มเหลวเสียก่อนค่อยซ้ำเติมเสียดีกว่า”
สายตาของหวูเฉินแปรเปลี่ยนดั่งเอาจริงเอาจังในทันควัน เขาพยักหน้าและกล่าวตอบว่า
“หวังว่าข้าจะไม่ได้ซ้ำคน เอาล่ะ ข้าจะเริ่มอธิบายคุณสมบัติและลักษณะเฉพาะของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ชนิดต่างๆก่อน ส่วนที่ว่าเจ้าจะทำความเข้าใจได้เร็วแค่ไหน สิ่งนี้ต้องพึงพาความสามารถตัวเอง! อย่างแรก ไหมฟ้าพิรุณเทวะ…”
หวูเฉินกล่าวบรรยายให้เย่หยวนฟังอย่างไหลลื่น องค์ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำเหล่านี้ครบถ้วนมิขาดตก
อย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าหวูเฉินจะคุ้นเคยกับสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พวกนี้แค่ไหน แต่คนที่หลอมกลั่นก็มิใช่เขา
มีเพียงนักหลอมโอสถที่สรรสร้างผลงานออกมาได้ ซึ่งนี่ต้องขึ้นอยู่กับเย่หยวนแล้วว่ามีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหนหลังจากนี้
การฟังกับการเรียนรู้เองเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
มีคำกล่าวที่ว่า‘ความรู้จากหน้าหนังสือกลับตื้นเขินที่สุด สัมผัสประสบการณ์จากของจริงกลับเป็นสิ่งมีค่าหาประเมินไม่’
การหลอมกลั่นโอสถเป็นทักษะที่กอปรขึ้นด้วยประสบการณ์และไหวพริบ ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์จะมาอธิบายละเอียดยิบเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องลงมือด้วยตนเองจึงจะเข้าใจ
ทว่าอย่างน้อยที่สุด การอธิบายเช่นนี้ก็ช่วยลดปัญหาเล็กๆน้อยๆได้ในตอนหลอมกลั่นจริง
เย่หยวนเพ็งจิตสมาธิตั้งใจฟังทุกคำพูดของหวูเฉินอย่างตั้งอกตั้งใจ
โอกาสเรียนรู้แบบนี้หาได้ไม่ง่ายนัก มีใครสักกี่คนที่ปรารถนาทุ่มเทเวลาอธิบายสมุนไพรรายชนิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนขนาดนี้ ทุกคำพูดของหวูเฉินนั้นสำคัญยิ่งยวด
สิ่งหนึ่งที่เย่หยวนได้เปรียบกว่าคนอื่น เขาเองก็เป็นนักหลอมโอสถมือฉกาจคนหนึ่ง ในด้านประสบการณ์ เขากล้าการันตีว่า น้อยคนนักที่เทียบเทียมเขาได้
แม้นั้นจะเป็นแค่ประสบการณ์หลอมกลั่นโอสถชั้นสามัญทั่วไปก็ตาม!
หวูเฉินยังคงเอ่ยปากอธิบายไม่หยุดเป็นเวลาสิบวันสิบคืนเต็ม!
หนึ่งในสิบจากเวลาที่มีทั้งหมดหายไปในพริบตา!
ถึงหวูเฉินจะกล่าวแนะก่อนหน้าแล้ว แต่เย่หยวนก็อยากเชื่อว่า สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำแค่ห้าชนิดนี้จะมีโครงสร้างและคุณสมบัติที่ซับซ้อนถึงเพียงนี้
ในสิบวันมานี้ ปริมาณข้อมูลความรู้ต่างๆที่หวูเฉินมอบให้ คล้ายน้ำป่าที่ถาโถมเข้าสู่ห้วงสมองของเย่หยวนกระหน่ำไม่หยุด
นี่มิกล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย รายละเอียดต่างๆของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แต่ละชนิด ประหนึ่งโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลใบหนึ่ง!
เฉพาะยามนี้ ในที่สุดเย่หยวนก็ประจักษ์ชัดแจ้งแล้วว่า ไฉนหวูเฉินถึงไม่เคยมองเย่หยวนในแง่ดีเลย
ความยากในการหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะ ทำให้โอสถท้าทายสวรรค์ของเย่หยวนดูเป็นของเด็กเล่นไปเลย!
สิ่งที่หวูเฉินอธิบายไปทั้งหมดยังเป็นเพียงคุณสมบัติต่างๆของสมุนไพรวิญญาณแต่ละชนิดเท่านั้น นี่ยังไม่รวมถึงกระบวนการหลอมกลั่น ซึ่งหาได้ทราบไม่ว่า มันจะยากซับซ้อนกว่านี้อีกกี่ทวีเท่า
มีเวลาให้แค่หนึ่งร้อยวัน กลับช่างโหดร้ายเกินไปโดยแท้!
“ว่าไงเจ้าหนู รู้ซึ้งถึงความยากในการหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะรึยัง? ตอนนี้ยังมั่นใจดั่งคราก่อนหน้า?”
หวูเฉินอดเอ่ยปากหยอกล้อไปคำโตมิได้เมื่อเห็นเย่หยวนถอดสีหน้าแบบนั้น
เย่หยวนคลี่ยิ้มสู้อย่างขื่นขมระทมใจ เขากล่าวตอบว่า
“ความยากเกินที่ข้าจินตนาการไปมากนัก! แต่ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ทางตันแค่นี้จะหยุดข้าได้แค่ไหนกันเชียว!”
เมื่อกล่าวจบ เย่หยวนขัดสมาธิหลับตาสนิทและเริ่มทบทวนผลกำไรความรู้ที่ได้รับมาตลอดสิบวันเต็ม
ข้อมูลปริมาณมหาศาลนั้นค่อยๆถูกกลั่นกรองเข้าสู่ห้วงความคิดทีละเล็กละน้อย
โดยปราศจากตัวช่วยอื่นใด เย่หยวนจำลองสถานการณ์ทั้งหมดขึ้นภายในหัวและทดลองกับตัวเองเช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมา
สองวันต่อมา เย่หยวนค่อยๆลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้ง
หวูเฉินลอบประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นแบบนั้น กล่าวขึ้นอย่างฉงนใจขึ้นว่า
“เจ้าใช้เวลาแค่สองวันก็เข้าใจหมดแล้ว?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“มิอาจจกล่าวแบบนั้นได้เต็มปาก แต่ข้าก็มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นกว่าก่อนหน้ามากมายนัก หลังจากนี้เกรงต้องลงมือเองแล้ว ประสบการณ์ที่ดีที่สุดคือประสบการณ์ระหว่างทางเดิน”
หัวคิ้วของหวูเฉินพลันขมวดย่นขึ้นและกล่าวว่า
“เจ้าหนู ข้าขอให้เจ้าลองทบทวนโดยละเอียดอีกครั้งก่อนจะดีกว่า อย่าลืมเสีย เจ้ายังต้องแบ่งสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งไว้กินเพื่อศึกษาอีก ยามนี้ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสียหายหนัก ฤทธิ์สมุนไพรจะสลายเร็วมาก แถมสภาพของเจ้าหลังจากกินไปเป็นเพียงหนึ่งส่วนสิบของนักสู้ทั่วไป หรือแม้กระทั่งหนึ่งส่วนร้อยก็เห็นไม่ผิด!”
เย่หยวนพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า
“แน่นอน ข้าทราบเรื่องนี้ดี แต่ถึงอย่างไรประสบการณ์ตรงย่อมดีกว่าเป็นที่สุด”
ทันทีที่กล่าวจบ เย่หยวนก็หยิบไหมฟ้าพิรุณเทวะขึ้นโดยไม่ลังเล ก่อนจะค่อยๆละเมียดละไมเริ่มเคี้ยวพินิจฤทธิ์สมุนไพรที่กระจายทั่วช่องปาก
………………
ณ เวลาเดียวกัน ภายนอกหอมหาสมบัติ ทั้งจางชุนและยอดฝีมือคนอื่นๆของตระกูลเหลียงที่ตามเข้ามาสมทบเริ่มรอกันไม่ไหว
“ไฉนไอ้พิการนั้นยังไม่ออกมาอีก?”
ยอดฝีมือของตระกูลเหลียงคนหนึ่งเอ่ยถาม
จางชุนรำพึงชั่วครู่ ก่อนกล่าวคาดการณ์อย่างสงสัยว่า
“มิใช่ว่ามัน…เช่าห้องบ่มเพาะภายในหอมหาสมบัติ?”
ยอดฝีมือคนนั้นโพล่งตะลึงงันเล็กน้อย และกล่าวตอบว่า
“ห้องบ่มเพาะ? ไอ้พิการนั้นจะเช่าห้องบ่มเพาะไปเพื่ออันใด? ไปถอดกางเกงผายลมเล่นภายในนั้นกระมัง? นี่ช่างเป็นความคิดที่โง่เง่ายิ่ง! ปิดประตูฆ่าตัวเองชัดๆ!”
ในคราแรก จางชุนรู้สึกว่า ความคิดนี้มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย แต่ท้ายที่สุด เขายังคงคุมเข้มยืนเฝ้าไม่ห่างสายตา จวบจนบัดนี้ คงไม่มีความเป็นไปได้อื่นแล้วหากอีกฝ่ายมิได้เช่าห้องบ่มเพาะเพื่อหลบภัยจริงๆ
“เจ้าเด็กนี่นับวันยิ่งประหลาดคน ไม่ว่าอย่างไรห้ามประมาทเด็ดขาด! เฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิดห้ามเว้นว่าง! หากมันยังไม่ออกมา ก็ยืนรอจนกว่ามันจะออกมา!”
จางชุนกล่าว
ตอนที่ 1301
สภาวะตัดชั่วฟ้า!
กลิ่นหอมหวานกระจายฟุ้งทั่วช่องปากไหลรินสู่ขั้วหัวใจ ไหมฟ้าพิรุณเทวะเกิดมาจากพลังปราณเทวะปริมาณข้นคลักที่ถักทอผสานกันจนกลายมาเป็นเส้นไหม กระแสพลังปราณเทวะที่ละลายออกมาไหลบ่าเข้าสู่แขนขาของเย่หยวน
ในที่สุดกระแสพลังปราณเทวะก็โคจรกลับมาบรรจบกันอีกครั้งในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวน
เย่หยวนหลับตาลงและพยายามเพ็งพินิจวิเคราะห์ถึงคุณสมบัติที่แพร่กระจายออกมาจากไหมฟ้าพิรุณเทวะ
คำอธิบายที่เคยว่าไว้ของหวูเฉินแผดดังขึ้นในจิตใจทันที ยามนี้เย่หยวนยืนยันด้วยตัวเองได้แล้วว่า คุณสมบัติของมันเหมือนกับที่หวูเฉินกล่าวไปทุกประการ
ในไม่ช้า ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนก็กลับมาแห่งสนิทอย่างรวดเร็ว
“เป็นไง? อย่างที่ข้ากล่าวไม่มีผิด! การกระทำของเจ้าทำให้สิ้นเปลืองสมุนไพรโดยใช่เหตุ! หัดฟังผู้หลักผู้ใหญ่เสียบ้าง…”
ขณะที่หวูเฉินเปิดปากบ่นไม่หยุดปาก เย่หยวนยังคงขัดสมาธินิ่งไม่ไหวติงใดๆ
เห็นว่าเย่หยวนเข้าสู่สภาวะเข้าญาณและตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์
ยามนี้หวูเฉินได้แต่ถอนหายใจอย่างไร้ประโยชน์และปิดปากสนิท
สองวันต่อมา เย่หยวนได้หยินไหมฟ้าพิรุณเทวะกลืนเข้าปากไปโดยตรงอีกหนึ่งส่วนเต็ม
หวูเฉินยืนปวดเศียรนวดขมับเป็นการใหญ่ เขาได้แค่เอ่ยขู่ว่า การที่ทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับนั่งรอวันตายเลย
ทว่าเย่หยวนกลับหาได้ใส่ใจไม่ เขายังคงหลับตานิ่งคล้ายว่าตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์แล้วจริงๆ
เฉพาะยามนี้ หวูเฉินเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาหยิบไหมฟ้าพิรุณเทวะเข้าปากแล้ว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินคำพูดของเขาเลย
“เจ้าเด็กนี่ คงมิใช่ว่า…”
สายตาของหวูเฉินที่จับจ้องเย่หยวนในขณะนี้กลับเปี่ยมล้นความแปลกใจ
ปิดปากสนิทไม่แพร่งวาจาอันใดอีก แต่สายตาคล้ายกับว่ากำลังมองตัวประหลาดก็ไม่ปาน
ประดุจว่าเย่หยวนลืมไปสนิทว่ายังมีหวูเฉินยืนอยู่ทั้งคน ณ ปัจจุบัน เย่หยวนเสมือนว่าเป็นหุ้มเชิดที่ต้องหยิบสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เข้าปากทุกๆสองวัน
ปริมาณสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ซื้อมาตุนไว้เริ่มลดน้อยลงทีละนิด
แต่เย่หยวนกลับหาได้มีเจตนาหยุดมือหยิบเข้าปากไม่
เสี้ยวพริบตาต่อมา สามสิบวันได้ผ่านพ้นไป
ตอนนี้สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหลือเพียงสี่ชุดเท่านั้น
ระยะเวลาสามสิบวันเต็ม เย่หยวนได้กินสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปมากถึงหกส่วนเต็ม!
เมื่อเย่หยวนลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาพบว่าหวูเฉินกำลังจ้องหน้าเขม็งคล้ายตกใจประหนึ่งเห็นผี
เย่หยวนเอ่ยถามทันควันด้วยความสงสัยว่า
“ท่านอาวุโส ไฉนจ้องข้าแบบนั้น? หรือมีดอกไม้ติดหน้าข้า?”
หวูเฉินสูดไอเย็นแช่มลึก ก่อนพยายามสงบความตื่นตะลึงลงภายในใจและกล่าวถามเย่หยวนว่า
“เจ้า…เจ้าคงไม่ได้เข้าใจทั้งหมดแล้ว?”
ได้ยินคำถามแบบนั้น เย่หยวนเริ่มกังวลว่าตนทำอะไรผิดพลาดไป
ที่เอ่ยปากถามออกมา อีกฝ่ายต้องการประชดประชันหรืออยากรู้จริงๆกัน?
เมื่อเพ็งสายตามองตรงหน้า เย่หยวนกลับยิ่งตื่นตูมหนัก สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ตุนไว้หายไปถึงหกส่วน!
แต่สิ่งที่แลกมาคือ ความรู้ความเข้าใจของเขาต่อสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ที่สูงเกินเจ็ดถึงแปดจากสิบส่วนเต็ม!
ทันทีที่รู้ตัวเช่นนี้ เย่หยวนก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง!
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขารู้สึกราวกับฝันไป
ซึ่งในความฝัน ก็คล้ายกับว่าเขาได้เรียนรู้คุณสมบัติต่างๆของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่องหาได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่
โดยไม่ทราบเลยสักนิดว่า วันเวลามันเลยผ่านไปนานเท่าใดแล้ว แต่เขาก็เข้าใจเกือบทั้งหมดแล้วเช่นกัน
ทีแรกเขาคิดว่าตนผล็อยหลับไปและเก็บเรื่องราวไปฝันต่อ ทว่าหลังจากที่ได้สติตื่นขึ้น ปรากฏว่าเขาเข้าใจคุณสมบัติสมุนไพรทั้งห้าชนิดเกือบจะควบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้วจริงๆ
รู้สึกเหมือนความฝันโดยแท้!
เย่หยวนกล่ามถามหวูเฉินด้วยท่าทางงุนงงว่า
“ท่านอาวุโส เรื่องคุณสมบัติของสมุนไพรเหล่านี้ ผู้เยาว์เข้าใจไปกว่าเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว แต่นี่…นี่เกิดอะไรขึ้นกัน?”
ทันทีทันใด มุมปากของหวูเฉินพลันกระตุกขึ้น เขาเอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้ารู้สึกว่า ในระยะเวลาสามสิบวันมานี้คล้ายกับความฝันหรือไม่หรือ?”
เย่หยวนตัวแข็งทื่อในบัดดล โพล่งขึ้นกล่าวทันที
“สาม…สามสิบวัน?! นี่ผ่านไปแล้วสามสิบวัน?”
ดั่งแค่ฝันไป แต่ภายในฝันกลับรู้สึกยาวนานอย่างมาก
ทว่ายามที่เย่หยวนตื่นขึ้นประดุจเสี้ยวพริบตาปราด จนเผลอคิดว่าตนเผลองีบหลับไปชั่วขณะ
อย่างไรก็ตาม ความหมายในคำกล่าวของหวูเฉินค่อนข้างชัดเจน ตอนนี้ได้ผ่านไปแล้วสามสิบวัน!
ยิ่งพยายามคิดเท่าไหร่ เย่หยวนก็ยิ่งสับสนมึนงงและไม่ทราบเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เขาเข้าใจคุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้แบบงงๆ!
“เจ้ารู้สึกดั่งว่าตนเองกำลังฝันอยู่?”
จู่ๆหวูเฉินก็ถามขึ้นมา
เย่หยวนพยักหน้าตอบ
“ในความฝันเสมือนยาวนาน แต่เมื่อตื่นมากลับรู้สึกแค่ชั่วขณะ?”
เย่หยวนพยักหน้เตอบอีกครั้ง
“แล้วในฝัน เจ้ากำลังศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของสมุนไพรชนิดต่างๆอย่างต่อเนื่อง หาได้รู้สึกเหนื่อยล้า?”
เย่หยวนพยักหน้ารัวๆเป็นไก่จิกข้าวเปลือก
หวูเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่สุดตื่นตะลึง ก่อนกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าเด็กนี่มันดวงดีแท้! ดียิ่งกว่าดีมากนัก! ภายใต้ความโชคร้ายที่รุกกดดันกลับทำให้เจ้าเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้จริงๆ!”
“สภาวะตัดชั่วฟ้า?”
เย่หยวนย้ำคำเอ่ยขึ้นอย่างฉงนใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อสภาวะอะไรเทือกนี้มาก่อนเลย
หวูเฉินกล่าวอธิบาย
“ถูกต้องแล้ว! สภาวะที่เกิดขึ้นกับตัวเจ้าเรียกว่า สภาวะตัดชั่วฟ้า! เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนที่จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จมลงสู่ห้วงจิตใต้สำนึกที่หยั่งลึกไปถึงอัตตา(ตัวตน) ภายใต้สภาวะนี้ไม่ว่าเจ้าจะเรียนรู้ในเรื่องใด ก็จะสามารถเข้าใจตระหนักได้อย่างรวดเร็วจนมิอาจพรรณนาได้! เจ้าเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าไปนานถึงสามสิบวันเต็ม ซึ่งการจะทำความเข้าใจต่อสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ให้ก้าวล้ำไปกว่าเจ็ดถึงแปดส่วนภายในเวลาสามสิบวัน คำนิยามเดียวที่ข้านึกออกคือคำว่า ปาฏิหาริย์! นอกเหนือจากนั้นก็มีแต่สภาวะตัดชั่วฟ้าเท่านั้นที่สามารถอธิบายทุกอย่างได้!”
เย่หยวนอุทานขึ้นด้วยความตื่นตะลึง
“ยังมีสภาวะเช่นนี้อยู่ด้วย? นั้นก็หมายความว่า ในเวลาร้อยวันนี้ก็เกินพอสำหรับข้าที่ต้องการหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะแล้ว?”
“ไร้สาระ! เจ้านี่มันได้คืบจะเอาศอก! คิดหรือว่าสภาวะตัดชั่วฟ้าจะเข้าออกได้ง่ายดั่งประตูบานหนึ่ง? บังเอิญเข้าสู่สภาวะนี้ได้เพียงครั้งเดียวก็นับว่าถูกรางวัลใหญ่แล้ว! ทุกสรรพชีวิตภายใต้อาณาจักรราชันย์พระเจ้า เหล่านักสู้นับแสนล้าน ไม่เคยมีใครแม้แต่คนเดียวที่สามารถเข่าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้! นั้นรวมไปถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า หรือกระทั่งเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดก็ตาม! นอกเหนือจากนี้ แม้จะมีบังเอิญเข้าสู่สภาวะนี้ได้แค่ครั้งเดียว นั้นก็นับว่าโชคดีที่สุดในชีวิตแล้ว โอกาสที่จะเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าอีกได้เป็นคำรบสอง ยิ่งน้อยเสียยิ่งกว่าครั้งแรกมาก!”
เย่หยวนแอบตะลึงยิ่งเมื่อได้ฟังดังนั้น ดูท่าเขาจะบังเอิญถูกรางวัลใหญ่เข้าจริงๆ
“ผู้อาวุโส สภาวะตัดชั่วฟ้าที่ว่า คล้ายกับขอบเขตจิตใจอะไรเทือกนั้นหรือไม่?”
“ถูกต้อง ในเมื่ออาณาจักรพลังยังมีสูงกว่าอาณาจักรพระเจ้า จึงย่อมมีขอบเขตจิตใจที่สูงกว่าอาณาจักรคนฟ้ารวมเป็นหนึ่งเช่นกัน! สภาวะตัดชั่วฟ้าหรือชื่อโดยทางการเรียกว่า อาณาจักรตัดชั่วฟ้า ก็คือขอบเขตจิตใจที่ถัดจากอาณาจักรคนฟ้ารวมเป็นหนึ่ง! คนฟ้ารวมเป็นหนึ่ง…ฟ้าดินหลอมรวมคือตัวเรา ขณะที่ตัดชั่วฟ้า หนึ่งเดียวเหนือสรรพสิ่งคืออัตตา เหตุที่ยังเรียกแค่ว่า สภาวะตัดชั่วฟ้า เพราะการจะบรรลุขอบเขตจิตใจระดับนี้ได้โดยสมบูรณ์ จำต้องขึ้นกลายเป็นอาณาจักรราชันย์พระเจ้า และมีความสามารถในการสร้างโลกขึ้นมาให้ได้เสียก่อน ยามนั้นความเข้าใจของเจ้าจะดิ่งลึกลงถึงอัตตา และบรรลุอาณาจักรตัดชั่วฟ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ!”
ความหมายในคำกล่าวของหวูเฉินประจักษ์ชัดเจน เย่หยวนโชคดีอย่างมากที่เข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้านี้ได้
ความปรารถนาที่จะก้าวเข้าสู่สภาวะนี้อีกครั้ง กลับเป็นความคิดที่โง่เขลาอย่างแท้จริง
ความแตกต่างระหว่างอาณาจักรปฐมพระเจ้าและอาณาจักรราชันย์พระเจ้า ช่างกว้างใหญ่ไพศาลเกินพรรณนา
แต่เย่หยวนก็ยังหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เป็นอย่างงี้นี่เอง! ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่เรื่องสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นับว่าสำเร็จด้วยดี ท่านอาวุโส เรามาเริ่มเรื่องศาสตร์แห่งค่ายกลต่อเลยดีหรือไม่?”
หวูเฉินยังหาได้ยอมรับในตัวเย่หยวนเท่าไหร่ แค่สิ่งหนึ่งที่มิอาจปฏิเสธได้คือ ปรากฏการณ์ก่อนหน้าทำให้เขาตกตะลึงจับใจไม่คลายอ่อน
เพราะยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หวูเฉินมิได้กล่าวออกไปนั้นคือ ผู้ที่จะบังเอิญหลงเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ อย่างน้อยที่สุดจำต้องเป็นถึงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า!
แนวคิดความเข้าใจของเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าลุเข้าใกล้ความสามารถในการสร้างโลกมากที่สุด ดังนั้นจึงมีโอกาสตกเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ แต่ความเป็นไปได้ก็น้อยจนแทบเท่ากับศูนย์!
คนอย่างเย่หยวนที่สามารถเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ ทั้งๆที่เพิ่งเลื่อนกลายเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น ในมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ถือได้ว่ามีน้อยจนนับนิ้วได้!
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า เหตุวใดเขาถึงประหลาดใจมากขนาดนี้!
กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ตราบใดที่เย่หยวนสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้ เขานี่แหละคือตัวเต็งที่มีโอกาสก้าวขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้าได้สูงมาก!
หลังจากก้าวขึ้นบนอาณาจักรพระเจ้า แต่ละระดับชั้นล้วนยากเย็นแสนเข็ญเกินพรรณนา และยังมีบางช่วง ที่มีช่องว่างระหว่างอาณาจักรพลังที่ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าฟ้าดิน ค่อยสกัดดาวรุ่งไว้
อาณาจักรราชันย์พระเจ้าคืออุปสรรคแรกสุด!
ตอนที่ 1302
หลอมกลั่นเสร็จสมบูรณ์!
“หงหยิง โดยปกติเจ้าไม่เคยทำพลาด แต่ไยวันนี้ถึงคำนวณจำนวนสินค้าผิดไปตั้งหลายครั้ง ช่วงนี้เจ้าเป็นอะไรไปหรือไม่? ดูไม่อยู่กับร่องกับร่อยเท่าไหร่นัก?”
หงหยิงทำงานให้กับหอมหาสมบัติมาตั้งนานหลายปี แต่นางกลับไม่เคยทำงานผิดพลาดเลยสักครั้ง
แต่วันนี้ราวกับว่านางดูมึนงงไปหมด กระทั่งตอนทำบัญชียังคำนวณผลึกปราณเทวะขาดตกไปตั้งหลายสิบก้อน
เมื่อผู้ดูแลสาขาเห็นแบบนั้น จึงอดลุกขึ้นมาเตือนมิได้
หงหยิงกล่าวขอโทษเล็กน้อยว่า
“ผู้จัดการซู ข้าต้องประทานโทษจริงๆ เรื่องทั้งหมดที่วันนี้ทำผิดพลาดไป ท่านหักค่าจ้างของข้าในวันนี้ไปได้เลย!”
ผู้จัดการซูส่ายศีรษะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เราชายชราทราบดีว่าเจ้าทั้งขยันและซื่อสัตย์กับหอมหาสมบัติแห่งนี้มากขนาดไหน เรื่องหักค่าจ้างหาใช่เรื่องสำคัญไม่เลย แต่ที่ข้าแปลกใจคือ มีเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าเหม่อลอยได้ขนาดนี้ วันนี้ทั้งวันเหมือนเจ้ากำลังรอใครบางคนอยู่ หรือเป็นไปได้ไหมว่า…วันนี้จะมีคนที่เจ้าชอบพอมาเยี่ยมเยือน?”
พวงแก้มขาวเนียนของหงหยิงคลี่แดงระเรื่อ นางเร่งผสานมือกล่าวตอบไปว่า
“ผู้จัดการซูคิดมากเกินไปแล้ว ข้าเพียง…เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย”
“อยากรู้อยากเห็น?”
ผู้จัดการซูทวนคำด้วยความงุนงง
นางพยักหน้าตอบทันที เรื่องนี้หาได้มีเจตนาปิดปิดอยู่แล้ว เช่นนั้นหงหยิงจึงเริ่มปริปากเล่าเรื่องราวผิดประหลาดของเย่หวยในวันนั้นให้ผู้จัดการซูฟัง จากนั้นปิดท้ายด้วยว่า
“วันนี้เป็นวันที่สิบ ครบกำหนดสัญญาเช่าพอดี ข้าจึงสงสัยว่าเขาจะทำสำเร็จจริงๆหรือไม่ ถึงได้เหม่อลอยอยู่บ่อยครั้งแบบนี้”
ผู้จัดการซูที่ได้ฟังก็หัวเราะขึ้นทันทีและกล่าวว่า
“โอ๋,หงหยิงเอ๋ย เจ้าเองก็เป็นพนักงานเจนจัดมากประสบการณ์ของหอมหาสมบัติมานาน ตาไฉนจิตใจของเจ้ากลับไร้เดียงสาเพียงนี้? คนที่ไม่มีพลังปราณเทวะจะสามารถหลอมกลั่นโอสถได้อย่างไร? เจ้ากล่าวเองว่า เด็กหนุ่มคนนั้นอายุราวๆสามถึงสี่สิบปีเห็นจะได้ อายุประมาณนี้ โดยส่วนใหญ่เพิ่งเริ่มศึกษาทฤษฎีโอสถระดับพื้นฐานเท่านั้น หรือเจ้านำเขามาเปรียบเทียบกับระดับปรมาจารย์ในเมืองหลวงเชียว?”
หงหยิงอดชะงักไปมิได้เมื่อได้ยิน ก็จริงอย่างที่ผู้จัดการซูกล่าวไปจริงๆ กลับเป็นนางที่ตาบอดหลงเชื่อชายพิการคนนั้นโดยไม่รู้ตัว
อายุราวๆสามถึงสี่สิบปี ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มเท่านั้นบนมหาพิภพถงเทียน
เป็นอย่างที่ผู้จัดการซูกล่าวไป เด็กอายุแค่นี้จะไปหลอมกลั่นนั้นเป็นถึงโอสถศักดิ์สิทธิ์เฉกเช่นโอสถปราณเทวะได้อย่างไรกัน?
ในขณะที่หงหยิงกำลังมึนงงอยู่นั่นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดคลุมสีครามฟ้าก็ตรงเข้ามาในห้องโถง
พินิจจากทิศทาง ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเพิ่งเดินออกมาจากห้องบ่มเพาะอย่างไม่ผิดเพี้ยน
นั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากเย่หยวน!
เย่หยวนตรงเข้ามาหาหงหยิงและเอ่ยปากกล่าวว่า
“ท่านเคยกล่าวไว้ก่อนหน้าใช่หรือไม่ว่า หอมหาสมบัติรับซื้อโอสถปราณเทวะขั้นกลาง? หวังว่าทางท่านยังคงรับซื้อเหมือนเดิม?”
ขณะที่วาจาคำกล่าวนี้ดังขึ้น ไม่เพียงหงหยิงที่สะดุ้งเฮือกโดยพลัน แม้แต่ผู้จัดการซูเองยังเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความตะลึง พลางเบี่ยงสายตาเข้าจับจ้องเย่หยวนเสมือนเห็นผี
“ทะ-ท่าน…ท่านสามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้จริงๆ?”
หงหยินกล่าวติดอ่างแทบไม่ประโยค
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางเอ่ยตอบว่า
“แน่นอนว่าต้องได้ แต่ได้มาแค่เม็ดเดียวเท่านั้น ข้าสงสัยว่าทางหอมหาสมบัติยังรับซื้ออยู่หรือไม่?”
หงหยินยังมิได้เอ่ยตอบเย่หยวนกลับไปทันควัน นางเร่งขยับขยายสายตาจับจจ้องเย่หยวนประดับท่าทีแสนประหลาดใจ
นางพยายามเข้าพินิจตรวจสอบเสาะหาร่องรอยพลังปราณเทวะจากทั่วร่างเย่หยวนโดยละเอียด
แต่ผลที่ได้กลับน่าผิดหวังนัก
ไม่มีพลังปราณเทวะเลย!
ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยว!
“หรือเป็นไปได้ไหม..เป็นไปได้ไหมที่…”
หงหยิงยังไม่ทันกล่าวจบ กลับเป็นผู้จัดการซูที่เอ่ยปากตัดบทดังฉับ
เขาหันมากล่าวกับเย่หยวนอย่างยิ้มแย้มว่า
“แน่นอน! ทางหอมหาสมบัติของเราไม่เคยปฏิเสธน้ำใจจากนักหลอมโอสถ! ตราบใดที่โอสถตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ทางเรายินดีรับซื้อเป็นอย่างยิ่ง!”
เย่หยวนพยักหน้าพร้อมหยิบโอสถเม็ดสรดำเทาออกมา ทันใดนั้นกลิ่นสมุนไพรจากโอสถหอมฟุ้งอบอวลทั่วทุกหนแห่ง
สีหน้าการแสดงออกของหงหยิงและผู้จัดการซูเปลี่ยนเป็นจริงจังในบัดดล คุณภาพของโอสถปราณเทวะเม็ดนี้ดีกว่าที่ทั้งสองคิดไว้มาก!
นี่คือโอสถปราณเทวะขั้นกลางอย่างไม่ต้องสงสัย
คุณภาพของมันดีเยี่ยมใกล้เคียงกับขั้นสูง แต่น่าเสียดายที่โอสถปราณเทวะเม็ดนี้มีขนาดเล็กกว่าปกติทั่วไป
โดยสรุปนี่เป็นโอสถปราณเทวะขั้นกลางที่ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก แต่หากเทียบกันในแง่ของคุณภาพเพียงอย่างเดียว โอสถเม็ดนี้เหนือกว่าโอสถปราณเทวะขั้นกลางทั่วไป
ผู้จัดการซูกล่าวขึ้นว่า
“น้องชาย ทางหอมหาสมบัติของเราคือคติไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ถือธำรงความเท่าเทียม คุณภาพของโอสถปราณเทวะเม็ดนี้นับว่าดีกว่าขั้นกลางทั่วไป เสียแค่ว่ามีขนาดเล็กกว่าปกติ แต่อย่างไรก็ดี ราคาของโอสถปราณเทวะเม็ดนี้ ทางเราขอรับซื้อในราคายี่สิบแปดผลึกปราณเทวะระดับต่ำ ถือเป็นขวัญกำลังใจให้ เจ้าคิดเห็นอย่างไรหรือไม่?”
คู่ดวงตาไสวพลันเปล่งประกายขึ้น เย่หยวนเร่งผสานมือกล่าวตอบว่า
“ท่านผู้นี้คงเป็นผู้จัดการของที่นี่ใช่หรือไม่? ข้อเสนอนี้ ผู้เยาว์ขอรับไว้ด้วยความเต็มใจ! แต่มอบให้ข้าเพียงสิบหกก้อนเป็นพอ เพราะทั้งตัวข้าเหลือแค่สามก้อน ส่วนที่เหลือแบ่งไปเช่าห้องบ่มเพาะต่อครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่ง รบกวนช่วยแลกเปลี่ยนทั้งหมดให้เป็นวัตถุดิบหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะ”
ที่ผลึกปราณเทวะเหลือแค่สามก้อน เป็นเพราะเย่หยวนนำส่วนที่เหลือไปจัดสร้างพัฒนาศาสตร์แห่งค่ายกลโดยสิ้นแล้ว
วรยุทธค่ายกลเต๋ากลั่นโอสถที่ว่านั่น คือการใช้ค่ายกลในการกลอมกลั่นโอสถแทน ซึ่งค่ายกลที่ใช้หลอมกลั่นโอสถปราณเทวะมีชื่อว่า ค่ายกลปราณเทวะชั้นต้น
ตามชื่อของมัน ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นสำหรับหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะโดยเฉพาะ และจำนวนผลึกปราณเทวะที่ต้องการก็ไม่มากนัก แค่แปดก้อนต่อรอบเท่านั้น
เย่หยวนเหลือผลึกปราณเทวะทั้งหมดหกสิบเจ็ดก้อนก่อนหน้านี้ ซึ่งหมายความว่าเขามีโอกาสเพียงแปดครั้ง
แม้ค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นจะใช้ผลึกปราณเทวะแค่แปดก้อน แต่ความซับซ้อนของค่ายกลชนิดนี้กลับเหนือจินตนาการเย่หยวนยิ่ง!
ศาสตร์แห่งค่ายกลของหลู่หลินเฟย นับเป็นจุดสูงสุดแห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์
เส้นทางของหลู่หลินเฟยประสบความสำเร็จจนกล่าวได้ว่า ตัวเขาคือตัวแทนของศาสตร์แห่งค่ายกลทั้งปวง
แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกล่าวถึง ต่อหน้าค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นนี้ หลู่หลินเฟยกลับเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น!
ค่ายกลทั้งสองแบบกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!
ค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นนี้ถึงจะจัดตั้งโดยใช้ผลึกปราณเทวะระดับต่ำแค่แปดก้อน แต่กว่าจะก่อร่างสร้างค่ายกลเสร็จ ก็เล่นเอาเย่หยวนแทบเหนื่อยตาย
โชคยังดีที่รากฐานบนเส้นทางแห่งค่ายกลของเย่หยวนค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าที่หวูเฉินจินตนาการไว้มาก
หากย้อนกลับไป ภายในค่ายกลป่าดอกท้อ นั้นเป็นครั้งแรกที่เย่หยวนได้สัมผัสและศึกษาค่ายกลศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก นั่นจึงกล่าวได้ว่า เขาพอมีประสบการณ์ติดตัวอยู่บ้าง ระหว่างการสร้างค่ายกลปราณเทวะชั้นต้น ถึงได้ภูมิความรู้เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้
ภายใต้ความกดดันอันหนักหน่วง จึงทำให้เย่หยวนระเบิดศักยภาพทั้งหมดออกมาจนถึงขีดจำกัด
เขาอนุมานวิเคราะห์ทุกมากเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นยามสร้างค่ายกลอย่างบ้าคลั่ง จนในที่สุด ห้าสิบห้าวันต่อมา เย่หยวนก็ผลักดันตนเองจนพัฒนาขึ้นอีกระดับ
ความบ้าคลั่งชนิดนี้ แม้แต่หวูเฉินยังแอบตื่นตะลึงเช่นกัน จนตองอุทานขึ้นว่า เจ้าเด็กนี่มันเสียสติไปแล้ว
อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งที่ทำให้หวูเฉินประหลาดใจที่สุดคือ ระหว่างที่เย่หยวนกำลังหมกมุ่นอย่างหนักกับการสร้างค่ายกล อีกเพียงก้าวเดียว เขาก็ยังเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าอีกครั้ง!
เย่หยวนในเวลานั้นตกสู้ห้วงจิตใต้สำนักเป็นคำรบสอง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหยั่งถึงอัตตาได้แบบคราวแรก
สภาวะตัดชั่วฟ้าเป็นเรื่องยากเกินไปจริงๆ!
แต่เย่หยวนก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพามันขนาดนั้นเช่นกัน ในเวลาวิกฤตสุดขีด เย่หยวนก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนสามารถสร้างค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นได้เป็นผลสำเร็จ
ในเวลานั้นเอง กระทั่งหวูเฉินผู้ทะนงดุจมีดวงตาเหนือศีรษะยังต้องร้องลั่นออกมาอย่างประหลาดใจ
เขานึกไม่ถึงเลยว่า เย่หยวนจะสามารถทำภารกิจที่ไม่มีวันเป็นไปได้ให้สำเร็จจริงๆภายในหนึ่งร้อยวัน!
ศึกษาคุณสมบัติสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และศาสตร์แห่งค่ายกล เย่หยวนประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่สุดนั้นคือ การหลอมกลั่น
หากกล่าวตามหลักเหตุและผล เมื่อค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นมีความเสถียรและสมบูรณ์แบบเพียงพอ ตราบใดที่ผู้หลอมไม่วางสมุนไพรสลับตำแหน่ง ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมประสบความสำเร็จราบรื่นดี
แต่ความเข้าใจของเย่หยวนต่อค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นยังคงตื้นเขินเกินไป ทำให้ระหว่างการหลอมกลั่น มักเกิดเหตุการณ์ไม่คาดขึ้นต่างๆนาๆ
ตอนนั้นยังมีเวลาเหลือประมาณห้าวัน ขณะที่เย่หยวนเหลือผลึกปราณเทวะแค่ยี่สิบเจ็ดก่อน ดังนั้นเขายังมีโอกาสแก้ตัวอีกสามครั้งถ้วน
การหลอมกลั่นครั้งแรก เย่หยวนประสบความล้มเหลวลง แต่นี่หาใช่เรื่องน่าแปลกใจแม้สักนิด
เย่หยวนถอยกลับมาก้าวหนึ่ง พร้อมทบทวนสิ่งที่ทำผิดพลาดไปเป็นเวลาอีกสามวันเต็ม
การหลอมกลั่นครั้งที่สอง ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ!
แต่น่าเสียดาย ผลลัพธ์ที่ออกมากลับเป็นเพียงโอสถปราณเทวะขั้นต่ำ
เย่หยวนนั่งลงและทดทวนความผิดพลาดอีกครั้งเป็นเวลาอีกหลายวัน จนท้ายที่สุด ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เย่หยวนก็หลอมหลั่นได้เป็นโอสถปราณเทวะขั้นกลางเม็ดนี้!
หลังจากพูดคุยกันเสร็จ เย่หยวนก็หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องบ่มเพาะอีกครั้ง ปล่อยให้หงหยิงและผู้จัดการซูสบตากันปริบๆ แววตาของทั้งคู่สาดสะท้อนความแปลกใจเกินจะปกปิดได้อยู่
“พรสวรรค์ของเด็กคนนี้ช่างน่ากลัวโดยแท้! หงหยิง เจ้าจับตาดูเขาให้ดี ต่อไปหากเขาต้องการความช่วยเหลือใดๆ จงให้ความร่วมมือแก่เขาเท่าที่จะทำได้!”
ผู้จัดการซูกล่าวขึ้นเจือเสียงขรึมเล็กน้อย
ตอนที่ 1303
ทรัพยากรไร้จำกัด!
“บัดซบ! เจ้าเด็กนี่นั้นมุดหัวอยู่ในหอมหาสมบัติจริงๆ! มันไปเอาผลึกปราณเทวะมาจากไหนตั้งมากมาย?”
“ข้าเคยตรวจสอบเรื่องนี้ไปก่อนหน้าแล้ว คุณหนูใหญ่ใช้ให้หลานฉิงนำผลึกปราณเทวะไปมอบแก่เด็กคนนั้น”
“เรื่องนี้ข้าทราบ! แต่คุณหญิงคุมเข้มตลอด คุณหนูใหญ่ จะไปมีผลึกปราณเทวะอยู่กับตัวมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร จริงหรือไม่?”
“อืม อย่างมากก็ราวๆร้อยก้อนเห็นจะได้ ห้องบ่มเพาะระดับเหลืองใช้สิบก้อนต่อวัน คงอยู่ได้อีกไม่เกินสองสามวัน หอมหาสมบัติแห่งนี้พวกเรามิอาจยั่วยุลงมือใดๆได้ คงต้องจับตาดูกันต่อไป”
“คุณหนูใหญ่พยายามวางตัวออกห่างจากผู้คนมากที่สุดแล้วแท้ๆในช่วงหลายปีมานี้ แต่คุณนายกลับไม่วางมือ แถมยังพยายามหาโอกาสรังแกนางอีก พอทราบว่านางแอบส่งผลึกปราณเทวะให้เจ้าเด็กนี่ ในที่สุดคุณนายก็ได้โอกาส”
“ถูกต้องเลย! เรื่องรังแกกันภายในตระกูลเหลียง แม้แต่ท่านประมุขตระกูลยังไม่อยากจะกล่าวนัก แต่ข้ารู้สึกสงสารคุณหนูใหณ่มากจริงๆ ในช่วงหลายปีมานี้ นางถูกสองแม่ลูกคู่นั้นรังแกโดยตลอด ไม่รู้จิตใจของทั้งสองนางนั้นทำด้วยอะไร”
“เฮ้ออ… ตอนนี้นางถูกโยนลงคุกใต้ดินแล้ว สองแม่ลูกคู่นั้นไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆแน่นอน”
สองคู่หู่จางชุนยืนเฝ้าจับตาดูอยู่หน้าหอมหาสมบัติเป็นเวลากว่าสิบวันแล้ว ยามนี้พวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลวิตกยิ่ง
อย่างไรก็แล้วแต่ หอมหาสมบัตินี้กลับมิใช่สถานที่ที่ตระกูลเหลียงจะไปกระตุ้นได้เลย พวกเขาทำได้เพียงจับตาดูต่อไปและรอจนกว่าเย่หยวนจะออกมา
แต่ยิ่งทั้งสองรอนานเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น
ไฉนพวกเขาต้องเสียเวลาให้กับไอ้หนุ่มพิการมากมายเยี่ยงนี้?
แต่เท่าที่จับใจความจากบทสนทนาของทั้งสองได้ เหลียงหวางหรูยามนี้ถูกหวังเพียนหลานจับโยนเข้าคุกใต้ดินเป็นที่เรียบร้อย ในข้อหาลักลอบส่งผลึกปราณเทวะให้เย่หยวน
ด้วยเหตุนี้ หวังเพียนหลานจึงได้โอกาสใส่ความเหลียงหวางหรูทันที และนางไม่ยอมปล่อยไปโดยง่ายแน่นอน
บางทีนางอาจใส่ความจนเหลียงหวางหรูถูกประหารชีวิต
ณ ขณะนี้ ภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ อีกสิบวันได้ผ่านพ้นไป เย่หยวนออกจากการเก็บตัวอีกครั้ง
เมื่อหงหยิงเห็นโอสถปราณเทวะขั้นกลางสองเม็ดเป็นทรงสมบูรณ์สวยบนอุ้งมือเย่หยวน นางพลันตะลึงยิ่งจนปิดปากไม่อยู่
นางทราบดี ด้วยจำนวนผลึกปราณเทวะที่เหลืออยู่ในตัวเย่หยวน มันเพียงพอสำหรับเปิดใช้ค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นได้แค่สองครั้งพอดี
ซึ่งนี่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า อัตราความสำเร็จในการหลอมกลั่นของเย่หยวนเท่ากับสิบเต็มสิบส่วน!
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ เย่หยวนซื้อวัตถุดิบสมุนไพรไปทั้งหมดสิบชุด แค่ยังไม่ทันไรกลับได้โอสถปราณเทวะขั้นกลางมาแล้วสองเม็ด
ความเร็วในการหลอมกลั่นระดับนี้ มันไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยรึ?
แน่นอน หากนางทราบว่าก่อนที่เขาจะเข้าห้องบ่มเพาะ เย่หยวนยังเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เลย หงหยิงจะไม่ยิ่งตะลึงกว่านี้?
หงหยิงนางนี้มากประสบการณ์โชกโชนคล้ายทหารผ่านศึกเจนจัด ซึ่งนางก็ทราบดีว่า การหลอมกลั่นโอสถด้วยค่ายกลมันยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด
เพราะไม่มีใครในเมืองกุยฉางที่สามารถหลอมกลั่นโอสถด้วยค่ายกลได้เลย!
ผู้จัดการซูหาใช่เพียงผู้จัดการของหอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉางเท่านั้น แต่เขายังเป็นถึงจอมเทพโอสถหนึ่งดาวขั้นสุด!
ทว่าแม้กระทั่งเขาก็ยังไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถโดยใช้ค่ายกลได้เช่นกัน
แต่เย่หยวนที่ไร้ซึ่งพลังปราณเทวะ ไม่เพียงหยิบใช้ค่ายกลเพื่อหลอมกลั่นโอสถได้ อัตราความสำเร็จในการหลอมกลั่นยังสูงลิบลิ่ว เพราะเหตุนี้จะมิให้หงหยิงประหลาดใจได้อย่างไร?
“นายท่าน แท้ที่จริงกลับเป็นถึงนักหลอมโอสถอัจฉริยะขนานแท้ท่านหนึ่ง ความเร็วในการหลอมกลั่นช่างว่องไวเกินพรรณนา! เพิ่งผ่านไปวันเดียวก็สามารถสรรสร้างโอสถปราณเทวะที่มีคุณภาพสูงขนาดนี้ได้ โอสถทั้งสองเม็ดนี้ยังดีกว่าโอสถครั้งก่อนหน้ามากนัก! อีกไม่นาน นายท่านคงหลอมกลั่นได้เป็นโอสถปราณเทวะขั้นสูงแล้วกระมัง?”
หงหยิงอุทานขึ้น
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มบางประดับใบหน้าว่า
“แม่นางใจดีเกินไปแล้ว เพียงโชคช่วยเท่านั้น”
หาใช่ว่าเย่หยวนแสร้งทำเป็นเจียมเนื้อเจียมตัว แต่เขาโชคดีจริงๆ
เนื่องจากมีโอกาสแค่สองครั้ง เย่หยวนจึงกินสมุนไพรนำร้องไปก่อนสองชุดเพื่อสร้างความคุ้นเคยให้มากกว่านี้
เขาเริ่มลงมือหลอมกลั่นโอสถจริงๆก็ปาเข้าไปวันสุดท้ายพอดิบพอดี
ด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวนในปัจจุบัน ตัวเขามีความมั่นใจอยู่ประมาณสามจากสิบส่วนเท่านั้น
หาอื่นใด เขาก็ไม่คิดไม่ฝันเช่นกันว่า ผลที่ออกมาจะประสบความสำเร็จถึงสองครั้งติด
คู่ดวงเนตรงามปรับสายตาจับจ้องไปที่เย่หยวน ก่อนเอ่ยถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มหวาน
“นายท่าน โปรดเรียกข้าว่า หงหยิง ไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามของท่านคือ?”
เย่หยวนกล่าวตอบว่า
“แม่นางหงหยิง ข้านามว่าเย่หยวน”
“นายท่านเย่เป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้หงหยิงโง่งมรู้เท่าไม่ถึงการณ์”
พลันนึกถึงตัวนางที่มีความคิดดูถูกก่อนหน้า หงหยิงยามนี้ได้แต่กล่าวตำหนิตนเองในใจ
เย่หยวนนิ้มและกล่าวว่า
“เย่คนนี้เพิ่งเดินทางเข้าเมืองได้ไม่นาน และขออาศัยอยู่กับตระกูลเหลียงชั่วคราว”
เย่หยวนหาได้มีเจตนาปิดบังไม่ เขาชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยพลังอำนาจของหอมหาสมบัติ หากพวกเขาต้องการลงมือตรวจสอบซักประวัติจริงๆ ย่อมทำได้โดยง่าย
หยิงหยิงยิ่งรู้สึกประหลาดใจเข้าไปใหญ่เมื่อได้ยินแบบนั้น ตระกูลเหลียงเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองกุยฉางแห่งนี้ และยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ที่เด็กหนุ่มคนนี้จะหยิบผลึกปราณเทวะออกมาได้
จะกล่าวว่า หากเย่หยวนต้องการวางท่าจึงกล่าวเช่นนี้ออกมาก็ดูจะแปลกไปหน่อย หากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลเหลียงเป็นไปได้ด้วยดี แล้วไฉนถึงต้องออกมาเช่าห้องบ่มเพาะอยู่ข้างนอก?
แต่หงหยิงเองก็เป็นพนักงานสาวเจนจัดมากประสบการณ์ รู้สึกอย่างไรหาใช่แสดงออกมาบนใบหน้า นางเพียคลี่ยิ้มหวานตอบว่า
“เป็นเช่นนี้นี่เอง นายท่านเย่ต้องการนำโอสถปราณเทวะสองเม็ดนี้แลกเปลี่ยนเป็นผลึกปราณเทวะกับสมุนไพรวิญญาณเหมือนเดิมใช่หรือไม่?”
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมผสานมือว่า
“ส่วนห้องบ่มเพาะขอเช่าแค่วันเดียว ต้องรบกวนแม่นางหงหยิงแล้ว”
โอสถปราณเทวะขั้นกลางทั้งสองเม็ดนี้ หงหยิงรับซื้อในราคายี่สิบแปดก้อนต่อเม็ด ดังนั้นแล้วผลึกปราณเทวะที่ได้จึงเท่ากับห้าสิบแปดก้อน กล่าวได้ว่าสถานการณ์ทางการเงินของเย่หยวนเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
เขาตัดสินใจเช่าห้องบ่มเพาะแค่วันเดียว ส่วนที่เหลือก็นำไปแลกเป็นสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และผลึกปราณเทวะอีกจำนวนหนึ่งติดตัว
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ความเข้าใจของเย่หยวนต่อค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่คุณภาพของโอสถปราณเทวะที่หลอมกลั่นออกมาก็สูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ในวันที่เจ็ด ในที่สุดความสำเร็จของเย่หยวนก็เปรียบดั่งกระโดดข้ามเข้าสู่ประตูมังกร
เขาหลอมกลั่นจนได้โอสถปราณเทวะขั้นสูง!
แต่เย่หยวนหาได้เก็บมันไว้ใช้เอง แต่เลือกที่จะขายออกไป แลกผลึกปราณเทวะจำนวนแปดสิบก้อนเข้ากระเป๋าโดยไม่ลังเล
เพราะสิ่งที่เย่หยวนต้องการที่สุดในตอนนี้คือ ผลึกปราณเทวะ!
ราคาต้นทุนต่อเม็ดอยู่ที่สิบก้อน หากหลอมกลั่นได้เป็นโอสถปราณเทวะขั้นสูง และนำไปขายจะมีมูลค่าสูงถึงแปดสิบก้อน ผลกำไรมหาศาลเช่นนี้ คือสิ่งที่เย่หยวนต้องการจะเห็นมากที่สุด
แน่นอน ทันทีที่หงหยิงเห็นว่าเป็นโอสถปราณเทวะขั้นสูง นางถึงขั้นอ้าปากค้างเติ่งตะลึงเป็นคำรบสอง
แม้โอสถปราณเทวะจะเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำที่สุด แต่พัฒนาการของเย่หยวนก็เร็วจนไม่สามารถอธิบายได้แล้ว!
ตั้งแต่ทำงานอยู่ในหอมหาสมบัติ หงหยิงไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย จวบจนบัดนี้ยิ่งนึกถึงเท่าไหร่ นางก็ยังตื่นตะลึงไม่หาย
หลังจากนั้นเป็นต้นมา สถานการณ์ทางการเงินของเย่หยวนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงความเป็นอยู่ที่หาได้กันดานอย่างก่อนหน้า เขามีโอกาสหลอมกลั่นโอสถได้เยอะขึ้น และนั้นส่งผลให้ความเข้าใจของเขาต่อสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และค่ายกลปราณเทวะชั้นต้นลึกซึ้งหยั่งลึกลงไปได้ไกลขึ้น
อัตราความสำเร็จแทบจะเสถียรนิ่งสมบูรณ์แบบ ในขณะที่คุณภาพโอสถที่ได้ก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นทวีทบ!
ระหว่างนั้นเอง หงหยิงได้ตัดสินใจให้ความช่วยเหลือโดยพละการทันที!
วันหนึ่งที่เย่หยวนออกจากห้องบ่มเพาะ เพื่อมาส่งมอบโอสถนำไปแลกตามปกติ นางทุ่มทั้งผลึกปราณเทวะและสมุนไพรอีกชุดใหญ่เป็นมูลค่ามหาศาลให้แก่เย่หยวนโดยตรง ตราบใดที่เย่หยวนยังคงประจำการอยู่หลอมกลั่นที่นี่ต่อไป หอมหาสมบัติก็จะมีโอสถปราณเทวะคุณภาพดีไว้จำหน่ายอย่างไร้จำกัด
ในวันที่สิบ โอสถปราณเทวะที่เย่หยวนหลอมกลั่น โดยส่วนใหญ่จะคงความเสถียรอยู่ที่ขั้นสูงเกือบทั้งหมด มีส่วนน้อยที่เป็นขั้นกลาง
ในวันที่สิบแปด หรือวันที่สองร้อยแปดสิบภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ!
รัศมีค่ายกลสว่างค่อยๆจางหายไป ผลึกปราณเทวะทั้งแปดก้อนกลายเป็นสีเทาหม่นปราศจจากพลังงานใดๆอีก
ทว่าแววไสวที่เปล่งประกายสะท้อนจากนัยน์ตาของเย่หยวน เผยให้เห็นความตื่นตกตื่นเต้นอย่างชัดเจน
“ฮ่าฮ่า! ในที่สุดก็ทำสำเร็จ!”
กดสายตาจับจ้องโอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยมเม็ดงามขลับเบื้องหน้า เย่หยวนรู้สึกตื้นตันยากจะอธิบายได้
โอสถศักดิ์สิทธิ์เป็นโอสถที่หลอมกลั่นยากเย็นแสนเข็ญโดยแท้ สองร้อยห้าสิบวันที่ผ่านมา เขาพินิจทบทวนกลั่นกรองความรู้ความเข้าใจ และหลอมกลั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง!
จนมาวันนี้ ในที่สุดเย่หยวนก็ได้โอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก!
“เหอะ ก็แค่ขั้นยอดเยี่ยม จำต้องมีความสุขขนาดนั้นเชียว? โอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยม นี่เพิ่งจะเริ่มต้นจริงๆเท่านั้น!”
หวูเฉินดับความสุขของเย่หยวนลงโดยตรงอย่างหาปราณีไม่
แต่ที่หวูเฉินกล่าวออกไปแบบนั้น เพราะเขาเชื่อมั่นในพรสวรรค์อันไร้ขัดจำกัดของเย่หยวนแล้ว จากที่เฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา หวูเฉินสามารถกล่าวได้ทันทีว่า ความสำเร็จของเด็กคนนี้ยังไปได้อีกไกลโข
สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกได้เลยว่า เย่หยวนคนนี้เกิดมาเพื่อหลอมกลั่นโอสถ!
เย่หยวนใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีก็สามารถยืนอยู่สูงถึงจุดนี้ได้ ในขณะที่คนอื่นๆต้องใช้เวลาอย่างต่ำกว่าร้อยปี!
ความเร็วในการพัฒนาเช่นนี้ มาตรได้ว่าน่ากลัวเกินบรรยาย!
แต่เย่หยวนที่ได้ฟังแบบนั้นหาได้ท้อแท้แม้สักนิด ถึงอย่างไร เขากลับตอบพร้อมสีหน้าการแสดงออกที่แสนตื่นเต้นยิ่งว่า
“ท่านอาวุโสไม่รู้อะไร ปณิธานชั่วชีวิตนี้ของข้าคือการหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์อย่างไร้ขีดจำกัด! ตอนนี้ข้าเพิ่งหลอมกลั่นได้เป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นยอดเยี่ยมย่อมต้องดีใจเป็นธรรมชาติ แต่ยิ่งได้ยินท่านกล่าวว่า มันยังแค่เริ่มต้น กลับทำให้ข้ายิ่งตื่นเต้นจนอดใจไม่ไหวแล้ว!”
ความคาดหวังของหวูเฉินที่มีต่อเย่หยวนหาใช่ขั้นยอดเยี่ยม แต่เป็น…ขั้นเทวะ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น