Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1296-1299
ตอนที่ 1296
อุบายคู่สามีภรรยา
“น้องเล็กเย่ พวกเราต้องขอบคุณสำหรับทุกอย่าง! หากมิได้เจ้าช่วย เหลียงคนนี้คงไม่รู้จะเอาหน้าไปมองลูกสาวทั้งสองอย่างไรแล้ว”
“ประมุขตระกูลใจดีเกินไป แค่เย่คนนี้พอมีวิชาฝึกอสูรใช้เชื่องเล็กๆน้อยๆ เพิ่งจะมาใช้เป็นประโยชน์ก็ตอนชุมนุมอสูรในครานี้ เย่คนนี้ต่างหากที่ต้องกล่าวขอบคุณ หากมิใช่เพราะคุณหนูหวางหรู ป่าอสูรลึกลับคงกลายเป็นหลุมศพของเย่คนนี้แล้ว”
“ฮ่าฮ่า น้องเล็กเย่อย่าได้เกรงใจ! น้องเล็กเย่เข้ามาพักแรมที่ตระกูลเหลียงก่อนเถอะ หลังจากนั้นค่อยเดินทางไปต่อ”
เห็นได้ชัดว่า เหลียงหมิงอี้ผู้นี้เป็นพ่อค้าหัวใส และฉลาดแกมโกงมิใช่ย่อย
แต่ความแกร่งกร้าวของเขาก็มิได้อ่อนด้อย เหลียงหมิงอี้เป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง
คำกล่าวเหล่านี้ถึงฟังดูสุภาพให้เกรียติ แต่กลับทำให้เย่หยวนรู้สึกแปลกแยกออกไป
แม้เย่หยวนจะช่วยชีวิตเหลียงหวางหรูและหวางหรง แต่เหลียงหวางหรูเองก็ช่วยชีวิตเย่หยวนห่อน แถมยังมอบโอสถปราณลึกล้ำแก่เขาอีก
หลังจากที่ฟังรายงานทั้งหมดจากปากจางชุนจนจบ เหลียงหมิงอี้พลันรู้สึกปวดร้าวขึ้นกลางอกอย่างอดมิได้
ภายในเมืองกุยฉางแห่งนี้ โอสถปราณลึกล้ำคือโอสถครอบจักรวาลที่ล้ำค่าหาประเมินไม่
เพราะเขาในฐานะผู้เป็นพ่อรู้สึกผิดต่อเหลียงหวางหรูตลอดมา เขาจึงมอบโอสถเม็ดนี้ทิ้งให้แก่นาง เพื่อรักษาชีวิตในยามคับขัน
แต่เหลียงหมิงอี้คาดไม่ถึงจริงๆว่า ลูกสาวของเขากลับมอบมันให้คนแปลกหน้าแทน
อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ถ้ามิใช่เพราะความใจกว้างมากเมตตาของเหลียงหวางหรู ที่ไปช่วยชีวิตเย่หยวนเอาไว้ ปานนี้เองนางก็คงสิ้นใจตายอยู่ในท้องของอสูรแล้วเช่นกัน
นี่ถือเป็นผลบุญที่คืนสนองนางอย่างฉับไว
กระนั่นเอง เย่หยวนคนนี้มีภูมิหลังอย่างไร เหลียงหมิงอี้กลับมิได้ใส่ใจใดๆ
ที่เขายอมให้เย่หยวนเข้ามาพักในตระกูลเหลียง เป็นเพราะเขามิอาจทนเห็นน้ำตาของเหลียงหวางหรูได้ และนั้นคือทั้งหมด
ต่อมา เหลียงหมิงอี้ก็เริ่มระดมความคิดสรรหาเหตุผลต่างๆนาๆ เพื่อวางแผนขับไล่เย่หยวนออกจากตระกูลเหลียง เขาไม่ต้องการเลี้ยงคนพิการไว้ในบ้าน
อันที่จริงแล้ว วาจาคำกล่าวของเขาก็เจตนาไล่เย่หยวนออกไปอย่างชัดเจน เขาหวังเพียงว่า เย่หยวนจะพอคิดเองได้และเป็นฝ่ายตีตัวออกไปเอง
ทว่าใครจะไปคิด เย่หยวนกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว และทำตัวเป็นปรสิตเกาะตระกูลเหลียงต่อไป
เหลียงหมิงอี้หาได้มีความสุขไม่ที่เป็นแบบนี้ แต่เขาย่อมมิได้แสดงสีหน้าออกไปโดยธรรมชาติ
วิธีการนี้ของเขา มันคงง่ายเกินไปที่จะไล่ชายพิการนี่ออกไปจากตระกูลเหลียง
……………………………..
เหลียงหวางหรงร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดภายในเรือนพัก ต่อหน้าต่อตาหญิงอ้วนหูยานนางหนึ่ง
หญิงอ้วนนางนี้เป็นแม่ของเหลียงหวางหรง นามว่า หวังเพียนหลาน
เพียงว่าหญิงอ้วนนางนี้ตรงกันข้ามกับคำว่า‘เพียนหลาน(สง่างาม)’ทุกประการ ผนวกกับนิสัยของนาง ไม่ว่าใครเห็นต่างรู้สึกสะอิดสะเอียนรังเกียจสุดหัวใจ
สำหรับหญิงประเภทนี้ที่สามารถให้กำเนิดบุปผางามอย่างเหลียงหวางหรงได้ ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณเหลียงหมิงอี้ด้วยเช่นกัน
ซึ่งในตระกูลเหลียง แม้แต่เหลียงหมิงอี้ยังไม่กล้าโมโหใส่อารมณ์กับนาง
ย้อนกลับไปในปีนั้น ตระกูลเหลียงตกสู่สภาวะวิกฤติและเกือบล่มสลายไป
ต้องขอบคุณหวังเพียนหลานนางนี้ที่ยอมออกเรือนกับตระกูลเหลียง ทั้งสองได้แต่งงานกันและรอดออกจากวิฤกติในครานั้น
หวังเพียนหลานคิดว่าตนเองคือผู้กอบกู้ตระกูล จจึงมีศักดิ์สถานะเหนือทุกคนในตระกูลเหลียง
“ท่านแม่ ไอ้พิการนั้นมีวิชานอกรีตและหล่อลวงลูกสาวคนนี้ให้ทำเรื่องไร้ยางอาย! ข้าสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว มันแอบใช้วิชานอกรีตแสร้งทำเป็นควบคุมอสูรเหล่านั้นได้ เพื่อเอาความดีความชอบเข้าตัว มันทำทุกอย่างเพราะชมชอบในตัวเหลียงหวางหรู แต่จงใจสร้างปัญหาให้ลูกสาวคนนี้ลำบากใจอยู่เรื่อยมา! ท่านแม่ต้องช่วยหรงเอ๋อ มิฉะนั้น…มิฉะนั้น… ฮึก..ฮึก…”
เหลียงหวางหรงระเบิดน้ำตาไหลรินออกมาพร้อมโพล่งเข้ากอดแม่ทันที
นางแต่งเรื่องและบิดเบือนเหตุการณ์ในระหว่างการเดินทางทั้งหมด หวังเพื่อใส่ร้ายและให้หวังเพียนหลานเห็นใจ
หวังเพียนหลานเอะอะโวยวายเสียงดังลั่นด้วยความฉุดเฉียว ถึงอย่างไรนางก็รู้สึกรังเกียจเหลียงหวางหรูและเย่หยวนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตั้งแต่ย่างเท้ากลับถึงตระกูลเหลียง
เมื่อต้องมาเห็นลูกสาวของนางร้องห่มร้องไห้อย่างโศกเศร้าช้ำใจแบบนี้ หวังเพียนหลานยิ่งเดือดเป็นฝืนเป็นไฟ ทั่วทั้งใบหน้าของนางยามนี้แต่งแต้มไปด้วยความพิโรธโกรธจัด
“หรงเอ๋อเชื่อใจแม่! แม่คนนี้จะทวงคืนความยุติธรรมให้แก่เจ้า! เจ้าเด็กพิการนั่นก็แค่เศษใบกิ่งไม้เปาะ แถมยังโง่เดินมาเข้าในตระกูลเหลียงเองแบบนี้ เส้นทางเดียวที่รออยู่เบื้องหน้าคือนรก! ส่วนนังใบ้ ดูท่าแม่คนนี้ยังใจดีเกินไปถึงกล้ากำแหงขนาดนี้ คงต้องใช้ไม้แข็งให้หลาบจำ!”
แววประกายแสนเย็นชาสาดสะท้อนจากแววตาของหวังเพียนหลาน นางตะโกนขึ้นว่า
“เจ้า มานี่!”
สาวใช้นางหนึ่งปรี่ตรงเข้ามาหาโดยไว พร้อมสองมือทับบรรจบกลัดกุมบริเวณท้องน้อยอย่างสุภาพ
“นายหญิง!”
“ไปเรียกหมิงอี้มาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
หวังเพียนหลานตะวาดสั่งการ
“รับทราบนายหญิง!”
สาวใช้นางนั้นรู้สึกกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทา เมื่อรับสั่งหญิงอ้วนเสร็จสิ้นก็รีบจากไป
…………………….
“เหลียงหมิงอี้ ชายพิการสกุลเย่นั้นต้องตาย! มิเช่นนั้น ข้ากับหรงเอ๋ฮจะกลับตระกูลหวังทันทีในวันพรุ่งนี้!”
เหลียงหมิงอี้รู้สึกปวดเศียรหนักกับหญิงคนนี้มาก
หากย้อนกลับไป เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดหลงเหลือ นอกจากจำใจแต่งงานกับหญิงอ้วนน่าเกลียดนางนี้
แม้นั้นจะทำให้เขารอดพ้นจากวิฤกติตระกูลในปีนั้นมาได้ ทว่านี้กลับไม่ต่างอะไรกับเชื้อเชิญอสรพิษเข้าบ้านเลย
หญิงอ้วนนางนี้วันๆไม่ทำอะไร แถมยังเอาแต่ใจตัวเอง เอะอะโวยวายประดุจหมาบ้า จิกหัวใช้คนไม่เว้นวัน
เพราะเป็นแบบนี้เหลียงหมิงอี้จึงคิดถึงภรรยาคนเก่าของเขาไม่เว้นวัน แม่ของเหลียงหวางหรูนับเป็นแม่ศรีเรือนอย่างแท้จริง
ทั้งๆที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ไฉนถึงแตกต่างกันคนละขั้วขนาดนี้?
ถึงอย่างนั้น เขาก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนต่อไป พร้อมกล่าวด้วยความลำบากใจขึ้นว่า
“แต่นี่…มันดูไม่ดีเกินไปหน่อยรึ? เย่หยวนช่วยชีวิตลูกสาวทั้งสองออกมา หากเขาต้องมาตายในตระกูลเหลียงโดยมิทราบสาเหตุ ยังจะมีใครกล้าทำธุรกิจกับตระกูลเหลียงอยู่อีก?”
หวังเพียนหลานแสยะสีหน้าสุดน่ารังเกียจ ตอบกลับเสียงเย็นว่า
“เหลียงหมิงอี้ เจ้านี่มันโง่จริงๆ! ต่อให้มันตายลงโดยไม่รู้ผีสางเทวดา แต่ใครจะไปสนใจ? ก็แค่คนพิการไร้ค่าคนหนึ่ง หรือผู้คนทั่วทั้งพิภพจำต้องใส่ใจให้เสียเวลาเล่น? เหอะ ช่วยชีวิตลูกทั้งสอง? กลับเป็นมันมากกว่าที่จัดฉากเรียกอสูรพวกนั้นมาตั้งแต่แรก?”
เหลียงหมิงอี้เบิกตาโตในทันใดที่ได้ยิน ความเป็นไปได้นี้เขากลับไม่เคยนึกถึงมาก่อน
เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา หวังเพียนหลานเร่งกล่าวต่อ พร้อมน้ำเสียงที่อ่อนลงหนึ่งส่วน
“เหลียงหมิงอี้ เจ้าพิการนั่นมีวิชานอกรีตควบคุมอสูรได้! ตราบใดที่เจ้าทำให้มันยอมเปิดปากถ่ายทอดวิชานั้น…”
หวังเพียนหลานดูน่ากลัวอย่างมากในตอนนี้ ลักษณะท่าทางอันสุดแสนจะภูมิใจเปี่ยมล้นออกมา
แม้นางจะตัวอ้วนหูยาน แต่ก็มิได้โง่
อันที่จริงแล้ว ความคิดความอ่านของหวังเพียนหลานทั้งเฉียบคมและแนบเนียนเสียยิ่งกว่าเหลียงหวางหรงมาก
มิเช่นนั้นนางจะสามารถกำราบประมุขตระกูลอย่างเหลียงหมิงอี้ได้อยู่หมัดรึ?
เมื่อเหลียงหวานหรงกล่าวถึงความสามารถในการควบคุมอสูรของเย่หยวน หวังเพียนหลานก็นึกแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ฉับไว
ทั้งๆที่เย่หยวนเป็นเพียงคนพิการ แต่กลับสามารถควบคุมอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นปลายอย่างพญาช้างมารสวรรค์ได้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาต้องมีวิชาลับติดตัวอยู่แน่นอน
ตราบใดที่พวกเขาได้วิชานี้มา ตระกูลเหลียงจะขึ้นกลายเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งแห่งเมืองกุยฉางได้ในเสี้ยวพริบตา!
มีอสูรมากมายภายในป่าอสูรลึกลับ หากได้พวกมันมาเป็นกำลังเสริม ขุมพลังของตระกูลเหลียงจะถือได้ว่ายิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน
ทั่วทั้งร่างกายของเหลียงหมิงอี้สั่นสะท้าน แววโลภส่องสะท้อนออกจากนัยน์ตาโดยมิอาจปกปิดได้อีกต่อไป
“หุหุ ศรีภรรยาผู้นี้เหนือล้ำกว่าข้าครึ่งก้าวเสมอ! นับตั้งแต่แต่งงานกันมา ชีวิตของเหลียงหมิงอี้ก็มีแต่เจริญขึ้นและเจริญขึ้น! จนตอนนี้ตระกูลเหลียงของเราก็ใกล้จะขึ้นกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองกุยฉางแล้ว!”
เหลียงหมิงอี้กล่าวขึ้นพร้อมท่าทีที่สุดแสนจะตื่นเต้น
เขาไม่สนว่าเย่หยวนจะเป็นหรือตายหรือเหลียงหวางหรูจะคิดอย่างไร ยามนี้ขอเพียงได้วิชาลับพิสดารนั้นมา เท่านั้นก็เพียงพอ!
แผนการของหวังเพียนหลานไปกระตุ้นความโลภของเขาให้ตื่นแล้ว!
วิชาลับพิสดารที่สามารถควบคุมได้แม้แต่อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นปลาย มีใครบ้างจะไม่อิจฉา?
เมื่อเปรียบกับอนาคตของพวกเขา ที่จะได้กลายมาเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองกุยฉาง เศษเสี้ยวชีวิตของเย่หยวนยังนับว่าสำคัญอันใด?
หวังเพียนหลานเอ่ยตอยอย่างภาคภูมิว่า
“แน่นอน! ข้ารู้ว่าเจ้ายังคิดถึงเจ้าผีเน่านางนั้นมาตลอด แต่ถ้าหากเจ้าไม่มีหวังเพียนหลานผู้นี้ มีหรือที่เจ้าจะกินดีอยู่ดีอย่างในปัจจุบัน?”
ตอนที่ 1297
โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว!
เย่หยวนมิได้ทราบเลยว่า ตนได้กลายมาเป็นลูกแกะอ้วนที่กำลังจะถูกลอบสังหาร
ยามนี้ สิ่งที่ทำให้เขาปวดเศียรที่สุดคือ การหาวิธีซ่อมแซมทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์และกู้คืนพลังปราณทั้งหมดกลับมา
ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้รับความเสียหายแสนสาหัส เย่หยวนจึงไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถใดๆได้เลย
เรื่องหลอมกลั่นโอสถจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หากเขายังไม่สามารถซ่อมแซมในส่วนนี้จนกลับมาเป็นดังเดิมได้
ช่างเป็นวัฏจักรปัญหาที่ไร้รู้จบโดยแท้สำหรับเขา
นี่อาจกล่าวได้ว่า เย่หยวนในปัจจุบันไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาที่มิได้รู้เรื่องโอสถเลยสักนิด
เขาผู้ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ด้วยยอดเต๋าแห่งโอสถ ทว่ายามนี้กลับกลายมาเป็นผู้ไร้ความสามารถในเส้นทางแห่งโอสถไปโดยปริยาย
เย่หยวนในปัจจุบันกำลังมืดแปดด้าน!
“ท่านอาวุโสหวูเฉิน ผู้เยาว์มีข้อสงสัย ท่านมีหนทางช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของข้าในตอนนี้บ้างหรือไม่?”
เย่หยวนไร้ซึ่งที่พึ่งอื่นใด ทำได้แต่หันหาหวูเฉินเพื่อขอคำแนะนำ
ท้ายที่สุดนี้ หวูเฉินถือเป็นผู้ติดตามจอมเทพนิรันดร์มาอย่างยาวนาน ทั้งบุกตะลุยท่องทะยานสำรวจทั่วมหาพิภพถงเทียนไร้จำกัดตามใจนึก ขอบเขตความรู้ของเขาย่อมกว้างไพศาลกว่าเย่หยวนมากมายนัก
หวูเฉินเหลียวสายตากวาดมองเย่หยวนเล็กน้อย และกล่าวขึ้นว่า
“เดี๋ยวนี้รู้จักขอคำแนะนำจากเราชายชราแล้ว? หากเจ้าเชื่อฟังข้าตั้งแต่ต้น คงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้เป็นแน่แท้ แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร? รู้ซึ้งถึงผลลัพธ์ที่ตนหัวรั้นแล้วกระมัง?”
เย่หยวนคลี่หัวเราะแห้งเบาๆ แต่มิได้เอ่ยปากกล่าวอันใดตอบ
หวูเฉินกล่าวขึ้นพลางแสยะยิ้มเย็นเอ่ยว่า
“เจ้าหนู ข้ามิได้พูดให้เจ้ากลัว แต่สภาพของเข้าในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนพิการเลย ถึงแบบนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี กระนั้นเอง หากเจ้าต้องการซ่อมแซมทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยต้องรอเวลาไปอีกร้อยปี!”
แต่คู่ดวงเนตรของเย่หยวนพลันทอประกายสว่างไสว เขากล่าวขึ้นอย่างมีความหวัง
“เพียงวิถีทางนับเป็นเรื่องดียิ่งแล้ว แค่ร้อยปีกลับนับเป็นอันใด?”
หวูเฉินสวนตอบทันทีพร้อมรอยยิ้มสีเย็นว่า
“เหอะ หนึ่งร้อยปีไม่นับเป็นอันใดสำหรับเจ้าก็จริง ทว่าสหายของเจ้ากลับรอไม่ไหว!”
สีหน้าการแสดงออกพลันผันแปรในบัดดล เย่หยวนหน้าถอดสีน่าเกลียด เขากล่าวขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า
“ท่านอาวุโสหมายความอย่างไร? หรือเป็นไปได้ไหมที่ ไข่มุกสยบวิญญาณไม่สามารถคงสภาพจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของหลินเสวียได้เกินร้อยปี?”
หวูเฉินกล่าวตอบอย่างไร้ประโยชน์ขึ้นว่า
“หากข้ามีพลังสภาวะอยู่ในจุดสุดยอดดั่งกาลอดีต ลืมไปเลยกับแค่ร้อยปี ต่อให้เป็นล้านปีก็หาใช่ปัญหาเช่นกัน! แต่ตัวข้าในตอนนี้ อย่างนานที่สุดก็อยู่ได้อีกประมาณสิบปี และข้าจะเข้าสู่สภาวะจำศีลอีกครั้ง”
หัวใจพลันเต้นกระหน่ำไม่หยุดหย่อน เย่หยวนไม่คิดเลยว่า สภาพของหวูเฉินในปัจจุบันจะเลวร้ายถึงขั้นนี้
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆและกล่าวว่า
“ท่านอาวุโส แล้วผู้เยาว์จะช่วยท่านฟื้นพลังได้อย่างไร?”
คุนหวูถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
“สามสมบัติเวทย์สวรรค์ถูกเชื่อมผสานกันโดยโลหิตของจอมเทพนิรันดร์ เมื่อจอมเทพนิรันดร์ล่วงลับจากไป สามสมบัติเวทย์สวรรค์ย่อมได้รับผลกระทบรุนแรงตามไปด้วยเช่นกัน ถึงขั้นที่ว่าสูญเสียพลังกันไปเกินครึ่งต่อครึ่ง นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตกสู่สภาวะจำศีลตลอดมา หลังจากที่ข้าตื่นขึ้นอีกครั้ง หากเจ้าไม่สามารถเสาะหาแหล่งพลังงานที่มากเพียงพอสำหรับหล่อเลี้ยงเราชายชรา อีกไม่นานเกินรอ คงต้องตกสู่การจำศีลอีกครั้ง แต่เดิม พลังวิญญาณของพฤกษาวิญญาณมรณะที่ดูดกลืนเข้าไป มันก็ต่อชีวิตให้ข้าห่างไกลจากสภาวะจำศีลแล้ว แต่เพราะจำต้องใช้จ่ายพลังเพื่อรักษาสหายของเจ้า ข้าถึงกลับสู่สภาวะอ่อนเพลียจัด คงอยู่ได้ไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ!”
ได้ฟังดังนั้น เย่หยวนตระหนักทราบทันทีว่า สถานการณ์ในปัจจุบันมันร้ายแรงเพียงใด
ทันทีที่หวูเฉินหลับไปอีกครั้ง เขาจะไม่สามารถคงสภาพจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของมู่หลินเสวียได้อีกต่อไป และนางจะต้องตายในท้ายที่สุด
หนทางรอดเดียวคือ เขาจะต้องเสาะหาพลังวิญญาณปริมาณมหาศาล เพื่อมาบำรุงไข่มุกสยบวิญญาณ!
แต่ภายใต้สภาพปัจจุบันของเย่หยวน เขาจะมีปัญญาหาพลังงานมาบำรุงจากแห่งหนใด?
ก่อนอื่นก่อนใด เขาจำต้องฟื้นคืนพลังให้ได้เสียก่อนเป็นอันดับแรก
ระยะเวลาแค่สิบปี กลับสั้นเพียงดีดนิ้วสำหรับในมหาพิภพถงเทียน ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ ผู้ฝึกปรือยังไม่ทันทำอะไรเลย
เหล่านักสู้ของที่นี่อย่างน้อยล้วนต้องบ่มเพาะพลังกันเป็นหลักแสนปีขึ้นไป
กล่าวได้ว่า เซียนอาณาจักรพระเจ้าเป็นแค่มดปลวกที่หาได้ทั่วไปในมหาพิภพถงเทียน
เฉพาะสามารถฝึกปรือจนเลื่อนกลายเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้าได้ ยามนั้นจึงค่อยเชิดหน้าชูตาขึ้นมาได้บ้าง
เย่หยวนถอนหายใจไม่รู้จบ พลางเอ่ยปากขึ้นว่า
“เช่นนั้น ผู้เยาว์ควรทำอย่างไรดีในตอนนี้?”
ณ ปัจจุบัน เย่หยวนกำลังยืนอยู่บนปลายเชือกแล้ว ความหวังสุดท้ายที่เขาพอจะพึ่งพาได้ก็มีแต่หวูเฉิน หาใช่ผู้ใดอื่น
หวูเฉินที่ได้ยินแบบนั้น ถึงคราวปวดเศียรหนัก
เขามีวิธีแก้ไขสถานการณ์ก็จริง แต่ด้วยสภาพของเย่หยวนในตอนนี้ วิธรการเหล่านั้นกลับแทบไม่มีวันทำได้สำเร็จ!
เขาถอนหายใจเสียงยาวกล่าวว่า
“บนมหาพิภพถงเทียน มีวรยุทธหลอมกลั่นชนิดหนึ่งเรียกว่า วรยุทธค่ายกลเต๋ากลั่นโอสถ ในยามนี้ เจ้าไม่มีพลังปราณเทวะ หนทางนี้จึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เจ้าสามารถหลอมกลั่นโอสถได้อีกครั้ง ด้วยระดับความเสียหายในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นต่ำ,โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว ก็คงยากเกินพอแล้ว แต่ความซวยก็คือ อาณาจักรพลังและศาสตร์แห่งโอสถของเจ้าบรรลุถึงอาณาจักรพระเจ้าก็จริง แต่นั้นมิใช่กับศาสตร์แห่งค่ายกลของเจ้า! ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังไม่รู้เรื่องโอสถศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย ความยากในการหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์มิได้ง่ายเหมือนกับโอสถชั้นสามัญทั่วไปอย่างที่เจ้าเคยหลอมในอดีต! ลืมไปเลยสำหรับสิบปี ต่อให้ข้ามีเวลาให้เจ้าร้อยปี เจ้าก็ไม่มีทางหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวขึ้นได้เลย!”
โอสถระดับเก้าชั้นสูงสุดที่เย่หยวนเคยหลอมกลั่นมา จนสร้างปรากฏการณ์เรียกฟ้าฝนนับครั้งไม่ถ้วนในดินแดนพฤกษานิรันดร์ ทั้งหมดนั้นกลับกลายเป็นแค่โอสถชั้นสามัญทั่วไปจากปากของหวูเฉิน
มิใช่ว่าหวูเฉินต้องการจะดูถูกเย่หยวน แต่นี่กลับความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้เลย
บรรทัดฐานระหว่างสองดินแดนนี้ช่างต่างชั้นกันเกินไป
และโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวที่ว่า ก็ยังเป็นสูตรโอสถที่จอมเทพนิรันดร์คิดค้นขึ้นมาเอง แล้วมันจะหลอมกลั่นได้โดยง่ายอย่างไร?
หากมันเป็นโอสถที่นักหลอมโอสถทั่วไปสามารถหลอมกลั่นขึ้นเองได้ คุนหวูคงไม่มีทีท่าหมดหวังขนาดนี้
ณ เมืองกุยฉางแห่งนี้ มีนักหลอมโอสถที่พอมีฝีมืออยู่บ้าง กระทั่งหลอมกลั่นโอสถปราณลึกล้ำก็หาใช่เรื่องยากเกินมือ อย่างแย่ที่สุดคือ สั่งจองโอสถไปก็ได้โอสถขั้นต่ำกลับมา
แต่ปัญหาคือ โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวหาใช่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งทั่วไป นักหลอมโอสถระดับชั้นพวกนี้ไม่มีทางหลอมกลั่นได้สำเร็จ
มาตรได้ว่า โอสถปราณลึกล้ำกลับเทียบเทียมโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ!
สำหรับโอสถปราณลึกล้ำ ตราบใดที่ฝึกปรือจนแกร่งกล้าตามระดับพลังที่กำหนด พวกเขาก็สามารถหลอมกลั่นได้ไม่ยาก
แม้โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นต่ำ แต่จำเป็นต้องใช้ความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งโอสถในระดับที่ลึกซึ้งยิ่ง เพื่อหลอมกลั่นให้ประสบความสำเร็จ
เย่หยวนรำพึงอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยกล่าวเสียงขรึมว่า
“ท่านอาวุโส โดยทั่วไป การจะเลื่อนชั้นกลายมาเป็นจอมเทพโอสถหนึ่งดาว จำต้องใช้เวลาฝึกปรือนานเท่าใด?”
ตำแหน่งจอมเทพโอสถยังสามารถแบ่งได้เป็นเก้าดาว ตามระดับชั้นความแกร่งกล้า ซึ่งโอสถปราณลึกล้ำและโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว ล้วนเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งที่จอมเทพโอสถหนึ่งดาวสามารถหลอมกลั่นได้
หวูเฉินกล่าวว่า
“ศาสตร์แห่งโอสถที่เจ้ารู้จักเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเต๋าทั้งหมดที่จอมเทพนิรันดร์เข้าใจ! ภายในดินแดนพฤกษานิรันดร์ เจ้าอาจจะเปรียบเสมือนเทพที่ควบคุมฟ้าดินได้ดั่งใจ แต่ต่อหน้ามหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ สิ่งที่เจ้าเคยรู้เคยเข้าใจมาทั้งหมดกลับเป็นแค่กะลาใบหนึ่ง! ศาสตร์แห่งสวรรค์ที่แท้จริงในมหาพิภพถงเทียนทั้งลึกซึ้งและกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต! นักหลอมโอสถบางคนใช้เวลากว่าพันปีเต็มกว่าจะเข้าใจทฤษฎีโอสถระดับเบื้องต้น และเลื่อนชั้นกลายมาเป็นจอมเทพโอสถหนึ่งดาว! ดังนั้นแล้ว สถานะของนักหลอมโอสถภายในมหาพิภพถงเทียนจึงสูงส่งกว่าในดินแดนพฤกษานิรันดร์มาก!”
เย่หยวนถึงกับสูดไอเย็นแช่มลึกสุดขั้วหัวใจ ยามนี้เขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าโอสถปราณลึกล้ำเม็ดนั้นมันมีค่ามหาศาลเพียงใด!
เย่หยวนใช้เวลาแค่สามร้อยปี ก็สามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งจักรพรรดิโอสถได้แล้ว
แต่ในที่แห่งนี้ กว่าจะเลื่อนชั้นขึ้นเป็นจอมเทพโอสถหนึ่งดาว กลับต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งพันปี!
แถมนั้นยังเป็นแค่จอมเทพโอสถหนึ่งดาวชั้นต้นเท่านั้น!
และการจะหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว จอมเทพโอสถหนึ่งดาวชั้นต้นทั่วไปย่อมไม่มีทางทำสำเร็จได้เลย
ในจุดนี้ ถึงหวูเฉินจะมิได้กล่าวออกมา แต่เย่หยวนก็ตระหนักทราบโดยชัดเจน การจะไต่ไปถึงระดับชั้นที่สามารถหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวได้ ตามที่คำนวณไว้ เขาจำเป็นต้องใช้เวลานานถึงสองพันปี!
เย่หยวนกลับคืนฟื้นสติขึ้นอีกครา ก่อนเอ่ยปากถามอย่างสงสัยขึ้นว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดท่านอาวุโสจึงกล่าวว่า ผู้เยาว์จำต้องใช้เวลาอย่างน้อยแค่ร้อยปี?”
หวูเฉินกล่าวตอบแถลงไขทันที
“แน่นอน นั้นเป็นเพราะเจ้ามีศิลาจารึกบัลลังก์พิภพอยู่กับตัว! เจ้าในตอนนี้ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้แล้ว ย่อมสามารถเปิดใช้ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพได้บ้างส่วน ภายในนั้น ไม่เพียงกักเก็บเต๋าของจอมเทพนิรันดร์เท่านั้น แต่มันยังสามารถปรับเปลี่ยนอัตราการไหลของห้วงเวลาอีกด้วย!”
เย่หยวนที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับเบิกตาโตแหกค้างเท่าไข่ห่าน สำหรับเรื่องนี้ เขาปรารถนาที่จะใช้มันมาเนินนานแล้ว
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ยามนี้จะพร้อมใช้งานได้แล้วจริงๆ!
ตอนที่ 1298
ยอดวีรบุรุษแท้จริงคือเงินตรา
“เหอะ อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป! ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพสามารถเปิดใช้ได้แค่ชั้นแรกเท่านั้น อัตราส่วนเวลาเป็นเพียงหนึ่งในสิบของทั้งหมด พรสวรรค์ของเจ้านับว่าไม่เลวก็จริง แต่พรสวรรค์ของเหล่าอัจฉริยะคนอื่นๆในมหาพิภพถงเทียนนับว่าน่าทึ่งเช่นกัน! จอมเทพนิรันดร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น! เอาล่ะ ถึงแม้พรสวรรค์ของเจ้าเหนือกว่าเขา แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ที่แปดร้อยปี หากกล่าวตามตรง ด้วยตัวเจ้าในตอนนี้น่าจะยังใช้ได้แค่แปดสิบปี ในระยะเวลาแปดสิบปี เจ้าจักต้องมุ่งศึกษาศาสตร์แห่งค่ายกลจนทะลุปรุโปร่งโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม…เจ้าไม่มีเวลามากขนาดนั้น! ตามที่คำนวณไว้ เพียงสิบปีเจ้ามีแค่เท่านี้ ซึ่งเจ้าไม่มีทางทำสำเร็จได้เลย!”
หวูเฉินกล่าวประเมินสถานการณ์ หาได้ไว้หน้าปราศจากความเมตตาใดๆ
จะมีใครสักกี่คนที่กล้ากล่าวว่า พวกเขามีพรสวรรค์ที่เหนือชั้นเสียยิ่งกว่าจอมเทพนิรันดร์?
นั้นเป็นการดำรงอยู่ที่ใกล้เคียงกับจักรพรรดิเทพสวรรค์ยิ่ง!
ในขณะที่เย่หยวนเป็นเพียงผู้คนในดินแดนที่จอมเทพนิรันดร์สร้างขึ้น ทั้งข้อบกพร่องและจุดด้อยย่อมเด่นชัดกว่าเป็นธรรมดา
ปรารถนาก้าวเดินไปให้ไกลกว่าจอมเทพนิรันดร์ นั้นกลับเป็นเรื่องเกินจริงไปมาก
แต่กระนั้นเอง หวูเฉินกลับประเมินพรสวรรค์ของเย่หยวนอยู่เหนือกว่าอีกฝ่าย!
ซึ่ง ณ เวลานี้ แปดสิบปีก็นับเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่เย่หยวนจะสามารถเข้าถึงได้แล้ว
เพิ่งเลื่อนกลายเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น แต่สามารถเปิดใช้ศิลาจารึกบัลลังก์สวรรค์ได้ขนาดนี้
นี่เป็นความสำเร็จที่ก้าวล้ำไกลกว่าจอมเทพนิรันดร์ไปแล้วอย่างแท้จริง
ทว่าเย่หยวนมิอาจรอได้ถึงแปดสิบปี เขามีเวลาเพียงสิบปีเท่านั้น!
และภายในสิบปีนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เย่หยวนจะประสบความสำเร็จ!
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนหาได้มีสีหน้าหวาดกลัวหรือสิ้นหวังอันใด เขายิ้มกว้างกล่าวตอบไปว่า
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร?”
สำหรับเย่หยวนแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดกลับหาใช่หนทางอันยากเข็ญ แต่เป็นความจริงที่ไร้ซึ่งหนทางออก
ตราบใดที่ยังเห็นเสี้ยวแสงแห่งความหวัง ต่อให้เขาเผชิญความลำบากสักแค่ไหน สักวันความสำเร็จจักต้องกลัดกุมอยู่ในกำมือ!
เส้นทางสายนี้ เขาจะผ่านไปไม่ได้เชียวรึ?
แม้แต่อาณาจักรพระเจ้าที่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จเลยในรอบแสนปี เขาก็ทำสำเร็จไปแล้วเช่นกัน!
ไม่มีสิ่งใดยากเข็ญเกินไปสำหรับคนขยันมั่นเพียร!
หากเย่หยวนเอาแต่พะว้าพะวังเอาแต่วิตกกังวลตั้งแต่แรกเริ่ม เขาคงมิได้การยอมรับจากเต๋าแห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์และขึ้นเป็นผู้ปกครองดินแดนแน่นอน
บางที ความสำเร็จของเขาอาจหยุดลงตั้งแต่ในดินแดนไร้สิ้นสุดแล้วด้วยซ้ำ!
พรสวรรค์เป็นเพียงหนึ่งส่วน ทว่าพรแสวงกลับสำคัญถึงเก้าส่วน!
หวูเฉินคาดไม่ถึง เย่หยวนหาได้ดูท้อแท้แต่อย่างใด
ในทางตรงข้าม แววไสวที่สะท้อนออกจากนัยน์คู่นั้นกลับยิ่งทวีความมุ่นมั่นเฉียบคมกว่าที่แล้วมา ประดุจได้จุดติดจิตวิญญาณอันร้อนแรงให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
หวูเฉินเข้าใจแล้วว่า คนยังรู้จักชายหนุ่มนามว่า เย่หยวน น้อยเกินไป
หากเป็นหลงเถิงที่อยู่ตรงนี้แทน เขาคงไม่กล่าวคำว่า‘เป็นไปไม่ได้’ต่อหน้าเย่หยวนแน่นอน
หวูเฉินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขากล่าวว่า
“เอาล่ะ ณ เวลานี้ก็ไม่มีหนทางอื่นแล้วเช่นกัน”
ถึงเขาจะกล่าวประเมินไปแบบนั้น แต่หวูเฉินก็หาได้มีเจตนาดับความหวังของเย่หยวนเช่นกัน
ตำแหน่งจอมเทพโอสถหนึ่งดาว กับระยะเวลาแค่สิบปี นี่มันรังแกผู้คนมากเกินไปจริงๆ
“หากสามารถบรรลุยอดเต๋าแห่งค่ายกลได้ เจ้าก็จะสามารถกลับมาหลอมกลั่นโอสถได้อีกครั้ง แต่ปัญหาแรกมันมิใช่ทั้งศาสตร์แห่งโอสถหรือค่ายกล แต่เป็น…ผลึกปราณเทวะ”
คุนหวูกล่าวขึ้น
เย่หยวนชะงักค้างแข็งทื่อในบัดดล นี่แหละคือปัญหาใหญ่!
หวูเฉินเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่า ค่าเงินที่ใช้กันทั่วทั้งมหาพิภพถงเทียนก็คือ ผลึกปราณเทวะ
ไม่ว่าจะเป็นนักสู้ผู้บ่มเพาะฝึกปรือ หรือยอดปรมาจารย์ค่ายกล สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือผลึกปราณเทวะ
ทว่าเย่หยวนในปัจจุบันเป็นเพียงคนพิการไร้ความสามารถ แม้เขาจะต้องการฝึกฝนศาสตร์แห้งค่ายกลอย่างไร ทว่าทรัพยากรกลับไม่มีสนับสนุน
ในตอนที่เขาอยู่ในดินแดนพฤกษานิรันดร์ ศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนถือได้เป็นจุดสูงสุดเหนือทั้งมวล และยังสามารถหลอมกลั่นโอสถเพื่อแลกเป็นเงินได้
ดังนั้นเขาจึงไม่เคยกังวลเรื่องเงินๆทองๆมาก่อน
ทว่าตอนนี้ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย แม้แต่จะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นโอสถขั้นพื้นฐานที่สุดนำไปแลกเป็นเงิน
อย่าคิดพึ่งพาตระกูลเหลียง แค่ยามนี้ เหลียงหมิงอี้ไม่ไล่ตะเพิดเขาออกไปก็นับเป็นบุญมากแล้ว
เย่หยวนตระหนักทราบทันที ยอดวีรบุรุษที่แท้จริงก็คือเงินตรา!
“นี่…นี่เป็นปัญหาใหญ่จริงๆ!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพลางประดับรอยยิ้มแสนขมขื่น
“หื้ม?”
หัวคิ้วเย่หยวนขมวดแน่น ทันทีทันใดเสียงเคาะปะตูพลันดังขึ้นจากด้านนอก
ยามนี้ตรงเข้าไปเปิดประตูออกโดยไว เบื้องหน้าปรากฏเป็นหญิงสาวตัวน้อยไม่คุ้นหน้า พินิจจากรูปการณ์น่าจะเป็นสาวใช้
สาวใช้ขยับขยายสายตาเข้าจับจ้องเย่หยวนเล็กน้อย พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เจ้าคือเย่หยวน?”
ทันทีที่เย่หยวนได้ยินน้ำเสียงของนาง ดูเหมือนว่าการมาครั้งนี้จะไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก
“ข้าแซ่เย่ แม่นางคือ?”
“ข้าหลานฉิง เป็นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูหวางหรู”
ปลายคิ้วพลันกระตุกขึ้นโดยพลัน เย่หยวนกล่าวถามต่อว่า
“เช่นนั้น แม่นางหลานฉิง คุณหนูหวางหรูสบายดีหรือไม่?”
หลานฉิงสาดสายตาใส่เย่หยวนเจือรังเกียจ พลางกรอกตาเล็กน้อยและกล่าวว่า
“สบายดีก็บ้าแล้ว! คุณหนูโดนกักบริเวณ!”
เย่หยวนขมวดคิ้วสีหน้ามืดลงฉับพลัน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ยังมีหน้ามาถามอีกว่าเกิดอะไรขึ้น! ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! คุณหนูหวางหรูถูกหญิงบัดซบนั่นรังแก! แถมยังโดนริบผลึกปราณเทวะที่นางอุตส่าห์เก็บออมมาตลอดสามปี!”
ทันทีที่เริ่มกล่าว หลานฉิงพลันหรี่เสียงเบาลงคล้ายมิให้ผู้คนโดยรอบบังเอิญมาได้ยิน
หญิงบัดซบที่ว่า ทุกคนย่อมทราบว่าเป็นใคร และนางก็ไม่สามารถพูดเสียงดังได้
หากมีคนมาได้ยิน นางต้องตายแน่ๆ
เย่หยวนเข้าใจได้ทันที ตระกูลเหลียงจงใจขัดขวางมิให้เขาพบกับนาง นั้นเป็นเหตุให้สถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างที่เห็น
เขามาที่นี่เพียงเพื่อช่วยปกป้องเหลียงหวางหรู ทว่ายามนี้เย่หยวนกลับพบว่า ตนอ่อนแอเกินไปที่จะปกป้องใครได้
สักครู่หนึ่ง เย่หยวนเอ่ยปากกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า
“หรือเป็นไปได้ไหมที่ แม่นางหลานฉิงมาหาเย่คนนี้เพื่อประณามกล่าวโทษ?”
หลานฉิงทราบมานานแล้วว่า เย่หยวนเป็นเพียงคนพิการคนหนึ่งที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย กระทั่งบ่มเพาะพลังยังไม่มีปัญญา ซึ่งนางก็ไม่เข้าใจจริงๆว่า ไฉนคุณหนูของนางถึงห่วงใยเขามากขนาดนี้
นางตระคอกสวนตอบทันทีอย่างเย็นชา พลางโยนแหวนเก็บของวงหนึ่งให้โดยไม่เต็มใจนัก ขณะพึมพำว่า
“ไม่เข้าใจคุณหนูจริงๆ ไอ้พิการนี่มันมีดีอะไร”
หลานฉิงหมุนตัวกลับพร้อมจากไปทันทีอย่างไม่แยแสเย่หยวนแม้แต่น้อย
เย่หยวนเพียงยิ้มตอบพร้อมรับแหวนเก็บของนั้นมา ตัวเขาหาได้ใส่ใจหรือรังเกียจไม่
เขาสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า หลานฉิงนางนี้สู้เพื่อเหลียงหวางหรู เห็นคุณหนูของนางถูกรังแกขนาดนี้ นางเองย่อมรู้สึกขุ่นเคืองตัวต้นเหตุอย่างเขาเป็นธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้น หลานฉิงก็กล่าวไม่ผิด หรือมิใช่ว่ายามนี้เขาคือพิการจริงๆ?
แหวนเก็บของวงนี้มิได้มีรอยประทับตราเจ้าของ เย่หยวนใช้จิตวิญญาณศักดิ์ดำดิ่งเข้าสู่ตัวแหวน ก่อนพบว่าภายในนั้นมีผนึกมณีสีขาวน้ำนมอยู่ประมาณร้อยก้อนเศษ
“สาวน้อยนางนั่นกำลังส่งถ่านท่ามกลางหิมะโดยแท้ ถึงขั้นที่ว่ามอบผลึกปราณเทวะให้เจ้าในยามเช่นนี้”
แววตะลึงทอดประกาย เย่หยวนอุทานขึ้นอย่างประหลาดใจว่า
“นี่คือผลึกปราณเทวะ?”
เนื่องจากเย่หยวนไม่เคยเห็นผลึกปราณเทวะมาก่อนในชีวิต เพิ่งได้ยินหวูเฉินกล่าวออกแบบนั้น เขาก็มารู้ว่า ผลึกมณีสีขาวน้ำนมเหล่านี้คือผลึกปราณเทวะ
ผลึกปราณเทวะแตกต่างจากผลึกแร่สวรรค์บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง ยามที่นักสู้ดูดซับพลังงานภายในผลึกปราณเทวะ พวกเขาจะสามารถแปรพลังงานเหล่านั้นให้เปลี่ยนกลายเป็นพลังปราณเทวะได้โดยตรง
สำหรับการบ่มเพาะฝึกปรือในระดับชั้นอาณาจักรพระเจ้า ผลึกปราณเทวะเป็นปัจจัยสำคัญที่เว้นขาดมิได้
พลังปราณฟ้าดินของมหาพิภพถงเทียนกลับมิได้เรียกว่า พลังปราณ แต่เป็น พลังวิญญาณ
ทั้งความเข้มข้นและความบริสุทธิ์ของพลังวิญญาณ มีเพียงสวรรค์ทรงทราบว่ามันสูงกว่าพลังปราณถึงกี่สิบทวีเท่า
เฉพาะผลึกปราณเทวะเท่านั้นที่สามารถมอบพลังจิตวิญญาณได้ ภายในผลึกแต่ละก้อนล้วนอุดมไปด้วยพลังวิญญาณที่ข้นคลักยิ่ง
“น่าเสียดายนัก ทั้งร้อยก้อนล้วนแต่เป็นผลึกปราณเทวะระดับต่ำ แถมจำนวนเพียงเท่านี้ก็น้อยเกินไปสำหรับนำไปบ่มเพาะพลัง”
หวูเฉินกล่าว
แต่เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างสุขใจว่า
“ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย! ท่านอาวุโส พวกเราควรเริ่มจากตรงไหนก่อนดี?”
หวูเฉินยังทราบ ณ ปัจจุบันทุกนาทีมีค่าหาประเมินไม่ เขาหาได้ลังเลใดๆและกล่าวตอบทันควันว่า
“เริ่มจากโอสถปราณเทวะก่อนเลย มันเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่สุดแล้ว! ทั้งกระบวนการสกัดและหลอมกลั่นนับว่าไม่ซับซ้อน เป็นโอสถสำหรับนักสู้ที่ต้องการเริ่มบ่มเพาะพลัง นี่คือสูตรโอสถ เจ้าออกไปหาซื้อสมุนไพรวิญญาณก่อนเป็นอันดับแรก”
ข้อมูลของสูตรโอสถปราณเทวะหลั่งไหลเข้าสู่ห้วงความคิดของเย่หยวนทันที สมุนไพรวิญญาณที่สูตรโอสถระบุไว้มีไม่มาก แถมน่าจะหาได้ทั่วไป
เย่หยวนรู้สึกว่า โอสถปราณเทวะนี้น่าจะคล้ายคลึงกับโอสถชั้นสามัญทั่วไปอย่าง โอสถทลายลมปราณหรือโอสถทลายแก่นแท้
แน่นอน ถึงระดับชั้นและฤทธิ์โอสถจะคล้ายคลึงกัน แต่ประสิทธิภาพกลับต่างกันคนละโลก!
เย่หยวนใช้เวลาชั่วครู่ในการศึกษาและทำความเข้าใจต่อโอสถปราณเทวะ
ตราบใดที่เขาสามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้ ยามนั้นเขายังพอหลอมกลั่นโอสถขายเพื่อหาเลี้ยงชีพได้
ตอนที่ 1299
หอมหาสมบัติ
“เลิกหวังกับตระกูลเหลียงได้เลย ท่านอาวุโส พวกเราจะไปซื้อสมุนไพรวิญญาณที่ไหนดี?”
เย่หยวนเอ่ยถาม
หวูเฉินกล่าวตอบ
“ไปที่หอมหาสมบัติ! จากที่เคยได้ยินมา หอมหาสมบัติอยู่ภายใต้การปกครองของจอมเทพมหาสมบัติ สถานที่แห่งนั้นปลอดภัยอย่างมาก ตอนที่จอมเทพนิรันดร์ยังมีชีวิตอยู่ เขาเองก็ชอบไปที่หอมหาสมบัติเพื่อจับจ่ายซื้อของเช่นกัน”
เย่หยวนพยักหน้าตอบ เพราะเป็นสถานที่ที่แม้แต่จอมเทพนิรันดร์ให้ความไว้วางใจ เขาเองก็ไม่มีข้อขัดข้องใดๆ
เมื่อเย่หยวนเตรียมตัวครบครัน เขาออกจากตระกูลเหลียงไปทันที
ทักไถ่สอบถามไปตลอดทาง เย่หยวนเร่งตรงปรี่ไปยังหอมหาสมบัติ ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงของหวูเฉินพลันดังขึ้นกลางห้วงความคิดของเย่หยวนทันที
“เจ้าหนู มีคนตามหางเจ้ามาติดๆ นั้นมันจางชุน”
เย่หยวนส่องแววตระหนกอย่างลับๆ แต่สีหน้าการแสดงออกยังคงนิ่งสงบไร้ระลอก เขายังแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นและมุ่งหน้าเดินตรงต่อไป
ลักษณะแวดล้อมบนมหาพิภพถงเทียนแตกต่างจากดินแดนพฤกษานิรันดร์โดยสิ้นเชิง ญาณสัมผัสของเย่หยวนแผดขยายตรวจจับได้แค่หนึ่งร้อยฉื่อเท่านั้น
นอกจากนี้ ระดับพลังของนักสู้โดยเฉลี่ยในมหาพิภพถงเทียนก็สูงมาก พวกเขาล้วนแกร่งกล้าจนสามารถปกปิดร่องรอยได้
ทุกอาณาจักรพลังที่อยู่ต่ำกว่าอาณาจักรราชันย์พระเจ้า จะไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้!
หลากหลายเหตุผลผนวกรวมกัน ส่งผลให้ญาณสัมผัสของเย่หยวนค่อนข้างหยาบกร้านกว่าตอนที่อยู่ในดินแดนพฤกษานิรันดร์หลายขุม
โชคยังดีที่ยังมีหวูเฉิน พลังจิตวิญญาณของเขาแกร่งกร้าวยากผู้ใดทัดเทียม เพียงปราดสัมผัสเสี้ยวอึดใจเดียวก็ทราบทันทีถึงการมีอยู่ของจางชุน
จางชุนที่สะกดรอยตามเย่หยวนออกมา นี่หาใช่สัญญาณที่ดีนัก
“ดูท่าเหลียงหมิงอี้กำลังวางแผนชั่ว”
เย่หยวนส่งเสียงผ่านความคิดเอ่ยตอบ
“ความเป็นไปได้ที่มีแนวโน้มที่สุดคือ พวกมันอาจมโนไปว่า เจ้ามีวิชาลับควบคุมอสูรอะไรเทือกนั้น จึงต้องเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าขนาดนี้”
หวูเฉินเอ่ยถาม
“ข้าไม่สามารถกลับไปยังตระกูลเหลียงได้อีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี?”
“อย่าได้กังวลไป เจ้ายังพอมีผลึกปราณเทวะติดตัวอยู่บ้าง เร่งไปที่หอมหาสมบัติและเช่าห้องบ่มเพาะ จากนั้นมุ่งความสนใจทั้งหมดกับเพียงเรื่องศาสตร์แห่งโอสถกับค่ายกลก็พอ จะทำสำเร็จหรือไม่ นี่กลับขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเจ้าแล้ว หากยังมิอาจบรรลุก็ไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้ ยามที่ผลึกปราณเทวะหมดลง ชีวิตน้อยของเจ้า…ได้ดับสูญจริงๆแน่!”
หวูเฉินกล่าว
หัวคิ้วเย่หยวนแทนขมวดชนกัน แต่เขายังกล่าวให้กำลังใจตนเองว่า
“หึ นี่น่ะรึทางตันของข้า? อย่าจะรู้เสีย ทางตันแค่นี้จะหยุดข้าได้หรือไม่!”
เย่หยวนในตอนนี้เป็นเพียงชายพิการไร้ความสามารถคนหนึ่ง สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เหลียงหมิงอี้ตาลุกวาวได้ก็คือ วิชาควบคุมอสูรที่ไม่มีอยู่จริง ข้อสันนิษฐานมิใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาเลย
โชคยังดีที่เขาตัดสินใจออกมาทันเวลา หากช้ากว่านี้เพียงก้าวเดียว เขาจะไม่สามารถย่างก้าวออกจากธรณีประตูของตระกูลเหลียงได้อีกต่อไป
เย่หยวนเร่งฝีเท้าตรงถึงหอมหาสมบัติในไม่ช้า
“โอ้ว.. ยิ่งใหญ่สมชื่อหอมหาสมบัติ!”
เบื้องหน้าประจักษ์แก่สายตา เป็นหอคอยมหึมาสุดหรูหราและโอ่อ่าเกินพรรณนา
ราวบันไดทำมาจากหินอ่อนน้ำงาม แกะสลักลวดลายประณีตชดช้อยเป็นทรงสวย บริเวณโถงกว้างถูกสร้างขึ้นจากหยกขจี้เงาขลับ คลอเคลียบรรยากาศหรูหรา ปราศจากเศษดินเศษฝุ่นเปรอะเปื้อนใดๆ
“อืม จอมเทพมหาสมบัติผู้บรรลุเต๋าได้โดยเครื่องรางและขุมสมบัติ และยังได้ชื่อว่าเป็น จักรพรรดิเทพสวรรค์ที่ร่ำรวยที่สุดแห่งมหาพิภพถงเทียน! แม้แต่เมืองกุยฉาง เขตชนบทอันห่างไกลแบบนี้ หอมหาสมบัติก็มิใช่สถานที่ที่ตระกูลเหลียงจะกล้ายั่วยุ ในด้านอิทธิพลอำนาจ ตระเหลียงเทียบไม่ติดฝุ่น”
หวูเฉินกล่าว
เย่หยวนรู้สึกทึ่งตะลึงยิ่งเมื่อได้ฟัง เขาเร่งดึงสติกลับมาโดยเร็วและย่างเท้าก้าวเข้าไปในหอมหาสมบัติทันที
“นายท่าน ทางเรา,หอมหาสมบัติมีสรรพสิ่งใต้สุริยันให้ท่านเลือกสรร ไม่ทราบว่านายท่านสนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ?”
พนักงานสาวสวยนางหนึ่งตรงเข้ามาทักทายเย่หยวนทันที
พนักงานสาวสวยนางนี้มีนามว่า หงหยิง นางมีต้อนรับและแนะนำลูกค้าที่เข้ามาในหอมหาสมบัติแห่งนี้
แต่ทันทีที่เย่หยวนเห็นนาง เขาก็อดขยี้ตามิได้ด้วยความตกใจ
พนักงานสาวนางนี้เป็นถึงเซียนอาณาจักรพระเจ้า!
หอมหาสมบัติแห่งนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!
นอกจากนั้น หงหยิงนางนี้ยังมองผ่านอ่านความคิดของเขาได้ในเสี้ยวพริบตา แม้เบื้องลึกในแววตาของนางจะเจือแววดูถูกอยู่บ้าง แต่นางยังคงปกปิดอาการและสำรวมสุภาพอย่างยิ่ง ไม่ว่าใครมาได้ยิน น้ำเสียงของนางหาได้ทิ้งร่องรอยเหยียดหยามเลยสักนิด
ในความเป็นจริง จำต้องเอ่ยชมที่จอมเทพมหาสมบัติสั่งสอนพนักงานทุกคนมาเป็นอย่างดี!
“ข้าต้องการไหมพิรุณเทวะห้าต้น, หญ้าลมทองอมตะแปดต้น, ผลึกด้ายสวรรค์หกต้น…”
เย่หยวนเอ่ยสั่งสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ประมาณห้าถึงหกชนิด ซึ่งสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วเป็นส่วนประกอบของโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับเริ่มต้นทั้งสิ้น
ทีแรก หงหยิงอดตะลึงมิได้เมื่อได้ยินคำสั่งซื้อลากยาวเท่าหางว่าวโดยพลัน แต่เมื่อได้ยินชื่อสมุนไพร ยามนี้ค่อยโล่งอกไปเปาะหนึ่ง
เยาวชนหนุ่มคนนี้ที่อยู่ตรงหน้านาง ไร้ซึ่งร่องรอยพลังปราณเทวะใดๆ พินิจได้ว่าเป็นเพียงชายพิการคนหนึ่ง เขาอาจเป็นคนรับใช้ของจอมเทพโอสถสักคนหนึ่ง คงจะถูกสั่งให้เดินเรื่องจัดหาสมุนไพรให้เจ้านาย
“รับทราบแล้วนายท่าน ข้าจะเร่งรายการจัดซื้อโดยเร็ว มิทราบว่านายท่านยังต้องการอะไรอื่นอีกหรือไม่?”
หงหยิงเอ่ยถามอีกครั้ง
เย่หยวนกล่าวต่อว่า
“ข้าต้องการเช่าห้องบ่มเพาะ”
หงหยิงตัวแข็งทื่อในบัดดล มาจับจ่ายซื้อสมุนไพรเยอะแยะขนาดนี้ แล้วก็ยังต้องการเช่าห้องบ่มเพาะพลังอีก?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า ชายรับใช้คนนี้คิดจะแอบอู้เบี้ยวส่งมอบของคืนแก่เจ้านายตน?
ช่างเป็นชายรับใช้ที่ใจกล้าอะไรเพียงนี้?
หรงหยิงยิ้มแย้มแจ่มใสและกล่าวว่า
“ห้องบ่มเพาะของหอมหาสมบัติจะแบ่งออกเป็น สวรรค์, ดิน, ลึกลับและเหลือง ทั้งหมดสี่ระดับให้เลือกสรร ห้องบ่มเพาะระดับสวรรค์จะมีค่าเช่าอยู่ที่หนึ่งพันผลึกปราณเทวะระดับต่ำต่อวัน ระดับดินที่ห้าร้อยผลึกปราณเทวะระดับต่ำต่อวัน ระดับลึกลับที่หนึ่งร้อยผลึกปราณเทวะระดับต่ำต่อวัน และระดับเหลืองที่สิบผลึกปราณเทวะระดับต่ำต่อวัน”
เย่หยวนหน้าเสียเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง
ราคาแพงมาก!
เดิมทีเขาวางแผนเช่าห้องบ่มเพาะประมาณสิบวัน น่าจะพอดีกับผลึกปราณเทวะที่เขาได้รับมาพอดี ซึ่งผลึกปราณเทวะที่เขาได้รับมาจากเหลียงหวางหรูมีประมาณหนึ่งร้อยสามสิบห้าก้อน
แต่ด้วยราคาขนาดนี้ แล้วเขาจะเหลือพอสำหรับสมุนไพรวิญญาณที่สั่งซื้อไปได้อย่างไร?
เย่หยวนทราบสถานการณ์ทางการเงินของเขาดี เขาจำต้องใช้จ่ายอย่างจำกัด
แต่ห้องบ่มเพาะในหอมหาสมบัติก็แพงเกินรับไหวเช่นกัน
“เอ่อ…มีห้องบ่มเพาะที่ถูกกว่านี้หรือไม่?”
เย่หยวนพลันลูบไล้ท่อนแขนไปพลางก่อนเอ่ยถามอย่างเขินอาย
ยามนี้เขาได้แต่ยิ้มสู้สุดระทมใจแสนขมขื่น เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า สักวันจะมีวันที่ตนต้องทุกข์ยากแทบขอคนอื่นอยู่กิน
โชคยังดีที่ก่อนจะมายังมหาพิภพถงเทียน เขาค่อนข้างเตรียมตัวเตรียมใจมาพอแล้ว เขาประเมินทุกสถานการณ์กระทั่งขั้นเลวร้ายสุดก็พร้อมทนบากหน้า เพียงว่าวันนี้มาถึงเร็วกว่าที่คาด ทำได้แต่ถอนหายใจเสียงยาวไม่หยุดหย่อน
หงหยิงรู้สึกดูถูกดูแคลนชายพิการตรงหน้านางยิ่งจากเบื้องลึกของจิตใจ ในเมื่อไม่มีเงินยังจะทำเป็นวางท่าวางทางเพื่ออันใด?
แต่ดูถูกคือดูถูก ห้ามนำอารมณ์ความรู้สึกมาปนกับหน้าที่การงาน ซึ่งหงหยิงนับเป็นพนักงานสาวมืออาชีพอย่างมาก นางยังคงเอ่ยตอบเย่หยวนพร้อมรอยยิ้มว่า
“แน่นอนนายท่าน พวกเรายังมีห้องบ่มเพาะที่มิได้ถูกเสริมพลังเข้าไป ราคาเพียงแค่สี่ผนึกปราณเทวะระดับต่ำต่อวันเท่านั้น แต่เนื่องจากเป็นห้องบ่มเพาะที่มิได้ถูกเสริมพลังเข้าไป ประสิทธิภาพจึงค่อนข้างต่ำกว่าโดยทั่วไปมาก ไม่ทราบว่านายน้อยยังสนใจอยู่หรือไม่?”
คู่ดวงตาพลันส่องประกายขึ้นทันใด เย่หยวนเพียงต้องการสุ่มถามไปเฉยๆ แต่ใครจะไปคิดว่าที่นี่ดันมีห้องราคาถูกอยู่จริงๆ
เขาเพียงต้องการเช่าห้องบ่มเพาะเพราะลี้ภัยจากตระกูลเหลียง และขอยืมสถานที่เพื่อหลอมกลั่นโอสถ ประสิทธิภาพดีหรือแย่กลับหาได้สำคัญไม่
เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถบ่มเพาะฝึกฝนพลังใดๆได้เลย
“เอาล่ะ ข้าขอเช่าสิบวัน! หลังจากที่ได้สมุนไพรวิญญาณครบตามรายการสั่งแล้ว ส่งให้คนนำมาในห้องบ่มเพาะได้โดยตรง!”
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา
หงหยิงสะดุ้งเล็กน้อย นางคาดไม่ถึง เย่หยวนกลับเช่ามันจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำสิ่งต่างๆของเย่หยวนก็ทำเอานางมึนงงไม่น้อย หรือเป็นไปได้ไหมที่ ชายพิการผู้ไร้ซึ่งพลังปราณเทวะ จะลงมือหลอมกลั่นโอสถด้วยตัวเอง?
นี่ต้องล้อเล่นเป็นแน่!
แน่นอน หงหยิงผู้นี้มีความเป็นมืออาชีพค่อนข้างสูง นางยิ้มตอบบางๆและกล่าวขึ้นว่า
“รับทราบนายท่าน รายการสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดที่สั่งซื้อไป รวมราคาสุทธิหกสิบแปดผลึกปราณเทวะระดับต่ำ รบกวนนายท่านโปรดชำระเงินก่อน”
เย่หยวนรู้สึกปวดจี๊ดถึงทรวงใน เขานำผลึกปราณเทวะจำนวนหกสิบแปดก้อนออกมาโดยตรง และจ่ายค่าสมุนไพรวิญญาณไป
ด้วยเหตุนี้ ภายในแหวนเก็บของจึงเหลือผลึกปราณเทวะอยู่แค่หกสิบเจ็ดก้อนสุดท้ายแล้ว
หากเขายังไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้ภายในหกสิบเจ็ดก้อนที่เหลือ ก็เตรียมตัวตายได้เลย!
ณ ปัจจุบันเย่หยวนถอยไม่ได้อีกแล้ว!
“โอ้ใช่แล้ว หากข้าหลอมโอสถปราณเทวะเสร็จสิ้นแล้ว ทางหอมหาสมบัติมีแผนจะรับซื้อหรือไม่?”
เย่หยวนเอ่ยปากถามขึ้นทันที
หงหยิงที่ได้ยินแบบนั้นพลันตะลึงงันเป็นคำรบสอง นี่เป็นครั้งแรกที่นางเคยรับมือกับลูกค่าประเภทนี้!
ซื้อสมุนไพรวิญญาณจากหอมหาสมบัติไปเป็นจำนวนมาก ก็เพื่อขายคืนเป็นโอสถให้แก่หอมหาสมบัติกลับไป!
สิ่งหนึ่งที่นางยืนยันได้เต็มปากคือ ชายพิการคนนี้ต้องการเช่าห้องบ่มเพาะเพื่อหลอมกลั่นโอสถ!
แต่…ชายพิการคนนี้ไร้ซึ่งพลังปราณเทวะในร่างกาย แล้วจะไปหลอมกลั่น… ไม่! เดี๋ยวก่อน! ยังมีวรยุทธค่ายกลเต๋ากลั่นโอสถอยู่อีก!
เสี้ยวอึดใจที่ความเป็นไปได้ข้อนี้โฉบแล่นสู่ห้วงความคิด ร่างอรชรพราวเสน่ห์ของหงหยิงพลันสั่นสะท้านหนัก
แต่นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?
วรยุทธค่ายกลเต๋ากลั่นโอสถ ภายในเมืองกุยฉางแห่งนี้ มันไม่น่าจะมีใครรู้จักด้วยซ้ำ?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น