Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1288-1295

 ตอนที่ 1288

 

หลุมดำอวกาศ!

 


ในตอนที่เย่หยวนยังเป็นแค่เซียนอาณาจักรราชันย์เทวะ สามเทพอสูรที่ผนึกกำลังโจมตีเข้าใส่ก็ยังไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของเขาได้


ยิ่ง ณ ตอนนี้ที่ขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าไปแล้ว คงมีแต่สรวงสวรรค์ที่ทรงทราบว่า พลังการป้องกันของเย่หยวนทรงพลังขึ้นไม่รู้กี่เท่าทวี!


แต่ถึงแบบนั้น เย่หยวนก็ไม่สามารถทนต่อกระแสพายุกลางห้วงอวกาศได้เลย มีเกลียวคลื่นพลังสุดเกรียวกราดเข้าฉีกกระชากตัวเขาจากทั่วทุกทิศอย่างบ้าคลั่ง


พลังปราณเทวะของเขาถูกใช้จ่ายออกไปไม่หยุดหย่อน รวมไปถึงความทนทานทางกายภาพที่ลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว


ด้วยอัตราเช่นนี้ เพียงไม่นานเย่หยวนจะหมดแรงในท้ายที่สุดและถูกห้วงอวกาศนี้กลืนกินไปตลอดกาล


 


“เฮ้อ! เจ้าหนู ข้าก็บอกไปแล้วว่าอย่ามา แต่เจ้าก็ยังดื้อรั้นที่จะมาให้ได้! ตอนนี้ เจ้าเชื่อรึยังว่า ข้ากับคุนหวูมิได้หลอกเจ้า?”


ภายในทะเลแห่งจิตใจ เสียงของหวูเฉินดังก้องออกมา


 


เย่หยวนที่กำลังใช้จ่ายพละกำลังทางกายภาพและพลังปราณอย่างหนัก มีหรือจะซ่อนเร้นจากสายตาของเขาได้?


สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ นี่ยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น แต่เย่หยวนก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว


หนทางข้างยังต้องเดินต่อไป แต่หากไม่ไหวเสียตั้งแต่ตอนนี้ สิ่งเดียวที่รออยู่คือความตาย


 


เย่หยวนคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า


“หากท่านอาวุโสมีเวลามาหัวเราะเยาะข้าแล้ว เช่นนั้นโปรดช่วยคิดหาทางแก้ไข!”


 


“เหอะ ห้วงอวกาศนี้ เจ้าได้แต่พึ่งพาตัวเองเท่านั้น กระทั่งข้ายังไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แล้วจะไปช่วยเจ้าได้อย่างไร?”


หวูเฉินกล่าว


 


เย่หยวนได้แต่ส่ายหัวอย่างไร้ประโยชน์และกัดฟันเสียงดังกรอด อดทนก้าวเดินต่อไป


มีหลายต่อหลายครั้งที่เขาต้องพยายามหลบเลี่ยงจากเศษซากดินแดนอวกาศที่พุ่งผ่านเข้าใส่ ทั้งยังต้องประคองปราการเหล็กกล้าที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่นี้ให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง


 


ในทีแรก เย่หยวนเดินทางไปได้อย่างรวดเร็วยิ่ง


แต่ไม่ช้า เขาก็เริ่มช้าลงเรื่อยๆจนแทบก้าวย่างไปไม่ออกแล้ว


แม้วิธีเช่นนี้จะสามารถความทรมานให้แก่เย่หยวนอย่างมาก ทว่าเขาก็ยังคงรักษาความเสถียรของปราการป้องกันนี้ได้


เมื่อสำเร็จเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำถึงศาสตร์แห่งสวรรค์ขั้นแรก พลังป้องกันของเย่หยวนจะแข็งแกร่งเทียบเทียมได้กับเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย!


ยามสำแดงใช้ร่วมกับเขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบ พลังป้องกันของเย่หยวนกลับมิได้อ่อนด้อยไปกว่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดเลย!


 


ดังนั้นเย่หยวนยังพอมีทุนรอนให้มั่นใจอยู่บ้าง


วันเวลาไหลผ่านไปอย่างแช่มช้า หวูเฉินที่เฝ้ามองเย่หยวนอยู่ในไข่มุกสยบวิญญาณ ยิ่งนานเข้าเขาก็ยิ่งประหลาดใจอย่างยิ่งต่อความมุ่งมั่นของเย่หยวน


หากยึดถือตามเวลาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เย่หยวนเดินทางอยู่ในห้วงอวกาศนี้มายาวนานกว่าเจ็ดวันเจ็ดคืนเต็มแล้ว!


หากกล่าวกันตามหลักเหตุและผล สภาพร่างกายของเย่หยวนควรมาถึงขีดจำกัดนานแล้ว


ทว่าตัวเขาที่พึ่งพาความมุ่งมั่นและความอดทน จึงสามารถประคองสถานการณ์ได้นานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเต็ม


ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ปราศจากโอสถระดับศักดิ์สิทธิ์นานแล้ว เย่หยวนไม่มีแม้แต่สูตรโอสถศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถระดับศักดิ์สิทธิ์ไว้ใช้ได้เลย


ต่อให้เป็นโอสถระดับเก้าชั้นสูงสุดขั้นลี้ลับ มันก็ไม่มีผลต่อเย่หยวนในปัจจุบันอีกต่อไป


หากมิได้รับการสนับสนุนจากโอสถ เย่หยวนก็ทำได้แค่พึ่งพาพละกำลังของตนเองเท่านั้น


 


ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เย่หยวนที่เป็นนักหลอมโอสถนับว่าเป็นข้อได้เปรียบ


การควบคุมอารมณ์ของเขาค่อนข้างเสถียรเป็นอย่างมาก ซึ่งนี่ส่งผลให้เขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบยังคงมั่นคงไม่เสื่อมคลายออก


ตอนนี้เขาใช้เพียงเศษเสี้ยวพลังปราณเทวะก็สามารถหล่อเลี้ยงเขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบได้แล้ว ไม่เหมือนก่อนหน้าที่มันจำต้องบริโภคพลังปราณเทวะเป็นจำนวนมหาศาล!


มนุษย์จะสามารถปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงได้ในยามวิกฤติถึงขีดสุด


ในระยะเจ็ดวันที่ผ่านมานี้ ความสามารถในการควบคุมพลังปราณเทวะของเย่หยวนค่อนข้างพัฒนาขึ้นจนเห็นได้ชัด


มาถึงจุดนี้ หวูเฉินก็อดประหลาดใจมิได้อย่างลับๆ


เว้นเสียว่า เย่หยวนยังเพิ่งเดินทางไปได้ไม่ถึงหนึ่งจากสิบส่วนเลย แต่นั้นกลับใช้เวลายาวนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน


ตามที่หวูเฉินคำนวณเอาไว้ หากเย่หยวนเดินทางด้วยความเร็วเพียงแค่นี้ เขาจำต้องใช้เวลานานถึงสองเดือนกว่า!


นอกจากนี้ ยิ่งเดินทางไปได้ไกลเท่าใด กระแสะพายุในห้วงอวกาศก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่พละกำลังของเย่หยวนลดลงต่อเนื่องเรื่อยๆ


ดังนั้นแล้ว แม้ว่าเย่หยวนจะสามารถทนได้ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ทว่าคุนหวูกลับมิได้มองเย่หยวนในแง่ที่ดีขึ้นเลย


ในเวลาเพียงเจ็ดวัน พลังปราณเทวะในร่างกายเย่หยวนเหื่อดแห้งไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว


แล้วยังเดินทางต่อไปโดยบริโภคพลังปราณเทวะปริมาณขนาดนี้ แล้วเขาจะทำสำเร็จได้อย่างไร?


ทันทีทันใด เย่หยวนพลันขมวดคิ้วแน่น กระแสพลังไร้เสถียรภายนอกจู่ๆก็ปั่นปวนรุนแรงอย่างไร้สาเหตุ


แรงกดดันจากสารทิศที่เข้าบดขยี้เย่หยวนยิ่งทวีความรุนแรง เขาเองก็ตอบสนองทันควัน เร่งโคจรพลังปราณเทวะจนเร็วจี๋เข้าป้องกันร่างกาย


 


“ท่านอาวุโส นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


เย่หยวนกล่าวถามหวูเฉินทันที


 


สีหน้าการแสดงออกของหวูเฉินยามนี้เลวร้ายลงถึงขีดสุด เขากล่าวเสียงขรึมตอบ


“เจ้านี่มันโชคดีจริงๆ! นั้น…นั้นคือหลุมดำอวกาศ!”


 


“หลุมดำอวกาศ?”


คู่คิ้วขมวดแน่นแทบติดชน เย่หยวนถอดสีหน้าในทันใด


ชื่อนี่ไม่ว่าจะฟังอีท่าไหนก็โชดดีหล่นทับชัดๆ กล่าวได้ว่าโชคในคราวนี้ถึงแก่ชีวิต!


 


หวู่เฉินกล่าวว่า


“หลุมดำอวกาศเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเคลื่อนตัวชนกันระหว่างห้วงอวกาศทั้งสอง จนเกิดช่องว่างสภาวะพลังเข้มข้น เกลียวหลุมดำกรอบนอกเป็นกระแสพายุที่มีกำลังรุนแรงสุดขีด ซึ่งกระแสพายุนี้จะรุนแรงเสียยิ่งกว่าห้วงอวกาศทั่วไปถึงหลายสิบเท่า โดยปกติมันเป็นปรากฏการณ์ที่หาพบได้ยากมาก หลายทศวรรษถึงจะปรากฏขึ้นมาสักครั้ง แต่ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า มันจะโผล่ออกมาทักทายเจ้าเช่นนี้ หากพลาดท่าหลุดเข้าไป เจ้าจะไม่มีวันกลับออกมาได้อีก!”


เห็นได้ชัดว่าแม้แต่หวูเฉินก็ยังเกรงกลัวปรากฏการณ์หลุมดำอวกาศนี้


เย่หยวนสูดหายใจลึกๆนับสิบถึงร้อยครั้ง ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบัน มันไม่มีทางต้านทานสิ่งนี้ได้เลย


สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนไสวแปรปรวนไม่หยุดหย่อน ภายในใจของเขากระหน่ำเต้นดิ้นรนหาทางรอดสุดชีวิต


กระแสพายุไร้เสถียรตรงเข้าใกล้เย่หยวนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ


นี่เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่ไหล กลับพบเจอปรากฏการณ์ที่หารับชมได้ยากยิ่งเสียแล้ว!


ความน่ากลัวของเจ้าสิ่งนี้ไม่มีใครสามาราถจินตนาการออกได้เลย!


 


“เย่หยวน เจ้ายังจะยืนงงทำบ้าอันใด! หลุมดำอวกาศมิใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถต้านเพียงลำพังได้ไหว! ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้าอยู่ตรงนี้ แต่หากถูกดูดเข้าไปในใจกลางหลุมดำ ก็เตรียมตีตั๋วกลับบ้านเก่าได้เช่นกัน!”


หวูเฉินเร่งโพล่งกล่าวขึ้น


 


เขาไม่ต้องการให้เย่หยวนต้องมาตายเช่นนี้ หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ มีความเป็นไปได้สูงว่า หวูเฉินอาจไม่ฟื้นขึ้นมาอีกตลอดกาล


หากเย่หยวนในฐานะผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ถึงแก่ความตาย เต๋าแห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์จะยิ่งเสื่อมโทรมหนักจนไม่สามารถฟื้นฟูขึ้นได้แล้ว


 


ทว่ายามนี้เย่หยวนก็ยังลังเลไม่ไปไหน


 


“รีบหนีเร็วเข้าเย่หยวน! หากช้ากว่านี้จะไม่มีโอกาสหนีรอดแน่นอน!”


 


แต่จู่ๆเย่หยวนกลับกัดฟันแน่นพร้อมเร่งพลังปราณเทวะและความแกร่งกร้าวของกายเนื้อถึงขีดสุด พร้อมดิ่งพสุธาเข้าสู่ใจกลางหลุมดำอวกาศโดยตรง!


 


“เย่หยวน เจ้าบ้าไปแล้ว! เจ้ากำลังหาเรื่องตาย!”


หวูเฉินคำรามลั่นด้วยความโมโห


เขานึกไม่ถึงเลยสักนิด ไม่เพียงเย่หยวนจะไม่ถอยหนี แต่เขายังวิ่งเข้าใส่หลุมดำ!


เย่หยวนหาได้เอ่นกล่าวใดๆไม่ แววตาของเขาในยามนี้เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างหาที่เปรียบไม่ พร้อมตรงเข้าใส่หลุมดำอวกาศโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เย่หยวนไม่เหลือพลังมากพอที่จะหนีกลับไปสู่จุดเริ่มต้นได้อีก หากเลือกที่จะถอยเขาคงตายแน่นอน


ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะก้าวต่อไป!


เขาไม่เหลือทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว!


 


ในบางครั้งการระมัดระวังตัวจนเกินไปกลับเป็นหนทางสู่ความตายเช่นกัน


 


“บ้า! เจ้ามันบ้าไปแล้ว!! เจ้าเด็กโง่ประเมินตัวเองสูงเกินไป! ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงหาได้รู้จักไม่! การที่เจ้าคิดว่าตนสามารถควบคุมเต๋าในดินแดนอื่นได้ จะสามารถควบคุมสรรพสิ่งได้หรืออย่างไร?! เจ้าไม่เคยฟังคำเตือนของข้าเลยรึไง! ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ ในมหาพิภพถงเทียน เจ้ามันก็แค่มดปลวก…”


หวูเฉินระเบิดคำด่าสาดวาจาสบถไม่รู้จบภายในทะเลแห่งจิตใจของเย่หยวน แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร เย่หยวนกลับทำหูทวนลมไม่สนใจสักนิด


เขายังคงยึดมั่นกับความคิดของตัวเองและสำแดงใช้สรรพสิ่งที่มีออกมา


กระแสพายุสุดแรงกล้าเข้าฉีกกระชากร่างกายเย่หยวนคล้ายใบมีดคมกริบ


 


ในไม่ช้า ปราการป้องกันเหล็กกล้าของเย่หยวนก็ไม่สามารถทนรับได้ไหวอีกต่อไป


ร่างกายเย่หยวนได้รับบาดแผลสาหัสยิ่งในยามนี้


เขาพยายามตั้งสติโคจรวรยุทธมังกรทรราชจุติเพื่อฟื้นฟูร่างกายอย่างบ้าคลั่ง


หลุมดำอวกาศเริ่มอาละวาดเดือดดาลขึ้นต่อเนื่อง และเข้าบดขยี้ร่างกายเย่หยวนอย่างบ้าดีเดือด

 

 

 


ตอนที่ 1289

 

สาวใบ้เหลียงหวางหรู

สุริยันสดับยามเที่ยงวัน เหนือน่านนภา เปี่ยมไปด้วยพลังธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์


บนทุ่งรกร้างมีวัชพืชตลอดทาง ปรากฏเป็นกลุ่มคาราวาลรถม้าพร้อมผู้คนนับหลายสิบที่กำลังเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ


“คุณหนูรอง อีกประมาณครึ่งเดือนพวกเราก็จะไปถึงป่าอสูรลึกลับแล้ว! หลังจากที่เดินทางผ่านป่าอสูรลึกลับได้ เราก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองกุยฉางแล้ว”


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สวมเครื่องแบบทหารยามกล่าวขึ้นเบื้องหน้าหญิงงาม


หากพินิจมองให้ดี นางผู้นี้ควรจะเป็นผู้นำกองคาราวานนี้อย่างแม่นยำ


“อืม บอกให้ทุกคนเพิ่มความระวังมากขึ้นเป็นเท่าตัว มีข่าวไม่ดีนักเกี่ยวกับป่าอสูรลึกลับเมื่อไม่นานมานี้ หากพ้นผ่านจากป่าอสูรลึกลับไปได้ สตรีผู้นี้จะจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มให้พวกเจ้าเป็นสองเท่า”


สาวงามนางนั้นกล่าวขึ้นพร้อมพยักหน้า


ชายวัยกลางคนดูท่าจะดีใจยิ่งยวดและเร่งกล่าวตอบทันที


“ขอบพระคุณอย่างยิ่งคุณหนูรอง!”


เขาเหลียวหลังกลับไปและตะโกนสั่งการเหล่าทหารยามคนอื่นๆโดยไวว่า


“พวกเจ้าทุกคนได้ยินหรือไม่? คุณหนูรองต้องการจะจ่ายค่าตอบแทนให้สองเท่า หวังว่าพวกเจ้าจะฉลาดพอ สิ่งใดควรหรือไม่ควร!”


กลุ่มทหารยามกล่าวตอบโดยพร้อมเพรียงว่า


“ขอบพระคุณอย่างยิ่งคุณหนูรอง!”


สาวงามนางนั้นคลี่ยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้าเชิงสัญญาณเป็นมารยาทให้


นางพลันกวาดสายตาไปหาสาวงามอีกคนที่อยู่ด้านหลังอย่างอดมิได้ พลางเผยให้เห็นถึงแววหยามเหยียดสะท้อนออกจากยัน์ตาอย่างชัดเจน


สาวงามอีกคนที่อยู่ด้านหลังดูคล้ายกับว่าร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ สีหน้าผิวพรรณของนางดูซีดเซียวเล็กน้อย รูปลักษณ์ของนางช่างงดงามและมีหลายต่อหลายจุดที่ละไม้คล้ายคลึงกับอีกคนที่อยู่ด้านหน้า


ทว่าต่อหน้าสายตาสุดเหยียดยามที่มีให้นี้ สาวงามนางนี้กลับมิได้แยแสเท่าใดนัก เห็นได้ชัดว่านางมิได้รู้สึกอะไรเลย


แต่ทันใดนั้นเอง คู่คิ้วสวยของนางพลันถักหนาขึ้นในทันที สองมือที่กุมจับสายคุมบังเหียนม้าถูกดึงจนตึงพร้อมกับทั้งกองคาราวานที่หยุดชะงักทั้งขบวน


เมื่อคุณหนูรองเห็นดังนั้น นางก็ขมวดคิ้วเข้มกล่าวขึ้นว่า


“เหลียงหวางหรู เจ้าทำอะไรของเจ้า?”


ทว่าสาวงามนางนั้นกลับเพิกเฉยต่อคำถามและลงจากม้าที่ขี่ตรงเข้าสู่กอหญ้าข้างทางทันที


ภายในกอหญ้าหนาทึบปรากฏเป็นชายหนุ่มคนนี้ที่ทั่วทั้งร่างกายอาบชโลมไปด้วยเลือดสดและบาดแผลมากมาย ดูผิวเผินคล้ายศพเละสุดน่าสยดสยอง


สาวงามนางนั้นขมวดคิ้วแน่น สีหน้าการแสดงออกของนางเผยให้เห็นถึงความเศร้าโศก


นางเหลียวหลังกลับมายังกองคาราวานและกวักมือเรียกทหารยามวัยกลางคนผู้นั้น ทว่ายังทันที่ทหารยามผู้นั้นจะได้ขยับตัว กลับเป็นเสียงของคุณหนูรองที่โพล่งดังขึ้น นางกล่าวเสียงเย็นกระด้างไปว่า


“จางชุน เจ้าไม่ต้องไป! กับอีแค่คนตายยังจะไปเสียแรงสนใจอันใด? หากนางต้องการช่วยนัก ก็ให้นางแบกกลับมาคนเดียว”


จางชุนดูลังเลเล็กน้อย และท้ายที่สุดจำต้องยืนดูอยู่นิ่งๆด้วยความจนใจ


เหลียงหวางหรูถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น แต่ปรากฏว่านางกัดฟันประคองร่าง‘คนตาย’นั้นกลับมาด้วยจริงๆเพียงลำพัง


‘คนตาย’ศพนี้มิได้หนักเท่าไร่นัก คราบเลือดสดโดยส่วนใหญ่เริ่มแห้งจนกรอบแล้วโดยดวงสุริยันอันร้อนระอุที่แผดเผาอยู่นาน โดยมิอาจทราบได้เลยว่า ศพร่างนี้ถูกทิ้งร้างอยู่ตรงนี้เป็นเวลากี่วันแล้ว ถึงได้มีกลิ่นเหม็นสาบหึ่งออกมาจากร่างกาย


อย่างไรก็ตาม ‘คนตาย’ที่ว่ากลับมิใช่ใครอื่น นอกจากเย่หยวนที่หนีตายออกจากหลุมดำอวกาศ!


แน่นอนว่าเขายังไม่ตายจริงๆ แต่พินิจจากรูปการณ์น่าจะใกล้ตายเต็มทนแล้วเช่นกัน


สภาพเย่หยวนในตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรจากศพ ผิวหนังทั่วร่างถูกถลกออกจากเห็นเป็นกล้ามเนื้อแดงเปียกชื้น ภายใต้แสงสุริยันที่สาดส่องลงมาเป็นเวลานาน จึงทำให้ร่างกายของเขาเริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็น


ถึงแม้จะเป็นวรยุทธมังกรทรราชจุติ แต่นี่ก็ไม่สามารถฟื้นฟูอากาศบาดเจ็บระดับนี้ได้เลย


ยิ่งไปกว่านั้นเอง เย่หยวนในปัจจุบันไม่เหลือรองรอยพลังปราณใดๆเลนตั้งแต่หัวจรดเท้า ยามนี้เขาไม่ต่างอะไรกับคนพิการที่กำลังประคองลมหายใจเพื่อต่อชีวิต


เหลียงหวางหรูกลั้นใจทนกลิ่นเน่าเหม็นจากร่างกายของเย่หยวน และประคองร่างขึ้นรถม้าทันที


ภายในกองคาราวานนี้อัดแน่นไปด้วยสินค้ามากมาย นั้นส่งผลให้บริเวณทั่วทั้งกองคาราวานส่งกลิ่นสมุนไพรและโอสถออกมาจางๆ


คุณหนูรองยืนกอดอกเฝ้ามองเหลียงหวางหรูแบกหามร่างเย่หยวนตรงเข้ามาอย่างทุลักทุเล ก่อนขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ


แค่ลำพังเหลียงหวางหรูก็น่ารำคาญเกินพอแล้วสำหรับนาง นี่ยังมีคนเจียนตายอีกคนเป็นภาระหนัก ขณะนี้ทั้งสองล้วนเป็นตัวปัญหายิ่งอย่างไม่มีใครเทียบ


แต่เหลียงหวางหรูก็ดูท่าจะมิได้สนใจนัก


“เหอะ พี่ใหญ่คนประเสริฐของข้า แม้ขยะนี่ยังมีลมหายใจอยู่ แต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากศพ! ในตอนนี้กองคาราวานก็ยุ่งเหยิงเต็มทนแล้ว แต่นี่ยังจะมาเพิ่มปัญหาให้อีก? หากพานพบภัยอันตรายใดๆในป่าอสูรลึกลับ คงไม่มีใครว่างพอจะสนใจความเป็นตายของมัน!”


คุณหนูรองตะคอกขู่พร้อมเสียงเย็น


แต่แทนที่เหลียงหวางหรูจะส่งเสียงเอ่ยตอบ นางกลับใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารอะไรบางอย่าง


ปรากฏว่า แท้ที่จริงแล้วเหลียงหวางหรูนางนี้เป็นหญิงใบ้!


คุณหนูรองนางนี้เข้าใจภาษามือของเหลียงหวางหรู นางยิ่งเผยสีหนสุดแสนจะรังเกียจและกล่าวตอบอย่างเยือกเย็นว่า


“ช่วยเหลือชีวิตมากกุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น? พี่สาวผู้ประเสริฐของข้า จิตใจของท่านเปรียบดั่งทองคำกระมัง? หรือท่านคือพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิดที่ช่วยเหลือทุกชีวิต ส่วนพวกเราทุกคนคือคนบาป! หุหุ ก่อนจะช่วยเหลือคนอื่น ช่วยทำให้ตัวเองเลิกเป็นใบ้เสียก่อน! ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์และร่างกายของมันได้รับความเสียหายจนพิการถาวร ต่อให้เป็นผู้อาวุโสฟางอยู่ที่นี่ เขาก็จนปัญญาที่จะช่วยเช่นกัน!”


เหลียงหวางหรูหาได้สนใจวาจาคำกล่าวของคุณหนูรองไม่ นางจับจ้องเย่หยวนด้วยความเห็นอกเห็นใจ และทันใดนั้นเองนางก็หยิบโอสถเม็ดสีแดงใสออกมาและป้อนเข้าปากเย่หยวนโดยตรง


คุณหนูรองที่เห็นแบบนั้นถึงกับเบิกตาโตเหลียวมองเหลียงหวางหรูอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาย ขณะที่นางกล่าวขึ้นว่า


“เป็นบ้าไปแล้วรึไง? โอสถปราณลึกล้ำเป็นถึงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นสูง ท่านพ่ออุตส่าห์มอบให้เจ้าก่อนเดินทางออกมา แต่เจ้ากลับนำของมีค่าขนาดนี้มอบให้แก่คนที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ? ทันทีที่กลับไป ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ!”


ไม่เพียงคุณหนูรองเท่านั้นที่ประหลาดใจ แม้กระทั่งทหารยามที่แอบฟังอยู่ด้านนอกยังเผยสีหน้าตกตะลึงไม่ต่าง


โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นสูงแต่ละเม็ดมีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่


เหล่าทหารยามเหล่านี้ไม่สามารจ่ายค่าโอสถระดับนี้ได้ไหว ต่อให้ใช้เงินทั้งชีวิตก็ยังหาซื้อไม่ได้!


เหลียงหวางหรูหันมองมาหานางพร้อมคลี่ยิ้มบางให้เล็กน้อย หลังจากที่กรอกโอสถปราณลึกล้ำลงไปในปากของเย่หยวน นางก็ค่อยๆรินน้ำไปตามเพื่อให้โอสถไหลเข้าร่างกายเย่หยวน


เนื่องจากจนถึงขณะนี้ เย่หยวนก็ยังไม่ได้สติแม้แต่น้อย


คุณหนูรองที่เห็นแบบนั้นก็ตะคอกใส่เหลียงหวางหรู น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจ


“เหลียงหวางหรู เจ้านี่มันโง่เง่ายิ่งกว่าอันใด! ทั้งๆที่ทำตัวไร้ประโยชน์อยู่แล้ว แต่ก็ยังอุตสาห์หาตัวไร้ประโยชน์มาเพิ่ม! นี่พวกเรามิได้เดินทางมาดูนกชมไม้ หากหนทางเบื้องหน้าเผชิญพบกับภัยอันตราย พวกเจ้าทั้งคู่เตรียมถูกปล่อยตายได้เลย!”


แต่เหลียงหวางหรูยังคงส่งยิ้มให้นางดังเดิม


รอยยิ้มนี้เปรียบเสมือนสายลมโชยอ่อนกลางฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านหัวใจผู้คนชวนปีติสุข


เว้ยเสียว่า มันไม่สามารถทำให้หัวใจอันหยาบกระด้างของคุณหนูรองมีความสุขขึ้นได้แม้สักนิด


กองคาราวานยังคงเดินทางต่อไป และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครให้ความสนใจต่อเหลียงหวางหรูและเย่หยวนอีกเลย


เห็นได้ชัดว่า เหลียงหวางหรูเป็นคนสั่งไม่ให้ทุกคนไปคุยกับทั้งสอง


อย่างไรก็ตาม เหลียงหวางหรูก็มิได้สนใจอะไร และอยู่เฝ้าดูแลเย่หยวนอย่างสุดกำลังตลอดทางมานี้


นางทนกลิ่นเน่าเหม็นและช่วยทำความสะอาดเนื้อตัวและแผลเน่าของเย่หยวนทั่วร่างด้วยความใส่ใจ


นอกเหนือจากโอสถปราณลึกล้ำแล้ว เหลียงหวางหรูก็ยังนำโอสถชนิดอื่นๆมาป้อนให้เย่หยวนอีกหลายวันต่อจากนั้น


เฝ้ามองอยู่หลายวัน คุณหนูรองได้แต่เหลือบมองทั้งคู่พร้อมสายตาที่เปี่ยมล้นความรังเกียจสุดหัวใจ


นางกับเหลียงหวางหรูเป็นพี่น้องกันทางสายเลือด เพียงว่าเหลียงหวางหรูถือกำเนิดจากภรรยาหลวง ในขณะที่นางเป็นแค่ลูกของภรรยารอง


ท่านพ่อของพวกนางมีนามว่า เหลียงหมิงอี้ เขารักแม่ของเหลียงหวางหรูและดูแลหวางหรูเป็นอย่างดี แต่วันหนึ่งประดุจเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แม่ของนางได้ตายจากไป ในขณะที่นางก็กลายมาเป็นใบ้พูดไม่ได้


ในเวลาต่อมา เหลียงหมิงอี้ได้แต่งงานใหม่และให้กำเนิดลูกสาวขึ้นอีกคนก็คือ เหลียงหวางหรงหรือก็คือคุณหนูรองนางนี้


แม่ของเหลียงหวางหรงเป็นบุตรสาวจากตระกูลใหญ่ในเมืองกุยฉาง ซึ่งการที่เหลียงหมิงอี้แต่งงานใหม่กับคนที่มีสถานะต่ำกว่า จึงทำให้นางได้ย้ายเข้ามาอยู่ในตระกูลเหลียงด้วยเช่นกัน


ทั้งตัวแม่และลูกสาวอย่างเหลียงหวางหรงต่างไม่ชอบขี้หน้าของเหลียงหวางหรูเท่าไหร่นัก ลูกของภรรยาหลวงที่เป็นดั่งเสี้ยนตำใจเช่นนี้ มีหรือจะไม่รังเกียจ? ดังนั้นสองแม่ลูกจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกลั่นแกล้งเหลียงหวางหรูให้ตกอยู่ในความลำบาก


ส่วนเหลียงหวางหรูเป็นแค่สาวใบ้ธรรมดาคนหนึ่ง นางไร้ซึ่งพลังอำนาจและทำได้เพียงเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้


โชคยังดีที่ตัวผู้เป็นพ่ออย่างเหลียงหมิงอี้ยังมีมโนธรรม และยังรู้สึกผิดกับการจากไปของภรรยาหลวง นั้นจึงทำให้เหลียงหวางหรูยังพอมีช่วงเวลาที่ดีอยู่บ้าง


ตระกูลเหลียงทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร ณ ตอนนี้ เขาก็ได้ส่งลูกสาวทั้งสองออกไปเพื่อนำสมุนไพรชุดใหม่กลับมายังตระกูล ซึ่งนี่ก็ได้เวลาที่กองคาราวานของพวกนางใกล้จะมาถึงแล้ว


เหลียงหวางหรงที่เห็นว่าพี่สาวของนางพยายามอย่างหนักเพื่อเฝ้าดูแลเย่หยวน ยามนี้ความคิดขดชั่วโฉบแล่นเร้นแฝงอยู่ในจิตใจ นางจับจ้องทั้งคู่พร้อมแสยะยิ้มเย็นออกมาเล็กน้อย


ณ ปัจจุบัน เป็นระยะเวลากว่าสิบวันแล้วที่เหลียวหวางหรูเฝ้าดูแลเย่หยวน


ภายใต้การดูแลอย่างพิถีพิถันของนาง ในที่สุดเย่หยวนก็ค่อยๆฟื้นขึ้นจากอาการสาหัส

 

 

 


ตอนที่ 1290

 

การพบกันแห่งโชคชะตา

“เจ้าเด็กนี่ ในที่สุดก็ฟื้นสักที!”


เย่หยวนกลับคืนฟื้นสติขึ้นอีกครั้ง ทันทันใดสุ้มเสียงของหวูเฉินก็พลันดังขึ้น


เขาเพิ่งได้สติได้หมาดๆจึงยังไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ในขณะนี้


ทันทีทันใด คลื่นความเจ็บปวดแสนระทมช้ำพลันถาโถมเข้าสู่จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนโดยตรงจนเนื้อตัวถึงกับสั่นเทา


ถึงแม้นจะเจ็บปวดทรมานเพียงใด แต่เขากลับไม่สามารถร้องคร่ำครวญระบายออกได้เลย


ร่างกายของเขาในปัจจุบันเสมือนดั่งว่าทั้งหมดมิใช่ร่างกายของเขาจริงๆ


“ท่านอาวุโสหวูเฉิน? ข้า…ข้ายังไม่ตาย?”


แวบแรกที่ฟื้นคืนสติ เย่หยวนรู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่รอดชีวิตออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์


พลางระลึกถึงหลุมดำอวกาศนั้น เย่หยวนยังคงระทึกขวัญสั่นสะท้านใจจวบจนบัดนี้


ต่อหน้าห้วงพลังอวกาศ เย่หยวนกลับอ่อนแอราวกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง


เขาที่ดึงไพ่ตายทั้งหมดออกมาสำแดงใช้ แต่นั้นก็ยังไม่สามารถต้านทานความรุนแรงของหลุมดำอวกาศได้


แม้กระทั่งตอนนี้เอง ตัวเขาก็ยังไม่เข้าใจเลยว่า ตนรอดชีวิตออกมาได้อย่างไร?


“เราชายชราปรารถนาให้เจ้าตายนัก! เจ้าเด็กนี่มันประมาทใจเกินไป!”


หวูเฉินถึงคราวสบโอกาสก็สบถกล่าวดุทันที


แต่ถึงจะดุเสียงเข้มเช่นนี้ออกไป ทว่าภายในใจลึกๆ เห็นเย่หยวนฟื้นสติกลับมาได้แบบนี้ เขาเองก็แอบโล่งใจอย่างมากเช่นกัน


นอกจากนั้น เขายังไม่คิดไม่ฝันเลยว่า มิเพียงเย่หยวนจะรอดตายออกจากห้วงอวกาศได้ แต่ยังโชคดีมาถึงมหาพิภพถงเทียนได้เป็นผลสำเร็จ!


หากกล่าวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าตามหลักเหตุและผลคงเป็นไปไม่ได้


คำนิยามเดียวที่ทิ้งท้ายคือคำว่า ปาฏิหาริย์


ถึงจะไม่มีทางเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว


เย่หยวนเค้นหัวเราะแห้งด้วยความเก้อเชินและกล่าวว่า


“ท่านอาวุโสอย่าคิดตำหนิข้าเลย หากย้อนเวลากลับไปได้ หนทางอื่นอาจนำมาสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่า!”


หวูเฉินเค้นเสียงเย็นคำโตและมิได้เอ่ยปากกล่าวอันใดอีก


เย่หยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า


“ท่านอาวุโส พวกเรามาถึงมหาพิภพถงเทียนรึยัง?”


หวูเฉินกล่าวตอบทันควัน


“เจ้าก็แค่เด็กที่โชคดีคนหนึ่ง! อาจเป็นความโชคดีทั้งชีวิตของเจ้าแล้ว!”


นี่เท่ากับเป็นคำตอบของหวูเฉินไปโดยปริยาย พวกเขามาถึงมหาพิภพถงเทียนแล้วจริงๆ!


เย่หยวนคาดไม่ถึงเลยว่า ตัวเองจะโชคดีถึงเพียงนี้จริงๆ


“ฮ่าฮ่า! ต้องขอบคุณโชคชะตาโดยแท้! จะว่าไปท่านอาวุโส พวกเรามาถึงที่นี่ได้อย่างไร?”


เย่หยวนเอ่ยถามต่อทันทีอย่างอดสงสัยมิได้


ทันทีที่ได้ยินคำถามของเย่หยวน หวูเฉินเองก็เงียบไปชั่วขณะเช่นกัน


การที่ได้กลับมายังมหาพิภพถงเทียนอีกครั้ง แม้แต่หวูเฉินเองก็ยังรู้สึกดั่งว่ากำลังฝันไป


เย่หยวนสามารถฝ่าห้วงอวกาศมาได้จริงๆ นี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยนึกไม่เคยฝันมาก่อน


ปรากฏว่า เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นสามารถเดินทางข้ามห้วงอวกาศได้สำเร็จ เรื่องราวเช่นนี้มันน่าเกินจริงไปมาก


“หลังจากที่เจ้าหมดสติไป ตัวเจ้าก็ตกลงไปยังใจกลางหลุมดำอวกาศนั้น! แต่ใครจะไปคิดว่า แท้ที่จริงแล้ว ภายในใจกลางหลุมดำอันน่าสะพรึงนั้นกลับเป็นบริเวณที่เงียบสงบปราศจากคลื่นพลังผันผวนใดๆ เจ้าลอยเคว้งอยู่ในหลุมดำอวกาศนานถึงครึ่งปี และด้วยความบังเอิญ ใจกลางหลุมดำกลับเกิดรอยแตกระหว่างมิติขึ้นพอดี เจ้าจึงเดินทางมาถึงมหาพิภพถงเทียนได้อย่างปาฏิหาริย์ แถมยิ่งไปกว่านั้น โชคดียังหล่นทับซ้ำสอง ที่เจ้าได้พบเจอกับสาวใบ้ผู้มีจิตใจเมตตามาคอยดูแลอีก เจ้านี่มันโชคดีจนเกินพรรณนาได้แล้วจริงๆ!”


หวูเฉินกล่าวอธิบาย


เย่หยวนที่ได้ยินแบบนั้นก็ประหลาดใจอย่างมาก เขาไม่คิดเลยว่าตนจะหมดสติไปนานถึงครึ่งปี!


และก็เป็นอย่างที่หวูเฉินกล่าวไว้ เขานี่มันโชคดีจริงๆ!


ล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศโดยไร้สิ้นสติ เขาอาจถูกกระแสพายุที่หลุดรอดเข้ามาฉีกกระชากร่างกายจนแหลกได้ทุกเมื่อ


ไม่เพียงรอดตายออกมาได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เขายังเดินทางมาถึงมหาพิภพถงเทียนแล้วจริงๆ


ในไม่ช้า หวูเฉินก็กล่าวต่อว่า


“แต่ถ้าหากเจ้าไม่ตัดสินใจพุ่งเข้าไปในใจกลางหลุมดำนั้น ปาฏิหาริย์เช่นนี้คงไม่เกิดเช่นกัน! เจ้าหนู เจ้าทำให้เราชายชราผู้นี้ทราบแล้วว่า เรามองเจ้าผิดไปจริงๆ!”


ยิ่งเข้าใกล้หลุมดำอวกาศเท่าไหร่ ความรุนแรงของคลื่นพายุไร้เสถียรก็ยิ่งเพิ่มพูนเป็นทบทวี


ทว่าเย่หยวนกลับหาได้เกรงกลัวไม่ เขาดึงความกล้าทั้งหมดออกมาและกระโจนเข้าไปยังใจกลางหลุมดำโดยไม่ลังเล


นี่มิใช่ว่าเย่หยวนแข็งแกร่งกว่าเซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้า เพียงว่าหากกล่าวในทางกายภาพ ความเร็วในการฟื้นฟูและร่างกายอันแกร่งกร้าวเป็นพิเศษของเย่หยวน นั้นจึงเป็นสาเหตุที่เขารอดชีวิตออกมาได้


เย่หยวนที่มีสองสุดยอดวรยุทธในตำนานของทั้งเผ่ามังกรฟ้าและเผ่าเต่าดำ นั้นต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับปาฏิหาริย์ในครั้งนี้!


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“ท่านอาวุโส แล้วตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? ไฉนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของข้าถึงบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ แถมตัวข้ายังลืมตาขึ้นมาไม่ได้ด้วยซ้ำ! สถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไรกลับมิอาจทราบได้เลย!”


หวูเฉินที่ได้ยินแบบนั้นก็กล่าวเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขายังหมดสติไป ทั้งเรื่องที่เหลียงหวางหรูช่วยเหลือเขา ทั้งยังเฝ้าดูแลเป็นอย่างดีไม่ต่างกาย


ลอยเคว้งท่ามกลางห้วงอวกาศนานถึงครึ่งปี ท้ายที่สุดนี้ร่างกายของเขาก็มาถึงขีดจำกัดที่รับไหว


หากไม่โชคดีเกิดรอยแตกระหว่างมิติจนส่งเขามาที่นี่ บางทีเย่หยวนอาจไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมาอีกเลย


ซึ่งอันที่จริงแล้ว หลายสิบวันก่อน หวูเฉินรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างลับๆ


ทั้งๆที่เขารู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่เขากลับไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย และทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับโชคชะตา


โชคยังดีที่เหลียงหวางหรูนางนี้ปรากฏตัวขึ้นพอดี


ณ ปัจจุบันจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนเสียหายอย่างหนัก จนไม่สามารถถอดจิตออกไปสำรวจภายนอกได้ สามปัจจัยหลักอย่าง พลังปราณ, ร่างกายและจิตวิญญาณของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป


เย่หยวนเร่งตรวจวินิจฉัยตัวเองโดยเร็ว ก่อนมาทราบว่าสภาพของตัวเองในยามนี้มันเลวร้ายขนาดไหน


หลังจากที่เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ ทะเลแห่งจิตใจก็ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์


อย่างไรก็ตาม ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาในตอนนี้กลับแห้งสนิท ยิ่งไปกว่านั้นภายในนี้ยังได้รับความเสียหายใหญ่หลวง เขาไม่สามารถรวบรวมพลังปราณเทวะได้อีกต่อไป


ในส่วนของร่างเนื้อ มันถูกแรงกดดันจากห้วงอากาศเข้าบดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนความสามารถในการฟื้นตัวอ่อนแอลงสุดขั้ว


แม้แต่จะโคจรพลังเพื่อฟื้นฟูร่างกายด้วยวรยุทธมังกรทรราชจุติก็ยังไม่สามารถทำได้


ตั้งแต่ที่กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง เย่หยวนก็ไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้มาก่อน!


อนึ่งสามารถกล่าวได้ว่า เขากลายเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์แล้ว!


“หื้ม? นี่คือ…โอสถศักดิ์สิทธิ์?”


เย่หยวนเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ


เหลียงหวางหรูป้อนโอสถปราณลึกล้ำให้แก่เย่หยวน แต่เนื่องจากเย่หยวนไม่มีพลังปราณเทวะหลงเหลือในร่างกายเลย เขาจึงไม่สามารถดูดซับฤทธิ์โอสถได้เลย สิ่งเดียวที่พอจะทำได้คือ รอให้ฤทธิ์โอสถละลายไปเองตามธรรมชาติ ซึ่งกระบวนการนี้เป็นไปได้ช้ามาก


โอสถปราณลึกล้ำมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสภาพร่างกายของเย่หยวนในปัจจุบัน


แต่เพียงว่า เขาไม่สามารถปลดปล่อยประสิทธิภาพของมันได้อย่างเต็มที่ ได้แต่รอให้ฤทธิ์โอสถค่อยๆย่อยสลายไปเอง ดังนั้นเข่าจึงฟื้นตัวได้ช้ามาก


ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ปนิฐานของเย่หยวนคือการขึ้นกลายเป็นจอมเทพโอสถ และในปัจจุบันเขาก็ก้าวขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า พร้อมกลายเป็นจอมเทพโอสถได้สมใจปรารถนา!


แต่เขากลับไม่รู้เรื่องโอสถศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย!


มาตรได้ว่า เขาจำต้องเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างตั้งแต่ศูนย์ ซึ่งในครั้งนี้มันแตกต่างจากตอนที่อยู่ในดินแดนไร้สิ้นสุดโดยสิ้นเชิง!


นี่เป็นดั่งโลกใบใหม่ที่เขาไม่เคยรู้จัก สภาพแวดล้อมหรือผู้คนเป็นอย่างไร กระทั่งศาสตร์แห่งโอสถที่เขาชำนาญที่สุด เย่หยวนก็ยังไม่ทราบอะไรเลยแม้แต่น้อย!


ดังนั้นแล้ว ทุกสิ่งอย่างที่เขาได้สัมผัสในขณะนี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งแปลกหูแปลกตาทั้งสิ้น


แล้วทันทีที่เย่หยวนทราบว่านี่เป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ มันจะไม่ทำให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร?


นี่คือ…โอสถที่เขาพยายามเสาะหามาทั้งชีวิต!


โอสถศักดิ์สิทธิ์เป็นโอสถในตำนานที่เล่าขานกันมาอย่างยาวนานในดินแดนศักดิ์สิทธิ์!


“เหอะ ก็แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำสุด ยังมีอะไรให้กล่าวถึง?”


หวูเฉินกล่าวสบถขึ้นพร้อมทีท่าสุดคร้านจะใส่ใจ


เย่หยวนหาได้สนใจฟังอีกฝ่ายไม่ ยามนี้เขากำลังหมกมุ่นอยู่กับโลกของตัวเองประหนึ่งเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ เขาพยายามใช้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตนเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของโอสถปราณลึกล้ำชนิดนี้โดยละเอียด แต่ในเวลาต่อมา เขาจำต้องผิดหวังเพราะไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยโดยสมบูรณ์!


เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย!


โอสถศักดิ์สิทธิ์ได้หายสาบสูญไปนานแล้วในดินแดนพฤกษานิรันดร์อย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติก่อนหน้า เย่หยวนก็ไม่เคยเห็นโอสถศักดิ์สิทธิ์มาก่อนสักครั้ง


พอมีบางครั้นบางคราที่เย่หยวนเคยไปอ่านเจอในตำราหรือบันทึกโบราณ เกี่ยวกับชื่อชนิดของโอสถศักดิ์สิทธิ์ แต่ในเรื่องส่วนประกอบรวมไปถึงวิธีหลอมกลั่นกลับมีอธิบายเพียงหยาบๆเท่านั้น


“ท่านอาวุโส ท่านรู้เรื่องโอสถศักดิ์สิทธิ์บ้างหรือไม่? ใช้อะไรหลอมกลั่นบ้าง? แล้วท่านรู้จักวรยุทธหลอมกลั่นหรือไม่? แล้ว….”


ชั่วชณะนี้เอง เย่หยวนเอ่ยปากซักไซ้ไถ่ถามไม่หยุดปาก ทุกสรรพสิ่งอย่างล้วนแปลกใหม่ไปเสียหมด มันแตกต่างจากตอนที่เย่หยวนกลับชาติมาเกิดโดยสิ้นเชิง ในปัจจุบัน ที่แห่งนี้คือโลกใบใหม่ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

 

 

 


ตอนที่ 1291

 

เชิญออกจากเกี้ยวของข้า

ในที่สุดหวูเฉินก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเย่หยวนถึงสามารถบรรลุยอดเต๋าแห่งโอสถได้ แถมยังได้การยอมรับจากเต๋าแห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์อีก


ความบ้าบิ่นของเจ้าเด็กนี่ทำเอาเขาประสาทกินอย่างแท้จริง!


หากกล่าวว่าเหล่านักหลอมโอสถทุกคนล้วนเป็นพวกบ้าชอบหมกมุ่น เย่หยวนคงเป็นยอดคนบ้าในหมู่คนบ้าทั้งปวง!


เย่หยวนใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามเต็มเพื่อพินิจวิเคราะห์โอสถปราณลึกล้ำชนิดนี้ ระหว่างทางเขาพ่นคำถามมากมายกระหน่ำใส่หวูเฉินอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ


อย่างไรก็ตามแต่ ด้วยสภาพของเย่หยวนในปัจจุบัน เขาไม่มีทางหลอมกลั่นโอสถปราณลึกล้ำได้เลย


นอกจากนี้ เขาไม่รู้เรื่องทฤษฎีเกี่ยวกับโอสถศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย แม้จะขึ้นชื่อว่าโอสถเหมือนกัน แต่หลักฐานบางประการกลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ต่อให้มีคนมาวางส่วนประกอบทั้งหมดลงต่อหน้า เขาก็ไม่มีปัญญาไปหลอมกลั่นอะไรเลย


เย่หยวนในตอนนี้เพิ่งจะเริ่มก้าวลงบนเส้นทางแห่งโอสถที่แท้จริงเท่านั้น!


สุดเกินจะทานทนหวูเฉินตะคอกสวนด้วยความหงุดหงิดว่า


“เจ้าจะรีบร้อนหลอมกลั่นโอสถปราณลึกล้ำไปหาสวรรค์วิมารอันใด! หากยังถามไม่เลิกเช่นนี้ เกรงว่าจะได้พิการไปตลอดชีวิต!”


ถูกตะคอกเตือนสติเช่นนี้ เย่หยวนเพิ่งจะมารู้สึกฟื้นตัวและพบว่าที่หวูเฉินกล่าวไปล้วนถูกต้อง


ด้วยสภาพร่างกายดั่งมนุษย์ผักแบบนี้ หากไม่รีบหาหนทางรักษาโดยเร็ว เกรงว่าจะพิการตลอดชีพ


อย่างไรก็แล้วแต่ เย่หยวนเองก็ตระหนักดีว่า ร่างกายของเขาในปัจจุบันค่อนข้างสาหัสเกินเยียวยา พลังปราณเทวะไม่เหลือเลยสักนิดและไม่มีทางหลอมกลั่นโอสถรักษาตัวเองได้


โชคยังดีที่เขายังฟื้นสติขึ้นมาได้ และพยายามซึมซับฤทธิ์โอสถที่ตกค้างอยู่ในร่างกายให้ได้มากที่สุด


แม้วิถีนี้จะแทบมิได้ช่วยให้การดูดซับฤทธิ์โอสถเร็วงขึ้นเท่าไหร่นัก แต่นี่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เลยตามเลย


โอสถปราณลึกล้ำ เป็นถึงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นสูง ประสิทธิภาพของโอสถย่อมสูงมากแน่นอน


หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ในที่สุดเย่หยวนก็พอขยับนิ้วได้บ้าง เขาค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น


สิ่งแรกที่เขาเห็นคือ หญิงสาวนางหนึ่งผู้มีใบหน้างดงามและขาวนวลดุจหิมะ


เหลียงหวางหรูที่กำลังเฝ้าดูแลเย่หยวนอยู่นั่นเอง ยามนี้เห็นว่าเย่หยวนได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว นางเองก็ประหลาดใจมิใช่น้อยพร้อมขยิบตาปริบๆทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน


“หรือ…หรือว่าเจ้าเป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้?”


เย่หยวนเปิดปากกล่าวขึ้น นี่มิใช่การสื่อสารทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แบบที่สนทนากับหวูเฉิน แต่เมื่อพยายามที่จะกล่าวออกมา เขาก็พบว่าทั่วทั้งลำคอของเขาค่อนข้างแห้งกราดประดุจเม็ดทราย


เหลียงหวางหรูที่ได้ยินดังนั้นก็รีบไปนำน้ำดื่มมาป้อนเย่หยวนทันที หลังกระดกดื่มด้วยความกระหายไปยกใหญ่ เย่หยวนก็รู้สึกดึขึ้นเล็กน้อย


“เจ้าเป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้?”


เย่หยวนเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง


เหลียงหวางหรูพยักหน้าตอบ


เย่หยวนตื่นตกลึงเล็กน้อยยามนีกขึ้นได้ว่านางเป็นใบ้


“ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ช่วยเหลือชีวิตข้า! หนี้น้ำใจครั้งนี้ช่างหนักหนา ยามใดที่อาการบาดเจ็บของเย่หยวนคนนี้ฟื้นตัวสมบูรณ์ ข้าย่อมหอโอกาสตอบแทนแม่นางเป็นอย่างดี!”


เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยความจริงใจ


เหลียงหวางหรูเพียงคลี่ยิ้มเล็กน้อยและส่ายหัว


เย่หยวยตระหนักทราบดี นางต้องการจะบอกว่า นางมิใช่ช่วยเหลือเขาเพราะหวังสิ่งตอบแทน


ทว่าในเวลานั้นเอง เหลียงหวางหรงกลับระเบิดเสียงหัวเราะเยาะดังสนั่นจากด้านหลัง นางโพล่งกล่าวขึ้นพร้อมสายตาสุดรังเกียจว่า


“ช่างน่าขันสิ้นดี! ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าถูกทำลายไม่เหลือ ร่างกายก็สาหัสเกินรักษา เป็นแค่คนพิการแท้ๆ แต่ยังกล้าอ้าปากกล่าวสัญญาลมๆแล้งๆ ขยะอย่างแกคนมีแต่แค่พูดจาโอ้อวด! พี่สาวผู้แสนประเสริฐของข้า สุดท้ายก็มีดีแค่สร้างภาระ!”


คู่คิ้วของเย่หยวนขมวดเข้มในบัดดล เขารู้เรื่องของเหลียงหวังหวางหรงมาจากหวูเฉินแล้ว


ในขณะที่เหลียงหวางหรูช่วยชีวิตเขา แต่เหลียงหวางหรงกลับเอาแต่ผลักไสไล่ส่งและสั่งให้ทุกคนในกองคาราวานไม่ต้องไปสนใจพวกเขาทั้งสอง


ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องคู่นี้จะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่นัก


คนหนึ่งช่างมีจิตใจอ่อนโยนและมากเมตตา ในขณะที่อีกคนไม่เพียงชั่วร้ายดุจอสรพิษ แต่ยังมีจิตใจแข็งกร้าวเย็นชาไร้ความมนุษยธรรม


เหลียวหวางหรูเร่งก้มศีรษะให้เย่หยวนเชิงขอโทษขอโพยในทันใด เห็นได้ชัดว่า นางกำลังขอโทษเขาที่น้องสาวของนางทำกิริยาหยาบคายใส่เขา


เย่หยวนถอนหายใจเล็กน้อย เขาเอ่ยกล่าวขึ้นอีกคราโดยเมินวาจาถากถางของเหลียงหวางหรงไปโดยสิ้น


“ท่านมอบโอสถปราณลึกล้ำให้แก่ข้า สักวันข้าจะหลอมโอสถปราณลึกล้ำให้คืน!”


เมื่อเห็นว่าเย่หยวนมิได้แยแสนางแม้สักนิด ยามนี้เหลียงหวางหรงอดโมโหมิได้และโพล่งกล่าวขึ้นด้วยความเดือดดาลขึ้นว่า


“สวะอย่างแกกล้าเมินข้าผู้นี้เชียวรึ! เชื่อหรือไม่ว่า ข้าสามารถเตะเจ้าออกจากกองคาราวานได้ในทันที! คนพิการอย่างแกจะมีปัญญาเอาชีวิตรอดกลางป่ากลางเขาเช่นนี้หรือไม่?”


ยังทันทีที่เย่หยวนจะได้ตอบโต้อะไรกลับ แต่เหลียงหวางหรูก็โพล่งขึ้นหน้าขวางกั้นระหว่างเขากับเหลียงหวางหรง พร้อมสาดสายตาเชิงดุใส่


เจตนาดีที่ต้องการปกป้องเขาของเหลียงหวางหรู เย่หยวนรู้ซึ้งประทับจับใจยิ่ง


ทว่าเหลียงหวางหรงที่เห็นเช่นนั้น นางก็เริ่มหัวเราะคิกคักและกล่าวเย้ยขึ้นว่า


“เฮ้ออ…พี่สาวผู้ประเสริฐของข้า ไม่นึกเลยว่าจะมาตกหลุมรักชายพิการคนนี้? เอ๊ะ…แต่กระทั่งแขนขาก็ยังขยับไม่ได้ ยังเรียกว่าคนได้อีกรึ? กล่าวได้ว่าพี่สาวของข้าพบรักกับเศษขยะก้อนหนึ่ง! หุหุ คนหนึ่งเป็นใบ้ ส่วนอีกคนพิการ นี่มันกิ่งทองใบหยกชัดๆ!”


เหลียงหวางหรงเพิ่งจะมาค้นพบว่า ยิ่งนางกล่าวมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งสะใจมากขึ้นเท่านั้น หลังสิ้นเสียงไป นางก็ระเบิดเสียงหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่ง


ในอีกด้าน เหลียงหวางหรูที่ได้ยินแบบนั้น นางทั้งรู้สึกโกรธและเขินอายในเวลาเดียวกันจนร่างกายบอบบางของนางสั่นเทาไม่หยุด


เพียงว่านางพูดไม่ได้ จึงมิอาจต่อล้อต่อเถียงกับเหลียงหวางรงได้เลย


แต่เสี้ยวอึดใจถัดมา จู่ๆเย่หยวนก็กล่าวขึ้นเสียงลอยว่า


“แม่นางหวางหรูทั้งสวยและใจดี ชายใดได้ครองครู่กับนางนับเป็นพรจากสวรรค์โดยแท้ แต่ถ้าใครได้แม่นางหวางหรงเป็นเมีย… หุหุ…”


เย่หยวนได้แต่แพร่งพรายลากเสียงหัวเราะยาว แต่มิได้กล่าวความสารต่อ


ซึ่งคำว่า‘หุหุ’ของเย่หยวน เผยให้เห็นถึงทัศนคติอันแสนหยามเหยียดสุดจะเปี่ยมล้น


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหลียงหวางหรงโพล่งลุกขึ้นทันทีด้วยความโกรธเกรี้ยว!


นางกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า นางเป็นสาวงามประดุจบุปผาและไม่แพ้เหลียงหวางหรูแน่นอน สถานะของนางในตระกูลเหลียงเปรียบเสมือนเทพธิดาที่ชี้สั่งไม้เป็นไม้ อำนาจอิทธิพลของนางเหนือกว่าไม่รู้กี่เท่าหากเปรียบเทียบกับเหลียงหวางหรู


แต่ไอ้ขยะพิการตัวนี้มันกล้าดูถูกนางจริงๆ!


“ไอ้สวะ! แกกล้าปากเสียกับคุณหนูผู้นี้รึ! ‘หุหุ’นั้นหมายความอันใด?!”


เหลียงหวางหรงลุกขึ้นอาละวาดทันที


เหลียงหวางหรงนางนี้มิใช่คนหัวไวนัก ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกเรื่องของตระกูลเหลียงล้วนเป็นหน้าที่ของแม่ที่คอยจัดการให้


นางใช้อำนาจทุกทางเพื่อบีบบังคับและรังแกพี่สาวของนางตามใจอยาก สำหรับเรื่องนี้ทุกคนในตระกูลต่างทราบดี


หากเหลียงหวางหรงมีปัญหาอันใด นางจะชี้นิ้วสั่งคนรับใช้เพียงอย่างเดียว


ดังนั้น แม้นางจะทราบอย่างชัดแจ้งว่า วาจาคำกล่าวของเย่หยวนกลับหาใช่เจตนาดี แต่นางก็ยังต้องการฟังว่า เขาต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่


เย่หยวนรวนหัวร่อเสียงเย็นกระด้างพลางกล่าวอย่างไม่แยแสว่า


“ก็มิได้หมายความอย่างไร แม่นางหวางหรง…เชิญออกจากเกี้ยวของเย่คนนี้ไปได้แล้ว!”


น้ำเสียงเจือรำคาญแผดดังลั่นออกจากปากเย่หยวน นี่ทำเอาเหลียงหวางหรงเดือดดาลจนเส้นประสาทปูดโปน


ความหมายที่เขาต้องการจะสื่อช่างชัดเจนนัก ตัวนางหาดีแทบไม่ได้แถมยังเป็นรองพี่สาวแทบทุกด้าน บุรุษเพศคนใดได้เป็นเมียคงนึกเสียใจชั่วชีวิต!


ชายพิการคนนี้จงใจเหยียดหยามศักดิ์ศรีของนางชัดๆ!


“แก! แก! ไอ้คนพิการอย่างแกกล้าหยามเหยียดคุณหนูผู้นี้จริงๆ! จางชุน ฆ่าไอ้พิการนี่ทิ้งซะแล้วโยนให้สุนัขกิน!”


เหลียงหวางหรงคุ้นเคยดีกับเรื่องฆ่าฟัน ในสายตาของนาง ชีวิตคนอื่นมีค่าแค่ผักปลา


“เอ่อ…”


จางชุนเอ่ยปากขึ้นอย่างลังเลใจ


จางชุนในยามนี้ปวดเศียรยิ่งเมื่อถูกดึงมาเกี่ยวข้อง เหล่าทหารยามอย่างพวกเขาเป็นเพียงคนรับใช้ในเรือนตำหนัก ปัจจุบัน คุณหนูทั้งสองนางมีเรื่องกัน จึงเป็นเรื่องยากที่เขาถูกจับมาเป็นคนกลางแบบนี้


แม้สถานะของคุณหนูรองจะสูงมากภายในตระกูลเหลียง แต่จางชุนย่อมทราบดี ท่านประมุขตระกูลรักใคร่คุณหนูใหญ่ยิ่งกว่าใคร


จะต้องทำอย่างไร ทำให้ไม่มีฝ่ายใครบาดหมางในตัวเขา?


“ยังจะยืนงงอันใด! จางชุน หรือเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของคุณหนูรองผู้นี้แล้ว?”


เหลียงหวางหรงสาดสายตาใส่จางชุนพร้อมตะคอกใส่อย่างเอาแต่ใจ


ทันทีที่สิ้นเสียง เหลียงหวางหรงยกบาทาขึ้นพร้อมเตะอัดกลางอกจางชุนและเหลียวหวางหรูสุดแรง จนทั้งคู่กระเด็นออกไปโดยตรง


สีหน้าของเย่หยวนมืดทมิฬลงในทันใด พร้อมจิตสังหารที่เริ่มพรั่งพรูปะทุขึ้น


เมื่อเหลียงหวางหรงเห็นแบบนั้น นางพลันแสยะยิ้มชั่วและกล่าวขึ้นเสียงทุ้มเย็นว่า


“ไอ้พิการ แกกล้าเหลือบมองคุณหนูผู้นี้รึ? จงจำไว้เศษขยะอย่างแกไม่มีคุณสมบัติจะเงยหน้ามองใครได้! คุณหนูผู้นี้จะลงโทษแกโดยการควักลูกตาออกดีหรือไม่? นี่นับเป็นความเมตตาแล้ว จงสำนักเอาไว้!”


กล่าวเสร็จสิ้น เหลียงหวางหรงพุ่งตรงเข้าไปบีบคอเย่หยวน พร้อมมืออีกที่ข้างควักมีดพกสั้นออกมาจ่อดวงตาเตรียมควักอย่างอำมหิต คมโลหะสะท้อนเงาวิบวับสว่างจ้า


แม้เย่หยวนสามารถเปิดปากกล่าวได้ แต่เขากลับไม่สามารถขยับเหยื้อนร่างกายได้เลย


เย่หยวนได้แต่นอนรอเตรียมถูกสังหารบนเกี้ยวอย่างสงบนิ่ง


เหลียงหวางหรงกดมีดสั้นเข้าประชิดจ่อแก้วตาเย่หยวน นางแสยะยิ้มแสนน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่พร้อมเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสุดอำมหิตไร้ใจ


“แสงจ้าดีไหม! สว่างดีไหม! อีกสักครู่เจ้าก็จะมองไม่เห็นแสงตะวันอีกตลอดกาล!”

 

 

 


ตอนที่ 1292

 

อับอายเจียนตาย


 


เหลียงหวางหรูตื่นตกใจสุดขีด นางพยายามค้ำยันตัวเองเพื่อลุกขึ้น แต่บาทาที่เตะกลางอกก่อนหน้ากลับไม่เบา นางเจ็บจนไม่สามารถลุกขึ้นมาช่วยได้


เมื่อเห็นว่ามีดสั้นลุจ่อเข้าใกล้แก้วตาของเย่หยวนขึ้นทุกที เหลียงหวางหรูก็ทำอะไรไม่ถูกและเริ่มกรีดร้องน้ำตาคลอด้วยความวิตก


จางชุนและคนอื่นๆได้แต่จ้องมองภาพฉากนี้อยางไร้ประโยชน์ คุณหนูรองขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมเลือดเย็นตั้งแต่ไหนแต่ไร เด็กหนุ่มคนนี้ที่ไปยั่วยุโทสะ นับว่าดวงซวยอย่างแท้จริง


เห็นว่าเหลียงหวางหรูกระวนกระวายแทบบ้า เพราะการกระทำของนาง เหลียงหวางหรงยิ่งรู้สึกสุขใจยิ่งกว่าอะไร


การที่เหลียงหวางหรูเป็นเช่นนี้ คือสิ่งที่นางอยากจะเห็นมากที่สุด


และไอ้พิการนั้นก็ทำให้นางทั้งอับอายและรังเกียจเกินพรรณนา!


 


เหลียงหวางหรงยกมีดสั้นขึ้นและแทงลงตรงกลางแก้วตาเย่หยวนอย่างเลือดเย็น


ทุกคนโดยรอบไม่สามารถทนดูภาพฉากที่โหดเหี้ยมนี่ได้ พวกเขาพลิกหน้าหันไปทางอื่นฉับพลัน


แต่หลังจากที่กลั้นใจรอมาสักพัก กลับไม่มีเสียงร้องของเย่หยวนดังออกมาเลยสักนิด


 


นานเกินผิดสังเกต พวกเขาแต่ละคนจึงค่อยๆเบี่ยงหน้ากลับมามอง


 


ตุบบ!


มีดสั้นร่วงกระแทกพื้นเสียงดัง ทันทีทันใด ไฟสวาทใคร่รักของอิสตรีปะทุขึ้น ทั่วทั้งเรือนร่างของเหลียงหวางหรงร้อนผ่าวเปี่ยมตัณหา


 


พวงแก้มของนางเห่อแดง มือทั้งสองเริ่มลูบไล้ไปบนเรือนร่างของนาง คู่ดวงเนตรสีน้ำตาลแสนยั่วยวนกดมองไปที่จางชุนด้วยความเสน่ห์หา ซึ่งนี่ต่างทำให้ฝูงชนที่มุงดูแตกออกถอยห่างในทันที


ส่วนจางชุนถึงกับขนลุกซู่วไปทั่วอณู


 


“คุณหนูรอง คุณหนู…”


จางชุนรู้สึกได้ตามสัญชาติญาณ นี่มิใช้เรื่องดีแน่แท้ ท่าทีของคุณหนูรองเป็นที่ชัดเจนว่า นางกำลังต้องการอะไรบางอย่างจากตัวเขา!


โดยไม่คิดลังเล คุณหนูรองพุ่งจู่โจมเข้าใส่จางชุนดั่งราชินีเสือสุดกระหายใคร่รัก นางโอบรัดรอบเอวของเขาพร้อมกดศีรษะประทับจูบแสนดูดดื่มอย่างบ้าคลั่ง


 


“พี่ใหญ่ชุน หรงเอ๋อ…หรงเอ๋อแอบชอบท่านมานานแล้ว! ท่าน…ท่านช่วย… ช่วยหรงเอ๋อหน่อยได้หรือไม่? ช่วยให้หรงเอ๋อมีความสุขได้ไหม?”


เสียงหวานละมุนของเหลียงหวางหรงที่แผดดังระทวยข้างหูจางชุน นี่ทำเอาเขาแขนขาอ่อนแรงชั่วขณะ


เหล่าทหารยามคนอื่นๆต่างตื่นตะลึงสุดขีด นี่…ไฉนสถานการณ์ถึงพลิกตาลปัตรเช่นนี้?


หากกล่าวตามตรง เหลียงหวางหรงเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก และด้วยไฟสวาทที่สุมทรวงของนางในปัจจุบัน แล้วจางชุนจะใจแข็งทานทนได้อย่างไร?


เว้นเสียว่าทั้งหมดเป็นเพียงคำล่อลวง


มีพยานรู้เห็นมากมายขนาดนี้ ยามที่กลับไป เขาไม่ถูกประหารทันควันเลยรึ?


 


ทันทีที่คิดได้แบบนั้น สีหน้าของจางชุนพลันซีดขาวทันทีด้วยความกลัว ก่อนจะพยายามผลักไสเหลียงหวางหรงออกไป ทว่านางกลับติดหนึบไม่ไปไหนดั่งลูกสุนัขติดแม่ อ้อมกอดสวาทนั้นมิยอมคลายออกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


 


สถานะของเหลียงหวางหรงในตระกูลเหลียงสูงมาก จางชุนเองก็ไม่กล้าลงไม้ลงมือแรงเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกแบบนี้ ล้วนทำให้ทุกคนแทบจะเป็นบ้า


 


“พวกเจ้ายังจะยืนมองอันใด! ช่วยดึงคุณหนูรองออกไปโดยเร็ว!”


จางชุนขนลุกซู่วยันหนังศีรษะไปหมด ยามนี้เขาไร้ซึ่งอารมณ์ราคะใดต่อหญิงสาวนางนี้ที่ประเคนเรือนร่างถึงหน้าประตูบ้าน ถ้าหากเรื่องนี้ถูกรายงานไปถึงตระกูลเหลียงจนเป็นข่าวอื้อฉาว คนรับใช้อย่างเขาได้ตายแน่นอน


เหล่าทหารยามได้สติขึ้นและรีบตรงเข้ามาแยกเหลียงหวางหรงออกไปทันที


 


เหลียงหวางหรงดิ้นรงสุดแรงเกิด พร้อมฉุดรั้งเสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างจางชุนจนหลุดเละเทะเพื่อเหนี่ยวไม่ไปไหน


โชคยังดีที่เหล่าทหารยามพวกนี้แข็งแกร่งพอ จนท้ายที่สุดพวกเขาก็แยกนางจากจางชุนออกมาได้สำเร็จ


เหลียงหวางหรงในตอนนี้แพรพรรณส่วนบนที่ปกคลุมเรือนร่างเลื่อนหลุดกระจายออกอย่างไร้ระเบีบย จนเผยให้เห็นเนินอกสีขาวนวลดุจหิมะทรงโต สิ่งนี้น่าดึงดูดไม่น้อยสำหรับเหล่าทหารยามจนแขนขาอ่อนระทวยไปตามๆกัน


 


“พี่ใหญ่ชุน หรงเอ๋อชอบท่านจริงๆ!”


แม้จะถูกกลุ่มคนแยกออกมา แต่นางกลับมิได้สนใจและตะโกนเสียงหวานเรียกหาอีกฝ่ายอย่างไม่ลืมหูลืมตา


 


จางชุนรีบใส่เสื้อกลับเข้าที่โดยไว เขาตรงเข้ามาหานางที่ถูกกลัดกลุมอยู่และผสานมือกล่าวด้วยความเคารพว่า


“คุณหนูรอง ชุนคนนี้ต้องขอโทษด้วย!”


เสร็จสิ้นคำกล่าว ชุนก็เอาสันมีดสั้นสับเข้าใส่ต้นคอของเหลียงหวางหรงจนหมดสติไป


จากนั้นจางชุนก็เดินตรงเข้าหาเย่หยวนต่อทันที


หลังเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายในครั้งนี้ ในที่สุดเหลียงหวางหรูก็พยุงตัวเองลุกขึ้นได้


 


เห็นว่าจางชุนกำลังเดินเข้าใกล้เย่หยวน ยามนี้นางเร่งปรีตรงเข้ามาขวางทันที


จางชุนผงะไปที่เห็นแบบนั้น เขาเร่งผสานมือกล่าวว่า


“คุณหนูใหญ่ก็เห็นสภาพของคุณหนูรองแล้ว เจ้าสารเลวนี่โผล่มาจากไหนไม่ทราบ บางทีเขาอาจมิใช่คนดีอย่างที่คิด! คงไม่เป็นการดีที่คุณหนูใหญ่คิดจะปกป้องเขาจริงหรือไม่?”


 


คู่นัยน์ตาไสวงามของเหลียงหวางหรูสั่นระริก นางเหลียวหลังกลับไปมองเย่หยวนที่นอนนิ่งไร้พิษภัย ก่อนจะหันกลับส่งภาษามือให้จางชุน


นางชี้ไปที่เหลียงหวางหรงที่กำลังหมดสติ ความหมายของนางที่ต้องการจะสื่อคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความผิดของเหลียงหวางหรง


 


จางชุนเองก็ทราบดีถึงความหมายที่นางต้องการจะสื่อ แต่จนแล้วจนรอด เขาเป็นแค่คนรับใช้จึงหันหัวโทษเย่หยวน เนื่องจากเขาเป็นคนแปลกหน้าไม่ทราบภูมิหลังอันใดเลย


อย่างไรก็แล้วแต่ เขาก็มิอาจเข้าใจได้ว่า เย่หยวนทำเช่นนี้ได้อย่างไร?


 


ตามที่หวูเฉินอธิบายไป คนเหล่านี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา


แม้พวกเขาจะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่ความแข็งแกร่งโดยพื้นฐานของคนเหล่านี้อยู่ที่อาณาจักรเต๋าลึกล้ำ!


เมื่อเย่หยวนทราบถึงบรรทัดฐานของผู้คนบนมหาพิภพถงเทียน เขาถึงกับสะดุ้งโหย่งด้วยความตะลึง


หวูเฉินเคยกล่าวว่า ระดับพลังของผู้คนในมหาพิภพถงเทียนโดยส่วนใหญ่ เมื่อถือกำเนิดขึ้นมา พวกเขาเหล่านั้นจะได้รับสืบทอดพลังมาจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมาโดยตรง


ตัวอย่างเช่น ถ้าหากทั้งพ่อและแม่เป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ ลูกที่ถือกำเนิดมาอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้าตั้งแต่กำเนิด และยังมีโอกาสเป็นถึงเซียนอาณาจักรเทพถ่องแท้เลยด้วย!


ขึ้นกลายมาเป็นเซียนอาณาจักรเทพถ่องแท้ตั้งแต่กำเนิด ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาดูโลก เด็กเหล่านี้ก็สามารถเทียบชั้นได้กับจอมเทพนิรันดร์แล้ว!


 


กฎแห่งธรรมชาติสุดแหวกแนวแบบนี้ เย่หยวนที่ได้ฟังยังต้องประหลาดใจยิ่งเช่นกัน


หากพ่อแม่เป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า ลูกที่ถือกำเนิดออกมาโดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่อาณาจักรเต๋าลึกล้ำ


กล่าวได้ว่า บนมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ อาณาจักรเต๋าลึกล้ำคือประชาชนทั่วไป!


แต่ถ้าหากในดินแดนพฤกษานิรันดร์ อาณาจักรเต๋าลึกล้ำนับเป็นอาณาจักรพลังระดับสูงสุด ผู้ใดสามารถบรรลุได้คือการดำรงอยู่อันไร้เทียมทาน


 


ถึงกระนั้น อาณาจักรเต๋าลึกล้ำสำหรับมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ กลับเป็นได้แค่‘ประชาชน’ข้างทางทั่วไป!


 


ในบรรดาทหารยามเหล่านี้ มีเซียนอาณาจักรพระเจ้าแค่คนเดียวนั้นคือ จางชุน


ถึงแม้เย่หยวนจะไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายใดๆได้ แต่เขายังมีเนตรสุริยันจันทราเทวะอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับจางชุน เขาจึงต้องหยิบยืมเหลียงหวางหรงมาใช้ให้เป็นประโยชน์


การที่เหลียงหวางหรงออกหน้าลงมือเองเช่นนี้ กลับเป็นเรื่องยากสำหรับจางชุน


 


“เจ้าหนู เจ้าทำอะไรกับคุณหนูรองกันแน่?”


จางชุนซักถามอย่างไม่ยอมแพ้


 


เย่หยวนกล่าวตอบเสียงเรียบกลับไปว่า


“ท่านจาง ท่านเข้าใจอันใดผิดไปหรือไม่? ร่างกายของข้าไม่สามารถขยับได้แม้สักนิด ยิ่งไปกว่านั้น พลังปราณเทวะในกายข้าก็เหือดแห้งไม่เหลือ แล้วข้าจะทำอะไรแม่นางหวางหรงได้อย่างไร? ในความเห็นของข้า แม่นางหวางหรงอาจแอบชอบท่านมาตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ เพียงเก็บความรู้สึกนั้นไว้ตลอดมา? ท่านจางอย่าได้ถ่อมตัวจนเกินไป ท่านเองก็เป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขนานแท้คนหนึ่ง สถานะศักดิ์อยู่เหนือปุถุชนทั่วไป แม้ท่านกับแม่นางหวางหรงจะลงเอยถึงขั้นที่ว่า นับว่านางไม่เสียเกียรติเช่นกัน”


 


สีหน้าการแสดงออกของจางชุนมืดลงทันใด เขาทราบดี เย่หยวนกำลังพร่ามวาจาไร้สาระไปเรื่อย


แต่ที่เย่หยวนกล่าวไปก็มีเหตุผลเช่นกัน


เขาเฝ้าจับตาดูเย่หยวนอยู่ตลอด และมั่นใจว่าทุกการกระทำของเย่หยวนล้วนมิอาจรอดพ้นสายตาเขาได้แน่นอน


เย่หยวนไม่มีพลังปราณเทวะหลงเหลืออยู่ในร่างกายเลย นี่กลับเป็นเรื่องจริงอย่างแม่นยำ


 


แต่สิ่งหนึ่งที่จางชุนมิทราบคือ หลังจากที่เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ พลังของเนตรสุริยันจันทราเทวะเองก็หวนกลับคืนสู่อาณาจักรพระเจ้าด้วยเช่นกันตามธรรมชาติ


ดังนั้นจางชุนจะมองออกได้อย่างไร?


 


“หึ! คิดหรือว่าจะหลอกจางคนนี้ได้? นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครอีกที่กล้าคิดร้ายต่อคุณหนูรอง?”


จางชุนเค้นเสียงเย็นกล่าวขึ้น


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า


“ท่านจาง ท่านเองก็ควรมีมโนธรรมประจำใจเสียบ้าง! ท่านกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของข้า เช่นนั้นมีหลักฐานหรือไม่?”


จางชุนไม่รู้ว่าเย่หยวนมีเนตรสุริยันจันทราเทวะอยู่กับตัว และวิชาเนตรลวงตาแขนงนี้มีเพียงผู้ใช้เท่านั้นทราบตระหนักทราบดี เหลียงหวางหรงที่เป็นแค่มนุษย์ทั่วไปกับคนนอกที่ไม่โดนวิชาเนตรโจมตีใส่ย่อมไม่มีทางรู้ได้แน่นอน


มีเหลียงหวางหรูอยู่ข้างๆแบบนี้ จางชุนเองก็ไม่กล้าทำกิริยาหยาบคายใส่เย่หยวนมากเช่นกัน


 


หลังจากนั้นที่จางชุนเฝ้าตรวจสอบเย่หยวนอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็ได้ข้อสรุปว่านี่มิใช่ฝีมือของเย่หยวน กลับเป็นเหลียงหวางหรงเองที่อาจกินยาผิดสำแดงเข้าไป เช่นนั้นจางชุนจึงทำได้เพียงสะบัดแขนและเดินจากไป


 


ประมาณกลางดึกเห็นจะได้ เหลียงหวางหรงค่อยๆลืมตาตื่นฟื้นสติขึ้น ก่อนสังเกตเห็นว่าเหล่าทหารยามโดยรอบต่างจ้องมองนางด้วยสายตาแปลกๆ


ชั่วแวบต่อมา เหตุการณ์ทั้งหมดก่อนหน้าพลันโฉบแล่นสู่ห้วงความคิด นางจำเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ พลางนึกถึงภาพฉากอันน่าอับอายนั้น พวงแก้มขาวเนียนของนางจู่ๆก็เห่อแดงแทบปริแตก

 

 

 


ตอนที่ 1293

 

สายสัมพันธ์พี่น้อง


 


“ข้า…ข้าจะฆ่าแกไอ้พิการ!”


ภายใต้ความอับอายแสนอัปยศเจือแววอาฆาตสุดขั้วหัวใจ เหลียงหวางหรงควักมีดสั้นเล่มเดิมออกมาพร้อมปราดพุ่งเข้าใส่เย่หยวนโดยมิลังเล


แต่ระหว่างลุไปได้ครึ่งทาง นางพึงสังเกตเห็นว่า เย่หยวนกำลังมองนางประดับรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มอยู่ทั่วใบหน้า


เหลียงหวางหรงนึกตกใจขึ้นกะทันหัน ร่างบางของนางพลันหยุดชะงักทันที สายตาของนางที่ช้อนจับจ้องเย่หยวน ยามนี้กลับเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวไร้สาเหตุ


เหลียงหวางหรงพลันรู้สึกเย็บวาบทั่วแผ่นหลัง สัญชาติญาณแอบบอกนางว่า อย่าเข้าใกล้ชายหนุ่มคนนี้เด็ดขาด


ในระหว่างที่นางโดนวิชาลวงตาไป นางไม่สามารถควบคุมและเข้าใจอะไรได้เลยสักนิด


ณ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดสำหรับนาง


และนางก็มั่นใจอย่างยิ่งว่า เรื่องทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับเย่หยวนแน่นอน!


 


“จางชุน…”


ขณะที่เหลียงหวางหรงกำลังเอ่ยปากสั่งการจางชุนด้วยความเคยชิน ทว่านางกลับนึกถึงภาพฉากอันน่าอับอายก่อนหน้าขึ้นเสียก่อน ยามนี้ใบหน้าของนางค่อยๆเห่อแดงขึ้นอีกครั้ง


ถึงเหลียงหวางหรงจะทราบดี ที่นางแสดงอากัปกิริยาแบบนั้นออกไปล้วนเกิดจากเย่หยวน แต่นางก็ไม่มีหน้าไปสู้จางชุนอยู่ดี


สุดท้ายนี้ไม่มีใครรู้จักตัวตนของเย่หยวนมาก่อน การจะลงมือทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้ากลับมิใช่ความคิดที่ฉลาดนัก ในขณะที่จางชุนเองก็เป็นผู้ใต้บัญชาของนาง หากพลั่งลงมือไป อาจสูญเสียขุมกำลังหลักไป


ด้วยเหตุนี้ นางจึงตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกโดยสมบูรณ์


 


ซึ่งมิใช่นางเพียงคนเดียวที่เป็นแบบนี้ ทั้งชางจุนและทหารยามคนอื่นๆเองต่างก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน


 


สุดท้ายนี้ก็เป็นชางจุนผู้เจนจัดมากประสบการณ์ เขาเอ่ยปากกล่าวขึ้นเพื่อทำลายความอึดอัดนี้ลง


“คุณหนูรอง หนทางเบื้องหน้าคือป่าอสูรลึกลับแล้ว! ในเวลานี้พวกเราขอให้ท่านและคุณหนูใหญ่ร่วมมือสามัคคี เพื่อฝ่าฟันไปถึงจุดหมาย!”


 


เหลียงหวางหรงมิได้สมองขี้เลื่อยจนเกินเยียวยา เมื่อเห็นทางออก นางจึงรีบกล่าวเสริมขึ้นว่า


“อืม เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว!”


 


 


……………..


 


 


หลังจากลงหลักพักผ่อนเสียเล็กน้อย กองคาราวาน็เดินหน้าเข้าสู่ป่าอสูรลึกลับทันที


ป่าอสูรลึกลับแห่งนี้หาใช่สถานที่ปลอดภัยไม่ ภายในนั้นมีอสูรศักดิ์สิทธิ์มากมายซ่อนแฝงดำรงอยู่!


ซึ่งอสูรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ล้วนสูญพันธุ์ไปหมดแล้วในดินแดนพฤกษานิรันดร์ ทว่าบนมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้กลับพบเห็นพวกมันทุกหนทุกแห่ง!


หลังจากเดินทางเข้าสู่ป่าอสูรลึกลับ เย่หยวนสัมผัสได้ว่าจางชุนตื่นตัวขึ้นผิดหูผิดตา


ความอึดอัดเก้อเขินก่อนหน้าอันตรธานหายสิ้น ก่อนถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียดระแวงระวังภัยรอบด้าน


 


โอสถปราณลึกล้ำที่เย่หยวนกลืนลงไปเป็นถึง โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นสูง ประสิทธิภาพค่อนข้างได้ผลดีมากต่อร่างกายเย่หยวน หลายวันผ่านไป ในที่สุดเย่หยวนก็สามารถลงมาเดินเล่นได้แล้ว


แม้เขาจะดูไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเลย แต่อย่างน้อยที่สุดก็สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้แล้ว


 


“แม่นางหวางหรู รบกวนให้เย่คนนี้จับชีพจรสักครั้งได้หรือไม่? เย่คนนี้เป็นนักหลอมโอสถ บางทีอาจเสาะหาหนทางช่วยท่านได้!”


บนเกี้ยวรถม้า เย่หยวนเอ่ยปากกล่าวขึ้นกับนาง


หลายวันที่ได้สนทนากันทำให้นางรู้ว่า เย่หยวนมิใช่คนไม่ดีหรือมีเจตนาแอบแฝงแต่อย่างใด เหลียงหวางหรูเองก็หาได้รังเกียจพร้อมพยักหน้าเชิงว่าอนุญาต


 


หลังจากอ่านชีพจรไปสักครู่ใหญ่ คู่คิ้วเข้มของเย่หยวนก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย


ดูท่าเรื่องนี้กลับมิง่ายอย่างที่คิด เย่หยวนรู้จักแค่เพียงโอสถชั้นสามัญทั่วไประดับหนึ่งถึงเก้า และไม่มีโอสถตัวใดที่เขารู้จักสามารถรักษาอาการของเหลียงหวางหรูได้เลย


หากกล่าวตามหลักเหตุและผล สำหรับคนที่หูหนวกหรือพิการตั้งแต่กำเนิด การจะใช้โอสถเพื่อรักษาให้กลับเป็นคนปกตินั้นมิใช่เรื่องใหญ่เลยในดินแดนพฤกษานิรันดร์


อย่างไรก็แล้วแต่ โครงสร้างทางร่างกายของเหลียงหวางหรูกลับแตกต่างไปจากผู้คนในดินแดนพฤกษานิรันดร์โดยสิ้นเชิง!


 


โครงสร้างและระบบการทำงานภายในร่างกายแบบนี้ จำต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เข้ารักษาเท่านั้น!


แต่เย่หยวนกลับไม่มีความรู้เกี่ยวกับโอสถศักดิ์สิทธิ์เลย!


 


ดูเหมือนคราวนี้ เย่หยวนจะกล่าวโอ้อวดเกินไปจริงๆ


 


ก่อนหน้านี้ เย่หยวนคิดเพียงว่า ตนเคยรักษาคนใบ้จนหายเป็นปกตินัดต่อนัดแล้วในดินแดนพฤกษานิรันดร์ กับแค่เหลียงหวางหรูคนเดียวเป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ทว่ายามนี้ เย่หยวนกระจ่างชัดแจ้ง นี่กลับมิใช่เรื่องง่ายแล้ว


 


“ท่านอาวุโส ตามอาการของแม่นางหวางหรู โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งสามารถรักษาได้หรือไม่?”


ตอนนี้เย่หยวนรู้แล้วว่า จอมเทพนิรันดร์เองก็เป็นอีกหนึ่งที่มีความสามารถในศาสตร์แห่งโอสถที่แกร่งกล้ายิ่ง


ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามแห่งสมบัติเวทย์สวรรค์ประจำกายจอมเทพนิรันดร์ จิตวิญญาณของไข่มุกสยบวิญญาณอย่างหวูเฉินย่อมมีวิชาความรู้ติดตัวมาเช่นกัน


เฉพาะจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าสุดขีดของหวูเฉินเท่านั้น ที่สามารถบรรลุยอดเต๋าแห่งโอสถได้!


 


หวูเฉินกล่าวว่า


“แน่นอนว่ามี! ในความเห็นของข้า เหลียงหวางหรูนางนี้มิได้เป็นใบ้แต่กำเนิด นางน่าจะประสบภัยบางอย่าง จึงส่งผลให้เป็นใบ้พูดไม่ได้อย่างในปัจจุบัน! เป็นถึงลูกหลานของเซียนอาณาจักรพระเจ้า ต่อให้จะเป็นเพียงมนุษย์ทั่วไปที่ไร้พรสวรรค์ แต่ก็ไม่มีทางพิการแต่กำเนิด! ระบบทางร่างกายของนางน่าจะทำงานผิดปกติเท่านั้น แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นต่ำ โอสถส่องปัญญา ก็น่าจะสามารถรักษาได้แล้ว”


 


เย่หยวนกล่าวเสียงเบาด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย


“โอสถส่องปัญญา? เอ่อ…ท่านอาวุโสหวูเฉิน ท่านพอจะทราบวิธีหลอมกลั่นมันหรือไม่?”


โอสถศักดิ์สิทธิ์เพียงชนิดเดียวที่เย่หยวนสามารถหลอมกลั่นได้ในขณะนี้คือ โอสถท้าทายสวรรค์


โอสถส่องปัญญาอะไรนั้น เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน โดยธรรมชาติแล้วมันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะหลอมกลั่น


กลัดกุมศาสตร์แห่งโอสถไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือย่อมต้องเป็นความเข้าใจต่อโอสถชนิดนั้นๆ


นี่คือสองปัจจัยหลักที่มิอาจเว้นขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้!


 


ความเข้าใจในศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนแทบหาผู้ใดทัดเทียมได้ก็จริง แต่ความรู้เกี่ยวกับโอสถศักดิ์สิทธิ์ชนิดต่างๆกลับเท่ากับศูนย์


ก่อนหน้านั้นเอง หวูเฉินก็เอ่ยถึงสมุนไพรวิญญาณอีกหลากหลายชนิด ซึ่งชื่อเหล่านั้นกลับไม่คุ้นหูเย่หยวนเลยแม้แต่น้อย!


 


เย่หยวนกล่าวกับเหลียงหวางหรูขึ้นว่า


“แม่นางหวางหรู ข้ามีข้อสงสัยว่า ท่านพอจะเคยได้ยินชื่อสมุนไพรวิญญาณสามชนิดนี้บ้างหรือไม่ หญ้าเชื่อมผสานใจ, กิ่งไม้เทียนหวัง และบุปผาสามแฉกม่วง?”


 


เหลียงหวางหรูค่อนข้างแปลกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่หลังจากครุ่นพินิจตามอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เดินลงจากเกี้ยวรถม้าพร้อมยกนิ้วชี้ไปยังกล่องไม้กล่องหนึ่ง


 


“นี่คือ…หญ้าเชื่อมผสานใจ?”


ภายใต้คำชี้แนะของหวูเฉิน เย่หยวนจึงทราบถึงความเป็นมาของสมุนไพรวิญญาณภายในกล่องไม้นี้


สมุนไพรวิญญาณชั้นศักดิ์สิทธิ์ หญ้าเชื่อมผสานใจ!


 


ในขณะที่เย่หยวนกำลังยื่นมือออกไปเพื่อหยิบจับหล่องไม้ แต่จู่ๆก็ถูกจางชุนหยุดไว้ระหว่างทาง


 


“เจ้าหนู! เห็นแก่หน้าคุณหนูใหญ่ ข้าจึงไม่ถือสา! แต่สมุนไพรวิญญาณทุกชนิดภายในนี้ล้วนเป็นของที่ท่านประมุขตระกูลสั่งซื้อมา พวกมันมีค่าหาประเมินไม่! หากเจ้ายังคิดสัมผัส ก็อย่าถือโทษว่าจางคนนี้มิสุภาพ!”


น้ำเสียงที่เร้นแฝงคำกล่าวของจางชุนช่างเปี่ยมไปด้วยความรังเกียจ!


ชายหนุ่มพิการคนหนึ่งที่ไม่สามารถรวบรวมพลังปราณเทวะได้ กลับปรารถนาต้องการสมุนไพรวิญญาณชั้นศักดิ์สิทธิ์ แล้วนี่ยังเป็นอะไรได้อีก นอกเสียจากคางคกหวังกินเนื้อหงส์?


นอกจากนี้ สมุนไพรวิญญาณชั้นศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ยังเป็นคลังสำรองสินค้าชุดใหม่ของตระกูลเหลียงที่เพิ่งจะนำเข้ามาเพิ่ม ดังนั้นเขาจะอนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้ามาจับต้องได้อย่างไร


 


เย่หยวนเพียงร่วนหัวเราะเบาๆว่า


“เช่นนี้นี่เอง! เย่คนนี้เสียมารยาทแล้ว!”


กล่าวจบ เย่หยวนหมุนตัวจจากไปและมิได้เหลียวมองหรือสนใจจสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นอีกต่อไป


 


จางชุนที่เห็นแบบนั้นก็แปลกใจใช่ย่อย ใครจะไปคิดว่า เย่หยวนจะกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ


 


แต่เสี้ยวอึดใจทันว่า สีหน้าของจางชุนพลันผันเปลี่ยนในบัดดล เขาตะโกนลั่นขึ้นว่า


“หยุดขบวน!”


 


เหลียงหวางหรงกล่าวขึ้นอย่างงุนงง


“จางชุน เกิดอะไรขึ้น?”


 


สีหน้าการแสดงออกของจางชุนหาได้สู้ดีนัก เขากล่าวเสียงเข้มตอบไปว่า


“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”


 


“อะไรไม่ถูกต้อง? จะมามีปัญหาอะไรตอนนี้?”


เหลียงหวางหรงกล่าวถามสวนตอบไป


 


จางชุนในยามนี้สีหน้าถมึงตึงสุดขีด เขาสังหรณ์ใจไม่ดีเท่าไหร่พลางกล่าวว่า


“มีบางอย่างผิดแปลกออกไป! เท่าที่เคยเดินทางผ่านมา โดยปกติภายในป่าอสูรลึกลับจะไม่เงียบสงบขนาดนี้ พวกเราเพิ่มความระวังเป็นสองทวีเท่า! ภายใต้ถิ่นที่อยู่ของเหล่าอสูรพวกนี้ ยิ่งเงียบเท่าไหร่ก็ยิ่งอันตรายเท่านั้น!”


 


เหลียงหวางหรงทราบดี จางชุนเดินทางผ่านป่าอสูรลึกลับอยู่บ่อยครั้ง ไม่มีใครเชี่ยวชำนาญไปกว่าเขาแล้วในพื้นที่บริเวณนี้


ในเมื่อจางชุนเอ่ยปากกล่าวเช่นนั้น แสดงว่ายามนี้เกิดเรื่องผิดปกติขึ้นจริงๆ


 


ยังไม่ทันสิ้นเสียงของจางชุนดี เบื้องลึกในกอหญ้าสูงตลอดเส้นทางปรากฏเป็นเงามืดเหล่าสิบร่างออกมา ดั่งเพิ่มจำนวนเป็นดอกเห็ด อีกชั่วอึดใจหนึ่ง เงาร่างนับไม่ถ้วนเข้าปิดล้อมพวกเย่หยวนดั่งหมอกควันหนา


ในหมู่พวกมันมีบางตัวครอบครองกลิ่นอายสุดลึกล้ำเกินหยั่งถึงได้ ซึ่งพวกมันคืออสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย!


 


สีหน้าการแสดงออกของจางชุนบิดเบี้ยวแสนน่าเกลียด เขากล่าวด้วยท่าทางสุดเคร่งขรึมว่า


“คุณหนูรอง นี่ควรจะเป็น…ชุมนุมอสูร!”


 


เหลียงหวางหรงถอดสีหน้ายกใหญ่ ถึงไม่นางจะไม่เคยได้ยินเรื่องชุมนุมอสูรมาก่อน แต่นางก็ทราบดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันเลวร้ายขนาดไหน


มีอสูรเถื่อนมากมายเข้าปิดล้อมจากทั่วเนินเขา ต่อให้พวกนางติดปีกบินหนีก็ยังเกรงว่าไม่รอด!


 


 


เหลียงหวางหรงไม่คิดฝันเลยว่า นางจะต้องพบกับสิ่งเหล่านี้จริงๆ


 


วูววว! วูววว! วูววว!


เสียงคำรามของเหล่าสรรพสัตว์แผดร้องกู้ก้องสะท้อนทั่วทั้งป่าอสูรลึกลับ


พวกเขาทั้งหมดถูกเหล่าอสูรพวกนี้จับตายเป็นที่เรียบร้อย!


 


ในเวลานั้นเอง เหลียงหวางหรงปรี่ตรงไปหาเหลียงหวางหรู นางจับมืออีกฝ่ายพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


“พี่ใหญ่ แม้พวกเราจะไม่ค่อยสนิทสนมกันนัก แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ได้ตายร่วมกัน! ทุกสิ่งที่น้องคนนี้ทำลงไป พี่ใหญ่โปรดยกโทษให้ด้วย!”


เหลียงหวางหรูตัวแข็งทื่อในทันใด ดวงเนตรไสวคู่งามของนางพลันสะท้อนแววอ่อนโยนเอ็นดู


อย่างน้อยที่สุด น้องสาวของนางก็ยังรู้สำนึกถึงจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายก่อนตายก็ตาม


นางคาดไม่ถึงจริงๆว่า เหลียงหวางหรงจะมาเห็นแสงสว่างในเวลาเช่นนี้!


 


รอบดวงตาเห่อร้อนขึ้น เหลียงหวางหรูคลี่ยิ้มทั้งน้ำตาพร้อมส่ายหัวเล็กน้อย นางต้องการจะสื่อว่า เรื่องราวที่ผ่านมา นางกลับมิได้ถือสาแม้แต่น้อย


 


เหลียงหวางหรงกุมมือของเหลียงหวางหรูแน่น สีหน้าความรู้สึกผิดเผยให้เห็นอย่างชัดเจน นางกล่าวอย่างสำนึกว่า


“พี่ใหญ่ เรื่องราวทั้งหมดในอดีตล้วนเป็นความผิดของข้า ท่านอย่าเกลียดข้าเลย”


 


เหลียงหวางหรูพยักหน้าตอบทั้งน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ


 


ชวิ้งง…


 


แต่ทันใดนั้นเอง เสียงคมมีดพลันถูกชักออกจากฝัก


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า…. ปฏิกิริยาของอสูรเถื่อนพวกนั้นไวต่อเลือดสดยิ่งกว่าอะไร! พี่สาวผู้ประเสริฐของข้า จงสังเวยชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยน้องคนนี้เสีย! นี่แหละ…ประโยชน์ของสายสัมพันธ์พี่น้อง!”


เหลียงหวานหรงโพล่งกล่าวขึ้นทันทีพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น

 

 

 


ตอนที่ 1294

 

ไฉนพวกท่านช้านัก


 


คมมีดสั้นบาดเข้าเนื้อโดยตรง หนึ่งคมเฉือน ได้ตัดเส้นเลือดสำคัญบริเวณต้นแขนของเหลียงหวานหรูจนเลือดสดพุ่งกระชูดออกมาทันที


แม้อสูรเถื่อนโดยส่วนใหญ่ในบริเวณนี้จะเป็นเพียงระดับเก้า แต่ความโหดเหี้ยมและพละกำลังกลับเหนือกว่าอสูรเถื่อนในดินแดนพฤกษานิรันดร์มาก


ทันทีที่ได้กลิ่นคาวเลือด คล้ายสัญชาตญาณถูกปลุกกระตุ้นหนัก พวกมันกระโจนเข้าใส่เหลียงหวางหรูทันทีอย่างบ้าคลั่ง


เสี้ยวอึดใจนั้นเอง เย่หยวนก็ถึงกับเบิกตาโตด้วยความไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน!


ใครจะไปคิดว่าเหลียงหวางหรงจะหยาบช้าได้ขนาดนี้จริงๆ นี่คืออสรพิษชั่วในดงอสรพิษโดยแท้


กระทั่งพี่สาวแท้ๆของนาง ก็ยังใจอำมหิตโยนนางเป็นอาหารเข้าปากเสือ หวังเพื่อให้ตัวเองรอดออกมา!


 


เหลียงหวางหรงเร่งวิ่งหนีสุดชีวิต ยามนี้นางหนีไปไกลกว่าหนึ่งพันฉื่อเห็นจะได้


 


“จางชุน ไปกันเถอะ!”


 


“คุณหนูรอง เอ่อ…”


 


“อะไร? หรือเจ้ามั่นใจว่าตนสามารถจัดการอสูรเถื่อนพวกนี้ได้?”


 


จางชุนส่ายหัวตอบ ภายใต้ปรากกฎการณ์ชุมนุมอสูร ลำพังเขาแค่คนเดียวกลับไม่มีอำนาจไปต่อกรได้เลย!


 


“เช่นนั้นเจ้ามัวยืนรออันใด? ยัยพี่โง่นั้นยังมีอะไรให้น่าห่วง? มีชะตากรรมตายไปพร้อมกับไอ้เนื้อคู่พิการนั้นไปก็ดีแค่ไหนแล้ว? กลับเป็นยัยพี่โง่มากกว่าที่ต้องขอบคุณข้า!”


เหลียงหวางหรงกล่าวเยาะเย้ยพร้อมเหลือบมองเย่หยวนและเหลียงหวางหรูด้วยความรังเกียจ


ส่วนจางชุนได้แต่ลอบมองทั้งสองด้วยความสงสาร เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และนำกลุ่มทหารยามตีฝ่าออกจากวงล้อมไป


 


ณ ใจกลางดงอสูรเถื่อน ร่างของเย่หยวนและเหลียงหวางหรูถูกเหล่าอสูรเถื่อนที่จ้องทำร้ายบดบังจนมิด


รอยยิ้มสุดท้ายที่แพร่งพรายออกจากมุมปากของเหลียงหวางหรง สื่อความหมายชัดเจนประจักษ์ ‘ในที่สุดหญิงใบ้น่ารำคาญนี่ก็ตายๆไปเสียที!’


 


อย่างไรก็ตามแต่ ถึงพวกเหลียงหวางหรงจะหลุดออกจากวงล้อมด้านในออกมาได้ แต่ก็ยังมีอสูรเถื่อนอีกจำนวนหนึ่งที่ห้อมล้อมอยู่กรอบนอกรอบหุบเขา ซึ่งนี่มิใช่เรื่องง่ายสำหรับจางชุนที่จะพาทุกคนหนีออกไป


 


กลุ่มทหารยามเหล่านี้เข้าสัประยุทธ์ต่อกรอย่างสุดแสนจะเหนื่อยยากตลอดทางยาว ในไม่ช้ากลุ่มของเหลียงหวางหรงก็หนีไปได้ไกลหลายลี้


 


“คุณหนูรอง นี่ไม่ถูกต้อง! ไฉนข้าถึงรู้สึกว่า จำนวนอสูรเถื่อนถึงเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆแทนที่จะลดน้อยลง ด้วยอัตราขนาดนี้กลับไม่สามารถปราบปรามได้หมด!”


จางชุนกล่าวประเมินสถานการณ์สีหน้าเคร่งเครียด


เหลียงหวางหรงที่ได้ยินดังนั้น พลันตระหนักถึงปัญหาในคราวนี้ได้อย่างชัดเจน สีหน้าของนางบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่ง


 


“ไอ้พวกไร้ประโยชน์! ไร้ประโยชน์จริงๆ!! รีบๆหาทางหนีเดี๋ยวนี้! เร็วเข้า! มิฉะนั้นได้ตายกันหมดแน่นอน!”


เหลียงหวางหรงตะคอกใส่ทุกคนอย่างหงุดหงิด


ทุกคนต่างก้มหน้ารับคำไม่แสดงสีหน้าท่าทีอันใด ก่อนจะเข้าผนึกกำลังช่วยกันฝ่าฟันกันออกไป


สมควรยิ่งแล้วที่จางชุนเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้า ตลอดทางจวบจนตอนนี้ไม่มีอสูรเถื่อนระดับเก้าตัวใดสามารถเข้าใกล้เหลียงหวางหรงได้เลย


แต่กระนั้นเอง ด้วยจำนวนที่มากเกินไปของเหล่าอสูรเถื่อน กลับเป็นเรื่องยากที่จะฆ่าพวกมันให้หมด!


 


“โฮกกก!”


เสียงคำรามกึกก้องดังสะท้านเสียขวัญ จางชุนที่สัมผัสได้ถึงบางสิ่งถึงกับถอดสีหน้าซีดเซียวในทันใด


พินิจได้จากแรงกดดันอันน่าเกรงขามขนาดนี้ นี่ต้องเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่ผิดแน่!


 


บูมมมม!


ยังไม่ทันตั้งตัวดี ประกายแสงสายหนึ่งโฉบพุ่งผ่าน จางชุนถูกซัดกระเด็นออกไปโดยตรงพร้อมกระอักพ่นเลือดสีทองคำออกมาคำโต


นี่คือจุดเด่นพิเศษของเซียนอาณาจักรพระเจ้า!


 


“นั้นมัน…เสือดาวเมฆลมกรด!”


จางชุนรีบพยุงตัวขึ้นพร้อมโพล่งอุทานอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


 


เสือดาเมฆลมกรดถูกขนานนามว่าเป็น อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆในป่าอสูรลึกลับ รูปร่างสรีระของมันมิได้ใหญ่โตก็จริง แต่ความเร็วของมันกลับวิปลาสหาที่เปรียบไม่ ความแข็งแกร่งของมันเหนือชั้นกว่านักสู้ในระดับเดียวกันถึงสามเท่าทวี!


นั้นจึงเป็นเหตุว่าทำไม ชางจุนถึงตกใจขนาดนี้


หากจับพลัดจับผลูได้เผชิญหน้ากับมัน โอกาสรอดชีวิตแทบไม่เหลือ!


 


 


สีหน้าการแสดงออกของคนอื่นๆเองต่างเผยความสิ้นหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ พวกเขาไม่มีทางหนีรอดไปจากการไล่ล่าของเสือดาวเมฆลมกรดได้เลยไม่มีวัน!


 


 


จางชุนสูดไอเย็นแช่มลึกสุดขั้วปอด คู่ดวงตาอันมุ่งมั่นพลันหรี่แคบ เขากล่าวขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวว่า


“พวกเจ้าที่เหลือปกป้องคุณหนูรองให้ดี! ข้าจะคอยรับมือมันเอง!”


ความแกร่งกร้าวของเสือดาวเมฆลมกรดน่าครั่นคร้ามอย่างมาก ต่อให้เป็นจางชุนก็นับว่าสัประยุทธ์ดุเดือดสูสี ใครแพ้ใครชนะยากจะเอ่ยบอก


เหล่าทหารยอมที่เหลือเร่งพาเหลียงหวางหรงถอยหนีออกไป โดยมีจางชุนที่คอยรับมือเสือดาวเมฆลมกรดอยู่รั้งท้าย


ระหว่างตีฝ่าพาหนีออกไป เบื้องหน้ายังมีเหล่าอสูรเถื่อนมากมายเข้าสกัดซุ่มโจมตีเป็นระยะ เหล่าทหารยามที่เข้ากลัดกุมศึกเฝ้าป้องกันเป็นด่านหน้า มีทั้งตายทั้งบาดเจ็บสาหัสปะปนกันไป


 


หลังจากสัประยุทธ์กันยกใหญ่ ชางจุนก็เริ่มเสียเปรียบเสือดาวเมฆาลมกรดเข้าไปทุกที จนกระทั่งบัดนี้ เขาแทบหายใจไม่ไหวด้วยซ้ำ ทั่วทั้งร่างกายอาบชโลมเลือดสีทองพร้อมบาดแผลฉกรรจ์เหวอะเละชวนสยอง


เหล่าทหารยามที่ทำหน้าที่ปกป้องเหลียงหวางหรง ยามนี้ถูกพวกอสูรเถื่อนตีกรอบล้อมจับตายอีกครั้ง แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปจากทีแรกคือ จำนวนของพวกทหารยามที่ลดน้อยลงจนแทบไม่เหลือแล้ว


แต่เดิมพวกเขามีกันกว่าหนึ่งร้อยนาย ทว่าตอนนี้เหลือไม่ถึงยี่สิบ


ส่วนคนที่เหลือเองก็แทบไม่มีขวัญกำลังใจให้สู้ต่อ เห็นสหายร่วมเดินทางตายไปคนแล้วคนเล่า พวกเขาต่างสูญสิ้นความหวัง


 


ทว่าขณะที่ทุกคนเข้าตาจน พวกอสูรเถื่อนเหล่านั้นจู่ๆก็หยุดโจมตีไปซะดื้อๆ


แม้แต่เสือดาวเมฆลมกรดก็หยุดเผด็จศึกจางชุนแล้วเช่นกัน


เสื้อผ้าอาภรณ์ของจางชุนเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีทองคล้ำ เฉพาะยามนี้ เขาเร่งกวาดอากาศหายใจหอบถี่ตระหนี่ดังอย่างเหนื่อยจัด


 


ภายใต้การคุมกันของทุกคน เหลียงหวางหรงยังมีสภาพดีกว่าคนอื่นๆเล็กน้อย ซึ่งนั้นก็เล็กน้อยจริงๆ


สภาพของเหลียงหวางหรงในปัจจุบัน เสื้อผ้าแพรพรรณขาดรุ่งริ่ง มีบาดแผลถลอกที่เกิดจากรอยกรงเล็บของพวกอสูรเถื่อยตามเนื้อตามตัว คล้ายคนขอทานอยู่หลายส่วน


 


แม้พวกอสูรเถื่อนเหล่านี้จะหยุดทุกการโจมตีไปแล้ว แต่พวกมันยังคงปิดล้อมไม่ไปไหนเสมือนว่ามิได้มีเจตนาให้ทุกคนหนีไป


 


 


“คุณหนูรอง ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”


จางชุนเอ่ยถาม


 


“ข้ายังไม่เป็นไรนัก จางชุน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


เหลียงหวานหรงยกมือกุมกอดเนื้อตัวที่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัว นางเอ่ยเสียงสั่นอย่างหดหู่สิ้นหวัง


 


จางชุนส่ายหัวและกล่าวว่า


“จางคนนี้เองก็ไม่ทราบ! ปรากฏการณ์ชุมนุมอสูรจะทำให้อสูรทุกตัวตกอยู่ในสภาวะบ้าคลั่ง หากกล่าวตามหลักเหตุและผล มันไม่ควรหยุดโจมตีไปดื้อๆแบบในตอนนี้! ความเป็นไปได้เดียวคือ…ราชาอสูรที่ปกครองป่าอสูรลึกลับแห่งนี้ได้ปรากฏตัวขึ้น!”


ด้วยประสบการณ์ผ่านศึกเป็นตายนับร้อยพัน เขาสามารถคาดเดาสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว


แต่เพียงว่า คำสันนิฐานนี้ต่างทำให้ทุกคนสิ้นหวังเข้าไปใหญ่


แค่เสือดาวเมฆลมกรดตัวเดียวก็ปัญญาของพวกเขาแล้ว นี่ยังมีราชาอสูรเข้ามาสมทบร่วมศึกอีกงั้นรึ? เช่นนี้จะมีโอกาสรอดตายได้อย่างไร?


 


ในตอนนี้ สีหน้าของเหลียงหวางหรงซีดเผือกราวกับกระดาษแผ่นบาง นางไม่ต้องการมาตายอยู่ในที่แบบนี้อย่างชัดเจน ทว่าอย่าน้อยที่สุดก็ยังมีเรื่องดีๆเข้ามาประวิงความรู้สึกของนางได้บ้าง!


สภาพการตายของนางคงไม่น่าอนาจเท่ากับเย่หยวนและพี่สาวของนางแน่นอน!


ชายพิการนั้นคงได้แต่ดิ้นรนรอความตายอย่างเจ็บปวดเกินพรรณนา ในขณะที่พี่สาวใบ้ของนาง ก็ไม่สามารถระบายทรมานออกมาได้แม้แต่คำเดียว


แค่คิดถึงช่วงเวลาสุดแสนทรมานของทั้งคู่ เหลียวหวางหรงก็สะใจยิ่งกว่าอะไร!


 


ตึงง!


 


ตึงง!


 


ตึงง!


 


………


 


 


ป่าเขาลำเนาไพรทั่วทุกสารทิศสั่นสะเทือนคล้ายแผ่นดินไหว ทั้งหมดเกิดจากรอยเท้าที่ลงกระแทกอัดพื้นอันแสนหนักหน่วงชนิดก้าวต่อก้าว


ทั้งอสูรเถื่อนและอสูรศักดิ์สิทธิ์โดยรอบถึงกับเนื้อตัวสั่นเทา ก่อนที่จะลดศีรษะลงกึ่งหนึ่งตามสัญชาตญาณ


บริเวณใดที่ราชาอสูรเคลื่อนผ่าน สรรพสัตว์ทั้งหมดต่างก้มกราบนมัสการด้วยความเคารพ!


 


พญาช้างยักษ์ย่างสามขุมเข้ามาปราดราศีสง่าองอาจเกินต้านทาน มันค่อยๆตรงเข้ามาใกล้ทุกคน


แม้แต่เสือดาวเมฆลมกรดเองยังต้องหลีกทางให้แก่พญาช้างยักษ์เช่นกัน!


 


“นั้น…นั้นมัน…พญาช้างมารสวรรค์! พญาช้างมารสวรรค์ตนนี้เป็นถึงอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นปลาย!”


จางชุนกล่าวขึ้นพร้อมความยำเกรงสุดขีด


สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือ เสือดาวเมฆาลดกรดยังเป็นแค่อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นต้นเท่านั้น


ด้วยเหตุนี้ อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นปลายก็มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นราชาปกครองสรรพสัตว์ในป่าแห่งนี้แล้ว!


จึงไม่แปลกใจอันใด ไฉนอสูรทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ถึงต้องก้มกราบนมัสการกันเลยทีเดียว!


 


“ท่านจางดูนั้นเร็ว! บนหลังพญาช้างมารสวรรค์ ดูเหมือนจะมีใครบางคนกำลังขี่อยู่!”


ทหารยามคนหนี่งโพล่งกล่าวรายงานให้กับจางชุนฟังทันที


จางชุนที่ได้ยินแบบนั้นพลันตื่นตะลึง ก่อนเร่งเหลียวมองไปบนหลังของพญาช้างอย่างอดมิได้ ในสายตาของเขาปรากฏเป็นเงาร่างอยู่สองคน


 


เพียงว่าระยะห่างระหว่างพวกเขากับพญาช้างมารสวรรค์อยู่ไกลเกินไป จึงไม่สามารถมองเห็นร่างทั้งสองอย่างชัดเจนนัก


แต่ไม่ต้องสงสัยเลย มีใครบางคนกำลังขี่พญาช้างมารสวรรค์อยู่จริงๆ!


ภาพฉากนี้สร้างความน่าทึ่งแก่ทุกคนที่พบเห็นยิ่ง!


 


พญาช้างมารสวรรค์เป็นถึงราชาอสูรแห่งป่าอสูรลึกลับแห่งนี้ ขุมพลังความแกร่งกล้าของมันคืออันดับหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร!


เฟ้นหาเหล่าเซียนผู้ไร้เทียมทานภายในเมืองกุยฉาง ก็ยังมีน้อยคนนักที่สามารถเป็นคู่มือของมันได้


ถึงแม้จะใครสักคนที่ทรงพลังกว่าจนสามารถปราบปรามมันลงได้ แต่การจะให้พญาช้างตนนี้ยอมลดศักดิ์ศรีพร้อมให้ขี่หลังแต่โดยดีเช่นนี้ เกรงว่าไม่มีใครสามารถทำได้!


 


เว้นเสียว่า บุคคลนั้นจะเป็นถึงยอดเซียนที่แกร่งกร้าวกว่าหลายสิบขุม จนถึงขั้นที่ว่าพญาช้างมารสวรรค์ตนนี้ยังไม่กล้าตอแย และยอมจำนนแต่โดยดี?


หรือเป็นไปได้ไหมว่า บุคคลทั้งสองที่กำลังขี่หลังมันอยู่จะเป็นการดำรงอยู่ในระดับชั้นนั้นจริงๆ?


 


ทันทีทันใดสีหน้าการแสดงออกของจางชุนดูดีขึ้นหลายส่วน เขากล่าวขึ้นด้วยความอิ่มเอมใจว่า


“คุณหนูรอง บางทีนี่อาจยังมิใช่คราวตายของเรา!”


 


เหลียงหวางหรงตื่นตกตื่นใจยิ่งกว่าใคร นางเข้าใจความหมายที่จางชุนต้องการจะสื่อดี พร้อมรีบตะโกนไปยังทิศทางที่พญาช้างมารสวรรค์ยืนอยู่ เจือแฝงน้ำเสียงสุภาพอยู่หลายส่วน


“ท่านอาวุโส ข้าผู้เยาว์เป็นบุตรสาวตระกูลเหลียงแห่งเมืองกุยฉาง แต่โชคร้ายชะตาไม่เกื้อกูล ระหว่างเดินทางผ่านป่าอสูรลึกลับ พานพบกับพวกอสูรมากมายแห่รุมโจมตี ผู้เยาว์หวังว่า ท่านอาวุโสจะให้การช่วยเหลือ เพื่อตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้ หลังจากกลับไป พวกเราตระกูลเหลียงขอตอบแทนท่านอาวุโสเป็นอย่างดี!”


 


อำนาจอิทธิพลของตระกูลเหลียงในเมืองกุยฉางยังคงเลื่องลือมากชื่อเสียง เหลียงหวางหรงมั่นใจอย่างยิ่งว่า ทันทีที่ผู้อาวุโสสองคนนั้นได้ยินชื่อตระกูลเหลียง พวกเขาจะต้องตรงปรี่เข้ามาช่วยแน่นอน


 


ในขณะเดียวกัน พญาช้างมารสวรรค์ก็ย่างก้าวตรงเข้ามาใกล้ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังสนั่นจากบนหลังพญาช้างอย่างสุดจะอดกลั้น หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นว่า


“ไฉนพวกท่านมาช้านัก? พวกเราขี่ช้างเที่ยวชมนกชมไม้อยู่ตั้งนาน!”

 

 

 


ตอนที่ 1295

 

หวางหรูผู้ใจดี


 


ทั้งเหลียงหวางหรง จางชุนและทหารยามคนอื่นๆต่างเบิกตาโตแทบทะลักถลนออกมา พวกเขาเร่งขยาดขยายสายตาเข้าจับจ้องสองร่างนั้นบนหลังพญาช้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


ทุกคนต่างฉงนใจยิ่ง สายตาของเขามีปัญหาพร่ามัวจนเห็นผิดไปหรือไม่!


สองคนนั้นที่กำลังขี่หลังพญาช้างมารสวรรค์มิใช่ใครอื่นนอกจากเย่หยวนและเหลียงหวางหรูอย่างไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งทุกคนต่างคิดว่าทั้งคู่ถูกรุมกินโต๊ะไม่เหลือซากไปแล้วกลางวงชุมนุมอสูร


เหลียงหวางหรงปวดประสาทปวดเศียรสุดขีด นางไม่คิดเลยว่า ‘ท่านอาวุโส’ที่ตนเพิ่งใครความเคารพไปกลับเป็นเจ้าสองคนนี้!


แต่นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?


สิ่งมีชีวิตที่พวกเขากำลังขี่อยู่เป็นถึงอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นปลาย!


ไอ้สองเศษสวะไร้ค่า มันสามารถปราบปรามให้อสูรศักดิ์สิทธิ์เชื่องได้จริงๆ?


 


 


“นี่…นี่พวกเจ้า เป็น…เป็นไปได้อย่างไร…”


เหลียงหวางหรงรำพึงอื้ออึงภายใต้ลมหายใจอุ่นอย่างแผ่วเบา ความประหลาดใจถูกเขียนอยู่ทั่วทั้งใบหน้า


ไม่เพียงแค่นางคนเดียว จางชุนเองพลันสับสนชั่วขณะ สถานการณ์เช่นนี้ตัวเขากลับไม่เคยพบเจอ พญาช้างมารสวรรค์ทรงพลังน่าเกรงขามยิ่ง กล่าวได้ว่า แค่สาดสายตายิงจิตสังหารเข้าใส่ ผู้คนโดยรอบพลันเสียขวัญไร้เรี่ยวแรงหลบหนี


 


เย่หยวนยกมือทักทายพวกเขาพร้อมท่าทีแจ่มใส เอ่ยปากกล่าวแสนเริงร่าขึ้นว่า


“โอ้? ดูเหมือนว่าข้าจะดันไปขัดเวลาสนุกของพวกท่าน เย่คนนี้ต้องขออภัยจริงๆ เชิญพวกท่านเล่นกับเหล่าอสูรน้อยให้สมใจอยาก พวกเราเพียงผ่านทางมาจึงแวะทักทาย เช่นนั้นขอตัวลา”


 


เหลียงหวางหรงตื่นตกใจยิ่งเมื่อได้ฟัง หากเย่หยวนจากไปทั้งแบบนี้ มีหวังพวกนางตายแน่นอน


 


“ท่านพี่ใหญ่ ข้าเป็นน้องสาวของท่านนะ! หรือเป็นไปได้ไหมที่ท่านจะทนเห็นน้องสาวแท้ๆถูกอสูรเถื่อนพวกนี้รุมฆ่า? ท่านไม่คิดจะทำอะไรหน่อยรึ?”


เหลียงหวางหรงกู่ร้องตะโกนลั่น


เหลียงหวางหรงนางนี้ฉลาดเอาตัวรอดเป็นที่สุด นางทราบดีว่าเย่หยวนไม่มีทางช่วยนางแน่นอน แต่เหลียงหวางหรูกกลับมิใช่!


 


แน่นอน ทันทีที่เหลียงหวางหรูได้ยินแบบนั้น ร่างอรชรสวยของนางพลันสั่นเทาทันทีอย่างใจหายใจคว่ำ นางส้อนสายตาอ้อนวอนเย่หยวน


เพียงเท่านี้ความหมายก็ชัดเจนยิ่งแล้ว


นางต้องการให้เย่หยวนช่วยเหลียงหวางหรง!


 


เย่หยวนถอนหายใจเล็กน้อยอย่างไร้ประโยชน์ นางคนนี้ใจดีเกินไป


ถึงแม้เหลียงหวางหรงจะปฏิบัติกับจนางเช่นนั้น แต่นางก็ยังเลือกที่จะมองข้ามไป


 


อย่างไรก็ตามแต่…เย่หยวนมิได้ใจดีเช่นนั้น


อสรพิษชั่วช้าอย่างนางคนนี้ ถึงช่วยชีวิตไปไม่เพียงมิได้สำนึกบุญคุณแม้แต่น้อย แต่นางอาจก่อปัญหาให้แก่เขาอีกในอนาคต


 


“เหอะ ใช้พี่สาวแท้ๆตัวเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้ตัวเองหลบหนีออกไปได้ คุณหนูหวางหรง ท่านเป็นน้องสาวที่ประเสริฐแท้!”


 


เหลียงหวางหรงขบริมฝีปากบางสวยของนางแน่น ธารน้ำตาสายหนาไหลรินอาบชโลมแก้มเหลือล้น ไม่ว่าใครเห็นภาพฉากนี้ต่างต้องรู้สึกใจอ่อนกันถ้วนหน้า


 


“ท่านพี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว! ข้ารู้ตัวดี ข้ามันชั่วช้า! ณ ขณะนั้นหวางหรงนึกเห็นแก่ตัวชั่วขณะ! จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้ากระทำเรื่องไร้จริยธรรมยิ่งกว่าหมูหมา! ฮึกก..ฮึกก…”


ปล่อยห้วงอารมณ์ไหลตามคำกล่อมจอมปลอมของเหลียงหวางหรง ร่างอรชรบางสวยของเหลียงหวางหรูเริ่มสั่นเทาหนักด้วยความซาบซึ้ง


 


เหลียงหวางหรูนางนี้มีจิตใจอ่อนโยนและความเมตตาไม่รู้จบ นางเอื่อมเรียวมือสีขาวนวลออกมาและดึงแขนเสื้อเย่หยวนเล็กน้อย คู่ดวงเนตรนั่นยิ่งเปี่ยมล้นคำขอร้องอ้อนวอนมากขึ้น


 


ทันทีที่เห็นภาพฉากนี้ เหลียงหวางหรงพลันแสยะยิ้มแอบดีใจอย่างลับๆ


ไอ้พี่โง่คนนี้หลอกใช้ง่ายดายจริงๆ!


เพราะความใจอ่อนของอีกฝ่าย จึงทำให้นางได้โอกาส!


 


เย่หยวนนิ่งสงัดไร้เสียงกล่าวตอบ เหลียงหวางหรูโศกเศร้าระทมใจหนัก นางกระตุกแขนเสื้อเย่หยวนอีกคราก่อนระเบิดน้ำตาออกมาอย่างสุดจะอดกลั้น


 


เห็นเช่นนั้น เย่หยวนมิอาจทนใจแข็งได้อีกต่อไป ถอนหายใจเสียงยาวแผดดัง เขากล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า


“เอาล่ะ หวังว่าท่านจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง!”


เย่หยวนรู้จักและเข้าใจกมลสันดานของมนุษย์เป็นอย่างดี มิได้เป็นสองรองใคร


คนอย่างเหลียงหวางหรง มันเป็นพวกสองหัวเอาแน่เอานอนไม่ได้


ถึงวันนี้นางจะเอ่ยปากขอบคุณ แต่ภายในใจของนางกลับมิได้รู้สึกขอบคุณแม้สักนิด ตรงกันข้าม กลับยิ่งเพิ่มทวีความแค้นให้แก่นางแทน


 


“ขอบพระคุณ! ขอบพระคุณอย่างยิ่ง! ข้ารักพี่เขยที่สุดเลย!”


เหลียงหวางหรงเร่งก้มคำนับรัวๆและโพล่งกล่าวเรียกเปลี่ยนสรรพนามเย่หยวนกลายเป็น‘พี่เขย’ในทันที


 


เย่หยวนได้แต่เย้ยหยันอยู่ภายในใจ เหลียงหวางหรงนางนี้ช่างขี้ประจบเสแสร้ง เป็นหญิงสาวที่หาดีไม่ได้โดยแท้


แถมการแสดงออกนางกลับไม่เนียนตาเงอะงะเสียเหลือเกิน


หากต้องการเสแสร้งให้สมจริงกว่านี้ นางก็ควรปิดบังจิตสังหารที่ส่องสะท้อนออกจากแววตาด้วย นั่นคงจะแนบเนียนกว่ามากจริงหรือไม่?


 


อย่างไรก็ตาม เหลียงหวางหรูกลับดูเชื่อสนิทใจ พร้อมโบกมือให้น้องสาวตนเองด้วยความตื่นเต้น


ยามนี้ทั้งสองกำลังค่อมขี่หลังของพญาช้างอยู่ แม้จะเป็นที่ชัดเจนว่าเย่หยวนเป็นคนควบคุม แต่ภาพฉากนี้กลับเหลือเชื่อเกินจะปักใจสนิท


 


เย่หยวนตะโกนเสียงเย็นสะท้านกึกก้อง


“พวกเจ้าทั้งหมด หลีกทาง!”


ภายใต้คำสั่งของเย่หยวน เหล่าอสูรเถื่อนและอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดโดยรอบต่างเร่งถอยกรูเพื่อเปิดทางให้พวกเหลียงหวางหรงในทันที


 


ทันทีที่เห็นภาพฉากนี้ ลูกตาของจางชุนพลันแทบถลนออกมา!


ในคราแรกเขายังคิดว่า ที่พวกอสูรย่อมจำนนแต่โดยดีก็เพราะพวกมันกลัวพญาช้างมารสวรรค์ แต่ที่ไหนได้ พวกมันทั้งหมดกลับหวาดกลัวในตัวเย่หยวน!


 


แต่…แต่เย่หยวนเป็นเพียงชายพิการที่ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์เสียหายรุนแรง แล้วเขาจะมีทุนรอนอันใดไปขู่ให้อสูรพวกนี้กลัว?


เขาสามารถทำได้อย่างไรกัน?


และที่สำคัญที่สุดคือ ในบรรดาอสูรทั้งหมด แม้แต่เสือดาวเมฆลมกรดและพญาช้างมารสวรรค์ยังต้องเกรงใจในตัวเขา!


นั้นคืออสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองที่แข็งแกร่งที่สุดในป่าอสูรลึกลับ!


 


อย่างไรก็ตามแต่ จางชุนจะไปทราบได้อย่างไรว่า ถึงแม้เย่หยวนในขณะนี้จะอ่อนแอไม่ต่างจากคนธรรดาทั่วไป แต่สายเลือดมังกรที่ไหลเวียนในกายของเขาก็ยังคงอยู่ดี


หวูเฉินเคยกล่าวไว้ว่า เผ่ามังกรไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ยังมีสถานศักดิ์ที่สูงส่งเหนือสิ่งใด แม้กระทั่งในมหาพิภพถงเทียนก็เช่นกัน


 


หลังจากที่เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้สำเร็จ พลังสายเลือดของเขาเองก็พัฒนากลายเป็นระดับพระเจ้าแล้วเช่นกัน


ดังนั้น มีหรือที่พวกอสูรในป่าอสูรลึกลับจะกล้าขัดขืนคำสั่งของเขา?


ไม่มีอสูรตัวใดกล้าคิดตอแยกับเย่หยวนเลยด้วยซ้ำ!


 


แต่เหลียงหวางหรงกลับหลงคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าใครๆและรู้ทันเย่หยวนเป็นอย่างดี ภาพฉากเมื่อครู่ เขาเพียงแสร้งทำเป็นตะโกนออกไปแบบนั้น เพื่ออวดเก่งข่มขวัญต่อหน้านาง ซึ่งนี่กลับเป็นการแสดงที่อ่อนหัดสิ้นดีในสายตาของนาง


 


ในทางตรงกันข้าม จางชุนถึงกับจับจ้องเย่หยวนด้วยความหวาดกลัวแฝงลึกอยู่ภายในใจ


ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่รู้โผล่มาจากไหน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนแล้วก็คือ เขามิใช่คนธรรมดาทั่วไป!


ยิ่งอยู่กันไป เขายิ่งรู้สึกว่า เย่หยวนคนนี้กลับลึกลับเกินหยั่งถึงมากขึ้นเรื่อยๆ


ทั้งๆที่เห็นได้ชัดว่า เย่หยวนไม่สามารถระดมพลังปราณเทวะได้แท้ๆ


แต่การจะข่มขวัญให้เหล่าอสูรทั้งหมดหวาดกลัวได้โดยไม่ใช้พลัง เกรงว่าวิธีเช่นนี้ยังมีอยู่บนผืนพิภพด้วยรึ?


ไม่สิ…บางทีที่จู่ๆป่าอสูรลึกลับแห่งนี้เกิดประจวบเหมาะเกินปรากฏการณ์ชุมนุมอสูรโดยบังเอิญ ทั้งหมดอาจเป็นฝีมือของ…เย่หยวน!


ซึ่งทุกสิ่งที่กล่าวมา ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดก็ยังไม่สามารถทำได้!


 


“จางชุนคนนี้ต้องขอบคุณน้องเย่อย่างยิ่งที่ช่วยชีวิต! ก่อนหน้านี้ที่ข้าเคยแสดงกิริยาไม่ดีใส่หรือวางตัวไม่เหมาะสม จางคนนี้หวังว่าน้องเย่จะไม่ติดใจเอาความและใจกว้างพอให้อภัย!”


จางชุนตรงเข้าคำนับต่อหน้าเย่หยวนทันที และนี่มิใช่การเสแสร้งแสดงละครแต่อย่างใด แต่มันถูกกลั่นออกมาจากใจจริง


ท้ายที่สุดนี้ ตัวตนของเย่หยวนลึกลับเกินไป!


 


เย่หยวนกล่าวตอบอย่างเฉยเมยว่า


“หากต้องการจะขอบคุณ ก็ไปขอบคุณคุณหนูหวางหรูเถอะ หากเป็นข้า ข้าไม่มีทางยื่นมือช่วยเหลือแน่นอน”


 


จางชุนอดสำลักมิได้เมื่อได้ฟัง เขาไม่คิดเลนว่า เย่หยวนจะไม่ไว้หน้าเช่นนี้เลย


แต่ในเวลานี้มันมิได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะพอใจหรือไม่พอใจ เช่นนั้นจางชุนเร่งเบี่ยงทิศพร้อมก้มศีรษะให้เหลียงหวางหรูและกล่าวขอบคุณอีกครั้ง


 


เย่หยวนและเหลียงหวางหรูขี่พญาช้างมารสวรรค์นำกองคาราวานเดินทางต่อในป่าอสูรลึกลับ


ระหว่างทางตลอดมาหลังจากนั้น หลายต่อหลายคนต่างต้องแปลกใจ


เหลียงหวางหรงมิได้เหยียดแขนขาแอบอู้อย่างที่เคยเป็น นางลงมือขึ้นขี่ม้าด้วยตนเองตามหลังพญาช้างพร้อมกับกองทหารยามและกองศพที่บรรทุกมา


ตลอดทางมานี้นางกลายเป็นคนอ่อนช้อยและเชื่อฟังขึ้นมาก หาได้ทำตัวหยิ่งยโสดั่งที่ผ่านๆมา


 


เดินทางมาส่งได้สักระยะ เมื่อถึงเวลาที่พญาช้างมารสวรรค์ต้องกลับประจำถิ่น ก่อนจากกันมันยังโค้งตัวก้มศีรษะให้เย่หยวน ราวกับว่ากำลังทำความเคารพเขาก่อนจากไป


ยามที่ทุกคนพบเห็นภาพฉากนี้ พวกเขาต่างเดาะลิ้นเสียงดังด้วยสีหน้าท่าทางสุดประหลาดใจ


เหตุการณ์แบบนี้ ตลอดชั่วชีวิตพวกเขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน


 


หลายวันต่อมา ในที่สุดเย่หยวนก็ดูดซับฤทธิ์โอสถปราณลึกล้ำโดยสมบูรณ์ แต่เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป จึงทำให้กายเนื้อของเขาถูกฟื้นฟูขึ้นเพียงสี่ถึงห้าจากสิบส่วนเท่านั้น


 


 


และอีกไม่นานเกินรอ กองคาราวางก็เดินทางมาถึงเมืองกุยฉาง!


 


จางชุนผสานมือกล่วากับเย่หยวนขึ้นว่า


“น้องเย่ ที่นี่คือเมืองกุยฉาง ข้าสงสัยว่าหลังจากนี้น้องเย่มีแผนจะเดินทางไปยังที่ใดต่อ?”


 


เย่หยวนเหลียวมองเหลียงหวางหรูและกล่าวว่า


“บุณคุณที่แม่นางหวางหรูช่วยชีวิต เย่คนนี้ยังไม่ทันตอบแทน ขอเสียมารยาทติดตามพวกท่านเข้าไปในตระกูลเหลียงด้วยคนได้หรือไม่?”


แต่เดิม เย่หยวนวางแผนที่จะแยกกับกลุ่มคนพวกนี้ทันทีที่มาถึงเมืองกุยฉาง


สำหรับบุญคุณที่เหลียงหวางหรูช่วยเหลือชีวิตเขา เย่หยวนจำต้องตอบชดใช้ในท้ายที่สุด


 


ในความเป็นจริงแล้ว ที่จางชุนกล่าวเช่นนี้ก็หวังไล่เย่หยวนออกไป ตอนนี้เขาระแวดระวังเย่หยวนเป็นอย่างที่สุด แถมตลอดทางที่ผ่านมา เย่หยวนยังทำเรื่องแปลกใจให้พวกเขาได้เห็นอีกมากมาย เย่หยวนคนนี้เป็นตัวอันตรายเกินไป!


ทว่า เย่หยวนที่เผยเจตนาหวังต้องการเข้าไปในตระกูลเหลียงพร้อมกับพวกเขา จางชุนเองก็สรรหาเหตุผลมาปฏิเสธบอกปัดมิได้เลยเช่นกัน


 


ช่างน่าแปลก เหลียงหวางหรงดวงตาเปล่งประกายทอแสงขึ้นทันควัน ทันทีที่ได้ยินเย่หยนกล่าวแบบนั้น


“เย้! เย้! ตระกูลเหลียงได้พี่เย่เป็นเขย นับเป็นเรื่องน่ายินดี! ในฐานะน้องสาวรอง ข้าจะตอบแทนบุญคุณที่ช่วยเหลือชีวิตข้าไว้เป็นอย่างดี!”


เหลียงหวางหรงคลี่ยิ้มกว้างเห็นดีเห็นงามด้วยทันที


นางคิดแค่ว่า เย่หยวนเป็นเพียงชายพิการที่ปากเก่งไปวันๆ ต่อให้มีแผนการอะไรแอบแฝง นางย่อมรู้ทันอ่านความคิดออกก่อนแน่นอน


เย่หยวนที่เต็มใจเข้ามาในตระกูลเหลียงก็ไม่ต่างอะไรกับเต่าในขวดแก้ว ทว่าในความคิดของจางชุน นั้นกลับเป็นการชักนำหมาป่าเข้าบ้านอย่างแท้จริง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)