Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1280-1287
ตอนที่ 1280
น้ำตาแห่งชีวิต!
“ห้วงอวกาศ?”
เย่หยวนเผยสีหน้าแสนงุนงงไม่แน่ใจว่านั้นหมายถึงสิ่งใด
“ดินแดนพฤกษานิรันดร์เปรียบเสมือนโลกใบเล็กๆที่ถูกขวางกั้นโดยห้วงอวกาศ ไม่สามารถเดินทางเข้าสู่มหาพิภพถงเทียนได้โดยตรง ต่อให้เป็นอาณาจักรเทพถ่องแท้ก็ไม่สามารถขึ้นสู่มหาพิภพถงเทียนได้! ไม่เพียงดินแดนพฤกษานิรันดร์เท่านั้น ดินแดนอื่นๆเองก็ถูกขวางดั้นโดนห้วงอวกาศเช่นกัน! สิ่งที่เรียกว่าห้วงอวกาศนั้น มันคือรูปแบบพลังความผันผวนที่ไร้ความเสถียรโดยสมบูรณ์ คล้ายมิติไร้สภาวะโกลาหลไร้สิ้นสุด”
คุนหวูกล่าวอธิบาย
เย่หยวนตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะกล่าวว่า
“เช่นนั้นแล้ว เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนที่หายตัวไป มีความเป็นไปได้ไหมว่า พวกเขาจะเสาะหาวิธีการเพื่อเดินทางขึ้นสู่มหาพิภพถงเทียน?”
รอยยิ้มเหยียดแสนดูถูกพลันฉีกออกบนมุมปากของคุนหวูทันทีที่ได้ยิน เขากล่าวอย่างไม่แสแยว่า
“เจ้าพวกโง่นั้นเดินทางผ่านประตูผนึกดินแดน แต่ในส่วนที่ว่าพวกเขาเดินทางถึงจุดหมายหรือไม่ เรื่องนี้กลับมิทราบ”
คู่นัยน์ตาของเย่หยวนเบิกกว้างแทบถลนออก ในที่สุดเขาก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดจากปากของคุนหวู
และอีกสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวยิ่งคือ ห้วงอวกาศที่ว่านั้นช่างสะพรึงเกินไป!
เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าในดินแดนพฤกษานิรันดร์เมื่อหนึ่งแสนปีก่อน พวกเขามีจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคน
แม้ในยุคนั้นศาสตร์แห่งสวรรค์จะเสื่อมถอยลงแล้ว แต่ในหมู่พวกเขา เย่หยวนก็มั่นใจว่ายังมีเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าอยู่แน่นอน
ผู้คนเหล่านี้หาใช่ชนชั้นกินเจไม่ แต่คุนหวูที้เรียกแทนพวกเขาว่า‘เจ้าพวกโง่’ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า มีหลายต่อหลายคนที่พลาดท่าสิ้นใจตายลงในระหว่างการเดินทางกลางห้วงอวกาศ!
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ พวกเขาเหล่านั้นต่างเป็นการดำรงอยู่ที่ทรงพลังยิ่งในดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้!
ใครบ้างที่สามารถรอดชีวิตออกจากห้วงอวกาศได้ นั้นกลับไม่ทราบ!
เห็นสีหน้าของเย่หยวนดังนั้น คุนหวูทราบทันทีว่าเย่หยวนกำลังคิดอะไรอยู่พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ตอนนี้ เจ้ายังอยากไปยังมหาพิภพถงเทียนอยู่หรือไม่?”
แววหาญกล้าเจือดื้อรั้นสาดสะท้อนออกจากนัยน์ตาของเย่หยวน เขากล่าวตอบทันทีด้วยความมุ่งมั่นว่า
“ห้วงอวกาศช่างน่ากลัวอย่างแท้จริง! กระนั้นเอง การได้เห็นมู่หลินเสวียตายต่อหน้าต่อตา นั้นไม่มีอะไรน่ากลัวยิ่งกว่าแล้ว! โปรดชี้ทางให้แก่ผู้เยาว์ด้วยเถิด!”
คุนหวูหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ใจกล้าดีไม่น้อย! แต่ห้วงอวกาศนั้นเป็นเพียงบททดสอบแรกเท่านั้น! สิ่งที่เจ้าต้องเผชิญพบกลับยากเย็นแสนเข็ญยิ่งกว่ามาก!”
เย่หยวนสูดไอเย็นเข้าลึกๆและกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ท่านอาวุโสโปรดอธิบาย!”
สีหน้าของคุนหวูดูเคร่งขรึมขึ้นโดนพลัน เขากล่าวว่า
“มีตำนานเล่าขานไว้ว่า บนหุบเขาถงเทียนมีน้ำพุวิเศษชนิดหนึ่งเรียกว่า น้ำตาแห่งชีวิต ซึ่งตามคำบอกกล่าวกันมา น้ำตาแห่งชีวิตได้ไหลลงมาจากยอดเขาถงเทียน ตราบใดที่ยังพอหลงเหลือเศษเสี้ยวจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เพียงได้รับน้ำตาแห่งชีวิตเพียงหนึ่งหยดก็สามารถฟื้นคืนฟื้นได้ทันที! แต่นั้นเป็นเพียงตำนาน ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ส่วนภายในดินแดนพฤกษานิรันดร์ ข้าเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน จึงสันนิษฐานว่าน้ำตาแห่งชีวิตคงไม่มีในดินแดนแห่งนี้”
เมื่อได้ยินคุนหวูกล่าวเช่นนั้น เย่หยวนกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ท่านอาวุโส ถึงผู้เยาว์คนนี้จะต้องบุกน้ำลุกไฟสักเพียงใด ยังไงข้าก็ต้องเข้าไปในหุบเขาถงเทียนให้ได้ ข้าจะต้องเสาะหาน้ำตาแห่งชีวิตมา!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันมุ่งมั่น
ผลจากการกระทำ สรวงสวรรค์ย่อมตอบแทนอย่างซื่อสัตย์! หากเขายังคงมุ่งมานะและไม่ยอมแพ้!
เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งจะต้องได้พบกับน้ำตาแห่งชีวิตแน่นอน!
ทว่าอย่างไร ทันทีที่คุนหวูและหวูเฉินได้ยินคำกล่าวของเย่หยวน ทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยพร้อมเพรียง
ยามนี้ เย่หยวนได้แต่ยืนงงดั่งคนโง่งม และไม่แน่ใจว่าตนกล่าวอะไรผิดไป
หวูเฉินคลี่ยิ้มบางกล่วาตอบว่า
“เด็กน้อย เจ้ายังไร้เดียงสาจริงๆ! ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างยิ่ง! และไม่กลัวตายเลยแม้แต่น้อย! การจะขึ้นสู่หุบเขาถงเทียนมันมิได้ง่ายเหมือนการเสาะหาศาสตร์แห่งสวรรค์ของเจ้า! เมื่อเจ้าถึงมหาพิภพถงเทียน เจ้าจะได้เปิดโลกอันกว้างใหญ่ และอย่างน้อยที่สุด เจ้าจะขึ้นทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันย์พระเจ้าให้ได้เสียก่อน! มิฉะนั้นแล้ว ทันทีที่เจ้าย่างขึ้นสู่หุบเขาถงเทียน เจ้าจะกลายเป็นเศษเนื้อบดทันทีโดยแรงกดดันภายในหุบเขา! ที่สำคัญ เซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้าสามารถเดินขึ้นหุบเขาถงเทียนได้แค่สิบลี้เท่านั้น ไกลกว่านั้นหน่อยก็จำต้องเป็นเซียนอาณาจักรนภาสวรรค์ กระทั้งจอมเทพนิรันดร์ยังเดินทางไปได้เพียงหนึ่งหมื่นลี้เท่านั้น! กว่าเจ้าจะบ่มเพาะฝึกปรือจนขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรเทพสวรรค์ มีเพียงสวรรค์ที่ทรงทราบว่าจำต้องใช้เวลาเนินนานเท่าใด”
สีหน้าเย่หยวนดูเคร่งเครียดชัดเมื่อได้ฟัง ไฉนมันถึงได้ชื่อว่า หุบเขาถงเทียน ยามนี้คิดว่าทราบเหตุผลดีเยี่ยมแล้ว
คุนหวูกล่าวเสริมขึ้นต่อว่า
“ข้าลืมบอกเจ้าไป เก้าจอมเทพเต๋าบรรพกาลนั้นที่ได้ชื่อว่าตรัสรู้เห็นถึงสรรพสิ่ง ยังเดินไปได้แค่หนึ่งล้านลี้เท่านั้น แต่เพราะแบบนั้นจึงทำให้พวกเขาทั้งเก้าขึ้นกลายเป็นจอมเทพอาณาจักรเต๋าบรรพกาลได้! กระนั้นเอง พวกเขาทั้งเก้าก็มิได้พบเห็นน้ำตาแห่งชีวิตในตำนานนั้นเช่นกัน ผู้คนจึงสันนิษฐานกันว่า มีความเป็นไปได้สูงที่น้ำตาแห่งชีวิตจะซ่อนอยู่ในส่วนลึกเกินกว่าหนึ่งล้านลี้แน่นอน! แต่หากเจ้ามุ่งมั่นขนาดนี้ สิ่งแรกที่ควรสนใจคือการบ่มเพาะพลังเพื่อขึ้นกลายเป็นจอมเทพอาณาจักรเต๋าบรรพกาล!”
ทั่วทั้งร่างกายของเย่หยวนสั่นเท่าโดยมิตั้งใจ หากจำไม่ผิดคุนหวูเคยกล่าวไว้ก่อนหน้าว่า ถึงแม้เต๋าของเขาจะยิ่งใหญ่ใด แต่ก็ไม่มีทางขึ้นกลายเป็นจอมเทพอาณาจักรเต๋าบรรพกาลได้เลย!
หากต้องการขึ้นกลายเป็นจอมเทพเต๋าบรรพกาลคนใหม่ จำต้องทรงพลังจนเทียบชั้นได้กับเก้าจอมเทพเต๋าบรรพกาลให้ได้เสียก่อน!
ความยากลำบากชนิดนี้ กล่าวได้ว่าขึ้นสวรรค์ยังง่ายเสียกว่า!
สีหน้าเย่หยวนบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ ทันทีทันใดเขาพลันถอนหายใจเสียวยาว คำบอกเล่านี้ของคุนหวูได้ลดทอนไฟแห่งความมุ่งมั่นของเขาลงไม่น้อย
“ท่านอาวุโส…พอมีวิธีอื่นที่เป็นไปได้หรือไม่?”
เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างไร้หนทาง
คุนหวูกวาดสายตาจับจ้องเย่หยวนพร้อมพยักหน้ากล่าวว่า
“ยังมีอีกสองหนทาง!”
คู่ดวงเนตรไสวส่องประกายขึ้นในทันใด เย่หยวนเร่งโพล่งกล่าวด้วยความดีใจ
“ท่านอาวุโปรดชี้แนะ!”
เจาะลึกในแววตานั้นช่างเปี่ยมไปด้วยแสงแห่งความหวัง
คุนหวูที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่หยุดหย่อน เขากล่าวว่า
“หนทางแรก เจ้าจะต้องไปเชิญหนึ่งในจอมเทพเต๋าบรรพกาลให้ออกโรงช่วยเสาะหาน้ำตาแห่งชีวิต หนทางที่สองคือ เชิญให้จอมเทพเต๋าบรรพกาลมารักษาด้วยตัวเอง! ถึงอย่างไรพวกเขาก็หลอมรวมเป็นหนึ่งกลับเต๋าสรรพสิ่ง นั้นรวมไปถึงเต๋าแห่งชีวิตด้วย ขอเพียงพวกเขาเต็มใจช่วยเหลือสาวน้อยนางนี้ นางก็ยังมีโอกาสรอดตาย! แต่แน่นอน…ทั้งหมดเป็นเพียงการสันนิษฐานของข้า! ส่วนหนทางที่สาม เฮ้ออ…คนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยเห็นในมหาพิภพถงเทียน อย่างมากก็แค่ ยอดเซียนอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ ส่วนเก้าจอมเทพเต๋าบรรพกาลกลับไม่เคยปรากฏตัวมาไม่รู้เนินนานเพียงใดแล้ว ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาทั้งเก้ามาก่อน”
กระจิตกระใจเย่หยวนปั่นปวนไร้ระเบียบ หนทางเหล่านี้กลับไม่ง่ายดั่งที่พูดเลย
สรุปได้ว่า หนทางช่วยชีวิตมู่หลินเสวียมีทั้งหมดสามทางเลือก หนึ่งคือเขาจะต้องเชื้อเชิญจอมเทพเต๋าบรรพกาลให้ช่วยตามหาน้ำตาแห่งชีวิต สอง,เชิญจอมเทพเต๋าบรรพกาลให้มาช่วยรักษานาง และหนทางสุดท้าย….ทำให้ตัวเขาขึ้นกลายเป็นจอมเทพเต๋าบรรพกาลเสียเอง!
แต่นี่…ยังมีความเป็นไปได้อยู่ใช่ไหม?
เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของเย่หยวน คุนหวูกับหวูเฉินพลันสบตากันโดยเร็ว ก่อนที่ทั้งคู่จะถอนหายใจเสียงยาวพร้อมกันอย่างไร้ประโยชน์
พวกเขาทราบดีว่าความรู้สึกของเย่หยวนที่มีต่อมู่หลินเสวียมันจริงใจเพียงใด แต่ว่าจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนางอีกไม่นานจำต้องสลายไปตลอดกาล หนทางทั้งสามที่กล่าวไปกลับไม่มีทางทำสำเร็จได้เลย
“ตัดใจเสียเถอะ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย! อันที่จริงแล้ว หากกล่าวตามสัตย์ ในความคิดของข้า แค่ลำพังเจ้าจะฝ่าห้วงอวกาศไปมหาพิภพถงเทียนยังแทบเป็นไปไม่ได้เลย! อยู่ในดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ต่อไปเพื่อปกป้องดูแลผู้คนเถอะ!”
คุนหวูถอนหายใจพร้อมกล่าวตามความจริง
หลังจากนั้นพักใหญ่ เย่หยวนก็สูดหายใจเข้าลึกๆช้าๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ลง
เห็นเย่หยวนดูสงบสติอารมณ์ลง ยามนี้คุนหวูกับหวูเฉินพลันลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หากเย่หยวนตายลงในระหว่างห้วงอวกาศ นั้นจะส่งผลให้ดินแดนพฤกษานิรันดร์เสื่อมโทรมยิ่งกว่าเก่า
และไม่นานดินแดนพฤกษานิรันดร์จะกลายเป็นดินแดนที่เหี่ยวแห้งลงอย่างรวดเร็ว!
ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองและดินแดนแห่งนี้ก็ใช่ว่าตื้นเขิน พวกเขาคงไม่เต็มใจแน่นอนหากต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น
“ท่านอาวุโส…โปรดบอกทางไปยังประตูผนึกดินแดน!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสายตาอันแน่วแน่
ทั้งคุนหวูและหวูเฉินถึงกับสะดุ้งเฮือก พวกเขาพลันคิดว่าตนได้ยินอะไรผิดไป
สำหรับเส้นทางชีวิตของสาวน้อยนางนี้ เกรงว่าได้สิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์แล้ว ด้วยสภาพของมู่หลินเสวียในตอนนี้ นางสามารถตายได้ทุกเวลา
ในสายตาของเหล่าเซียนแห่งมหาพิภพถงเทียน สิ่งมีชีวิตในดินแดนเล็กๆเหล่านี้เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น!
แม้เย่หยวนจะเป็นถึงผู้ปกครองดินแดนพฤกษานิรันดร์ แต่เขายังคงเป็นสิ่งมีชีวิตระดับต่ำสุดในมหาพิภพถงเทียน!
มหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ กระทั้งมังกรยังต้องขดหางเก็บ!
“เจ้าต้องคิดให้ดีๆก่อน!”
คุนหวูกดเสียงต่ำเอ่ยกล่าวเตือน
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน เขาพยักหน้ากล่าวตอบทันทีว่า
“ข้าตัดสินใจแล้ว! ข้าจะขึ้นกลายเป็นจอมเทพเต๋าบรรพกาลคนที่สิบแห่งมหาพิภพถงเทียน! จากนั้นข้าจะรักษามู่หลินเสวียด้วยตัวเอง!”
ตอนที่ 1281
จักรพรรดิ์เทพสวรรค์จิวชาง
“หยิ่งผยอง!”
“อวดดีเกินไป!”
คุนหวูกับหวูเฉินสวนตอบทันควัน
คำกล่าวแบบนี้มีเพียงคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยเท่านั้นที่สามารถกล่าวออกมาได้
ในมหาพิภพถงเทียน มียอดอัจฉริยะมากมายที่หยิ่งยโสอย่างหาที่เปรียบไม่ แต่พวกเขายังกล่าวเพียงว่า ตนสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรเทพสวรรค์ หรืออย่างมากที่สุดก็แค่ อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์เท่านั้น
ทว่าพลังเหล่านั้นไม่เคยมีใครหน้าไหนหน้าด้านหาญกล้ากล่าวว่า ตนจะขึ้นกลายเป็นจอมเทพเต๋าบรรพกาลเลย!
สายตาที่จับจ้องของเย่หยวนแปรเปลี่ยนไปดั่งโง่งม เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ก็ยังกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ว่า
“คนโง่คนนี้ก็มีดีเช่นกัน! เพราะความหยิ่งผยองจึงพาข้ามาถึงจุดนี้ได้! หากข้าไม่สามารถช่วยชีวิตหลินเสวียได้ ข้ายินดีจมลงสู่หนทางอันมืดมิด!”
สุดท้ายนี้คุนหวูก็ดูสงบลงเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเย่หยวน
เพราะภายในมหาพิภพถงเทียน จอมเทพเต๋าบรรพกาลเปรียบเสมือนการดำรงอยู่อันคงกระพัน
สิ่งที่พอให้พวกเขาเหลียวมองหรือหันมาสนใจได้บ้าง ก็มีแต่การดำรงอยู่ในระดับอาณาจักรเทพสวรรค์ หรือไม่ก็ อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์เท่านั้น
แต่ ณ เวลานี้ คุนหวูสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเย่หยวนได้อย่างชัดแจ้ง
ไม่ว่าหนทางเบื้องหน้าจะโหดร้ายเพียงใด แต่เพื่อช่วยชีวิตผู้เป็นที่รัก เขาไม่มีลังเลแม้แต่น้อย!
“ช่างเถอะ ความรู้สึกของมนุษย์ลึกลับซับซ้อนเกินไป กระทั้งข้าเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ ในเมื่อเจ้าแสวงหาความตายเองเช่นนี้ ย่อมได้…ข้าจะบอกเจ้า! แท้ที่จริงแล้ว ประตูผนึกดินแดนคือจิตวิญญาณผู้พิทักษ์แห่งเผ่าสี่สัตว์เทวะ!”
คุนหวูกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
เย่หยวนตกตะลึงยิ่งเมื่อได้ฟังเช่นนั้น ยามนี้เขาก็ตระหนักถึงจุดประสงค์หลักของข่านนั่วได้ในที่สุด ไฉนมันถึงต้องการจับตัวจิตวิญญาณผู้พิทักษ์พยัคฆ์ขาวไปในตอนนั้น ปรากฏว่ามันต้องการปลดผนึกประตูผนึกดินแดน!
หากย้อนกลับไป อดีตประมุขเผ่ามังกรอย่าง,หลงซานก็ได้นำตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ออกไปจากเผ่ามังกรเช่นกัน หรือนั้นอาจเกี่ยวพันถึงประตูผนึกดินแดนเช่นกัน
นั้นเพียงว่า พวกเขาไม่ทราบถึงการมีอยู่ของห้วงอวกาศอันแสนปั่นปวน
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งท่านอาวุโส! ผู้เยาว์ยังมีธุระบางอย่างต้องสะสาง เช่นนั้นผู้เยาว์ขอลา!”
เพียงร่างเย่หยวนขยับเคลื่อนออก เสี้ยวพริบตาต่อมาเขาก็กลับมาถึงเผ่ามังกรอีกครา
ปรากฏว่าข่านนั่วยังไม่ตายสนิท ยามนี้มันกำลังถูกขังโดยคุกที่เย่หยวนสร้างขึ้น
เย่หยวนมิได้กล่าวอันใดให้มากความ พร้อมตอกตะปูผนึกวิญญาณเจาะทะลวงทั่วทั้งร่างกายของข่านนั่วโดยตรงอย่างเลือดเย็น
“อ๊ากกกกก!!”
เสียงกรีดร้องคร่ำครวญดังสนั่นคล้ายผีร้ายกำลังร่ำไห้สุดเวทนา สุ้มเสียงระงมลั่นของมันทำเอาทุกคนที่อยู่โดยรอบขนลุกเสียวสันหลังวาบทันควัน
“โอ้? จอมราชันย์พิชิตสวรรค์กลับมาตั้งแต่เมื่อใด? แต่ยามนี้สีหน้าของเขาดูดีขึ้นมาก”
“จอมราชันย์เหมันต์ไม่อยู่แล้วด้วย หรือเป็นไปได้ไหมว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์สามารถหาทางช่วยนางได้แล้วจริงๆ! หวังว่าจอมราชันย์เหมันต์จะปลอดภัยดี!”
“ไม่ว่าอย่างไร ไอ้บัดซบข่านนั่วนั้นเตรียมตัวตายได้เลย ไม่สิ…อยากตายเพียงใดคงมิได้สมใจ มันต้องชดใช้กับสิ่งที่ก่อเอาไว้ เตรียมรับความพิโรธของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ได้เลย!”
……………………….
สีหน้าเย่หยวนยังคงเฉยชา พร้อมตะปูดอกแล้วดอกเล่าที่ตอกกระแทกอัดร่างข่านนั่วไม่หยุดหย่อน
ตะปูผนึกวิญญาณทั้งหมดได้ถูกดึงออกจากร่างของมู่หลินเสวียแล้ว ยามนี้ถึงตาของข่านนั่วที่ได้ใช้ต่อ
มีตะปูจำนวนนับไม่ถ้วนรุมตอกเข้ากลางไอหมอกทมิฬสีดำ แท้ที่จริงแล้ว ไอหมอกทมิฬสีดำกลุ่มนี้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจ และจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันก็ยากยิ่งที่จะทำลาย
แม้ข่านนั่วในตอนนี้จะอ่อนแออย่างมาก แต่การจะฆ่ามันก็มิใช่เรื่องง่าย
“ความเจ็บปวดที่หลิงเสวียได้รับ ข้าหวังว่าเจ้าจะได้ลิ้มรสบ้างแล้ว เป็นอย่างไร? อร่อยหรือไม่?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวทีละคำแช่มช้าด้วยน้ำเสียงที่เย็นสุดขั้วหัวใจ
เย่หยวนที่สามารถควบคุมเต๋าแห่งดินแดนนี้ได้ การจะฆ่าข่านนั่วกลับเป็นเรื่องง่ายดายเกินไป
แต่ฆ่าไปทั้งๆแบบนี้ มันจะได้ระบายความเคียดแค้นกี่ก่อตัวภายในใจของเขาได้อย่างไร?
ในปัจจุบัน ผืนแผ่นดินของมวลมนุษย์แทบลุกเป็นไฟจนไม่เหลืออะไรแล้ว
ทั้งมนุษย์และเผ่าอสูรที่ตายลงจากมหาศึกสงครามนี้มีจำนวนมากกว่าพันล้านชีวิต
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากข่านนั่วเพียงคนเดียว!
ผนวกรวมกับความอาฆาตแค้นที่มันฆ่าทั้งพ่อและตัวเขาเองในอดีต ยามนี้ยังทำให้มู่หลินเสวียตกอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายอีก
ความอาฆาตแค้นที่ล้นปรี่กลางทรวงอกของเย่หยวน ช่างมหาศาลเกินพรรณนาไปมาก!
กล่าวได้ว่า หากข่านนั่วมีหมื่นชีวิต เย่หยวนก็จะทรมานทั้งหมื่นชีวิตก่อนฆ่ามันให้ตายอย่างช้าๆ!
“อ๊ากก! เย่หยวน! อภัยให้ข้าด้วย! ข้า…ข้าทนไม่ไหวแล้ว! อ๊ากกก!”
ข่านนั่วร้องห่มร้องไห้ครวญคราญไม่หยุด เสมือนหมูที่กำลังถูกฆ่า ในที่สุดมันก็มิอาจทนพิษบาดแผลได้อีกจนต้องปริปากขอความเมตตาจากเย่หยวน
เบื้องลึกสุดใจในดวงตาของเย่หยวนช่างเปี่ยมไปด้วยเย็นชาอย่างหาที่เปรียบไม่ สำหรับข่านนั่วต่อให้มันจะขอร้องอ้อนวอนขนาดไหน เขาก็ปราศจากความเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย
“ความเจ็บปวดที่เจ้าได้รับยังเทียบไม่ได้แม้แต่ส่วนเดียวที่มู่หลินเสวียได้รับ! นี่ยังเพิ่งเริ่มต้น ก่อนข้าจะออกไปจากดินแดนพฤกษานิรันดร์ ข้าจะทำให้เจ้าได้สัมผัสกับคำว่า…ความสิ้นหวังอย่างแท้จริง!”
เย่หยวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางอันสุดแสนจะเย็นชา
เขาเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าใครในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สำหรับวิธีการทรมานต่างๆที่ส่งผลให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เจ็บปวดรวดร้าวถึงขีดสุด เขาเองก็ย่อมทราบซึ่งง่ายแค่ปลายนิ้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเอง ตอนนี้เขาขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าเต็มตัวแล้ว กระทั้งศาสตร์แห่งสวรรค์หรือเต๋าแห่งดินแดนนี้ก็สามารถควบคุมได้ดั่งใจนึก การจะฆ่าข่านนั่วให้ตายกลับง่ายเกินไป และเขาก็สามารถเล่นกับข่านนั่วได้อีกนานหลายสิบปีจนกว่าจะพอใจ
โดยปกติ ยามใดที่เขาสามารถเอาชนะศัตรูคู่อาฆาตมาได้ เย่หยวนมักจะฆ่าทิ้งทันทีและนั้นคือทั้งหมด
แต่สำหรับข่านนั่วแล้ว มันเป็นกรณียกเว้น!
ความผิดที่ข่านนั่วกระทำลงไปมันมากมายเกินกว่าคำว่าความตายจะรับได้เพียงพอ!
มันต้องทนทุกข์ทรมานและเจ็บปวดยิ่งกว่าความตาย!
เมื่อได้ยินวาจาคำกล่าวของเย่หยวน ร่างไอหมอกจางๆของมันก็พลันสั่นเทาด้วยความกลัวสุดขีด
“เย่หยวน ข้า…ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้ว! ขอ..ขอโอกาส… อ๊ากกกก!!”
“ดี ในเมื่อเจ้ารู้ตัวแล้วว่าผิด เช่นนั้นก็เตรียมใจรับการชดใช้กับสิ่งที่เจ้าก่อขึ้น”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดเมินเฉย พร้อตอกตะปูอัดกลางอกของมันอย่างเฉยเมย
“เจ้า…เจ้า…เจ้าจะต้องตาย! ตายอย่างน่าสยดสยอง! เจ้าคิดจริงๆรึว่า แค่ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ก็สามารถฝ่าห้วงอวกาศอันโกลาหลนั้นได้? อ๊ากกก…!! เจ้า…เจ้าไม่มีทางทำสำเร็จ! เจ้าต้องตาย! อ๊ากกกก!”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก เพราะเจ้าได้ตายก่อนจะได้เห็นข้าตายแน่นอน!”
เย่หยวนทิ้งทวนประโยคสุดท้ายเบาๆ ก่อนเดินจากจุดที่คุมขังข่านนั่วไปอย่างไม่แยแสอันใดอีก
เขาสร้างค่ายกลทรมานข่านนั่วไว้เพื่อต้องการทรมานให้มันตายอย่างช้าๆและทรมานที่สุด
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากข่านนั่วนัก ปรากฏเป็นอิสตรีร่างงามที่กำลังถูกตรึงอยู่กลางอากาศ
หญิงสาวนางนี้คือเยวี่ยจี้อย่างแม่นยำ
เมื่อเปรียบเทียบกับข่านนั่วแล้ว สภาพของเยวี่ยจี้ดีกว่ามาก นางเพียงถูกขังไว้เท่านั้น
เมื่อเห็นเย่หยวนตรงเข้ามาหา แววความกลัวพลันสาดสะท้อนออกจากนัยน์ตาคู่นั้นของเยวี่ยจี้ในบัดดล
นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ในยุคสมัยที่ปราศจากศาสตร์แห่งสวรรค์เช่นนี้ จะมีเด็กหนุ่มที่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้อีกครั้งจริงๆ!
และที่สำคัญกว่านั้นคือ เด็กหนุ่มคนนี้ยังได้การยอมรับจากดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้อีก
เขาสามารถควบคุมเต๋าในดินแดนแห่งนี้ได้ดั่งใจ
อันที่จริงแล้ว ต่อให้เย่หยวนสามารถขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้ แต่ด้วยความแกร่งกร้าวของข่านนั่วที่ผนวกกับลูกประคำแก่นอสูร ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่มีทางพ่ายได้เลย
แต่ภายใต้เต๋าของดินแดนนี้ที่เย่หยวนควบคุมอยู่ ข่านนั่วจึงเสียเปรียบอย่างมาก
“ผลที่ข่านนั่วได้รับ เจ้าเองก็เห็นประจักสายตาแล้ว เอาล่ะ จงบอกจุดประสงค์ที่พวกเจ้าเดินทางมันยังดินแดนแห่งนี้ หากยอมบอกแต่โดยดี ข้าจะส่งเจ้าไปนรกอย่างเบามือที่สุด”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมเสียงอันเย็นยะเยือก
ภายใต้การควบคุมของเย่หยวน พวกมันทั้งคู่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะฆ่าตัวตาย
ดังนั้นการส่งนางไปนรกอย่างเบามือที่สุด นับเป็นความเมตตาอันใหญ่ยิ่งแล้วของเย่หยวน
สุ้มเสียงร้องอันน่าสมเพชของข่านนั่วยังคงดังกรอกหูเยวี่ยจี้ไม่เว้นวาย
สีหน้าการแสดงออดของเยวี่ยจี้ค่อยข้างสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
เย่หยวนเองก็มิได้เร่งเร้าใดๆเช่นกัน เขายังคงยืนรอเงียบๆจนกว่าเยวี่ยจี้จะยอมปริปาก
เพราะเขาทราบดี เยวี่ยจี้จำต้องยอมแพ้ในท้ายที่สุด
ไม่นานเกินรอ ในที่สุดเยวี่ยจี้ก็ยอมปริปากกล่าว
“เรามาที่นี่เพื่อตามหาสมบัติเวทย์สวรรค์อีกสองชิ้นที่เหลือในมือเจ้า แน่นอนว่าระหว่างนั้นเอง พวกเราทั้งคู่ก็บ่มเพาะฝึกปรือไปด้วย เป้าหมายคือทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันย์พระเจ้า!”
เยวี่ยจี้กล่าว
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เยวี่ยจี้พลันเบี่ยงสายตาเข้าจับจ้องเย่หยวนทันทีด้วยความกลัว นางกังวลไม่คลายใจและไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า เย่หยวนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“ใครส่งเจ้ามาที่นี่?”
เย่หยวนเอ่ยถามต่อสั่นๆ
เยวี่ยจี้ปรับขนาดสายตาเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า
“เขา….เขาคือจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชาง!”
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนถึงกับแปรเปลี่ยนไปในท้ายที่สุด
เขาไม่คิดเลยว่า บุคคลที่อยู่เบื้องหลังข่านนั่วกับเยวี่ยจี้ แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์!
ในคราแรก เย่หยวนตั้งใจจะเดินทางเสาะหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งสอง หลังจากที่เขาบ่มเพาะฝึกปรือไปได้ระดับหนึ่ง เขาจะเดินทางไปแก้แค้นทันที
แต่เมื่อทราบตัวการเช่นนี้ ดูท่าเขาจำต้องเลื่อนแผนนี้ออกไปก่อน
“ระหว่างจอมเทพนิรันดร์กับจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชาง ทั้งสองมีความแค้นอันใดกัน?”
เย่หยวนเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
ตอนที่ 1282
มดปลวกตัวน้อยก็โค่นต้นไม้ใหญ่ได้
เยวี่ยจี้กล่าวตอบว่า
“จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์แห่งเผ่าปีศาจที่เพิ่งเลื่อนระดับได้เมื่อล้านปีก่อน หากย้อนกลับไป เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงยิ่งในยุคเดียวกับจอมเทพนิรันดร์และอีกหลายคน พวกเขาทุกคนล้วนปรารถนาว่าสักวันจักต้องขึ้นสู่อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ให้จงได้ ในหมู่พวกเขาเหล่านั้น จักรพรรดิเทพสวรรค์จิงชางและจอมเทพนิรันดร์ต่างเป็นคู่ปฎิปักษ์กันมาตั้งนานแล้ว หลังจากนั้นมา จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางได้รับผลวิญญาณเต๋าจักรพรรดิมาจากดินแดนจักรพรรดิสวรรค์ และทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้โดยตรง!”
สีหน้าของเย่หยวนตกลงทันใด เขากล่าวถามไปว่า
“ดังนั้นจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางจึงกลับไปฆ่าจอมเทพนิรันดร์? แล้วส่งพวกเจ้ามาขโมยสมบัติในดินแดนของเขา?”
เยวี่ยจี้เค้นเสียงหัวเราะอย่างขมขื่นและกล่าวว่า
“ในสายตาของจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชาง พวกเราเป็นได้แค่มดปลวก กระทั่งอาณาจักรราชันย์พระเจ้ายังไปไม่ถึง แล้วมีหรือที่บุคคลระดับจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางจะเรียกหาพวกเราโดยตรง? จอมเทพนิรันดร์มิได้ถูกจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางฆ่าตาย พลังฝีมือของจอมเทพนิรันดร์หาใช่ชนชั้นกินเจ ต่อให้เป็นยอดเซียนอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ยังยากที่จะฆ่าเขาได้เช่นกัน! จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางในตอนนั้นบาดเจ็บสาหัสกลับมา ส่วนที่ว่าใครเป็นคนฆ่าจอมเทพนิรันดร์ เรื่องนี้กลับไม่มีใครทราบ”
จากคำกล่าวของเยวี่ยจี้ เย่หยวนก็พอเข้าใจได้บ้างถึงเรื่องราวภายในมหาพิภพถงเทียน
ดูเหมือนว่ามหาพิภพถงเทียนแห่งนี้กลายเป็นนรกบนดินดีๆนี่เอง กอปรไปด้วยการฆ่าสังหารและฉกฉวยแย่งชิงโอกาสผลกำไรเต็มไปหมด ปรากฏว่า มหาพิภพถงเทียนแห่งนี้โหดร้ายเสียยิ่งกว่าดินแดนพฤกษานิรันดร์มาก
จุดหนึ่งที่เย่หยวนนึกเอะใจคือ หลังจากที่ศึกสัประยุทธ์ระหว่างจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชาง จอมเทพนิรันดร์ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และในตอนนั้นเองเขาก็ถูกลอบสังหารโดยคนโลภบางคนที่ต้องการฉกชิงสมบัติในตัวเขา
อย่างไรก็ตามแต่ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเย่หยวนเลย
เย่หยวนรู้จักจอมเทพนิรันดร์เพียงผิวเผินเท่านั้น และในเรื่องความสัมผัส มันยังห่างไกลเกินไปที่จะออกนามล้างแค้นให้แทนอะไรเทือกนั้น
ที่จอมเทพนิรันดร์สร้างดินแดนพฤกษานิรันดร์ขึ้นมา ทั้งหมดก็เพื่อเก็บรักษาสมบัติเวทย์สวรรค์และเต๋าของตัวเองเท่านั้น ส่วนเย่หยวนก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ได้รับผลพลอยได้ไป
สุดท้ายนี้นี่เป็นเรื่องผลประโยชน์ที่พึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน
เย่หยวนได้รับเต๋าของจอมเทพนิรันดร์ด้วยตนเองโดยที่อีกฝ่ายไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ
ลักษณะการสืบทอดชนิดนี้แตกต่างไปจากหลงเถิงที่ถ่ายทอดวรยุทธเผ่ามังกรให้เย่หยวนเองกับมือ นั้นคือความผูกผันเสมือนศิษย์-อาจารย์
ไม่ว่าจอมเทพนิรันดร์จะตายอย่างไร เย่หยวนก็ไม่มีเหตุอันใดที่ต้องไปช่วยล้างแค้นแทนเขา
แต่เรื่องราวความเดือดร้อนทั้งหมดที่ข่านนั่วและเยวี่ยจี้ก่อนขึ้น ไม่ว่าทั้งคู่จะได้รับคำสั่งมาทางตรงหรือทางอ้อม แต่เบื้องหลังผู้ชักใยตัวหมากทั้งหมดก็คือจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชาง
เย่หยวนมิได้สนใจเลยว่า จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางจจะเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน ต่อให้อีกฝ่ายเป็นถึงจอมเทพเต๋าบรรพกาล เย่หยวนเองก็ต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ได้ในสักวัน!
แค่ว่าหากพินิจมองจากตอนนี้ หนทางยังคงอีกยาวไกลนัก
เย่หยวนมิได้เอ่ยปากกล่าวอันใด เพื่อรอให้เยวี่ยจี้กล่าวต่อให้เสร็จ
“สิ่งที่จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางต้องการที่สุดคือ ไข่มุกสยบวิญญาณ! ดังนั้นเขาจึงสั่งผู้ใต้บัญชาให้ส่งข้ากับข่านนั่วมาในดินแดนพฤกษานิรันดร์ และผลที่ได้คือพวกเราก็พบมันจนได้!”
เยวี่ยจี้กล่าว
คู่สายตาเย่หยวนพลันหรี่แคบคล้ายจับผิด เขากล่าวถามขึ้นว่า
“ในเมื่อจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ แต่ไฉนยังต้องการสมบัติเวทย์สวรรค์ของจอมเทพนิรันดร์อยู่อีก บุคคลระดับชั้นนั้นย่อมมีสมับติล้ำค่าไม่ต่าง?”
เยวี่ยจี้คลี่ยิ้มบางแสนขมขื่นใจและกล่าวว่า
“สมบัติจักรพรรดิสวรรค์ประเภทจิตวิญญาณมันไม่ได้หาได้ง่ายๆเลย ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางเองก็ไม่เคยเห็นบ่อยนัก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไข่มุกสยบวิญญาณ อาจกล่าวได้ว่า มันเป็นสมบัติประเภทจิตวิญญาณระดับแถวหน้าของมหาพิภพถงเทียน! เมื่อผนวกรวมกับสมบัติราชาสวรรค์ชิ้นอื่นๆของจอมเทพนิรันดร์ จึงทำให้เขาสามารถต่อกรกับจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางได้เสมอมา เพียงว่าจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางค่อนข้างโชคดีกว่าอีกฝ่าย เพราะท้ายที่สุดนี้เขาได้เสาะพบผลวิญญาณเต๋าจักรพรรดิและทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้เป็นคนแรกในหมู่พวกเขาทั้งหมด”
เย่หยวนพยักหน้าตอบ ท้ายที่สุดนี้เขาก็พอจะเข้าใจถึงจุดเริ่มต้นและจุดจบของเรื่องราวทั้งหมดว่า เพราะเหตุใดเผ่าปีศาจถึงบุกมารุกรานดินแดนแห่งนี้
“จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางใช่หรือไม่? สักวันหนึ่ง ข้าจะทำให้มันรู้เองว่า มดปลวกตัวน้อยๆคนนี้ก็สามารถโค่นต้นไม้ใหญ่ได้!”
แววตาสาดประกายง้ำลึก จิตสังหารพรั่งพรูออกมาจากกายาเย่หยวนไม่หยุดหย่อน
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ เยวี่ยจี้ถึงกับอึ้งพลางจับจ้องเย่หยวนอย่างมึนงง
คนที่กล้าพูดจาใหญ่โตขนาดนี้ได้ คงมีเพียงชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านางขณะนี้เท่านั้น
ยอดเซียนอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ นับเป็นการดำรงอยู่สูงสุดแห่งมหาพิภพถงเทียนแล้ว แม้กระทั่งจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางที่เพิ่งสำเร็จอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้เพียงล้านปี แต่ขุมพลังความแกร่งกล้ากลับทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นมดปลวกได้ในทันที
………………………..
มหาศึกสัประยุทธ์ครั้งใหญ่ได้ยุติลงแล้ว แต่ผลกระทบที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้รับยังคงปรากฏให้เห็นต่อไปจนชินตา
ดินแดนทั้งหมดของอาณาเขตมนุษย์ถูกทำลายสิ้นไม่เหลือ
เคล็ดสมบัติวิชามากมาย รวมไปถึงสิ่งปลูกสร้างอันเก่าแก่ของดินแดนต่างๆ ล้วนวินาศสิ้น เหลือแค่เพียงความว่างเปล่า
ยอดฝีมือของเผ่ามนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกเปลี่ยนกลายเป็นทาสของเผ่าปีศาจ และพวกเขาทั้งหมดต่างถูกล้างบางจนเหี้ยนโดยฝีมือของเย่หยวน
มวลมนุษย์ที่ยังหลงเหลือได้เดินทางกลับสู่บ้านอีกครั้ง พร้อมกับประสบการณ์อันโหดร้ายที่ยังคงฝังลึกไปอีกนาน
อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นเย่หยวนหาได้กังวลแม้แต่น้อย
จุดเด่นที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์คือการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะสามารถบูรณะภูมิปัญญาต่างๆที่สูญสิ้นกลับมาได้อีกครั้ง
เย่หยวนตรงกลับมายังเผ่ามังกรเพื่อมาพบฟางเทียนและทุกคน
ทันทีที่มาถึง พวกเขาปรี่เร่งเอ่ยถามถึงอาการของมู่หลินเสวียในทันที
เย่หยวนได้แต่ส่ายหัวและกล่าวว่า
“อากการของหลินเสวียยังน่าเป็นห่วงถึงขั้นเลวร้าย ท่านอาวุโส ที่ข้ากลับมาก็เพื่อบอกลาทุกคน! ข้าต้องไปจากดินแดนแห่งนี้แล้ว พี่เต็ง จากนี้ต่อไปเรื่องราวต่างๆภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ต้องรบกวนท่านแล้ว”
คำกล่าวนี้ของเย่หยวนทำเอาทุกคนตื่นตะลึงหนัก
ฟางเทียนถอดสีหน้าเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า
“ข้าทราบแล้ว เจ้าจะออกเดินทางสู่โลกภายนอกใช่หรือไม่?”
เย่หยวนเผยสีหน้าแปลกใจทันควัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ดูเหมือนว่าท่านอาวุโสจะทำนายเรื่องนี้มาแล้ว! ในความเป็นจริง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เราอยู่อาศัยกันเป็นเพียงโลกเล็กๆใบหนึ่งเท่านั้น เหล่าเซียนจากโลกภายนอกเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า ดินแดนพฤกษานิรันดร์! ภายนอกยังมีมหาพิภพกว้างใหญ่ไพศาล! เพื่อช่วยหลินเสวีย ข้าจำต้องไป!”
แม้ฟางเทียนจะพอทำนายมาได้บ้างแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากปากเย่หยวน เขาเองก็ยังตกใจอย่างมาก
“เย่หยวน ยามนี้พลังของเจ้าอยู่ในระดับชั้นใด? ดูเหมือนว่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าทั่วไปยังอ่อนด้อยกว่าเจ้ามาก!”
ฟางเทียนสูดไอเย็นแช่มลึกพร้อมกล่าวถามขึ้น
เมื่อคนอื่นๆได้ยินเช่นนั้นก็อดเงี่ยหูฟังมิได้โดยพลัน
นี่เป็นคำถามที่ทุกคนต่างให้ความสนใจยิ่ง!
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“ปัจจุบัน ข้าอยู่เพียงอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น ที่ข้าแข็งแกร่งเป็นพิเศษก็เพราะยามนี้ข้าเปรียบเสมือนผู้ปกครองดินแดนพฤกษานิรันดร์จึงสามารถควบคุมเต๋าได้”
“ฟู่วว…”
ทุกคนล้วนพรูลมหายใจแรงไม่หยุดหย่อน เรื่องนี้มิได้ยากเกินเข้าใจเลย
เย่หยวนมีสถานะเปรียบเสมือนผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ นั้นหมายความว่า จักรพรรดิดินแดนศักดิ์สิทธิ์รุ่นปัจจุบันก็คือเขาอย่างแม่นยำ!
กล่าวได้ว่า เย่หยวนคือพระเจ้าผู้ไร้เทียมทานแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์!
พระเจ้าผู้อยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งมวล!
หากระลึกย้อนกลับไปถึงเส้นทางการเติบโตของเย่หยวนตั้งแต่อดีต เรื่องนี้ดั่งว่าฝันไป
“ถ้าเช่นนั้น…พวกเรายังพอมีหวังที่จะบรรลุอาณาจักรพระเจ้าบ้างหรือไม่?”
เต็งหยุนเอ่ยถามขึ้นด้วยความวิตกกังวล
คำถามนี้เป็นตัวแทนของทุกคนอย่างแท้จริง
ในเมื่อเย่หยวนสามารถบรรลุอาณาจักรพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว…พวกเขาจะสามารถบรรลุได้บ้างหรือไม่?
ทว่าเย่หยวนกลับส่ายหัวและกล่าวว่า
“ข้าได้สร้างศาสตร์แห่งสวรรค์ขึ้นภายในกายตัวเองด้วยเต๋าแห่งโอสถ จึงทำให้ข้าสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นได้ และอีกประการคือ เพราะข้าได้การรับยอมจากเต๋าในดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ จึงอนุญาตให้ข้าขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ สำหรับพวกท่านในตอนนี้ เกรงว่ายังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้”
เมื่อได้ยินคำตอบจากปากเย่หยวน สีหน้าทุกคนต่างเผยให้เห็นถึงความผิดหวังอย่างชัดแจ้ง
เย่หยวนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า
“แต่มันสำหรับแค่ตอนนี้เท่านั้น! ตราบใดที่ข้าสามารถออกเดินทางสู่โลกภายนอกได้สำเร็จ และแกร่งกล้ามากขึ้น ในอนาคตข้าจะเสาะหาทุกวิถีทางเพื่อทำให้ดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ให้กำเนิดศาสตร์แห่งสวรรค์อีกครั้ง! เมื่อถึงเวลานั้น พวกเจ้าทุกคนจะสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้แน่นอน!”
เพียงประโยคนี้เพียงประโยคเดียว ก็ต่างทำให้ทุกคนตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
เว้นเสียแต่ฟางเทียนที่รู้สึกผิดสังเกตและตระหนักได้ถึงความผิดปกติจากคำพูดของเย่หยวน
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็แยกย้ายกลับไปกัน เหลือเพียงฟางเทียนและเย่หยวนเท่านั้นในห้องโถงกว้าง
ฟางเทียนกล่าวขึ้นว่า
“เย่หยวน จงกล่าวโดยสัตย์จริงเถอะ การจะเดินทางออกไปโลกภายนอกคงมิได้ราบรื่นเลยจริงไหม?”
เย่หยวนยิ้มอย่างรู้ทัน เขาทราบแต่แรกแล้วว่า ไม่มีความลับใดที่สามารถซ่อนจากฟางเทียนได้มิด ดังนั้นเขาจึงเริ่มอธิบายถึงเรื่องห้วงอวกาศและภาพรวมทั้งหมดของดินแดนต่างๆ รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าทั้งหมดหายตัวไปชั่วข้ามคืนเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน
ฟางเทียนสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจเมื่อได้ฟัง เขาตระหนักทราบทันทีว่า ห้วงอวกาศนี้มันอันตรายเพียงใด
“ไม่มีทาง! กระทั้งเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้านับร้อยยังพลาดท่าตายในห้วงอวกาศนั้น! แล้วตัวเจ้าเพียงคนเดียวจะมีปัญญาฝ่าออกไปได้อย่างไร! เจ้าคิดให้ดีอีกทีเถอะ!”
ฟางเทียนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจนัก
เย่หยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
“ท่านอาวุโส อย่ากล่าวเช่นนี้เลย! หลินเสวียถึงขั้นเสียสละชีวิตตนเองเพื่อช่วยช้า แล้วจะให้ข้าดูนางตายอยู่เฉยๆได้อย่างไร? คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนทางข้างนอกจะไร้ภัยอันตราย แต่ถึงเกิดอะไรขึ้นกับข้าก็ตาม ข้าเองก็ไม่เสียใจ!”
ฟางเทียนที่ได้เห็นความมุ่งมั่นของเย่หยวน เขาก็ทราบทันทีว่าตนไม่สามารถกล่าวโน้มน้าวใจใดๆได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงตรงเข้ามาตบไหล่เบาๆและกล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า
“เจ้าเป็นคนดีที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกและมิตรภาพยิ่งกว่าสิ่งใด! เอาล่ะ ขอให้การเดินทางครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี จงระวังตัวให้มาก!”
ตอนที่ 1283
ทำลายตราผนึก
“ลี่เอ๋อ ข้าขอโทษ!”
ใต้แสงจันทร์นวล เย่หยวนและเยวี่ยเมิ่งลี่กำลังยืนเคียงกายพร้อมความรู้สึกผิดติดตัว
ตามแผนเดิมที่เย่หยวนตั้งใจให้เป็นคือ ทันทีที่เขาสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ และยุติเรื่องราวความเดือดร้อนทั้งหมดบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลง เขาจะจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้แก่เยวี่ยเมิ่งลี่
ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับจางหายไปดั่งควัน
มู่หลินเสวียสละชีวิตของนางเพื่อเย่หยวน ยามนี้เขาไม่สามารถแต่งงานกับลี่เอ๋อได้อีก
เย่หยวนเพิ่งค้นพบว่า ตัวเขาหลงรักหญิงสาวทั้งสองในเวลาเดียวกัน
เย่หยวนคิดเสมอมาว่า เขาสามารถลืมมู่หลินเสวียไปได้ แต่เสี้ยวอึดใจที่มู่หลินเสวียสำแดงใช้ใต้หล้าเหมันต์แสนลี้ เย่หยวนก็รู้สึกเปรี่ยวเหงาว่างเปล่าเกินพรรณนา
ในเวลานั้น เย่หยวนค้นพบว่ายิ่งพยายามห้ามใจตัวเองเท่าใด ความรู้สึกเหล่านั้นกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น
“อย่าได้กล่าวขอโทษ! หากกล่าวตามตรง กลับเป็นข้าที่ควรขอโทษเสียมากกว่า! หากมิใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของข้า ท่านกับพี่มู่คงได้กลับมาพบกันอีกครั้ง และจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเลย! ข้า…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เยวี่ยเมิ่งลี่ก็ร่ำไห้ออกมาโดยมิตั้งใจ
นางเสียใจกับการจากไปของมู่หลินเสวีย!
สองสามวันมานี้เอง เยวี่ยเมิ่งลี่จมอยู่กับความเศร้าและน้ำตามาโดยตลอด
ภาพฉากที่มู่หลินเสวียสละชีพในตอนนั้น นางเห็นอย่างชัดเจนภายในเจดีย์เลื่องสวรรค์
สิ่งนี้แทบทำให้หัวใจของนางแตกสลาย
เยวี่ยเมิ่งลี่คาดไม่ถึงเลยว่า มู่หลินเสวียจะเป็นคนใจเด็ดถึงเพียงนี้!
ในขณะเดียวกัน นางก็รู้ว่าความรักของมู่หลินเสวียที่มีต่อเย่หยวนเองก็มิได้น้อยไปกว่านางเช่นกัน!
หากเพียงแต่รักแท้เท่านั้นที่สามารถนำพาผู้คนให้ถึงขั้นสละชีพแทนกันได้
เรื่องนี้นางเข้าใจดี เพราะถ้าตอนนั้นเปลี่ยนเป็นลี่เอ๋อ นางเองก็ยอมสละชีวิตโดยไม่ลังเลเช่นกัน
ในตอนนั้น นางทั้งรู้สึกเลื่อมใสและอิจฉาจอมราชันย์เหมันต์นางนี้ในเวลาเดียวกัน
เพราะคำพูดเหล่านั้นของเย่หยวน ได้สลักฝังลึกลงภายในหัวใจของนาง
เย่หยวนดึงเยวี่ยเมิ่งลี่เข้ามากอดอยู่ในอ้อมอกอย่างรักใคร่ เขากล่าวขึ้นเบาๆพลางถอนหายใจไปว่า
“อย่าร้องไห้อีกเลย! เจ้ารู้จักหัวใจของข้าดีกว่าใครๆ เรื่องของมู่หลินเสวียได้ปักหลักฝังลึกอยู่ในใจข้ามาโดยตลอด แต่ตัวเจ้าในใจของข้าก็มิได้ด้อยกว่านางเลยแม้สักนิด! เพียงว่าตอนนี้อาการของหลิยเสวียค่อนข้างสาหัส และข้าคงไม่สามารถหลอกใจตัวเองได้อีก”
แน่นอน ถ้อยคำนี้ของเย่หยวนทำให้ลี่เอ๋อหยุดร่ำไห้ เพราะนางทนไม่ได้หากต้องทำให้เย่หยวนรู้สึกผิดไปมากกว่านี้
“พี่ใหญ่หยวน ท่านไม่ต้องกล่าวอันใดอีกแล้ว ข้าเข้าใจดี! ไปมหาพิภพถงเทียนเถิด! ท่านต้องช่วยพี่มู่ให้ได้ มิฉะนั้น…ข้าเองก็ไม่มีหน้าอยู่ต่อไปแล้วเช่นกัน! ข้า…ข้าจะอยู่ด้วยตัวเองให้ได้!”
เย่หยวนยกมือปาดน้ำตาให้นางอย่างเบามือ และกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า
“เจ้าต้องทำได้แน่นอน! แล้วสักวันข้าจะกลับมา หรือเจ้าไม่เชื่อใจข้า?”
ลี่เอ๋อเงยหน้าจับจ้องเย่หยวน ก่อนพยักหน้าหนักแน่นด้วยความเชื่อมั่น
เนื่องจากห้วงอวกาศเป็นห้วงมิติไร้ความเสถียรและปั่นปวนตลอดเวลา มันจึงอันตรายอย่างหาที่เปรียบไม่ หากเย่หยวนนำเจดีย์เลื่องสวรรค์ขึ้นไปด้วย มีหวังมันคงถูกบดขยี้ไม่เหลือดีแน่นอน!
ดังนั้นแล้ว เย่หยวนจึงต้องเดินทางฝ่าห้วงอวกาศออกไปเพียงลำพัง
ยามนี้ เย่หยวนได้แยกเจดีย์เลื่องสวรรค์กับศิลาจารึกเลื่องสวรรค์ออกจากกันแล้ว สิ่งที่นำติดตัวไปด้วยคือ ไข่มุกสยบวิญญาณและศิลาจารึกเลื่องสวรรค์!
“เจ้ารออยู่ที่นี่ด้วยกันกับอิ้งหมัวหู่ จงหมั่นบ่มเพาะฝึกปรือเพื่อรอวันที่พวกเจ้าจะสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ ข้าจะเสาะหาทุกวิถีทางและนำศาสตร์แห่งสวรรค์กลับมา ยามนั้นข้าคงประสบความสำเร็จในระดับนึงแล้วบนมหาพิภพถงเทียน!”
เย่หยวนกล่าว
ในปัจจุบัน เย่หยวนได้รับเลือกให้ขึ้นกลายเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ไปแล้ว ตราบใดที่เขาสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพลังที่สูงกว่านี้ เขาย่อมหาทางชักพาศาสตร์แห่งสวรรค์กลับคืนมาได้แน่นอน!
ในเวลานั้น เหล่านักสู้ทุกคนบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะสามารถกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้อีกครั้ง!
“พี่ใหญ่หยวนโปรดมั่นใจ ข้าจะฝึกฝนอย่างหนัก!”
เยวี่ยเมิ่งลี่กล่าวตอบ
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“อืม ความแกร่งกล้าของเจ้าในตอนนี้เองก็ก้าวหน้าขึ้นมากแล้ว จนกล่าวได้ว่ามีน้อยคนนักในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถต่อกรกับเจ้าได้ นี่ทำให้ข้าอุ่นใจได้หลายเปาะ และเพื่อให้แน่ใจที่สุด พรุ่งนี้ข้าจะไปช่วยปลดผนึกให้กวนควานเทียนจากป่าพิรุณโลหิต ตราบใดที่ยังมีเขาอยู่ใกล้ๆ จะไม่มีใครสามารถพลิกฟ้าคว่ำสมุทรคิดกบฎต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้แน่นอน ทันทีที่ข้าแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ข้าจะกลับมาหาเจ้าแน่นอน!”
………………………….
ทันทีทันใด ร่างของเย่หยวนก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตากวนควานเทียน
ปฏิกิริยาการแสดงออกของอีกฝ่ายตื่นตกใจยิ่งราวกับกำลังเห็นผีเมื่อมองเย่หยวน พลางอุทานลั่นอย่างไม่น่าเชื่อ
“เจ้า…เจ้าทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้แล้วจริงๆ! นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?! ทั้งๆที่ศาสตร์แห่งสวรรค์สูญสิ้นไปหมดแล้ว…”
กวนควานเทียนแทบไม่อยากเชื่อสายตาที่เห็น แต่รัศมีกลิ่นอายที่พรั่งพรูออกจากร่างกายเย่หยวน แม้กระทั่งเขาเองยังสั่นกลัวไม่มีสิ้นสุด
กลิ่นอายชนิดนี้ไม่สามารถตบตาเขาได้!
เย่หยวนมิได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่กล่าวเชิงหยอกขึ้นว่า
“หุหุ ท่านอาวุโสกวนควานเทียน ท่านถูกจั่วซ่งกักขังมาตั้งเนินนานเป็นล้านปี มิใช่ว่าท่านอยากออกไปจากที่นี่?”
กวนควางเทียนยืนแข็งทื่อในบัดดล เขากล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจว่า
“ออกไปจากที่นี่? เจ้าอย่าล้อข้าเล่นเช่นนี้! อย่าบอกนะว่า…ที่เจ้ามาในวันนี้ก็เพื่อนำข้าออกไป?”
เย่หยวนยักไหล่ตอบและกล่าวว่า
“ก็เป็นเช่นนั้นแหละ”
กวนควานเทียนสวนกลับไปทันทีโดยมิสนใจว่า
“ไอ้เด็กคนนี้ เจ้ามาหยอกข้าเล่นจริงๆใช่หรือไม่? แม้จะขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าแล้วก็ตาม แต่นั้นเป็นเพียงอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น! ความแข็งแกร่งแค่นี้จะช่วยนำข้าออกไปได้อย่างไร? นี่ไม่ตลกเลย!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มตอบแต่มิได้กล่าวอะไรสักคำ เขาเอื้อมมือออกไปเพื่อบิดห้วงแห่งความว่างเปล่าเล็กน้อย ทว่าทันทีทันใด ทั่วทุกซอกมุมภายในป่าพิรุณโลหิตพลันสั่นกระเพื่อมอย่างแรง
เหล่าสัตว์อสูรเถื่อนและสมุนไพรวิญญาณมากมายตื่นตระหนกกันยิ่งตามสัญชาตญาณ และไม่ทราบเลยว่านี่กำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น
บูมมมม!
ม่านพลังผนึกที่ปกคลุมทั่วทั้งอาณาเขตระดับเจ็ดคล้ายโซ่ตรวนเส้นยักษ์ ยามนี้ถูกทำลายไม่เหลือซากพร้อมเสียงระเบิดดังสนั่น
ชายร่างกำยำผู้หนึ่งค่อยๆย่างกรายออกมาด้วยความไม่น่าเชื่อ นั่นจะเป็นใครได้อีกนอกจากกวนควานเทียน?
เพียงว่าตอนนี้ ความตื่นตกใจถูกสลักเขียนอยู่ทั่วทุกมุมบนใบหน้าของเขา
แค่เย่หยวนสะบัดไม้สะบัดมือเล็กน้อยก็สามารถทำลายตราผนึกของจั่วซ่งได้ นี่เป็นไปได้อย่างไร?
ปรากฏว่า เย่หยวนมาที่นี่มิใช่เพื่อหยอกล้อเขาเล่น แต่มาเพื่อช่วยปลดปล่อยเขาออกไปจริงๆ!
“ขอแสดงความยินดีด้วยกันท่านอาวุโส ในที่สุดท่านก็ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง!”
ตราผนึกทั้งหมดของจั่วซ่งถูกทำลายโดยสิ้นแล้ว ป่าพิรุณโลหิตในปัจจุบันถูกปลดปล่อยเป็นอิสระแล้วโดยพลังศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวน
เมื่อสามจอมราชาอสูรในอาณาเขตระดับหกเห็นกวนควานเทียนถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ พวกเขาก็เร่งแห่มาแสดงความยินดีปรีใจ
กวนควานเทียนโบกมือเจือรำคาญเล็กน้อย ก่อนเบี่ยงสายตาจับจ้องเย่หยวนด้วยความสงสัยว่า
“เจ้าเด็กคนนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ต่อให้เป็นท่านเซียนเต๋าสวรรค์กลับชาติมาเกิดใหม่ ก็มิอาจทำลายตราผนึกของจั่วซ่งได้ง่ายๆ เจ้า…เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ต่อหน้าผู้ควบคุมเต๋าได้ จั่วซ่งยังนับเป็นอันใด?”
ทั่วทั้งร่างกายกวนควานเทียนสั่นสะท้านในทันใด พลางจับจ้องเย่หยวนเสมือนเห็นผี
เรื่องนี้ทำเอาห้วงความคิดของเขาขาวโพลนนึกอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ยามนี้คล้ายชายไร้สติจับจ้องเย่หยวนดั่งคนโง่งม
นั้น…คือกลิ่นอายแห่งเต๋านี่เอง!
แต่เย่หยวนสามารถควบคุมเต๋าได้อย่างไร?
กวนควานเทียนคล้ายผลัดตกลงสู่เหวแห่งความโกลาหลในทันใด
นี่มันเรื่องอะไรกัน? เขาไม่สามารถเข้าใจได้เลยแม้สักนิด!
เย่หยวนเองก็มิได้มีเจตนาปิดบังเรื่องราวใดๆ พร้อมเอ่ยอธิบายแถลงไขเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาคร่าวๆให้แก่กวนควานเทียนฟัง รวมไปถึงเรื่องการหลอมกลั่นโอสถท้าทายสวรรค์และการปราบปรามเผ่าปีศาจ
เสมือนกับว่าสมองของกวนควานเทียนลัดวงจรชั่วขณะใหญ่ เขายืนแข็งค้างด้วยความตกตะลึงเช่นนั้นไปสักครู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสามจอมราชาอสูรที่อยู่ข้างๆ!
พวกมันทั้งสามสบตากันไปมาพร้อมสีหน้าอันไม่อยากจะเชื่อ!
เมื่อพวกมันนึกถึงตอนที่เย่หยวนเข้ามาในอาณาเขตระดับหก เขายังเป็นแค่เด็กน้อยอันไร้พิษภัยในสายตาของทั้งสามอยู่เลย
แล้วนี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ปี แต่เด็กน้อยในวันนั้นกลับเติบใหญ่กลายเป็นผู้ปกครองดินแดนที่อยู่เหนือสรรพสิ่งชีวิตไปแล้ว?
ความรู้สึกแบบนี้เสมือนกับฝันไป!
“จะ-เจ้า เจ้าจะบอกว่า เทพอสูรเทวะข่านนั่วและเยวี่จี้ถูกจัดการลงไปแล้ว? ตอนนี้พวกมันกำลังรอความตายอย่างสิ้นหวัง?”
กวนควานเทียนตื่นตกใจจนกล่าวไม่เป็นภาษา
พลันได้ยินชื่อข่านนั่ว จิตสังหารหอบหนึ่งปะทุขึ้นจากกายเย่หยวนโดยมิได้ตั้งใจ
ไม่เพียงสามจอมราชาอสูร แม้แต่กวนควานเทียนยังถึงกับขนลุกซู่ยันหนังหัวด้วยความกลัว
แค่เศษเสี้ยวจิตสังหารที่เล็ดลอดออกจากร่างเย่หยวน แต่นั้นช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง!
นี่คือทรงพลังของผู้ปกครองดินแดน!
ตอนที่ 1284
หออาญาสิทธิ์
“นายท่าน ข้าได้ป่าวประกาศตามที่ท่านสั่งเป็นที่เรียบร้อย และเกณฑ์มนุษย์ทุกคนออกจากภูมิภาคอสูรแล้ว อีกทั้งยังออกคำสั่งยุบภาคีวิถีเร้นลับ…”
ณ ห้องโถงกว้าง เฉาหยุนจือเข้ารายงานต่อเย่หยวนเกี่ยวกับทิศทางความคืบหน้าของสถานการณ์ในขณะนี้ของมวลมนุษย์โดยละเอียด
อย่างที่เคยกล่าวว่าไว้ จุดเด่นของเผ่ามนุษย์คือการปรับตัวและการเอาชีวิตรอดที่เป็นเลิศ หลังจากที่พวกเขาเดินทางออกจากภูมิภาคอสูรไป ไม่นานพวกเขาจะลงหลักปักฐานและสร้างทุกอย่างขึ้นใหม่อีกครั้ง
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากเผ่าปีศาจ เป็นเครื่องเตือนใจของพวกเขาทั้งเผ่าอสูรและเผ่ามนุษย์ว่าชีวิตมิอาจประมาทได้อีกต่อไป
พวกเขาจำต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้
ซึ่งเย่หยวนเองก็ออกคำสั่งห้ามอย่างเข้มงวด ภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยปี หากมีมนุษย์คนใดกล้าบุกรุกภูมิภาคอสูร พวกเขาเหล่านี้จะถูกประหารทันทีโดยปราศจากความเมตตาใดๆ!
แม้โลกแห่งการต่อสู้นี้มีกฎที่ว่า ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง แต่เย่หยวนไม่ยอมปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจนเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่เฉกเช่นเดียวกับเผ่ายักษ์หินแน่นอน
หลังจากได้ยินคำรายงานของเฉาหยุนจือ เย่หยวนก็พยักหน้าและกล่าวตอบว่า
“เจ้าทำได้ดีมาก! แม้ว่าภาคีวิถีเร้นลับจะยุบไปแล้ว แต่ความสูญเสียในครั้งนี้จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยพันปีเพื่อฟื้นตัวอีกครา ดังนั้นในระหว่างนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถือว่าอ่อนแอเป็นอย่างมาก รวมไปถึงอาจเกิดอาชญากรรมขึ้นได้ตลอด ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงตัดสินใจจัดตั้ง หออาญาสิทธิ์ขึ้น โดยมีท่านอาวุโสกวนควานเทียนเป็นผู้ดูแล ส่วนผู้กำหนดทิศทางของหออาญาสิทธิ์รวมไปถึงการร่างกฎหมายออกมาเพื่อบังคับใช้ ทั้งหมดนี้ต้องวานเจ้าเป็นคนจัดการ”
เฉาหยุนจือที่ได้ฟังแบบนั้นก็สั่นเทาไปทั่วทั้งตัว สีหน้าการแสดงออกของเขาเปี่ยมไปด้วยความปิติดีใจจนมิอาจปกปิดใดๆอยู่
เขาคนนี้เป็นคนหัวไว ดังนั้นจะไม่เข้าใจถึงความสำคัญของหออาญาสิทธิ์นี้ได้อย่างไร?
นี่คือสถานที่ที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยผู้ปกครองดินแดนโดยตรง อำนาจอิทธิพลของหออาญาสิทธิ์แห่งนี้อยู่เหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล! และคนที่เป็นผู้รับผิดชอบก็ไม่ต่างอะไรกับตัวแทนของเย่หยวนเลย!
ความน่าเกรงขามของเย่หยวน สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีใครรู้จัก
การดำรงอยู่ของเขาเปรียบเสมือนพระเจ้าผู้อยู่เหนือสรรพชีวิตในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่เฉาหยุนจือเป็นผู้รับผิดชอบแทนในส่วนนี้ ดังนั้นด้วยสถานะศักดิ์ของเขา ไม่ว่าใครบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างต้องให้ความเคารพ
ซึ่งเฉาหยุนจือก็ทราบดีเช่นกันว่า ความแกร่งกล้าของกวนควานเทียนนั้นเหนือชั้นยิ่งกว่าฟางเทียน
นอกจากนี้ เหล่าเสาหลักแห่งหออาญาสิทธิ์ยังมีทั้งจอมราชันย์วิญญาณและจอมราชันย์คนอื่นๆดำรงอยู่ด้วย
เขาไม่มีทางใช้อำนาจในทางมิชอบอย่างแน่นอน
โดยสรุปแล้ว หออาญาสิทธิ์นี้ก็คือภาคีวิถีเร้นลับแห่งที่สอง!
แน่นอน เฉาหยุนจือคนนี้เดินพันถูกข้างแล้ว!
เฉาหยุนทิ้งคู่เข่ากระแทกพื้นพร้อมก้มศีรษะจรดแทบเท้าเย่หยวนด้วยความซาบซึ้ง และเร่งกล่าวขึ้นว่า
“หยุนซือขอบพระคุณนายท่านที่ไว้ใจ! หยุนซือจะพยายามอย่างสุดความสามารถ! ข้าขอดำรงหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจวบจนวาระสุดท้าย!”
เย่หยวนก้มมองอีกฝ่ายเล็กน้อยพร้อมกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“จงร่างกฎหมายบังคับใช้ออกมาด้วยความเป็นธรรม ที่ข้ามอบหมายตำแหน่งนี้ให้เจ้าเพราะข้าเชื่อใจ และเจ้ายังเป็นคนฉลาดและหัวไว เจ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะมาดูแล ณ จุดนี้ได้! แต่ถ้าหากเจ้ากล้าใช้อำนาจในทางมิชอบ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยส่วนตัว เหล่าบรรดาเสาหลักแห่งหออาญาสิทธิ์เองก็พร้อมลงโทษเจ้าทุกเมื่อเช่นกัน! ส่วนที่ว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร…ก็จงดูข่านนั่วเป็นตัวอย่าง!”
ยิ่งกล่าวมากเท่าไหร่ สุ้มเสียงของเย่หยวนก็ยิ่งเย็นสะท้านมากขึ้นเท่านั้น จนถึงขั้นที่ว่าเฉาหยุนจือรู้สึกดั่งว่าฟ้าดินกำลังจะถล่มลงมา
ในปัจจุบัน ข่านนั่วยังคงถูกทรมานอย่างหนักไม่หยุดหย่อน เสียงกรีดร้องคร่ำครวญของมันก็ยังดังระงมไร้สิ้นสุด
ความปีติยินดีก่อนหน้ากลายมาเป็นความกดดันดั่งภูเขากดทับโดยพลัน
ท้ายที่สุดนี้ เฉาหยุนจือก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งย่อมมีความโลภโดยธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ที่ได้ยิน เขาก็พลันมีความคิดมากมายโฉบแล่นเข้ามาในหัวเช่นกัน
แต่ตอนนี้เปลวไฟภายในใจของเขา ได้เผาผลาญความคิดเหล่านั้นได้โดยสิ้นในพริบตา
บุคคลที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าต่อตาเขาคือ จักรพรรดิดินแดนศักดิ์สิทธิ์!
ท่านผู้นี้สามารถควบคุมเต๋าบนผืนพิภพแห่งนี้ได้!
ขุมพลังความแกร่งกล้าของเขา กระทั้งฟ้าดินยังต้องยอมจำนน!
ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะท่านได้!
“นายท่านโปรดวางใจ! แม้ท่านหยิบยื่นสรรพสิ่งให้ควบคุม หยุนจือคนนี้ก็ไม่กล้าทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน!”
เฉาหยุนจือเร่งกล่าวตอบทันที
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ข้าไว้ใจเจ้า แต่ข้าจำต้องเตือนไว้ก่อน หลังจากนี้ข้าจำต้องออกเดินทางสู่โลกภายนอกเพื่อช่วยชีวิตหลินเสวีย และนั้นมิใช่ระยเวลาน้อยๆเลย! ดังนั้นหากข้ามาทราบทีหลังว่ามีคนไว้ใจแอบแทงข้าจากข้างหลัง ยามที่กลับมาผู้นั้นจะต้องเจ็บปวดทรมานยิ่งเสียกว่าความตาย!”
สีหน้าการแสดงออกของเฉาหยุนจือแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันใด และกล่าวตอบว่า
“หยุนจือ จักสลักจำใส่ใจ!”
เฉาหยุนจือคนนี้เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างยิ่ง และยังเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการควบคุมหออาญาสิทธิ์ แต่เขาเองก็มิใช่สุภาพบุรุษผู้ซื่อตรงขนาดนั้น หากเย่หยวนไม่ขู่เตือนเสียบ้าง อีกฝ่ายอาจทำอะไรที่ไม่ดีก็เป็นได้ในอนาคตต่อไป
แต่ก็เป็นเพราะเฉาหยุนจือมิใช่คนเถรตรงจนเกินไป เย่หยวนจึงตัดสินใจเลือกเขามา
ผีย่อมเห็นผีกันเสมอ คนที่เคยชั่วอย่างเฉาหยุนจือมีหรือจะมองไม่ออกว่าคนไหนมีจิตใจคิดขดทุจริต?
ส่วนตัวแล้ว เย่หยวนเองก็มั่นใจว่า เฉาหยุนจือไม่กล้าทำอะไรไม่ดีเช่นกัน ความแกร่งกล้าของเย่หยวนในปัจจุบัน อีกฝ่ายตระหนักชัดแจ้งด้วยตาตนเอง
แถมในยามที่เย่หยวนไม่อยู่ ก็ยังมีกวนควางเทียน ฟางเทียนและเหล่าจอมราชันย์ที่คอยเฝ้าดูแลความสงบเรียบร้อยอีกทีนึง
“ดีมาก เจ้าเป็นคนฉลาด ย่อมทราบถึงวัตถุประสงค์ที่ก่อตั้งหออาญาสิทธิ์ขึ้นมาดี! เจ้าต้องร่างกฎหมายบังคับใช้ที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และอย่าให้มีกลุ่มอำนาจใดขึ้นมาแทรกแซงได้เป็นอันขาด”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าและน้ำเสียงอันเคร่งขรึม
วัตถุประสงค์ของเย่หยวนนั้นมิได้ซับซ้อนอันใดเลย เขาเพียงต้องการให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้กลับคืนสู่ความสงบสุข และพัฒนาต่อไปในทิศทางเดียวกัน
การดำรงอยู่ของหออาญาสิทธิ์นั้นสูงศักดิ์เสียยิ่งกว่าเมืองนภาศักดิ์สิทธิ์มากโข
สถานที่แห่งนี้เป็นตัวแทนของเย่หยวนในอนาคต
ในยามที่เย่หยวนออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หออาญาสิทธิ์แห่งนี้จะดำรงอยู่เพียงควบคุมความสงบสุขและใช้อำนาจกฎหมายเพื่อปราบปรามผู้กระทำผิดในนามของเขา
เฉาหยุนจือกล่าวตอบด้วยความเคารพว่า
“นายท่านโปรดวางใจในตัวหยุนจือคนนี้!”
หลังจากที่เฉาหยุนจือกลับออกไป กวนควานเทียนและฟางเทียนก็เดินออกมาจากด้านหลังม่านยักษ์ด้านหลัง
ทันทีที่กวนควานเทียนได้รับอิสรภาพอีกครั้งโดยเย่หยวน เขาก็เริ่มเคลื่อนไหวในบัดดลและเข้าล้างบางมรดกสืบทอดของนิกายเสินยู่จนสิ้นซาก
สามมหาอำนาจแห่งเมืองนภาศักดิ์สิทธิ์ จู่เห๋อฉิงซวนถูกเย่หยวนฆ่าตาย เมฆาฟ้าโดนลูกหลงจนถูกย่างเกรียมโดยเต็งหยุน ยามนี้เหลือเพียงน่ากงซีเฟิงแค่ลำพัง แล้วมีหรือจะสามารถต่อกรกับกวนควานเทียนได้ไหว?
ความโกรธแค้นของกวนควานเทียนที่ถูกขังเป็นเวลาหนึ่งล้านปี ในที่สุดก็ได้ระบายออกมาอย่างสาสมใจ!
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้นได้ก็ต้องขอบคุณเย่หยวน
ในทีแรก เขาเลิกล้มความคิดที่จะออกมาได้แล้ว แต่ใครจะไปคาดคิด เย่หยวนได้การยอมรับจากเต๋าจนสามารถควบคุมผืนพิภพนี้ได้ดั่งใจนึก แถมยังสามารถปลดปล่อยเขาออกมาได้อย่างง่ายดายยิ่ง
“หุหุ โล่งใจเลยทีเดียว! ข้ามั่นใจได้เลย เจ้าเด็กนั้นไม่กล้าใช้อำนาจในทางมิชอบแน่ หากได้เห็นผลงานที่ข้าทิ้งไว้ในเมืองนภาศักดิ์สิทธิ์บัดซบนั้น!”
กวนควานเทียนกล่าวขึ้นพร้อมยกนิ้วโป้งให้เย่หยวน
“เฮ้ออ…เจ้านี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ ไม่เพียงด้านการบ่มเพาะพลังเท่านั้น กระทั้งด้านจิตใจของผู้คน เจ้ายังมองผ่านอ่านสถานการณ์ได้ขาด! เฉาหยุนจือเป็นคนที่เก่งและมากความสามารถก็จริง แต่ด้วยสันดานโดยดั่งเดิมของเขาก็ไม่สามารถรับประกันได้เช่นกันว่า อนาคตเขาจะทำเรื่องไม่ดีขึ้นหรือไม่ แต่ด้วยคำขู่เตือนของเจ้า ทำให้เขาเห็นถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นจนเกิดความกลัว แต่หากเขายังกล้าทำอะไรจริงๆ ทั้งผู้อาวุโสกวนควานเทียน ข้าและเต็งหยุนจะจัดการแทนเจ้าเอง!”
ฟางเทียนกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“หยุนจือไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะท้ายที่สุดนี่เขาก็ยังหวาดกลัวตัวข้าเป็นที่สุด!”
ฟางเทียนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ถูกต้อง ความแกร่งกล้าของเจ้าในตอนนี้มันเลยจุดนั้นไปนานแล้ว เฉาหยุนจือในตอนนี้เคราพเลื่อมใสเจ้ายิ่งกว่าอะไร”
กวนควานเทียนกล่าวถามขึ้นว่า
“เย่หยวน แล้วเจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด?”
เย่หยวนกล่าวตอบว่า
“หลังจากนี้อีกสามเดือน! ข้าต้องจัดการธุระต่างๆในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ข้าจะได้ออกไปโดยไม่มีห่วง”
ก่อนที่เย่หยวนจะออกเดินทาง เขายังมีภารกิจอีกมากมายที่พึงกระทำ
สำหรับเรื่องของเยวี่ยเมิ่งลี่, ลู่เอ๋อและอิ้งหมัวหู่ เย่หยวนยังต้องการใช้เวลากับพวกเขาก่อนที่จะจากลาไป นอกจากนี้ เย่หยวนยังปลีกตัวกลับไปยังแดนล่างเพื่อนำเอาเย่ฮานและคนอื่นๆที่เหลือเดินทางขึ้นมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ด้วยความแกร่งกล้าของเย่หยวนในปัจจุบัน การกระทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ช่างง่ายดายเพียงแค่คิดเท่านั้น
เย่หยวนได้เตรียมโอสถจำนวนมากมายหลากชนิดให้แก่ตระกูลเย่ และนั้นมีปริมาณมากเกินพอจนสามารถทำให้ทุกคนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันย์เทวะได้
การเดินทางในคราวนี้ของเย่หยวน กระทั้งเขาเองยังไม่ทราบว่านานเพียงใด
แต่ที่แน่นอนคือ เวลาหนึ่งล้านปีภายในมหาพิภพถงเทียน กลับมิได้เรียกว่านานเลย
เย่หยวนไม่ต้องการกลับมาและพบว่าพ่อแม่ของตนเองได้ล่วงลับกลายเป็นเถ้าอัฐิไปแล้ว
ดังนั้นเย่หยวนจึงหลอมกลั่นโอสถเตรียมไว้มากมาย เพื่อทำให้พวกเขาทุกคนขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์เทวะ และผนวกกับโอสถยืดอายุขัยของเย่หยวน มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขามีอายุยืนยาวนับหลายหมื่นปี
ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนาพูดคุยกันอยู่นั้นเอง จู่ๆเย่หยวนพลันขมวดคิ้วขึ้นโดยพลันคล้ายตรวจจับถึงบางสิ่งอย่างได้
เย่หยวนพบว่า มีที่ไหนสักแห่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏศาสตร์แห่งสวรรค์จำนวนมหาศาลที่กำลังระดมตัวขึ้นอยู่จนมีขนาดมหึมาเทียมฟ้า
“มีอะไรหรือเปล่าเย่หยวน?”
ทันทีที่เห็นสีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไป ฟางเทียนก็เอ่ยถามทันทีด้วยความแปลกใจ
ตอนที่ 1285
ค่ายกลหลอมสร้างศาสตร์แห่งสวรรค์!
“มีใครบางคนกำลังระดมศาสตร์แห่งสวรรค์จำนวนมหาศาล เพื่อต้องการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า!”
เย่หยวนขมวดคิ้วหน้านิ่วทันทีพร้อมกล่าวขึ้น
ฟางเทียนกับกวนควานเทียนแลกเปลี่ยนสายตากันในทันที ทั้งคู่ตกใจอย่างมากเมื่อได้ฟังเช่นนั้น
“นี่เป็นไปได้อย่างไร? นอกเหนือจากเจ้าแล้ว ยังมีใครอีกที่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้?”
ฟางเทียนกล่าวขึ้นเจือสีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยอยากเชื่อนัก
หากกล่าวถึงบุคคลผู้มากพรสวรรค์และยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์คงหนีไม่พ้น เย่หยวนและฟางเทียน!
ทว่าแม้แต่ฟางเทียนก็ยังไม่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วยังมีใครอีกที่สามารถทำได้?
เขายอมรับในตัวเย่หยวน แต่หากมีใครอีกคนที่ขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้ ฟางเทียนก็คงปฏิเสธสุดหัวใจเช่นกัน
“นั้นสิ เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? หากกล่าวตามตรง ถ้าจะมีใครบางคนสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ นอกเหนือจากเจ้าก็ไม่มีอีกแล้ว!”
กวนควานเทียนกล่าวเสริมขึ้นทันที
เย่หยวนกล่าวตอบทันควัน
“ข้าแค่บอกว่า มีใครบางคนกำลังต้องการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า ส่วนที่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ตรงนี้ข้ามิได้กล่าวไว้”
เฉพาะยามนี้ที่ได้ยินคำอธิบายของเย่หยวน สีหน้าการแสดงออกของทั้งคู่ก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็อยากจะรู้อยู่ดีว่า ใครกันที่ต้องการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า
ผู้ที่มีคุณสมบัติในการก้าวขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งคู่จะไม่รู้จัก
“แต่หากกล่าวกันตามตรง…ถึงวิธีของเขาที่แม้แต่ข้าเองยังต้องทึ่ง แต่นั้นจะนำพามาสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายเกินจินตนาการ!”
สีหน้าหลากอารมณ์พลันพรั่งพรู เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างกังวลใจ
วาจาคำกล่าวนี้ของเย่หยวนได้ไปกระตุ้นความสงสัยของทั้งสองเข้าโดยมิตั้งใจ
“เย่หยวน มีอะไรก็รีบกล่าวมาเถิด เจ้าทำให้ข้าอยากรู้จนแทบกระอักเลือดแล้ว!”
กวนควานเทียนกล่าวขึ้นพลางปั้นสีหน้าเคร่งอย่างใจจดใจจ่อ
เย่หยวนคลี่ยิ้มเล็กน้อย พร้อมนำทั้งสองหายวับจากสายตาทุกคน
ร่างทั้งสามปรากฏขึ้นอีกครั้งบนยอดเขาสูงแห่งนี้
ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป ปรากฏเป็นเกลียวพายุหมุนอันโหมกระหน่ำชักล้างสรรพสิ่งโดยรอบ
ทันทีที่กวนควานเทียนและฟางเทียนเห็นภาพฉากเบื้องหน้านี้ ทั้งสองพลันถอดสีหน้าเผยถึงความประหลาดใจโดยพร้อมเพรียง
ดวงตาไสวของฟางเทียนหรี่แคบพยายามพินิจเข้าจับจ้องอย่างละเอียด ก่อนโพล่งอุทานขึ้นลั่น
“จอมราชันย์ต้าเยียน! นี่…นี่มันศาสตร์แห่งสวรรค์จริงๆ! เขา…เขาสร้างค่ายกลขึ้นเพื่อดูดซับศาสตร์แห่งสวรรค์จากภายนอกเข้าสู่กาย!”
ปรากฏว่า ผู้ที่กำลังทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าอยู่กลับมิใช่ใครอื่นนอกจาก จอมราชันย์ต้าเยียน!
ในช่วงที่เผ่าปีศาจบุกโจมตีจนเกิดความวุ่นวายสารพัดบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จอมราชันย์ต้าเยียนไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลยสักครั้ง แต่ฟางเทียนคาดไม่ถึงเลยว่า ที่แท้เขากำลังปลีกวิเวกเก็บตัวเพื่อเตรียมจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าอยู่!
แม้ฟางเทียนจะมิได้เห็นร่างอีกฝ่าย แต่เขายังคงจำรัศมีกลิ่นอายของหลู่หลินเฟยได้เป็นอย่างดี
กวนควานเทียนตื่นตกใจสุดขีดที่เห็นค่ายกลนั้นก่อนโพล่งกล่าวตามๆกันมา
“เขา…เขาสามารถระดมศาสตร์แห่งสวรรค์จากภายนอกได้มากมายขนาดนี้จริงๆ! ชายคนนี้นับเป็นยอดอัจฉริยะโดยแท้!”
ใจกลางค่ายกลขนาดยักษ์ปรากฏเป็นพายุศาสตร์แห่งสวรรค์ที่ระดมก่อตัวขึ้นจนสูงเสียดฟ้า
การมีอยู่ของค่ายกลชนิดนี้ มันได้ทำลายแนวคิดความเข้าใจเก่าๆของพวกเขาทั้งสองโดยสิ้นเชิง
และในความเป็นจริงแล้ว ศาสตร์แห่งสวรรค์ที่ระดมก่อตัวอยู่นี้มิได้มาจากดินแดนพฤกษานิรันดร์ แต่มันเกิดขึ้นจากค่ายกลขนาดยักษ์อันนี้!
ภายในค่ายกลขนาดยักษ์คล้ายเป็นอีกโลกหนึ่งที่มีบรรพยากาศไม่ต่างจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนาดย่อมเลย
เย่หยวนที่เห็นดังนั้นก็เข้าใจได้ทันที ปรากฏว่า จอมราชันย์ต้าเยียน,หลู่หลินเฟยได้สร้างดินแดนขนาดจิ๋วขึ้นมาซ้อนทับกับดินแดนพฤกษานิรันดร์อีกทีหนึ่ง เพื่อให้ดินแดนขนาดจิ๋วนั้นผลิตศาสตร์แห่งสวรรค์เทียมขึ้นมาให้แก่เขา!
วิธีนี้คลายคลึงกับเย่หยวนไม่น้อย ในเมื่อศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสิ้นลงไปแล้ว ก็สร้างมันขึ้นมาใหม่ให้ตัวเองก็สิ้นเรื่อง!
วิธีนี้มีเส้นคั่นบางๆระหว่างคำว่าอัจฉริยะและบ้าบิ่น!
แต่นั้นก็ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใกล้ความสำเร็จไปไม่น้อยแล้ว!
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนกลับถอนหายใจโดยพลันและกล่าวว่า
“วิธีการเช่นนี้กลับไปสร้างความโกรธแค้นให้แก่สรวงสวรรค์!”
กวนควานเทียนและฟางเทียน ทั้งสองถึงกับเหลียวกลับมองเย่หยวนในทันใด และมิทราบเลยว่านั้นหมายความอย่างไรกัน
หากเป็นคนอื่นกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา ทั้งสองคงเชิดศีรษะหาได้ใส่ใจไม่
แต่ภายในดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ ไม่มีคำพูดของใครมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือไปกว่าเย่หยวนแล้วในปัจจุบัน
ทุกคำกล่าวของเขาเปรียบเสมือนตัวแทนของเต๋าแห่งดินแดนนี้!
เมื่อครู่ เย่หยวนกล่าวว่า วิธีเช่นนี้กลับไปสร้างความโกรธแค้นให้แก่สรวงสวรรค์ ผลลัพธ์ที่หลู่หลินเฟยได้ก็คือ อาจถูกทัณฑ์ฟ้าลงโทษจนถึงแก่ชีวิต!
“ตาแก่หลู่นับเป็นยอดอัจฉริยะผู้หาตัวจับยากโดยแท้! แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะด้อยกว่าจู่เก๋อฉิงซวนกับพี่เต็ง แต่เขากลับมีความคิดที่ล้ำหน้าทุกคนไปแล้ว แต่น่าเสียดายนัก…การกระทำเช่นนี้มันไม่ต่างอะไรกับการเย้ยหยั่นสรวงสวรรค์ถึงถิ่นเลย!”
“เย้ยหยั่นสรวงสวรรค์ถึงถิ่น?”
ทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกันด้วยความฉงนงุนงง
เย่หยวนพยักหน้าพร้อมอธิบายว่า
“การจะสร้างศาสตร์แห่งสวรรค์ขึ้นมาด้วยตนเองจำต้องเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้าขึ้นไปเท่านั้น ส่วนตาแก่หลู่เป็นเพียงเซียนอาณาจักรกึ่งพระเจ้าเท่านั้น แล้วจะสร้างศาสตร์แห่งสวรรค์จริงๆขึ้นมาได้อย่างไร? แถมยังสร้างในดินแดนพฤกษานิรันดร์ที่กอปรจากเต๋าของคนอื่นอีก ซึ่งนั้นไม่ต่างอะไรจากการท้าทายสรวงสวรรค์เลย ยามที่สรวงสวรรค์บันดาลโทสะคิดว่าผลจจะเป็นอย่างไร? การที่เขากระทำเช่นนี้เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ”
คำกล่าวของเย่หยวนต่างทำให้ทั้งสองสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ถึงปัจจุบันพวกเขาทั้งคู่จะเป็นแค่เซียนอาณาจักรกึ่งพระเจ้า แต่แนวคิดความเข้าใจอันลึกซึ้งของพวกเขาเทียบเท่ากับเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าไปแล้ว
ยามที่สรวงสวรรค์พิโรธน่ากลัวเพียงใด ทั้งคู่สามารถกล่าวได้ทันทีว่า แม้กระทั่งเย่หยวนยังมิใช่คู่มือเลยสักนิด
พวกเขาสัมผัสได้ว่า รัศมีกลิ่นอายของหลู่หลินเฟยในตอนนี้ไร้ขีดกำจัดอย่างแท้จริง และย่างเข้าใกล้อาณาจักรพระเจ้าเข้าไปทุกทีแล้ว
แต่ใครจะไปคิดว่านั้นจะเป็นกลอุบายมากมายที่สรวงสวรรค์ใช้หลอกล่อ!
ราวกับฟ้าดินมายืนยันคำพูดของเย่หยวนด้วยตัวเอง ทันทีที่เย่หยวนกล่าวจบ แรงกดดันอันน่าสะพรึงพลันอัดกระแทกลงมาเสมือนว่าน่านฟ้ากำลังจจะถล่มลงมา
สีหน้าการแสดงออกของกวนควานเทียนและฟางเทียนแปรเปลี่ยนในบัดดล!
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจคำกล่าวของเย่หยวนจนได้
สรวงสวรรค์กำลังพิโรธ!
วิธีของหลู่หลินเฟยได้ยั่วโทสะของสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง!
สรวงสวรรค์หาได้มีความรู้สึกรู้สา มันเป็นกฎธรรมชาติอันแสนลึกลับ ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวล้วนมาจากสัญชาตญาณดิบทั้งสิ้น
เต๋าแห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์ถูกสร้างขึ้นโดยจอมเทพนิรันดร์
ยามใดที่มีใครบางคนคิดท้าทายเต๋าดั่งเดิมในดินแดนแห่งนี้ ตามสัญชาตญาณ สรวงสวรรค์จะลงมือกำจัดตัวปัญหาทันที!
ดังนั้นแล้ว ทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้จึงรุนแรงและน่ากลัวยิ่งกว่าครั้งใดๆ!
สายวชิระสีเหลืองทองดิ่งสะบั้นลงมาจากท้องนภาสูง มันสูงเด่นเป็นตระหง่านคล้ายต้นไม้มหึมาค่ำฟ้าดิน และทรงอนุภาพการทำลายล้างอย่างหาที่เปรียบไม่
เป้าหมายของสายวชิระนี้คือ ค่ายกลขนาดยักษ์ของหลู่หลินเฟยอย่างแม่นยำ!
ความโกลาหลเกิดขึ้นทันทีในค่ายกล หลู่หลินเฟยตระหนักทราบทันทีว่า แผนการที่เขาเตรียมการเอาไว้ในครั้งนี้กลับประสบความล้มเหลว ค่ายกลขนาดมหึมาที่สร้างเริ่มโคลงเคลงไร้เสถียรภาพ
เหนือศีรษะสูง วชิระสีเหลืองทองสายยักษ์กำลังดิ่งพสุธาชำระล้างทุกสิ่ง ในเวลานี้เขาได้แต่เงยหน้ามองพร้อมสายตาสุดสิ้นหวัง
หลู่หลินเฟยเพิ่งจะมารู้ตัวว่า สิ่งที่ตนทำลงไปกำลังทำให้สรวงสวรรค์โกรธจัด
สรวงสวรรค์ต้องการจะกำจัดเขาและมันก็ทำได้สำเร็จ!
สายวชิระอัสนีบาตรลูกมหึมาสะบั้นตรงเป้าบดขยี้ค่ายกลจนไม่เหลือชิ้นดี ศาสตร์แห่งสวรรค์เทียมที่กำลังระดมก่อตัวแตกสลายกระจายออกไป
หลังจากสายวชิระลูกนี้ผ่านพ้น ทั่วทุกบริเวณนั้นก็เหลือแค่เพียงความว่างเปล่า
หลู่หลินเฟยที่เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างสิ้นหวัง ณ ใจกลางค่ายกลที่ตนสร้างถูกซัดกระเด็นออกไปโดยมิได้ขัดขืนแต่อย่างใด
“พร๊วดดด!!”
นี่มิได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวอีกแล้ว แต่ยามนี้หลู่หลินเฟยจะรอดชีวิตออกมาได้หรือไม่
หลู่หลินเฟยหลับตาปี๋เฝ้ารอความตายอยู่สักครู่ใหญ่ แต่ต้องแปลกใจที่คนยังมีลมหายใจอยู่จวบจนบัดนี้ เขาค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆและต้องประหลาดใจยิ่ง เมื่อเห็นร่างทั้งสามปรากฏขึ้นอยู่เบื้องหน้า
เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะในตอนที่เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า หลู่หลินเฟยได้สร้างค่ายกลมากมายรายล้อมตัวเองเอาไว้ มาตรได้ว่าแม้แต่เซียนอาณาจักรบัญชาสวรรค์ขั้นสุดยังไม่สามารถฝ่าเข้ามาได้แน่นอน
ทว่า…ทั้งสามร่างนี้กลับเข้ามาได้อย่างง่ายดาย!
ยิ่งไปกว่านั้น หลู่หลินเฟยเองก็ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด!
ทันทีที่ทั้งสามเข้าสัมผัสกับค่ายกลจำนวนมากมายที่รายล้อมเอาไว้ หลู่หลินเฟยควรจะตรวจจับได้ทันที
แต่นี่เพียงเสี้ยวพริบตา ร่างทั้งสามก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าแสนน่าฉงนใจ
เมื่อเพ่งพินิจให้ดี หลู่หลินเฟยก็ถึงขั้นโพล่งอุทานลั่นด้วยความประหลาดใจว่า
“จี้ฉิงหยุน!”
หลู่หลินเฟยมิใช่คนโง่ พลานุภาพของทัณฑ์ฟ้าสีเหลืองทองเมื่อครู่มีหรือจะเบาบางเพียงนี้ ในระหว่างที่ผ่าสะบั้นลงมา ได้มีใครบางคนเข้ามาลดทอนความรุนแรงของมันลงจนแทบไม่เหลือ และจบลงด้วยตัวเขาที่ยังไม่ตาย
หลายปีที่ผ่านมา หลู่หลินเฟยมุ่งความสนใจทั้งหมดกับการคิดค้นค่ายกลหลอมสร้างศาสตร์แห่งสวรรค์เทียมขึ้นมา จนมิได้รู้เรื่องรู้ราวเลยว่า เผ่าปีศาจได้แอบลอดเร้นแฝงตัวเข้ามาแล้ว
เสี้ยวอึดใจต่อมา ดั่งปราดนึกรู้สึกถึงความผิดปกติได้ฉับพลัน เขากล่าวขึ้นด้วยความตื่นตะลึงสุดขีดจนติดอ่างไม่เป็นภาษา
“จะ-เจ้า…เจ้าเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าแล้ว? นะ-นี่…เป็นไปไม่ได้! ข้า…สายตาข้าคงมีปัญหาแล้ว!”
ตอนที่ 1286
ประตูผนึกดินแดน
เย่หยวนคนนี้ที่อยู่ต่อหน้าต่อตาหลู่หลินเฟย ให้ความรู้สึกดั่งว่าเหนือทุกสรรพชีวิต
ความแข็งแกร่งระดับชั้นนี้ยังเป็นอะไรไปได้อีกหากมิใช่อาณาจักรพระเจ้า
นอกจากนี้หลู่หลินเฟยก็ยังสัมผัสได้จางๆ บุคคลที่มาช่วยก่อนหน้านี้มีรัศมีกลิ่นอายคล้ายคลึงกับศาสตร์แห่งสวรรค์!
ฟางเทียนหันมองหลู่หยินเฟยด้วยสายตาสุดเห็นอกเห็นใจ ก่อนกล่าวขึ้นว่า
“สายตาของเจ้ามิได้มีปัญหา เย่หยวนกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าแล้วจริงๆ!”
ทั่วทั้งกายาหลู่หลินเฟยสั่นเทาไสวไม่หยุด เลื่อนสายตาเข้าจับจ้องเย่หยวนเผยให้เห็นถึงความไม่อยากจะเชื่ออยู่เปี่ยมหัวใจ
เพื่อแผนการในวันนี้ หลู่หิลนเฟยได้เตรียมการทุกอย่างมาเป็นเวลาเนินนานไม่รู้กี่ปี คงมีเพียงสรวงสวรรค์เท่านั้นที่ทราบว่าเขาลงแรงกายแรงใจไปมหาศาลเพียงใด
ก่อนวันนี้หนึ่งวัน หลู่หลินเฟยมีความมั่นใจอย่างมาก
เขาเชื่อว่าวิธีที่ตนคิดค้นขึ้นมาจะเป็นวิธีที่ล้ำหน้าและอัจฉริยะที่สุดในรอบหนึ่งแสนปีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แต่นี่ก็มิอาจบอกได้เช่นกันว่า มันจะสามารถทำให้เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ แต่ไม่มีวิธีการใดจะดีไปกว่านี้แล้ว
ทว่าในท้ายที่สุด เขาก็ทำล้มเหลว!
เขาคือหนึ่งในผู้คนที่ประสบความล้มเหลวในรอบหนึ่งแสนปีที่ผ่านมา และนั้นคือทั้งหมด
อย่างไรก็ตามแต่ ณ ตอนนี้กลับมีเซียนอาณาจักรพระเจ้าโผล่ออกมายืนอยู่ต่อหน้าต่อตาเขาจริงๆ!
ไม่มีอะไรที่จะทำให้รู้สึกแย่ไปกว่านี้แล้ว
เย่หยวนทราบดี การที่ตนปรากฏตัวขึ้นมาในเวลานี้กลับมิใช่เรื่องเหมาะสมนัก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเย่หยวนกับหลู่หลินเฟยก็มิได้ตื้นเขินนัก
หากพินิจพิจารณาให้ดี เย่หยวนก็ถือเป็นศิษย์ของหลู่หลินเฟยกลายๆ
ดังนั้นแล้ว หากต้องทนเห็นหลู่หลินเฟยถูกฆ่าตายโดยทัณฑ์ฟ้า เย่หยวนเองก็รับไม่ได้เช่นกัน
“เป็นไปไม่ได้! กระทั่งข้ายังล้มเหลว แล้วเจ้า…เจ้าทำสำเร็จได้อย่างไร?”
หลู่หลินเฟยโพล่งกล่าวขึ้นด้วยอารมณ์สุดแสนกระวนกระวายใจ
คำพูดคำจานี้ของหลู่หลินเฟยฟังดูเย่อหยิ่งถือตัวยิ่งกว่าใคร แต่ถึงกระนั้น เขามีทุนรอนมากพอที่จะทำเช่นนั้น
เขาได้คิดค้นวิธีชักนำศาสตร์แห่งสวรรค์เข้าสู่กายาโดยการพึ่งพาศาสตร์แห่งค่ายกล ความบ้าบิ่นเช่นนี้ กล่าวได้ว่าเขาไม่เป็นสองรองจากเย่หยวนเลย
แม้แต่ฟางเทียนก็ยังด้อยกว่าหลู่หลินเฟยในแง่มุมนี้
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ไม่มีสิ่งใดยากเลย เจ้าก้าวเดินในเส้นทางแห่งค่ายกล ส่วนข้าก้าวเดินอยู่บนเส้นทางแห่งโอสถ เจ้าพยายามสร้างศาสตร์แห่งสวรรค์ขึ้นมาโดยใช้ค่ายกล ข้าเองก็หลอมสร้างศาสตร์แห่งสวรรค์โดยใช้โอสถเช่นกัน และนั้นคือทั้งหมด”
สายตาของหลู่หลินเฟยผลัดเปลี่ยนเป็นความตั้งใจ เขากล่าวพึมพำขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า
“หลอมสร้างศาสตร์แห่งสวรรค์ด้วยโอสถ… หลอมสร้างศาสตร์แห่งสวรรค์ด้วยโอสถ! แค่…แค่นั้นงั้นรึ?”
ทั้งหมดมีเพียงแค่นั้นจริงๆ เพียงแต่เขาประสบความล้มเหลว ในขณะที่เย่หยวนประสบความสำเร็จ!
หลู่หลินเฟยตระหนักถึงความลึกซึ้งอันมากความหมายจากคำกล่าวของเย่หยวนได้ทันที คนหนึ่งได้รับศาสตร์แห่งสวรรค์ผ่านเส้นทางแห่งโอสถ ส่วนอีกคนผ่านเส้นทางแห่งค่ายกล
ทั้งหมดดูท่าจะคล้ายคลึงเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง!
วาจาคำพูดของเย่หยวนค่อนข้างดูคลุมเครืออย่างมาก แต่นั้นก็ทำให้หลู่หลินเฟยรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
เย่หยวนกำลังบอกเขาเป็นนัยว่า เส้นทางที่เขาเดินนั้นถูกต้องแล้ว เพียงแต่ความคิดที่นอกกรอบเกินไปจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ล้มเหลว
หลู่หลินเฟยอดนึกหวนถึงทัณฑ์ฟ้าเมื่อครู่มิได้ ความน่ากลัวนั้นได้กัดกินลึกถึงขั้วหัวใจโดยไม่รู้ตัว
ทันทีทันใดหลู่หลินเฟยพลันรู้สึกผิดประหลาดกับร่างกายตนเอง ถึงเขาจะคว้าน้ำเหลวในการก้าวขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า แต่นั้นก็ทำให้เขาสัมผัสถึงธรณีประตูแห่งอาณาจักรพระเจ้าแล้วเช่นกัน ถึงกระนั่นเอง มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับทัณฑ์ฟ้าก่อนหน้ามิได้
“เย่หยวน ทัณฑ์ฟ้าเมื่อครู่นี้…ถึงจะเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าก็ไม่มีทางต้านทานได้ไหวแน่ เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”
หลู่หลินเฟยกล่าวถามด้วยความสงสัย
ฟางเทียนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“เย่หยวนมิใช่เซียนอาณาจักรพระเจ้าทั่วไป เนื่องจากตัวเจ้าปลีกวิเวกเก็บตัวมาโดยตลอดที่ผ่านมา จึงมิอาจทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์บ้าง ณ ปัจจุบัน เย่หยวนกลายเป็นผู้ปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ความสามารถในการควบคุมเต๋าของเขาทำให้อยู่เหนือสรรพชีวิต!”
“ผู้…ผู้ปกครอง?”
ม่านตาดำของหลู่หลินเฟยหดแคบตีบตันในทันใด คำนี้สร้างความตกใจให้แก่เขาเป็นอย่างยิ่ง
เย่หยวนหันมองอีกฝ่ายและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า
“ตาแก่หลู่ เจ้าอย่าเพิ่งท้อแท้ถอดใจไป ตราบใดที่เจ้ายังคงก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางสายนี้ สักวัน เจ้าจะได้รับยอดเต๋ามาแน่นอน แก่นแท้ของสิ่งนี้หาใช่ศาสตร์แห่งสวรรค์ แต่เป็นยอดเต๋าที่ติดตัวไปจนตาย ส่วนที่ช่วยก่อนหน้า เป็นเพียงสิ่งตอบแทนที่เจ้าเคยมอบความรู้ความเข้าใจแก่ข้า”
หลู่หลินเฟยสีหน้าซีดขาวลงเล็กน้อย พลางกล่าวเย้ยหยั่นตัวเองขึ้นว่า
“การจะได้ยอดเต๋ามาหาใช่เรื่องง่ายกระมัง? เจ้าทำได้แล้วจึงกล่าวได้! บางทีเส้นทางที่ข้าเริ่มก้าวเดินตั้งแต่แรกอาจไม่ถูกต้อง ความพยายามของหลู่คนนี้นับว่าสูญเปล่าโดยแท้”
แต่เย่หยวนกลับส่ายหัวและกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า
“ยอดเต๋าทุกศาสตร์แขนงล้วนนำไปสู่จุดหมายเดียวกัน ดังนั้นความพยายามทั้งหมดของเจ้าจะไปสูญเปล่าได้อย่างไร? ในภายภาคหน้า หากข้าบ่มเพาะฝึกฝนจนสูงกว่าอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าไปแล้ว ข้าจะเป็นคนนำศาสตร์แห่งสวรรค์กลับคืนมาเอง! ยามนั้นเจ้าจะได้ขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าสมใจ! ตาแก่หลู่ โปรดดูแลตัวเองให้ดีและรอข้าจนกว่าจะถึงวันนั้น!”
ทันทีที่กล่าวตบ เย่หยวนก็พาฟางเทียนและกวนควานเทียนจากไปทันที
หลู่หลินเฟยเงยมองฟ้าไกลสุดสายตา ถึงพวกเย่หยวนทั้งสามจะจากไปแล้ว แต่เขายังคงยืนนิ่งไม่ได้สติอยู่ครู่ใหญ่
เพียงประโยคสั้นๆของเย่หยวน แต่นั้นกลับไปเปิดเผยข้อมูลอีกมากมาย!
หรือเป็นไปได้ไหมว่า เย่หยวนจะมีวิธีนำพาศาสตร์แห่งสวรรค์กลับมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อีกครั้ง?
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก!
มุมมองของเย่หยวนในปัจจุบัน เป็นจุดที่เขาไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว
นอกจากนี้ความหมายในคำกล่าวของเย่หยวนก็ยังชัดเจนยิ่ง นอกเหนือจากอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าแล้ว ยังมีอาณาจักรพลังที่อยู่สูงกว่า!
ทว่าสิ่งเหล่านั้นห่างไกลเกินไปแล้วสำหรับตัวเขา
สุดท้ายนี้ คำกล่าวทิ้งท้ายของเย่หยวนได้นำพาความหวังของหลู่หลินเฟยกลับคืนมาอีกครั้ง!
เขาที่ถูกทัณฑ์ฟ้าจากสรวงสวรรค์ฟาดเข้าใส่ นี่ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาลดลงอย่างมาก แต่ด้วยความช่วยเหลือของเย่หยวน ที่ช่วยลดทอนความรุนแรงของทัณฑ์ฟ้าไป อย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังสามารถรักษารากฐานพลังเอาไว้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดี
ตราบใดที่เขาไม่ย้อท้อและหมั่นฝึกฝนอย่างหนัก สักวันหลู่หลินเฟยจะสามารถกลับคืนสู่สภาวะสูงสุดได้อีกครั้ง
………………………
สามเดือนต่อมา ณ ดินแดนทางทิศตะวันออก จุดสิ้นสุดแห่งแดนทะเลผสานนภา ยามนี้ปรากฏกลุ่มหมอกหนาเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ
กลุ่มหมอกที่ยอดยาวสุดสายตานี้ ต่างทำให้ผู้คนรู้สึกเปลี่ยวเหงาและอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่เย่หยวนที่ทอดสายตาจับจ้องยับงรู้สึกครั่นคร้ามอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
รอบข้างเย่หยวนปรากฏหลายร่างยืนเคว้งกลางเวหา ทั้งฟางเทียน, กวนควานเทียน, เยวี่ยเมิ่งลี่, อิ้งหมัวหู่, หลงเถิง และคนอื่นๆอีกมากมายที่เดินทางมาเพื่อเฝ้าดูเย่หยวน
เบื้องหลังเย่หยวนมีสี่ร่างวิญญาณสัตว์อสูรยืนประจำตำแหน่งพร้อม ซึ่งพวกมันก็คือ จิตวิญญาณผู้พิทักษ์แห่งเผ่าสี่สัตว์เทวะนั้นเอง!
“อะไร? กลัวรึไง? เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปแล้ว! อยู่ที่นี่ดูแลผู้คนต่อไปดีกว่า! ห้วงอวกาศนั้นทั้งปั่นป่วนและอันตรายเกินจินตนาการ ร่างของเจ้าอาจถูกห้วงอวกาศไร้เสถียรนั้นฉีกเป็นชิ้นๆ! ว่าไง…เจ้ายังจะยืนยันคำเดิมอยู่หรือไม่?”
สุ้มเสียงหนึ่งแผดสะท้านฉีกห้วงแห่งความว่างเปล่าดังออกมา เขามิใช่ใครอื่นนอกจากคุนหวูอย่างไม่ผิดเพี้ยน
เย่หยวนสูดไอเย็นแช่มลึกและกล่าวตอบไปว่า
“ท่านอาวุโสอย่าพยายามโน้มน้าวใจข้าอีกเลย ผู้เยาว์คนนี้ตั้งสินใจเด็ดขาดแล้ว!”
“เฮ้ออ… เจ้าเด็กคนนี้ คงไม่คิดเหลียวกลับหากไม่ชนใต้กำแพง! ลืมมันไปเถอะ ในเมื่อเจ้าแสวงหาความตายเช่นนี้ เราเองคงห้ามมิได้เช่นกัน!”
คุนหวูกล่าวขึ้นเจือน้ำเสียงหงุดหงิดและผิดหวังในเวลาเดียวกัน
เย่หยวนเหลียวหลังหันกลับไปมองจิตวิญญาณผู้พิทักษ์ทั้งสี่อย่างแช่มช้า และกล่าวว่า
“เย่หยวนคนนี้จำต้องรบกวนพวกท่านทั้งสี่แล้ว!”
จิตวิญญาณผู้พิทักษ์ทั้งสี่นี้เป็นมวลพลังที่เกิดขึ้นจากค่ายกล จึงหาได้มีความรู้สึกนึกถึงไม่ แต่ที่ทั้งสี่ดูเชื่อฟังแบบนี้เป็นเพราะพวกมันอยู่ภายใต้การควบคุมของตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ นั้นจึงเป็นสาเหตุที่เย่หยวนสามารถนำทั้งสี่มายังที่แห่งนี้ได้
เมื่อกล่าวจบ เย่หยวนก็ชูตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา รัศมีพลังศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายเฉิดฉายไปทั่วน่านฟ้าย่านทะเลในทันที
จิตวิญญาณผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้แยกตัวออกไปยืนประจำทิศของตัวเอง จากนั้นก็เร่งโคจรพลังเวียนรอบตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่เป็นใจกลาง
ทันทีทันใดลูกพลังงานประหลาดพลันก่อตัวขึ้นเหนือร่างจิตวิญญาณทั้งสี่ เมื่อพวกมันอ้าปากพร้อมแหงนศีรษะชี้ฟ้า คลื่นพลังทั้งสี่ก็พวยพุ่งออกมาตระหง่านสูงเสียดฟ้า
“ประตูผนึกดินแดน จงเปิดออก!”
คลื่นพลังลำแสงทั้งสี่ถูกยิงออกไปและเข้าบรรจบรวมกันเหนือน่านฟ้า
กลิ่นอายบรรพกาลโบราณอย่างไม่เคยมีมาก่อนพลันถูกปลดปล่อยออกมาให้สัมผัส พร้อมกับประตูขนาดยักษ์บานหนึ่งที่ปรากฏขึ้นจากห้วงแห่งความว่างเปล่าประจักษ์แก่ทุกสายตา
มันเป็นประตูศิลาโบราณที่มีขนาดมหึมายิ่ง!
แรงกดดันที่พรั่งพรูออกจากประตูศิลาโบราณบานนี้ ต่างทำให้ทุกคนที่พบเห็นราวกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาแทบพังทลายแตกสลายในชั่วอึดใจ
เพียงแรงกดดันหอบหนึ่งที่พัดผ่านออกมา ก็สามารถสยบผู้คนจนไร้พลังอำนาจได้อย่างแท้จริง
ทั่วกายาเย่หยวนสั่นกระตุกเล็กน้อย เขาหยิบใช้ศาสตร์แห่งสวรรค์เข้าห้อหุ้มทุกคนเอาไว้ในทันที แรงกดดันปริมาณมหาศาลที่กดทับพวกเขาก่อนหน้า ยามนี้พลันอันตรธานหายสิ้นในพริบตา
ทุกคนล้วนแหงนมองประตูศิลาโบราณกลางนภาสูงนั้นด้วยความตกใจสุดขีด
“นี่คือประตูผนึกดินแดน? ช่างทรงพลังเกินไป! หากมิใช่เซียนอาณาจักรพระเจ้า แค่รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของมันก็เจียนตายแล้ว!”
ฟางเทียนกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
“นึกไม่ออกเลยว่า เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนไปรู้ความลับนี้เข้าได้อย่างไร เหอะ เจ้าพวกเห็นแก่ตัวนั้น คงเป็นการดีที่สุดแล้วที่ถูกห้วงอวกาศฉีกกระชากจนตาย!”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นด้วยอารมณ์แสนขุ่นเคือง
ตอนที่ 1287
ห้วงอวกาศสุดโกลาหล!
“ท่านอาวุโสกวนควานเทียน ท่านอาวุโสฟางเทียน หลังจากนี้ที่เย่หยวนไม่อยู่ ต้องรบกวนฝากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไว้กับพวกท่านแล้ว!”
เย่หยวนผสานมือคาราวะทั้งสอง
ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง เย่หยวนจำต้องจากลาบ้านเกิดพร้อมกับความรู้สึกมากมายที่ทิ้งทวนอยู่ภายในใจ
สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบ ความอาลัยที่ก่อตัวขึ้นในใจนี้ช่างยากนักที่จะลบเลือน
สำหรับบ้านหลังนี้ของเขา เย่หยวนย่อมเป็นห่วงอย่างยิ่งถึงความปลอดภัยในอนาคต
ฟางเทียนกล่าวตอบว่า
“จงไปเถอะ ตราบใดที่ยังมีข้ากับกวนควานเทียนอยู่ จะมีใครหน้าไหนกล้าทำอันตรายต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้? นอกจากนี้ก็ยังมีหลู่หลินเฟยอยู่อีกคน เมื่อไม่กี่วันก่อน มิทราบเช่นกันว่า หลู่หลินเฟยไปกินยาผิดขวดหรือไม่ จู่ๆเขาก็เดินทางมาหาเฉาหยุนจือ พร้อมขอดำรงตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสแห่งหออาญาสิทธิ์”
เย่หยวนประหลาดใจอย่างมากเมื่อได้ฟังเช่นนั้นและกล่าวว่า
“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า ตาแก่นั้นจะตัดสินใจเช่นนี้จริงๆ”
จอมราชันย์ต้าเยียนล้วนเคลื่อนไหวเป็นอิสระจากทุกฝักฝ่าย เขาไม่เคยเข้าร่วมหรือช่วยเหลือกลุ่มอำนาจใดมาก่อนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และแน่นอน เขาเป็นคนที่ไม่เคยสนใจสถานการณ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แม้สักนิดว่าจะดีหรือร้าย
เย่หยวนคาดไม่ถึงจริงๆว่า จู่ๆหลู่หลินเฟยจะเดินทางเข้ามาหาและขอเข้าร่วมหออาญาสิทธิ์ของเขาเองเช่นนี้
กวนควานเทียนยิ้มและกล่าวเสริมขึ้นว่า
“นี่ก็มิใช่เพราะเจ้าหรอกรึ? คุณบุญย่อมต้องทดแทน นี่คือความกตัญญูที่เจ้าช่วยชีวิตเขา!”
เย่หยวนรวนหัวเราะเล็กน้อยและมิกล่าวอันใดตอบ
มีเหล่าเซียนจำนวนมากขนาดนี้อยู่ประจำการ คาดการณ์ได้ว่าคงไม่มีมรสุมใดเกิดขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกสักพักใหญ่ๆ เมื่อทราบเช่นนี้ เย่หยวนก็สามารถจากไปได้อย่างสบายใจ
“ท่านอาวุโสหลงเถิง ขอบพระคุณยิ่งสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา!”
เย่หยวนคุกเข่าและก้มกราบต่อแทบเท้าหลงเถิง
หลงเถิงผู้นี้เปรียบเสมือนอาจารย์ของเย่หยวน เขาจะค่อยอยู่เบื้องหลังและสนับสนุนเย่หยวนอยู่เสมอมา
ก่อนหน้านี้ เพื่อถ่วงเวลาให้เยวี่ยเมิ่งลี่พาเย่หยวนหนีตายออกไป หลงเถิงไม่ลังเลที่จะสละชีพหวังสู้ตายกับข่านนั่ว แล้วนี่จะมิให้เย่หยวนรู้สึกซาบซึ้งได้อย่างไร?
“ไปเถอะ เจ้าไปได้แล้ว! หลังจากนี้จงดูแลตัวเองให้ดี!”
หลงเถิงกล่าวทั้งน้ำตาที่ไหลริน
เย่หยวนลุกขึ้นพร้อมพยักหน้าตอบอย่างเคร่งขรึม และตรงมาหาอิ้งหมัวหู่เป็นลำดับถัดไป
ทั้งสองโผเข้ากอดกันแน่นไม่คลายออก
ระหว่างสายสัมพันธ์พี่น้อง พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้วาจาสื่อสารกันจนเกินไป
“พี่ใหญ่ โปรดก้าวเดินต่อไปข้างหน้าก้วยความภาคภูมิ หลังจากนี้ข้าจะหมั่นฝึกฝนอย่างหนัก ยามใดที่ท่านสามารถนำพาศาสตร์แห่งสวรรค์กลับคืนมาได้ ข้าจะเร่งเดินทางไปหาท่านที่มหาพิภพถงเทียนโดยทันที!”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
เย่หยวคลี่หัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เจ้าน้องรัก! ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่มหาพิภพถงเทียน!”
ข้างๆอิ้งหมัวหู่ ลู่เอ๋อยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นจนน้ำตาแอบชโลมทั่วทั้งใบหน้า
“นายน้อย ลู่เอ๋อ…ลู่เอ๋อไม่อยากให้ท่านไปเลย! ฮึก.. ฮึก…”
เย่หยวนดึงลู่เอ่อเข้ามาในอ้อมกอด พลางลูบไรผมอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า
“ลู่เอ๋อ เจ้าจะต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดีเช่นกัน เมื่อเจ้าสามารถก้าวขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ นายน้อยคนนี้จะพาเจ้าขึ้นสู่มหาพิภพถงเทียนด้วยกัน เจ้าว่าดีหรือไม่?”
ลู่เอ๋อผลักเย่หยวนจากอ้อมกอดเบาๆและกล่าวทั้งน้ำตาว่า
“นายน้อยต้องรักษาคำพูด!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มและกล่าวขึ้นว่า
“แล้วนายน้อยคนนี้เคยโกหกเจ้าหรืออย่างไร?”
ลู่เอ๋อปาดน้ำตาเล็กน้อย นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า
“ลู่เอ๋อทราบดี นายน้อยเก่งที่สุด! โปรดมั่นใจได้เลย ลู่เอ๋อจะตั้งใจบ่มเพาะฝึกฝนเพื่อสักวันจะได้ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าไปหานายน้อย!”
ในส่วนของเยวี่ยเมิ่งลี่ สีหน้าของนางยังคงนิ่งสงบคล้ายกับไม่แยแสใดๆ
เย่หยวนที่เห็นแบบนั้นพลันถอนหายใจเล็กน้อย พร้อมกล่าวขึ้นว่า
“ลี่เอ๋อ เจ้าเองก็เหมือนกัน”
พอได้ยินดังนั้น สีหน้าการแสดงออกของเยวี่ยเมิ่งลี่ตกลงทันที แต่นางเพียงแค่พยักหน้าตอบและเบี่ยงสายตาไปทางอื่น
เย่หยวนตระหนักทราบดี ภายในใจของนางเต็มไปด้วยพูดหลากอารมณ์มากมาย ทว่าทั้งหมดล้วนถูกกักเก็บอยู่ภายในใจ
หากกล่าวตามสัตย์จริง ในบรรดาคนรอบข้างของเย่หยวนทั้งหมด คนที่ทนไม่ได้กับการจากไปของเย่หยวนที่สุดก็คือ เยวี่ยเมิ่งลี่
ซึ่งเยวี่ยเมิ่งลี่ก็ทราบดี หากนางแสดงอาการออกไป เย่หยวนคงลำบากใจที่จะจากไปไม่น้อย
ดังนั้นนางจึงพยายามข่มกลั้นความรู้สึกเอาไว้
เย่หยวนอ้าปากขึ้นคล้ายต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็มิได้กล่าวอะไรออกมา
ในเวลานี้ ทุกคำพูดกลับดูอ่อนแอไปหมด
หลังจากนี้ต่อไป เขาจะอยู่หรือตายกลับยากที่จะคาดเดา
นั้นคือมหาพิภพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขาทุกคนเองก็มิอาจคลายใจลงได้เช่นกัน
นี่คล้ายกับตอนที่เย่หยวนกำลังจะเดินทางเข้าสู่หุบเขาเหวพระเจ้าในตอนนั้น เขาไม่สามารถเอ่ยปากรับประกันอันใดได้เลย
“ข้าขอลา!”
เย่หยวนข่มใจแข็ง หมุนตัวกลับไปทันทีพร้อมทะยานขึ้นไปยังประตูผนึกดินแดนโดยตรง
ลี่เอ๋อในยามนี้มิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้ไหวอีกต่อไป นางแหงนศีรษะขึ้นมองแผ่นหลังของเย่หยวนและตะโกนลั่นสุดเสียงไปว่า
“พี่ใหญ่หยวน! สักวันลี่เอ๋อจะไปหาท่านให้ได้! ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟเพียงใด ข้าจะต้องได้พบหน้าท่านอีก! โปรดดูแลตัวเองให้ดี!”
ร่างของเย่หยวนหยุดชะงักฉับพลัน แต่เขาไม่ยอมเหลียวหลังกลับมามองสักนิด ก่อนทะยานหายไปในประตูผนึกดินแดนในท้ายที่สุด
เขากลัวว่า หากเหลียวหลังกลับไปมอง เขาจะไม่สามารถตัดใจจากไปได้
ทันทีที่เงาร่างเย่หยวนอันตรธานหายไปจากสายตาของนาง ดั่งแขนขาเยวี่ยเมิ่งลี่ไร้สิ้นเรี่ยวแรง พร้อมทรุดฮวบลงกันพื้นในทันใดอย่างน่าใจหาย
ลู่เอ๋อตื่นตกใจยิ่งเมื่อเห็นแบบนั้น พร้อมรีบเข้าประคองร่างนางและกล่าวทั้งน้ำตาว่า
“พี่ลี่เอ๋อเป็นอะไรหรือไม่! นายน้อย…นายน้อยต้องปลอดภัยแน่นอน!”
ยามนี้เยวี่ยเมิ่งลี่ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดเสมือนเขื่อนน้ำตาที่อดกลั่นเอาไว้แตกออก ใบหน้าอันแสนงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่เปียกชุ้มไปด้วยธารน้ำตา
“ข้ารู้…ข้ารู้! เขาจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน!”
เยวี่ยเมิ่งลี่สะลักน้ำตาเล็กน้อย
จากนั้นสองสาวก็กอดกันร้องไห้อย่างสุดแสนอาลัยอาวรณ์ เมื่อทุกคนที่อยู่โดยรอบเห็นภาพฉากนี้ แต่ละคนก็เริ่มกลั่นน้ำตากันไว้ไม่อยู่ หยาดน้ำตาค่อยๆไหลรินออกมาโดยมิตั้งใจ
สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงสวดภาวนาขอให้เย่หยวนปลอดภัยจากห้วงอวกาศอันโกลาหลนั้น
……………………..
เบื้องหน้าเย่หยวนปรากฏเป็นห้วงมิติสีเทาขุ่น ไร้เส้นทางการเดินใดๆ
มีเพียงมวลพลังงานไร้เสถียรที่พักผ่านระลอกแล้วระลอกเล่าจนเกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรง
ทั้งแรงเสียดทานและความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ก่อให้เกิดแรงฉีกกระชากรุนแรงอย่างหาพรรณนาไม่ ประหนึ่งว่านี่คือคลื่นทะเลเดือดแห่งห้วงอวกาศ
แน่นอนว่าพลังงานเหล่านี้มีทั้งแกร่งกร้าวและอ่อนแอผสนเจือปนกันไป
พลังงานที่ไร้ความสมดุล ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้า ก็ไม่สามารถรับประกันได้เช่นกันว่าจะรอดออกไป
ผู้อ่อนแอจากเก้าในสิบล้วนต้องพบจุดจบและตายลง มีเพียงผู้แข็งแกร่งแค่หนึ่งเดียวที่สามารถฝ่าฟันออกไปได้
ณ ตอนนี้เย่หยวนเพิ่งก้าวผ่านประตูผนึกดินแดนไป กระแสความปั่นป่วนในห้วงอวกาศจึงยังมิได้รุนแรงเท่าไหร่นัก
ยิ่งฝ่าเข้าไปลึกเพียงใด กระแสพายุไร้เสถียรเหล่านั้นจะยิ่งทวีความดีเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ!
และจะเป็นเช่นนี้ตลอดทาง หากฝ่าไม่ถึงทางออกเสียก่อน ก็ต้องตายลงอย่างน่าเวทนาภายในนี้
หากต้องการเดินทางผ่านห้วงอวกาศอย่างปลอดภัย อย่างน้อยที่สุดบุคคลนั้นจะต้องเป็นยอดเซียนอาณาจักรเทพถ่องแท้!
ดังนั้นจึงสาเหตุที่คุนหวูมักกล่าวย้ำกลับเย่หยวนอยู่เสมือนว่า การที่จะเดินทางเข้าไปในห้วงอวกาศนั้นเท่ากับรนหาที่ตาย!
ที่เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนกล้าเดินทางออกไป ก็เพราะพวกเขาอาศัยจำนวนเข้าสู้คล้ายเป็นหลักประกันชีวิต ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่อย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยเพิ่มแสงแห่งความหวังแก่พวกเขาได้บ้าง
ตามที่คุนหวูบอกไป ถึงแม้พวกเขาเหล่านั้นจะสามารถฝ่าออกไปได้ แต่ถ้าหากรอดเกินห้าคนนั้นนับว่าปาฏิหาริย์แล้ว
แน่นอนว่าเขามองในแง่ดีสุดๆแล้ว
ท้ายที่สุดนี้ ความเป็นไปได้สูงสุดที่เกิดขึ้นกับพวกเขาคือ…ไม่มีใครรอดออกมาได้แม้แต่คนเดียว!
ดังนั้น เย่หยวนที่เพิ่งขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้หมาดๆ แต่กลับหาญกล้ากล่าวว่า ตนต้องการจะฝ่าห้วงอวกาศออกไป นี่ทำให้เขาไม่ต่างอะไรจากคนโง่เลย!
กระแสพายุอันไร้เสถียรในห้วงอวกาศยังมิใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด แต่เป็นเศษซากดินแดนในอวกาศ!
เมื่อดินแดนหนึ่งเกิดการล้มสลายตามวัฎจักร มันจะเข้าชนกับดินแดนอื่นๆจนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และด้วยแรงส่งจากกระแสพายุไร้เสถียรกลางห้วงอวกาศนี้ จะยิ่งทำให้เศษซากเหล่านี้อันตรายมากขึ้นยิ่ง แม้กระทั่งเซียนอาณาจักรนภาสวรรค์ ยังอาจถึงแก่ชีวิตทันทีหากพลาดท่าชนเข้ากับเศษซากดินแดนอวกาศ!
เย่หยวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆและควบแน่นเขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบให้แคบลงเหลือแค่รัศมีสิบฉื่อ ในขณะเดียวกัน เขาก็เร่งโคจรเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำถึงขีดสุด เข้าปกคลุมร่างกายอีกชั้นหนึ่ง!
หลังจากทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า พลังการป้องกันของเย่หยวนก็ทรงพลังแกร่งกล้าจนเกินขอบเขตความเข้าใจไปโดยสิ้นแล้ว
เขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบที่ผนวกรวมกับเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำ ภายใต้ขุมพลังแห่งอาณาจักรพระเจ้า ความทรงพลังของมันไม่สามารถกล่าวบรรยายได้ในหนึ่งลมหายใจ
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือ แม้แต่เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า,จั่วซ่งก็ไม่สามารถทำอะไรกวนควานเทียนได้ และนี่เป็นแค่เคล็ดสมับิตศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำเท่านั้น เห็นได้ชัดว่า ปราการป้องกันเหล็กกล้าที่ห่อหุ้มเย่หยวนเอาไว้มันทรงประสิทธิภาพเหนือจินตนาการเพียงใด
ก้าวย่างเข้าสู่ห้วงอวกาศประดุจทะเลเดือดแสนโกลาหล กระแสพายุอันสุดแสนจะรุนแรงนับไม่ถ้วนเข้าโจมตีหวังฉีกกระชากร่างเย่หยวนจากทั่วสารทิศ
ร่างของเย่หยวนถูกจมลงในกระแสคลื่นพายุทันที
เฉพาะยามนี้เท่านั้น ในที่สุดเย่หยวนก็ตระหนักได้แล้วว่า เหตุใดคุนหวูถึงกล่าวย้ำแล้วย้ำอีก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น