Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1256-1265

 ตอนที่1256 วิถีดาบสารทิศ!


 


หลังซัดพาฝ่ามือออกไป เก้าผีร้ายเร่งผนึกกำลังโคจรพลังร่ายคาถาโดยเร็ว ในไม่ช้าตราสาปภูตวิญญาณที่ฝังลึกในตัวเขาก็สลายหายไป


 


“เป็นไปไม่ได้! เจ้า…เจ้าสำเร็จศาสตร์แห่งสวรรค์ขั้นสองได้อย่างไร?”


 


“เจ้าหนู เจ้าจักต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำลงไป!”


ไม่ว่าจะเป็นทั้งจู่เก๋อฉิงซวนหรือหลีกุย ทั้งคู่ต่างปะทุโทสะเดือดดาลขึ้นทันทีในเวลานี้


สมญานาม จอมราชันย์อันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่มันภาคภูมิใจยิ่งกลับถูกกระชากแสกหน้าไม่เหลือ ส่วนอีกคน ธงอัตลักษณ์วิญญาณ ของวิเศษคู่กายตั้งแต่สมัยบรรพกาลก็ยังถูกฉกไปต่อหน้าตา แถมยังต้องแพ้ให้กับของๆตัวเองอีก


ความระทมขื่นขมชนิดนี้ ไม่ว่าใครต่างต้องเป็นบ้าไปตามๆกัน


 


เย่หยวนกล่าวเอ่ยตอบอย่างเฉยเมยว่า


“พวกเจ้าทั้งคู่เล่นถามมาพร้อมกันเช่นนี้ แล้วข้าควรจะตอบใครก่อนดี?”


 


“เหอะ เจ้าหลบไปเถอะ เจ้ามิใช่คู่มือของเจ้าเด็กนี่! ให้ข้าออกโรงเอง!”


จู่ๆหลีกุยก็เอ่ยขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ


 


“ไม่มีทาง! เป็นไปได้รึที่ข้า,จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์มิใช่คู่มือของไอ้เด็กเหลือขอนี่?”


จู่เก๋อฉิงซวนปฏิเสธเสียงแข็ง


มันยังจำได้ดี ตอนนั้น ณ นอกเมืองนภาศักดิ์สิทธิ์ ยามสัประยุทธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง เย่หยวนกลับมิใช่คู่มือของมันได้แม้สักนิด


แล้วนี่วันเวลาผ่านไปนานเพียงใดกัน?


ยามนี้กลับเป็นที่มิเข้าคู่กับไอ้เด็กเหลือนี่?


 


สีหน้าการแสดงออกของจู่เก๋อฉิงซวนดูปรวนแปรสลับสับสนอย่างไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่า จิตวิญญาณทั้งสองภายในร่างกำลังขัดแย้งกันหนัก และเข้าตีกันหวังเพื่อยึดสิทธิการควบคุมร่างกาย


 


“เจ้าโง่! คิดหรือว่า แค่มีพรสวรรค์มากมายจนได้ยกยอว่าเป็นอันดับหนึ่ง จะทำให้เจ้าไร้เทียมทานใต้แผ่นฟ้า? ในปีนั้น กระทั้งข้า,โคตรบิดาผู้นี้ยังไม่กล้ากล่าวเลยว่า เหนือฟ้าใต้สวรรค์ข้าคืออันดับหนึ่ง! แล้วเจ้าเป็นใครกัน?”


หลีกุยกล่าว


 


“หึ! นั้นเป็นเพราะข้ามิได้โชคดีเกิดในยุคสมัยที่ศาสตร์แห่งสวรรค์ยังคงรุ่งโรจน์! มิฉะนั้นความสำเร็จของข้าผู้นี้คงมิได้อยู่ใต้จั้วซ่งเช่นกัน!”


ทว่าจู่เก๋อฉิงซวนกล่าวโต้เปี่ยมด้วยความมั่นใจ


 


ในที่สุดจู่เก๋อฉิงซวนยังคงประคองสติควบคุมร่างกายได้ต่อ ยามนี้ทั้งความคิดและจิตใจของมันเข้าปกครองโดยสมบูรณ์ สีหน้าการแสดงออกของมันเฉียบเย็นลงในทันที พร้อมนัยน์ตาไสวฉายแววอำมหิตหลายส่วน


พลังปราณทั้งหมดทั่วกายาไหลบ่าพรั้งพรูออกมาอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นอายคุกคามหอบยักษ์ลันทะลักออกจากร่างของมัน


 


เมื่อเห็นภาพฉากนี้ เย่หยวนถึงกับหรี่ตาแคบเล็กน้อย พลางกดสายตาจับจ้องอย่างตั้งใจ ยามนี้เขาเคร่งขรึมขึ้นในทันใด


 


“เจ้าบ้าไปแล้วรึไง? ความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งสวรรค์ของเจ้ายังไม่เพียงพอที่จะสำแดงใช้วรยุทธระดับนี้ออกมา! หากปลดปล่อยมันออกไป นั่นจะเป็นการสูบพลังชีวิตออกไปด้วย!”


หลีกุยผู้นี้เป็นใคร? มันเคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด ศาสตร์แห่งสวรรค์ที่มันบรรลุช่างลึกซึ้งถ่องแท้ ในตอนนี้เห็นจู่เก๋อฉิงซวนฝืนใช้พลังเกินตัว มีหรือจะไม่ทราบผลข้างเคียง?


 


ตามที่มันกล่าวไปไม่มีผิด เนื้อหนังร่างกายของจู่เก๋อฉิงซวนดูเหี่ยวย่นลงอย่างรวดเร็ว!


ทว่ามันกลับหาได้สนใจไม่ และยังคงระดมพลังปราณสุดขีดเพื่อปลดปล่อยกระบวนโจมตีเต็มสูบ!


แรงขับเคลื่อนที่มันสู้ตายขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะความเกลียดชังริษยาจากก้นบึ้งในใจของมัน!


 


“เจ้าบ้าไปแล้ว! เจ้าบ้าไปแล้วจริงๆ!! หากปล่อยให้พระเจ้าผู้นี้ลงมือทุกอย่างคงจบไปแล้ว! นี่คิดจะพลีชีพไปพร้อมมัน? เจ้าโง่!”


หลีกุยกรีดร้องลั่นระงมพลางส่งเสียงเย็นสะท้านผิดประหลาด ทว่าจู่เก๋อฉิงซวนกลับมิได้สนใจมันแม้แต่น้อย


มันต้องการตายไปพร้อมกับเย่หยวน!


 


“ดัชนี…เทพ…เลิศล้ำ!”


 


จู่เก๋อฉิงซวนในตอนนี้กลายเป็นคนชราภาพเนื้อหนังเฉาติดกระดูก มันกู่ก้องคำรามเอ่ยนามกระบวนโจมตีสุดท้ายดังลั่นออกจากปาก


 


เมื่อเห็นภาพฉากนี้ เย่หยวนอดแสยะยิ้มเย็นมิได้และกล่าวว่า


“จุจุ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว วรยุทธเห็บเหาเช่นนี้มีคุณสมบัติลากข้าลงนรกพร้อมกันจริงรึ?”


 


วูบบ…


เย่หยวนเรียกดาบพิชิตมารฟ้าออกมา จิตสังหารแห่งดาบที่แครงเคลือบช่างน่าสะพรึงขวัญดั่งปรารถนาโถมซัดสรวงสวรรค์!


รัศมีกลิ่นอายของจู่เก๋อฉิงซวนก็แกร่งกร้าวยิ่งเช่นกัน ทว่าเปรียบกับจิตสังหารแห่งดาบของเย่หยวนแล้ว ความยิ่งใหญ่ของมันกลับถูกบดบังจนมิด!


 


แรกเห็นจิตสังหารแห่งดาบอันน่าประทับใจของเย่หยวน หลีกุยถึงกับอุทานลั่นขึ้นว่า


“ดาบพิชิตมารฟ้า! สูตรจอมดาบพิชิตมารฟ้าขั้นสาม! วิถีดาบสารทิศ! ไอ้หัวหมูยังไม่หยุดอีก! ต่อให้เจ้าเด็กนี่มิได้ใช้ดาบพิชิตมารฟ้าช่ำชองเท่าเจ้าของเก่ามัน แต่ต่อหน้าวิถีดาบสารทิศ เจ้ากลับมิได้เข้าคู่เลย! หยุดโจมตีเดี๋ยวนี้!”


หลีกุยรู้จักสูตรจอมดาบพิชิตมารฟ้านี้เป็นอย่างดี ยังไม่ทันที่เย่หยวนจะได้เคลื่อนไหว มันก็มองผ่านอ่านกระบวนได้แจ่มแจ้ง


สูตรดาบพิชิตมารฟ้าเป็นเพียงขั้นพื้นฐานของเพลงดาบเลื่องสวรรค์ โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นวรยุทธที่ไม่มีระดับชั้น หากมิใช่เซียนเต๋าสวรรค์ที่สามารถต่อยอดจนสำแดงเพลงดาบเลื่องสวรรค์ออกมาได้ ต่อหน้าเซียนอาณาจักรพระเจ้าด้วยกัน นี่ไม่นับเป็นอันใด กระนั้นเอง อนุภาพของกระบวนดาบนี้ยังคงเหนือชั้นกว่าดัชนีเทพเลิศล้ำอยู่หลายขุม!


 


ทั้งสองฝ่ายมิได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างชัดเจน!


เย่หยวนเหนือกว่าโดยสิ้นเชิง!


 


หลีกุยทราบดี จู่เก๋อฉิงซวนคือยอดอัจฉริยะขนานแท้ที่จะมีสักคนในรอบหนึ่งแสนปี ดังนั้นมันจึงกล้าโยกย้ายจิตวิญญาณเข้าสิงสู่ในร่างของอีกฝ่าย


แต่เมื่อหลีกุยได้เห็นดาบพิชิตมารฟ้าของเย่หยวน มันก็ทราบได้ทันที เหนือฟ้ายังมีฟ้า!


 


จู่เก๋อฉิงซวนคืออัจฉริยะในรอบแสนปี


แต่…


เย่หยวนกลับเป็นยอดอัจฉริยะในรอบล้านปี!!


 


หลีกุยมั่นใจอย่างยิ่ง กระทั้งเซียนเต๋าสวรรค์ยังมีพรสวรรค์อ่อนด้อยกว่าเย่หยวน!


ถึงแม้จะเป็นเพียงสูตรจอมดาบพิชิตมารฟ้า ที่เป็นกระบวนพื้นฐานที่สุดของเพลงดาบเลื่องสวรรค์ แต่นั้นก็มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำความเข้าใจจนประสบความสำเร็จได้


ในทางตรงกันข้าม นี่เป็นเพลงดาบที่เข้าใจได้ยากยิ่ง


แต่ปรากฏว่า เย่หยวนสามารถสำเร็จได้ถึงขั้นสามแล้วจริงๆ


มาตรได้ว่า เย่หยวนเริ่มเข้าใกล้เพลงดาบเลื่องสวรรค์ไปทีละนิดแล้ว และนั้นเป็นวรยุทธเพลงดาบที่น่าสะเทือนขวัญอย่างแท้จริง!


อย่างไรก็ดี ดัชนีเทพเลิศล้ำคือไพ่ตายท้ายสุดของจู่เก๋อฉิงซวนแล้ว ไม่ว่าเป็นตายอย่างไรมันก็จะสำแดงใช้ออกมาให้ได้


 


บูมมมม!!


 


สองสุดขั้วพลังสุดแกร่งกล้าอันกอปรไปด้วยศาสตร์แห่งสวรรค์เข้าปะทะกันหนักหน่วงจนสะเทือนฟ้าดิน แรงระเบิดที่ถีบซัดออกมาแผดขยายกว้างล้างสรรพสิ่งโดยรอบจนเหลือแค่ความว่างเปล่า


การสัประยุทธ์คราวนี้ ค่าควรแก่การขนานนามยิ่งว่า ศึกสัประยุทธ์หยุดพิภพแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์!


จอมราชันย์อันดับหนึ่งที่ดำรงตำแหน่งนานถึงสองพันปีเต็ม บัดนี้ได้ฤกษ์ถอดถอนรายนามออกจากทำเนียบเสียที!


แม้ว่าจู่เก๋อฉิงซวนจะได้รับคำชี้แนะมากมายจากข่านนั่ว แค่แนวคิดของมันยังคงมีขีดจำกัด


ถึงอาณาจักรพลังของมันจะสูงกว่าเย่หยวน


ทว่าผลลัพธ์ที่ได้คือความพ่ายแพ้ในท้ายที่สุด!


 


ร่างอันบอบช้ำของจู่เก๋อฉิงซวนบินกระเด็นไกลโขดั่งว่าวไร้เชือก พร้อมตกกระแทกพื้นจนเป็นรูโหวขนาดยักษ์อย่างแรง และนอนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนใดๆอีกต่อไป


อย่างไรก็ตาม สภาพของเย่หยวนในขณะนี้ก็มิใช่ว่าดีนัก


 


อาการบวดเจ็บก่อนหน้ายังไม่สร่าง ครั้งนี้ยังสำแดงใช้วิถีดาบสารทิศเต็มสูบ ไม่เพียงภาระมหาศาลที่ร่างกายจำต้องแบกรับ แต่พลังปราณทั้งหมดในร่างยังถูกสูบไม่เหลือ


อย่ามองแคลนเพียงว่า ระหว่างจู่เก๋อฉิงซวนกับเย่หยวน อาณาจักรพลังมิได้ห่างชั้นกันนัก


เพราะการสัประยุทธ์ระดับชั้นยอดฝีมือ ความแตกต่างเพียงนิดเดียวอาจมีผลถึงความตาย


ท้ายที่สุดนี้ สำหรับชัยชนะของเย่หยวน ทั้งหมดเป็นเพราะศาสตร์แห่งสวรรค์ที่ลึกซึ้งกว่าอย่างชัดเจน!


 


สีหน้าของเย่หยวนซีดขาวราวกับกระดาษแผ่นบาง ทั่วร่างกายาสลดวูบทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง


 


“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”


 


หลังจากเห็นว่าเย่หยวนยังพอโคจรพลังปราณฟื้นฟูร่างกายได้บ้าง อิ้งหมัวหู่พลันเสียงหัวร่อคำโตและโพล่งกล่วาขึ้นอย่างตื่นใจว่า


“ฮ่าฮ่า! ช่างน่าทึ่ง! พี่ใหญ่สุดยอดโดยแท้! ไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่า สูตรจอมดาบพิชิตมารฟ้าของท่านจะสำเร็จถึงขั้นสามแล้ว! ไม่เพียงฤทัยแห่งฟ่านจู้หลง ความสำเร็จในศาสตร์แห่งดาบของท่านกลับยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน! สังหารจอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์ทิ้งเสร็จสรรพ ณ ปัจจุบัน ท่านคือจอมราชันย์อันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง!”


 


เย่หยวนกลืนโอสถฟื้นฟูพลังปราณไปเม็ดหนึ่ง พลางส่ายหัวและกล่าวพลางคลี่ยิ้มว่า


“อันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์? หุหุ,ช่างเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี! ท่านอาวุโสฟางเทียนยอมเสียสละเพื่อปลุกปั้นเหล่านักสู้ของมวลมนุษย์ให้ตระหนักถึงภัยร้ายในอนาคตเบื้องหน้า ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเขาอีกแล้ว! ถึงอย่างนั้น เหนือฟ้ายังมีฟ้า ดินแดนแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล ซ่องสุมพยัคฆ์มังกรไม่รู้มากมายเท่าไหร่ เพียงว่ามีพวกไร้ยางอายบางคนหวังแต่ผลประโยชน์ตรงหน้า จู่เก๋อฉิงซวนคือผลผลิตของชนรุ่นก่อนที่เห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง วันๆเอาแต่ดื่มด่ำกับความสุข ทั้งๆที่ภายนอกกำลังเดือดร้อนแทบลุกเป็นไฟ!”


ในท้ายที่สุดนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังคงใหญ่เกินไปสำหรับคนโดยส่วนใหญ่ แม้ว่าฟางเทียนจะงัดเอาความสามารถพิเศษ,ไขความลับแห่งสรวงสวรรค์มาใช้เพียงใด แต่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะคำนวณสรรพสิ่งได้เสร็จสับ


อย่างน้อยที่สุด ภายในหุบเขาเหวพระเจ้า ฟางเทียนก็มิอาจมองผ่านออกอนาคตออกได้โดยสมบูรณ์เช่นกัน ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่าสิบจอมราชันย์ไม่รู้จำนวนมากมายเท่าใด


และสิ่งมีชีวิตอันทรงพลังเหล่านั้นโดยส่วนใหญ่ ต่างอาศัยอยู่ภายในเขตพระเจ้าต้องห้าม


ดังนั้นแล้ว นามขาน,จอมราชันย์อันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เป็นฟางเทียนหรือเซียนเต๋าสวรรค์ พวกเขาเองก็ไม่กล้ารับสมญานามนี้เช่นกัน


 


จู่เก๋อฉิงซวนเพิ่งลืมตาดูโลกในยุคสมัยหลังๆ ทว่ากลับมองตัวเองว่าเป็นจอมราชันย์อันดับหนึ่ง แถมยังคิดว่าตนคือผู้นำที่แกร่งกล้าที่สุดแห่งทำเนียบสิบจจอมราชันย์อีก เหนือพิภพใต้สวรรค์มันไร้เทียมทาน!


 


ทว่ากลับหารู้ไม่ว่า มันเป็นเพียงกบน้อยในก้นบ่อเท่านั้น!


 


จู่ๆสีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนพลันเปลี่ยนไปในบัดดล


 


“ฮิฮิ… เจ้าหนู,ข้าต้องขอบใจเจ้าจริงๆ! ในที่สุดไอ้โง่นั้นก็ทำร้ายตัวเองจนตาย พระเจ้าผู้นี้จะได้ครอบครองร่างโดยสมบูรณ์เสียที!”


จู่เก๋อฉิงซวนกลับหาใช่จู่เก๋อฉิงซวนคนเดิมอีกต่อไป ทันทีทันใดกลิ่นอายพลังที่พรั้งพรูพลันลึกซึ้งและแกร่งกล้ายิ่งกว่าก่อนหน้าหลายขุม!


ตอนที่1257 สองจังหวะรวด


 


“ไปเร็ว!”


เย่หยวนหาคิดลังเลไม่ เสี้ยวพริบตาตัดสินใจได้เบ็ดเสร็จ เขานำตัวเองและลี่เอ๋อหนีเข้าสู่เจดีย์เลื่องสวรรค์ทันทีและให้อิ้งหมัวหู่เป็นคนพกติดตัวไป


เขากับอิ้งหมัวหู่ไม่จำเป็นต้องสื่อสารอะไรกันมาก กล่าวได้ว่าแค่มองตาก็เข้าใจ


ยามนี้อิ้งหมัวหู่ไม่พูดพร่ำทำเพลง พร้อมใช้สำแดงวรยุทธเคลื่อนที่ถึงขีดสุดสับฝีเท้าทะยานหนีสุดชีวิต!


แม้ว่าอิ้งหมัวหู่จะไม่มีวิชาข้ามมิติแบบเย่หยวน แต่ความเร็วของเขาก็มิได้ช้ากว่าเย่หยวนมากนัก


นามขานประมุขน้อยแห่งเผ่าพยัคฆ์ขาวคลื่นวาตะในปีนั้นหาใช่เรื่องเล่นๆไม่


 


ปัจจุบัน แม้แต่หลีกุยยังคาดไม่ถึงว่า เย่หยวนจะตัดสินใจเด็ดขาดและเลือกที่จะหนีเช่นนี้จริงๆ


มันถึงกับยืนงงอยู่ครู่หนึ่งด้วยความตะลึงใจ


 


“ฮิฮิ เจ้าเด็กนี่มันของจริง! ยามใดแข็งยามใดอ่อนรู้จักเลือกใช้ตามสถานการณ์! มิได้เหมือนกับเจ้าโง่จู่เก๋อฉิงซวน มีแต่กำลังกลับไร้สมอง!”


หลังจากที่พลันประหลาดใจเล็กน้อย หลีกุยถอนหายใจด้วยความชื่นชมอยู่หนึ่งคำ ก่อนเคลื่อนออกไปไล่ติดตามอิ้งหมัวหู่ ร่างนี้แปรสภาพกลายเป็นสายฟ้าวูบวาบโฉบแล่นไล่หลังมาติดๆ มันเร็วกว่าอิ้งหมัวหู่อย่างเห็นได้ชัด


 


อิ้วหมัวหู่ที่เหลียวหลังเห็นดังนั้นถึงกับตื่นตระหนกยกใหญ่ เร่งเอ่ยปากถามไถ่เย่หยวนในเจดีย์เลื่องสวรรค์ว่า


“อย่างไรดีพี่ใหญ่? เจ้านั้นมันเร็วมาก!”


“ไม่ต้องไปสนใจ! ยามนี้หนีไปให้ไกลที่สุด แล้วรอคำแนะนำของข้าอีกที!”


เย่หยวนเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม


เขาในตอนนี้กำลังฟื้นฟูร่างกายอย่างหนักภายในเจดีย์เลื่องสวรรค์อยู่


 


อิ้งหมัวหู่กัดฟันฮึด สับฝีเท้าสุดกำลังตรงเข้าสู่ส่วนลึกของเขตพระเจ้าต้องห้ามไป


การไล่ล่าครั้งนี้กินเวลายาวนานถึงสองชั่วยาม มีเพียงสวรรค์ที่ทรงทราบว่า ทั้งสองวิ่งไล่กันมาไกลเท่าใดแล้ว


 


“ฮิฮิ เด็กน้อย,ความเร็วของเจ้าก็ไม่เลว ทว่าต่อหน้าพระเจ้าผู้นี้ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับทารกแสดงทักษะต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ!”


หลีกุยพรายเสียงหัวร่อชวนขนลุกออกมา ยามนี้ระยะห่างระหว่างมันกับอิ้งหมัวหู่อยู่ประมาณหนึ่งแสนฉื่อเศษ


 


“อิ้งหมัวหู่!”


ในเสี้ยวอึดใจนั้นเอง จู่ๆร่างประกายแสงสีขาวของอิ้งหมัวหู่พลันอันตรธานหายวับ สีหน้าการแสดงออกของหลีกุยพลันเปลี่ยนไปทันที พร้อมสังหรณ์ใจสุดอันตรายหอบใหญ่ที่ถาโถมสู่จิตใจ!


 


“กรรรร!”


เสียงมังกรคำรามสนั่นสิบทิศแผดสะท้านภพ คลื่นพลังทำลายล้างขนาดมหึมาพุ่งเข้าอัดหลีกุยโดยตรง!


 


ท่าทางการแสดงออกของหลีกุยไสวแปรปรวนเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอุทานลั่นว่า


“ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์! เจ้ายังเป็นประมุขเผ่ามังกร! เจ้าหนู,ช่างน่าประทับใจนัก!”


สมแล้วที่หลีกุยผู้นี้เคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรพระเจ้าในปีนั้น ขอบเขตความรู้นับว่ากว้างใหญ่ไพศาล ปราดตาเดียวย่อมทราบ มันคุ้นเคยกับตรามังกรศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดี


ทว่าหลีกุยหาได้ตื่นตะหนกใดๆ สองมือร่ายพัลวันวาดยันต์อาคมบนกลางอก ทันทีทันใดศาสตร์แห่งสวรรค์อันทรงพลังพลันถูกควบแน่นลงในยันต์อาคมนี้


 


“ยันต์ร่ายผี!”


 


บูมมมม!


 


คลื่นพลังโจมตีสายยักษ์จากตรามังกรศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งแหวกเมฆาพร้อมเสียงหอนคำรามดัง ในทางตรงข้าม หลีกุยร่ายพัลวันยันต์อาคมเตรียมต้านรับไว้แล้วเช่นกัน!


สายพลังโหมปะทุเข้าชนสุดแรงกล้า


แม้ยันต์ร่ายผีของหลีกุยจะทรงพลังยากทัดเทียม กว่าก็ถูกแรงระเบิดเป่ากระเด็นออกไป อวัยวะเครื่องในปั่นปวนไปหมด


 


“ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ช่างแกร่งกล้ายิ่งนัก! แต่น่าเสียดาย…เจ้ายังคงอ่อนแอเกินไป!”


หลีกุยกล่าวสบถ


 


“เช่นนั้นรึ?”


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เสียงเอ่ยเรียบไร้ระลอกพลันดังขึ้นข้างหูหลีกุย มันถึงกับเสียวสันหลังวูบวาบ


หลีกุยตกตะลึงอย่างยิ่ง เย่หยวนเคลื่อนเข้าใกล้ตัวมันตั้งแต่ตอนไหน?


 


ทว่าอย่างไร เย่หยวนมิรอแช่มเปิดโอกาส เสียงมังกรคำรามเปล่งสะท้านกึกก้องฉีกห้วงเวหาผงาดเสียดฟ้า!


เสียงแห่งจอมเทพมังกร!


 


เย่หยวนอยู่ห่างจากหลีกุยเพียงหนึ่งร้อยฉื่อเท่านั้น


ระยะแค่นี้คำเดียวที่สามารถอธิบายได้คือ วินาศ!


 


 


ทั่วร่างของหลีกุยสั่นกระตุกอย่างแรงจจนตาเหลือกกลายเป็นสีขาว


อย่างไรก็แล้วแต่ ครั้นหนึ่งหลีกุยเคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด กระนั้นเองหากยามนั้น มันต้องเผชิญหน้ากับเสียงแห่งจอมเทพมังกรของเหล่าบรรพชน มันเองก็ไม่สามารถต่อกรรับมือได้โดยสมบูรณ์


ปัจจุบัน ผู้สำแดงใช้คือเย่หยวน แม้หลีกุยจะไม่สามารถหยิบใช้ขุมพลังแห่งอาณาจักรพระเจ้าได้ แต่จุดแข็งของมันก็ยังเหนือชั้นกว่าฟางเทียน!


สุดท้ายนี้ หลีกุยก็เคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด!


ศาสตร์แห่งสวรรค์ที่ปลดปล่อยออกมาช่างลึกลับเกินหยั่งถึงได้


 


เว้นเสียว่า ตอนนี้มันยังฟื้นคืนพลังได้ไม่สมบูรณ์


วิธีการรับมือของมันล้วนน่าเกรงขามพึงระวัง แต่ด้วยสภาพในขณะนี้กลับไม่สามารถป้องกันเสียงแห่งจอมเทพมังกรได้ทั้งหมด


ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ เย่หยวนได้คำนวณคาดการณ์ไว้หมดแล้ว


ไม่ว่าจะมีวิธีปัดป้องบ่ายเบี่ยงอย่างไร อย่างน้อยที่สุดกระบวนโจมตีนี้ย่อมมีผลกระทบต่อมันบ้าง


ดังนั้น หลังจากที่เย่หยวนปลดปล่อยตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ออกไป เขาใช้จังหวะทีเผลอให้เป็นประโยชน์ พร้อมใช้วิชาข้ามมิติพุ่งปราดมาเคียงข้างและอัดเสียงแห่งจอมเทพมังกรใส่โดยไม่ลังเล


 


หนึ่งอึดใจ!


สองอึดใจ!


 


“อิ้งหมัวหู่ ไปเร็ว!”


ผลัดไม้จากเย่หยวนเปลี่ยนเป็นอิ้งหมัวหู่ทันที อิ้งหมัวหู่ที่รับช่วงต่อเร่งความเร็วถึงขีดสุดและพุ่งไปยังส่วนลึกของเขตพระเจ้าต้องห้ามต่อโดยไว


ในที่สุดลูกตาดำก็เริ่มกลับคืนไหลลงมา หลีกุยค่อยๆดึงสติกลับคืนอย่างแช่มช้า ในตอนนี้ทั้งตาหูจมูกของมันปรากฏธารเลือดสีแดงสดไหลซิบลงมา เห็นได้ชัดว่ามันได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย


 


หากมองจากมุมหลังของอิ้งหมัวหู่ หลีกุยถึงกับปั้นหน้าหวาดผวายกใหญ่


“เสีงแห่งจอมเทพมังกร! ต้องเป็นเสียงแห่งจอมเทพมังกรแน่ๆ! ยอดวรยุทธในตำนานที่มีเพียงพวกบรรพชนแห่งเผ่ามังกรเท่านั้นที่ทราบ! แต่เจ้าเด็กนี่ไปได้รับถ่ายทอดมาจากที่ใด?”


หลีกุยเอ่ยปากอุทานขึ้นพร้อมเผยสีหน้าความกลัวไม่คลายอ่อน


 


“หึ! มีดีแต่พูดเยิ่นยอตัวเอง? มิใช่ว่าเจ้าสามารถฆ่ามันได้? แล้วเป็นอย่างไร? เจ้าเองก็เกือบเสร็จมันเช่นกัน!”


ปรากฏว่าจู่เก๋ฮฉิงซวนยังไม่ตาย ตอนก่อนหน้าเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงเข้าสู่สภาวะหลับลึก แต่ทันทีที่ตื่นขึ้น มันก็พบว่าหลีกุยเองก็เสียท่าให้เย่หยวนเช่นกัน ความอับอายครั้งใหญ่ระดับนี้ มีหรือที่มันจะไม่เย้ยเยาะ?


ทว่าอย่างไร มันเองก็ประหลาดใจไม่น้อยกับความล้มเหลวในคราวนี้ของหลีกุย


 


“หึ! แล้วเจ้ารู้อะไรบ้าง? กระบวนท่าเมื่อครู่มีนามว่า เสียงแห่งจอมเทพมังกร! นี่เป็นถึงสุดยอดวรยุทธต่อสู้ของเผ่ามังกรในตำนาน และได้หายสาบสูญไปเนินนานแล้ว! แต่เจ้าเด็กนั้นสามารถใช้มันออกมาได้จริงๆ ช่างท้าทายสวรรค์เกินไป!”


หลีกุยกล่าว


 


“อืมม.. ดูเหมือนว่า…เจ้ากำลังกลัว!”


จู่เก๋อฉิงซวนกู่หัวรอเย้ยหยันอย่างไร้ปราณี


 


“กลัวรึ? เหอะ! เจ้าเด็กนั้นทำลายความพยายามของข้ามานับล้านปี หากข้ามิได้สังหารมันลงกันมือ คงมิอาจระบายความโกรธที่อัดแน่นภายในใจนี้ได้!? ต่อให้เจ้าเด็กนั้นจะเป็นเซียนเต๋าสวรรค์กลับชาติมาเกิดใหม่ ข้าเองก็หาได้เกรงกลัวไม่! ข้าจจะส่งมันไม่ให้ผุดได้เกิดอีกเลยตลอดกาล!”


หลีกุยกรนเสียงคำรามด้วยความอาฆาต


 


 


……………………


 


 


“พี่ใหญ่ ไฉนท่านไม่ลงมือปลิดชีพมันให้สิ้นเรื่องไป?”


อิ้งหมัวหู่กล่าวถามเย่หยวน


ก่อนหน้านี้ หลีกุยตกอยู่ในสภาพอ่อนแอจัด โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือโอกาสทองที่จะฆ่ามันทิ้ง แต่เย่หยวนกลับเลือกจากไปโดยไม่ลังเล


 


“ขุมพลังแห่งเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดเช่นนั้น พวกเราจะสามารถเด็ดชีพโดยง่ายได้อย่างไร? ตอนนั้น ข้าเห็นท่านอาวุโสฟางเทียนสำแดงเดชในวันนั้น ก็ตระหนักทราบในทันที ขุมพลังระดับชั้นนี้น่ากลัวเพียงใด ส่วนความแกร่งกล้าของหลีกุยยังเหนือกว่าท่านอาวุโสฟางเทียน เช่นนั้นมันจะยอมจบชีวิตลงง่ายๆกระมัง?”


เย่หยวนกล่าวขึ้นพลางคลี่ยิ้มสุดขมขื่น


 


อื้งหมัวหู่ประหลาดใจอย่างมากเมื่อได้ฟังและกล่าวว่า


“แต่ยุคสมัยนี้ไม่มีศาสตร์แห่งสวรรค์แล้ว มันจะยังน่ากลัวเกินจินตนาการถึงขั้นนั้น?”


 


“แน่นอน! ผู้ที่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าหาใช่ชนชั้นกินเจกระมัง? หากต้องการที่จะเข้าใจศาสตร์แห่งสวรรค์ในระดับลึกซึ้งเท่ามัน จำต้องใช้ระยะเวลาถึงหนึ่งหมื่นปี! ดังนั้นแล้วนี่มิใช่ความแตกต่างเล็กๆน้อยๆเลย ต่อให้ข้าปลีกวิเวกเข้าเก็บตัวอย่างเต็มกำลัง แต่ข้าก็ยังไม่สามารถสำเร็จถึงขอบเขตนั้นได้ในเวลาอันสั้น นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าต้องเดินทางมายังหุบเขาเหวพระเจ้ายังไงล่ะ ถึงโอกาสรอดชีวิตจะมีน้อยนิด แต่นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้เขาบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้! มิฉะนั้น หาทั่วผืนพิภพนี้คงไม่มีใครเป็นคู่มือของข่านนั่วได้อีก!”


เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าเคร่งขรึม


 


มีแค่อิ้งหมัวหู่เท่านั้นที่ทราบถึงความคิดความห่วงใยของเย่หยวน รวมไปถึงความน่าสะพรึงกลัวของข่านนั่ว


 


“พี่ใหญ่ เขตพระเจ้าต้องห้ามมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป แล้วเราจะไปหาพฤกษาคุนหวูจากแห่งหนใด? นอกจากนี้เอง…พวกเราก็ไม่เคยเห็นหน้าตาของมันมาก่อน!”


อิ้งหมัวหู่พลันตระหนักได้ทันที นี่มิใช่ปัญหาใหญ่สุดของพวกเขาหรอกรึ?


พฤกษาคุนหวูที่ว่า มันมีหน้าตาเป็นอย่างไร?


 


เย่หยวนที่ได้ฟังเช่นนั้นได้แต่คลี่ยิ้มแสนระทม กล่าวตอบพร้อมเสียงอันขมขื่นใจว่า


“เดินหน้าต่อไป ที่เหลือปล่อยให้โชคชะตานำพา!”


 


“หื้ม? พี่ใหญ่สังเกตหรือไม่? มีบางอย่างผิดแปลกออกไป! พวกเรา…พลัดหลงเข้ามายังสถานที่น่ากลัวยิ่ง!”


อึ้งหมัวหู่โพล่งกล่าวขึ้น


ตอนที่1258 ลุ่มแม่น้ำมรณะ


 


ฉากเบื้องหน้าของพวกเขาคล้ายพื้นที่หนองลุ่มแม่น้ำทอดยาวสุดสายตาไกล สภาพแวดล้อมสงัดเสงี่ยมเปลี่ยวร้าง


ช่างเป็นความอ้างว้างเจือไอเหงาเย็นโดยแท้ ถึงขั้นที่ว่าสรรพสิ่งใดส่งเสียงล้วนถูกกลืนหายท่ามกลางความเงียบ


ซึ่งความเงียบชนิดนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก


 


ก่อนหน้านี้อิ้งหมัวหู่สับฝีเท้าหนีโดยมิได้ดูท่าดูทางอันใด ทิศทางไหนไม่ทราบขอเพียงตีระยะห่างรอดออกมาเป็นพอ ไม่เพียงความเงียบสงัดเปลี่ยวร้างชวนขนลุก รอบข้างตามทางยังมีหมอกทมิฬหนาปกคลุมจนไม่เห็นเส้นทางชัดเจน เมื่อรู้สึกตัวอีกที พวกเขาก็ตกอยู่ในพื้นที่หนองลุ่มสีดำแห่งนี้เสียแล้ว


 


วูบบ!


ร่างเย่หยวนแปรสภาพเป็นสายหนึ่ง พร้อมเข้าสำรวจโดยรอบทันที แต่จู่ๆสีหน้าการแสดงออกของเขาพลันบิดเบี้ยวน่าเกลียดในบัดดล


 


“พี่ใหญ่! นี่ไม่ถูกต้องแล้ว! เราจะกลับไปยังทางที่มาอย่างไรดี?”


อิ้งหมัวหู่กระเดือกน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พลางกล่าวขึ้น


อิ้งหมัวหู่รู้สึกวิตกไม่น้อย แม้พวกเขาจะมีพละกำลังความแกร่งกล้าคิดตัวไม่น้อย แต่นี่ยังสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งว่า สถานที่แห่งนี้อันตรายยิ่งยวด นี่มิใช่หนองลุ่มแม่น้ำธรรมด่ทั่วไปแน่นอน


 


เย่หยวนถอนหายใจพลางกล่าวตอบว่า


“ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว! ภายในหนองลุ่มแม่น้ำแห่งนี้ เรากลับไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่า ทางใดทิศเหนือทางใดทิศใต้ หากเดินทางผิดทิศ นั้นจะยิ่งทำให้เราพลัดหลงจากทางที่เข้ามาไปใหญ่!”


 


อิ้งหมัวหู่ตื่นตกใจยิ่งเมื่อได้ฟัง ทันทีทันใด เขาเริ่มเปิดญาณสัมผัสทั้งหมดเพื่อทดลอง ก่อนพบว่าเป็นจริงอย่างที่เย่หยวนกล่าวไป เขาไม่สามารถแยะได้เลยว่าทางใดทิศเหนือ,ใต้,ออกหรือตก


 


“พี่ใหญ่ เช่นนี้เราควร…”


อิ้งหมัวหู่โพล่งกล่าวขึ้นทันทีอย่างอดกังวลมิได้


แต่ในขณะนั้นเอง เย่หยวนรู้สึกราวกับจิตใจถูกรบกวนเล็กน้อย เขาปลดปล่อยซือโปเทียนออกมาทันที


 


“นายท่าน!”


ซือโปเทียนดูตื่นตระหนกร้อนใจยิ่ง


 


“หรือท่านทราบว่าที่แห่งนี้คือที่ใด?”


เย่หยวนเอ่ยถาม


 


“หากข้าเดาไม่ผิด ที่แห่งนี้ควรเป็นลุ่มแม่น้ำมรณะในตำนาน!”


ซือโปเทียนกล่าวตอบ


 


สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไปอย่างมาก ก่อนอุทานขึ้นด้วยความตกใจว่า


“ท่านกำลังกล่าวว่า ที่นี่คือสุสานพระเจ้าที่รู้จักในนาม ลุ่มแม่น้ำมรณะ?”


 


ท่าทางของซือโปเทียนดูประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนกล่าวตอบว่า


“ปรากฏว่านายท่านเองก็เคยได้ยินตำนานของลุ่มแม่น้ำมาบ้างเช่นกัน ถูกต้องแล้วนายท่าน ลุ่มแม่น้ำมรณะคือสุสานของเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้า มีเพียงสวรรค์ที่ทรงทราบ กี่ชีวิตแล้วที่เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าต้องสังเวยให้ในที่แห่งนี้!”


 


อิ้งหมัวหู่ที่ได้ฟังเช่นนั้น ใบหน้าพลันผลักสีในทันใด


“นั้นไม่อันตรายเกินไปหน่อยรึ? กระทั้งเซียนอาณาจักรพระเจ้ายังเอาชีวิตไม่รอด แล้วพวกเราจะไปเหลืออะไร?”


 


ซือโปเทียนกล่าว


“เหมือนว่ามีบางสิ่งส่วนตัวอยู่ในลุ่มแม่น้ำมรณะอยู่ แต่กลับไม่มีใครทราบว่านั้นเป็นอะไรกันแน่ เพราะทุกคนที่ย่างเท้าเข้าไปล้วนไม่มีใครเคยรอดชีวิตออกมา! แต่เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา คนที่ปกครองลุ่มแม่น้ำมรณะแห่งนื้คือ พฤกษาวิญญาณมรณะในตำนาน!”


 


“พฤกษาวิญญาณมรณะ! สิ่งนั้นมีอยู่บนผืนพิภพจริงๆรึ?!”


เย่หยวนตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินชื่อนี้จนอุทานเสียงดังลั่น


 


อิ้งหมัวหู่ได้แต่ยืนงงอยู่เคียงข้าง ขณะเอ่ยถามขึ้นว่า


“นี่กำลังกล่าวถึงสิ่งใดกัน? พฤกษาวิญญาณมรณะคืออะไร?”


 


สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนมืดทมิฬลงทันทีหลายส่วน ก่อนเอ่ยอธิบายขึ้นเจือเสียงเข้มว่า


“ข้าเคยอ่านเจอในบันทึกโบราณ พฤกษาวิญญาณมรณะชนิดนี้เป็นเหมือนกันพฤกษาคุนหวู พวกมันทั้งคู่ต่างเป็นสมุนไพรวิญญาณในตำนาน! ตำนานกล่าวขานไว้ว่า ในยุคบรรพกาล,มียอดเซียนอาณาจักรพระเจ้าผู้ไร้เทียมทานนับไม่ถ้วนตายลงพร้อมจิตอาฆาตที่ยังหลงเหลือ เมื่อพวกเขาล่วงลับไป จิตวิญญาณที่ยังเหลือห่วงและอาฆาตจะกระจุกตัวรวมกันบนท้องนภา พวกมันคล้ายพลังไร้สภาวะประหลาดที่ไม่มีวันสลายตัว เมื่อวันเวลาผ่านไป พวกมันก็ยิ่งมีมากขึ้นจนกลั่นตัวกลายเป็นพฤกษาวิญญาณมรณะ! หลังจากที่พฤกษาวิญญาณมรณะถือกำเนิด หลากหลายพื้นที่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์พลันประสบเหตุการณ์แปลกประหลาด มันไล่สูบพลังชีวิตของเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าอย่างไม่เลือกหน้า และนั้นยิ่งทวีความแข็งแกร่งให้มันมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ! จากนั้นมันจะไล่ฆ่าศัตรูทั้งหมดที่ผูกใจอาฆาต! แถมตำนานยังกล่าวอีกว่า โดยไม่คำนึงถึงระดับพลังสูงต่ำ ตราบใดที่นักสู้เข้าใกล้ตัวมาเกินรัศมีหนึ่งแสนฉื่อ พฤกษาวิญญาณมรณะจะสูบจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกจากกายเนื้อได้โดยตรงซึ่งมิอาจตอบโต้ใดๆได้เลย!”


 


อิ้งหมัวหู่ที่ได้ยินแบบนั้นยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่


“นี่…นี่มันไม่เกินไปหน่อยรึ? กระทั้งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเซียนอาณาจักรพระเจ้ายังถูกสูบออกมา นี่มิใช่ว่าไร้เทียมทาน?”


 


แต่ขณะนั้นเอง ซือโปเทียนก็กล่าวแทรกขึ้นว่า


“นายท่านกล่าวถูกต้องแล้ว พฤกษาวิญญาณมรณะทรงพลังกว่าที่เจ้าจจินตนาการนัก! บางที…มันอาจมีระดับชั้นเกินกว่าอาณาจักรพระเจ้าไปแล้ว!”


 


เย่หยวนสูดไอเย็นแช่มลึกเต็มปอดอย่างช้าๆ ก่อนกล่าวกับทั้งคู่ว่า


“เช่นนั้นพวกเจ้าคุ้มกันข้าก่อน ตัวข้าจำต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อฟื้นฟูพลัง จากนั้นเร่งออกไปจากที่นี่โดยเร็ว! หื้ม? ระวัง!!”


ก่อนหน้าที่สำแดงใช้เสียงแห่งจอมเทพมังกรไป มันค่อนข้างกินพลังงานเย่หยวนเป็นพอสมควร ดังนั้นเขาจำต้องใช้เวลาพักฟื้นอยู่สักครู่ใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าลุ่มแม่น้ำมรณะแห่งนี้จะไม่ยอมหยิบยื่นโอกาสนี้ให้


 


ปุด.. ปุด…


 


กลางลุ่มแม่น้ำปรากฏฟองอากาศจำนวนหนึ่งลอยขึ้นเหนือผิวแม่น้ำดำ พร้อมทำลายความเงียบสงัดของสถานที่แห่งนี้ไปโดยสมบูรณ์


เย่หยวนหันเข้าจับจ้องกลางลุ่มแม่น้ำด้วยความสงสัยว่ามีสิง่ใดซ่อนตัวอยู่ภายใน


 


ซู่ววว!


เงาสีเทาขนาดมหึมาพุ่งออกมาเหนือผิวน้ำในทันใด พร้อมตรงไปหาเย่หยวน!


 


จระเข้ยักษ์!


จระเข้ตัวนี้อ้าปากกว้างเผยให้เห็นคมเขี้ยวคล้ายใบเลื่อยคมกริบ มันพุ่งงับเย่หยวนอย่างรวดเร็ว


 


สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนผันเปลี่ยนกะทันหัน เขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบแผดขยายกางออก เคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำโคจรเร็วจี๋เผยปราการป้องกันชั้นหนาเขาปกคลุมอย่างพร้อมเพรียง!


 


บูมมม!


 


คล้ายจระเข้ยักษ์ชนเข้ากับแผ่นเหล็กกล้าเต็มแรงจนล้มตังลงกลางลุ่มแม่น้ำกลับไป


ทันทีที่เห็นฉากนี้ อิ้งหมัวหู่ระเบิดเสียงหัวเราะทันที


“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าโง่! กล้ากัดพี่ใหญ่ของข้าทั้งๆแบบนั้น! คงไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ของข้าบ่มเพาะเคล็ดสมบัติกายาเต๋าดำติดตัว!”


อย่างไรก็ตาม อิ้งหมัวหู่กลับพบว่า มีเพียงเขาเท่านั้นที่หัวเราะออกคนเดียว


 


เย่หยวนปั้นหน้าเคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบไม่ พลางกล่าวขึ้นว่า


“นี่มันจระเข้ยักษ์วารีทมิฬ! ทรงพลังอะไรเช่นนี้! การโจมตีก่อนหน้าของมันไม่น่าอยู่ใต้ระดับชั้นสิบจอมราชันย์แม้แต่น้อย!”


 


อิ้งหมัวหู่รวนเรไม่แน่ใจนักว่านั้นหมายความอย่างไร ก่อนเอ่ยถามด้วยสายตาสุดฉงนว่า


“ก็แค่ระดับชั้นสิบจอมราชันย์ ไยพวกเราต้องกลัว?”


 


“หากมีแค่ตัวเดียวข้าเองย่อมไม่กลัว แต่ถ้ามีนับพันนับหมื่นตัวล่ะ? เป็นเจ้าจะกลัวหรือไม่?”


สีหน้าเย่หยวนแปรเปลี่ยนเป็นสีดำคล้านก้นหม้อไหม้เกรียม


เย่หยวนยังพูดไม่ทันขาดคำ หนองลุ่มแม่น้ำทอดยาวสุดสายตาพลันปรากฏกองอากาศปุดๆขึ้นตลอดแนว


 


ซู่วววว….


 


เสี้ยวอึดใจที่เห็นภาพฉากนี้ รอยยิ้มประดับใบหน้าอิ้งหมัวหู่ถึงกับแข็งค้างในบัดดล


ยามนี้ทั้งสามขนหัวลุกซู่ชูชันไม่หยุดหย่อน!


 


จระเข้ยักษ์วารีทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ขึ้นเหนือลุ่มแม่น้ำ ไม่ว่าจะกวาดตามองไปทางไหนก็มีแต่จระเข้เต็มไปหมด


หากพินิจจากสายตาอย่างต่ำมีจำนวนกว่าหลายหมื่น!


หากมีใครบางคนแกร่งกล้าเทียบเทียมระดับชั้นสิบจอมราชันย์ พวกเขาทั้งสามสามารถจัดการได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทว่ายามนี้กลับมีหลักหลายหมื่น ต่อให้พวกเย่หยวนจะมีสามขาหกแขน ก็เกรงว่าไม่น่าไหว!


 


 


“เจ้าพวกนี้ไม่มีทางจัดการหมดแน่! หนีเร็ว!”


เย่หยวนกรนเสียงสั่งการทันที


ทั้งสามหาได้ลังเลใจใดๆ พร้อมกลับลำสับฝีเท้าหนีให้ไว!


 


 


ครื้น! ครื้น! ครื้น!


ฝูงจระเข้ยักษ์วารีทมิฬมีหรือจะให้โอกาสพวกเขาหนี? ชั่วอึกใจต่อมาพวกมันไล่ล่าตามมาเป็นขบวนใหญ่


 


เย่หยวนพลิกฝ่ามือเรียกดาบพิชิตมารฟ้าออกมาทันที พร้อมซัดกระหน่ำบัวเพลิงปราณดาบพิโรธให้อย่างไร้ปราณี


 


บูมมมม!


 


ขุมพลังสุดน่าสะเทอนขวัญระเบิดเข้าใส่ฝูงจระเข้ยักษ์เต็มแรง


แต่กระนั้นเอง สิ่งที่ทำให้ทั้งสามตกใจอย่างมากคือ บัวเพลิงปราณดาบพิโรธของเย่หยวนกลับทำเพียงผลักพวกมันร่นถอยออกไปเล็กน้อย


ปรากฏว่ากระบวนโจมตีนี้ไม่สามารถฆ่าพวกมันได้!


 


ด้วยความแกร่งกล้าของเย่หยวนในปัจจุบัน หากเขาสำแดงใช้บัวเพลิงปราณดาบพิโรธนี้ออกไป ต่อให้เป็นสิบจอมราชันย์ล้วนถูกสังหารได้ไม่ยาก


แต่การโจมตีอันทรงอนุภาพนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับพวกจระเข้ยักษ์วารีทมิฬ!


 


“พลังป้องกันของพวกมันสูงส่งนัก! ไปทางนั้น! แถวนั้นมีพวกมันน้อย!”


เย่หยวนกู่ร้องเรียกทั้งสอง


 


ส่วนฝูงจระเข้ยักษ์วารีทมิฬที่ไล่ตามมาด้านหลัง ยังคงหาช่องโหว่สบโอกาสโจมตีอย่างต่อเนื่อง ไม่ยอมปล่อยให้พวกเย่หยวนทิ้งระยะตีห่างออกไป


 


“วิถีดาบสารทิศ!”


ยามนี้ร่างกายของเย่หยวนเหนื่อยจัด เขาสามารถใช้ได้พลังปราณล้วนเข้าสกัดพวกมันเท่านั้น


ไม่คิดรั้งรอนออมมือแต่อย่างใด เย่หยวนหยิบใช้พลังที่เหลืออยู่ออกมาทั้งหมด


จิตสังหารแห่งดาบของเย่หยวนยังคมกล้า แสงคมดาบฟาดฟันฝูงจระเข้ยักษ์จนเนื้อหนังฉีกเป็นชิ้นๆ


 


พวกเขาทั้งสามกำลังมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่มีจระเข้ยักษ์น้อยๆ ยังดีวิถีดาบสารทิศของเย่หยวนยังช่วยถ่วงเวลาได้จนเริ่มทิ้งห่างจากฝูงจระเข้ยักษ์


ยามนี้กายเนื้อของเย่หยวนยังไม่ฟื้นตัวดี จึงจำต้องพึ่งพาพลังปราณเพียงอย่างเดียว แต่นั้นทำให้เขาไม่สามารถต่อสู้ได้นานเช่นกัน


ไม่รู้เลยว่าพวกเขาหนีไปไกลเพียงใด แต่ในที่สุดทั้งสามก็พ้นจากฝูงจระเข้ยักษ์วารีทมิฬได้สำเร็จ ยามนี้ไม้เห็นพวกมันแม้แต่เงา เห็นดังนั้นทั้งสามจึงหยุดฝีเท้าลง


 


สีหน้าของอิ้งหมัวหู่ซีดเซียวเหนื่อยหอบ เขากล่าวขึ้นว่า


“หากฝูงจระเข้น่าตายนั้นหลุดออกไปโลกภายนอกได้ ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีหวังถูกทำลายไม่เหลือ! ข้าจนปัญญาจริงๆว่า หุบเขาเหวพระเจ้ามันเป็นสถานที่เช่นใดกันแน่? ไฉนถึงมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังทัดเทียมกับสิบจอมราชันย์มากมายมหาศาลถึงเพียงนี้!”


 


ยังไม่ทันที่เย่หยวนจะได้เอ่ยปากกล่าวอันใดตอบ จู่ๆญาณเหนือสัมผัสของเขาพลันสั่นระรัวดั่งเตือนภัยครั้งใหญ่อีกครั้ง!


ตอนที่1259 พฤกษาวิญญาณมรณะ


 


วูบบ วูบบ วูบบบ…


เถาวัลย์สีทมิฬหลากหลายสายซุ่มจู่โจมพวกเย่หยวนทั้งสามในมุมอับสังเกต


กำปั้นเหล็กกล้าของซือโปเทียนเหวี่ยงซัดออกไป ระเบิดพลังศาสตร์แห่งสวรรค์แผดกระจายสารทิศ ทำให้เถาวัลย์สีทมิฬเหล่านั้น เละเป็นผุยผงโดยตรง


แต่ยังไม่ทันพักหายใจ เถาวัลย์สีดำเหล่านั้นกลับยิ่งเพิ่มทวีเข้าจู่โจมมากขึ้น


ทั้งสามเพ่งสายตาจับจ้องให้ดี เถาวัลย์เลื่อยไสวพลิ้วเหล่านี้แท้ที่จริงกลับเป็นงูสีดำขนาดเล็ก


แม้ความแข็งแกร่งของงูดสีดำขนาดเล็กนี้จะไม่เทียบเคียงจระเข้ยักษ์วารีทมิฬ แต่ด้วยจำนวนอันมหาศาลนี้ที่ไม่รู้จบ กลับทำเอาเหนื่อยตกไปตามๆกัน


 


“นั้นมันอสรพิษลวดทมิฬ! พวกมันมีจำนวนนับหลายล้านตัว! เราไม่ควรพักพิงอยู่ที่นี่ ไปทางโน้นเร็ว!”


เย่หยวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสุดเคร่งขรึม


ด้วนจำนวนที่มากมายมหาศาลของพวกมัน ย่อมสามารถชดช่อยความอ่อนด้อยของพวกมันจนหมดสิ้น


เย่หยวนและที่เหลือยังทนอยู่ได้อย่างไร? ทั้งหมดวงแตกวิ่งเตลิดไปทางหนึ่ง


โชคยังดีที่ซือโปเทียนทรงพลังมากฝีมือ ด้วยกำปั้นแล้วกำปั้นเล่า พวกอสรพิษลวดทมิฬไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย


 


หลังจากพยายามตีห่างออกไปครู่ใหญ่ ทั้งสามก็หนีออกจากวงล้อมสังหารของพวกอสรพิษลวดทมิฬได้สำเร็จ


พวกเขาวิ่งหนีไม่คิดชีวิตอย่างบ้าคลั่ง และมิทราบว่านานเพียงใดถึงมายังจุดนี้ได้


 


“ไม่น่าแปลกใจเลย ไฉนสถานที่แห่งนี้มีนามว่า ลุ่มแม่น้ำมรณะ ปรากฏว่าสมชื่อแล้ว! ยังมีสัตว์ประหลาดชนิดใดรอเราอยู่อีก?”


อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าเจือหวาดกลัวหลายส่วน


 


ซือโปเทียนเอ่ยกล่าวว่า


“จระเข้ยักษ์วารีทมิฬกับอสรพิษลวดทมิฬ น่าจะเป็นอสูรชนชั้นต่ำสุดในลุ่มแม่น้ำมรณะแล้ว พวกเราถือว่าโชคดีมากที่เจอแค่พวกมัน”


 


แงหมัวหู่ที่ได้ยินเช่นนั้นพลันหน้าเสียหนัก ก่อนกล่าวขึ้นอย่างอดมิได้ว่า


“ข้าไม่สงสัยเลย ไฉนสถานที่แห่งนี้ถึงรู้จักในนามเขตพระเข้าต้องห้าม นี่เป็นอาณาเขตแห่งความตายอย่างแท้จริง!”


ยามนี้มันเกินขอบเขตของความเข้าใจไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจระเข้ยักษ์วารีทมิฬหรืออสรพิษลวดทมิฬ หากสุ่มหยิบพวกมันออกไปวิ่งเล่นบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คงสามารถกวาดล้างทุกสิ่งจนบรรลัยสูญแน่นอน


นอกจากนี้เอง จุดแข็งของทั้งสามยังเหนือชั้นกว่าเซียนทั่วไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายขุม ทว่าแม้แต่พวกเขายังต้องหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต


แล้วผู้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไปเหลืออะไร?


ต่อให้เป็นระดับชั้นสิบจอมราชันย์เอง นั้นก็ถึงตายเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตาม…อสูรสองชนิดที่กล่าวไปกลับเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตระดับต่ำสุดภายในที่แห่งนี้เท่านั้น!


ทั้งสามที่กำลังสับสนอย่างหนัก ยามนี้ญาณนสัมผัสของทุกคนถึงกับดังสะท้านกึกก้องพร้อมกันภายในใจ!


 


อิ้งหมัวหู่ที่แสนเหนื่อยหอบ ถึงขั้นตะโกนลั่นอย่างสุดจะทน


“เราไปฆ่าโคตรบิดาของพวกเจ้ารึไง?!”


 


 


เย่หยวนขมวดคิ้วเข้ม หน้าที่สกัดกั้นต่อจากนี้โดยส่วนใหญ่เป็นฝีมือของซือโปเทียน


ระหว่างนั้นเย่หยวนพยายามใช้จ่ายเวลาให้คุ้มค่าที่สุด เขาเร่งฟื้นฟูพลังโดยไว!


 


คราวนี้เงาร่างสีดำเข้ารายล้อมรอบทิศ ความแกร่งกล้าของพวกมันน่าสะพรึงขวัญยิ่งกว่าสองชนิดก่อนหน้าเสีย


ทั้งสามสับฝีเท้าหนีตายอีกระลอก จนรอดพ้นออกมาได้อีกครั้ง


 


“ระวังตัวให้ดี! ข้ารู้สึกเหมือนว่า มีใครบางคนกำลังชักไยอสูรเถื่อนเหล่านี้อยู่เบื้องหลัง ดูท่าแล้ว…มันตั้งใจที่จะบีบให้เราไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง”


เย่หยวนกระซิบเสียงเบาเล็ดรอดผ่านหูทั้งสอง


เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำๆกันหลายรอบ เย่หยวนเริ่มรู้สึกเอะใจบ้างแล้ว


อสูรเถื่อนเหล่านี้ดูท่าจะจงใจทิ้งทางหนีไว้ให้เสมอ


ครั้งแรกครั้งสองยังกล่าวได้ว่าบังเอิญ ทว่าครั้งสามยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน นี่ชวนให้เย่หยวนสงสัยหนักเข้าไปใหญ่


แม้ความแกร่งกล้าของพวกเย่หยวนจะน่าเกรงขาม ทว่ายังประคองชีวิตออกมาได้อย่างสาหัสสากรรจ์เช่นกัน


ทว่าสิ่งที่เย่หยวนค้นพบและตกใจที่สุดคือ พวกอสูรเถื่อนเหล่านั้นมิได้เจตนาโจมตีพวกเขาโดยหวังเอาตายจริงๆ


หลายต่อหลายครั้งแล้ว พวกมันพยายามต้อนกลุ่มเย่หยวนไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง


 


อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า


“เป็นไปไม่ได้? ใครกันที่ทรงพลังจนสามารถควบคุมฝูงอสูรเถื่อนเหล่านี้ได้อยู่หมัด?”


 


สีหน้าเย่หยวนเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่กลับมิได้กล่าวตอบอันใด


 


อิ้งหมัวหู่ที่เห็นทางทีเช่นนั้น ยามนี้พลันหันควับจับจ้องเย่หยวนด้วยความตกใจสุดขีด และกล่าวขึ้นว่า


“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…”


 


ยามนี้เย่หยวนค่อยพยักหน้าตอบและกล่าวว่า


“ไม่มีใครอื่นแล้ว นอกเสียจากพฤกษาวิญญาณมรณะ!”


 


อิ้งหมัวหู่ถึงกับถอนสีหน้าซีดเผือก แม้เขาจะมั่นใจยิ่งในขุมพลังความแกร่งกล้าของตน ทว่าจำต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับชั้นนี้ที่แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้ายังมิอาจต่อกร เขาเองก็พลันสิ้นหวังเช่นกัน


 


อิ้งหมัวหู่นับเป็นเซียนผู้ไร้เทียมทานขนานแท้คนหนึ่งบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มาตรได้ว่าเป็นระดับแนวหน้าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์


แต่ต่อหน้าพฤกษาวิญญาณมรณะนี้ กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง!


นั้นเป็นบางสิ่งที่เหนือชั้นกว่าอาณาจักรพระเจ้า!


ไม่ว่าพฤกษาวิญญาณมรณะจะแกร่งกร้าวมากน้อยเพียงใด แต่นั้นก็มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถต่อกรได้อย่างสมบูรณ์


พวกเขาทั้งสามหาใช่คู่มือของพฤกษาวิญญาณมรณะไม่!


 


“นี่…ยังไม่ทันเห็นพฤกษาคุนหวูแม้แต่เงา ทว่าวิ่งชนเข้ากับพฤกษาวิญญาณมรณะแทนอย่างจัง นี่…นี่ไม่โชคร้ายเกินไปหน่อยรึ?”


อึ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มสุดระทมใจ


 


“เฮ้ออ… ถึงเราวิ่งเข้าชนกับพฤกษาคุนหวู สถานการณ์ก็มิได้ดีกว่าในปัจจุบันมากนัก”


เย่หยวนถอนหายใจเสียงยาวพลางกล่าวตอบ


 


“เช่นนั้น…เราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”


อิ้งหมัวหู่กล่าว


 


ชั่วแววหนึ่ง แววตาไสวเย่หยวนหรี่แคบเผยถึงความจริงจัง เขากล่าวว่า


“ทุกสิ่งโดยรอบอันตรายอย่างยิ่งจำต้องระมัดระวังให้มาก! มิใช่ว่าเราเตรียมใจก่อนเดินทางเข้ามาแล้ว? อย่าลืมไปเสีย เขตพระเจ้าต้องห้ามแห่งนี้ แม้กระทั่งเซียนอาณาจักรพระเจ้ายังมิอาจรอดชีวิตกลับไป!”


 


ทั่วร่างกายาของอิ้วหมัวหู่สั่นสะท้านหนัก จิตวิญญาณของเขาได้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งจากวาจาปลุกกระตุ้นของเย่หยวน พร้อมเอ่ยขึ้นว่า


“พี่ใหญ่กล่าวถูกต้องแล้ว! เหอะ เหอะ ต่อให้เป็นเขตพระเจ้าต้องห้ามมีหรือจะหยุดพวกเราสองพี่น้องได้? บุกน้ำลุยไฟผจญความตายอย่างไร ข้า,อิ้งหมัวหู่ขอเดินเคียงข้างพี่ใหญ่จนสุดทาง!”


 


เย่หยวนหัวร่อขึ้นเล็กน้อยและกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า


“ฮ่าฮ่า เจ้าน้องชายที่ดี! ยามนี้พวกเราลงเรือหวังได้เพียงกระแสลมพัดพา! ดูท่าอีกฝ่ายอยากเจอเรานัก? เช่นนั้น…ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่า พฤกษาวิญญาณมรณะจะมีดีอย่างตำนานว่าไว้หรือไม่!”


 


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า! พี่ใหญ่กล่าวถูกใจข้านัก!”


อิ้งหมัวหู่กล่าวตอบพลางหัวเราะอย่างชอบใจ


มิใช่ว่าเย่หยวนรนหาที่ตาย แต่เขาทราบดีพวกอสูรเถื่อนเหล่านี้มิได้เจตนาเอาตาย แต่เพียงบีบให้พวกเขาไปยังทิศทางที่กำหนด ยามนี้สองพี่น้องคิดท้าทาย ไล่สังหารอสูรเถื่อนเหล่านั้นตลอดทางยาว!


ต่อให้ขุมพลังของพวกมันจะแกร่งกร้าวขนาดไหน ทว่ายามนี้ทั้งสองเข้าสัประยุทธ์มุ่งหน้าอย่างบ้าดีเดือด ต่อให้มากันมากมายเพียงใดกลับมิอาจหยุดยั้งพวกเขาได้


พวกเขาไม่สนแล้วว่าหลังจากนี้จะรอดหรือไม่รอด ขอเพียงไปให้สุดทางหวังเพื่อรอชมสิ่งที่รออยู่เพียงเท่านั้น


 


ซือโปเทียนยังคงนิ่งไม่แยแสะต่ออันใด แต่สีหน้าของมันผลันไสวเผยถึงความประหลาดใจเล็กน้อย


สองพี่น้องคู่นี้ยังคงยืนหยัดเข้าประจักษ์หน้าอย่างไร้ซึ่งความกลัว ต่อให้หุบเขาไท่ซานถลมลงต่อหน้า กลับเป็นทั้งคู่ที่วิ่งเข้าใส่เสียเอง บุคคลประเภทนี้สมแล้วที่ได้รับสืบทอดศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ!


ตั้งแต่ปลุกไฟจนลุกโชน ทั้งสามไล่สัประยุทธ์ฆ่าล้างอย่างบ้าคลั่งตลอดเส้นทาง ผ่านศึกน้อยศึกใหญ่เล่า ในที่สุดพวกเขาก็ปราดมาถึงพื้นที่เปิดกว้าง


บริเวณนี้เป็นทุ่งกว้าง หากใช่หนองลุ่มแม่น้ำสีทมิฬอีกต่อไป


ทว่าทุ่งกว้างแห้งนี้คล้ายดินแดนรกร้างแสนว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ใบหญ้างอกเงยขึ้น ผืนดินแห้งแตกเป็นลายงา


 


กวาดตาสำรวจโดยรอบนี่ถือทุ่งกว้างแสนแห้งแล้งอันเปลี่ยวเหงาอย่างแท้จริง ทว่าเบื้องหน้ากลับมีเพียงต้นไม้ยักษ์ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว


ต้นไม้ใหญ่นี้มีสีดำสนิท เพียงแต่กิ่งไม้แห้งแตกแขนงปราศจากใบไม้ใบเขียวใดๆ


 


บนกิ่งก้านเหล่านั้นมีอีกาสามตัวกำลังร่ำไห้อย่างเศร้าโศก ใครได้ยินพลันรู้สึกสิ้นหวังไปตามๆกัน


อีกาทั้งสามหาได้มีพิษมีภัยอันใด สีหน้าของพวกมันราวกับกำลังจะตาย!


 


เมื่อเห็นต้นไม้สีดำทมิฬขนาดยักษ์ตรงหน้า สีหน้าเย่หยวนพลันมืดลงโดยไม่สมัครใจ


 


“หรือนี่คือพฤกษาวิญญาณมรณะในตำนาน? ดูแล้ว…หาได้มีอะไรพิเศษไม่”


อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้น


 


“ยิ่งดูสงบเพียงใดกลับยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น! หากการสันนิฐานของข้าไม่ผิดเพี้ยน อีกาทั้งสามตัวนั้นสื่อถึงพวกเราสามคน! พฤกษาวิญญาณมรณะกำลังจะบอกว่า พวกเราทั้งสามจำต้องตายในวันนี้!”


เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดเคร่งขรึม


ตอนที่1260 ดวงตาอีกาดำ!


 


“กา กา กา…”


ประหนึ่งว่าวาจาคำกล่าวของเย่หยวนจะไม่เข้าหูพวกมันอย่างมาก


อิ้งหมัวหู่โหมพิโรธเดือดขึ้นอย่างอดมิอยู่ พลางตบฝ่ามือซัดกระหน่ำออกไปทันที!


เย่หยวนมิได้คิดหยุดยั้งอิ้งหมัวหู่ใดๆ เพราะเขาเองก็ต้องการจะเห็นเช่นกันว่า พฤกษาวิญญาณมรณะนี้น่าสะพรึงกลัวเพียงใด


อย่างไรก็ตาม ภาพฉากต่อจากนั้นพลันทำเอาทั้งสามตื่นตกใจยิ่งยวด!


พลังปราณฟ้าดินที่อิ้งหมัวหู่ระดมสั่งสมพร้อมปลดปล่อยออกไปเต็มสูบ ยามนี้ยังไม่ทันปราดถึงเกินสามสิบฉื่อ การโจมตีนี่กลับสลายหายไปทันที!


ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้สามารถควบคุมพวกเขาทั้งสามได้อยู่หมัด!


 


“นี่…”


อิ้งหมัวหู่อดหันจับจ้องเย่หยวนพร้อมใบหน้าเปี่ยมตะลึงมิได้


พฤกษาวิญญาณมรณะนี้สมชื่อยิ่งแล้วจริงๆ!


ทว่าเวลานี้เอง ทั้งสามกลับไม่นึกไม่ฝัน พฤกษาวิญญาณมรณะนี้ทรงพลังกว่าตำนานเล่าลือเสียอีก


เย่หยวนประจักชัดแจ้งดีถึงความแกร่งกล้าของอิ้งหมัวหู่


กายวิญญาณพยัคฆ์ขาวสมบูรณ์และวรยุทธศักดิ์สิทธิ์แสงทมิฬพยัคฆ์ขาว ทั้งสองสิ่งนี้ล้วนเป็นสุดยอดกายวิญญาณและสุดยอดวรยุทธบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์


ความแกร่งกล้าของอิ้งหมัวหู่เหนือชั้นไปกว่าบรรดาสิบจอมราชันย์ไปหลายขุมแล้ว กระทั้งจอมราชันย์แห่งความมืด,ซือกงซานเองก็มิอาจใช่คู่มือ


ทว่าฝ่ามือเมื่อครู่กลับไม่สามารถคงสภาพได้ถึงสามสิบฉื่อตรงหน้าด้วยซ้ำ!


 


เย่หยวนไม่เคยพานพบสิ่งใดแปลกประหลาดขนาดนี้มาก่อนเลยชีวิต!


ถึงแม้ตอนนี้เขาจะตรวจจับอะไรบางอย่างได้บ้าง แต่ด้วยขอบเขตความเข้าใจในปัจจุบันกลับไม่อาจทราบได้เลยว่านั้นคือสิ่งใด


 


“นี่น่ะรึ…พฤกษาวิญญาณมรณะ? เป็นไปตามคาด มันแกร่งกร้าวของมันแม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้ายังมิอาจหยั่งถึงได้ ดูท่าสิ่งนี้จะอยู่ในอาณาจักรพลังที่พวกเราไม่มีทางเข้าใจเลย และอาณาจักรพลังนั้น…เหนือกว่าอาณาจักรพระเจ้าไปแล้ว!”


เย่หยวนพรูไอเย็นแช่มออกพร้อมกล่าวขึ้น


 


ทันทีทันใด สุ้มเสียงโหยหวนดุขบ่อน้ำบรรพกาลพลันกรีดร้องระงมขึ้น อีกาทั้งสามร้องแจ๋วราวกับกำลังพูดอยู่


หากพินิจมองให้ละเอียด ปรากฏว่าเป็นอีกาตัวกลางที่ร้องดังขึ้นว่า


“ในที่สุด… ช่างเป็นวิญญาณที่สดใหม่กระไรเช่นนี้ มันถึงกับประเคนให้ข้าถึงหน้าบ้าน! อืมมม…ดูท่าวิญญาณของเจ้าคงอร่อยยิ่ง!”


 


สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพียงปราดสายตาจับจ้อง เขาก็รู้สึกราวกับว่าวิญญาณของตนกำลังถูกดูดออกไป


อีกาคนนั้นช้อนสายตาจับจ้องตอบ และนี่ยิ่งทำให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนเหือดแห้งแทบแตกสลายออก!


เบื้องลึกภายในทะเลแห่งจิตใจ ถูกคลื่นความผันผวนเดข้าก่อกวนโดยตรงเช่นนี้ ในที่สุดไข่มุกสยบวิญญาณพลันมีปฏิกิริยาตอบสนอง มันสั่นสะท้อนคลื่นพลังประหลาดออกไปเล็กน้อย สภาวะเสียสมดุลของเย่หยวนก็ได้กลับเป็นปกติอีกครั้ง


 


“ท่านอาวุโสทั้งสาม พวกเรามิได้มีเจตนารบกวน เราหลงเข้ามาในสถานที่ของพวกท่านโดยบังเอิญ โปรดเมตตาปล่อยพวกเราไปสักครา นี่นับเป็นบุญคุณใหญ่หลวง”


เย่หยวนพยายามระงับความปั่นปวนภายในใจและเอ่ยกล่าวขึ้น


 


“หื้ม? เจ้าสามารถทนต่อแรงกดดันจากจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของข้าได้? น่าสนใจ น่าสนใจยิ่งนัก!”


เพียงว่าเสียงนี้ทำเอาทุกคนใจสั่นจับขั้วกระดูกเยือกแข็ง


 


“มองเข้าไปในตาข้า!”


ในขณะที่อีกาตัวนั้นกำลังกล่าวประหนึ่งว่ามันได้ท่องเวทย์อาคมบางอย่างผสานลงไปในน้ำเสียง


 


 


เป็นอีกครั้ง เย่หยวนรู้สึกราวกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตนกำลังจะสลายลง วาจาแผดเสียงเพียงหนึ่งคำทำเอาความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดแทบล้มสลาย!


ห้ามมอง! ห้ามมองเด็ดขาด!


 


เย่หยวนหาได้ตระหนักชัดแจ้งดีเกี่ยวกับขีดจำกัดของไข่มุกสยบวิญญาณว่าทรงพลังถึงขอบเขตใด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าพึ่งพาเจ้าสิ่งนี้จนเกินไป


สุดท้ายนี้ สิ่งหนึ่งที่เย่หยวนสามารถการันตีได้ก็คือ พฤกษาวิญญาณมรณะนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือชั้นกว่าอาณาจักรพระเจ้าไปแล้วแน่นอน!


 


ในยุคสมัยที่ศาสตร์แห่งสวรรค์สูญสิ้น สิ่งมีชีวิตระดับชั้นนี้ย่อมอยู่เหนือจินตนาการและขอบเขตความเข้าใจทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง!


 


ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่มองดวงตาอีกาตรงหน้าเด็ดขาด


เว้นเสียแต่ ร่างกายของเขาดูเหมือนจะไม่เชื่อฟังเลยสักนิด ศีรษะของเย่หยวนค่อยๆเงยขึ้นหันทองอีกาตัวกลางอย่างแช่มช้า


เหงื่อเย็นหลั่งไหลทั่วร่างเย่หยวนจนชโลมชุ่มประหนึ่งเพิ่งขึ้นจากน้ำ


ในชั่วพริบตาทั่วร่างกายของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ


 


ทั้งชาติก่อนหน้าและชาตินี้ ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับจี้ฉางหลาน แต่เย่หยวนยังไม่เคยรู้สึกอ่อนแอไร้พลังขนาดนี้มาก่อนเลย


นี่เป็นการเผชิญหน้าที่ระดับชั้นห่างกันเกินไป!


ต่อให้ประจักษ์หน้ากับเทพอสูรเทวะข่านนั่ว อย่างน้อยเย่หยวนยังพอมีทึนรอนไว้ต่อกร


 


แต่ ณ ตอนนี้ เย่หยวนกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้สักนิด!


อย่าว่าแต่โจมตีใส่ แค่ควบคุมร่างกายตัวเองให้ทำตามใจนึกยังไม่มีปัญญา!


สิ่งเดียวที่ตอนนี้ขยับได้คือ ดวงตา แต่ดวงตานั้นกลับเป็นอวัยวะเพียงส่วนเดียวที่เขาไม่ต้องการให้ขยับ!


 


เย่หยวนไม่สามารถเข้าใจได้สักนิดเลยว่า ในยุคที่ศาสตร์แห่งสวรรค์สูญสิ้นไปแล้ว ไฉนยังมีสิ่งมีชีวิตระดับชั้นนี้ดำรงอยู่?


หรือเป็นไปได้ไหมที่ ศาสตร์แห่งสวรรค์ในกายบางสิ่งยังคงเหลืออยู่อยู่จวบจนปัจจุบัน?


อย่างไรก็ตามแต่ ขณะนี้ไม่เหลือเวลาครุ่นคิดใดๆอีก


เย่หยวนรีดเร้นพลังทั้งหมดส่งออกไปยังดวงตาหวังเพื่อเบี่ยงทิศทางเข้าหาอิ้งหมัวหู่ แต่ทันใดนั้นเขาพลันต้องตื่นตระหนกอย่างหนัก


ทันทีที่เห็นมอง เย่หยวนพบว่าจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของอิ้งหมัวหู่ได้หลุดลอยออกจากร่างแล้วโดยตรง วิญญาณของเขาบินเข้าไปหาอีกาด้านซ้าย!


ส่วนซือโปเทียนกลับไม่เป็นอะไรเลย นี่ถือเป็นจุดเด่นพิเศษของเผ่ายักษ์หิน เพราะมันไม่มีจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นอีกาเหล่านี้จึงไม่สามารถทำอะไรได้เลย


 


ทว่าเสี้ยวอึดใจต่อมา เย่หยวนพลันเห็นอีกภาพฉากหนึ่ง ซึ่งนี่ทำให้เขาเดือดดาลอาฆาตในทันใด


จิตวิญญาณศักดิ์ของลู่เอ๋อถูกดึงออกจากเจดีย์เลื่องสวรรค์ และบินเข้าไปหาอีกาด้านขวา!


 


เบื้องลึกในแววตาของเย่หยวน ยามนี้กลับเปี่ยมแน่นไปด้วยเพลิงพิโรธเดือดปะทุแทบระเบิด!


ไร้ซึ่งพลังอำนาจ!


ไร้ซึ่งหนทางช่วย!


 


ณ ปัจจุบันเย่หยวนทราบแล้วว่า อีกาตัวที่สามนี้มิได้ถูกเตรียมไว้สำหรับซือโปเทียน แต่นั้นสำหรับลู่เอ๋อโดยเฉพาะ!


สำหรับลี่เอ๋อแล้วนั้น เนื่องจากกายวิญญาณทั้งสองชนิดของนางผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว จึงทำให้ไม่สามารถแยกออกจากร่างได้แล้ว พฤกษาวิญญาณมรณะจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปและมิได้ตละเตรียมอีกาไว้ให้นาง


 


อย่างไรก็ตาม ที่เห็นว่าซือโปเทียนมิได้เคลื่อนไหวใดๆ นี่เป็นที่ชัดเจนว่า มันเองก็ถูกสะกดไว้เช่นกัน


ความแกร่งกล้าของซือโปเทียนเหนือชั้นกว่าเย่หยวน มันเคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรพระเจ้า!


แต่กระทั้งมันก็มิใช่คู่มือของพฤกษาวิญญาณมรณะเลย!


 


“เฮ้ออ… วิญญาณน้ำดีเหล่านี้น่าจะอร่อยมากแน่นอน! นับตั้งแต่ที่ตาเฒ่านั้นตายไป ดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่เปลี่ยวร้างทันควัน การจะหาวิญญาณอร่อยๆกินกลับไม่ง่ายดั่งวันวาน!”


อีกาตัวกลางกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก


อย่างไรก็แล้วแต่ ขณะนี้เย่หยวนกำลังโกรธจัด เขายังจะมาสนใจคำบ่นของอีกาได้อย่างไร?


 


เขาเค้นพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ออกมาหวังเพื่อฝืนตัวเองมิให้มองไปยังอีกกา


หากแม้แต่เขายังพลาดท่าเช่นนี้ แล้วใครจะเป็นคนช่วยอิ้งหมัวหู่กับลู่เอ๋อ!


จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองดวงกำลังล่องลอยออกไปอย่างช้าๆ เสมือนว่าถูกอาคมบางอย่างทำให้ทั้งสองมิอาจขัดขืนคล้ายเป็นอัมพาต


อีกาสองตัวนั้นอ้างปากกว้างเตรียมรอรับมื้ออาหารอันโอชา จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของอิ้งหมัวหู่กับลู่เอ๋อค่อยๆหดเล็กลงเรื่อยๆ


ในที่สุดอีกาทั้งสองก็กระเดือกจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองลงไปทันทีภายในคำเดียว


 


ยิ่งเห็นภาพฉากนี้ต่อหน้าต่อตา ดวงตาของเย่หยวนแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือดแดงฉานในทันใด พร้อมความโกรธจัดสุดขีดทานทน!


แต่เขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยเช่นกัน!


 


สิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนี้คือ การขยับดวงตาออกจากอีกาตัวตรงกลาง!


 


อีกาตัวกลางระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกล่าวกับเย่หยวนว่า


“ผ่อนคลาย ไฉนเจ้าไม่ตามมาสมทบกับสหายที่เหลือ? อย่าพยายามฝืนให้เหนื่อยเปล่า สหายน้อยคนหนึ่งที่ไม่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ยังนับเป็นอันใด? มองมาที่ดวงตาของข้า!”


คลื่นพลังไร้สภาวะหอบใหญ่พุ่งเข้าใส่จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนทันที!


 


คราวนี้เย่หยวนไม่สามารถหยุดยั้งใดๆได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดดวงตาคู่นั้นก็เข้าประจันหน้ากับดวงตาคู่นั้นของอีกาจนได้!


 


ในไม่ช้า เย่หยวนรู้สึกประหนึ่งว่า จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตนถูกแช่แข็งเอาไว้ โดยไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนพลันหลุดลอยออกไปโดยไม่รู้ตัว


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่เลว! ไม่เลวเลย! จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้…ดูท่าจะเป็นสายเลือดมังกรบริสุทธิ์! ยิ่งไปกว่านั้น…กลิ่นอายชนิดนี้ช่างคล้ายคลึงกับบรรพชนต้นกำเนิดของเผ่ามังกรยิ่ง! หื้ม…? ฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงในตำนาน? ฮ่าฮ่าฮ่า หยิบถูกสุดยอดมหาสมบัติเข้าเต็มเปา!”


อีกาตัวกลางกล่าวขึ้นพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไร้กังวล


ตอนที่1261 พายุวิญญาณ!


 


“บัดซบ! หรือแม้แต่ไข่มุกสยบวิญญาณก็มิใช่คู่มือของพฤกษาวิญญาณมรณะเช่นกัน? ไยถึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆเลย!”


แม้ว่าจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนจะถูกควบคุมตรึงแข็ง แต่เขาเองก็ยังมิได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไป


ความหวังเดียวที่พึ่งพาได้คือ ไข่มุกสยบวิญญาณ!


ทว่าไข่มุกสยบวิญญาณนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆเลย ซึ่งนี่ทำให้เขากังวลใจอย่างยิ่ง


จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนค่อยๆถูกดึงออกจากร่างไกลขึ้นทีละเล็กละน้อย ดวงตาของอีกาเปรียบดั่งก้นหุบเหวนรกที่เย่หยวนยังคงร่วงตกไม่หยุด


 


ทันทีทันใดนั้นเอง ไข่มุกสยบวิญญาณที่หลับใหลก็ตื่นขึ้นในที่สุด!


มันเริ่มส่งคลื่นความผันผวนออกไปอีกครั้ง


จากเดิมที่จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนหลุดลอยออกไป ยามนี้ถูกดึงกลับเข้าร่างดังเดิมอย่างรวดเร็ว!


 


“หื้ม? เกิดอะไรขึ้น?”


อีกาตัวกลางกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ


ทุกครั้งที่ลงมือเคลื่อนไหว มันไม่เคยประสบความล้มเหลวมาก่อนเลย แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้าล้วนเสร็จมันทุกราย ตราบใดที่ชะตากรรมยังคงดำรงเรื่อย สรรพสิ่งใดอยู่ในรีศมีล้วนต้องวอดวาย ไม่มีอะไรหยุดมันมิให้กลืนกินจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้


แต่ในวันนี้ มันกลับล้มเหลวจริงๆ!


แถมอีกฝ่ายยังเป็นเพียงมนุษย์น้อยคนหนึ่งที่มิได้เป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าด้วยซ้ำ!


 


“มีตำนานเล่าขานไว้ว่า ฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงเป็นกายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กล้าแกร่งที่สุดแห่งเผ่ามังกร ความแข็งแกร่งของตาเฒ่าอ้าวฉินเองก็มิอาจประเมินได้เช่นกัน กระทั้งนรกยังต้องถอย! อย่างไรก็ตาม…ต่อให้จะเก่งกาจฟ้าประทานเพียงใด แต่ตาเฒ่านั้นก็ไม่อยู่แล้ว ยามนี้ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือเจ้าเด็กนี่ได้อีก!”


อีกาตัวกลางกล่าวพึมพำกับตัวเอง


โดยไม่รีรออันใด อีกาตัวกลางกางปีกสยายสีทมิฬของมันพร้อมปราดเข้าจู่โจมไปที่ศีรษะของเย่หยวน!


จิตวิญญาณศักดิ์นสิทธิ์ของเย่หยวนที่เพิ่งเข้ารูปเข้ารอย กลับต้องเตรียมรับมือกระทันหันประดุจฟ้าผ่า!


 


อีกาพุ่งโจมตีหวังเสียบทะลวงศีรษะด้วยจงอยปากอันแหลมคมของมัน แต่ทันทีทันใด พลันมีคลื่นพลังวิญญาณไร้สภาวะเข้าห่อหุ้มร่างกายเย่หยวนในบัดดล


 


ภากฉากนี้ถึงกับทำให้อีกาตัวนั้นโพล่งอุทานลั่นด้วยความหวาดกลัว!


“ไข่มุกสยบวิญญาณ! กลับกลายว่าเป็นไข่มุกสยบวิญญาณ! บัดซบ! บัดซบที่สุด!! ไฉนไข่มุกสยบวิญญาณถึงอยู่ในตัวมันได้?! อ๊ากก!!”


อีกาตัวนั้นแตกตื่นอย่างหนักราวกับพบเจอบางสิ่งที่น่ากลัวยิ่ง มันกรีดร้องระงมเจือน้ำเสียงสิ้นหวัง


ปีกกางโบกสะบัดให้ไว อีกาตัวนั้นเร่งกระพือปีกหนีกลับออกมาทันที


ทว่านั้นกลับสายเกินไปเสียแล้ว!


จู่ๆเหนือศีรษะของเย่หยวนพลันเกิดแรงดูดอย่างแรงขึ้น พร้อมกลืนกินอีกาตัวนั้นเข้าไปโดยตรง


อีกาตัวนั้นยังไม่ทันได้กลืนกินเย่หยวน ทว่ากลับกลายเป็นเย่หยวนที่กลืนกินมันแทน!


 


หากกล่าวให้ถูกต้อง นั้นมิใช่เย่หยวน แต่เป็นไข่มุกสยบวิญญาณ!


 


เย่หยวนสามารถสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งว่า อีกาตัวนั้นถูกกลืนกินลงไปแล้วโดยไข่มุกสยบวิญญาณ


 


“แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก!”


เย่หยวนอ้าปากกว้างหอบถี่อย่างหนักหน่วง ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นจากขุมนรกอันน่าสยดสยองนี้จนได้


ขณะเดียวกัน สิ่งแรกที่เขาจำต้องทำโดยไวคือ การไปช่วยอิ้งหมัวหู่กับลู่เอ๋อ!


แต่ก่อนหน้าที่เย่หยวนจะลงมือ เขาพลันสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณบางอย่างที่ผันผวนยิ่งกลางทะเลแห่งจิตใจของตน


เมื่อเขาหลบตาดึงจิตเข้าไปตรวจสอบก็พบเป็นพายุวิญญาณขนาดมหึมาที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่โดยมีตัวเขายืนอยู่ ณ จุดศูนย์กลาง


 


พายุวิญญาณนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป กระทั้งเย่หยวนเองยังต้องหรี่ตาแคบมิอาจจับจ้องได้นานนัก


ลูกประคำสีดำค่อยๆลอยขึ้นเหนือน่านน้ำในทะเลแห่งจิตใจ และทะยานขึ้นสูงสู่กลางเวหา


ทันใดนั้น มันเริ่มหมุนควงเร็วจี๋จนดูดกระแสน้ำเบื้องล่างขึ้นมา และก่อร่างสร้างตัวขึ้นกลายเป็นพายุวารีวิญญาณ


พายุวารีวิญญาณนี้ค่อยๆขยับขยายตัวออกกว้างและเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!


 


 


“อ๊ากก! อ๊ากกก! อ๊ากกก! หลังจากที่ตาเฒ่านั้นล่วงลับไปแล้ว ไข่มุกสยบวิญญาณก็หายสาบสูญไป ไฉนมันถึงปรากฏขึ้นในตัวไอ้เด็กเหลือขอนี่?!”


พฤกษาวิญญาณมรณะกรีดร้องระงมพร้อมความหวาดกลัวสุดขีด


เว้นเสียว่า พายุวารีวิญญาณของไข่มุกสยบวิญญาณยังขยาดขยายตัวขึ้นไม่หยุดหลุดออกจากทะเลแห่งจิตใจโดยตรง ยามนี้ทั่วทุกหนแห่งถูกพายุวารีวิญญาณนี้กวาดล้างชำระซัดไม่เหลือ


แม้แต่ตัวต้นพฤกษาวิญญาณมรณะเองก็ไม่สามารถต้านทานได้เช่นกัน!


 


รัศมีพายุแผดกว้างไพศาลจนกระจายไปทั่วลุ่มแม่น้ำมรณะในพริบตา


เหล่าสิ่งมีชีวิตอันลึกลับภายในเขตพระเจ้าต้องห้ามต่างอพยพหนีทันทีด้วยความแตกตื่นหวาดกลัว


ความผันผวนระดับนี้ทำให้ภายในใจของพวกมันสั่นระรัวสุดขีด!


สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในเขตพระเจ้าต้องห้ามล้วนทรงพลังไร้เทียมทาน กระทั้งเซียนอาณาจักรพระเจ้ายังมิใช่คู่มือ ทว่ายามนี้กลับหนีเตลิดไม่เป็นท่า


 


 


……………………….


 


 


 


ณ หุบเขาแห่งนี้ ภายในถ้ำลึก ปรากฏสองคู่ดวงเนตรพลันเปิดขึ้นอย่างแช่มช้า


หนึ่งในสายตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความกลัว


 


“แรงกดดันชนิดใดกัน? ไฉนถึงทรงพลังเพียงนี้! ดูเหมือนจะมาจากทางลุ่มแม่น้ำมรณะ!”


 


“นั้นคือไข่มุกสยบวิญญาณ! หนึ่งในสามสมบัติเวทย์สวรรค์! สุดยอดเครื่องรางแห่งจิตวิญญาณบนผืนพิภพของดินแดนพฤกษานิรันดร์! ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ห้าล้านปีต่อมา,หลังจากที่จอมเทพนิรันดร์ล่วงลับไป ไข่มุกสยบวิญญาณจะปรากฏขึ้นให้เห็นอีกครั้งในท้ายที่สุด!”


 


“จอมเทพนิรันดร์? นั้นใครกัน?”


 


“เขาคือราชันย์แห่งราชันย์ของดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้! แล้วเจ้าลองคิดสิว่า เขาผู้นั้นจะไร้เทียมทานเพียงใด!”


 


“นั้นเป็นบุคคลที่แม้แต่ท่านพ่อยังเอ่ยปากชื่นชม? ช่างแข็งแกร่งนัก!”


 


“แข็งแกร่ง? หุหุ,แม้แต่คำว่า แข็งแกร่ง ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะใช้กับเขา!”


 


“แล้วพฤกษาวิญญาณมรณะล่ะ?”


 


“หุหุ เจ้าพวกนั้นหาญกล้าท้าทายเจ้านายใหม่ของไข่มุกสยบวิญญาณ แล้วเจ้าคิดว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร! พวกมันรนหาที่ตายเอง ไม่มีใครสามารถช่วยอะไรได้ มีจิตวิญญาณของพฤกษามรณะช่วยหล่อเลี้ยงเช่นนี้ จิตวิญญาณของไข่มุกสยบวิญญาณก็ควรตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน!”


 


 


………………………..


 


 


ไม่ทราบเลยว่า วันเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดพายุวารีวิญญาณนี้ก็สงบลง


เย่หยวนฟื้นสติตื่นขึ้นด้วยความงุนงงพร้อมความปวดร้าวที่โฉบแล่นขึ้นหัวราวกับแตกเป็นเสี่ยงๆ


เสี้ยวอึดใจต่อมา เขาพลันนึงถึงอิ้งหมัวหู่กับลู่เอ๋อเป็นอย่างแรกในทันใด


 


“อิ้งหมัวหู่! ลู่เอ๋อ!”


เย่หยวนตะโกนเรียกกับใจที่เคว้งคว้าง


 


“พี่ใหญ่/นายน้อย ข้าอยู่นี่!”


“พี่ใหญ่หยวน ในที่สุดท่านก็ได้สติ!”


 


สุ้มเสียงที่แสนคุ้นเคยทั้งสามดังขึ้นทำเอาเย่หยวนคลายใจโล่งอย่างยิ่ง


เขาหันมองไปหาอิ้งหมัวหู่กับลู่เอ๋อพลางกล่าวถามด้วยความประหลาดใจว่า


“พวกเจ้า…ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”


 


อิ้งหมัวหู่กล่าวตอบทันควัน


“พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอรู้สึกตัวอีกทีก็นอนหมดสติเหมือนท่าน! ข้าได้สติก่อนไม่นานเท่าไหร่นัก”


ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งอิ้งหมัวหู่และลู่เอ๋อต่างปลอดภัยดี ยามนี้ก้อนหินขนาดมหึมาที่ทับอยู่กลางอกเย่หยวนพลันอันตรธานหายสิ้น


เมื่อนึกถึงภาพฉากที่อิ้งหมัวหู่และลู่เอ๋อถูกกระชากจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกจากร่างไป นั้นคล้ายมีดคมบาดลึกเข้าขั้วหัวใจเย่หยวนโดยตรง


แม้ตอนนี้ความหวาดกลัวยังคงตราตรึงไม่สิ้นกลิ่นดี


 


เย่หยวนเหลียวมองไปยังลี่เอ๋อก่อนกล่าวขึ้นว่า


“ลี่เอ๋อ เจ้ามิได้ถูกกลืนกินวิญญาณเข้าไป ระหว่างนี้ที่อยู่ในเจดีย์เลื่องสวรรค์เจ้าเห็นสิ่งใดบ้าง?”


 


ลี่เอ๋อส่ายหัวพลางกล่าวตอบ


“แม้ข้าจะไม่ถูกกลืนกินวิญญาณ แต่ต่อมาทันทีที่เกิดพายุนั้น ข้าเองก็หมดสติไปเช่นกัน”


ทั้งสี่สบตากันไปมา แต่ละคนเผยสีหน้าฉงนงุนงงไม่ต่าง


กระทั้งซือโปเทียนยังยืนหน้ามึนอยู่เคียงข้างไม่ห่างกายเช่นกัน


 


เย่หยวนขมวดคิ้วเข้มพร้อมเพ็งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตนลงในไข่มุกสยบวิญญาณ เขาพบว่าไข่มุกสยบวิญญาณยังคงลอยเวค้งอยู่ในทะเลแห่งจิตใจดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย


 


“ไข่มุกสยบวิญญาณนี่คืออะไรกันแน่? เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าช่างน่าประหลาดเกินไป!”


เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างไร้ประโยชน์


จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของทั้งอิ้งหมัวหู่และลู่เอ๋อควรจะถูกกลืนกินโดยสิ้นและตายลงไปนานแล้ว


แต่ใครจะไปคิดว่า ไม่เพียงทั้งคู่จะรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ แต่ยังไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนใดๆ


นอกเหนือจากความปีติยินดี สิ่งนี้กลับชวนให้เย่หยวนรู้สึกแปลกใจเข้าไปใหญ่


ไข่มุกสยบวิญญาณนี้ไม่สามารถหยั่งรู้ได้โดยแท้ นี่ทำให้เขารู้สึกโง่งมไปโดยสมบูรณ์


 


พฤกษาวิญญาณมรณะเป็นยิ่งกว่าตำนาน มันทรงพลังเสียยิ่งกว่าเซียนอาณาจักรพระเจ้า!


แต่ไข่มุกสยบวิญญาณกลับสามารถบดขยี้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้จนไม่เหลือแม้แต่ผุยผง!


 


“หื้ม?”


เย่หยวนตกใจเล็กน้อย


“จะว่าไป…พวกเราออกจากลุ่มแม่น้ำมรณะได้แล้ว? เช่นนั้น…พฤกษาวิญญาณมรณะล่ะ?”


 


ทั้งสี่เผยสีหน้าสุดว่างเปล่าออกมาโดยไม่สมัครใจ อย่าว่าแต่พฤกษาวิญญาณมรณะ กระทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้ากับพวกเขาเองยังไม่ทราบ


 


 


เย่หยวนถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวว่า


“เอาล่ะ อย่ากังวลไปเลย! ในเมื่อพ้นมือมันมาได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว ยามนี้ไปเสาะหาพฤกษาคุนหวูกันดีกว่า!”


 


….


……


ในเวลาเดียวกัน ภายในไข่มุกสยบวิญญาณกลับมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น


สายตาของมันทอดยาวออกไปเบื้องหน้า พร้อมมองภาพฉากที่ภายในปรากฏเป็นเย่หยวนและเหล่าพวกพ้องที่กำลังเร่งรุดเดินทางต่อ


 


“หุหุ… เป็นเวลากว่าห้าล้านปีแล้ว ในที่สุดไข่มุกสยบวิญญาณก็เจอผู้สืบทอด!”


ตอนที่ 1262 ทะลวงสู่พลังระดับเก้าขั้นสมบูรณ์!


 


“พี่ใหญ่ นี่แปลกเกินไป! มิใช่ว่าที่นี่คือเขตพระเจ้าต้องห้ามหรอกรึ? ไฉนเราถึงไม่พบเจอภัยอันตรายใดๆอีกเลยหลังพวกเราออกจากลุ่มแม่น้ำมรณะ?”


หลังจากเหตุการณ์ในลุ่มแม่น้ำมรณะที่รอดตายออกมาอย่างหวุดหวิด นี่ก็ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้ว


อิ้งหมัวหู่ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่เดินทางมาตั้งไกลแต่ไฉนถึงเงียบสงบผิดปกติตลอดทางที่มา!


แรงคุกคามหรือรางสังหรณ์อันน่าสะพรึงเหล่านั้นที่ปรากฏยามแรกเท้าย่างเข้าในเขตพระเจ้าต้องห้าม ทั้งหมดกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย


ความแตกต่างดั่งฟ้ากับเหวชนิดนี้ชวนทำเอาผู้คนใจหายใจคว่ำ


 


แม้เย่หยวนจะตระหนักดีว่าโอกาสรอดชีวิตออกมามีน้อยแสนน้อย แต่ลึกๆแล้ว เขาก็ยังมั่นใจในตัวเองว่าต้องรอดให้จงได้


แต่ตอนนี้ ทุกอย่างกลับง่ายเกินไป!


 


ทั้งสี่เกือบลืมไปแล้วว่ากำลังเดินทางอยู่ในเขตพระเจ้าต้องห้ามที่สุดแสนอันตราย บางครั้งถึงขั้นชมพฤกษาทัศนียภาพโดยรอบเล่น


เขตพระเจ้าต้องห้ามที่ได้ชื่อว่า สุสานของเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้า มันเงียบสงบและปลอดภัยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด?


 


“หรือเป็นไปได้ไหมว่า พายุที่ก่อเกิดจากไข่มุกสยบวิญญาณในตอนนั้นจะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด! สิ่งมีชีวิตภายในเขตพระเจ้าต้องห้ามอาจหวาดกลัวในไข่มุกสยบวิญญาณยิ่ง นี่จึงเป็นเหตุให้พวกมันหนีกันไปหมดแล้ว?”


เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างเงียบๆ


 


แต่อิ้งหมัวหู่กล่าวตอบพร้อมท่าทางสุดภาคภูมิใจว่า


“พี่ใหญ่อย่าลืมไปเสีย ทั้งหมดเป็นเพราะข้าที่นำพาท่านให้มาเจอกับไข่มุกสยบวิญญาณในปีนั้น ฮ่าฮ่า ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า มันกลับกลายเป็นของวิเศษที่แสนน่าอัศจรรย์! นี่เขตพระเจ้าต้องห้ามหรือเดินเล่นอยู่ในสวนหลังตำหนัก?”


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า


“ฮ่าฮ่าฮ่า ความสามารถในการค้นหาสมบัติของเจ้ายังคงยืนหนึ่งในใจข้า! กระนั้นเอง…ข้ารู้สึกได้ว่าสรรพสิ่งที่เห็นกลับไม่ง่ายอย่างที่เห็นเลย! ข้ายังจำได้ว่า พฤกษาวิญญาณมรณะเองก็กล่าวถึง ‘ดินแดนพฤกษานิรันดร์’ ซึ่งก่อนหน้านี้ข่านนั่วเองก็เรียกดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ว่า‘ดินแดนพฤกษานิรันดร์’เช่นกัน นอกจากนี้กวนควานเทียนเองก็เคยกล่าวเล่าว่า ศิลาจารึกเลื่องสวรรค์กับไข่มุกสยบวิญญาณเป็นมิใช่ของวิเศษของดินแดนแห่งนี้ แต่เป็นของวิเศษจากต่างแดน! แม้กระทั้งท่านเซียนเต๋าสวรรค์เองก็ยังไม่ทราบถึงต้นกำเนิด! ดูเหมือนว่า…นอกเหนือจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังมีดินแดนที่พวกเราไม่เคยรู้จักอยู่อีกด้วย!”


 


ใจสั่นระรัวเต้นแรง ลี่เอ๋อกล่าวขึ้นอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่า


“พี่ใหญ่หยวน หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าอพยพไปยังดินแดนอื่นที่ว่านั้น?”


 


เย่หยวนหันมองลี่เอ๋อด้วยสายตาแปลกๆ เขากล่าวตอบพร้อมพยักหน้าว่า


“อาจเป็นอย่างที่เจ้ากล่าว! บางทีพวกเขาเหล่านั้นอาจรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า ศาสตร์แห่งสวรรค์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังจะสูญสิ้น พวกเขาจึงแอบจัดตั้งภาคีขึ้นมาเพื่อคิดค้นวิธีข้ามไปมิติเปิดทางสู่ดินแดนอื่น!”


 


 


ยิ่งเย่หยวนพูดมากเท่าไหร่ แต่ละคนก็ยิ่งตื่นตกใจมากขึ้นเท่านั้น!


หากเป็นอย่างที่สันนิฐานไปจริงๆ ทุกอย่างก็สามารถอธิบายได้ในทันที!


แม้พวกเขาเหล่านั้นจะกลายไปเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าแล้วก็ตาม  แต่ยามใดที่สูญสิ้นศาสตร์แห่งสวรรค์ไป พวกเขาจะถูกระงับพลังเหลือแค่อาณาจักรเต๋าลึกล้ำในทันที แล้วแบบนี้มีหรือที่พวกเขาจะเต็มใจอยู่ต่อไปในอนาคต?


 


ถึงความเข้าใจของพวกเขาจะรุกล้ำไปไกลโข ทว่าระดับเพียงอาณาจักรกึ่งพระเจ้ากลับไม่นับเป็นอันใด


แต่เดิมพวกเซียนเหล่านี้มีศักดิ์เหนือมวลมนุษย์ หากต้องตกลงมาปะปนกับมนุษย์ ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่พวกเขาจะทนไหว


นอกจากนี้เอง ดินแดนอื่นๆอาจเป็นดินแดนระดับที่สูงกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นั้นหมายความว่า พวกเขาจะมีโอกาสไต่ขึ้นสู่อาณาจักรพลังที่สูงขึ้นไปอีกได้


สุดท้ายนี้ เย่หยวนก็ได้สัมผัสกับความลับที่คลุมเคลือบด้วยฝุ่นหนากว่าแสนปี!


 


“ดินแดนพฤกษานิรันดร์! ดินแดนพฤกษานิรันดร์! ไฉนถึงต้องเรียกว่า ดินแดนพฤกษานิรันดร์! แล้วทำไมศาสตร์แห่งศวรรค์จึงหายไป? เหอะ เหอะ… เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าคงคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่นๆ ถึงว่าตัวเองเป็นพระเจ้าแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจ!”


เย่หยวนกล่าวเย้ยดยาะไม่หยุดปาก พลางดูถูกหยามเหยียดเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าว่าเห็นแก่ตัว


เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าพวกนี้จะไม่ใส่ใจภัยอันตรายของเผ่าปีศาจเลยแม้สักนิด!


ทั้งๆที่เผ่าปีศาจเตรียมจ้องฆ่าล้างสรรพสิ่งบนผืนพิภพมาโดยตลอด ทว่าเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าพวกนี้กลับเลือกที่จะจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองใดๆ! และไม่แม้แต่จะออกปากเตือน!


 


เย่หยวนรังเกียจคนประเภทนี้เป็นอย่างที่สุด


 


“หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกนั้นก็เป็นได้แค่ขยะกลุ่มหนึ่ง! ทิ้งภาระความรับผิดชอบทั้งหมดไว้ให้แก่ชนรุ่นหลังโดยไม่บอกกล่าวอันใดแม้สักนิดหรือกระทั้งทางออก ชีวิตนับล้านล้านบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างได้รับความเดือดร้อนจากเผ่าปีศาจบัดซบ!”


อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคือง


 


ลี่เอ๋อถอนหายใจเสียงยาวไม่หยุดหย่อน นางกล่าวว่า


“บนผืนพิภพแห่งนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มากคุณธรรมเปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบ ท่านเซียนเต๋าสวรรค์, ท่านอาวุโสฟางเทียน และพี่ใหญ่หยวน เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้ามองผู้คนด้อยค่าดั่งผักปลา แล้วมีหรือจะมาใส่ใจ? ไม่ว่ากี่ล้านชีวิต สำหรับพวกมันคงไม่มีค่าเท่ากับชีวิตของพวกมันแค่หนึ่งเดียว!”


 


เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เย่หยวนเองก็ผงกศีรษะยอมรับและคิดแบบนั้นเช่นกัน


อาจเป็นไปได้ว่า ในสายตายของพวกมัน ชีวิตของมวลมนุษย์เป็นแค่ผักปลาจริงๆ


 


แต่ทันใดนั้นเอง สีหน้าเย่หยวนพลันมืดลงโดยพลัน แรงกดดันศักดิ์สิทธิ์สุดข้นคลักเข้าโอบล้อมเขาไว้ทุกทิศทาง


 


“ฮิฮิ… ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้เจอพวกเจ้าจริงๆ! คู่แค้นย่อมไม่แคล้วกัน!”


 


พลันปรากฏร่างหนึ่งปราดเข้ามาขวางทางเย่หยวนไว้ทันควัน และนั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากจู่เก๋อฉิงซวนอย่างแม่นยำ!


 


เย่หยวนเค้นเสียงหึกล่าวตอบอย่างเมินเฉยว่า


“ก็แค่ครึ่งผีครึ่งคนที่ยังหายใจ!”


 


“เจ้าหนู รู้หรือไม่ว่าเจ้าได้ทำลายความพยายามถึงหนึ่งล้านปีเต็มของข้าจนป่นปี้? แล้วมีหรือที่พระเจ้าผู้นี้จะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ?”


 


สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนมืดลงเล็กน้อยและกล่าวว่า


“จู่เก๋อฉิงซวนล่ะ? หรือตายไปแล้ว?”


 


“หึ! บิดาเจ้าเถอะ! คราวนี้ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเจ้าจะตายทรมานเพียงใด!”


ครานี้เปลี่ยนเป็นเสียงอันหยิ่งยโสของจู่เก๋อฉิงซวนที่แผดดังสนั่น


 


เย่หยวนกวาดสายตาจับจ้องอีกฝ่ายอย่างเฉยเมยและกล่าวเย้ยเยาะขึ้นว่า


“ดูท่าเจ้าจะไม่คิดลงมือเองอีกต่อไป? หุหุ,ความมั่นใจก่อนหน้าไม่ทราบว่าหายไปไหนหมดแล้ว? ถูกข้าตบเข้าไปทีถึงกับกลัวจนหัวหดเชียว!”


เย่หยวนทราบดีว่า จู่เก๋อฉิงซวนนิสัยสันดานเป็นอย่างไร แม้อีกฝ่ายจะทราบว่าเย่หยวนจะเจตนายั่วยุ แต่เขามักจะเดินติดกับดักเองเสมอ


ทว่าครั้งนี้เย่หยวนกลับคิดผิด!


 


จู่เก๋อฉิงซวนที่ได้ยินเช่นนั้นแค่เค้นเสียงเย็นเล็กน้อยและกล่าวว่า


“หึ! ข้าไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ขอเพียงได้เห็นเจ้าตายต่อหน้าต่อตาก็สุขใจยิ่งแล้ว! ยามใดที่เจ้าพลาด ข้าผู้นี้จะเป็นคนเหยียบซ้ำ!”


 


“ฮิฮิ… เจ้าหนู ข้าขอยอมรับเลย เจ้านี่มันน่าประทับใจจริงๆ! อ่านจุดอ่อนจุดแข็งรวมไปถึงบุคคลิกส่วนตัวของคู่ต่อสู้เฉียบขาด และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่น่าเสียดาย…ที่เจ้าดันมาเกิดผิดเวลา!”


เห็นได้ชัดเลยว่า ทั้งสองได้ปรับความเข้าใจกันมาแล้ว


ท้ายที่สุดนี้ เป้าหมายของทั้งสองคือการสังหารเย่หยวนและทั้งหมดมีเพียงแค่นั้น


จู่เก๋อฉิงซวนเองก็ตระหนักดีอยู่แก่ใจ หากให้มันลงมือเองเกรงว่าจะประสบความล้มเหลวเป็นคำรบสอง!


ด้วยความแกร่งกร้าวของมัน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถฆ่าเย่หยวนได้เลย!


 


เย่หยวนถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า


“เช่นนั้นก็ได้! ดูท่าวันนี้ ทุกอย่างคงไม่จบหากมิได้แลกเลือด!”


ทันทีที่กล่าวจบ เย่หยวนก็นำที่เหลือกลับเข้าสู่เจดีย์เลื่องสวรรค์ทันที


 


เมื่อเห็นภาพฉากนี้ หลีกุยพลันหัวร่อเสียงเย็นพร้อมกล่าวว่า


“แลกเลือดเชียว? เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว! ด้วยขุมพลังความแกร่งกล้าของพระเจ้าผู้นี้ ขอยอมรับโดยสัตย์ว่ามิอาจต้านทานเสียงแห่งจอมเทพมังกรได้ ทว่าพลานุภาพที่ถูกปลดปล่อยจากเจ้าที่มีพลังแค่ระดับเก้า อย่างมากที่สุดคงสำแดงใช้ได้เพียงสามอึดใจจริงหรือไม่? ตราบใดที่พระเจ้าผู้นี้สามารถทนทานได้เกินสามอึดใจ เจ้าก็คงตายแล้ว!”


ครั้งล่าสุด เย่หยวนใช้ไปเพียงสองอึดใจ หลีกุยจึงสันนิฐานว่าขีดกำจัดของเย่หยวนอยู่ที่สามอึดใจ


แม้เสียงแห่งจอมเทพมังกรจะทรงอนุภาพยิ่ง ทว่าความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งสวรรค์เองก็ทรงพลังไม่ต่างกัน!


ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเสียงแห่งจอมเทพมังกรเป็นวรยุทธที่ทรงอนุภาพทำลายล้าง ทว่าใครจะสามารถใช้ได้ตลอดรอดฝั่ง


 


เย่หยวนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ทว่ากลับหาได้สนใจวาจาคำกล่าวเหล่านั้นไม่ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมยว่า


“เช่นนั้นรึ? หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง พลังของเจ้าในปัจจุบันคงมีไม่ถึงหนึ่งจากสิบส่วนด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างไร แมตัวข้าในปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าคู่ เช่นนั้น…ก็ทำให้เข้าคู่ซะสิ้นเรื่อง!”


ทันทีที่กล่าวจบ พลังปราณทั้งหมดทั่วร่างกายของเย่หยวนพลันระเบิดคลั่งพรั่งพรูออกมาไท่หยุดหย่อน!


กระแสพลังปราณสร้างความปั่นปวนไปทั่วบริเวณ การระเบิดพลังของเย่หยวนได้ปลุกเร้าฟ้าดินทั้งเขตพระเจ้าต้องข้ามจนโกลาหลไปหมด ทั้งพายุโหมกระหน่ำกระแสวารีเชี่ยว มวลเมฆารอบม่านฟ้าแห่รวมกันจนเป็นหนึ่ง!


 


สีหน้าการแสดงออกของหลีกุยเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือโดยพลัน พลางอุทานลั่นด้วยความหวาดกลัวสุดขีดว่า


“นี่…นี่มันพลังระดับเก้าขั้นสมบูรณ์! อาณาจักรกึ่งพระเจ้า!”


ตอนที่1263 อาณาจักรกึ่งพระเจ้า!


 


สำหรับคนอื่นๆแล้ว พลังระดับเก้าขั้นสมบูรณ์กับอาณาจักรกึ่งพระเจ้าจะต้องแยกกัน ระหว่างสองระดับชั้นนี้ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ขวางกั้นอยู่


เพราะแม้ว่าพลังปราณและร่างกายจะสำเร็จถึงขั้นสมบูรณ์ได้ แต่นั้นยังไม่ใช่อาณาจักรกึ่งพระเจ้า


ขอบเขตจิตใจนับเป็นปราการด่านสำคัญที่ดับอนาคตอันสดใสของเหล่าอัจฉริยะมาแล้วนับไม่ถ้วน


ทว่าในกรณีของเย่หยวนกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง เขาสำเร็จขอบเขตจิตใจได้ก่อนเป็นอันดับแรก และตอนนี้เหลือเพียงพลังปราณเท่านั้นที่ยังไม่สมบูรณ์


แน่นอน เรื่องอาณาจักรพลังเองก็มิใช่เรื่องง่ายที่จะทะลวงฝ่า จากอาณาจักรราชันย์เทวะขั้นสุดสู่พลังขั้นสมบูรณ์กลับเป็นไปไม่ได้ที่จะกระโดดขึ้นมาในอึดใจ


แต่เย่หยวนสามารถทำได้


การปะทะก่อนหน้า เย่หยวนยังเป็นแค่เซียนอาณาจักรราชันย์เทวะขั้นสุด


พวกเขาทั้งสองฝ่ายเพิ่งแยกจากกันได้ไม่นาน ทว่าเย่หยวนกลับสามารถพัฒนาขึ้นอีกระดับได้แล้ว


ในส่วนนี้หลีกุยรู้สึกประหลาดใจอย่างมากจริงๆ


แม้ในยุคที่มันถือกำเนิดมา การจะเฟ้นหายอดอัจฉริยะระดับชั้นนี้เกรงว่า ยากยิ่งกว่าพลิกภูเขา ซึ่งตัวมันเองก็ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนเช่นกัน


 


“เจ้ายังรออันใดอีก? รีบใช้โอกาสที่มันกำลังก้าวข้ามขีดกำจัดนี้ฆ่ามันซะ!”


น้ำเสียงของจู่เก๋อฉิงซวนแผดดังสนั่นด้วยความร้อนใจเจือกังวลสุดขีด


 


“เจ้านี่มันรู้เรื่องรู้ราวอันใดบ้าง? คิดว่า อาณาจักรกึ่งพระเจ้าเป็นเรื่องตลกกระมัง? ยามที่ปัจจัยหลักทั้งสามอย่างพลังปราณ,ร่างกายและจิตวิญญาณบรรลุสู่ขั้นสมบูรณ์ ผู้นั้นจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรกึ่งพระเจ้าได้! หากฉวยโอกาสนี้ลอบสังหารมัน นั้นเท่ากับว่าเราต่อต้านสรวงสวรรค์! ศาสตร์ในกายาและดวงจิตของเราจจะดับสลายในบัดดล! ไม่สิ…เจ้าจะตายทันที ส่วนพระเจ้าผู้นี้คงต้องเสียเวลาหากายเนื้อใหม่สิงสู่!”


หลีกุยกล่าวเสียงเย็น


 


“หึ! ปรากฏว่าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดมีดีแค่นี้? กระทั้งเด็กน้อยอาณาจักรกึ่งพระเจ้ายังไม่กล้าเผชิญหน้า!”


จู่เก๋อฉิงซวนกล่าวเย้ยเยาะ


 


“หากต้องการยั่วโทสะข้า นั้นกลับไร้ประโยชน์! หากเป็นเมื่อล้านปีก่อน มีหรือพระเจ้าผู้นี้จะเกรงกลัวเด็กน้อยระดับชั้นนี้? ทว่าปัจจุบัน… เหอะ เหอะ”


ความหมายในคำกล่าวของมันเห็นได้ชัดว่า ยามนี้ยังมิใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการสัประยุทธ์


แม้จู่เก๋อฉิงซวนจะเป็นพวกขี้กังวล แต่มันเองก็ทราบ ความเกลียดชังของหลีกุยที่มีต่อเย่หยวนมันมหาศาลเดือดดาลยิ่งกว่าตัวมันเองเสียอีก หาก ณ ขณะนี้หลีกุยสามารถเคลื่อนไหวได้จริง ป่านนี้คงปราดหน้าเข้าทะลวงอกเย่หยวนนานแล้ว


 


“เช่นนั้นพวกเราคงต้องรอจนกว่ามันจะก้าวข้ามขีดจำกัดเสร็จ?”


จู่เก๋อฉิงซวนกล่าวพร้อมสีหน้าสุดเคร่งขรึม


 


“แม้ว่าเจ้าเด็กนั้นจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรกึ่งพระเจ้าได้ แต่ศาสตร์แห่งสวรรค์ของมันยังเป็นแค่ขั้นที่สอง ถึงกายเนื้อของเจ้าจะอ่อนปวกเปียกไปเล็กน้อย แต่พระเจ้าผู้นี้ยังคงมั่นใจว่าสามารถจัดการได้แน่นอน!”


หลีกุยกล่าวประเมินสถานการณ์


 


ต่อหน้าวาจาคำกล่าวของหลีกุย จู่เก๋ฮฉิงซวนมิอาจปฏิเสธใดๆได้เลย หากเย่หยวนสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรกึ่งพระเจ้าได้ นั้นจะเท่ากับอีกฝ่ายเหนือชั้นกว่าตนทุกด้านแล้ว


แท้ที่จริง สามปัจจัยหลักอย่างพลังปราณ,ร่างกายและจิตวิญญาณของจู่เก๋อฉิงซวนเองก็ได้รับการฝึกฝนบ่มเพาะมาเป็นเวล้าเนินนาน เว้นเสียว่า ขอบเขตจิตใจของมันยังคงประสบความล้มเหลวในท้ายที่สุด และมิอาจบรรลุ‘อาณาจักรคนฟ้ารวมเป็นหนึ่ง’ได้เสียที


ความแตกต่างนี้มิใช่น้อยๆหากเทียบกับเย่หยวน


หลีกุยมิได้จงใจกล่าวเพื่อตบหน้าจู่เก๋อฉิงซวน เพียงกล่าวประเมินออกไปตามความจริงเท่านั้น


 


 


………………..


 


ในขณะนี้ ในที่สุดเย่หยวนก็ได้สัมผัสกับคำว่า‘คนฟ้ารวมเป็นหนึ่งที่แท้จริง’!


ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญนี้ ราวกับเย่หยวนสามารถสื่อจิตถึงสรวงสวรรค์ได้ก็มิปาน


พลังปราณ,ร่างกายและจิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์สอดผสานรวมกันเป็นเนื้อเดียว ความรู้สึกเช่นนี้เขาไม่เคยสำผัสมาก่อนเลย


 


“มนุษย์ถือกำเนิดจากผืนดิน ผืนดินถือกำเนิดจากสวรรค์ สวรรค์ถือกำเนิดจากเต๋า และเต๋าคือสรรพสิ่ง! อาณาจักรกึ่งพระเจ้า!”


เย่หยวนรู้สึกทรงพลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


ในชีวิตก่อนหน้า เย่หยวนได้สำเร็จถึงอาณาจักรราชันย์เทวะขั้นสุดมาก่อนเช่นกัน ทว่ายามนี้กลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง


พลังปราณอันสมบูรณ์โคจรทั่วกายาไร้ทัดเทียม พร้อมขอบเขตจิตใจแห่งคนฟ้ารวมเป็นหนึ่ง ทั้งสามปัจจัยคล้ายทำนองสอดผสานกลายเป็นจังหวะที่สมบูรณ์แบบ


มิใช่ทางใดทางหนึ่ง แต่ทุกอย่างล้วนไร้ที่ติ!


 


ทันทีที่สำเร็จถึงระดับชั้นนี้ เย่หยวนก็ได้ค้นพบโลกอีกใบที่แตกต่าง!


ไม่แปลกใจเลยว่าไฉนฟางเทียนถึงสามารถเข้าสัประยุทธ์กับข่านนั่วได้อย่างสูสี


ความแข็งแกร่งนี้อยู่ภายใต้ขอบเขตอาณาจักรพระเจ้าเป็นที่เรียบร้อย


กระนั้นเอง เย่หยวนยังคงรู้สึกว่าตนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ


อาณาจักรพระเจ้าที่เย่หยวนบรรลุดกลับมิใช่อาณาจักรพระเจ้าที่สมบูรณ์!


ในยุคสมัยแรกๆ ยังไม่มีคำว่า อาณาจักรกึ่งพระเจ้าด้วยซ้ำ


ยามใดที่ขอบเขตแห่งจิตใจสามารถบรรลุสู่อาณาจักรคนฟ้ารวมเป็นหนึ่งได้ ผู้นั้นจะสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้โดยตรง!


เพราะนี่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการก้าวขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า!


 


ขอเพียงขอบเขตแห่งจิตใจบรรลุถึงคนฟ้ารวมเป็นหนึ่ง เรื่องพลังปราณและร่างกายย่อมมองข้ามผ่านไปได้ เพราะในระหว่างการก้าวข้ามขีดจำกัดสู่ระดับชั้นนี้ ศาสตร์แห่งสวรรค์จะหลั่งไหลเข้าสู่กายาจนสามารถทำให้พลังปราณและร่างกายเพิ่มระดับได้เองโดยตรง


แต่เมื่อเย่หยวนมาถึงขั้นตอนนี้กลับต้องพบว่า เขาไม่สามารถสัมผัสถึงอะไรได้เลย!


มิใช่สูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง แต่เมื่อเอื้อมไปแล้วกลับไม่มีอะไรเลย!


ความรู้สึกแย่ชนิดนี้คล้ายคนที่พยายามอย่างหนักแต่กลับมิได้อะไรตอบแทนเลย


ศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสิ้นไปแล้วจริงๆ!


ไม่เหลืออยู่เลย!


 


ในที่สุดเย่หยวนก็เข้าใจความรู้สึกของฟางเทียนแล้ว


ความรู้สึกดั่งว่า ความสำเร็จอยู่เพียงเอื้อมมือแท้ๆ แต่ความเป็นจริงกลับไม่มีอะไรอยู่เลย


สิ่งนี้แทบทำให้ผู้คนเป็นบ้า!


 


“ฮิฮิ ความรู้สึกที่ว่าอยากจะก้าวข้ามเพียงใด แต่กลับไม่สามารถทำได้ คงทรมานใจแย่?”


หลีกุยที่เฝ้ามองอยู่ไม่ใกล้ไกลเอ่ยปากกล่าถากถาง


 


เย่หยวนสาดสายตาใส่อีกฝ่ายอย่างไม่แยแสและกล่าวว่า


“มิใช่ว่าเจ้ารู้สึกแย่กว่าข้า? เคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดแท้ๆ แต่กลับต้องมาตายโดยเด็กน้อยอาณาจักรกึ่งพระเจ้า?”


 


สีหน้าการแสดงออกของหลีกุยเปลี่ยนไปทันที มันเค้นเสียงเย็นกล่าวว่า


“ฝีปากเฉียบคมดี! เจ้าทำลายความพยายามของข้านับล้านปีเต็ม หนี้เลือดคราวนี้จำต้องล้างด้วยเลือดเจ้า!”


หลีกุยทรงพลังไร้เทียมทานยิ่งในกลาอดีต แต่ยามนี้กลับถูกเด็กน้อยอาณาจักรกึ่งพระเจ้ากล่าวดเยาะเย้ยดูถูกเล่น แล้วมันจะไม่พิโรธเดือดดาลได้อย่างไร?


ความรู้สึกหดหู่ใจชนิดนี้ นับว่าเป็นความอัปยศยิ่งสำหรับตัวมันแล้ว


นี่ยังไม่รวมถึงความพยายามนับล้านปีเต็มของมันที่ถูกทำลายลงอย่างไม่เป็นท่า


 


“เข้ามา ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่า เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดจะมีดีสักกี่น้ำ!”


เย่หยวนกล่าวเย้ยพร้อมสีหน้าสุดหยามเหยียด


 


ในที่สุด เพลิงพิโรธของหลีกุยพลันโหมปะทุคลั่งถึงขีดสุด!


สีหน้าของมันเย็นสะท้านจับใจในบัดดล บริเวณโดยรอบปรากฏเสียงกรีดร้องครวญครวงระงมลั่น คล้ายเสียงภูตผีวิญญาณหอนสุดน่าสยดสยอง


ทันทีทันใด ผีร้ายจจำนวนนับไม่ถ้วนนับเผยกายขึ้นทั่วแผ่นฟ้า และปราดพุ่งโจมตีเย่หยวนในทันใด


 


“ร้อยวิญญาณตรึงจิต!”


กระบวนโจมตีนี้กอปรไปด้วยพลังปราณและศาสตร์แห่งผีสุดน่าสะพรึง มิใช่เพียงเข้าโจมตีทางกายภาพเท่านั้น กระทั้งทางด้านจิตวิญญาณเองยังส่งผลถึงขั้นสาหัส!


ด้วยขอบเขตความเข้าใจของหลีกุย อนุภาพของกระบวนโจมตีนี้จึงมิอาจประเมินได้


อย่างไรก็แล้วแต่ สีหน้าของเย่หยวนกลับนิ่งสงบหาได้แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย มือหนึ่งตวัดเรียกดาบพิชิตมารฟ้าออกมา พร้อมปลดปล่อยจิตสังหารแห่งดาบบริสุทธิ์พุ่งปราดสารทิศออกไป เพื่อกำจัดผีร้ายทั้งมวล


 


“วิถีดาบสารทิศ!”


ลำแสงเพลงดาบจรัสเฉิดฉายเหนือฟ้าน่านนภาไพศาล!


กระบวนเพลงดาบนี้ของเย่หยวนผสานรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน มันเข้าปราบปราดเหล่าผีร้ายในทันที!


เย่หยวนที่สำแดงใช้วิถีดาบสารทิศด้วยขุมพลังแห่งอาณาจักรกึ่งพระเจ้า พลานุภาพการทำลายล้างที่ปลดปล่อยออกมา มิอาจทราบได้เลยนว่าทรงพลังกว่าก่อนหน้าไม่รู้กี่ขุม!


อย่างน้อยที่สุดนี้ เพียงสิบอึดใจเหล่าผีร้ายทั้งหมดก็ถูกกำจัดไปโดยสิ้นซาก


 


เมื่อเห็นภาพฉากนี้ สีหน้าการแสดงออกของหลีกุยเปลี่ยนไปอย่างอดมิได้


เขาทราบดีถึงเพลงดาบของเย่หยวน และเป้าหมายของเขาที่ปลดปล่อยกระบวนโจมตีนี้ไปคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หาใช่สร้างความเสียตายทางกายภาพ


แต่…ดูเหมือนว่าเย่หยวนยังคงสมบูรณ์แข็งแรงดี ราวกับเขามีภูมิคุ้มกันต่อการโจมตีทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แกร่งกล้ายยิ่ง!


 


“นี่เพิ่งเริ่มเท่านั้น หากยังมีอะไรดีก็จงแสดงออกมา!”


เย่หยวนกู่คำรามเสียงเย็นสะท้าน


หาใช่ว่าเขาไม่รู้ หลีกุยจงใจเบี่ยงความสนใจไปยังผีร้ายเหล่านั้น และลอบจู่โจมด้วยการโจมตีทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่สำหรับการโจมตีประเภทนี้ มันไม่มีผลอันใดต่อเย่หยวนอยู่แล้ว


ทั้งการป้องกันสัมบูรณ์ ทั้งไข่มุกสยบวิญญาณ ไม่ว่าการโจมตีทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะแกร่งกล้าทรงพลังเพียงใด แต่มันกลับเป็นเพียงเสือกระดาษเท่านั้น


 


“หึ! ไอ้เซียนเต๋าสวรรค์บัดซบนั้น เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอดูหน่อยเสีย ผู้สืบทอดของมันจะต่อกระบวนมารล่าสังหารของข้าได้หรือไม่!”


หลีกุยคลี่ยิ้มบาง คลื่นพลังจิตวิญญาณโหบยักษ์โหมกระหน่ำถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน กระทั้งฟ้าดินยังเปลี่ยนสีสุดวิปลาสเพราะสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียว!


ตอนที่1264 มิใช่คู่มือโดยสิ้นเชิง!


 


ศึกสัประยุทธ์ครั้งใหญ่ของนักสู้เผ่ามนุษย์ทั้งสอง ได้กระตุ้นความสนใจจจากเหล่าสิ่งมีชีวิตลี้ลับภายในเขตพระเจ้าต้องห้ามกันยกใหญ่


แน่นอน ศึกสัประยุทธ์ในระดับชั้นแค่นี้กลับไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใดสำหรับพวกเขาเหล่านี้


นี่เป็นแค่เรื่องเด็กน้อยทะเลาะกันเท่านั้น!


 


เมื่อสองพ่อลูกเห็นหลีกุยสำแดงเดชสุดฤทธิ์ คนเป็นพ่อก็กล่าวขึ้นว่า


“ขอบเขตความเข้าใจก็ไม่เลว แต่เพียงว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของเขาคือเส้นทางที่ฝึกปรือกลับเป็นศาสตร์แห่งผี ศาสตร์แขนงนี้โดดเด่นเรื่องการโจมตีทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทว่าต่อหน้าไข่มุกสยบวิญญาณนี้ นั้นเท่ากับแสดงเศษเสี้ยวทักษะต่อหน้ายอดฝีมือโดยแท้ รนหาที่ตายแล้วกระมัง?”


 


“ไข่มุกสยบวิญญาณช่างน่าสะพรึงขวัญยิ่ง! ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พฤกษาวิญญาณมรณะกดดันพฤกษาคุนหวูอย่างหนักโดยไม่มิอาจตอบโต้ใดๆได้เลย แต่นึกไม่ถึงมันกลับถูกบดขยี้โดยตรง”


คนเป็นลูกกล่าว


 


“หลังจากที่กลืนกินวิญญาณของพฤกษาวิญญาณมรณะไป ไข่มุกสยบวิญญาณก็ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนั้นยังไม่รู้ตัว ไปเถอะ,ไม่มีอะไรสนุกๆให้ดูแล้ว อีกไม่นาน คนที่ฝึกปรือศาสตร์แห่งผีก็ตายแล้ว”


คนเป็นพ่อกล่าว


 


………………….


 


ณ หุบเขาลึกอันแสนเงียบสงบอีกแห่งหนึ่ง


 


ทันทีทันใด ปรากฏสุ้มเสียงเย้ยเยาะดังสนั่นจากส่วนลึก


“ก็แค่ตัวตลกโลดเต้นไปมา! หากมีความสามารถจริงจงแสดงตัวออกมา!”


 


 


………………………………


 


บนยอดเขาสีเขียวขจีงดงามแห่งหนึ่ง


 


บรรยากาศโดยรอบของสถานที่แห่งนี้แตกต่างไปจากลุ่มแม่น้ำมรณะโดยสิ้นเชิง แทนที่จะเป็นสถานที่เปล่าเปลี่ยวไร้ชีวิต ในทางตรงกันข้าม ที่แห่งนี้เปี่ยมไปด้วยบุปผาพฤกษางดงามมากมาย ทัศนียภาพสดใสคล้ายสรวงสวรรค์บนดิน หลากหลายชีวิตดำรงอาศัยอย่างสันติสงบ


ใจกลางสถานที่แห่งนี้มีต้นไม้ขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ สิ่งนี้ราวกับเป็นขั้วตรงข้ามของพฤกษาวิญญาณมรณะ มันเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต


เยาวชนหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งแกว่งเท้าไปมาอย่างสบายใจบนยอดไม้คล้ายกำลังสังเกตการณ์จากระยะไกล


 


“โอ้…น่าสนใจไม่น้อย สำแดงใช้ศาสตร์แห่งผีต่อหน้าไข่มุกสยบวิญญาณ ช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา! อย่างไรก็ตามแต่…ไข่มุกสยบวิญญาณนั้นได้ตื่นขึ้นอีกครั้งแล้ว ดูท่าจะได้ยาบำรุงชั้นเยี่ยม!”


เยาวชนหนุ่มคนนั้นกล่าวขึ้น


 


“ดูท่ามนุษย์คนนั้นจะต้องการมาหาเราที่นี่”


ต้นไม้ขนาดยักษ์จู่ๆพลันเปล่งเสียงดังออกมา


 


“เจ้าทราบได้อย่างไร? ครอบครองทั้งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ ทั้งไข่มุกสยบวิญญาณ ข้าหวังเหลือเกินว่า เจ้าเด็กคนนี้จะสามารถช่วยดินแดนพฤกษานิรันดร์ให้รอดพ้นจากการล้มสลายได้หรือไม่!”


เยาวชนหนุ่มกล่าวขึ้น


 


“นั้นเป็นไปไม่ได้! ประตูผนึกอาณาจักรหาใช่เรื่องง่ายที่จะเปิดออกไม่!”


ต้นไม้ยักษ์กล่าวตอบ


 


“เจ้าแน่ใจ? เช่นนั้นข้าขอเดิมพันกับเด็กคนนี้!”


เยาวชนหนุ่มคนนี้กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม


 


 


………………………..


 


เมื่อหลีกุยสำแดงเดชไปเกือบครึ่งกระบวน มันก็พลันสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดแปลกออกไป


กระบวนมารล่าสังหารเป็นสุดยอดการโจมตีทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของหลีกุย หากย้อนกลับไป กระทั้งเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดด้วยกัน ยังไม่สามารถต้านทานได้ไหว


ผู้ที่สามารถปราบปรามมันได้ในยุคนั้นมีเพียงเซียนเต๋าสวรรค์คนเดียว


 


ดังนั้นหลีกุยจึงคิดว่า หากตนเปลี่ยนกลายเป็นมารปีศาจอมตะได้และใช้สำแดงใช้กระบวนโจมตีนี้ แม้แต่เซียนเต๋าสวรรค์เองก็มิใช่คู่มือแน่นอน


เพียงว่แผนการของหลีกุยวางไว้ยาวนานเกินไป อีกหนึ่งล้านปีต่อมา ศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสิ้นไปแล้ว และมันก็ไม่สามารถกลับขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้อีก


 


สิ่งที่น่าระทมใจที่ยิ่งกว่าคือ กลับมีเด็กไม่ทราบหัวนอนปลายตีนเข้ามาทำลายแผนการทั้งหมดจนล้มเหลวไม่เป็นท่า


ถึงกระนั้นเอง กระบวนมารล่าสังหารนี้ยังคงทรงพลานุภาพอย่างไม่น่าเชื่อ


แต่ตอนนี้หลีกุยเพิ่งตระหนักรู้ตัว ไม่ว่ามันจะปลดปล่อยพลังวิญญาณออกไปเท่าใด นั้นกลับไม่สามารถทำอะไรเย่หยวนได้เลย


เสมือนหลีกุยกำลังเทน้ำลงบนผืนทรายที่ไม่มีวันเต็ม!


ในทางตรงข้าม พลังวิญญาณเหล่านั้นของมันยังถูกเย่หยวนดูดกลืนไม่หยุดหย่อนอย่างบ้าคลั่ง


 


เย่หยวนในยามนี้ตรวจพบความผิดปกติจากไข่มุกสยบวิญญาณได้แล้วอย่างชัดแจ้ง แต่เดิมมันจะไม่เคลื่อนไหวใดๆจนกว่าจะวิกฤตจริงๆ


แต่ตอนนี้ยังไม่ทันที่เย่หยวนจะได้ทำอะไร กลับเป็นไข่มุกสยบวิญญาณนี้ที่ลงมือแทนเสร็จสรรพ!


 


สีหน้าของหลีกุยบิดเบี้ยวชวนสยองขึ้นหลายส่วน แต่มันจำต้องหน้าซีดหน้าเมื่อค้นพบว่า มันไม่สามารถถอนพลังวิญญาณที่ไหลบ่าออกไปได้ ขณะนี้กลับกลายเป็นว่า มันถูกสูบพลังวิญญาณออกไปแทน


พลังจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของมันคล้านน้ำป่าไหลลากเข้าสู่ทะเลแห่งจิตใจของเย่หยวนอย่างต่อเนื่อง


 


“เย่หยวน เจ้า…เจ้าทำอะไรลงไป! ไฉน…ไฉนข้าถึงควบคุมพลังไม่ได้!?”


สีหน้าของหลีกุยดูตื่นตระหนกสุดขีด พินิจจากสุ้มเสียงที่เอ่ยลั่นนี้คล้ายต้องการจะร่ำไห้


หลีกุยถือเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนนี้กลับจนปัญญาและไม่ทราบเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่


 


เย่หยวนยักไหล่และกล่าวว่า


“แล้วข้าจะรู้ไหม? ข้ายังไม่ทันทำอะไรเลย!”


เย่หยวนยังไม่ได้ทำอะไรจริงๆ แต่มีหรือที่หลีกุยจะเชื่อ?


เพราะเย่หยวนกล่าวออกไปเช่นนี้ หลีกุยก็ยิ่งรู้สึกโศกเศร้าหนักกว่าเก่า


 


มันทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้นและร้องคร่ำครวญโหยหวนไม่หยุด


“นายท่านเย่! โปรด…โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด! ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง! นายท่านโปรดให้อภัย! ข้า…ข้าจะไม่หาเรื่องท่านอีกต่อไปในอนาคต! ยามนี้ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว โปรดเมตตาให้ข้าได้เริ่มต้นใหม่!”


 


ต่อหน้าพลังดูดกลืนวิญญาณนี้ มันไร้ซึ่งพลังอำนาจโดยสมบูรณ์


ไม่ว่ามันจะพยายามระดมใช้ศาสตร์แห่งสวรรค์ออกมาเพียงใด แต่หลีกุยก็ไม่สามารถหลุดพ้นออกจากพลังดูดกลืนอันบ้าคลั่งนี้ได้


หลี่กุยเตรียมใจตายไว้แล้วในที่สุด พลางคิดเจ็บใจกับตัวเองว่า ตนดันโง่เง่าไปยั่วยุสัตว์ประหลาดชนิดนี้ได้อย่างไร?!


 


เย่หยวนกล่าวตอบอย่างไร้หนทางช่วย


“มิใช่ว่าข้าไม่ต้องการช่วย แต่ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย!”


ไข่มุกสยบวิญญาณกลับมิใช่สิ่งที่เขาจะสามารถควบคุมได้ดั่งใจนึก ทุกครั้งที่มันเคลื่อนไหว ไข่มุกสยบวิญญาณล้วนลงมือตามใจเสมอ


และครั้งนี้เองก็เช่นกัน


 


วูบบ… วูบบบ


พลังดูดกลืนยิ่งโหมทวีรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของหลีกุยพลันหลุดลอยออกจากร่างจู่เก๋อฉิงซวนไป มันแปรสภาพกลายเป็นพลังวิญญาณกลุ่มก้อนใหญ่และถูกดูดลงไปในทะเลแห่งจิตใจของเย่หยวนโดยตรง


 


ทั่วทั้งร่างของจู่เก๋ฮฉิงซวนสั่นกระตุกอย่างแรงคล้ายสายฟ้าฟาดพร้อมได้สติขึ้น ตอนนี้เจ้าของเดิมได้หวนกลับคืนมาแล้ว สีหน้าของจู่เก๋อฉิงซวนซีดเซียวหนัก


หากปราศจากหลีกุย มันเองก็ไร้ซึ่งความหวังใดอีกต่อไป


ปัจจุบัน หากต้องเข้าเผชิญกับเย่หยวนจริงๆ มันกลับไม่มีพลังอำนาจใดไปตอบโต้ได้เลย


 


“ยะ-เย่…เย่หยวน ข้า…ข้า…”


จู่เก๋อฉิงซวนสีหน้าซีดขาว มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าภาพฉากนี้จำต้องเกิดขึ้นกับมันจริงๆ


ในมุมมองของมัน ว่าเย่หยวนจะแกร่งกล้าเพียงใด แต่หลังผ่านศึกใหญ่กับหลีกุย คงแทบไม่หลงเหลือพลังแล้ว


แต่ใครจะไปทราบ หลีกุยกลับถูกกำจัดทิ้งในเสี้ยวพริบตาเดียว


ถึงตอนนี้สิทธิ์การควบคุมร่างกายจะตกมาเป็นของมันโดยชอบธรรมดังเดิม แต่มันหาได้มีความสุขไม่แม้แต่น้อย!


 


เย่หยวนก้มมองอีกฝ่ายและกล่าวว่า


“อย่างไร? เจ้าต้องการให้ข้าไว้ชีวิตเจ้า?”


 


จู่เก๋ฮฉิงซวนผงะเล็กน้อย ก่อนพยักศีรษะตอบอย่างสิ้นหวัง


 


แต่เย่หยวนกลับเอ่ยตอบอย่างเย้ยหยันว่า


“แค้นนี้มิอาจแก้ปม! เจ้ามันไร้ยางอายเกินไป ปล่อยให้มวลมนุษย์เผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจโดยลำพัง ส่วนตัวเองกลับลี้ภัยใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ดังนั้นแล้วนายน้อยผู้นี้มิอาจยกโทษได้! ราคาที่เจ้าต้องจ่ายคือชีวิตของเจ้า!”


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของจู่เก๋อฉิงซวนยิ่งซีดขาวหนักด้วยความกลัว


 


แต่ทันใดนั้น มันพลันเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและกู่คำรามลั่นอย่างบ้าคลั่งว่า


“ช่างน่าขัน! เย่หยวน เจ้าคงไม่คิดว่าตนเป็นวีรบุรุษจริงๆ? คงทราบใช่หรือไม่ว่า ข่านนั่วแกร่งกล้าเพียงใด? ในกาลอดีต มันเคยเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า! อย่างเจ้าจะไปเข้าคู่ได้อย่างไร?!”


 


เย่หยวนกล่าวตอบอย่างเฉยเมยว่า


“มิเช่นนั้นข้าจะเดินทางมายังหุบเขาเหวพระเจ้าเพื่ออันใด?”


 


“เจ้าคิดจริงๆหรือว่าจะกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้? ฮ่าฮ่าฮ่า…ไร้สาระสิ้นดี! ไร้สาระยิ่งกว่าบอกว่าเจ้าสามารถสังหารข่านนั่วได้!”


จู่เก๋อฉิงซวนระเบิดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งไม่รู้จบ


 


เย่หยวนเบะปากเล็กน้อยและกล่าวตอกไปว่า


“นั้นมิใช่สิ่งที่เจ้าควรกังวล ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เจ้ากลับไม่มีโอกาสได้เห็นอีกต่อไป”


พอสิ้นเสียง เย่หยวนปลดปล่อยวิถีดาบสารทิศเข้าประหารทันที!


อาณาจักรกึ่งพระเจ้าของเย่หยวนในปัจจุบัน ยามสำแดงเดชกลับไม่สามารถพรรณนาถึงความแกร่งกล้าได้ในอึดใจเดียว


 


จู่เก๋อฉิงซวนก้มสายตาเข้าจับจ้องสะท้อนแววอำมหิต มันคำรามสุดเสียงลั่น


“บิดาเจ้าเถอะ! เช่นนั้นข้าขอสู้ตาย! ดัชนีเทพเลิศล้ำ!”


 


ก่อนที่เย่หยวนจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรกึ่งพระเจ้า จู่เก๋อฉิงซวนก็หาใช่คู่มือของเขาอีกต่อไป


ยิ่งในปัจจุบัน มีหรือที่จู่เก๋อฉิงซวนจะสามารถต่อกรได้?


แสงดาบสีครามบริสุทธิ์ถูกปลดปล่อย พร้อมสะบั้นผ่าสรรพสิ่งที่ขวางกั้น


แม้แต่ร่างของจู่เก๋อฉิงซวน แสงดาบนี้ยังตัดผ่านไปได้อย่างไม่ยากเย็น มันถูกฆ่าตายในบัดดล


 


ณ ขณะนี้ จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์ผู้ผงาดง้ำอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์มานับสองพันปี


ปัจจุบัน…ได้ล่วงลับเป็นที่เรียบร้อย!


ตอนที่1265 พฤกษาแห่งพิภพ


 


“เย่ชิง เจ้าสัมผัสถึงพฤกษาคุนหวูได้หรือไม่?”


 


“อืมมม… ทิศเบื้องหน้าพวกเรา ข้าสัมผัสได้ถึงพลังธาตุพฤกษาอันทรงพลังได้อย่างชัดเจน ดูท่าอีกฝ่ายจะจงใจปลดปล่อยกลิ่นอายเพื่อนำทางพวกเรา”


 


เย่หยวนตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินและกล่าวตอบเจือเสียงประหลาดใจว่า


“จงใจนำทางพวกเรา?”


 


เย่ชิงพยักหน้า


“พลังธาตุพฤกษานี้ทั้งเข้มข้นและแข็งแกร่งยิ่ง หากอีกฝ่ายปลดปล่อยพลังขนาดนี้ออกมาตั้งแต่แรก ข้าคงสัมผัสได้นานแล้ว ดูเหมือนว่า…พฤกษาคุนหวูเองก็ทราบถึงจุดประสงค์ของพวกเราเช่นกัน ยามนี้นอกเหนือจากพฤกษาคุนหวู ข้ากลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตอื่นเลย”


 


เย่หยวนพยักหน้าตอบและหาได้เผยสีหน้าประหลาดใจอันใดอีก


หากกล่าวถึงพฤกษาวิญญาณมรณะ เย่หยวนไม่สามารถต่อกรได้เลยแม้แต่น้อย


เย่ชิงเป็นผู้ที่สัมผัสถึงพลังธาตุพฤกษาได้ไวที่สุด เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาดที่ไม่จำเป็น เย่หยวนจึงให้เย่ชิงเป็นคนนำทางต่อไป


 


ไม่นานนัก เย่ชิงก็สัมผัสได้ถึงพลังธาตุพฤกษาสุดแรงกล้า


 


“พี่ใหญ่ ข้าสงสัยว่าพฤกษาคุนหวูนี่….จะเป็นมิตรหรือศัตรูกัน!”


อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้น


 


เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า


“ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู เราก็จำต้องเดินหน้าต่อไป”


 


 


………………………………


 


 


ภายใต้แกนนำอย่างเย่ชิง ไม่นานพวกเขาก็เดินทางเข้าสู่เขตหุบเขาในไม่ช้า


เหนือยอดเขาอุดมขจี มีต้นไม้ขนาดยักษ์สูงใหญ่แสนองอาจตระหง่านเสียดเมฆาฟ้า


ลำต้นของต้นไม้ยักษ์นี้เสมือนกับเสาหลักค้ำยันสรวงสวรรค์ทั้งมวล ต่อให้เกณฑ์คนนับพันหมื่นก็ไม่สามารถโอบล้อมมันได้มิด


พลังแห่งชีวิตหอบเย็นสดชื่นพัดผ่านสัมผัสกายาของเย่หยวนและพรรคพวกที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พวกเขาพลันรู้สึกผ่อนคลายเริงรมณ์สุดพรรณนาไม่


 


“นี่น่ะรึ…พฤกษาคุนหวู? ช่างน่ามหัศจรรย์นัก!”


อิ้งหมัวหู่อุทานขึ้นพลางถอนหายใจด้วยความชื่นชม


 


“มีคำเลื่องลือสืบต่อกันมาว่า พฤกษาคุนหวูเป็นแหล่งกำเนิดแห่งพลังธาตุพฤกษาทั้งมวลบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ กล่าวได้ว่า นี่คือพฤกษาแห่งพิภพที่กอปรไปด้วยศาสตร์แห่งสวรรค์ ดังนั้นแล้วภายในสูตรโอสถท้าทายสวรรค์ของข้า พฤกษาคุนหวูคือส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด ในเมื่อศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสิ้นไปแล้วในปัจจุบัน เช่นนั้นข้าก็จะปลูกถ่ายศาสตร์แห่งสวรรค์จากพฤกษาคุนหวูเข้าสู่ร่างกายของข้าโดยตรง!”


เบื้องลึกในแววตาคู่นั้นของเย่หยวนส่องประกายวิบวับจรัสงาม ทั่วทั้งใบหน้าเผยให้เห็นถึงความหวัง


 


แต่คำกล่าวนี้ของเย่หยวนทำให้ทุกคนตื่นตกใจสุดขีด โดยเฉพาะกับซือโปเทียน ยักษ์หินที่เคยดำรงอยู่ในยุคสมัยที่ศาสตร์แห่งสวรรค์เฟื่องฟู ขอบเขตความเข้าใจของมันต่อศาสตร์แห่งสวรรค์ย่อมกว้างใหญ่กว่านักสู้อาณาจักรเต๋าลึกล้ำโดยธรรมชาติ


การที่เย่หยวนพยายามปลูกถ่ายศาสตร์แห่งสวรรค์เข้ากับตัวเอง ไม่ต่างอะไรกับการระเบิดตัวตายเลย!


 


แผนการเช่นนี้ช่างบ้าบิ่นเกินไป! เสียสติเกินไป! และเพ้อฝันจนเกินไป!


แต่หากพินิจให้ถี่ถ้วน พวกเขาก็อดชื่นชมในความกล้าคิดกล้าทำของเย่หยวนมิได้


เหล่านักสู้ทุกคนต่างบ่มเพาะฝึกปรือตามลู่ทางในกรอบ และยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถทำลายกรอบนี้ได้เลย


ณ จุดนี้ได้รับการพิสูจน์มาแล้วกว่าหนึ่งแสนปี


ยังมีใครอีกหลายคนที่ทรงพลังทัดเทียมกับฟางเทียน ทว่าพวกเขาเหล่านั้นเองก็ไม่สามารถกระชากโซ่ตรวนแห่งความเป็นไปไม่ได้ทิ้งไปได้


แต่เย่หยวนเป็นคนแรกที่สรรสร้างวิธีการโดยการนำศาสตร์แห่งโอสถเข้ามาประยุกต์ใช้ คล้ายการนำหัวเชื้อมาปลูกถ่ายในร่างกายเพื่อผลิตศาสตร์แห่งสวรรค์ขึ้นมาเอง นี่เป็นความคิดที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ


 


“ฮ่าฮ่า… ปลูกถ่ายศาสตร์แห่งสวรรค์เข้าร่างกาย! สมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดของจอมเทพนิรันดร์! ความคิดบ้าระห่ำเช่นนี้กระทั้งสรวงสวรรค์ยังต้องสะท้าน!”


สุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน นั่นทำให้ทุกคนตื่นตกใจยิ่ง


 


ทันทีทันใดเย่หยวนและที่เหลือเร่งหันควับมองตาม วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันพล่าเบลอหนัก ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางห้วงแห่งความว่างเปล่า


แต่เมื่อพวกเย่หยวนรู้สึกตัวอีกที พวกเขาทั้งหมดรวมถึงร่างนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนยอดต้นไม้เสียแล้ว


ร่างที่ปรากฏกายขึ้นเป็นชายหนุ่มท่าทางเป็นมิตร เขาจับจ้องเย่หยวนพร้อมรอยยิ้มกว้างคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง


 


ปลายคิ้วเย่หยวนกระตุกเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า


“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ท่านคือพฤกษาคุนหวู?”


 


ชายหนุ่มขยับขยายสายตาจับจ้องเย่หยวนมากขึ้น ดูท่าเขาจะสนใจในตัวเย่หยวนมากจริงๆ


 


แต่ชายหนุ่มกลับเมินคำถามของเย่หยวนและกล่าวขึ้นว่า


“เจ้านี่มันสุดยอดไปเลย! เหมาะสมยิ่งแล้วที่เป็นผู้สืบทอดของตาแก่จอมเทพนิรันดร์นั่น! แม้ความคิดนี้จะฟังดูบ้า แต่จริงๆแล้ว มันอาจเป็นวิธีเดียวที่สามารถทำลายโซ่ตรวนได้!”


 


แววตาพลันไสวประกายขึ้นโดยพลัน เย่หยวนกล่าวถามต่อในทันที


“ท่านอาวุโสเองก็คิดว่าวิธีนี้ได้ผล?”


 


“ถูกต้อง! ณ ปัจจุบัน ศาสตร์แห่งสวรรค์สูญสิ้นไม่เหลือ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ไม่สามารถหยุดการเสื่อมถอยของศาสตร์แห่งสวรรค์ได้ แต่การจะสร้างโอสถที่มีคุณสมบัติเช่นนั้น เรื่องนี้กลับไม่เคยมีใครคิดได้มาก่อน ในเมื่อไม่สามารถหยุดการเสื่อมถอยของศาสตร์แห่งสวรรค์ได้ เช่นนั้นก็สร้างขึ้นใหม่ในร่างกาย นี่อาจเป็นวิธีเดียวที่เหลืออยู่เพื่อทำลายโซ่ตรวนนั้นลง! เราผู้นี้ขอยอมรับ เจ้าช่างอัจฉริยะยิ่งนัก!”


ชายหนุ่มกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจหลากอารมณ์


 


เมื่อเย่หยวนได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่ง


หลังจากที่เขาเริ่มเข้าใจดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เย่หยวนก็เริ่มมีความมั่นใจยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของโอสถท้าทายสวรรค์


ในเมื่อไม่มีศาสตร์แห่งสวรรค์หลงเหลืออยู่แล้ว ก็สู้ผลิตขึ้นใหม่เองเลย!


ใช้ร่างกายของเขาเป็นแหล่งกำเนิด ไม่เพียงจะมีศาสตร์แห่งสวรรค์อยู่ติดกายตลอด แต่เขาจะเป็นคนเดียวที่มี!


ศาสตร์แห่งสวรรค์ที่เย่หยวนต้องการไม่จำเป็นต้องเป็นศาสตร์แห่งสวรรค์ที่สมบูรณ์แบบอันใดนัก


ขอเพียงสิ่งนี้สามารถทำให้เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว!


ในชีวิตก่อนหน้า แผนการเรื่องโอสถท้าทายสวรรค์ยังค่อนข้างคลุมเครือเกินไป แต่เพราะเขาที่พึ่งพาศาสตร์แห่งโอสถอันแกร่งกล้าของตน จึงสามารถวิเคราะห์ความเป็นไปได้เหล่านี้ด้วยทฤษฎี ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับแค่ผิวเผินเท่านั้น


 


แต่เดิม สมุนไพรวิญญาณอายุหนึ่งล้านปีที่จำเป็นต่อสูตรโอสถท้าทายสวรรค์มิได้มีแค่เก้าชนิดอย่างที่เห็น เย่หยวนจำต้องทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกกว่าจะคัดสรรจนเหลือเพียงเก้าชนิด


หากกล่าวถึงความเป็นไปได้ แผนการนี้กลับค่อนข้างดูเกินจริงไร้สาระ ทว่าหากกล่าวตามทฤษฎีแล้ว เมื่อสมุนไพรวิญญาณทั้งเก้าชนิดนี้รวมกัน นั้นจะก่อให้เกิดผลลัพธ์สุดหยั่งถึง!


ในช่วงชีวิตนี้ ความเข้าใจของเย่หยวนต่อศาสตร์แห่งสวรรค์ลึกล้ำจนกาลอดีตของตัวเองเทียบไม่ติด ผนวกกับศาสตร์แห่งสวรรค์จากบัญญัติแห่งจอมโอสถที่ตนเริ่มเข้าใจมากขึ้นอย่างถ่องแท้ ยามนี้ตัวเขามีแต่จะมั่นใจมากขึ้นและมากยิ่งขึ้น


 


ในส่วนของขั้นตอนการหลอมกลั่นเอง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่ามั่นใจเพียงใด


 


ดังนั้นแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่เย่หยวนตัดสินใจเดินทางเข้าสู่หุบเขาเหวพระเจ้าเพื่อเสาะหาส่วนประกอบชนิดสุดท้าย บุปผาคุนหวู


 


“ความหมายของท่านอาวุโสคือ…โอสถท้าทายสวรรค์ที่ข้าคิดค้นสามารถทำลายโซ่ตรวนสู่อาณาจักรพระเจ้าได้?”


เย่หยวนอดใจเอ่ยถามมิได้


 


ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มและกล่าวว่า


“หุหุ ข้ามิได้กล่าวแบบนั้น ไม่ว่าเจ้าจะสามารถทำลายโซ่ตรวนนั้นได้หรือไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตา แม้จะเป็นตาแก่จอมเทพนิรันดร์นั่นอาสาทดลองด้วยตัวเอง ข้าก็ไม่กล้ารับประกันเช่นกันว่า เขาจะประสบความสำเร็จ ข้ากล่าวได้เพียงว่า…มีความเป็นไปได้!”


 


ทั่วทั้งร่างของเย่หยวนสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวของชายหนุ่มตรงหน้า


บุคคลที่อยู่ต่อหน้าต่อตาเย่หยวนผู้นี้ คือการดำรงอยู่ที่เหนือชั้นไปกว่าอาณาจักรพระเจ้าไปแล้วแน่นอน


ทว่า…แม้แต่เขาผู้นี้ยังไม่กล้ารับประกัน!


 


หนึ่งแสนปีที่ผ่านมา ไม่รู้มีใครบ้างที่พยายามก้าวขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า แต่พวกเขาทุกคนล้วนจบลงด้วยความล้มเหลวโดยไม่มีขอยกเว้นใด


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้เยาว์คนนี้อาจเป็นเด็กใจร้อนไปเสียหน่อย แต่…ข้าสงสัยว่าท่านอาวุโสสะดวกใจมอบบุปผาคุนหวูให้ได้หรือไม่?”


เย่หยวนผสานมือคำนับพร้อมกล่าวถามทันที


 


ชายหนุ่มผู้นั้นยืนตัวแข็งในบัดดล จู่ๆก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นพลางกล่าวว่า


“เจ้านี่น่าสนใจจริงๆ! น่าสนใจอย่างยิ่ง! ความหาญกล้าของเจ้า…กลับมิใช่เล็กๆเลย!”


 


เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า


“มิใช่เพราะผู้เยาว์หาญกล้า แต่ผู้เยาว์มีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ต้องแบกรับ บุปผาคุนหวูมีความสำคัญต่อท่านอาวุโสก็จริง แต่สำหรับผู้เยาว์ ความเป็นตายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำคัญกว่า! หากการสันนิษฐานของผู้เยาว์ถูกต้อง การที่ท่านอาวุโสแสดงตัวออกมาเช่นนี้ ท่านคงไม่ต้องการให้บุปผาคุนหวูตกอยู่ในมือศัตรู?”


 


 


จากทัศนคติของพฤกษาคุนหวูที่มีต่อเขา เย่หยวนจจึงสรุปได้ว่า อย่างน้อยที่สุดอีกฝ่ายก็มิใช่ศัตรูแน่นอน


มิฉะนั้นอีกฝ่ายคงไม่กล่าวเล่ายาวเหยียดให้เสียเวลาถึงเพียงนี้


 


“หุหุ เจ้าเด็กคนนี้ ช่างน่าสนใจเหลือเกิน! ไม่แปลกใจเลยที่เป็นผู้สืบทอดของตาแก่จอมเทพนิรันดร์ รับไป!”


ขณะที่กล่าวขึ้นนั่นเอง ชายหนุ่มก็แบมือออกไปตรงหน้า ภายในอุ้มมือปรากฏเป็นดอกไม้สีชมพูอ่อน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)