Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1256-1265
ตอนที่1256 วิถีดาบสารทิศ!
หลังซัดพาฝ่ามือออกไป เก้าผีร้ายเร่งผนึกกำลังโคจรพลังร่ายคาถาโดยเร็ว ในไม่ช้าตราสาปภูตวิญญาณที่ฝังลึกในตัวเขาก็สลายหายไป
“เป็นไปไม่ได้! เจ้า…เจ้าสำเร็จศาสตร์แห่งสวรรค์ขั้นสองได้อย่างไร?”
“เจ้าหนู เจ้าจักต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำลงไป!”
ไม่ว่าจะเป็นทั้งจู่เก๋อฉิงซวนหรือหลีกุย ทั้งคู่ต่างปะทุโทสะเดือดดาลขึ้นทันทีในเวลานี้
สมญานาม จอมราชันย์อันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่มันภาคภูมิใจยิ่งกลับถูกกระชากแสกหน้าไม่เหลือ ส่วนอีกคน ธงอัตลักษณ์วิญญาณ ของวิเศษคู่กายตั้งแต่สมัยบรรพกาลก็ยังถูกฉกไปต่อหน้าตา แถมยังต้องแพ้ให้กับของๆตัวเองอีก
ความระทมขื่นขมชนิดนี้ ไม่ว่าใครต่างต้องเป็นบ้าไปตามๆกัน
เย่หยวนกล่าวเอ่ยตอบอย่างเฉยเมยว่า
“พวกเจ้าทั้งคู่เล่นถามมาพร้อมกันเช่นนี้ แล้วข้าควรจะตอบใครก่อนดี?”
“เหอะ เจ้าหลบไปเถอะ เจ้ามิใช่คู่มือของเจ้าเด็กนี่! ให้ข้าออกโรงเอง!”
จู่ๆหลีกุยก็เอ่ยขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
“ไม่มีทาง! เป็นไปได้รึที่ข้า,จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์มิใช่คู่มือของไอ้เด็กเหลือขอนี่?”
จู่เก๋อฉิงซวนปฏิเสธเสียงแข็ง
มันยังจำได้ดี ตอนนั้น ณ นอกเมืองนภาศักดิ์สิทธิ์ ยามสัประยุทธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง เย่หยวนกลับมิใช่คู่มือของมันได้แม้สักนิด
แล้วนี่วันเวลาผ่านไปนานเพียงใดกัน?
ยามนี้กลับเป็นที่มิเข้าคู่กับไอ้เด็กเหลือนี่?
สีหน้าการแสดงออกของจู่เก๋อฉิงซวนดูปรวนแปรสลับสับสนอย่างไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่า จิตวิญญาณทั้งสองภายในร่างกำลังขัดแย้งกันหนัก และเข้าตีกันหวังเพื่อยึดสิทธิการควบคุมร่างกาย
“เจ้าโง่! คิดหรือว่า แค่มีพรสวรรค์มากมายจนได้ยกยอว่าเป็นอันดับหนึ่ง จะทำให้เจ้าไร้เทียมทานใต้แผ่นฟ้า? ในปีนั้น กระทั้งข้า,โคตรบิดาผู้นี้ยังไม่กล้ากล่าวเลยว่า เหนือฟ้าใต้สวรรค์ข้าคืออันดับหนึ่ง! แล้วเจ้าเป็นใครกัน?”
หลีกุยกล่าว
“หึ! นั้นเป็นเพราะข้ามิได้โชคดีเกิดในยุคสมัยที่ศาสตร์แห่งสวรรค์ยังคงรุ่งโรจน์! มิฉะนั้นความสำเร็จของข้าผู้นี้คงมิได้อยู่ใต้จั้วซ่งเช่นกัน!”
ทว่าจู่เก๋อฉิงซวนกล่าวโต้เปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ในที่สุดจู่เก๋อฉิงซวนยังคงประคองสติควบคุมร่างกายได้ต่อ ยามนี้ทั้งความคิดและจิตใจของมันเข้าปกครองโดยสมบูรณ์ สีหน้าการแสดงออกของมันเฉียบเย็นลงในทันที พร้อมนัยน์ตาไสวฉายแววอำมหิตหลายส่วน
พลังปราณทั้งหมดทั่วกายาไหลบ่าพรั้งพรูออกมาอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นอายคุกคามหอบยักษ์ลันทะลักออกจากร่างของมัน
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ เย่หยวนถึงกับหรี่ตาแคบเล็กน้อย พลางกดสายตาจับจ้องอย่างตั้งใจ ยามนี้เขาเคร่งขรึมขึ้นในทันใด
“เจ้าบ้าไปแล้วรึไง? ความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งสวรรค์ของเจ้ายังไม่เพียงพอที่จะสำแดงใช้วรยุทธระดับนี้ออกมา! หากปลดปล่อยมันออกไป นั่นจะเป็นการสูบพลังชีวิตออกไปด้วย!”
หลีกุยผู้นี้เป็นใคร? มันเคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด ศาสตร์แห่งสวรรค์ที่มันบรรลุช่างลึกซึ้งถ่องแท้ ในตอนนี้เห็นจู่เก๋อฉิงซวนฝืนใช้พลังเกินตัว มีหรือจะไม่ทราบผลข้างเคียง?
ตามที่มันกล่าวไปไม่มีผิด เนื้อหนังร่างกายของจู่เก๋อฉิงซวนดูเหี่ยวย่นลงอย่างรวดเร็ว!
ทว่ามันกลับหาได้สนใจไม่ และยังคงระดมพลังปราณสุดขีดเพื่อปลดปล่อยกระบวนโจมตีเต็มสูบ!
แรงขับเคลื่อนที่มันสู้ตายขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะความเกลียดชังริษยาจากก้นบึ้งในใจของมัน!
“เจ้าบ้าไปแล้ว! เจ้าบ้าไปแล้วจริงๆ!! หากปล่อยให้พระเจ้าผู้นี้ลงมือทุกอย่างคงจบไปแล้ว! นี่คิดจะพลีชีพไปพร้อมมัน? เจ้าโง่!”
หลีกุยกรีดร้องลั่นระงมพลางส่งเสียงเย็นสะท้านผิดประหลาด ทว่าจู่เก๋อฉิงซวนกลับมิได้สนใจมันแม้แต่น้อย
มันต้องการตายไปพร้อมกับเย่หยวน!
“ดัชนี…เทพ…เลิศล้ำ!”
จู่เก๋อฉิงซวนในตอนนี้กลายเป็นคนชราภาพเนื้อหนังเฉาติดกระดูก มันกู่ก้องคำรามเอ่ยนามกระบวนโจมตีสุดท้ายดังลั่นออกจากปาก
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ เย่หยวนอดแสยะยิ้มเย็นมิได้และกล่าวว่า
“จุจุ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว วรยุทธเห็บเหาเช่นนี้มีคุณสมบัติลากข้าลงนรกพร้อมกันจริงรึ?”
วูบบ…
เย่หยวนเรียกดาบพิชิตมารฟ้าออกมา จิตสังหารแห่งดาบที่แครงเคลือบช่างน่าสะพรึงขวัญดั่งปรารถนาโถมซัดสรวงสวรรค์!
รัศมีกลิ่นอายของจู่เก๋อฉิงซวนก็แกร่งกร้าวยิ่งเช่นกัน ทว่าเปรียบกับจิตสังหารแห่งดาบของเย่หยวนแล้ว ความยิ่งใหญ่ของมันกลับถูกบดบังจนมิด!
แรกเห็นจิตสังหารแห่งดาบอันน่าประทับใจของเย่หยวน หลีกุยถึงกับอุทานลั่นขึ้นว่า
“ดาบพิชิตมารฟ้า! สูตรจอมดาบพิชิตมารฟ้าขั้นสาม! วิถีดาบสารทิศ! ไอ้หัวหมูยังไม่หยุดอีก! ต่อให้เจ้าเด็กนี่มิได้ใช้ดาบพิชิตมารฟ้าช่ำชองเท่าเจ้าของเก่ามัน แต่ต่อหน้าวิถีดาบสารทิศ เจ้ากลับมิได้เข้าคู่เลย! หยุดโจมตีเดี๋ยวนี้!”
หลีกุยรู้จักสูตรจอมดาบพิชิตมารฟ้านี้เป็นอย่างดี ยังไม่ทันที่เย่หยวนจะได้เคลื่อนไหว มันก็มองผ่านอ่านกระบวนได้แจ่มแจ้ง
สูตรดาบพิชิตมารฟ้าเป็นเพียงขั้นพื้นฐานของเพลงดาบเลื่องสวรรค์ โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นวรยุทธที่ไม่มีระดับชั้น หากมิใช่เซียนเต๋าสวรรค์ที่สามารถต่อยอดจนสำแดงเพลงดาบเลื่องสวรรค์ออกมาได้ ต่อหน้าเซียนอาณาจักรพระเจ้าด้วยกัน นี่ไม่นับเป็นอันใด กระนั้นเอง อนุภาพของกระบวนดาบนี้ยังคงเหนือชั้นกว่าดัชนีเทพเลิศล้ำอยู่หลายขุม!
ทั้งสองฝ่ายมิได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างชัดเจน!
เย่หยวนเหนือกว่าโดยสิ้นเชิง!
หลีกุยทราบดี จู่เก๋อฉิงซวนคือยอดอัจฉริยะขนานแท้ที่จะมีสักคนในรอบหนึ่งแสนปี ดังนั้นมันจึงกล้าโยกย้ายจิตวิญญาณเข้าสิงสู่ในร่างของอีกฝ่าย
แต่เมื่อหลีกุยได้เห็นดาบพิชิตมารฟ้าของเย่หยวน มันก็ทราบได้ทันที เหนือฟ้ายังมีฟ้า!
จู่เก๋อฉิงซวนคืออัจฉริยะในรอบแสนปี
แต่…
เย่หยวนกลับเป็นยอดอัจฉริยะในรอบล้านปี!!
หลีกุยมั่นใจอย่างยิ่ง กระทั้งเซียนเต๋าสวรรค์ยังมีพรสวรรค์อ่อนด้อยกว่าเย่หยวน!
ถึงแม้จะเป็นเพียงสูตรจอมดาบพิชิตมารฟ้า ที่เป็นกระบวนพื้นฐานที่สุดของเพลงดาบเลื่องสวรรค์ แต่นั้นก็มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำความเข้าใจจนประสบความสำเร็จได้
ในทางตรงกันข้าม นี่เป็นเพลงดาบที่เข้าใจได้ยากยิ่ง
แต่ปรากฏว่า เย่หยวนสามารถสำเร็จได้ถึงขั้นสามแล้วจริงๆ
มาตรได้ว่า เย่หยวนเริ่มเข้าใกล้เพลงดาบเลื่องสวรรค์ไปทีละนิดแล้ว และนั้นเป็นวรยุทธเพลงดาบที่น่าสะเทือนขวัญอย่างแท้จริง!
อย่างไรก็ดี ดัชนีเทพเลิศล้ำคือไพ่ตายท้ายสุดของจู่เก๋อฉิงซวนแล้ว ไม่ว่าเป็นตายอย่างไรมันก็จะสำแดงใช้ออกมาให้ได้
บูมมมม!!
สองสุดขั้วพลังสุดแกร่งกล้าอันกอปรไปด้วยศาสตร์แห่งสวรรค์เข้าปะทะกันหนักหน่วงจนสะเทือนฟ้าดิน แรงระเบิดที่ถีบซัดออกมาแผดขยายกว้างล้างสรรพสิ่งโดยรอบจนเหลือแค่ความว่างเปล่า
การสัประยุทธ์คราวนี้ ค่าควรแก่การขนานนามยิ่งว่า ศึกสัประยุทธ์หยุดพิภพแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์!
จอมราชันย์อันดับหนึ่งที่ดำรงตำแหน่งนานถึงสองพันปีเต็ม บัดนี้ได้ฤกษ์ถอดถอนรายนามออกจากทำเนียบเสียที!
แม้ว่าจู่เก๋อฉิงซวนจะได้รับคำชี้แนะมากมายจากข่านนั่ว แค่แนวคิดของมันยังคงมีขีดจำกัด
ถึงอาณาจักรพลังของมันจะสูงกว่าเย่หยวน
ทว่าผลลัพธ์ที่ได้คือความพ่ายแพ้ในท้ายที่สุด!
ร่างอันบอบช้ำของจู่เก๋อฉิงซวนบินกระเด็นไกลโขดั่งว่าวไร้เชือก พร้อมตกกระแทกพื้นจนเป็นรูโหวขนาดยักษ์อย่างแรง และนอนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนใดๆอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม สภาพของเย่หยวนในขณะนี้ก็มิใช่ว่าดีนัก
อาการบวดเจ็บก่อนหน้ายังไม่สร่าง ครั้งนี้ยังสำแดงใช้วิถีดาบสารทิศเต็มสูบ ไม่เพียงภาระมหาศาลที่ร่างกายจำต้องแบกรับ แต่พลังปราณทั้งหมดในร่างยังถูกสูบไม่เหลือ
อย่ามองแคลนเพียงว่า ระหว่างจู่เก๋อฉิงซวนกับเย่หยวน อาณาจักรพลังมิได้ห่างชั้นกันนัก
เพราะการสัประยุทธ์ระดับชั้นยอดฝีมือ ความแตกต่างเพียงนิดเดียวอาจมีผลถึงความตาย
ท้ายที่สุดนี้ สำหรับชัยชนะของเย่หยวน ทั้งหมดเป็นเพราะศาสตร์แห่งสวรรค์ที่ลึกซึ้งกว่าอย่างชัดเจน!
สีหน้าของเย่หยวนซีดขาวราวกับกระดาษแผ่นบาง ทั่วร่างกายาสลดวูบทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
หลังจากเห็นว่าเย่หยวนยังพอโคจรพลังปราณฟื้นฟูร่างกายได้บ้าง อิ้งหมัวหู่พลันเสียงหัวร่อคำโตและโพล่งกล่วาขึ้นอย่างตื่นใจว่า
“ฮ่าฮ่า! ช่างน่าทึ่ง! พี่ใหญ่สุดยอดโดยแท้! ไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่า สูตรจอมดาบพิชิตมารฟ้าของท่านจะสำเร็จถึงขั้นสามแล้ว! ไม่เพียงฤทัยแห่งฟ่านจู้หลง ความสำเร็จในศาสตร์แห่งดาบของท่านกลับยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน! สังหารจอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์ทิ้งเสร็จสรรพ ณ ปัจจุบัน ท่านคือจอมราชันย์อันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง!”
เย่หยวนกลืนโอสถฟื้นฟูพลังปราณไปเม็ดหนึ่ง พลางส่ายหัวและกล่าวพลางคลี่ยิ้มว่า
“อันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์? หุหุ,ช่างเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี! ท่านอาวุโสฟางเทียนยอมเสียสละเพื่อปลุกปั้นเหล่านักสู้ของมวลมนุษย์ให้ตระหนักถึงภัยร้ายในอนาคตเบื้องหน้า ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเขาอีกแล้ว! ถึงอย่างนั้น เหนือฟ้ายังมีฟ้า ดินแดนแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล ซ่องสุมพยัคฆ์มังกรไม่รู้มากมายเท่าไหร่ เพียงว่ามีพวกไร้ยางอายบางคนหวังแต่ผลประโยชน์ตรงหน้า จู่เก๋อฉิงซวนคือผลผลิตของชนรุ่นก่อนที่เห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง วันๆเอาแต่ดื่มด่ำกับความสุข ทั้งๆที่ภายนอกกำลังเดือดร้อนแทบลุกเป็นไฟ!”
ในท้ายที่สุดนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังคงใหญ่เกินไปสำหรับคนโดยส่วนใหญ่ แม้ว่าฟางเทียนจะงัดเอาความสามารถพิเศษ,ไขความลับแห่งสรวงสวรรค์มาใช้เพียงใด แต่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะคำนวณสรรพสิ่งได้เสร็จสับ
อย่างน้อยที่สุด ภายในหุบเขาเหวพระเจ้า ฟางเทียนก็มิอาจมองผ่านออกอนาคตออกได้โดยสมบูรณ์เช่นกัน ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่าสิบจอมราชันย์ไม่รู้จำนวนมากมายเท่าใด
และสิ่งมีชีวิตอันทรงพลังเหล่านั้นโดยส่วนใหญ่ ต่างอาศัยอยู่ภายในเขตพระเจ้าต้องห้าม
ดังนั้นแล้ว นามขาน,จอมราชันย์อันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เป็นฟางเทียนหรือเซียนเต๋าสวรรค์ พวกเขาเองก็ไม่กล้ารับสมญานามนี้เช่นกัน
จู่เก๋อฉิงซวนเพิ่งลืมตาดูโลกในยุคสมัยหลังๆ ทว่ากลับมองตัวเองว่าเป็นจอมราชันย์อันดับหนึ่ง แถมยังคิดว่าตนคือผู้นำที่แกร่งกล้าที่สุดแห่งทำเนียบสิบจจอมราชันย์อีก เหนือพิภพใต้สวรรค์มันไร้เทียมทาน!
ทว่ากลับหารู้ไม่ว่า มันเป็นเพียงกบน้อยในก้นบ่อเท่านั้น!
จู่ๆสีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนพลันเปลี่ยนไปในบัดดล
“ฮิฮิ… เจ้าหนู,ข้าต้องขอบใจเจ้าจริงๆ! ในที่สุดไอ้โง่นั้นก็ทำร้ายตัวเองจนตาย พระเจ้าผู้นี้จะได้ครอบครองร่างโดยสมบูรณ์เสียที!”
จู่เก๋อฉิงซวนกลับหาใช่จู่เก๋อฉิงซวนคนเดิมอีกต่อไป ทันทีทันใดกลิ่นอายพลังที่พรั้งพรูพลันลึกซึ้งและแกร่งกล้ายิ่งกว่าก่อนหน้าหลายขุม!
ตอนที่1257 สองจังหวะรวด
“ไปเร็ว!”
เย่หยวนหาคิดลังเลไม่ เสี้ยวพริบตาตัดสินใจได้เบ็ดเสร็จ เขานำตัวเองและลี่เอ๋อหนีเข้าสู่เจดีย์เลื่องสวรรค์ทันทีและให้อิ้งหมัวหู่เป็นคนพกติดตัวไป
เขากับอิ้งหมัวหู่ไม่จำเป็นต้องสื่อสารอะไรกันมาก กล่าวได้ว่าแค่มองตาก็เข้าใจ
ยามนี้อิ้งหมัวหู่ไม่พูดพร่ำทำเพลง พร้อมใช้สำแดงวรยุทธเคลื่อนที่ถึงขีดสุดสับฝีเท้าทะยานหนีสุดชีวิต!
แม้ว่าอิ้งหมัวหู่จะไม่มีวิชาข้ามมิติแบบเย่หยวน แต่ความเร็วของเขาก็มิได้ช้ากว่าเย่หยวนมากนัก
นามขานประมุขน้อยแห่งเผ่าพยัคฆ์ขาวคลื่นวาตะในปีนั้นหาใช่เรื่องเล่นๆไม่
ปัจจุบัน แม้แต่หลีกุยยังคาดไม่ถึงว่า เย่หยวนจะตัดสินใจเด็ดขาดและเลือกที่จะหนีเช่นนี้จริงๆ
มันถึงกับยืนงงอยู่ครู่หนึ่งด้วยความตะลึงใจ
“ฮิฮิ เจ้าเด็กนี่มันของจริง! ยามใดแข็งยามใดอ่อนรู้จักเลือกใช้ตามสถานการณ์! มิได้เหมือนกับเจ้าโง่จู่เก๋อฉิงซวน มีแต่กำลังกลับไร้สมอง!”
หลังจากที่พลันประหลาดใจเล็กน้อย หลีกุยถอนหายใจด้วยความชื่นชมอยู่หนึ่งคำ ก่อนเคลื่อนออกไปไล่ติดตามอิ้งหมัวหู่ ร่างนี้แปรสภาพกลายเป็นสายฟ้าวูบวาบโฉบแล่นไล่หลังมาติดๆ มันเร็วกว่าอิ้งหมัวหู่อย่างเห็นได้ชัด
อิ้วหมัวหู่ที่เหลียวหลังเห็นดังนั้นถึงกับตื่นตระหนกยกใหญ่ เร่งเอ่ยปากถามไถ่เย่หยวนในเจดีย์เลื่องสวรรค์ว่า
“อย่างไรดีพี่ใหญ่? เจ้านั้นมันเร็วมาก!”
“ไม่ต้องไปสนใจ! ยามนี้หนีไปให้ไกลที่สุด แล้วรอคำแนะนำของข้าอีกที!”
เย่หยวนเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
เขาในตอนนี้กำลังฟื้นฟูร่างกายอย่างหนักภายในเจดีย์เลื่องสวรรค์อยู่
อิ้งหมัวหู่กัดฟันฮึด สับฝีเท้าสุดกำลังตรงเข้าสู่ส่วนลึกของเขตพระเจ้าต้องห้ามไป
การไล่ล่าครั้งนี้กินเวลายาวนานถึงสองชั่วยาม มีเพียงสวรรค์ที่ทรงทราบว่า ทั้งสองวิ่งไล่กันมาไกลเท่าใดแล้ว
“ฮิฮิ เด็กน้อย,ความเร็วของเจ้าก็ไม่เลว ทว่าต่อหน้าพระเจ้าผู้นี้ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับทารกแสดงทักษะต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ!”
หลีกุยพรายเสียงหัวร่อชวนขนลุกออกมา ยามนี้ระยะห่างระหว่างมันกับอิ้งหมัวหู่อยู่ประมาณหนึ่งแสนฉื่อเศษ
“อิ้งหมัวหู่!”
ในเสี้ยวอึดใจนั้นเอง จู่ๆร่างประกายแสงสีขาวของอิ้งหมัวหู่พลันอันตรธานหายวับ สีหน้าการแสดงออกของหลีกุยพลันเปลี่ยนไปทันที พร้อมสังหรณ์ใจสุดอันตรายหอบใหญ่ที่ถาโถมสู่จิตใจ!
“กรรรร!”
เสียงมังกรคำรามสนั่นสิบทิศแผดสะท้านภพ คลื่นพลังทำลายล้างขนาดมหึมาพุ่งเข้าอัดหลีกุยโดยตรง!
ท่าทางการแสดงออกของหลีกุยไสวแปรปรวนเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอุทานลั่นว่า
“ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์! เจ้ายังเป็นประมุขเผ่ามังกร! เจ้าหนู,ช่างน่าประทับใจนัก!”
สมแล้วที่หลีกุยผู้นี้เคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรพระเจ้าในปีนั้น ขอบเขตความรู้นับว่ากว้างใหญ่ไพศาล ปราดตาเดียวย่อมทราบ มันคุ้นเคยกับตรามังกรศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดี
ทว่าหลีกุยหาได้ตื่นตะหนกใดๆ สองมือร่ายพัลวันวาดยันต์อาคมบนกลางอก ทันทีทันใดศาสตร์แห่งสวรรค์อันทรงพลังพลันถูกควบแน่นลงในยันต์อาคมนี้
“ยันต์ร่ายผี!”
บูมมมม!
คลื่นพลังโจมตีสายยักษ์จากตรามังกรศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งแหวกเมฆาพร้อมเสียงหอนคำรามดัง ในทางตรงข้าม หลีกุยร่ายพัลวันยันต์อาคมเตรียมต้านรับไว้แล้วเช่นกัน!
สายพลังโหมปะทุเข้าชนสุดแรงกล้า
แม้ยันต์ร่ายผีของหลีกุยจะทรงพลังยากทัดเทียม กว่าก็ถูกแรงระเบิดเป่ากระเด็นออกไป อวัยวะเครื่องในปั่นปวนไปหมด
“ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ช่างแกร่งกล้ายิ่งนัก! แต่น่าเสียดาย…เจ้ายังคงอ่อนแอเกินไป!”
หลีกุยกล่าวสบถ
“เช่นนั้นรึ?”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เสียงเอ่ยเรียบไร้ระลอกพลันดังขึ้นข้างหูหลีกุย มันถึงกับเสียวสันหลังวูบวาบ
หลีกุยตกตะลึงอย่างยิ่ง เย่หยวนเคลื่อนเข้าใกล้ตัวมันตั้งแต่ตอนไหน?
ทว่าอย่างไร เย่หยวนมิรอแช่มเปิดโอกาส เสียงมังกรคำรามเปล่งสะท้านกึกก้องฉีกห้วงเวหาผงาดเสียดฟ้า!
เสียงแห่งจอมเทพมังกร!
เย่หยวนอยู่ห่างจากหลีกุยเพียงหนึ่งร้อยฉื่อเท่านั้น
ระยะแค่นี้คำเดียวที่สามารถอธิบายได้คือ วินาศ!
ทั่วร่างของหลีกุยสั่นกระตุกอย่างแรงจจนตาเหลือกกลายเป็นสีขาว
อย่างไรก็แล้วแต่ ครั้นหนึ่งหลีกุยเคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด กระนั้นเองหากยามนั้น มันต้องเผชิญหน้ากับเสียงแห่งจอมเทพมังกรของเหล่าบรรพชน มันเองก็ไม่สามารถต่อกรรับมือได้โดยสมบูรณ์
ปัจจุบัน ผู้สำแดงใช้คือเย่หยวน แม้หลีกุยจะไม่สามารถหยิบใช้ขุมพลังแห่งอาณาจักรพระเจ้าได้ แต่จุดแข็งของมันก็ยังเหนือชั้นกว่าฟางเทียน!
สุดท้ายนี้ หลีกุยก็เคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด!
ศาสตร์แห่งสวรรค์ที่ปลดปล่อยออกมาช่างลึกลับเกินหยั่งถึงได้
เว้นเสียว่า ตอนนี้มันยังฟื้นคืนพลังได้ไม่สมบูรณ์
วิธีการรับมือของมันล้วนน่าเกรงขามพึงระวัง แต่ด้วยสภาพในขณะนี้กลับไม่สามารถป้องกันเสียงแห่งจอมเทพมังกรได้ทั้งหมด
ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ เย่หยวนได้คำนวณคาดการณ์ไว้หมดแล้ว
ไม่ว่าจะมีวิธีปัดป้องบ่ายเบี่ยงอย่างไร อย่างน้อยที่สุดกระบวนโจมตีนี้ย่อมมีผลกระทบต่อมันบ้าง
ดังนั้น หลังจากที่เย่หยวนปลดปล่อยตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ออกไป เขาใช้จังหวะทีเผลอให้เป็นประโยชน์ พร้อมใช้วิชาข้ามมิติพุ่งปราดมาเคียงข้างและอัดเสียงแห่งจอมเทพมังกรใส่โดยไม่ลังเล
หนึ่งอึดใจ!
สองอึดใจ!
“อิ้งหมัวหู่ ไปเร็ว!”
ผลัดไม้จากเย่หยวนเปลี่ยนเป็นอิ้งหมัวหู่ทันที อิ้งหมัวหู่ที่รับช่วงต่อเร่งความเร็วถึงขีดสุดและพุ่งไปยังส่วนลึกของเขตพระเจ้าต้องห้ามต่อโดยไว
ในที่สุดลูกตาดำก็เริ่มกลับคืนไหลลงมา หลีกุยค่อยๆดึงสติกลับคืนอย่างแช่มช้า ในตอนนี้ทั้งตาหูจมูกของมันปรากฏธารเลือดสีแดงสดไหลซิบลงมา เห็นได้ชัดว่ามันได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย
หากมองจากมุมหลังของอิ้งหมัวหู่ หลีกุยถึงกับปั้นหน้าหวาดผวายกใหญ่
“เสีงแห่งจอมเทพมังกร! ต้องเป็นเสียงแห่งจอมเทพมังกรแน่ๆ! ยอดวรยุทธในตำนานที่มีเพียงพวกบรรพชนแห่งเผ่ามังกรเท่านั้นที่ทราบ! แต่เจ้าเด็กนี่ไปได้รับถ่ายทอดมาจากที่ใด?”
หลีกุยเอ่ยปากอุทานขึ้นพร้อมเผยสีหน้าความกลัวไม่คลายอ่อน
“หึ! มีดีแต่พูดเยิ่นยอตัวเอง? มิใช่ว่าเจ้าสามารถฆ่ามันได้? แล้วเป็นอย่างไร? เจ้าเองก็เกือบเสร็จมันเช่นกัน!”
ปรากฏว่าจู่เก๋ฮฉิงซวนยังไม่ตาย ตอนก่อนหน้าเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงเข้าสู่สภาวะหลับลึก แต่ทันทีที่ตื่นขึ้น มันก็พบว่าหลีกุยเองก็เสียท่าให้เย่หยวนเช่นกัน ความอับอายครั้งใหญ่ระดับนี้ มีหรือที่มันจะไม่เย้ยเยาะ?
ทว่าอย่างไร มันเองก็ประหลาดใจไม่น้อยกับความล้มเหลวในคราวนี้ของหลีกุย
“หึ! แล้วเจ้ารู้อะไรบ้าง? กระบวนท่าเมื่อครู่มีนามว่า เสียงแห่งจอมเทพมังกร! นี่เป็นถึงสุดยอดวรยุทธต่อสู้ของเผ่ามังกรในตำนาน และได้หายสาบสูญไปเนินนานแล้ว! แต่เจ้าเด็กนั้นสามารถใช้มันออกมาได้จริงๆ ช่างท้าทายสวรรค์เกินไป!”
หลีกุยกล่าว
“อืมม.. ดูเหมือนว่า…เจ้ากำลังกลัว!”
จู่เก๋อฉิงซวนกู่หัวรอเย้ยหยันอย่างไร้ปราณี
“กลัวรึ? เหอะ! เจ้าเด็กนั้นทำลายความพยายามของข้ามานับล้านปี หากข้ามิได้สังหารมันลงกันมือ คงมิอาจระบายความโกรธที่อัดแน่นภายในใจนี้ได้!? ต่อให้เจ้าเด็กนั้นจะเป็นเซียนเต๋าสวรรค์กลับชาติมาเกิดใหม่ ข้าเองก็หาได้เกรงกลัวไม่! ข้าจจะส่งมันไม่ให้ผุดได้เกิดอีกเลยตลอดกาล!”
หลีกุยกรนเสียงคำรามด้วยความอาฆาต
……………………
“พี่ใหญ่ ไฉนท่านไม่ลงมือปลิดชีพมันให้สิ้นเรื่องไป?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวถามเย่หยวน
ก่อนหน้านี้ หลีกุยตกอยู่ในสภาพอ่อนแอจัด โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือโอกาสทองที่จะฆ่ามันทิ้ง แต่เย่หยวนกลับเลือกจากไปโดยไม่ลังเล
“ขุมพลังแห่งเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดเช่นนั้น พวกเราจะสามารถเด็ดชีพโดยง่ายได้อย่างไร? ตอนนั้น ข้าเห็นท่านอาวุโสฟางเทียนสำแดงเดชในวันนั้น ก็ตระหนักทราบในทันที ขุมพลังระดับชั้นนี้น่ากลัวเพียงใด ส่วนความแกร่งกล้าของหลีกุยยังเหนือกว่าท่านอาวุโสฟางเทียน เช่นนั้นมันจะยอมจบชีวิตลงง่ายๆกระมัง?”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพลางคลี่ยิ้มสุดขมขื่น
อื้งหมัวหู่ประหลาดใจอย่างมากเมื่อได้ฟังและกล่าวว่า
“แต่ยุคสมัยนี้ไม่มีศาสตร์แห่งสวรรค์แล้ว มันจะยังน่ากลัวเกินจินตนาการถึงขั้นนั้น?”
“แน่นอน! ผู้ที่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าหาใช่ชนชั้นกินเจกระมัง? หากต้องการที่จะเข้าใจศาสตร์แห่งสวรรค์ในระดับลึกซึ้งเท่ามัน จำต้องใช้ระยะเวลาถึงหนึ่งหมื่นปี! ดังนั้นแล้วนี่มิใช่ความแตกต่างเล็กๆน้อยๆเลย ต่อให้ข้าปลีกวิเวกเข้าเก็บตัวอย่างเต็มกำลัง แต่ข้าก็ยังไม่สามารถสำเร็จถึงขอบเขตนั้นได้ในเวลาอันสั้น นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าต้องเดินทางมายังหุบเขาเหวพระเจ้ายังไงล่ะ ถึงโอกาสรอดชีวิตจะมีน้อยนิด แต่นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้เขาบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้! มิฉะนั้น หาทั่วผืนพิภพนี้คงไม่มีใครเป็นคู่มือของข่านนั่วได้อีก!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าเคร่งขรึม
มีแค่อิ้งหมัวหู่เท่านั้นที่ทราบถึงความคิดความห่วงใยของเย่หยวน รวมไปถึงความน่าสะพรึงกลัวของข่านนั่ว
“พี่ใหญ่ เขตพระเจ้าต้องห้ามมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป แล้วเราจะไปหาพฤกษาคุนหวูจากแห่งหนใด? นอกจากนี้เอง…พวกเราก็ไม่เคยเห็นหน้าตาของมันมาก่อน!”
อิ้งหมัวหู่พลันตระหนักได้ทันที นี่มิใช่ปัญหาใหญ่สุดของพวกเขาหรอกรึ?
พฤกษาคุนหวูที่ว่า มันมีหน้าตาเป็นอย่างไร?
เย่หยวนที่ได้ฟังเช่นนั้นได้แต่คลี่ยิ้มแสนระทม กล่าวตอบพร้อมเสียงอันขมขื่นใจว่า
“เดินหน้าต่อไป ที่เหลือปล่อยให้โชคชะตานำพา!”
“หื้ม? พี่ใหญ่สังเกตหรือไม่? มีบางอย่างผิดแปลกออกไป! พวกเรา…พลัดหลงเข้ามายังสถานที่น่ากลัวยิ่ง!”
อึ้งหมัวหู่โพล่งกล่าวขึ้น
ตอนที่1258 ลุ่มแม่น้ำมรณะ
ฉากเบื้องหน้าของพวกเขาคล้ายพื้นที่หนองลุ่มแม่น้ำทอดยาวสุดสายตาไกล สภาพแวดล้อมสงัดเสงี่ยมเปลี่ยวร้าง
ช่างเป็นความอ้างว้างเจือไอเหงาเย็นโดยแท้ ถึงขั้นที่ว่าสรรพสิ่งใดส่งเสียงล้วนถูกกลืนหายท่ามกลางความเงียบ
ซึ่งความเงียบชนิดนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้อิ้งหมัวหู่สับฝีเท้าหนีโดยมิได้ดูท่าดูทางอันใด ทิศทางไหนไม่ทราบขอเพียงตีระยะห่างรอดออกมาเป็นพอ ไม่เพียงความเงียบสงัดเปลี่ยวร้างชวนขนลุก รอบข้างตามทางยังมีหมอกทมิฬหนาปกคลุมจนไม่เห็นเส้นทางชัดเจน เมื่อรู้สึกตัวอีกที พวกเขาก็ตกอยู่ในพื้นที่หนองลุ่มสีดำแห่งนี้เสียแล้ว
วูบบ!
ร่างเย่หยวนแปรสภาพเป็นสายหนึ่ง พร้อมเข้าสำรวจโดยรอบทันที แต่จู่ๆสีหน้าการแสดงออกของเขาพลันบิดเบี้ยวน่าเกลียดในบัดดล
“พี่ใหญ่! นี่ไม่ถูกต้องแล้ว! เราจะกลับไปยังทางที่มาอย่างไรดี?”
อิ้งหมัวหู่กระเดือกน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พลางกล่าวขึ้น
อิ้งหมัวหู่รู้สึกวิตกไม่น้อย แม้พวกเขาจะมีพละกำลังความแกร่งกล้าคิดตัวไม่น้อย แต่นี่ยังสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งว่า สถานที่แห่งนี้อันตรายยิ่งยวด นี่มิใช่หนองลุ่มแม่น้ำธรรมด่ทั่วไปแน่นอน
เย่หยวนถอนหายใจพลางกล่าวตอบว่า
“ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว! ภายในหนองลุ่มแม่น้ำแห่งนี้ เรากลับไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่า ทางใดทิศเหนือทางใดทิศใต้ หากเดินทางผิดทิศ นั้นจะยิ่งทำให้เราพลัดหลงจากทางที่เข้ามาไปใหญ่!”
อิ้งหมัวหู่ตื่นตกใจยิ่งเมื่อได้ฟัง ทันทีทันใด เขาเริ่มเปิดญาณสัมผัสทั้งหมดเพื่อทดลอง ก่อนพบว่าเป็นจริงอย่างที่เย่หยวนกล่าวไป เขาไม่สามารถแยะได้เลยว่าทางใดทิศเหนือ,ใต้,ออกหรือตก
“พี่ใหญ่ เช่นนี้เราควร…”
อิ้งหมัวหู่โพล่งกล่าวขึ้นทันทีอย่างอดกังวลมิได้
แต่ในขณะนั้นเอง เย่หยวนรู้สึกราวกับจิตใจถูกรบกวนเล็กน้อย เขาปลดปล่อยซือโปเทียนออกมาทันที
“นายท่าน!”
ซือโปเทียนดูตื่นตระหนกร้อนใจยิ่ง
“หรือท่านทราบว่าที่แห่งนี้คือที่ใด?”
เย่หยวนเอ่ยถาม
“หากข้าเดาไม่ผิด ที่แห่งนี้ควรเป็นลุ่มแม่น้ำมรณะในตำนาน!”
ซือโปเทียนกล่าวตอบ
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไปอย่างมาก ก่อนอุทานขึ้นด้วยความตกใจว่า
“ท่านกำลังกล่าวว่า ที่นี่คือสุสานพระเจ้าที่รู้จักในนาม ลุ่มแม่น้ำมรณะ?”
ท่าทางของซือโปเทียนดูประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนกล่าวตอบว่า
“ปรากฏว่านายท่านเองก็เคยได้ยินตำนานของลุ่มแม่น้ำมาบ้างเช่นกัน ถูกต้องแล้วนายท่าน ลุ่มแม่น้ำมรณะคือสุสานของเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้า มีเพียงสวรรค์ที่ทรงทราบ กี่ชีวิตแล้วที่เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าต้องสังเวยให้ในที่แห่งนี้!”
อิ้งหมัวหู่ที่ได้ฟังเช่นนั้น ใบหน้าพลันผลักสีในทันใด
“นั้นไม่อันตรายเกินไปหน่อยรึ? กระทั้งเซียนอาณาจักรพระเจ้ายังเอาชีวิตไม่รอด แล้วพวกเราจะไปเหลืออะไร?”
ซือโปเทียนกล่าว
“เหมือนว่ามีบางสิ่งส่วนตัวอยู่ในลุ่มแม่น้ำมรณะอยู่ แต่กลับไม่มีใครทราบว่านั้นเป็นอะไรกันแน่ เพราะทุกคนที่ย่างเท้าเข้าไปล้วนไม่มีใครเคยรอดชีวิตออกมา! แต่เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา คนที่ปกครองลุ่มแม่น้ำมรณะแห่งนื้คือ พฤกษาวิญญาณมรณะในตำนาน!”
“พฤกษาวิญญาณมรณะ! สิ่งนั้นมีอยู่บนผืนพิภพจริงๆรึ?!”
เย่หยวนตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินชื่อนี้จนอุทานเสียงดังลั่น
อิ้งหมัวหู่ได้แต่ยืนงงอยู่เคียงข้าง ขณะเอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่กำลังกล่าวถึงสิ่งใดกัน? พฤกษาวิญญาณมรณะคืออะไร?”
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนมืดทมิฬลงทันทีหลายส่วน ก่อนเอ่ยอธิบายขึ้นเจือเสียงเข้มว่า
“ข้าเคยอ่านเจอในบันทึกโบราณ พฤกษาวิญญาณมรณะชนิดนี้เป็นเหมือนกันพฤกษาคุนหวู พวกมันทั้งคู่ต่างเป็นสมุนไพรวิญญาณในตำนาน! ตำนานกล่าวขานไว้ว่า ในยุคบรรพกาล,มียอดเซียนอาณาจักรพระเจ้าผู้ไร้เทียมทานนับไม่ถ้วนตายลงพร้อมจิตอาฆาตที่ยังหลงเหลือ เมื่อพวกเขาล่วงลับไป จิตวิญญาณที่ยังเหลือห่วงและอาฆาตจะกระจุกตัวรวมกันบนท้องนภา พวกมันคล้ายพลังไร้สภาวะประหลาดที่ไม่มีวันสลายตัว เมื่อวันเวลาผ่านไป พวกมันก็ยิ่งมีมากขึ้นจนกลั่นตัวกลายเป็นพฤกษาวิญญาณมรณะ! หลังจากที่พฤกษาวิญญาณมรณะถือกำเนิด หลากหลายพื้นที่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์พลันประสบเหตุการณ์แปลกประหลาด มันไล่สูบพลังชีวิตของเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าอย่างไม่เลือกหน้า และนั้นยิ่งทวีความแข็งแกร่งให้มันมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ! จากนั้นมันจะไล่ฆ่าศัตรูทั้งหมดที่ผูกใจอาฆาต! แถมตำนานยังกล่าวอีกว่า โดยไม่คำนึงถึงระดับพลังสูงต่ำ ตราบใดที่นักสู้เข้าใกล้ตัวมาเกินรัศมีหนึ่งแสนฉื่อ พฤกษาวิญญาณมรณะจะสูบจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกจากกายเนื้อได้โดยตรงซึ่งมิอาจตอบโต้ใดๆได้เลย!”
อิ้งหมัวหู่ที่ได้ยินแบบนั้นยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่
“นี่…นี่มันไม่เกินไปหน่อยรึ? กระทั้งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเซียนอาณาจักรพระเจ้ายังถูกสูบออกมา นี่มิใช่ว่าไร้เทียมทาน?”
แต่ขณะนั้นเอง ซือโปเทียนก็กล่าวแทรกขึ้นว่า
“นายท่านกล่าวถูกต้องแล้ว พฤกษาวิญญาณมรณะทรงพลังกว่าที่เจ้าจจินตนาการนัก! บางที…มันอาจมีระดับชั้นเกินกว่าอาณาจักรพระเจ้าไปแล้ว!”
เย่หยวนสูดไอเย็นแช่มลึกเต็มปอดอย่างช้าๆ ก่อนกล่าวกับทั้งคู่ว่า
“เช่นนั้นพวกเจ้าคุ้มกันข้าก่อน ตัวข้าจำต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อฟื้นฟูพลัง จากนั้นเร่งออกไปจากที่นี่โดยเร็ว! หื้ม? ระวัง!!”
ก่อนหน้าที่สำแดงใช้เสียงแห่งจอมเทพมังกรไป มันค่อนข้างกินพลังงานเย่หยวนเป็นพอสมควร ดังนั้นเขาจำต้องใช้เวลาพักฟื้นอยู่สักครู่ใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าลุ่มแม่น้ำมรณะแห่งนี้จะไม่ยอมหยิบยื่นโอกาสนี้ให้
ปุด.. ปุด…
กลางลุ่มแม่น้ำปรากฏฟองอากาศจำนวนหนึ่งลอยขึ้นเหนือผิวแม่น้ำดำ พร้อมทำลายความเงียบสงัดของสถานที่แห่งนี้ไปโดยสมบูรณ์
เย่หยวนหันเข้าจับจ้องกลางลุ่มแม่น้ำด้วยความสงสัยว่ามีสิง่ใดซ่อนตัวอยู่ภายใน
ซู่ววว!
เงาสีเทาขนาดมหึมาพุ่งออกมาเหนือผิวน้ำในทันใด พร้อมตรงไปหาเย่หยวน!
จระเข้ยักษ์!
จระเข้ตัวนี้อ้าปากกว้างเผยให้เห็นคมเขี้ยวคล้ายใบเลื่อยคมกริบ มันพุ่งงับเย่หยวนอย่างรวดเร็ว
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนผันเปลี่ยนกะทันหัน เขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบแผดขยายกางออก เคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำโคจรเร็วจี๋เผยปราการป้องกันชั้นหนาเขาปกคลุมอย่างพร้อมเพรียง!
บูมมม!
คล้ายจระเข้ยักษ์ชนเข้ากับแผ่นเหล็กกล้าเต็มแรงจนล้มตังลงกลางลุ่มแม่น้ำกลับไป
ทันทีที่เห็นฉากนี้ อิ้งหมัวหู่ระเบิดเสียงหัวเราะทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าโง่! กล้ากัดพี่ใหญ่ของข้าทั้งๆแบบนั้น! คงไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ของข้าบ่มเพาะเคล็ดสมบัติกายาเต๋าดำติดตัว!”
อย่างไรก็ตาม อิ้งหมัวหู่กลับพบว่า มีเพียงเขาเท่านั้นที่หัวเราะออกคนเดียว
เย่หยวนปั้นหน้าเคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบไม่ พลางกล่าวขึ้นว่า
“นี่มันจระเข้ยักษ์วารีทมิฬ! ทรงพลังอะไรเช่นนี้! การโจมตีก่อนหน้าของมันไม่น่าอยู่ใต้ระดับชั้นสิบจอมราชันย์แม้แต่น้อย!”
อิ้งหมัวหู่รวนเรไม่แน่ใจนักว่านั้นหมายความอย่างไร ก่อนเอ่ยถามด้วยสายตาสุดฉงนว่า
“ก็แค่ระดับชั้นสิบจอมราชันย์ ไยพวกเราต้องกลัว?”
“หากมีแค่ตัวเดียวข้าเองย่อมไม่กลัว แต่ถ้ามีนับพันนับหมื่นตัวล่ะ? เป็นเจ้าจะกลัวหรือไม่?”
สีหน้าเย่หยวนแปรเปลี่ยนเป็นสีดำคล้านก้นหม้อไหม้เกรียม
เย่หยวนยังพูดไม่ทันขาดคำ หนองลุ่มแม่น้ำทอดยาวสุดสายตาพลันปรากฏกองอากาศปุดๆขึ้นตลอดแนว
ซู่วววว….
เสี้ยวอึดใจที่เห็นภาพฉากนี้ รอยยิ้มประดับใบหน้าอิ้งหมัวหู่ถึงกับแข็งค้างในบัดดล
ยามนี้ทั้งสามขนหัวลุกซู่ชูชันไม่หยุดหย่อน!
จระเข้ยักษ์วารีทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ขึ้นเหนือลุ่มแม่น้ำ ไม่ว่าจะกวาดตามองไปทางไหนก็มีแต่จระเข้เต็มไปหมด
หากพินิจจากสายตาอย่างต่ำมีจำนวนกว่าหลายหมื่น!
หากมีใครบางคนแกร่งกล้าเทียบเทียมระดับชั้นสิบจอมราชันย์ พวกเขาทั้งสามสามารถจัดการได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทว่ายามนี้กลับมีหลักหลายหมื่น ต่อให้พวกเย่หยวนจะมีสามขาหกแขน ก็เกรงว่าไม่น่าไหว!
“เจ้าพวกนี้ไม่มีทางจัดการหมดแน่! หนีเร็ว!”
เย่หยวนกรนเสียงสั่งการทันที
ทั้งสามหาได้ลังเลใจใดๆ พร้อมกลับลำสับฝีเท้าหนีให้ไว!
ครื้น! ครื้น! ครื้น!
ฝูงจระเข้ยักษ์วารีทมิฬมีหรือจะให้โอกาสพวกเขาหนี? ชั่วอึกใจต่อมาพวกมันไล่ล่าตามมาเป็นขบวนใหญ่
เย่หยวนพลิกฝ่ามือเรียกดาบพิชิตมารฟ้าออกมาทันที พร้อมซัดกระหน่ำบัวเพลิงปราณดาบพิโรธให้อย่างไร้ปราณี
บูมมมม!
ขุมพลังสุดน่าสะเทอนขวัญระเบิดเข้าใส่ฝูงจระเข้ยักษ์เต็มแรง
แต่กระนั้นเอง สิ่งที่ทำให้ทั้งสามตกใจอย่างมากคือ บัวเพลิงปราณดาบพิโรธของเย่หยวนกลับทำเพียงผลักพวกมันร่นถอยออกไปเล็กน้อย
ปรากฏว่ากระบวนโจมตีนี้ไม่สามารถฆ่าพวกมันได้!
ด้วยความแกร่งกล้าของเย่หยวนในปัจจุบัน หากเขาสำแดงใช้บัวเพลิงปราณดาบพิโรธนี้ออกไป ต่อให้เป็นสิบจอมราชันย์ล้วนถูกสังหารได้ไม่ยาก
แต่การโจมตีอันทรงอนุภาพนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับพวกจระเข้ยักษ์วารีทมิฬ!
“พลังป้องกันของพวกมันสูงส่งนัก! ไปทางนั้น! แถวนั้นมีพวกมันน้อย!”
เย่หยวนกู่ร้องเรียกทั้งสอง
ส่วนฝูงจระเข้ยักษ์วารีทมิฬที่ไล่ตามมาด้านหลัง ยังคงหาช่องโหว่สบโอกาสโจมตีอย่างต่อเนื่อง ไม่ยอมปล่อยให้พวกเย่หยวนทิ้งระยะตีห่างออกไป
“วิถีดาบสารทิศ!”
ยามนี้ร่างกายของเย่หยวนเหนื่อยจัด เขาสามารถใช้ได้พลังปราณล้วนเข้าสกัดพวกมันเท่านั้น
ไม่คิดรั้งรอนออมมือแต่อย่างใด เย่หยวนหยิบใช้พลังที่เหลืออยู่ออกมาทั้งหมด
จิตสังหารแห่งดาบของเย่หยวนยังคมกล้า แสงคมดาบฟาดฟันฝูงจระเข้ยักษ์จนเนื้อหนังฉีกเป็นชิ้นๆ
พวกเขาทั้งสามกำลังมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่มีจระเข้ยักษ์น้อยๆ ยังดีวิถีดาบสารทิศของเย่หยวนยังช่วยถ่วงเวลาได้จนเริ่มทิ้งห่างจากฝูงจระเข้ยักษ์
ยามนี้กายเนื้อของเย่หยวนยังไม่ฟื้นตัวดี จึงจำต้องพึ่งพาพลังปราณเพียงอย่างเดียว แต่นั้นทำให้เขาไม่สามารถต่อสู้ได้นานเช่นกัน
ไม่รู้เลยว่าพวกเขาหนีไปไกลเพียงใด แต่ในที่สุดทั้งสามก็พ้นจากฝูงจระเข้ยักษ์วารีทมิฬได้สำเร็จ ยามนี้ไม้เห็นพวกมันแม้แต่เงา เห็นดังนั้นทั้งสามจึงหยุดฝีเท้าลง
สีหน้าของอิ้งหมัวหู่ซีดเซียวเหนื่อยหอบ เขากล่าวขึ้นว่า
“หากฝูงจระเข้น่าตายนั้นหลุดออกไปโลกภายนอกได้ ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีหวังถูกทำลายไม่เหลือ! ข้าจนปัญญาจริงๆว่า หุบเขาเหวพระเจ้ามันเป็นสถานที่เช่นใดกันแน่? ไฉนถึงมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังทัดเทียมกับสิบจอมราชันย์มากมายมหาศาลถึงเพียงนี้!”
ยังไม่ทันที่เย่หยวนจะได้เอ่ยปากกล่าวอันใดตอบ จู่ๆญาณเหนือสัมผัสของเขาพลันสั่นระรัวดั่งเตือนภัยครั้งใหญ่อีกครั้ง!
ตอนที่1259 พฤกษาวิญญาณมรณะ
วูบบ วูบบ วูบบบ…
เถาวัลย์สีทมิฬหลากหลายสายซุ่มจู่โจมพวกเย่หยวนทั้งสามในมุมอับสังเกต
กำปั้นเหล็กกล้าของซือโปเทียนเหวี่ยงซัดออกไป ระเบิดพลังศาสตร์แห่งสวรรค์แผดกระจายสารทิศ ทำให้เถาวัลย์สีทมิฬเหล่านั้น เละเป็นผุยผงโดยตรง
แต่ยังไม่ทันพักหายใจ เถาวัลย์สีดำเหล่านั้นกลับยิ่งเพิ่มทวีเข้าจู่โจมมากขึ้น
ทั้งสามเพ่งสายตาจับจ้องให้ดี เถาวัลย์เลื่อยไสวพลิ้วเหล่านี้แท้ที่จริงกลับเป็นงูสีดำขนาดเล็ก
แม้ความแข็งแกร่งของงูดสีดำขนาดเล็กนี้จะไม่เทียบเคียงจระเข้ยักษ์วารีทมิฬ แต่ด้วยจำนวนอันมหาศาลนี้ที่ไม่รู้จบ กลับทำเอาเหนื่อยตกไปตามๆกัน
“นั้นมันอสรพิษลวดทมิฬ! พวกมันมีจำนวนนับหลายล้านตัว! เราไม่ควรพักพิงอยู่ที่นี่ ไปทางโน้นเร็ว!”
เย่หยวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสุดเคร่งขรึม
ด้วนจำนวนที่มากมายมหาศาลของพวกมัน ย่อมสามารถชดช่อยความอ่อนด้อยของพวกมันจนหมดสิ้น
เย่หยวนและที่เหลือยังทนอยู่ได้อย่างไร? ทั้งหมดวงแตกวิ่งเตลิดไปทางหนึ่ง
โชคยังดีที่ซือโปเทียนทรงพลังมากฝีมือ ด้วยกำปั้นแล้วกำปั้นเล่า พวกอสรพิษลวดทมิฬไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย
หลังจากพยายามตีห่างออกไปครู่ใหญ่ ทั้งสามก็หนีออกจากวงล้อมสังหารของพวกอสรพิษลวดทมิฬได้สำเร็จ
พวกเขาวิ่งหนีไม่คิดชีวิตอย่างบ้าคลั่ง และมิทราบว่านานเพียงใดถึงมายังจุดนี้ได้
“ไม่น่าแปลกใจเลย ไฉนสถานที่แห่งนี้มีนามว่า ลุ่มแม่น้ำมรณะ ปรากฏว่าสมชื่อแล้ว! ยังมีสัตว์ประหลาดชนิดใดรอเราอยู่อีก?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าเจือหวาดกลัวหลายส่วน
ซือโปเทียนเอ่ยกล่าวว่า
“จระเข้ยักษ์วารีทมิฬกับอสรพิษลวดทมิฬ น่าจะเป็นอสูรชนชั้นต่ำสุดในลุ่มแม่น้ำมรณะแล้ว พวกเราถือว่าโชคดีมากที่เจอแค่พวกมัน”
แงหมัวหู่ที่ได้ยินเช่นนั้นพลันหน้าเสียหนัก ก่อนกล่าวขึ้นอย่างอดมิได้ว่า
“ข้าไม่สงสัยเลย ไฉนสถานที่แห่งนี้ถึงรู้จักในนามเขตพระเข้าต้องห้าม นี่เป็นอาณาเขตแห่งความตายอย่างแท้จริง!”
ยามนี้มันเกินขอบเขตของความเข้าใจไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจระเข้ยักษ์วารีทมิฬหรืออสรพิษลวดทมิฬ หากสุ่มหยิบพวกมันออกไปวิ่งเล่นบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คงสามารถกวาดล้างทุกสิ่งจนบรรลัยสูญแน่นอน
นอกจากนี้เอง จุดแข็งของทั้งสามยังเหนือชั้นกว่าเซียนทั่วไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายขุม ทว่าแม้แต่พวกเขายังต้องหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต
แล้วผู้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไปเหลืออะไร?
ต่อให้เป็นระดับชั้นสิบจอมราชันย์เอง นั้นก็ถึงตายเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม…อสูรสองชนิดที่กล่าวไปกลับเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตระดับต่ำสุดภายในที่แห่งนี้เท่านั้น!
ทั้งสามที่กำลังสับสนอย่างหนัก ยามนี้ญาณนสัมผัสของทุกคนถึงกับดังสะท้านกึกก้องพร้อมกันภายในใจ!
อิ้งหมัวหู่ที่แสนเหนื่อยหอบ ถึงขั้นตะโกนลั่นอย่างสุดจะทน
“เราไปฆ่าโคตรบิดาของพวกเจ้ารึไง?!”
เย่หยวนขมวดคิ้วเข้ม หน้าที่สกัดกั้นต่อจากนี้โดยส่วนใหญ่เป็นฝีมือของซือโปเทียน
ระหว่างนั้นเย่หยวนพยายามใช้จ่ายเวลาให้คุ้มค่าที่สุด เขาเร่งฟื้นฟูพลังโดยไว!
คราวนี้เงาร่างสีดำเข้ารายล้อมรอบทิศ ความแกร่งกล้าของพวกมันน่าสะพรึงขวัญยิ่งกว่าสองชนิดก่อนหน้าเสีย
ทั้งสามสับฝีเท้าหนีตายอีกระลอก จนรอดพ้นออกมาได้อีกครั้ง
“ระวังตัวให้ดี! ข้ารู้สึกเหมือนว่า มีใครบางคนกำลังชักไยอสูรเถื่อนเหล่านี้อยู่เบื้องหลัง ดูท่าแล้ว…มันตั้งใจที่จะบีบให้เราไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง”
เย่หยวนกระซิบเสียงเบาเล็ดรอดผ่านหูทั้งสอง
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำๆกันหลายรอบ เย่หยวนเริ่มรู้สึกเอะใจบ้างแล้ว
อสูรเถื่อนเหล่านี้ดูท่าจะจงใจทิ้งทางหนีไว้ให้เสมอ
ครั้งแรกครั้งสองยังกล่าวได้ว่าบังเอิญ ทว่าครั้งสามยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน นี่ชวนให้เย่หยวนสงสัยหนักเข้าไปใหญ่
แม้ความแกร่งกล้าของพวกเย่หยวนจะน่าเกรงขาม ทว่ายังประคองชีวิตออกมาได้อย่างสาหัสสากรรจ์เช่นกัน
ทว่าสิ่งที่เย่หยวนค้นพบและตกใจที่สุดคือ พวกอสูรเถื่อนเหล่านั้นมิได้เจตนาโจมตีพวกเขาโดยหวังเอาตายจริงๆ
หลายต่อหลายครั้งแล้ว พวกมันพยายามต้อนกลุ่มเย่หยวนไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า
“เป็นไปไม่ได้? ใครกันที่ทรงพลังจนสามารถควบคุมฝูงอสูรเถื่อนเหล่านี้ได้อยู่หมัด?”
สีหน้าเย่หยวนเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่กลับมิได้กล่าวตอบอันใด
อิ้งหมัวหู่ที่เห็นทางทีเช่นนั้น ยามนี้พลันหันควับจับจ้องเย่หยวนด้วยความตกใจสุดขีด และกล่าวขึ้นว่า
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…”
ยามนี้เย่หยวนค่อยพยักหน้าตอบและกล่าวว่า
“ไม่มีใครอื่นแล้ว นอกเสียจากพฤกษาวิญญาณมรณะ!”
อิ้งหมัวหู่ถึงกับถอนสีหน้าซีดเผือก แม้เขาจะมั่นใจยิ่งในขุมพลังความแกร่งกล้าของตน ทว่าจำต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับชั้นนี้ที่แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้ายังมิอาจต่อกร เขาเองก็พลันสิ้นหวังเช่นกัน
อิ้งหมัวหู่นับเป็นเซียนผู้ไร้เทียมทานขนานแท้คนหนึ่งบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มาตรได้ว่าเป็นระดับแนวหน้าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แต่ต่อหน้าพฤกษาวิญญาณมรณะนี้ กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง!
นั้นเป็นบางสิ่งที่เหนือชั้นกว่าอาณาจักรพระเจ้า!
ไม่ว่าพฤกษาวิญญาณมรณะจะแกร่งกร้าวมากน้อยเพียงใด แต่นั้นก็มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถต่อกรได้อย่างสมบูรณ์
พวกเขาทั้งสามหาใช่คู่มือของพฤกษาวิญญาณมรณะไม่!
“นี่…ยังไม่ทันเห็นพฤกษาคุนหวูแม้แต่เงา ทว่าวิ่งชนเข้ากับพฤกษาวิญญาณมรณะแทนอย่างจัง นี่…นี่ไม่โชคร้ายเกินไปหน่อยรึ?”
อึ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มสุดระทมใจ
“เฮ้ออ… ถึงเราวิ่งเข้าชนกับพฤกษาคุนหวู สถานการณ์ก็มิได้ดีกว่าในปัจจุบันมากนัก”
เย่หยวนถอนหายใจเสียงยาวพลางกล่าวตอบ
“เช่นนั้น…เราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”
อิ้งหมัวหู่กล่าว
ชั่วแววหนึ่ง แววตาไสวเย่หยวนหรี่แคบเผยถึงความจริงจัง เขากล่าวว่า
“ทุกสิ่งโดยรอบอันตรายอย่างยิ่งจำต้องระมัดระวังให้มาก! มิใช่ว่าเราเตรียมใจก่อนเดินทางเข้ามาแล้ว? อย่าลืมไปเสีย เขตพระเจ้าต้องห้ามแห่งนี้ แม้กระทั่งเซียนอาณาจักรพระเจ้ายังมิอาจรอดชีวิตกลับไป!”
ทั่วร่างกายาของอิ้วหมัวหู่สั่นสะท้านหนัก จิตวิญญาณของเขาได้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งจากวาจาปลุกกระตุ้นของเย่หยวน พร้อมเอ่ยขึ้นว่า
“พี่ใหญ่กล่าวถูกต้องแล้ว! เหอะ เหอะ ต่อให้เป็นเขตพระเจ้าต้องห้ามมีหรือจะหยุดพวกเราสองพี่น้องได้? บุกน้ำลุยไฟผจญความตายอย่างไร ข้า,อิ้งหมัวหู่ขอเดินเคียงข้างพี่ใหญ่จนสุดทาง!”
เย่หยวนหัวร่อขึ้นเล็กน้อยและกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า
“ฮ่าฮ่า เจ้าน้องชายที่ดี! ยามนี้พวกเราลงเรือหวังได้เพียงกระแสลมพัดพา! ดูท่าอีกฝ่ายอยากเจอเรานัก? เช่นนั้น…ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่า พฤกษาวิญญาณมรณะจะมีดีอย่างตำนานว่าไว้หรือไม่!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! พี่ใหญ่กล่าวถูกใจข้านัก!”
อิ้งหมัวหู่กล่าวตอบพลางหัวเราะอย่างชอบใจ
มิใช่ว่าเย่หยวนรนหาที่ตาย แต่เขาทราบดีพวกอสูรเถื่อนเหล่านี้มิได้เจตนาเอาตาย แต่เพียงบีบให้พวกเขาไปยังทิศทางที่กำหนด ยามนี้สองพี่น้องคิดท้าทาย ไล่สังหารอสูรเถื่อนเหล่านั้นตลอดทางยาว!
ต่อให้ขุมพลังของพวกมันจะแกร่งกร้าวขนาดไหน ทว่ายามนี้ทั้งสองเข้าสัประยุทธ์มุ่งหน้าอย่างบ้าดีเดือด ต่อให้มากันมากมายเพียงใดกลับมิอาจหยุดยั้งพวกเขาได้
พวกเขาไม่สนแล้วว่าหลังจากนี้จะรอดหรือไม่รอด ขอเพียงไปให้สุดทางหวังเพื่อรอชมสิ่งที่รออยู่เพียงเท่านั้น
ซือโปเทียนยังคงนิ่งไม่แยแสะต่ออันใด แต่สีหน้าของมันผลันไสวเผยถึงความประหลาดใจเล็กน้อย
สองพี่น้องคู่นี้ยังคงยืนหยัดเข้าประจักษ์หน้าอย่างไร้ซึ่งความกลัว ต่อให้หุบเขาไท่ซานถลมลงต่อหน้า กลับเป็นทั้งคู่ที่วิ่งเข้าใส่เสียเอง บุคคลประเภทนี้สมแล้วที่ได้รับสืบทอดศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ!
ตั้งแต่ปลุกไฟจนลุกโชน ทั้งสามไล่สัประยุทธ์ฆ่าล้างอย่างบ้าคลั่งตลอดเส้นทาง ผ่านศึกน้อยศึกใหญ่เล่า ในที่สุดพวกเขาก็ปราดมาถึงพื้นที่เปิดกว้าง
บริเวณนี้เป็นทุ่งกว้าง หากใช่หนองลุ่มแม่น้ำสีทมิฬอีกต่อไป
ทว่าทุ่งกว้างแห้งนี้คล้ายดินแดนรกร้างแสนว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ใบหญ้างอกเงยขึ้น ผืนดินแห้งแตกเป็นลายงา
กวาดตาสำรวจโดยรอบนี่ถือทุ่งกว้างแสนแห้งแล้งอันเปลี่ยวเหงาอย่างแท้จริง ทว่าเบื้องหน้ากลับมีเพียงต้นไม้ยักษ์ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว
ต้นไม้ใหญ่นี้มีสีดำสนิท เพียงแต่กิ่งไม้แห้งแตกแขนงปราศจากใบไม้ใบเขียวใดๆ
บนกิ่งก้านเหล่านั้นมีอีกาสามตัวกำลังร่ำไห้อย่างเศร้าโศก ใครได้ยินพลันรู้สึกสิ้นหวังไปตามๆกัน
อีกาทั้งสามหาได้มีพิษมีภัยอันใด สีหน้าของพวกมันราวกับกำลังจะตาย!
เมื่อเห็นต้นไม้สีดำทมิฬขนาดยักษ์ตรงหน้า สีหน้าเย่หยวนพลันมืดลงโดยไม่สมัครใจ
“หรือนี่คือพฤกษาวิญญาณมรณะในตำนาน? ดูแล้ว…หาได้มีอะไรพิเศษไม่”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้น
“ยิ่งดูสงบเพียงใดกลับยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น! หากการสันนิฐานของข้าไม่ผิดเพี้ยน อีกาทั้งสามตัวนั้นสื่อถึงพวกเราสามคน! พฤกษาวิญญาณมรณะกำลังจะบอกว่า พวกเราทั้งสามจำต้องตายในวันนี้!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดเคร่งขรึม
ตอนที่1260 ดวงตาอีกาดำ!
“กา กา กา…”
ประหนึ่งว่าวาจาคำกล่าวของเย่หยวนจะไม่เข้าหูพวกมันอย่างมาก
อิ้งหมัวหู่โหมพิโรธเดือดขึ้นอย่างอดมิอยู่ พลางตบฝ่ามือซัดกระหน่ำออกไปทันที!
เย่หยวนมิได้คิดหยุดยั้งอิ้งหมัวหู่ใดๆ เพราะเขาเองก็ต้องการจะเห็นเช่นกันว่า พฤกษาวิญญาณมรณะนี้น่าสะพรึงกลัวเพียงใด
อย่างไรก็ตาม ภาพฉากต่อจากนั้นพลันทำเอาทั้งสามตื่นตกใจยิ่งยวด!
พลังปราณฟ้าดินที่อิ้งหมัวหู่ระดมสั่งสมพร้อมปลดปล่อยออกไปเต็มสูบ ยามนี้ยังไม่ทันปราดถึงเกินสามสิบฉื่อ การโจมตีนี่กลับสลายหายไปทันที!
ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้สามารถควบคุมพวกเขาทั้งสามได้อยู่หมัด!
“นี่…”
อิ้งหมัวหู่อดหันจับจ้องเย่หยวนพร้อมใบหน้าเปี่ยมตะลึงมิได้
พฤกษาวิญญาณมรณะนี้สมชื่อยิ่งแล้วจริงๆ!
ทว่าเวลานี้เอง ทั้งสามกลับไม่นึกไม่ฝัน พฤกษาวิญญาณมรณะนี้ทรงพลังกว่าตำนานเล่าลือเสียอีก
เย่หยวนประจักชัดแจ้งดีถึงความแกร่งกล้าของอิ้งหมัวหู่
กายวิญญาณพยัคฆ์ขาวสมบูรณ์และวรยุทธศักดิ์สิทธิ์แสงทมิฬพยัคฆ์ขาว ทั้งสองสิ่งนี้ล้วนเป็นสุดยอดกายวิญญาณและสุดยอดวรยุทธบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ความแกร่งกล้าของอิ้งหมัวหู่เหนือชั้นไปกว่าบรรดาสิบจอมราชันย์ไปหลายขุมแล้ว กระทั้งจอมราชันย์แห่งความมืด,ซือกงซานเองก็มิอาจใช่คู่มือ
ทว่าฝ่ามือเมื่อครู่กลับไม่สามารถคงสภาพได้ถึงสามสิบฉื่อตรงหน้าด้วยซ้ำ!
เย่หยวนไม่เคยพานพบสิ่งใดแปลกประหลาดขนาดนี้มาก่อนเลยชีวิต!
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะตรวจจับอะไรบางอย่างได้บ้าง แต่ด้วยขอบเขตความเข้าใจในปัจจุบันกลับไม่อาจทราบได้เลยว่านั้นคือสิ่งใด
“นี่น่ะรึ…พฤกษาวิญญาณมรณะ? เป็นไปตามคาด มันแกร่งกร้าวของมันแม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้ายังมิอาจหยั่งถึงได้ ดูท่าสิ่งนี้จะอยู่ในอาณาจักรพลังที่พวกเราไม่มีทางเข้าใจเลย และอาณาจักรพลังนั้น…เหนือกว่าอาณาจักรพระเจ้าไปแล้ว!”
เย่หยวนพรูไอเย็นแช่มออกพร้อมกล่าวขึ้น
ทันทีทันใด สุ้มเสียงโหยหวนดุขบ่อน้ำบรรพกาลพลันกรีดร้องระงมขึ้น อีกาทั้งสามร้องแจ๋วราวกับกำลังพูดอยู่
หากพินิจมองให้ละเอียด ปรากฏว่าเป็นอีกาตัวกลางที่ร้องดังขึ้นว่า
“ในที่สุด… ช่างเป็นวิญญาณที่สดใหม่กระไรเช่นนี้ มันถึงกับประเคนให้ข้าถึงหน้าบ้าน! อืมมม…ดูท่าวิญญาณของเจ้าคงอร่อยยิ่ง!”
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพียงปราดสายตาจับจ้อง เขาก็รู้สึกราวกับว่าวิญญาณของตนกำลังถูกดูดออกไป
อีกาคนนั้นช้อนสายตาจับจ้องตอบ และนี่ยิ่งทำให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนเหือดแห้งแทบแตกสลายออก!
เบื้องลึกภายในทะเลแห่งจิตใจ ถูกคลื่นความผันผวนเดข้าก่อกวนโดยตรงเช่นนี้ ในที่สุดไข่มุกสยบวิญญาณพลันมีปฏิกิริยาตอบสนอง มันสั่นสะท้อนคลื่นพลังประหลาดออกไปเล็กน้อย สภาวะเสียสมดุลของเย่หยวนก็ได้กลับเป็นปกติอีกครั้ง
“ท่านอาวุโสทั้งสาม พวกเรามิได้มีเจตนารบกวน เราหลงเข้ามาในสถานที่ของพวกท่านโดยบังเอิญ โปรดเมตตาปล่อยพวกเราไปสักครา นี่นับเป็นบุญคุณใหญ่หลวง”
เย่หยวนพยายามระงับความปั่นปวนภายในใจและเอ่ยกล่าวขึ้น
“หื้ม? เจ้าสามารถทนต่อแรงกดดันจากจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของข้าได้? น่าสนใจ น่าสนใจยิ่งนัก!”
เพียงว่าเสียงนี้ทำเอาทุกคนใจสั่นจับขั้วกระดูกเยือกแข็ง
“มองเข้าไปในตาข้า!”
ในขณะที่อีกาตัวนั้นกำลังกล่าวประหนึ่งว่ามันได้ท่องเวทย์อาคมบางอย่างผสานลงไปในน้ำเสียง
เป็นอีกครั้ง เย่หยวนรู้สึกราวกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตนกำลังจะสลายลง วาจาแผดเสียงเพียงหนึ่งคำทำเอาความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดแทบล้มสลาย!
ห้ามมอง! ห้ามมองเด็ดขาด!
เย่หยวนหาได้ตระหนักชัดแจ้งดีเกี่ยวกับขีดจำกัดของไข่มุกสยบวิญญาณว่าทรงพลังถึงขอบเขตใด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าพึ่งพาเจ้าสิ่งนี้จนเกินไป
สุดท้ายนี้ สิ่งหนึ่งที่เย่หยวนสามารถการันตีได้ก็คือ พฤกษาวิญญาณมรณะนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือชั้นกว่าอาณาจักรพระเจ้าไปแล้วแน่นอน!
ในยุคสมัยที่ศาสตร์แห่งสวรรค์สูญสิ้น สิ่งมีชีวิตระดับชั้นนี้ย่อมอยู่เหนือจินตนาการและขอบเขตความเข้าใจทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง!
ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่มองดวงตาอีกาตรงหน้าเด็ดขาด
เว้นเสียแต่ ร่างกายของเขาดูเหมือนจะไม่เชื่อฟังเลยสักนิด ศีรษะของเย่หยวนค่อยๆเงยขึ้นหันทองอีกาตัวกลางอย่างแช่มช้า
เหงื่อเย็นหลั่งไหลทั่วร่างเย่หยวนจนชโลมชุ่มประหนึ่งเพิ่งขึ้นจากน้ำ
ในชั่วพริบตาทั่วร่างกายของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ทั้งชาติก่อนหน้าและชาตินี้ ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับจี้ฉางหลาน แต่เย่หยวนยังไม่เคยรู้สึกอ่อนแอไร้พลังขนาดนี้มาก่อนเลย
นี่เป็นการเผชิญหน้าที่ระดับชั้นห่างกันเกินไป!
ต่อให้ประจักษ์หน้ากับเทพอสูรเทวะข่านนั่ว อย่างน้อยเย่หยวนยังพอมีทึนรอนไว้ต่อกร
แต่ ณ ตอนนี้ เย่หยวนกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้สักนิด!
อย่าว่าแต่โจมตีใส่ แค่ควบคุมร่างกายตัวเองให้ทำตามใจนึกยังไม่มีปัญญา!
สิ่งเดียวที่ตอนนี้ขยับได้คือ ดวงตา แต่ดวงตานั้นกลับเป็นอวัยวะเพียงส่วนเดียวที่เขาไม่ต้องการให้ขยับ!
เย่หยวนไม่สามารถเข้าใจได้สักนิดเลยว่า ในยุคที่ศาสตร์แห่งสวรรค์สูญสิ้นไปแล้ว ไฉนยังมีสิ่งมีชีวิตระดับชั้นนี้ดำรงอยู่?
หรือเป็นไปได้ไหมที่ ศาสตร์แห่งสวรรค์ในกายบางสิ่งยังคงเหลืออยู่อยู่จวบจนปัจจุบัน?
อย่างไรก็ตามแต่ ขณะนี้ไม่เหลือเวลาครุ่นคิดใดๆอีก
เย่หยวนรีดเร้นพลังทั้งหมดส่งออกไปยังดวงตาหวังเพื่อเบี่ยงทิศทางเข้าหาอิ้งหมัวหู่ แต่ทันใดนั้นเขาพลันต้องตื่นตระหนกอย่างหนัก
ทันทีที่เห็นมอง เย่หยวนพบว่าจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของอิ้งหมัวหู่ได้หลุดลอยออกจากร่างแล้วโดยตรง วิญญาณของเขาบินเข้าไปหาอีกาด้านซ้าย!
ส่วนซือโปเทียนกลับไม่เป็นอะไรเลย นี่ถือเป็นจุดเด่นพิเศษของเผ่ายักษ์หิน เพราะมันไม่มีจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นอีกาเหล่านี้จึงไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ทว่าเสี้ยวอึดใจต่อมา เย่หยวนพลันเห็นอีกภาพฉากหนึ่ง ซึ่งนี่ทำให้เขาเดือดดาลอาฆาตในทันใด
จิตวิญญาณศักดิ์ของลู่เอ๋อถูกดึงออกจากเจดีย์เลื่องสวรรค์ และบินเข้าไปหาอีกาด้านขวา!
เบื้องลึกในแววตาของเย่หยวน ยามนี้กลับเปี่ยมแน่นไปด้วยเพลิงพิโรธเดือดปะทุแทบระเบิด!
ไร้ซึ่งพลังอำนาจ!
ไร้ซึ่งหนทางช่วย!
ณ ปัจจุบันเย่หยวนทราบแล้วว่า อีกาตัวที่สามนี้มิได้ถูกเตรียมไว้สำหรับซือโปเทียน แต่นั้นสำหรับลู่เอ๋อโดยเฉพาะ!
สำหรับลี่เอ๋อแล้วนั้น เนื่องจากกายวิญญาณทั้งสองชนิดของนางผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว จึงทำให้ไม่สามารถแยกออกจากร่างได้แล้ว พฤกษาวิญญาณมรณะจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปและมิได้ตละเตรียมอีกาไว้ให้นาง
อย่างไรก็ตาม ที่เห็นว่าซือโปเทียนมิได้เคลื่อนไหวใดๆ นี่เป็นที่ชัดเจนว่า มันเองก็ถูกสะกดไว้เช่นกัน
ความแกร่งกล้าของซือโปเทียนเหนือชั้นกว่าเย่หยวน มันเคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรพระเจ้า!
แต่กระทั้งมันก็มิใช่คู่มือของพฤกษาวิญญาณมรณะเลย!
“เฮ้ออ… วิญญาณน้ำดีเหล่านี้น่าจะอร่อยมากแน่นอน! นับตั้งแต่ที่ตาเฒ่านั้นตายไป ดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่เปลี่ยวร้างทันควัน การจะหาวิญญาณอร่อยๆกินกลับไม่ง่ายดั่งวันวาน!”
อีกาตัวกลางกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก
อย่างไรก็แล้วแต่ ขณะนี้เย่หยวนกำลังโกรธจัด เขายังจะมาสนใจคำบ่นของอีกาได้อย่างไร?
เขาเค้นพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ออกมาหวังเพื่อฝืนตัวเองมิให้มองไปยังอีกกา
หากแม้แต่เขายังพลาดท่าเช่นนี้ แล้วใครจะเป็นคนช่วยอิ้งหมัวหู่กับลู่เอ๋อ!
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองดวงกำลังล่องลอยออกไปอย่างช้าๆ เสมือนว่าถูกอาคมบางอย่างทำให้ทั้งสองมิอาจขัดขืนคล้ายเป็นอัมพาต
อีกาสองตัวนั้นอ้างปากกว้างเตรียมรอรับมื้ออาหารอันโอชา จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของอิ้งหมัวหู่กับลู่เอ๋อค่อยๆหดเล็กลงเรื่อยๆ
ในที่สุดอีกาทั้งสองก็กระเดือกจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองลงไปทันทีภายในคำเดียว
ยิ่งเห็นภาพฉากนี้ต่อหน้าต่อตา ดวงตาของเย่หยวนแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือดแดงฉานในทันใด พร้อมความโกรธจัดสุดขีดทานทน!
แต่เขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยเช่นกัน!
สิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนี้คือ การขยับดวงตาออกจากอีกาตัวตรงกลาง!
อีกาตัวกลางระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกล่าวกับเย่หยวนว่า
“ผ่อนคลาย ไฉนเจ้าไม่ตามมาสมทบกับสหายที่เหลือ? อย่าพยายามฝืนให้เหนื่อยเปล่า สหายน้อยคนหนึ่งที่ไม่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ยังนับเป็นอันใด? มองมาที่ดวงตาของข้า!”
คลื่นพลังไร้สภาวะหอบใหญ่พุ่งเข้าใส่จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนทันที!
คราวนี้เย่หยวนไม่สามารถหยุดยั้งใดๆได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดดวงตาคู่นั้นก็เข้าประจันหน้ากับดวงตาคู่นั้นของอีกาจนได้!
ในไม่ช้า เย่หยวนรู้สึกประหนึ่งว่า จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตนถูกแช่แข็งเอาไว้ โดยไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนพลันหลุดลอยออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่เลว! ไม่เลวเลย! จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้…ดูท่าจะเป็นสายเลือดมังกรบริสุทธิ์! ยิ่งไปกว่านั้น…กลิ่นอายชนิดนี้ช่างคล้ายคลึงกับบรรพชนต้นกำเนิดของเผ่ามังกรยิ่ง! หื้ม…? ฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงในตำนาน? ฮ่าฮ่าฮ่า หยิบถูกสุดยอดมหาสมบัติเข้าเต็มเปา!”
อีกาตัวกลางกล่าวขึ้นพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไร้กังวล
ตอนที่1261 พายุวิญญาณ!
“บัดซบ! หรือแม้แต่ไข่มุกสยบวิญญาณก็มิใช่คู่มือของพฤกษาวิญญาณมรณะเช่นกัน? ไยถึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆเลย!”
แม้ว่าจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนจะถูกควบคุมตรึงแข็ง แต่เขาเองก็ยังมิได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไป
ความหวังเดียวที่พึ่งพาได้คือ ไข่มุกสยบวิญญาณ!
ทว่าไข่มุกสยบวิญญาณนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆเลย ซึ่งนี่ทำให้เขากังวลใจอย่างยิ่ง
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนค่อยๆถูกดึงออกจากร่างไกลขึ้นทีละเล็กละน้อย ดวงตาของอีกาเปรียบดั่งก้นหุบเหวนรกที่เย่หยวนยังคงร่วงตกไม่หยุด
ทันทีทันใดนั้นเอง ไข่มุกสยบวิญญาณที่หลับใหลก็ตื่นขึ้นในที่สุด!
มันเริ่มส่งคลื่นความผันผวนออกไปอีกครั้ง
จากเดิมที่จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนหลุดลอยออกไป ยามนี้ถูกดึงกลับเข้าร่างดังเดิมอย่างรวดเร็ว!
“หื้ม? เกิดอะไรขึ้น?”
อีกาตัวกลางกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ทุกครั้งที่ลงมือเคลื่อนไหว มันไม่เคยประสบความล้มเหลวมาก่อนเลย แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้าล้วนเสร็จมันทุกราย ตราบใดที่ชะตากรรมยังคงดำรงเรื่อย สรรพสิ่งใดอยู่ในรีศมีล้วนต้องวอดวาย ไม่มีอะไรหยุดมันมิให้กลืนกินจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้
แต่ในวันนี้ มันกลับล้มเหลวจริงๆ!
แถมอีกฝ่ายยังเป็นเพียงมนุษย์น้อยคนหนึ่งที่มิได้เป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าด้วยซ้ำ!
“มีตำนานเล่าขานไว้ว่า ฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงเป็นกายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กล้าแกร่งที่สุดแห่งเผ่ามังกร ความแข็งแกร่งของตาเฒ่าอ้าวฉินเองก็มิอาจประเมินได้เช่นกัน กระทั้งนรกยังต้องถอย! อย่างไรก็ตาม…ต่อให้จะเก่งกาจฟ้าประทานเพียงใด แต่ตาเฒ่านั้นก็ไม่อยู่แล้ว ยามนี้ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือเจ้าเด็กนี่ได้อีก!”
อีกาตัวกลางกล่าวพึมพำกับตัวเอง
โดยไม่รีรออันใด อีกาตัวกลางกางปีกสยายสีทมิฬของมันพร้อมปราดเข้าจู่โจมไปที่ศีรษะของเย่หยวน!
จิตวิญญาณศักดิ์นสิทธิ์ของเย่หยวนที่เพิ่งเข้ารูปเข้ารอย กลับต้องเตรียมรับมือกระทันหันประดุจฟ้าผ่า!
อีกาพุ่งโจมตีหวังเสียบทะลวงศีรษะด้วยจงอยปากอันแหลมคมของมัน แต่ทันทีทันใด พลันมีคลื่นพลังวิญญาณไร้สภาวะเข้าห่อหุ้มร่างกายเย่หยวนในบัดดล
ภากฉากนี้ถึงกับทำให้อีกาตัวนั้นโพล่งอุทานลั่นด้วยความหวาดกลัว!
“ไข่มุกสยบวิญญาณ! กลับกลายว่าเป็นไข่มุกสยบวิญญาณ! บัดซบ! บัดซบที่สุด!! ไฉนไข่มุกสยบวิญญาณถึงอยู่ในตัวมันได้?! อ๊ากก!!”
อีกาตัวนั้นแตกตื่นอย่างหนักราวกับพบเจอบางสิ่งที่น่ากลัวยิ่ง มันกรีดร้องระงมเจือน้ำเสียงสิ้นหวัง
ปีกกางโบกสะบัดให้ไว อีกาตัวนั้นเร่งกระพือปีกหนีกลับออกมาทันที
ทว่านั้นกลับสายเกินไปเสียแล้ว!
จู่ๆเหนือศีรษะของเย่หยวนพลันเกิดแรงดูดอย่างแรงขึ้น พร้อมกลืนกินอีกาตัวนั้นเข้าไปโดยตรง
อีกาตัวนั้นยังไม่ทันได้กลืนกินเย่หยวน ทว่ากลับกลายเป็นเย่หยวนที่กลืนกินมันแทน!
หากกล่าวให้ถูกต้อง นั้นมิใช่เย่หยวน แต่เป็นไข่มุกสยบวิญญาณ!
เย่หยวนสามารถสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งว่า อีกาตัวนั้นถูกกลืนกินลงไปแล้วโดยไข่มุกสยบวิญญาณ
“แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก!”
เย่หยวนอ้าปากกว้างหอบถี่อย่างหนักหน่วง ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นจากขุมนรกอันน่าสยดสยองนี้จนได้
ขณะเดียวกัน สิ่งแรกที่เขาจำต้องทำโดยไวคือ การไปช่วยอิ้งหมัวหู่กับลู่เอ๋อ!
แต่ก่อนหน้าที่เย่หยวนจะลงมือ เขาพลันสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณบางอย่างที่ผันผวนยิ่งกลางทะเลแห่งจิตใจของตน
เมื่อเขาหลบตาดึงจิตเข้าไปตรวจสอบก็พบเป็นพายุวิญญาณขนาดมหึมาที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่โดยมีตัวเขายืนอยู่ ณ จุดศูนย์กลาง
พายุวิญญาณนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป กระทั้งเย่หยวนเองยังต้องหรี่ตาแคบมิอาจจับจ้องได้นานนัก
ลูกประคำสีดำค่อยๆลอยขึ้นเหนือน่านน้ำในทะเลแห่งจิตใจ และทะยานขึ้นสูงสู่กลางเวหา
ทันใดนั้น มันเริ่มหมุนควงเร็วจี๋จนดูดกระแสน้ำเบื้องล่างขึ้นมา และก่อร่างสร้างตัวขึ้นกลายเป็นพายุวารีวิญญาณ
พายุวารีวิญญาณนี้ค่อยๆขยับขยายตัวออกกว้างและเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!
“อ๊ากก! อ๊ากกก! อ๊ากกก! หลังจากที่ตาเฒ่านั้นล่วงลับไปแล้ว ไข่มุกสยบวิญญาณก็หายสาบสูญไป ไฉนมันถึงปรากฏขึ้นในตัวไอ้เด็กเหลือขอนี่?!”
พฤกษาวิญญาณมรณะกรีดร้องระงมพร้อมความหวาดกลัวสุดขีด
เว้นเสียว่า พายุวารีวิญญาณของไข่มุกสยบวิญญาณยังขยาดขยายตัวขึ้นไม่หยุดหลุดออกจากทะเลแห่งจิตใจโดยตรง ยามนี้ทั่วทุกหนแห่งถูกพายุวารีวิญญาณนี้กวาดล้างชำระซัดไม่เหลือ
แม้แต่ตัวต้นพฤกษาวิญญาณมรณะเองก็ไม่สามารถต้านทานได้เช่นกัน!
รัศมีพายุแผดกว้างไพศาลจนกระจายไปทั่วลุ่มแม่น้ำมรณะในพริบตา
เหล่าสิ่งมีชีวิตอันลึกลับภายในเขตพระเจ้าต้องห้ามต่างอพยพหนีทันทีด้วยความแตกตื่นหวาดกลัว
ความผันผวนระดับนี้ทำให้ภายในใจของพวกมันสั่นระรัวสุดขีด!
สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในเขตพระเจ้าต้องห้ามล้วนทรงพลังไร้เทียมทาน กระทั้งเซียนอาณาจักรพระเจ้ายังมิใช่คู่มือ ทว่ายามนี้กลับหนีเตลิดไม่เป็นท่า
……………………….
ณ หุบเขาแห่งนี้ ภายในถ้ำลึก ปรากฏสองคู่ดวงเนตรพลันเปิดขึ้นอย่างแช่มช้า
หนึ่งในสายตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความกลัว
“แรงกดดันชนิดใดกัน? ไฉนถึงทรงพลังเพียงนี้! ดูเหมือนจะมาจากทางลุ่มแม่น้ำมรณะ!”
“นั้นคือไข่มุกสยบวิญญาณ! หนึ่งในสามสมบัติเวทย์สวรรค์! สุดยอดเครื่องรางแห่งจิตวิญญาณบนผืนพิภพของดินแดนพฤกษานิรันดร์! ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ห้าล้านปีต่อมา,หลังจากที่จอมเทพนิรันดร์ล่วงลับไป ไข่มุกสยบวิญญาณจะปรากฏขึ้นให้เห็นอีกครั้งในท้ายที่สุด!”
“จอมเทพนิรันดร์? นั้นใครกัน?”
“เขาคือราชันย์แห่งราชันย์ของดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้! แล้วเจ้าลองคิดสิว่า เขาผู้นั้นจะไร้เทียมทานเพียงใด!”
“นั้นเป็นบุคคลที่แม้แต่ท่านพ่อยังเอ่ยปากชื่นชม? ช่างแข็งแกร่งนัก!”
“แข็งแกร่ง? หุหุ,แม้แต่คำว่า แข็งแกร่ง ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะใช้กับเขา!”
“แล้วพฤกษาวิญญาณมรณะล่ะ?”
“หุหุ เจ้าพวกนั้นหาญกล้าท้าทายเจ้านายใหม่ของไข่มุกสยบวิญญาณ แล้วเจ้าคิดว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร! พวกมันรนหาที่ตายเอง ไม่มีใครสามารถช่วยอะไรได้ มีจิตวิญญาณของพฤกษามรณะช่วยหล่อเลี้ยงเช่นนี้ จิตวิญญาณของไข่มุกสยบวิญญาณก็ควรตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน!”
………………………..
ไม่ทราบเลยว่า วันเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดพายุวารีวิญญาณนี้ก็สงบลง
เย่หยวนฟื้นสติตื่นขึ้นด้วยความงุนงงพร้อมความปวดร้าวที่โฉบแล่นขึ้นหัวราวกับแตกเป็นเสี่ยงๆ
เสี้ยวอึดใจต่อมา เขาพลันนึงถึงอิ้งหมัวหู่กับลู่เอ๋อเป็นอย่างแรกในทันใด
“อิ้งหมัวหู่! ลู่เอ๋อ!”
เย่หยวนตะโกนเรียกกับใจที่เคว้งคว้าง
“พี่ใหญ่/นายน้อย ข้าอยู่นี่!”
“พี่ใหญ่หยวน ในที่สุดท่านก็ได้สติ!”
สุ้มเสียงที่แสนคุ้นเคยทั้งสามดังขึ้นทำเอาเย่หยวนคลายใจโล่งอย่างยิ่ง
เขาหันมองไปหาอิ้งหมัวหู่กับลู่เอ๋อพลางกล่าวถามด้วยความประหลาดใจว่า
“พวกเจ้า…ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวตอบทันควัน
“พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอรู้สึกตัวอีกทีก็นอนหมดสติเหมือนท่าน! ข้าได้สติก่อนไม่นานเท่าไหร่นัก”
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งอิ้งหมัวหู่และลู่เอ๋อต่างปลอดภัยดี ยามนี้ก้อนหินขนาดมหึมาที่ทับอยู่กลางอกเย่หยวนพลันอันตรธานหายสิ้น
เมื่อนึกถึงภาพฉากที่อิ้งหมัวหู่และลู่เอ๋อถูกกระชากจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกจากร่างไป นั้นคล้ายมีดคมบาดลึกเข้าขั้วหัวใจเย่หยวนโดยตรง
แม้ตอนนี้ความหวาดกลัวยังคงตราตรึงไม่สิ้นกลิ่นดี
เย่หยวนเหลียวมองไปยังลี่เอ๋อก่อนกล่าวขึ้นว่า
“ลี่เอ๋อ เจ้ามิได้ถูกกลืนกินวิญญาณเข้าไป ระหว่างนี้ที่อยู่ในเจดีย์เลื่องสวรรค์เจ้าเห็นสิ่งใดบ้าง?”
ลี่เอ๋อส่ายหัวพลางกล่าวตอบ
“แม้ข้าจะไม่ถูกกลืนกินวิญญาณ แต่ต่อมาทันทีที่เกิดพายุนั้น ข้าเองก็หมดสติไปเช่นกัน”
ทั้งสี่สบตากันไปมา แต่ละคนเผยสีหน้าฉงนงุนงงไม่ต่าง
กระทั้งซือโปเทียนยังยืนหน้ามึนอยู่เคียงข้างไม่ห่างกายเช่นกัน
เย่หยวนขมวดคิ้วเข้มพร้อมเพ็งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตนลงในไข่มุกสยบวิญญาณ เขาพบว่าไข่มุกสยบวิญญาณยังคงลอยเวค้งอยู่ในทะเลแห่งจิตใจดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
“ไข่มุกสยบวิญญาณนี่คืออะไรกันแน่? เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าช่างน่าประหลาดเกินไป!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างไร้ประโยชน์
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของทั้งอิ้งหมัวหู่และลู่เอ๋อควรจะถูกกลืนกินโดยสิ้นและตายลงไปนานแล้ว
แต่ใครจะไปคิดว่า ไม่เพียงทั้งคู่จะรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ แต่ยังไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนใดๆ
นอกเหนือจากความปีติยินดี สิ่งนี้กลับชวนให้เย่หยวนรู้สึกแปลกใจเข้าไปใหญ่
ไข่มุกสยบวิญญาณนี้ไม่สามารถหยั่งรู้ได้โดยแท้ นี่ทำให้เขารู้สึกโง่งมไปโดยสมบูรณ์
พฤกษาวิญญาณมรณะเป็นยิ่งกว่าตำนาน มันทรงพลังเสียยิ่งกว่าเซียนอาณาจักรพระเจ้า!
แต่ไข่มุกสยบวิญญาณกลับสามารถบดขยี้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้จนไม่เหลือแม้แต่ผุยผง!
“หื้ม?”
เย่หยวนตกใจเล็กน้อย
“จะว่าไป…พวกเราออกจากลุ่มแม่น้ำมรณะได้แล้ว? เช่นนั้น…พฤกษาวิญญาณมรณะล่ะ?”
ทั้งสี่เผยสีหน้าสุดว่างเปล่าออกมาโดยไม่สมัครใจ อย่าว่าแต่พฤกษาวิญญาณมรณะ กระทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้ากับพวกเขาเองยังไม่ทราบ
เย่หยวนถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เอาล่ะ อย่ากังวลไปเลย! ในเมื่อพ้นมือมันมาได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว ยามนี้ไปเสาะหาพฤกษาคุนหวูกันดีกว่า!”
….
……
ในเวลาเดียวกัน ภายในไข่มุกสยบวิญญาณกลับมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
สายตาของมันทอดยาวออกไปเบื้องหน้า พร้อมมองภาพฉากที่ภายในปรากฏเป็นเย่หยวนและเหล่าพวกพ้องที่กำลังเร่งรุดเดินทางต่อ
“หุหุ… เป็นเวลากว่าห้าล้านปีแล้ว ในที่สุดไข่มุกสยบวิญญาณก็เจอผู้สืบทอด!”
ตอนที่ 1262 ทะลวงสู่พลังระดับเก้าขั้นสมบูรณ์!
“พี่ใหญ่ นี่แปลกเกินไป! มิใช่ว่าที่นี่คือเขตพระเจ้าต้องห้ามหรอกรึ? ไฉนเราถึงไม่พบเจอภัยอันตรายใดๆอีกเลยหลังพวกเราออกจากลุ่มแม่น้ำมรณะ?”
หลังจากเหตุการณ์ในลุ่มแม่น้ำมรณะที่รอดตายออกมาอย่างหวุดหวิด นี่ก็ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้ว
อิ้งหมัวหู่ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่เดินทางมาตั้งไกลแต่ไฉนถึงเงียบสงบผิดปกติตลอดทางที่มา!
แรงคุกคามหรือรางสังหรณ์อันน่าสะพรึงเหล่านั้นที่ปรากฏยามแรกเท้าย่างเข้าในเขตพระเจ้าต้องห้าม ทั้งหมดกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ความแตกต่างดั่งฟ้ากับเหวชนิดนี้ชวนทำเอาผู้คนใจหายใจคว่ำ
แม้เย่หยวนจะตระหนักดีว่าโอกาสรอดชีวิตออกมามีน้อยแสนน้อย แต่ลึกๆแล้ว เขาก็ยังมั่นใจในตัวเองว่าต้องรอดให้จงได้
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างกลับง่ายเกินไป!
ทั้งสี่เกือบลืมไปแล้วว่ากำลังเดินทางอยู่ในเขตพระเจ้าต้องห้ามที่สุดแสนอันตราย บางครั้งถึงขั้นชมพฤกษาทัศนียภาพโดยรอบเล่น
เขตพระเจ้าต้องห้ามที่ได้ชื่อว่า สุสานของเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้า มันเงียบสงบและปลอดภัยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด?
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า พายุที่ก่อเกิดจากไข่มุกสยบวิญญาณในตอนนั้นจะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด! สิ่งมีชีวิตภายในเขตพระเจ้าต้องห้ามอาจหวาดกลัวในไข่มุกสยบวิญญาณยิ่ง นี่จึงเป็นเหตุให้พวกมันหนีกันไปหมดแล้ว?”
เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างเงียบๆ
แต่อิ้งหมัวหู่กล่าวตอบพร้อมท่าทางสุดภาคภูมิใจว่า
“พี่ใหญ่อย่าลืมไปเสีย ทั้งหมดเป็นเพราะข้าที่นำพาท่านให้มาเจอกับไข่มุกสยบวิญญาณในปีนั้น ฮ่าฮ่า ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า มันกลับกลายเป็นของวิเศษที่แสนน่าอัศจรรย์! นี่เขตพระเจ้าต้องห้ามหรือเดินเล่นอยู่ในสวนหลังตำหนัก?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า ความสามารถในการค้นหาสมบัติของเจ้ายังคงยืนหนึ่งในใจข้า! กระนั้นเอง…ข้ารู้สึกได้ว่าสรรพสิ่งที่เห็นกลับไม่ง่ายอย่างที่เห็นเลย! ข้ายังจำได้ว่า พฤกษาวิญญาณมรณะเองก็กล่าวถึง ‘ดินแดนพฤกษานิรันดร์’ ซึ่งก่อนหน้านี้ข่านนั่วเองก็เรียกดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ว่า‘ดินแดนพฤกษานิรันดร์’เช่นกัน นอกจากนี้กวนควานเทียนเองก็เคยกล่าวเล่าว่า ศิลาจารึกเลื่องสวรรค์กับไข่มุกสยบวิญญาณเป็นมิใช่ของวิเศษของดินแดนแห่งนี้ แต่เป็นของวิเศษจากต่างแดน! แม้กระทั้งท่านเซียนเต๋าสวรรค์เองก็ยังไม่ทราบถึงต้นกำเนิด! ดูเหมือนว่า…นอกเหนือจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังมีดินแดนที่พวกเราไม่เคยรู้จักอยู่อีกด้วย!”
ใจสั่นระรัวเต้นแรง ลี่เอ๋อกล่าวขึ้นอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่า
“พี่ใหญ่หยวน หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าอพยพไปยังดินแดนอื่นที่ว่านั้น?”
เย่หยวนหันมองลี่เอ๋อด้วยสายตาแปลกๆ เขากล่าวตอบพร้อมพยักหน้าว่า
“อาจเป็นอย่างที่เจ้ากล่าว! บางทีพวกเขาเหล่านั้นอาจรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า ศาสตร์แห่งสวรรค์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังจะสูญสิ้น พวกเขาจึงแอบจัดตั้งภาคีขึ้นมาเพื่อคิดค้นวิธีข้ามไปมิติเปิดทางสู่ดินแดนอื่น!”
ยิ่งเย่หยวนพูดมากเท่าไหร่ แต่ละคนก็ยิ่งตื่นตกใจมากขึ้นเท่านั้น!
หากเป็นอย่างที่สันนิฐานไปจริงๆ ทุกอย่างก็สามารถอธิบายได้ในทันที!
แม้พวกเขาเหล่านั้นจะกลายไปเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าแล้วก็ตาม แต่ยามใดที่สูญสิ้นศาสตร์แห่งสวรรค์ไป พวกเขาจะถูกระงับพลังเหลือแค่อาณาจักรเต๋าลึกล้ำในทันที แล้วแบบนี้มีหรือที่พวกเขาจะเต็มใจอยู่ต่อไปในอนาคต?
ถึงความเข้าใจของพวกเขาจะรุกล้ำไปไกลโข ทว่าระดับเพียงอาณาจักรกึ่งพระเจ้ากลับไม่นับเป็นอันใด
แต่เดิมพวกเซียนเหล่านี้มีศักดิ์เหนือมวลมนุษย์ หากต้องตกลงมาปะปนกับมนุษย์ ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่พวกเขาจะทนไหว
นอกจากนี้เอง ดินแดนอื่นๆอาจเป็นดินแดนระดับที่สูงกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นั้นหมายความว่า พวกเขาจะมีโอกาสไต่ขึ้นสู่อาณาจักรพลังที่สูงขึ้นไปอีกได้
สุดท้ายนี้ เย่หยวนก็ได้สัมผัสกับความลับที่คลุมเคลือบด้วยฝุ่นหนากว่าแสนปี!
“ดินแดนพฤกษานิรันดร์! ดินแดนพฤกษานิรันดร์! ไฉนถึงต้องเรียกว่า ดินแดนพฤกษานิรันดร์! แล้วทำไมศาสตร์แห่งศวรรค์จึงหายไป? เหอะ เหอะ… เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าคงคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่นๆ ถึงว่าตัวเองเป็นพระเจ้าแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจ!”
เย่หยวนกล่าวเย้ยดยาะไม่หยุดปาก พลางดูถูกหยามเหยียดเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าว่าเห็นแก่ตัว
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าพวกนี้จะไม่ใส่ใจภัยอันตรายของเผ่าปีศาจเลยแม้สักนิด!
ทั้งๆที่เผ่าปีศาจเตรียมจ้องฆ่าล้างสรรพสิ่งบนผืนพิภพมาโดยตลอด ทว่าเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าพวกนี้กลับเลือกที่จะจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองใดๆ! และไม่แม้แต่จะออกปากเตือน!
เย่หยวนรังเกียจคนประเภทนี้เป็นอย่างที่สุด
“หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกนั้นก็เป็นได้แค่ขยะกลุ่มหนึ่ง! ทิ้งภาระความรับผิดชอบทั้งหมดไว้ให้แก่ชนรุ่นหลังโดยไม่บอกกล่าวอันใดแม้สักนิดหรือกระทั้งทางออก ชีวิตนับล้านล้านบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างได้รับความเดือดร้อนจากเผ่าปีศาจบัดซบ!”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคือง
ลี่เอ๋อถอนหายใจเสียงยาวไม่หยุดหย่อน นางกล่าวว่า
“บนผืนพิภพแห่งนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มากคุณธรรมเปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบ ท่านเซียนเต๋าสวรรค์, ท่านอาวุโสฟางเทียน และพี่ใหญ่หยวน เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้ามองผู้คนด้อยค่าดั่งผักปลา แล้วมีหรือจะมาใส่ใจ? ไม่ว่ากี่ล้านชีวิต สำหรับพวกมันคงไม่มีค่าเท่ากับชีวิตของพวกมันแค่หนึ่งเดียว!”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เย่หยวนเองก็ผงกศีรษะยอมรับและคิดแบบนั้นเช่นกัน
อาจเป็นไปได้ว่า ในสายตายของพวกมัน ชีวิตของมวลมนุษย์เป็นแค่ผักปลาจริงๆ
แต่ทันใดนั้นเอง สีหน้าเย่หยวนพลันมืดลงโดยพลัน แรงกดดันศักดิ์สิทธิ์สุดข้นคลักเข้าโอบล้อมเขาไว้ทุกทิศทาง
“ฮิฮิ… ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้เจอพวกเจ้าจริงๆ! คู่แค้นย่อมไม่แคล้วกัน!”
พลันปรากฏร่างหนึ่งปราดเข้ามาขวางทางเย่หยวนไว้ทันควัน และนั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากจู่เก๋อฉิงซวนอย่างแม่นยำ!
เย่หยวนเค้นเสียงหึกล่าวตอบอย่างเมินเฉยว่า
“ก็แค่ครึ่งผีครึ่งคนที่ยังหายใจ!”
“เจ้าหนู รู้หรือไม่ว่าเจ้าได้ทำลายความพยายามถึงหนึ่งล้านปีเต็มของข้าจนป่นปี้? แล้วมีหรือที่พระเจ้าผู้นี้จะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ?”
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนมืดลงเล็กน้อยและกล่าวว่า
“จู่เก๋อฉิงซวนล่ะ? หรือตายไปแล้ว?”
“หึ! บิดาเจ้าเถอะ! คราวนี้ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเจ้าจะตายทรมานเพียงใด!”
ครานี้เปลี่ยนเป็นเสียงอันหยิ่งยโสของจู่เก๋อฉิงซวนที่แผดดังสนั่น
เย่หยวนกวาดสายตาจับจ้องอีกฝ่ายอย่างเฉยเมยและกล่าวเย้ยเยาะขึ้นว่า
“ดูท่าเจ้าจะไม่คิดลงมือเองอีกต่อไป? หุหุ,ความมั่นใจก่อนหน้าไม่ทราบว่าหายไปไหนหมดแล้ว? ถูกข้าตบเข้าไปทีถึงกับกลัวจนหัวหดเชียว!”
เย่หยวนทราบดีว่า จู่เก๋อฉิงซวนนิสัยสันดานเป็นอย่างไร แม้อีกฝ่ายจะทราบว่าเย่หยวนจะเจตนายั่วยุ แต่เขามักจะเดินติดกับดักเองเสมอ
ทว่าครั้งนี้เย่หยวนกลับคิดผิด!
จู่เก๋อฉิงซวนที่ได้ยินเช่นนั้นแค่เค้นเสียงเย็นเล็กน้อยและกล่าวว่า
“หึ! ข้าไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ขอเพียงได้เห็นเจ้าตายต่อหน้าต่อตาก็สุขใจยิ่งแล้ว! ยามใดที่เจ้าพลาด ข้าผู้นี้จะเป็นคนเหยียบซ้ำ!”
“ฮิฮิ… เจ้าหนู ข้าขอยอมรับเลย เจ้านี่มันน่าประทับใจจริงๆ! อ่านจุดอ่อนจุดแข็งรวมไปถึงบุคคลิกส่วนตัวของคู่ต่อสู้เฉียบขาด และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่น่าเสียดาย…ที่เจ้าดันมาเกิดผิดเวลา!”
เห็นได้ชัดเลยว่า ทั้งสองได้ปรับความเข้าใจกันมาแล้ว
ท้ายที่สุดนี้ เป้าหมายของทั้งสองคือการสังหารเย่หยวนและทั้งหมดมีเพียงแค่นั้น
จู่เก๋อฉิงซวนเองก็ตระหนักดีอยู่แก่ใจ หากให้มันลงมือเองเกรงว่าจะประสบความล้มเหลวเป็นคำรบสอง!
ด้วยความแกร่งกร้าวของมัน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถฆ่าเย่หยวนได้เลย!
เย่หยวนถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า
“เช่นนั้นก็ได้! ดูท่าวันนี้ ทุกอย่างคงไม่จบหากมิได้แลกเลือด!”
ทันทีที่กล่าวจบ เย่หยวนก็นำที่เหลือกลับเข้าสู่เจดีย์เลื่องสวรรค์ทันที
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ หลีกุยพลันหัวร่อเสียงเย็นพร้อมกล่าวว่า
“แลกเลือดเชียว? เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว! ด้วยขุมพลังความแกร่งกล้าของพระเจ้าผู้นี้ ขอยอมรับโดยสัตย์ว่ามิอาจต้านทานเสียงแห่งจอมเทพมังกรได้ ทว่าพลานุภาพที่ถูกปลดปล่อยจากเจ้าที่มีพลังแค่ระดับเก้า อย่างมากที่สุดคงสำแดงใช้ได้เพียงสามอึดใจจริงหรือไม่? ตราบใดที่พระเจ้าผู้นี้สามารถทนทานได้เกินสามอึดใจ เจ้าก็คงตายแล้ว!”
ครั้งล่าสุด เย่หยวนใช้ไปเพียงสองอึดใจ หลีกุยจึงสันนิฐานว่าขีดกำจัดของเย่หยวนอยู่ที่สามอึดใจ
แม้เสียงแห่งจอมเทพมังกรจะทรงอนุภาพยิ่ง ทว่าความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งสวรรค์เองก็ทรงพลังไม่ต่างกัน!
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเสียงแห่งจอมเทพมังกรเป็นวรยุทธที่ทรงอนุภาพทำลายล้าง ทว่าใครจะสามารถใช้ได้ตลอดรอดฝั่ง
เย่หยวนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ทว่ากลับหาได้สนใจวาจาคำกล่าวเหล่านั้นไม่ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมยว่า
“เช่นนั้นรึ? หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง พลังของเจ้าในปัจจุบันคงมีไม่ถึงหนึ่งจากสิบส่วนด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างไร แมตัวข้าในปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าคู่ เช่นนั้น…ก็ทำให้เข้าคู่ซะสิ้นเรื่อง!”
ทันทีที่กล่าวจบ พลังปราณทั้งหมดทั่วร่างกายของเย่หยวนพลันระเบิดคลั่งพรั่งพรูออกมาไท่หยุดหย่อน!
กระแสพลังปราณสร้างความปั่นปวนไปทั่วบริเวณ การระเบิดพลังของเย่หยวนได้ปลุกเร้าฟ้าดินทั้งเขตพระเจ้าต้องข้ามจนโกลาหลไปหมด ทั้งพายุโหมกระหน่ำกระแสวารีเชี่ยว มวลเมฆารอบม่านฟ้าแห่รวมกันจนเป็นหนึ่ง!
สีหน้าการแสดงออกของหลีกุยเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือโดยพลัน พลางอุทานลั่นด้วยความหวาดกลัวสุดขีดว่า
“นี่…นี่มันพลังระดับเก้าขั้นสมบูรณ์! อาณาจักรกึ่งพระเจ้า!”
ตอนที่1263 อาณาจักรกึ่งพระเจ้า!
สำหรับคนอื่นๆแล้ว พลังระดับเก้าขั้นสมบูรณ์กับอาณาจักรกึ่งพระเจ้าจะต้องแยกกัน ระหว่างสองระดับชั้นนี้ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ขวางกั้นอยู่
เพราะแม้ว่าพลังปราณและร่างกายจะสำเร็จถึงขั้นสมบูรณ์ได้ แต่นั้นยังไม่ใช่อาณาจักรกึ่งพระเจ้า
ขอบเขตจิตใจนับเป็นปราการด่านสำคัญที่ดับอนาคตอันสดใสของเหล่าอัจฉริยะมาแล้วนับไม่ถ้วน
ทว่าในกรณีของเย่หยวนกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง เขาสำเร็จขอบเขตจิตใจได้ก่อนเป็นอันดับแรก และตอนนี้เหลือเพียงพลังปราณเท่านั้นที่ยังไม่สมบูรณ์
แน่นอน เรื่องอาณาจักรพลังเองก็มิใช่เรื่องง่ายที่จะทะลวงฝ่า จากอาณาจักรราชันย์เทวะขั้นสุดสู่พลังขั้นสมบูรณ์กลับเป็นไปไม่ได้ที่จะกระโดดขึ้นมาในอึดใจ
แต่เย่หยวนสามารถทำได้
การปะทะก่อนหน้า เย่หยวนยังเป็นแค่เซียนอาณาจักรราชันย์เทวะขั้นสุด
พวกเขาทั้งสองฝ่ายเพิ่งแยกจากกันได้ไม่นาน ทว่าเย่หยวนกลับสามารถพัฒนาขึ้นอีกระดับได้แล้ว
ในส่วนนี้หลีกุยรู้สึกประหลาดใจอย่างมากจริงๆ
แม้ในยุคที่มันถือกำเนิดมา การจะเฟ้นหายอดอัจฉริยะระดับชั้นนี้เกรงว่า ยากยิ่งกว่าพลิกภูเขา ซึ่งตัวมันเองก็ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนเช่นกัน
“เจ้ายังรออันใดอีก? รีบใช้โอกาสที่มันกำลังก้าวข้ามขีดกำจัดนี้ฆ่ามันซะ!”
น้ำเสียงของจู่เก๋อฉิงซวนแผดดังสนั่นด้วยความร้อนใจเจือกังวลสุดขีด
“เจ้านี่มันรู้เรื่องรู้ราวอันใดบ้าง? คิดว่า อาณาจักรกึ่งพระเจ้าเป็นเรื่องตลกกระมัง? ยามที่ปัจจัยหลักทั้งสามอย่างพลังปราณ,ร่างกายและจิตวิญญาณบรรลุสู่ขั้นสมบูรณ์ ผู้นั้นจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรกึ่งพระเจ้าได้! หากฉวยโอกาสนี้ลอบสังหารมัน นั้นเท่ากับว่าเราต่อต้านสรวงสวรรค์! ศาสตร์ในกายาและดวงจิตของเราจจะดับสลายในบัดดล! ไม่สิ…เจ้าจะตายทันที ส่วนพระเจ้าผู้นี้คงต้องเสียเวลาหากายเนื้อใหม่สิงสู่!”
หลีกุยกล่าวเสียงเย็น
“หึ! ปรากฏว่าเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดมีดีแค่นี้? กระทั้งเด็กน้อยอาณาจักรกึ่งพระเจ้ายังไม่กล้าเผชิญหน้า!”
จู่เก๋อฉิงซวนกล่าวเย้ยเยาะ
“หากต้องการยั่วโทสะข้า นั้นกลับไร้ประโยชน์! หากเป็นเมื่อล้านปีก่อน มีหรือพระเจ้าผู้นี้จะเกรงกลัวเด็กน้อยระดับชั้นนี้? ทว่าปัจจุบัน… เหอะ เหอะ”
ความหมายในคำกล่าวของมันเห็นได้ชัดว่า ยามนี้ยังมิใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการสัประยุทธ์
แม้จู่เก๋อฉิงซวนจะเป็นพวกขี้กังวล แต่มันเองก็ทราบ ความเกลียดชังของหลีกุยที่มีต่อเย่หยวนมันมหาศาลเดือดดาลยิ่งกว่าตัวมันเองเสียอีก หาก ณ ขณะนี้หลีกุยสามารถเคลื่อนไหวได้จริง ป่านนี้คงปราดหน้าเข้าทะลวงอกเย่หยวนนานแล้ว
“เช่นนั้นพวกเราคงต้องรอจนกว่ามันจะก้าวข้ามขีดจำกัดเสร็จ?”
จู่เก๋อฉิงซวนกล่าวพร้อมสีหน้าสุดเคร่งขรึม
“แม้ว่าเจ้าเด็กนั้นจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรกึ่งพระเจ้าได้ แต่ศาสตร์แห่งสวรรค์ของมันยังเป็นแค่ขั้นที่สอง ถึงกายเนื้อของเจ้าจะอ่อนปวกเปียกไปเล็กน้อย แต่พระเจ้าผู้นี้ยังคงมั่นใจว่าสามารถจัดการได้แน่นอน!”
หลีกุยกล่าวประเมินสถานการณ์
ต่อหน้าวาจาคำกล่าวของหลีกุย จู่เก๋ฮฉิงซวนมิอาจปฏิเสธใดๆได้เลย หากเย่หยวนสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรกึ่งพระเจ้าได้ นั้นจะเท่ากับอีกฝ่ายเหนือชั้นกว่าตนทุกด้านแล้ว
แท้ที่จริง สามปัจจัยหลักอย่างพลังปราณ,ร่างกายและจิตวิญญาณของจู่เก๋อฉิงซวนเองก็ได้รับการฝึกฝนบ่มเพาะมาเป็นเวล้าเนินนาน เว้นเสียว่า ขอบเขตจิตใจของมันยังคงประสบความล้มเหลวในท้ายที่สุด และมิอาจบรรลุ‘อาณาจักรคนฟ้ารวมเป็นหนึ่ง’ได้เสียที
ความแตกต่างนี้มิใช่น้อยๆหากเทียบกับเย่หยวน
หลีกุยมิได้จงใจกล่าวเพื่อตบหน้าจู่เก๋อฉิงซวน เพียงกล่าวประเมินออกไปตามความจริงเท่านั้น
………………..
ในขณะนี้ ในที่สุดเย่หยวนก็ได้สัมผัสกับคำว่า‘คนฟ้ารวมเป็นหนึ่งที่แท้จริง’!
ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญนี้ ราวกับเย่หยวนสามารถสื่อจิตถึงสรวงสวรรค์ได้ก็มิปาน
พลังปราณ,ร่างกายและจิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์สอดผสานรวมกันเป็นเนื้อเดียว ความรู้สึกเช่นนี้เขาไม่เคยสำผัสมาก่อนเลย
“มนุษย์ถือกำเนิดจากผืนดิน ผืนดินถือกำเนิดจากสวรรค์ สวรรค์ถือกำเนิดจากเต๋า และเต๋าคือสรรพสิ่ง! อาณาจักรกึ่งพระเจ้า!”
เย่หยวนรู้สึกทรงพลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในชีวิตก่อนหน้า เย่หยวนได้สำเร็จถึงอาณาจักรราชันย์เทวะขั้นสุดมาก่อนเช่นกัน ทว่ายามนี้กลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
พลังปราณอันสมบูรณ์โคจรทั่วกายาไร้ทัดเทียม พร้อมขอบเขตจิตใจแห่งคนฟ้ารวมเป็นหนึ่ง ทั้งสามปัจจัยคล้ายทำนองสอดผสานกลายเป็นจังหวะที่สมบูรณ์แบบ
มิใช่ทางใดทางหนึ่ง แต่ทุกอย่างล้วนไร้ที่ติ!
ทันทีที่สำเร็จถึงระดับชั้นนี้ เย่หยวนก็ได้ค้นพบโลกอีกใบที่แตกต่าง!
ไม่แปลกใจเลยว่าไฉนฟางเทียนถึงสามารถเข้าสัประยุทธ์กับข่านนั่วได้อย่างสูสี
ความแข็งแกร่งนี้อยู่ภายใต้ขอบเขตอาณาจักรพระเจ้าเป็นที่เรียบร้อย
กระนั้นเอง เย่หยวนยังคงรู้สึกว่าตนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ
อาณาจักรพระเจ้าที่เย่หยวนบรรลุดกลับมิใช่อาณาจักรพระเจ้าที่สมบูรณ์!
ในยุคสมัยแรกๆ ยังไม่มีคำว่า อาณาจักรกึ่งพระเจ้าด้วยซ้ำ
ยามใดที่ขอบเขตแห่งจิตใจสามารถบรรลุสู่อาณาจักรคนฟ้ารวมเป็นหนึ่งได้ ผู้นั้นจะสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้โดยตรง!
เพราะนี่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการก้าวขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า!
ขอเพียงขอบเขตแห่งจิตใจบรรลุถึงคนฟ้ารวมเป็นหนึ่ง เรื่องพลังปราณและร่างกายย่อมมองข้ามผ่านไปได้ เพราะในระหว่างการก้าวข้ามขีดจำกัดสู่ระดับชั้นนี้ ศาสตร์แห่งสวรรค์จะหลั่งไหลเข้าสู่กายาจนสามารถทำให้พลังปราณและร่างกายเพิ่มระดับได้เองโดยตรง
แต่เมื่อเย่หยวนมาถึงขั้นตอนนี้กลับต้องพบว่า เขาไม่สามารถสัมผัสถึงอะไรได้เลย!
มิใช่สูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง แต่เมื่อเอื้อมไปแล้วกลับไม่มีอะไรเลย!
ความรู้สึกแย่ชนิดนี้คล้ายคนที่พยายามอย่างหนักแต่กลับมิได้อะไรตอบแทนเลย
ศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสิ้นไปแล้วจริงๆ!
ไม่เหลืออยู่เลย!
ในที่สุดเย่หยวนก็เข้าใจความรู้สึกของฟางเทียนแล้ว
ความรู้สึกดั่งว่า ความสำเร็จอยู่เพียงเอื้อมมือแท้ๆ แต่ความเป็นจริงกลับไม่มีอะไรอยู่เลย
สิ่งนี้แทบทำให้ผู้คนเป็นบ้า!
“ฮิฮิ ความรู้สึกที่ว่าอยากจะก้าวข้ามเพียงใด แต่กลับไม่สามารถทำได้ คงทรมานใจแย่?”
หลีกุยที่เฝ้ามองอยู่ไม่ใกล้ไกลเอ่ยปากกล่าถากถาง
เย่หยวนสาดสายตาใส่อีกฝ่ายอย่างไม่แยแสและกล่าวว่า
“มิใช่ว่าเจ้ารู้สึกแย่กว่าข้า? เคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดแท้ๆ แต่กลับต้องมาตายโดยเด็กน้อยอาณาจักรกึ่งพระเจ้า?”
สีหน้าการแสดงออกของหลีกุยเปลี่ยนไปทันที มันเค้นเสียงเย็นกล่าวว่า
“ฝีปากเฉียบคมดี! เจ้าทำลายความพยายามของข้านับล้านปีเต็ม หนี้เลือดคราวนี้จำต้องล้างด้วยเลือดเจ้า!”
หลีกุยทรงพลังไร้เทียมทานยิ่งในกลาอดีต แต่ยามนี้กลับถูกเด็กน้อยอาณาจักรกึ่งพระเจ้ากล่าวดเยาะเย้ยดูถูกเล่น แล้วมันจะไม่พิโรธเดือดดาลได้อย่างไร?
ความรู้สึกหดหู่ใจชนิดนี้ นับว่าเป็นความอัปยศยิ่งสำหรับตัวมันแล้ว
นี่ยังไม่รวมถึงความพยายามนับล้านปีเต็มของมันที่ถูกทำลายลงอย่างไม่เป็นท่า
“เข้ามา ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่า เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดจะมีดีสักกี่น้ำ!”
เย่หยวนกล่าวเย้ยพร้อมสีหน้าสุดหยามเหยียด
ในที่สุด เพลิงพิโรธของหลีกุยพลันโหมปะทุคลั่งถึงขีดสุด!
สีหน้าของมันเย็นสะท้านจับใจในบัดดล บริเวณโดยรอบปรากฏเสียงกรีดร้องครวญครวงระงมลั่น คล้ายเสียงภูตผีวิญญาณหอนสุดน่าสยดสยอง
ทันทีทันใด ผีร้ายจจำนวนนับไม่ถ้วนนับเผยกายขึ้นทั่วแผ่นฟ้า และปราดพุ่งโจมตีเย่หยวนในทันใด
“ร้อยวิญญาณตรึงจิต!”
กระบวนโจมตีนี้กอปรไปด้วยพลังปราณและศาสตร์แห่งผีสุดน่าสะพรึง มิใช่เพียงเข้าโจมตีทางกายภาพเท่านั้น กระทั้งทางด้านจิตวิญญาณเองยังส่งผลถึงขั้นสาหัส!
ด้วยขอบเขตความเข้าใจของหลีกุย อนุภาพของกระบวนโจมตีนี้จึงมิอาจประเมินได้
อย่างไรก็แล้วแต่ สีหน้าของเย่หยวนกลับนิ่งสงบหาได้แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย มือหนึ่งตวัดเรียกดาบพิชิตมารฟ้าออกมา พร้อมปลดปล่อยจิตสังหารแห่งดาบบริสุทธิ์พุ่งปราดสารทิศออกไป เพื่อกำจัดผีร้ายทั้งมวล
“วิถีดาบสารทิศ!”
ลำแสงเพลงดาบจรัสเฉิดฉายเหนือฟ้าน่านนภาไพศาล!
กระบวนเพลงดาบนี้ของเย่หยวนผสานรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน มันเข้าปราบปราดเหล่าผีร้ายในทันที!
เย่หยวนที่สำแดงใช้วิถีดาบสารทิศด้วยขุมพลังแห่งอาณาจักรกึ่งพระเจ้า พลานุภาพการทำลายล้างที่ปลดปล่อยออกมา มิอาจทราบได้เลยนว่าทรงพลังกว่าก่อนหน้าไม่รู้กี่ขุม!
อย่างน้อยที่สุดนี้ เพียงสิบอึดใจเหล่าผีร้ายทั้งหมดก็ถูกกำจัดไปโดยสิ้นซาก
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ สีหน้าการแสดงออกของหลีกุยเปลี่ยนไปอย่างอดมิได้
เขาทราบดีถึงเพลงดาบของเย่หยวน และเป้าหมายของเขาที่ปลดปล่อยกระบวนโจมตีนี้ไปคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หาใช่สร้างความเสียตายทางกายภาพ
แต่…ดูเหมือนว่าเย่หยวนยังคงสมบูรณ์แข็งแรงดี ราวกับเขามีภูมิคุ้มกันต่อการโจมตีทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แกร่งกล้ายยิ่ง!
“นี่เพิ่งเริ่มเท่านั้น หากยังมีอะไรดีก็จงแสดงออกมา!”
เย่หยวนกู่คำรามเสียงเย็นสะท้าน
หาใช่ว่าเขาไม่รู้ หลีกุยจงใจเบี่ยงความสนใจไปยังผีร้ายเหล่านั้น และลอบจู่โจมด้วยการโจมตีทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่สำหรับการโจมตีประเภทนี้ มันไม่มีผลอันใดต่อเย่หยวนอยู่แล้ว
ทั้งการป้องกันสัมบูรณ์ ทั้งไข่มุกสยบวิญญาณ ไม่ว่าการโจมตีทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะแกร่งกล้าทรงพลังเพียงใด แต่มันกลับเป็นเพียงเสือกระดาษเท่านั้น
“หึ! ไอ้เซียนเต๋าสวรรค์บัดซบนั้น เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอดูหน่อยเสีย ผู้สืบทอดของมันจะต่อกระบวนมารล่าสังหารของข้าได้หรือไม่!”
หลีกุยคลี่ยิ้มบาง คลื่นพลังจิตวิญญาณโหบยักษ์โหมกระหน่ำถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน กระทั้งฟ้าดินยังเปลี่ยนสีสุดวิปลาสเพราะสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียว!
ตอนที่1264 มิใช่คู่มือโดยสิ้นเชิง!
ศึกสัประยุทธ์ครั้งใหญ่ของนักสู้เผ่ามนุษย์ทั้งสอง ได้กระตุ้นความสนใจจจากเหล่าสิ่งมีชีวิตลี้ลับภายในเขตพระเจ้าต้องห้ามกันยกใหญ่
แน่นอน ศึกสัประยุทธ์ในระดับชั้นแค่นี้กลับไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใดสำหรับพวกเขาเหล่านี้
นี่เป็นแค่เรื่องเด็กน้อยทะเลาะกันเท่านั้น!
เมื่อสองพ่อลูกเห็นหลีกุยสำแดงเดชสุดฤทธิ์ คนเป็นพ่อก็กล่าวขึ้นว่า
“ขอบเขตความเข้าใจก็ไม่เลว แต่เพียงว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของเขาคือเส้นทางที่ฝึกปรือกลับเป็นศาสตร์แห่งผี ศาสตร์แขนงนี้โดดเด่นเรื่องการโจมตีทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทว่าต่อหน้าไข่มุกสยบวิญญาณนี้ นั้นเท่ากับแสดงเศษเสี้ยวทักษะต่อหน้ายอดฝีมือโดยแท้ รนหาที่ตายแล้วกระมัง?”
“ไข่มุกสยบวิญญาณช่างน่าสะพรึงขวัญยิ่ง! ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พฤกษาวิญญาณมรณะกดดันพฤกษาคุนหวูอย่างหนักโดยไม่มิอาจตอบโต้ใดๆได้เลย แต่นึกไม่ถึงมันกลับถูกบดขยี้โดยตรง”
คนเป็นลูกกล่าว
“หลังจากที่กลืนกินวิญญาณของพฤกษาวิญญาณมรณะไป ไข่มุกสยบวิญญาณก็ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนั้นยังไม่รู้ตัว ไปเถอะ,ไม่มีอะไรสนุกๆให้ดูแล้ว อีกไม่นาน คนที่ฝึกปรือศาสตร์แห่งผีก็ตายแล้ว”
คนเป็นพ่อกล่าว
………………….
ณ หุบเขาลึกอันแสนเงียบสงบอีกแห่งหนึ่ง
ทันทีทันใด ปรากฏสุ้มเสียงเย้ยเยาะดังสนั่นจากส่วนลึก
“ก็แค่ตัวตลกโลดเต้นไปมา! หากมีความสามารถจริงจงแสดงตัวออกมา!”
………………………………
บนยอดเขาสีเขียวขจีงดงามแห่งหนึ่ง
บรรยากาศโดยรอบของสถานที่แห่งนี้แตกต่างไปจากลุ่มแม่น้ำมรณะโดยสิ้นเชิง แทนที่จะเป็นสถานที่เปล่าเปลี่ยวไร้ชีวิต ในทางตรงกันข้าม ที่แห่งนี้เปี่ยมไปด้วยบุปผาพฤกษางดงามมากมาย ทัศนียภาพสดใสคล้ายสรวงสวรรค์บนดิน หลากหลายชีวิตดำรงอาศัยอย่างสันติสงบ
ใจกลางสถานที่แห่งนี้มีต้นไม้ขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ สิ่งนี้ราวกับเป็นขั้วตรงข้ามของพฤกษาวิญญาณมรณะ มันเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต
เยาวชนหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งแกว่งเท้าไปมาอย่างสบายใจบนยอดไม้คล้ายกำลังสังเกตการณ์จากระยะไกล
“โอ้…น่าสนใจไม่น้อย สำแดงใช้ศาสตร์แห่งผีต่อหน้าไข่มุกสยบวิญญาณ ช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา! อย่างไรก็ตามแต่…ไข่มุกสยบวิญญาณนั้นได้ตื่นขึ้นอีกครั้งแล้ว ดูท่าจะได้ยาบำรุงชั้นเยี่ยม!”
เยาวชนหนุ่มคนนั้นกล่าวขึ้น
“ดูท่ามนุษย์คนนั้นจะต้องการมาหาเราที่นี่”
ต้นไม้ขนาดยักษ์จู่ๆพลันเปล่งเสียงดังออกมา
“เจ้าทราบได้อย่างไร? ครอบครองทั้งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ ทั้งไข่มุกสยบวิญญาณ ข้าหวังเหลือเกินว่า เจ้าเด็กคนนี้จะสามารถช่วยดินแดนพฤกษานิรันดร์ให้รอดพ้นจากการล้มสลายได้หรือไม่!”
เยาวชนหนุ่มกล่าวขึ้น
“นั้นเป็นไปไม่ได้! ประตูผนึกอาณาจักรหาใช่เรื่องง่ายที่จะเปิดออกไม่!”
ต้นไม้ยักษ์กล่าวตอบ
“เจ้าแน่ใจ? เช่นนั้นข้าขอเดิมพันกับเด็กคนนี้!”
เยาวชนหนุ่มคนนี้กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
………………………..
เมื่อหลีกุยสำแดงเดชไปเกือบครึ่งกระบวน มันก็พลันสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดแปลกออกไป
กระบวนมารล่าสังหารเป็นสุดยอดการโจมตีทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของหลีกุย หากย้อนกลับไป กระทั้งเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดด้วยกัน ยังไม่สามารถต้านทานได้ไหว
ผู้ที่สามารถปราบปรามมันได้ในยุคนั้นมีเพียงเซียนเต๋าสวรรค์คนเดียว
ดังนั้นหลีกุยจึงคิดว่า หากตนเปลี่ยนกลายเป็นมารปีศาจอมตะได้และใช้สำแดงใช้กระบวนโจมตีนี้ แม้แต่เซียนเต๋าสวรรค์เองก็มิใช่คู่มือแน่นอน
เพียงว่แผนการของหลีกุยวางไว้ยาวนานเกินไป อีกหนึ่งล้านปีต่อมา ศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสิ้นไปแล้ว และมันก็ไม่สามารถกลับขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้อีก
สิ่งที่น่าระทมใจที่ยิ่งกว่าคือ กลับมีเด็กไม่ทราบหัวนอนปลายตีนเข้ามาทำลายแผนการทั้งหมดจนล้มเหลวไม่เป็นท่า
ถึงกระนั้นเอง กระบวนมารล่าสังหารนี้ยังคงทรงพลานุภาพอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ตอนนี้หลีกุยเพิ่งตระหนักรู้ตัว ไม่ว่ามันจะปลดปล่อยพลังวิญญาณออกไปเท่าใด นั้นกลับไม่สามารถทำอะไรเย่หยวนได้เลย
เสมือนหลีกุยกำลังเทน้ำลงบนผืนทรายที่ไม่มีวันเต็ม!
ในทางตรงข้าม พลังวิญญาณเหล่านั้นของมันยังถูกเย่หยวนดูดกลืนไม่หยุดหย่อนอย่างบ้าคลั่ง
เย่หยวนในยามนี้ตรวจพบความผิดปกติจากไข่มุกสยบวิญญาณได้แล้วอย่างชัดแจ้ง แต่เดิมมันจะไม่เคลื่อนไหวใดๆจนกว่าจะวิกฤตจริงๆ
แต่ตอนนี้ยังไม่ทันที่เย่หยวนจะได้ทำอะไร กลับเป็นไข่มุกสยบวิญญาณนี้ที่ลงมือแทนเสร็จสรรพ!
สีหน้าของหลีกุยบิดเบี้ยวชวนสยองขึ้นหลายส่วน แต่มันจำต้องหน้าซีดหน้าเมื่อค้นพบว่า มันไม่สามารถถอนพลังวิญญาณที่ไหลบ่าออกไปได้ ขณะนี้กลับกลายเป็นว่า มันถูกสูบพลังวิญญาณออกไปแทน
พลังจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของมันคล้านน้ำป่าไหลลากเข้าสู่ทะเลแห่งจิตใจของเย่หยวนอย่างต่อเนื่อง
“เย่หยวน เจ้า…เจ้าทำอะไรลงไป! ไฉน…ไฉนข้าถึงควบคุมพลังไม่ได้!?”
สีหน้าของหลีกุยดูตื่นตระหนกสุดขีด พินิจจากสุ้มเสียงที่เอ่ยลั่นนี้คล้ายต้องการจะร่ำไห้
หลีกุยถือเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนนี้กลับจนปัญญาและไม่ทราบเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เย่หยวนยักไหล่และกล่าวว่า
“แล้วข้าจะรู้ไหม? ข้ายังไม่ทันทำอะไรเลย!”
เย่หยวนยังไม่ได้ทำอะไรจริงๆ แต่มีหรือที่หลีกุยจะเชื่อ?
เพราะเย่หยวนกล่าวออกไปเช่นนี้ หลีกุยก็ยิ่งรู้สึกโศกเศร้าหนักกว่าเก่า
มันทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้นและร้องคร่ำครวญโหยหวนไม่หยุด
“นายท่านเย่! โปรด…โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด! ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง! นายท่านโปรดให้อภัย! ข้า…ข้าจะไม่หาเรื่องท่านอีกต่อไปในอนาคต! ยามนี้ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว โปรดเมตตาให้ข้าได้เริ่มต้นใหม่!”
ต่อหน้าพลังดูดกลืนวิญญาณนี้ มันไร้ซึ่งพลังอำนาจโดยสมบูรณ์
ไม่ว่ามันจะพยายามระดมใช้ศาสตร์แห่งสวรรค์ออกมาเพียงใด แต่หลีกุยก็ไม่สามารถหลุดพ้นออกจากพลังดูดกลืนอันบ้าคลั่งนี้ได้
หลี่กุยเตรียมใจตายไว้แล้วในที่สุด พลางคิดเจ็บใจกับตัวเองว่า ตนดันโง่เง่าไปยั่วยุสัตว์ประหลาดชนิดนี้ได้อย่างไร?!
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างไร้หนทางช่วย
“มิใช่ว่าข้าไม่ต้องการช่วย แต่ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย!”
ไข่มุกสยบวิญญาณกลับมิใช่สิ่งที่เขาจะสามารถควบคุมได้ดั่งใจนึก ทุกครั้งที่มันเคลื่อนไหว ไข่มุกสยบวิญญาณล้วนลงมือตามใจเสมอ
และครั้งนี้เองก็เช่นกัน
วูบบ… วูบบบ
พลังดูดกลืนยิ่งโหมทวีรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของหลีกุยพลันหลุดลอยออกจากร่างจู่เก๋อฉิงซวนไป มันแปรสภาพกลายเป็นพลังวิญญาณกลุ่มก้อนใหญ่และถูกดูดลงไปในทะเลแห่งจิตใจของเย่หยวนโดยตรง
ทั่วทั้งร่างของจู่เก๋ฮฉิงซวนสั่นกระตุกอย่างแรงคล้ายสายฟ้าฟาดพร้อมได้สติขึ้น ตอนนี้เจ้าของเดิมได้หวนกลับคืนมาแล้ว สีหน้าของจู่เก๋อฉิงซวนซีดเซียวหนัก
หากปราศจากหลีกุย มันเองก็ไร้ซึ่งความหวังใดอีกต่อไป
ปัจจุบัน หากต้องเข้าเผชิญกับเย่หยวนจริงๆ มันกลับไม่มีพลังอำนาจใดไปตอบโต้ได้เลย
“ยะ-เย่…เย่หยวน ข้า…ข้า…”
จู่เก๋อฉิงซวนสีหน้าซีดขาว มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าภาพฉากนี้จำต้องเกิดขึ้นกับมันจริงๆ
ในมุมมองของมัน ว่าเย่หยวนจะแกร่งกล้าเพียงใด แต่หลังผ่านศึกใหญ่กับหลีกุย คงแทบไม่หลงเหลือพลังแล้ว
แต่ใครจะไปทราบ หลีกุยกลับถูกกำจัดทิ้งในเสี้ยวพริบตาเดียว
ถึงตอนนี้สิทธิ์การควบคุมร่างกายจะตกมาเป็นของมันโดยชอบธรรมดังเดิม แต่มันหาได้มีความสุขไม่แม้แต่น้อย!
เย่หยวนก้มมองอีกฝ่ายและกล่าวว่า
“อย่างไร? เจ้าต้องการให้ข้าไว้ชีวิตเจ้า?”
จู่เก๋ฮฉิงซวนผงะเล็กน้อย ก่อนพยักศีรษะตอบอย่างสิ้นหวัง
แต่เย่หยวนกลับเอ่ยตอบอย่างเย้ยหยันว่า
“แค้นนี้มิอาจแก้ปม! เจ้ามันไร้ยางอายเกินไป ปล่อยให้มวลมนุษย์เผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจโดยลำพัง ส่วนตัวเองกลับลี้ภัยใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ดังนั้นแล้วนายน้อยผู้นี้มิอาจยกโทษได้! ราคาที่เจ้าต้องจ่ายคือชีวิตของเจ้า!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของจู่เก๋อฉิงซวนยิ่งซีดขาวหนักด้วยความกลัว
แต่ทันใดนั้น มันพลันเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและกู่คำรามลั่นอย่างบ้าคลั่งว่า
“ช่างน่าขัน! เย่หยวน เจ้าคงไม่คิดว่าตนเป็นวีรบุรุษจริงๆ? คงทราบใช่หรือไม่ว่า ข่านนั่วแกร่งกล้าเพียงใด? ในกาลอดีต มันเคยเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า! อย่างเจ้าจะไปเข้าคู่ได้อย่างไร?!”
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างเฉยเมยว่า
“มิเช่นนั้นข้าจะเดินทางมายังหุบเขาเหวพระเจ้าเพื่ออันใด?”
“เจ้าคิดจริงๆหรือว่าจะกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้? ฮ่าฮ่าฮ่า…ไร้สาระสิ้นดี! ไร้สาระยิ่งกว่าบอกว่าเจ้าสามารถสังหารข่านนั่วได้!”
จู่เก๋อฉิงซวนระเบิดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งไม่รู้จบ
เย่หยวนเบะปากเล็กน้อยและกล่าวตอกไปว่า
“นั้นมิใช่สิ่งที่เจ้าควรกังวล ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เจ้ากลับไม่มีโอกาสได้เห็นอีกต่อไป”
พอสิ้นเสียง เย่หยวนปลดปล่อยวิถีดาบสารทิศเข้าประหารทันที!
อาณาจักรกึ่งพระเจ้าของเย่หยวนในปัจจุบัน ยามสำแดงเดชกลับไม่สามารถพรรณนาถึงความแกร่งกล้าได้ในอึดใจเดียว
จู่เก๋อฉิงซวนก้มสายตาเข้าจับจ้องสะท้อนแววอำมหิต มันคำรามสุดเสียงลั่น
“บิดาเจ้าเถอะ! เช่นนั้นข้าขอสู้ตาย! ดัชนีเทพเลิศล้ำ!”
ก่อนที่เย่หยวนจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรกึ่งพระเจ้า จู่เก๋อฉิงซวนก็หาใช่คู่มือของเขาอีกต่อไป
ยิ่งในปัจจุบัน มีหรือที่จู่เก๋อฉิงซวนจะสามารถต่อกรได้?
แสงดาบสีครามบริสุทธิ์ถูกปลดปล่อย พร้อมสะบั้นผ่าสรรพสิ่งที่ขวางกั้น
แม้แต่ร่างของจู่เก๋อฉิงซวน แสงดาบนี้ยังตัดผ่านไปได้อย่างไม่ยากเย็น มันถูกฆ่าตายในบัดดล
ณ ขณะนี้ จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์ผู้ผงาดง้ำอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์มานับสองพันปี
ปัจจุบัน…ได้ล่วงลับเป็นที่เรียบร้อย!
ตอนที่1265 พฤกษาแห่งพิภพ
“เย่ชิง เจ้าสัมผัสถึงพฤกษาคุนหวูได้หรือไม่?”
“อืมมม… ทิศเบื้องหน้าพวกเรา ข้าสัมผัสได้ถึงพลังธาตุพฤกษาอันทรงพลังได้อย่างชัดเจน ดูท่าอีกฝ่ายจะจงใจปลดปล่อยกลิ่นอายเพื่อนำทางพวกเรา”
เย่หยวนตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินและกล่าวตอบเจือเสียงประหลาดใจว่า
“จงใจนำทางพวกเรา?”
เย่ชิงพยักหน้า
“พลังธาตุพฤกษานี้ทั้งเข้มข้นและแข็งแกร่งยิ่ง หากอีกฝ่ายปลดปล่อยพลังขนาดนี้ออกมาตั้งแต่แรก ข้าคงสัมผัสได้นานแล้ว ดูเหมือนว่า…พฤกษาคุนหวูเองก็ทราบถึงจุดประสงค์ของพวกเราเช่นกัน ยามนี้นอกเหนือจากพฤกษาคุนหวู ข้ากลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตอื่นเลย”
เย่หยวนพยักหน้าตอบและหาได้เผยสีหน้าประหลาดใจอันใดอีก
หากกล่าวถึงพฤกษาวิญญาณมรณะ เย่หยวนไม่สามารถต่อกรได้เลยแม้แต่น้อย
เย่ชิงเป็นผู้ที่สัมผัสถึงพลังธาตุพฤกษาได้ไวที่สุด เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาดที่ไม่จำเป็น เย่หยวนจึงให้เย่ชิงเป็นคนนำทางต่อไป
ไม่นานนัก เย่ชิงก็สัมผัสได้ถึงพลังธาตุพฤกษาสุดแรงกล้า
“พี่ใหญ่ ข้าสงสัยว่าพฤกษาคุนหวูนี่….จะเป็นมิตรหรือศัตรูกัน!”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้น
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู เราก็จำต้องเดินหน้าต่อไป”
………………………………
ภายใต้แกนนำอย่างเย่ชิง ไม่นานพวกเขาก็เดินทางเข้าสู่เขตหุบเขาในไม่ช้า
เหนือยอดเขาอุดมขจี มีต้นไม้ขนาดยักษ์สูงใหญ่แสนองอาจตระหง่านเสียดเมฆาฟ้า
ลำต้นของต้นไม้ยักษ์นี้เสมือนกับเสาหลักค้ำยันสรวงสวรรค์ทั้งมวล ต่อให้เกณฑ์คนนับพันหมื่นก็ไม่สามารถโอบล้อมมันได้มิด
พลังแห่งชีวิตหอบเย็นสดชื่นพัดผ่านสัมผัสกายาของเย่หยวนและพรรคพวกที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พวกเขาพลันรู้สึกผ่อนคลายเริงรมณ์สุดพรรณนาไม่
“นี่น่ะรึ…พฤกษาคุนหวู? ช่างน่ามหัศจรรย์นัก!”
อิ้งหมัวหู่อุทานขึ้นพลางถอนหายใจด้วยความชื่นชม
“มีคำเลื่องลือสืบต่อกันมาว่า พฤกษาคุนหวูเป็นแหล่งกำเนิดแห่งพลังธาตุพฤกษาทั้งมวลบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ กล่าวได้ว่า นี่คือพฤกษาแห่งพิภพที่กอปรไปด้วยศาสตร์แห่งสวรรค์ ดังนั้นแล้วภายในสูตรโอสถท้าทายสวรรค์ของข้า พฤกษาคุนหวูคือส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด ในเมื่อศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสิ้นไปแล้วในปัจจุบัน เช่นนั้นข้าก็จะปลูกถ่ายศาสตร์แห่งสวรรค์จากพฤกษาคุนหวูเข้าสู่ร่างกายของข้าโดยตรง!”
เบื้องลึกในแววตาคู่นั้นของเย่หยวนส่องประกายวิบวับจรัสงาม ทั่วทั้งใบหน้าเผยให้เห็นถึงความหวัง
แต่คำกล่าวนี้ของเย่หยวนทำให้ทุกคนตื่นตกใจสุดขีด โดยเฉพาะกับซือโปเทียน ยักษ์หินที่เคยดำรงอยู่ในยุคสมัยที่ศาสตร์แห่งสวรรค์เฟื่องฟู ขอบเขตความเข้าใจของมันต่อศาสตร์แห่งสวรรค์ย่อมกว้างใหญ่กว่านักสู้อาณาจักรเต๋าลึกล้ำโดยธรรมชาติ
การที่เย่หยวนพยายามปลูกถ่ายศาสตร์แห่งสวรรค์เข้ากับตัวเอง ไม่ต่างอะไรกับการระเบิดตัวตายเลย!
แผนการเช่นนี้ช่างบ้าบิ่นเกินไป! เสียสติเกินไป! และเพ้อฝันจนเกินไป!
แต่หากพินิจให้ถี่ถ้วน พวกเขาก็อดชื่นชมในความกล้าคิดกล้าทำของเย่หยวนมิได้
เหล่านักสู้ทุกคนต่างบ่มเพาะฝึกปรือตามลู่ทางในกรอบ และยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถทำลายกรอบนี้ได้เลย
ณ จุดนี้ได้รับการพิสูจน์มาแล้วกว่าหนึ่งแสนปี
ยังมีใครอีกหลายคนที่ทรงพลังทัดเทียมกับฟางเทียน ทว่าพวกเขาเหล่านั้นเองก็ไม่สามารถกระชากโซ่ตรวนแห่งความเป็นไปไม่ได้ทิ้งไปได้
แต่เย่หยวนเป็นคนแรกที่สรรสร้างวิธีการโดยการนำศาสตร์แห่งโอสถเข้ามาประยุกต์ใช้ คล้ายการนำหัวเชื้อมาปลูกถ่ายในร่างกายเพื่อผลิตศาสตร์แห่งสวรรค์ขึ้นมาเอง นี่เป็นความคิดที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
“ฮ่าฮ่า… ปลูกถ่ายศาสตร์แห่งสวรรค์เข้าร่างกาย! สมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดของจอมเทพนิรันดร์! ความคิดบ้าระห่ำเช่นนี้กระทั้งสรวงสวรรค์ยังต้องสะท้าน!”
สุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน นั่นทำให้ทุกคนตื่นตกใจยิ่ง
ทันทีทันใดเย่หยวนและที่เหลือเร่งหันควับมองตาม วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันพล่าเบลอหนัก ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางห้วงแห่งความว่างเปล่า
แต่เมื่อพวกเย่หยวนรู้สึกตัวอีกที พวกเขาทั้งหมดรวมถึงร่างนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนยอดต้นไม้เสียแล้ว
ร่างที่ปรากฏกายขึ้นเป็นชายหนุ่มท่าทางเป็นมิตร เขาจับจ้องเย่หยวนพร้อมรอยยิ้มกว้างคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ปลายคิ้วเย่หยวนกระตุกเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ท่านคือพฤกษาคุนหวู?”
ชายหนุ่มขยับขยายสายตาจับจ้องเย่หยวนมากขึ้น ดูท่าเขาจะสนใจในตัวเย่หยวนมากจริงๆ
แต่ชายหนุ่มกลับเมินคำถามของเย่หยวนและกล่าวขึ้นว่า
“เจ้านี่มันสุดยอดไปเลย! เหมาะสมยิ่งแล้วที่เป็นผู้สืบทอดของตาแก่จอมเทพนิรันดร์นั่น! แม้ความคิดนี้จะฟังดูบ้า แต่จริงๆแล้ว มันอาจเป็นวิธีเดียวที่สามารถทำลายโซ่ตรวนได้!”
แววตาพลันไสวประกายขึ้นโดยพลัน เย่หยวนกล่าวถามต่อในทันที
“ท่านอาวุโสเองก็คิดว่าวิธีนี้ได้ผล?”
“ถูกต้อง! ณ ปัจจุบัน ศาสตร์แห่งสวรรค์สูญสิ้นไม่เหลือ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ไม่สามารถหยุดการเสื่อมถอยของศาสตร์แห่งสวรรค์ได้ แต่การจะสร้างโอสถที่มีคุณสมบัติเช่นนั้น เรื่องนี้กลับไม่เคยมีใครคิดได้มาก่อน ในเมื่อไม่สามารถหยุดการเสื่อมถอยของศาสตร์แห่งสวรรค์ได้ เช่นนั้นก็สร้างขึ้นใหม่ในร่างกาย นี่อาจเป็นวิธีเดียวที่เหลืออยู่เพื่อทำลายโซ่ตรวนนั้นลง! เราผู้นี้ขอยอมรับ เจ้าช่างอัจฉริยะยิ่งนัก!”
ชายหนุ่มกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจหลากอารมณ์
เมื่อเย่หยวนได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่ง
หลังจากที่เขาเริ่มเข้าใจดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เย่หยวนก็เริ่มมีความมั่นใจยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของโอสถท้าทายสวรรค์
ในเมื่อไม่มีศาสตร์แห่งสวรรค์หลงเหลืออยู่แล้ว ก็สู้ผลิตขึ้นใหม่เองเลย!
ใช้ร่างกายของเขาเป็นแหล่งกำเนิด ไม่เพียงจะมีศาสตร์แห่งสวรรค์อยู่ติดกายตลอด แต่เขาจะเป็นคนเดียวที่มี!
ศาสตร์แห่งสวรรค์ที่เย่หยวนต้องการไม่จำเป็นต้องเป็นศาสตร์แห่งสวรรค์ที่สมบูรณ์แบบอันใดนัก
ขอเพียงสิ่งนี้สามารถทำให้เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว!
ในชีวิตก่อนหน้า แผนการเรื่องโอสถท้าทายสวรรค์ยังค่อนข้างคลุมเครือเกินไป แต่เพราะเขาที่พึ่งพาศาสตร์แห่งโอสถอันแกร่งกล้าของตน จึงสามารถวิเคราะห์ความเป็นไปได้เหล่านี้ด้วยทฤษฎี ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับแค่ผิวเผินเท่านั้น
แต่เดิม สมุนไพรวิญญาณอายุหนึ่งล้านปีที่จำเป็นต่อสูตรโอสถท้าทายสวรรค์มิได้มีแค่เก้าชนิดอย่างที่เห็น เย่หยวนจำต้องทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกกว่าจะคัดสรรจนเหลือเพียงเก้าชนิด
หากกล่าวถึงความเป็นไปได้ แผนการนี้กลับค่อนข้างดูเกินจริงไร้สาระ ทว่าหากกล่าวตามทฤษฎีแล้ว เมื่อสมุนไพรวิญญาณทั้งเก้าชนิดนี้รวมกัน นั้นจะก่อให้เกิดผลลัพธ์สุดหยั่งถึง!
ในช่วงชีวิตนี้ ความเข้าใจของเย่หยวนต่อศาสตร์แห่งสวรรค์ลึกล้ำจนกาลอดีตของตัวเองเทียบไม่ติด ผนวกกับศาสตร์แห่งสวรรค์จากบัญญัติแห่งจอมโอสถที่ตนเริ่มเข้าใจมากขึ้นอย่างถ่องแท้ ยามนี้ตัวเขามีแต่จะมั่นใจมากขึ้นและมากยิ่งขึ้น
ในส่วนของขั้นตอนการหลอมกลั่นเอง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่ามั่นใจเพียงใด
ดังนั้นแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่เย่หยวนตัดสินใจเดินทางเข้าสู่หุบเขาเหวพระเจ้าเพื่อเสาะหาส่วนประกอบชนิดสุดท้าย บุปผาคุนหวู
“ความหมายของท่านอาวุโสคือ…โอสถท้าทายสวรรค์ที่ข้าคิดค้นสามารถทำลายโซ่ตรวนสู่อาณาจักรพระเจ้าได้?”
เย่หยวนอดใจเอ่ยถามมิได้
ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มและกล่าวว่า
“หุหุ ข้ามิได้กล่าวแบบนั้น ไม่ว่าเจ้าจะสามารถทำลายโซ่ตรวนนั้นได้หรือไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตา แม้จะเป็นตาแก่จอมเทพนิรันดร์นั่นอาสาทดลองด้วยตัวเอง ข้าก็ไม่กล้ารับประกันเช่นกันว่า เขาจะประสบความสำเร็จ ข้ากล่าวได้เพียงว่า…มีความเป็นไปได้!”
ทั่วทั้งร่างของเย่หยวนสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวของชายหนุ่มตรงหน้า
บุคคลที่อยู่ต่อหน้าต่อตาเย่หยวนผู้นี้ คือการดำรงอยู่ที่เหนือชั้นไปกว่าอาณาจักรพระเจ้าไปแล้วแน่นอน
ทว่า…แม้แต่เขาผู้นี้ยังไม่กล้ารับประกัน!
หนึ่งแสนปีที่ผ่านมา ไม่รู้มีใครบ้างที่พยายามก้าวขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า แต่พวกเขาทุกคนล้วนจบลงด้วยความล้มเหลวโดยไม่มีขอยกเว้นใด
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้เยาว์คนนี้อาจเป็นเด็กใจร้อนไปเสียหน่อย แต่…ข้าสงสัยว่าท่านอาวุโสสะดวกใจมอบบุปผาคุนหวูให้ได้หรือไม่?”
เย่หยวนผสานมือคำนับพร้อมกล่าวถามทันที
ชายหนุ่มผู้นั้นยืนตัวแข็งในบัดดล จู่ๆก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นพลางกล่าวว่า
“เจ้านี่น่าสนใจจริงๆ! น่าสนใจอย่างยิ่ง! ความหาญกล้าของเจ้า…กลับมิใช่เล็กๆเลย!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“มิใช่เพราะผู้เยาว์หาญกล้า แต่ผู้เยาว์มีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ต้องแบกรับ บุปผาคุนหวูมีความสำคัญต่อท่านอาวุโสก็จริง แต่สำหรับผู้เยาว์ ความเป็นตายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำคัญกว่า! หากการสันนิษฐานของผู้เยาว์ถูกต้อง การที่ท่านอาวุโสแสดงตัวออกมาเช่นนี้ ท่านคงไม่ต้องการให้บุปผาคุนหวูตกอยู่ในมือศัตรู?”
จากทัศนคติของพฤกษาคุนหวูที่มีต่อเขา เย่หยวนจจึงสรุปได้ว่า อย่างน้อยที่สุดอีกฝ่ายก็มิใช่ศัตรูแน่นอน
มิฉะนั้นอีกฝ่ายคงไม่กล่าวเล่ายาวเหยียดให้เสียเวลาถึงเพียงนี้
“หุหุ เจ้าเด็กคนนี้ ช่างน่าสนใจเหลือเกิน! ไม่แปลกใจเลยที่เป็นผู้สืบทอดของตาแก่จอมเทพนิรันดร์ รับไป!”
ขณะที่กล่าวขึ้นนั่นเอง ชายหนุ่มก็แบมือออกไปตรงหน้า ภายในอุ้มมือปรากฏเป็นดอกไม้สีชมพูอ่อน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น