Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1241-1255
ตอนที่1241 เงาอวตารสี่สัตว์เทวะ!
“นี่ มีคนกำลังมาช่วยแล้วหนิ”
เย่หยวนสายตาจับจ้องหลงชุนด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม
ดวงตาไร้ประกายไสวดั่งคนที่ตายแล้วของหลงชุน ในที่สุดมันก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ท่านปู่! ช่วยข้าด้วยท่านปู่!!”
หลงชุนเห็นหลงหยานจากระยะไกล ดังนั้นเขาจึงใช้พละกำลังทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่ตะโกนออกไปสุดเสียง
เมื่อหลงหยานเห็นว่าหลานชายของเขาปลอดภัยดี หัวใจที่เต้นกระหน่ำบีบแน่นพลันคลายตัวลงโดยมิตั้งใจ
ทว่าทันทีทันใด สายตาของเขาก็เบี่ยงมาจับจ้องเย่หยวนด้วยความอาฆาต
“ไอ้มนุษย์สารเลว! กล้ายั่วยุพวกเราเผ่าสี่สัตว์เทวะ นี่มิใช่ว่าเจตนาหาที่ตาย?”
หนึ่งในสี่ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวขึ้น
“ไอ้เด็กเหลือขอ ปล่อยตัวชุนเอ๋อซะ! ข้าสัญญาณว่าจะเหลือศพให้ทำพิธีต่อ!”
หลงหยานตะคอกใส่เย่หยวนอย่างเดือดดาล
เย่หยวนอดขำมิได้เมื่อได้ยิน ชายชราผู้นี้อยู่ในกะลาแคบๆนานเกินไปจนคิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้า สั่งเป็นสั่งตายได้เลยกระมัง?
นี่คงเป็นวิธีพูดคุยของคนในดินแดนนี้?
ทั้งๆที่ตัวประกันอย่างหลานชายแท้ๆอยู่ในมือ แต่ก็ยังกล้าขู่ว่าจะเหลือศพให้ทำพิธีต่อ? แทนที่จะเกลี้ยกลอมให้ยอมปล่อยตัว หากเป็นคนอื่นที่มิใช่เย่หยวนคงปาดคอหลงชุนตายไปนานแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม เย่หยวนก็ทำตามที่อีกฝ่ายบอกแต่โดยดี
เย่หยวนยกบาทาขึ้นก่อนถีบก้นหลงชุนส่งออกไปทันที
“โอ๊ยย!”
หลงชุนกรีดร้องด้วยความตกใจ พร้อมร่างที่ถูกมัดของตนกระเด็นตรงเข้ามาหลงหยาน
หลงหยานตกใจเล็กน้อยก่อนรีบพุ่งตัวออกไปรับอย่างเบามือ
ทุกคนที่เห็นดังนั้นต่างตกตะลึงอย่างยิ่งโดยเฉพาะหลงหยาน
ในทีแรก หลงหยานคิดว่าตัวเขาต้องใช้พยายามอย่างมากเพื่อแย่งชิงตัวหลานชายกลับมา
สิ่งที่เขากังวลใจที่สุดคือ เย่หยวนจะใช้หลงชุนเป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่ หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาจำต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นสองเท่าทวี
แต่ใครจะไปคิดว่า ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้กลับปล่อยตัวตามที่บอกจริงๆ
อย่างไรก็ตามแต่ คิดว่าปล่อยคืนแล้วเรื่องจะจบลงง่ายๆ?
“ท่านปู่!”
หลงชุนอับอายอย่างยิ่ง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาในฐานประมุขน้อยคงไม่เหลือหน้าไปมองใครอีกแล้ว
หลงหยานกล่าวดุเสียงเย็นว่า
“เรื่องอัปยศในวันนี้คงเป็นกระจกสะท้อนในความหยิ่งผยองของเจ้าอย่างดี! หลังจากนี้ห้ามออกจากการเก็บตัวเป็นเวลาร้อยปี!”
หลงชุนไม่กล้าปฏิเสธคำสั่งของหลงหยานแม้แต่น้อย ก่อนเอ่ยปากกล่าวขึ้นด้วยความเคารพว่า
“เข้าใจแล้วท่านปู่!”
หลังจากนั้นเองหลงหยานก็มิได้สนใจหลงชุนอีก แต่กลับเงยหน้ามองเย่หยวนพร้อมกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“เจ้าหนู เจ้าเป็นคนรักษาสัจจะดีเยี่ยม เช่นนั้นข้าเองก็จะรักษาคำพูดเช่นกัน”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านคงเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่ามังกร,หลงหยานใช่หรือไม่? ข้าได้ยินหลงชุนกล่าวเล่าถึงท่านมามากมาย เอาเถอะ ที่ข้าไม่ฆ่าเขาเป็นเพราะความสัมผัสระหว่างนายน้อยผู้นี้กับเผ่ามังกรฟ้ามิใช่ตื้นเขิน มิฉะนั้นคิดหรือว่าข้าจะไว้ชีวิตหลงชุนรวมไปถึงพวกที่วิ่งหนีไปก่อนหน้า?”
สีหน้าของหลงหยานมืดขรึมลงทันใดและกล่าวว่า
“เจ้าหนู เจ้าดูมั่นใจดีหนิ! หรือก็แค่พวกเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมกันแน่? เจ้าที่อยู่ต่อหน้าพวกเราทั้งสี่ ยังคิดจริงๆหรือว่าจะรอดชีวิตออกไปได้?”
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างยิ้มแย้มว่า
“เหอะ ข้าก็มิได้มั่นใจอันใดนัก เพียงว่าข้าทรงพลังพอ! ต่อให้พวกเจ้าทั้งสี่โจมตีเข้ามาพร้อมกันก็ได้ ข้าไม่ถือ! ข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าเผ่าสี่สัตว์เทวะในดินแดนสัตว์เทวะมันจะมีดีแค่ไหนเชียว!”
โดยปกติแล้วในดินแดนสัตว์เทวะ เหล่าสี่ประมุขแห่งเผ่าสัตว์เทวะต่างใช้เวลาปลีกวิเวกเก็บตัวอยู่นานแรมปี ส่วนการดำรงอยู่ที่ลึกลับกว่านั้นอย่างบรรพบุรุษยิ่งไม่มีใครเคยเห็นหน้ามาก่อน ดังนั้นแล้วผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่นี้จึงเป็นผู้ปกครองดูแลเผ่าในฐานะผู้นำแทน
ที่สำคัญที่สุดคือ ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ล้วนเข้าใจในศาสตร์แห่งสวรรค์เช่นกัน!
เด็กเหลือขอคนหนึ่งต้องการต่อสู้กับพวกเขาทั้งสี่? นี่เขาเสียสติไปแล้ว?
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ช่างหยิ่งผยองเกินไป! มนุษย์ตัวน้อยผู้ไม่รู้จักฟ้าต่ำแผ่นดินสูงอย่างแท้จริง! แค่เราชายชราคนเดียวก็เพียงพอแล้ว!”
เด็กเหลือขอตรงหน้าเป็นเพียงเซียนอาณาจักรราชันย์เทวะทั่วไป ซึ่งเขามิได้ใส่ใจอันใดเลย
เมื่อกล่าวจบ หลงหยานก็ชูฝ่ามือขึ้นปลดปล่อยพลังสะเทือนฟ้าสะท้านโลกันตร์ออกมา!
“ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้า!”
เย่หยวนพลันอมยิ้มอีกครั้ง กับแค่ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าระดับวิญญาณของหลงหยาน มีหรือจะสร้างรอยขีดขวนให้แก่เย่หยวนได้?
ดังนั้นแล้ว เย่หยวนจึงยกฝ่ามือตอกสวน พร้อมซัดฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าตอบโต้กลับไปทันควัน!
ซึ่งเย่หยวนเลือกใช้ชีพจรมังกรระดับวิญญาณเช่นเดียวกับอีกฝ่าย!
สองกระบวนโจมตีอันยิ่งใหญ่ชนิดเดียวกัน!
แม้แต่ฝนฟ้าถึงขั้นวิปลาสหนัก มวลเมฆาวายุผัดสีแปรผันในทันใด!
บูมมมม!!
หลงหยานถูกซัดกระเด็นออกไปไกลโข เขาไม่สามารถต้านทานฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าของเย่หยวนได้แม้แต่น้อย จนกระอักพ่นเลือดสดออกมาคำโต
ถึงจะลดระดับชั้นเหลือแค่วิญญาณ แต่แนวคิดความเข้าใจของเย่หยวนก็สำเร็จถึงระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว! ดังนั้นความแตกต่างระหว่างทั้งสองจึงกว้างไกลแม้แต่ฟ้าดินยังมิอาจทดแทน!
เผ่าสี่สัตว์เทวะล้วนมี‘เต๋า’แตกต่างกันไป
อย่างเช่นเต๋าของเผ่ามังกรก็คือ ชีพจรมังกรที่เร้นแฝงอยู่ในสายเลือด สิ่งนี้มีหน้าที่เป็นสื่อกลางเพื่อรีดเร้นพลังมังกรออกมาและใช้ปลดปล่อยกระบวนโจมตี
เสียงแห่งจอมเทพมังกรคือการรีดเร้นเสียงมังกรคำรามออกมา ส่วนตัวชี้วัดความแตกต่างของพลังทำลายล้างคือ ชีพจรมังกร หากมีตัวนำส่งที่ดีย่อมสามารถปลดปล่อยพลังมังกรออกมาได้เต็มทีเสมอ
ไม่เพียงเย่หยวนที่สำเร็จชีพจรมังกรระดับศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น อย่าลืมเสียว่าความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งการต่อสู้ของเย่หยวนเองก็สูงส่งเหลือล้นเกินที่จะกำราบหลงหยาน
โดยสรุปแล้ว ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าของเย่หยวนเหนือชั้นกว่าของหลงหยานไกลโข
เหล่าสมาชิกเผ่าต่างๆที่รวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ต่างจับจ้องภาพฉากเมื่อครู่อย่างโง่งม ก่อนที่สีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นความไม่น่าเชื่อ
“มะ-ไม่มีทาง? มนุษย์สามารถใช้ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าได้อย่างไร? แถมยัง…ทรงอนุภาพยิ่งกว่าท่านผู้อาวุโสสูงสุด?!”
“ก่อนหน้านี้ เขาเองก็ใช้กระบวนฝ่ามือนี้เพื่อปราบปรามท่านประมุขน้อย ในทีแรกข้ายังหลงคิดว่า นั้นคงถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว แต่ที่ไหนได้…ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้ากลับเหนือชั้นยิ่งกว่าท่านผู้อาวุโสสูงสุด!”
“ไม่น่าแปลกใจที่ไฉนถึงกล้าหยิ่งผยองถึงเพียงนี้ ปรากฏว่าเขามีทุนรอนของจริง!”
………………………….
เดิมที หลงเซิงคิดจะให้ผู้อาวุโสสูงสุดช่วยลบล้างความอัปยศในอดีตของเขา
แต่ใครจะไปคาดคิด กระทั้งยอดเซียนผู้ไร้เทียมทานที่หลงเซิงเลื่อมใสตลอดมาอย่างหลงหยาน ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเย่หยวนจริงๆ!
เมื่อนึกย้อนกลับไปในปีนั้น ช่องว่างระหว่างเขากับเย่หยวนกลับมิได้กว้างไกลไพศาลถึงขนาดนี้
ในที่สุด หลงเซิงก็เริ่มรู้สึกละอายใจที่ตนมองอีกฝ่ายเป็นศัตรู
เพราะเขาทราบดีว่า ตนไม่มีคุณสมบัติไปเป็นศัตรูของเย่หยวนได้เลย!
หลงหยานเงยมองเย่หยวยด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ และโพล่งกล่าวขึ้นด้วยความเหลือเชื่อว่า
“เจ้า…เจ้ารู้จักฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าได้อย่างไร? นี่เป็นถึงความลับสุดยอดของเผ่ามังกรที่คนนอกมิอาจล่วงรู้! เจ้า…โทษของเจ้าคือประหารสถานเดียว!”
“โทษประหาร? แต่ใครจะสามารถสำเร็จโทษข้าได้บ้าง? เจ้ารึ?”
เย่หยวนกล่าวเสียงเรียบนิ่งตอบ พร้อมเหลียวมองหลงหยานด้วยหางตาสุดเย้ยหยัน
ผู้อาวุโสสูงสุดของสามเผ่าที่เหลือต่างหยุดหายใจไปชั่วขณะเช่นกันเมื่อได้ยิน หากเป็นก่อนหน้านี้ พวกเขาคงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นแล้ว ทว่าตอนนี้กลับได้แต่ปิดปากเงียบอย่างเคร่งเครียด
ในผืนพิภพแห่งนี้ ผู้อ่อนแอกว่าต้องเชื่อฟังผู้แข็งแกร่ง
และตอนนี้เย่หยวนอคือผู้แข็งแกร่งอย่างชัดแจ้ง!
ดังนั้นแล้ว หลงหยานมีสิทธิ์ให้โทษประหารเย่หยวนได้อย่างไร ไม่สิ…เขาสามารถฆ่าเย่หยวนได้รึด้วยกำลังเพียงแค่นี้?
สีหน้าของหลงหยานดำเมี่ยมคล้ายก้มหม้อไหม้ ก่อนกล่าวขึ้นว่า
“ยังยืนงงอันใดอีก! ข้าอยากจะเห็นเสียจริงว่าเด็กนี่จะแน่สักเพียงใด!”
ทั้งสามระดมพลังเตรียมเข้าสัประยุทธ์ทันที จากนั้นพวกทั้งสี่ก็เข้าจู่โจมเย่หยวนอย่างพร้อมเพรียง
ทว่าสิ่งที่ทำให้เย่หยวนประหลาดใจที่สุดก็คือ หลังจากที่ทั้งสี่ร่วมสัประยุทธ์ด้วยกัน กลับให้กำเนิดการโจมตีผสานอันสมบูรณ์แบบขึ้นมา!
มังกรฟ้า, พยัคฆ์ขาว, วิหกเพลิงและเต่าดำ!
เสมือนเงาอวตารของสัตว์เทวะทั้งสี่ผงาดขึ้น พร้อมเสียงปลุกเร้าฟ้าดิน!
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไปทันที และไม่กล้าประมาทใดๆอีกต่อไป!
เขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบถูดเปิดขึ้นทันที ก่อนควบแน่นเหลือเพียงรัศมีสิบฉื่อ
ในเวลาเดียวกัน เย่หยวนเร่งโคจรพลังปราณด้วยเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำถึงขีดสุด พร้อมกายเนื้อที่เปล่งประกายสีทองอร่าม
บูมมมม!!
ภายใต้แรงระเบิดสุดวินาศสันตะโร ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ต่างถูกแรงระเบิดถีบส่งกลับมาเช่นกัน!
แม้ว่าการโจมตีในคราวนี้จะน่าสะพรึงคล้ายกระบวนท่าผสานของสามเทพอสูร แต่นี่ยังคงด้อยกว่าเล็กน้อย
ทว่า…เย่หยวนกลับไม่ขยับเขยื้อนใดๆแม้แต่นิ้วเดียว!
“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ต่างรู้สึกว่า เรื่องนี้จะผิดประหลาดเกินไปแล้ว!
เย่หยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆว่า
“ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า กระบวนโจมตีผสานของเผ่าสี่สัตว์เทวะจะทรงอนุภาพขนาดนี้! แต่ที่ยังขาดตกเป็นเพราะพวกเจ้าทั้งสี่อ่อนแอเกินไป!”
คำกล่าวของเย่หยวนทำเอาสีหน้าทั้งสี่บิดเบี้ยวน่าเกียจอย่างหาที่เปรียบไม่
พวกเขาทั้งสี่เป็นถึงจุดสูงสุดของดินแดนสัตว์เทวะ ทว่าในความเป็นจริง ยามที่ทั้งสี่ผนึกกำลังโจมตีร่วมกัน กลับไม่สามารถทำอะไรเด็กเหลือขอที่ยืนอยู่เบื้องหน้าได้แม้แต่ปลายเส้นผม!
ตอนที่1242 อ้าวลี่
แรกเห็นในทันใด ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าเต่าพลันโพล่งอุทานด้วยความตะลึงลั่น
“จะ-เจ้า… นั้นคือ…เคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำ!!?”
ก่อนหน้านี้เสี้ยวจังหวะ ผู้อาวุโสสูงสุดผู้นี้เหลือบไปเห็นชั้นรัศมีสีทองเคลือบหนาอยู่บนกายาของเย่หยวน ซึ่งนั้นมีลักษณะตรงกับเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำในตำนานทุกประการ!
หากก่อนหน้า เย่หยวนหยิบใช้ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าสวนตอบอีกครั้ง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าเต่าดำจะไม่มีวันตระหนักถึงได้เลย
ทว่าตอนนี้ ทุกอย่างช่างชัดแจ้งยิ่งนัก!
หลงหยานเองก็พลันตกตะลึงตามและกล่าวอย่างไม่น่าเชื่อว่า
“คังโหย่ว เจ้ากล่าวอันใดไร้สาระ? มิใช่ว่าเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำหายสาบสูญไปจากเผ่าเจ้ากว่าล้านปีแล้ว?”
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนกล่าวแทรกขึ้นทันทีพร้อมรอยยิ้มว่า
“นับว่ายังมีความรู้อยู่บ้าง ถูกต้อง นี่คือเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำขนานแท้!”
สีหน้าการแสดงออกของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าเต่าดำเผยถึงความสนใจอย่างยิ่ง
ไม่จำเป็นต้องบรรยายสรรพคุณของวรยุทธบ่มเพาะกายเนื้อชนิดนี้เลย หากสามารถสำเร็จได้ถึงระดับเก้า ไม่ว่าใครบนผืนพิภพแห่งนี้ก็ไม่สามารถฝ่าด่านปราการป้องกันสุดวิปลาสนี้ได้!
แม้แต่ยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าก็ไม่สามารถทำลายการป้องกันนี้ได้เช่นกัน!
เผ่าเต่าดำยังคงนึกเสียใจจวบจนทุกวันนี้ที่สูญเสียวรยุทธบ่มเพาะกายเนื้อนี้ไป
แต่ไม่คาดไม่ฝันจริงๆว่า ยอดวรยุทธศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าเต่าดำในตำนานจะปรากฏขึ้นบนร่างของมนุษย์หนุ่มคนนี้!
“เจ้ามนุษย์คนนั้นโผล่มาจากที่ใดกันแน่? ไม่เพียงสำแดงใช้วรยุทธต่อสู้ของเผ่ามังกรได้ กระทั้งยอดวรยุทธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเต่าดำในตำนานก็มีเช่นกัน!”
“หากกล่าวตามหลักเหตุและผล ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้ายังพอเข้าใจได้ เขาอาจจะลอบขโมยมาฝึกฝนอย่างลับๆ แต่เคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำนี้ มิใช่ว่าหายสาปสูญไปกว่าหนึ่งล้านปีแล้วรึ? แล้วเขาไปรู้จักมาจากไหน!”
“ถูกต้อง เจ้ามนุษย์คนนี้ไปศึกษาร่ำเรียนวรยุทธศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมายมาจากที่ใด? นอกจากนี้ยังสามารถสำแดงเดชได้ทรงพลังกว่ารุ่นอาวุโสเสียอีก ท่านผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ผนึกกำลังยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย!!”
……………………….
เสียงอุทานดังสนั่นของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าเต่าดำทำให้เหล่าสมาชิกเผ่าสี่สัตว์เทวะทั้งหมดโดยรอบตื่นตะลึงหนักเข้าไปใหญ่
แม้แต่วรยุทธศักดิ์สิทธิ์ที่หายสาปสูญไปเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน ก็ยังปรากฏให้เห็นอีกครั้งบนร่างมนุษย์หนุ่มคนนี้ต่อหน้าต่อตา นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปจริงๆ!
ในตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดล้วนรู้สึกว่า ผืนพิภพทั่วฟ้าวิปลาสสิ้นแล้ว!
คราวนี้หลงหยานถึงกับหยุดมือในท้ายที่สุด และตรงเข้ามากล่าวกับเย่หยวนพร้อมสีหน้าเคร่งขรึมว่า
“เจ้าหนู เจ้ามีเจตนาร้ายบุกรุกดินแดนสัตว์เทวะ?”
เย่หยวนหักไหล่ตอบก่อนเอ่ยกล่าวว่า
“นายน้อยผู้นี้บังเอิญหลงเข้าป่าดอกท้อ ก่อนพยายามอยู่แรมเดือนกว่าจะออกมาได้ ทว่ากลับไปรุกล้ำดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้โดยมิตั้งใจ ขอกล่าวตามสัตย์จริง ข้าไม่เคยมีเจตนาร้ายอันใด มิได้คิดบุกรุก! เย่คนนี้กับเผ่ามังกรมีความสัมผัสค่อนข้างใกล้ชิด ส่วนน้องชายของข้าก็ยังเป็นประมุขเผ่าพยัคฆ์ขาวในดินแดนศักดิ์นสิทธิ์ หากไม่เชื่อลองสัมผัสกับกายวิญญาณพยัคฆ์ขาวสมบูรณ์ของเขาได้ เพียงว่าตอนนี้ข้ามีเรื่องสงสัยเล็กน้อยและต้องการจะถามไถ่ เผ่าสี่สัตว์เทวะในดินแดนสัตว์เทวะมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเผ่าสี่สัตว์เทวะในดินแดนศักดิ์สิทธิ์กัน?”
จากคำกล่าวของเย่หยวน ทุกสายตาพลางเหลียวไปมองอิ้งหมัวหู่ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขาทันที
เนื่องจากก่อนหน้ากายาของเย่หยวนเปล่งประกายจรัสจ้าเกินไป จึงไม่มีใครสนใจอิ้งหมัวหู่และลี่เอ๋อที่อยู่เบื้องหลังเลย
ทว่าทันทีที่ได้ยินเย่หยวนกล่าวไปเช่นนั้น พวกเขาทั้งหมดต่างต้องจับจ้องด้วยแววตาเปี่ยมตะลึง
กายวิญญาณพยัคฆ์ขาวสมบูรณ์!
คนกลุ่มนี้…พวกเขาเป็นใครกันแน่?
ราชาจากอีกดินแดน?
เหล่าสมาชิกเผ่าพยัคฆ์ขาวต่างจับจ้องอย่างตื่นตะลึงสุดขีด จนรู้สึกละอายใจในเวลาต่อมา
กระนั้นเองสีหน้าของหลงหยานยังคงมืดทมิฬพลันกล่าวว่า
“ช่างเถอะ! เช่นนั้นพวกเจ้าก็ออกไปได้แล้ว!”
ต่อหน้าทัศนคติของหลงหยาน ทำให้เย่หยวนประหลาดใจมิใช่น้อย ทั้งๆที่เขาอธิบายไปขนาดนั้นแต่ยังพูดจาไร้หางเสียงได้จริงๆ
แม้แต่คนตาบอดยังทราบ คนหนึ่งมีสองสุดยอดวรยุทธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าสี่สัตว์เทวะ ส่วนอีกคนเป็นประมุขเผ่าพยัคฆ์ขาว แสดงว่าภูมิหลังต้องไม่ตื้นเขิน แต่หลงหยานกลับไล่ส่งกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์?
เย่หยวนยักไหล่อีกคราและกล่าวว่า
“นายน้อยผู้นี้ก็อยากออกไปเช่นกัน ทว่าไม่สามารถย้อนกลับในทางป่าดอกท้อได้อีกแล้ว!”
หลงหยานกล่าวตอบเสียงเย็นว่า
“นั้นเป็นปัญหาของเจ้า เกี่ยวอะไรกับข้าผู้นี้! รีบๆหาทางออกไปซะ! ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า!”
เย่หยวนเค้นหัวร่อเสียงเย็นอยู่หลายคำ ก่อนเอ่ยปากกล่าวตอบว่า
“สงสัยยังไม่รู้สถานะตัวเองว่าใครอยู่สูงหรือต่ำกว่า? นายน้อยผู้นี้แสดงความเมตตาแก่พวกเจ้านับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ต้องให้ข้าล้างบางเผ่าสี่สัตว์เทวะก่อนจากออกไป?”
ทันทีทันใด มวลจิตสังหารปริมาณมหาศาลดั่งมหาสมุทรแห่งความตาย พลันพรั่งพรูออกมาท่วมท้นไม่หยุดหย่อน ทุกคนโดยรอบแทบหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อแรกสัมผัส
ดูเหมือนว่า นายน้อยผู้นี้จะเริ่มโกรธแล้วจริงๆ!
แต่ทันใดนั้น ปลายคิ้วของเย่หยวนพลันกระตุกขึ้นก่อนเอ่ยขึ้นทันทีว่า
“ในเมื่อมาแล้ว ไฉนถึงไม่แสดงตัว?”
ร่างหนึ่งค่อยๆก้าวย่างออกจากห้วงแห่งความว่างเปล่าออกมา
เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่เห็นการมาถึงของบุคคลนี้ พวกเขาถึงกลับถอดสีหน้าและเร่งคำนับกล่าวว่า
“คาราวะท่านประมุข!”
แตกต่างไปจากที่เย่หยวนจินตนาการโดนสิ้นเชิง ท่านประมุบผู้นี้ยังเป็นเพียงชายวัยกลางคน สีหน้าแดงกล่ำมีภูมิฐาน
ลักษณะท่าทางเช่นนี้สมควรยิ่งแล้วกับตำแหน่งประมุข
ประมุขผู้นั้นขยับขยายสายตาเข้าจับจ้องเย่หยวน ราวกับต้องการมองผ่านอ่านความคิดอีกฝ่าย
แต่นั้นก็ทำให้เขาต้องผิดหวัง
เย่หยวนคนนี้ประดุจเหวลึก ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่สามารถเห็นก้นเหวได้
ในอีกด้าน เย่หยวนรู้สึกแปลกใจไม่น้อยกับอีกฝ่ายเช่นกัน ที่อายุแค่นี้แต่สามารถขึ้นกลายเป็นประมุขเผ่าได้แล้ว ดูจากหน้าตาชายวัยกลางคนผู้นี้อายุราวๆสี่สิบปีเท่านั้น
แต่เย่หยวนยังคงขยับขยายสายตาจับจ้องอีกฝ่ายไม่หยุด ไม่ทราบว่าเหตุใด เขาถึงรู้สึกคุ้นเคยกับอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก
ทว่าอย่างไร นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนเคยเดินทางมายังดินแดนสัตว์เทวะอย่างชัดเจน
“อ้าวลี่”
ชายวัยกลางคนเอ่ยปากกล่าวขึ้นทันที
เย่หยวนไม่ลังเลอันใดและกล่าวตอบว่า
“เย่หยวน”
“การจะกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยผ่านทางป่าดอกท้อ มีเพียงท่านบรรพบุรุษเท่านั้นที่สามารถทำได้ หากเจ้าต้องการกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังมีอีกทาง ข้าสามารถส่งเจ้ากลับไปยังแดนล่างก่อนได้”
อ้าวลี่กล่าวแช่มเสียงเย็นตอบ
วาจาคำกล่าวเหล่านี้ที่ดังออกจากปากอ้าวลี่ต่างทำเอาสมาชิกเผ่าสี่สัตว์เทวะทั้งหมดตกใจยกใหญ่
แม้คำกล่าวเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาก ทว่าหากสังเกตให้ดี เขาวางตัวตนในฐานะประมุขเผ่าลงและกล่าวกับเย่หยวนเสมือนคนระดับชั้นเดียวกัน
เป็นที่ชัดแจ้งว่า เขาไม่เต็มใจนักที่จะยั่วยุเย่หยวนเช่นกัน!
ด้วยความแกร่งกล้าระดับประมุขเผ่า ยังครั่นคร้ามในตัวเย่หยวนจริงๆ!
ในสายตาของพวกเขาทั้งหมด ตำแหน่งประมุขเผ่านับเป็นจุดสูงสุดของดินแดนสัตว์เทวะแล้ว
แต่ใครจะไปทราบ เย่หยวนที่ได้ยินดังนั้นกลับส่ายหัวและกล่าวว่า
“เย่คนนี้มีธุระด่วนจำต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด และไม่สามารถเสียเวลาได้อีก หากมีแค่ท่านบรรพบุรุษเท่านั้นที่สามารถเดินทางกลับไปได้ เช่นนั้นโปรดเชิญท่านมานำทางพวกเราได้หรือไม่?”
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเย่หยวน การจะกลับไปยังแดนล่างกลับมิใช่ปัญหาเลยสักนิด
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขาเองก็อยากกลับไปยังดินแดนไร้สิ้นสุดเช่นกัน เพื่อไปเยี่ยมเยือนพ่อแม่ของเขา
ทว่าการทำเช่นนั้นอย่างน้อยต้องใช้เวลาเดินทางถึงครึ่งหรือหนึ่งปีเต็ม กว่าจะกลับไปถึงเผ่าปีศาจคงยึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์เสร็จสรรพแล้วกระมัง
ดังนั้นมิอาจล่าช้าได้อีกแล้ว!
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเย่หยวน อ้าวลี่สีหน้ามืดขรึมลงทันใดและกล่าวว่า
“ข้าเองก็ไม่อยากทำเรื่องลำบากแก่เจ้า แต่เจ้ากลับกำลังทำเรื่องลำบากใจให้แก่ข้า?”
เย่หยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
“มิใช่ว่าเย่คนนี้ต้องการบีบคั้นผู้คน แต่ยามนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เดือดร้อนหนักไม่สามารถล่าช้าได้อีก หวังว่าท่านประมุขอ้าวจะเข้าใจ”
รัศมีแรงกดดันของอ้าวลี่พรั่งพรูออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง ทันทีทันใดแรงกดดันของเผ่ามังกรเข้าประชิดปิดล้อมเย่หยวนโดยตรง
“ดูเหมือนว่า เจ้ากำลังบีบให้อ้าวผู้นี้ต้องลงมือจริงๆ!”
ทว่าเย่หยวนราวกับมิได้ใส่ใจกับรัศมีแรงกดดันเหล่านี้เลย และกล่าวตอบเสียงเย็นว่า
“ข้ามิได้เจตนาบีบคั้นท่านจริงๆ แต่หากท่านไม่คิดยื่นมือช่วยเหลือ ข้าคงต้องเชิญท่านบรรพบุรุษออกมาด้วยตนเอง!”
“ฟู่วว…”
ทุกคนต่างสูดไอเย็นเข้าปอดอย่างแช้มช้าแสนหวั่นเกรง มนุษย์หนุ่มคนน้ำไม่หยิ่งผยองเกินไปหน่อยรึ?
ปรากฏว่า แม้แต่ท่านประมุขอ้าวก็มิได้อยู่ในสายตาของมนุษย์หนุ่มคนนี้จริงๆ!
ส่วนบรรพบุรุษผู้ลึกลับท่านนั้น ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน เว้นเสียแต่ระดับประมุขเผ่าเท่านั้น
ถึงอย่างไรประมุขอ้าวลี่ผู้นี้ กล่าวขานกันว่าสามารถรับมือกับผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ได้อย่างง่ายดาย
แต่มนุษย์หนุ่มคนนี้หาญกล้าทำตัวผยองต่อหน้าประมุขอย่างไม่เกรงกลัว?
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ดี! ดีมาก! อ้าวผู้นี้มิได้ออกเรี่ยวออกแรงในดินแดนสัตว์เทวะมาเสียนานแล้ว วันนี้ขอยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย อยากจะรู้เสียจริงว่า เจ้ามีทุนรอนเพียงใดถึงกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ได้! ถึงขั้นลบหลู่ท่านบรรพบุรุษ อ้าวผู้นี้คงปล่อยผ่านมิได้จริงๆ!”
อ้าวลี่ระเบิดเสียงหัวเราะชุดหนึ่ง ก่อนเร่งโคจรพลังปราณเดตรียมพร้อมสัประยุทธ์
ถึงเขาจะค่อนข้างครั่นคร้ามใจตัวเย่หยวน แต่นั้นก็มิได้หมายถึง เขาจะต้องกลัวเย่หยวนเช่นกัน
เย่หยวนยามนี้ได้แต่ถอนหายใจอย่างไร้ประโยชน์ เขามิได้มีเจตนารุกรานใดๆ ทั้งหมดที่เขาทำลงไปก็เพียงเพื่อหาวิธีกลับไปยังหุบเขาเหวพระเจ้าเท่านั้น
แต่นี่คงไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไป คราวนี้คงต้องเคลื่อนไหวแล้วจริงๆ
ตอนที่1243 ภูมิหลังอันลึกลับ
“เจ้าโง่! เด็กนั้นมิได้ทราบถึงความน่ากลัวของท่านประมุขเลยแม้แต่น้อย!”
เมื่อเห็นว่าเย่หยวนเอ่ยวาจารนหาที่ตายเช่นนี้ เขาก็อดสบถด่าเย่หยวนมิได้
ผู้อาวุโสสูงสุดอีกสามคนที่เหลือเองล้วนสนิทชิดเชื้อไม่ต่าง พวกเขาทุกคนล้วนตระหนักทราบถึงความแกร่งกล้าของอ้าวลี่เป็นอย่างดี
ถึงพลังการป้องกันของเย่หยวนจะสูงส่งเพียงใด แต่หากต้องการปัดป้องการโจมตีของอ้าวลี่โดยมิให้ได้รับบาดเจ็บใดๆ เกรงว่าเป็นไปไม่ได้
เย่หยวนชูมือขึ้นตรงหน้าและกวักนิ้วเรียกทันทีว่า
“เชิญ!”
สีหน้าการแสดงออกของอ้าวลี่เหยียบเย็นสะท้าน เขาเอ่ยปากกล่าวเสียงเข้มว่า
“ช่างเป็นเด็กที่หยิ่งยโสอะไรเช่นนี้ คิดเจ้าคิดจริงๆว่าตนไร้เทียมทานเสมอฟ้า? ในเมื่อเจ้าเองก็รู้จักฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้า ฉะนั้นข้าจะใช้สิ่งนี้โจมตีเจ้า!”
ทันทีทันใด แรงกดดันของเผ่ามังกรพลันโหมทวีความน่าสะพรึงเป็นหลายสิบเท่าตัว พร้อมสาดรัศมีเข้าปกคลุมทั่วทุกหนแห่งกว้างไพศาล
“สมแล้ว! ท่านประมุขอ้าวได้ชื่อว่าเป็นประมุขที่มากพรสวรรค์ที่สุดในรอบหนึ่งแสนปีในดินแดนสัตว์เทวะ! สายเลือดของท่านได้บรรลุถึงระดับศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อย! ข้าไม่เชื่อหรอกว่า เย่หยวนอะไรนั้นจะสามารถพลิกฟ้าคว่ำสมุทรได้!”
หลงหยานกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดหยามเหยียด
แต่ในไม่ช้า สีหน้าของทุกคนพลันแข็งทื่อในบัดดล
ภายใต้แรงกดดันของเผ่ามังกรสุดน่าสะพรึงจากร่างกายอ้าวลี่ เย่หยวนยังคงยืนนิ่งสงบคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อพินิจให้ละเอียด กลับพบว่ามีคลื่นรัศมีอ่อนห่อหุ้มกายาเย่หยวนอยู่เช่นกัน
ไม่เพียงอ้าวลี่ เหล่าสมาชิกเผ่าสี่สัตว์เทวะทั้งหมดต่างตื่นตกใจสุดขีดเมื่อเห็นรัศมีนั้น!
สายเลือดระดับศักดิ์สิทธิ์!
และอีกเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็จะบรรลุกลายเป็นสายเลือดระดับเทวะแล้ว!
แต่…แต่เขาเป็นมนุษย์ นี่เป็นไปได้อย่างไร?
“ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้า!”
อ้าวลี่ดึงสติกลับมาจากความตกใจ และปลดปล่อยฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าเต็มสูบไม่ยั้งมือ!
ทันทีที่ฝ่ามือนี้ถูกปลดปล่อยออกไป ฟ้าดินล้วนวิปลาสเปลี่ยนสีในบัดดล!
ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าระดับศักดิ์สิทธิ์!
อ้าวลี่เองก็สำเร็จชีพจรมังกรระดับศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วเช่นกัน!
เพียงว่าเย่หยวนหาได้ตกใจแม้สักนิด พร้อมกระหน่ำซัดฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าเข้าสวนโดยตรง!
“กรรร!!”
“กรรร!!”
เสียงคำรามแผดไพศาล สองมังกรผงาดเสียดฟ้าเมฆาสูงพร้อมเข้าปะทะชนกลางเวหา!
เป็นเวลากว่าหนึ่งแสนปีเต็ม นี่เป็นครั้งแรกที่สองฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าระดับศักดิ์สิทธิ์เข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด
ปรากฏการณ์เช่นนี้ กล่าวได้ว่าหนึ่งโอกาสรับชมต่อหนึ่งยุคสมัยอย่างแท้จริง!
มังกรทั้งสองเข้าฟาดฟันบดขยี้กันไปมากลางห้วงเวหา ไม่มีใครด้อยกว่าใครเลยสักนิด!
“มิใช่ว่าข้ามองผิดไปใช่ไหม? มนุษย์หนุ่มคนนั้นสำเร็จชีพจรมังกรระดับศักดิ์สิทธิ์ได้? นี่เป็นไปได้อย่างไร?!”
“เขาคนนั้นเป็นมนุษย์จริงๆรึ? นี่…นี่มีอะไรผิดพลาดรึเปล่า?”
“ไฉนมนุษย์ถึงสามารถปลดปล่อยฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าระดับศักดิ์สิทธิ์ได้? ขนาดข้ายังต้องใช้เวลาศึกษาเข้าใจกว่าหลายร้อยปี นี่เพิ่งจะสำเร็จได้แค่ชีพจรมังกรระดับสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้น!”
………………………..
แต่ละกระบวนท่าที่เย่หยวนสำแดงออกมา ล้วนทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ตื่นตะลึงไม่หยุดหย่อน
มนุษย์คนนี้โผล่หัวออกมาจากไหนไม่ทราบ แต่กลับเข้ามาที่นี่พร้อมบดขยี้ทุกความภาคภูมิใจของพวกเขาโดยสิ้น
แม้แต่บุคคลที่ทุกคนต่างเลื่อมใสอย่างท่านประมุขอ้าวเอง ณ ปัจจุบันยังถูกเย่หยวนปราบปรามไม่เหลืออันใดแล้ว
บูมมมม!!
การปะทะกันของสองฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าระดับศักดิ์สิทธิ์ แรงระเบิดที่ซัดกระจายออกมากระทั้งฟ้าดินยังต้องสั่นสะเทือนหนักหน่วง
เย่หยวนถูกแรงระเบิดนี้ซัดกระเด็นออกไปโดยตรง ส่งผลให้อวัยวะภายในปั่นป่วนไปหมด
ทว่าสภาพของอ้าวลี่กลับน่าสังเวชยิ่งกว่า เขาถูกแรงระเบิดเดียวกันนี้ดีดกระเด็นไปไกลโขกว่าหนึ่งหมื่นลี้
ในเวลานี้เอง ธารเลือดสดสายหนึ่งพลันหลั่งไหลออกมาจากมุมปากของอ้าวลี่ เห็นได้ชัดว่า เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย
“กายทองคำเก้าอรหันต์!”
กวาดสายตามองปวาดเดียว อ้าวลี่ก็ตระหนักทราบได้ทันทีพร้อมหันเข้าจับจ้องเย่หยวนด้วยความตื่นตะลึง
สาเหตุหลักที่ทำให้เขาพ่ายต่อศึกนี้ก็เพราะกายทองคำเก้าอรหันต์ของเย่หยวน!
อย่าดูแคลนว่า กายทองคำเก้าอรหันต์ของเย่หยวนคล้ายเครื่องมือช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ หากนำมาผสานรวมกับวรยุทธต่อสู้ นั้นส่งผลให้อนุภาพทำลายล้างเพิ่มพูนขึ้นหลายทวีเท่าจนไม่สามารถประเมินได้!
สุดท้ายนี้ กายเนื้อชนิดนี้มีเพียงเซียนอาณาจักรพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถครอบครองได้!
เย่หยวนป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดแผดสะท้านก้อง
“เย่คนนี้เพียงต้องการกลับไปยังหุบเขาเหวพระเจ้าโดยเร็วที่สุด! หวังว่าทุกคนจะไม่บีบคั้นข้าจนมากเกินไป! ด้วยความแกร่งกล้าของเย่คนนี้ หากต้องการกวาดล้างพวกเจ้าทั้งหมด…ก็หาใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้!”
คำกล่าวของเย่หยวนทำเอาทุกคนถอดสีหน้าซีดเผือกกันยกใหญ่ด้วยความกลัว
เขาคนเดียวสามารถขึ้นท้าทายดินแดนสัตว์เทวะทั้งหมดได้จริงๆ!
ในเวลานี้ แม้แต่ท่านประมุขอ้าวก็มิใช่คู่มือของเขาเช่นกัน หากเขามีเจตนาล้างบางเผ่าสี่สัตว์เทวะจริงๆ นี่มิใช่เรื่องตลกอีกต่อไป
สีหน้าการแสดงออกของอ้าวลี่ดูรวนเรอยู่ครู่หนึ่ง หรือเป็นไปได้ไหมว่า ดินแดนสัตว์เทวะทั้งมวลจำต้องก้มหัวให้เด็กเหลือขอตรงหน้าจริงๆ?
“เช่นนั้น เจ้าก็พักแรมอยู่ที่นี่ก่อนสักสองสามวัน อ้าวผู้นี้จะพยายามเจรจากับท่านบรรพบุรุษดู”
ในที่สุดอ้าวลี่จำต้องลดระดับศีรษะของตนลงอย่างจนใจ
เย่หยวนพยักหน้าตอบ แต่มิได้กล่าวอะไรต่อ
สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะไม่ต้อนรับพวกเขา แม้เย่หยวนจะมีข้อสงสัยมากมายอยู่ในหัว แต่ก็ไม่สามารถเอ่ยปากถามไถ่ใดๆได้เลย
ยามนี้เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือ การหาทางย้อนกลับไปยังหุบเขาเหวพระเจ้าและตามหาพฤกษาคุนหวู
นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าแล้ว
เพียงว่าตอนนี้เหล่าสมาชิกของเผ่าสี่สัตว์เทวะต่างจ้องมองเย่หยวนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มอสูรน้อยในคราแรกที่พบเจอ พวกนั้นทั้งตะโกนสาปส่งและเยาะเย้ยกันสนุกปาก ทว่าหารู้ไม่ว่า กลับเป็นพวกมันเสียเองที่หาได้สู้จักฟ้าต่ำแผ่นดินสูงไม่
หากเย่หยวนต้องการฆ่าพวกเขาจริงๆ ไม่ว่ากี่ชีวิตพวกเขาก็มีไม่พอ
…………………
ด้วยเหตุนี้ เย่หยวนจึงต้องกลับมาค้างแรมที่เผ่ามังกรชั่วคราว
ทว่าภายในอาณาเขตเรือนพักของเย่หยวน เปรียบเสมือนพื้นที่ต้องห้ามไปโดยปริยาย ไม่มีสมาชิกเผ่ามังกรหน้าไหนกล้าย่างกรายเข้าไปแม้สักนิด
“อิ้งหมัวหู่ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
เย่หยวนหันไปเอ่ยถามอิ้งหมัวหู่พลางนั่งลงในเรือนรับแขก
ก่อนหน้านี้อิ้งหมัวหู่ปิดปากเงียบตลอดทางไม่พูดไม่จา ซึ่งนี่ช่างขัดกับอุปลักษณ์นิสัยของเขาโดยสิ้นเชิง
เย่หยวนที่สังเกตเห็นความผิดปกติเช่นนี้ จึงทราบทันทีว่าอิ้งหมัวหู่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน
“พี่ใหญ่ ข้าบอกไม่ถูกเช่นกัน แต่ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก!”
อิ้งหมัวหู่ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยกล่าวตอบ
ปลายคิ้วของเย่หยวนพลันกระตุกขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า
“มันไม่แปลกที่เจ้าจะรู้สึกเช่นนี้ แต่ไฉนข้าถึงรู้สึกเช่นเดียวกัน?”
อิ้งหมัวหู่ที่ได้ยินดังนั้นหันควับจับจ้องเย่หยวนอย่างประหลาดใจยิ่ง ก่อนกล่าวว่า
“บางที…อาจเป็นเพราะสายเลือดมังกรในกายท่าน? ข้ารู้สึกได้เลยว่า สายเลือดสัตว์เทวะในดินแดนแห่งนี้บริสุทธิ์เสียยิ่งกว่าภายนอกมาก! ความแข็งแกร่งโดยรวมก็เหนือกว่าเช่นกัน!”
เย่หยวนส่ายหัวและกล่าวว่า
“หากสิ่งที่เจ้ากล่าวเป็นความจริง แล้วทำไมข้าถึงไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่ออยู่ในเผ่ามังกรบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์? ทันทีที่ย่างเท้าเข้ามาในดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้ ข้ารู้สึกคุ้นเคยเป็นพิเศษอย่างน่าประหลาด!”
อิ้งหมัวหู่ครุ่นพินิจอีกครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“พี่ใหญ่ หากย้อนกลับไปในปีนั้น ที่ข้ากล่าวว่ารู้สึกเหมือนมีคนเรียกหาจากภายในป่าแห่งความมืด หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ข้าจะเกิดที่นี่?”
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางเมื่อได้ยืนและกล่าวว่า
“นั้นจะเป็นไปได้อย่างไร? ในปีนั้นที่ข้าเจอเจ้า เจ้ายังเป็นแค่สัตว์อสูรระดับหนึ่ง ส่วนแม่เจ้าเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับสองเท่านั้น! มีสัตว์อสูรระดับสองที่ไหนสามารถฝ่าออกจากที่แห่งนี้ได้?”
อิ้งหมัวหู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนรู้สึกว่าตนกำลังคิดมากเกินไป
ระหว่างป่าแห่งความมืดกับดินแดนไร้สิ้นสุด ถูกคั้นกลางด้วยแดนเทพอสูรต้องห้าม
ดังนั้นแล้ว สัตว์อสูรระดับสองจะสามารถฝ่าออกไปได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น แม่ของอิ้งหมัวหู่ยังเป็นแค่สัตว์อสูรธรรมดาทั่วไป
บางทีสัตว์อสูรเหล่านี้เองก็อาจมีสายเลือดสัตว์เทวะผสมเจือปนอยู่บ้างก็จริง แต่นั้นเป็นปริมาณที่เบาบางจนแทบมองข้ามไปเลยก็ยังได้
ในขณะเดียวกัน ลี่เอ๋อที่นั่งเงียบอยู่นานก็โพล่งกล่าวขึ้นราวกับนึกอะไรบางอย่างออก
“พี่ใหญ่หยวน ข้าว่าเรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”
คู่ดวงตาไสวของเย่หยวนพลันสว่างขึ้นและกล่าวว่า
“เจ้าหมายความอย่างไรกัน?”
ลี่เอ๋อกล่าวอธิบายทันทีว่า
“พี่ใหญ่หยวน ฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงของท่านเองก็มิใช่เรื่องง่ายที่จะถือกำเนิด หนึ่งล้านปีถึงจะลงมาจุติสักครั้งมิใช่รึ? แถมท่านเองก็ยังเป็นมนุษย์แต่กลับมีกายวิญญาณในตำนานของเผ่ามังกร เรื่องนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้กว่าหรอกรึ? ในความเห็นของข้า ถึงแม้แม่ของอิ้งหมัวหู่จะมีสายเลือดค่อนข้างจาง แต่บรรพบุรุษต้นสายพันธุ์อาจเคยอาศัยอยู่ในดินแดนสัตว์เทวะมาก่อน?”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของลี่เอ๋อ ทั้งเย่หยวนและอิ้งหมัวหู่พลันล้มลงในความคิดของตัวเองอีกครั้ง
ตอนที่1244 สายสัมพันธ์แม่ลูก
“ท่านบรรพบุรุษ ท่านคงทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่?”
อ้าวลี่ยืนเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอกปากถ้ำ พร้อมกุมมือทั้งสองอย่างสุภาพเรียบร้อย
เห็นได้ชัดว่าเขาเคารพท่านบรรพบุรุษเบื้องหน้าท่านนี้เป็นอย่างยิ่ง
ไม่นานเกินรอ สุ้มเสียงหนึ่งดั่งผ่านโลกมาร้อยพันก็เปล่งดังกึกก้องขึ้นจากเบื้องลึกภายในถ้ำว่า
“เจ้าคิดตำหนิข้าที่ไม่ทำอะไรเลย?”
สีหน้าการแสดงออกของอ้าวลี่เปลี่ยนไปฉับพลันและกล่าวว่า
“อ้าวลี่มิกล้า!”
“หุหุ แม้ข้าเคลื่อนไหวในยามนั้น แต่กลับไม่สามารถทำอะไรเขาคนนั้นได้เช่นกัน”
สุ้มเสียงบรรพบุรุษนั้นดังตอบ
เมื่อไก้ยินเช่นนั้น ทั่วทั้งร่างของอ้าวลี่ถึงกับสั่นเทาอย่างหนักด้วยความกลัว เขากล่าวขึ้นด้วยความไม่เชื่อว่า
“นี่…นี่ไม่มีทาง?”
“หากศาสตร์แห่งสวรรค์ยังไม่สูญสลายไป พระเจ้าผู้นี้ก็จัดการเขาได้ง่ายๆประหนึ่งหั่นเต้าหู้ ทว่าตอนนี้อยู่ในยุคที่อาณาจักรราชันย์เทวะคือจุดสูงสุด แน่นอนว่าเขาไม่สามารถทำอะไรข้าได้ แต่ข้าเองก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เช่นกัน”
สุ้มเสียงบรรพบุรุษเรียกแทนตนเองว่า พระเจ้าผู้นี้ นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า บรรพบุรุษผู้ลึกลับในดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้เป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้า!
ผู้คนทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์มิอาจจินตนาการได้เลยว่า ภายในหุบเขาเหวพระเจ้ายังมีเซียนอาณาจักรพระเจ้าขนานแท้ซ่อนอยู่
ทว่าในยุคสมัยนี้ที่ศาสตร์แห่งสวรรค์สาบสูญไปแล้ว แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้ายังสูญเสียความภาคภูมิใจไปเช่นกัน
ดังนั้นแล้ว เมื่ออ้าวลี่ได้ยินท่านบรรพบุรุษกล่าวออกไปแบบนี้ เขาจึงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
เหตุที่อ้าวลี่เข้าใจศาสตร์แห่งสวรรค์ จนสามารถยกระดับชีพจรมังกรถึงระดับศักดิ์สิทธิ์ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะคำชี้แนะของท่านบรรพบุรุษท่านนี้ทั้งสิ้น
เช่นนั้น ในสายตาของอ้าวลี่ ท่านบรรพบุรุษผู้นี้จึงเป็นดั่งพระเจ้าผู้อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง
แต่วาจาคำกล่าวในวันนี้ของท่านบรรพบุรุษ กลับทำให้อ้าวลี่แทบเสียศูนย์ในบัดดล
“เขา…เขามีทุนรอนอันใด?”
อ้าวลี่กล่าวขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ในผืนพิภพแห่งนี้ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ยอดอัจฉริยะฟ้าประทาน! ไม่ว่าเจ้าจะพยายามอย่างหนักเพียงใด ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้เลย! ในปัจจุบัน พลังปราณ,ร่างกายและจิตวิญญาณของเขาใกล้สำเร็จถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว อีกเพียงก้าวเดียว เขาก็จะทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรกึ่งพระเจ้าได้สำเร็จ ยามนั้นทั่วทั้งผืนพิภพกลับหาใช่คู่มือของเขาได้อีกต่อไป!”
สุ้มเสียงบรรพบุรุษกล่าวขึ้นอย่างขมขื่น
อ้าวลี่ยิ่งตื่นตะลึงหนักกับคำกล่าวของบรรพบุรุษ!
นี่ไม่ประเมินเย่หยวนสูงเกินจริงไปหน่อยรึ?
ไม่ว่าจะพยายามหนักเพียงใด ก็ไม่สามารถเอาชนะได้?
“เห้ออ…กลับไปได้แล้ว! เจ้าไปบอกเขาว่า เดี๋ยวพระเจ้าผู้นี้จะช่วยส่งกลับไปเอง”
สุ้มเสียงบรรพบุรุษกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจเสียงยาว
อ้าวลี่ในยามมีแต่แบกอุ้มอารมณ์สุดสิ้นหวังเอาไว้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจากนี้จะไปมีหน้ามองใคร
เท่าที่ฟังจากคำพูดของท่านบรรพบุรุษ เย่หยวนเหนือชั้นกว่าเขาทุกด้าน จนเรียกได้ว่าสามาถทัดเทียมได้กับบรรพบุรุษรุ่นลายคราม
แต่หากมองย้อนกลับไปถึงเหตถการณ์ก่อนหน้า อ้าวลี่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้เลย
อายุของเย่หยวนน้อยกว่าเขามาก แต่ความแกร่งกล้ากลับเหนือกว่าหลายขุมนัก!
หลังจากที่อ้าวลี่จากไป จู่ๆเสียงหญิงสาวนางหนึ่งก็ดังขึ้นภายในถ้ำ
“ว่าอย่างไร เริ่มรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำไปหรือยัง?”
“แน่นอน! ข้าไม่คิดเลยว่า…ชายแก่ๆคนนี้จะตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่!”
หญิงสาวเงียบลงทันทีที่ได้ยินคำตอบนี้ เห็นได้อย่างชัดเจน นางไม่คิดเลยว่า อีกฝ่ายจะยอมรับถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ท่านบรรพบุรุษก็กล่าวขึ้นต่อว่า
“เขาได้รับโอกาสกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง นี่มีแนวโน้มสูงส่าโลกภายนอกกำลังประสบหายนะครั้งใหญ่ ไฉนเจ้า…ไม่ออกไปพบหน้าเขาหน่อยล่ะ?”
“ไม่ว่าอย่างไร ยามนี้เขาก็เติบโตจนดูแลตัวเองได้แล้ว กระทั้งท่านยังมิใช่คู่มือ เช่นนั้นแล้ว คิดว่าข้ายังไม่หมดห่วงอีกรึ?”
หญิงสาวนางนั้นเอ่ยตอบ
ท่านบรรพบุรุษถอนหายใจเสียงยาวเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
“เห้ออ… โชคชะตาช่างเล่นตลก!”
………………………
ตลอดค่ำคืนนี้ เสมือนว่าภายในใจเย่หยวนรู้สึกสับสนอลหม่านไปหมด
หากเป็นปกติแล้ว ในยามที่เขาไม่มีพันธกิจใด เย่หยวนจะนั่งสมาธิบ่มเพาะพลังอยู่ตลอด
แต่วันนี้หัวใจของเขารู้สึกร้อนรนสับสนไปหมด จนไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เขารู้สึกเช่นนี้มาโดยตลอดจนกระทั้งผล็อยหลับไปในยามเที่ยงคืน
เสมือนความจริงคล้ายความฝัน จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้จจำแลงกลายเป็นมังกรฟ้าตนหนึ่ง และทะยานเหาะออกจากร่างไป
จากนั้นวิญญาณมังกรฟ้าตนนี่ก็คดเคี้ยวกลางห้วงเวหาอยู่นาน ก่อนจะถ้ำหนึ่งพร้อมมุ่งหน้าเข้าไปโดยไม่ลังเล
แต่เมื่อมาถึงด้านหน้าปากถ้ำ เย่หยวนในร่างวิญญาณมังกรฟ้ากลับพบว่าคลื่นพลังอันอกร่งกร้าวสาดสะท้อนเข้าใส่
เขาวนเวียนอยู่หน้าถ้ำเป็นเวลานาน ก่อนจะทะยานกลับเข้าร่างยามรุ่งสาง
“พี่ใหญ่หยวน! พี่ใหญ่หยวน! ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
เสียงคร่ำครวญของลี่เอ๋อดังขึ้นข้างหู เย่หยวนสะดุ้งตื่นขึ้นทันที
ทั่วทั้งร่างกายของเขาเปียกชุ่มชโลมไปด้วยเหงื่อ คล้ายกับเพิ่งเอาตัวขึ้นจากน้ำมา
“ข้า…ข้าฝันไป? ไม่…ไม่ใช่ความฝัน! ถ้ำแห่งนั้นมิใช่ความฝัน!”
เย่หยวนพึมพำกับตนเองพร้อมทีท่าสุดร้อนรน
ลี่เอ๋อดูงุนงงอย่างยิ่งก่อนเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“ถ้ำอะไรรึ? พี่ใหญ่หยวนกำลังกล่าวถึงเรื่องอันใด?”
เย่หยวนนำลี่เอ๋อออกไปนอกเรือนพักทันที ในขณะที่กำลังเร่งฝีเท้า เขาก็หันมาบอกว่า
“มากับข้า ไปหาถ้ำนั้นกัน!”
อิ้งหมัวหู่ที่กำลังตรงมาหาทั้งสองเอง ก็พลันถูกเย่หยวนฉุกไปด้วยเช่นกัน แต่ในขณะที่จะเดินทางออกจากเผ่า ทั้งสามกลับถูกหยุดโดยอ้าวลี่
“พวกเจ้าจะไปไหน?”
อ้าวลี่กล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าเอาจริงเอาจัง
เย่หยวนสวนตอบทันทีอย่างห้วนๆว่า
“มิใช่ธุระของเจ้า หลบไป!”
อ้าวลี่ไม่ทราบว่าเย่หยวนไปหงุดหงิดมาจากไหน เขาพยายามอดกลั้นอารมณ์โกรธของตนและกล่าวตอบไปว่า
“ท่านบรรพบุรุษบอกว่า ท่านจะอาสาส่งเจ้ากลับไปเอง หากออกไปโดยพละการเช่นนี้ เกรงว่ามิใช่เรื่องดีกระมัง?”
“ดูเหมือนว่าดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้กำลังจะบอกใบ้อะไรข้า! เจ้าหลบไปซะ ข้าแค่ต้องการเสาะหาถ้ำที้เห็นในนิมิต! มิฉะนั้นอย่าหาได้ตำหนิว่านายน้อยผู้นี้ไร้เมตตา!”
เย่หยวนสกัดกั้นความวิตกกังวลงภายในใจ และกล่าวขึ้นอย่างเดือดดาล
ทันทีที่อ้าวลี่ได้ยินคำกล่าวของเย่หยวน เขาก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง
ถ้ำที่เย่หยวนเห็นในนิมิตนั้นอาจเป็นสถานที่เก็บตัวของท่านบรรพบุรุษก็เป็นได้
“ช่างน่าขัน! เรื่องของดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้จะไปเกี่ยวข้องกับเจ้าได้อย่างไร? อย่าคิดรังแกผู้คนจนเกินไปนัก!”
อ้าวชี่กล่าวโต้อย่างเยือกเย็น
เขาจะปล่อยให้เย่หยวนไปขัดจังหวะการบ่มเพาะพลังฝึกญาณของท่านบรรพบุรุษได้อย่างไรกัน?
เย่หยวนยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ความร้อนรนกังวลใจนี้กลับแน่นจุกอยู่กลางอก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเดินทางไปยังถ้ำแห่งนั้นให้ได้ เขากล่าวตอบด้วยเสียงกดลึกถึงขั้วนรกว่า
“หากยังไม่หลบไป ก็อย่าตำหนิว่านายน้อยผู้นี้ไร้เมตตา!”
อ้าวลี่ในยามนี้ก็อารมณ์เสียแล้วเช่นกัน เขาตอกสวนอย่างเยือกเย็นว่า
“ยังไงก็ไม่ให้ผ่านไปได้! มิฉะนั้นเกรงว่าต้องข้ามศพอ้าวผู้นี้ไปก่อน!”
“หึ! เช่นนั้นเตรียมรับมือ!”
เย่หยวนไม่พูดไม่จาใดๆอีก พร้อมซัดฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าออกไปเต็มสูบ!
ฝ่ามือนี้เย่หยวนไม่คิดออมมือแม้แต่น้อย ทันทีที่กระบวนโจมตีนี้ถูกปลดปล่อยออกมา สรรพสิ่งทั่วทั้งฟ้าดินต่างสั่นสะเทือนลั่น!
สีหน้าการแสดงออกของอ้าวลี่เปลี่ยนไปโดยพลัน ก่อนตอบโต้ไปโดยฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้ากลับไปเช่นกัน
แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่จำต้องแปลกใจอันใด
ฝ่ามือนี้ต่างปลุกสมาชิกเผ่ามังกรทุกคนคล้ายระฆังเตือนหายนะ ฝูงชนมากมายต่างแห่กรูกันเข้ามา ก่อนจะพบว่า พวกเย่หยวนได้จากไปแล้ว
แม้แต่ท่านประมุขอ้าวยังนอนแหงนมองฟ้าหมดท่า แล้วยังมีใครอีกที่สามารถหยุดเย่หยวนได้?
เย่หยวนใช้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตนนำทางเสาะหาร่องรอยไป ก่อนจะพบถ้ำที่ว่านั้นจริงๆ
ทันทีที่เย่หยวนเห็นถ้ำแห่งนี้ เขากลับยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจหนักเข้าไปใหญ่
“เป็นถ้ำแห่งนี้จริงๆ! ที่นี่เหมือนในฝันทุกประการ!”
เย่หยวนกล่าวขึ้น
“พี่ใหญ่หยวน มีอะไรซ่อนอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้กันแน่?”
ลี่เอ๋อกล่าวขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เย่หยวนส่ายหัวและกล่าวว่า
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เช่นนั้นไปหาคำตอบภายในนั้นกันเถอะ!”
เมื่อกล่าวจบทั้งสามก็เดินหน้าเตรียมเข้าสำรวจต่อทันที
แค่ทันใดนั้นฝีเท้าทั้งสามพลันหยุดชะงักแทบพร้อมกัน
เบื้องหน้าปรากฏร่างหนึ่งค่อยๆก้าวแช่มออกมาจากเงามืดด้านในถ้ำ ก่อนจะเผยใบหน้ประจักษ์ชัดขึ้น
นี่เป็นชายชราทั้งผลและเครายาวเป็นสีขาวนวล ภูมิฐานช่างดูสูงส่งและยิ่งใหญ่เจนศึกเข้ากับวัยอาวุโสเป็นอย่างยิ่งยวด
ทว่ากลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกจากร่างชายชราผู้นี้ กลับทำให้เย่หยวนใจสั่นสะท้านไม่หยุดหย่อนเช่นกัน
ชายชราผู้นี้มิใช่ง่ายเลยแม้แต่น้อย!
“พระเจ้าผู้นี้ส่งคนไปบอกแล้วมิใช่รึ? ไฉนมาถึงที่นี่?”
ชายชราผู้นั้นกล่าวขึ้นเจือน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย
ทว่าคำกล่าวของชายชราพลันทเอาทั้งสามตื่นตะลึงสุดขีด!
“เป็นไปได้อย่างไร?! ท่านผู้นี้….คือเซียนอาณาจักรพระเจ้า!!”
อิ้งหมัวหู่โพล่งอุทานลั่นด้วยความตกใจ
ชายชราผู้นั้นหัวเราะขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า
“หุหุ เซียนอาณาจักรพระเจ้ารึ? นั้นเป็นชื่อนานมาแล้ว ยามนี้ข้าคงเป็นแค่…อาณาจักรกึ่งพระเจ้า!”ตอนที่1245 ขุมพลังแห่งอาณาจักรพระเจ้า!
เมื่อชายชราผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น เย่หยวนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามเข้าปะทะแผ่นหน้าแสบร้อน
ความรู้สึกเช่นนั้นเสมือนกับเบื้องหน้าของเขาคือฟางเทียนที่ยืนอยู่
แรกพบประสบเจอชายชราผู้นี้ เย่หยวนคิดออกอยู่อย่างเดียวคือคำว่า แข็งแกร่ง!
และยังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
กระนั้นเองยิ่งเขาเข้าใกล้ถ้ำแห่งนี้มากเท่าใด หัวใจของเขาพลันสั่นระรัวเต้นแรงยิ่งขึ้นเท่านั้น
ณ ปัจจุบัน เย่หยวนรู้สึกราวกับหัวใจของเขาแทบกระโจนออกจากคอเขาแล้ว
และที่เย่หยวนใจสั่นขนาดนี้มิใช่เพราะชายชราตรงหน้าแน่นอน
ทว่าเป็นบางสิ่ง…ที่อยู่ภายในถ้ำ
“เย่หยวน หยุดอวดดีได้แล้ว!”
ในเวลานั้นเองอ้าวลี่และเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดของทั้งสี่เผ่าก็เร่งรุดตามมาเช่นกัน
เย่หยวนในยามนี้มิได้ใส่ใจพวกเขาเลยสักนิด ไม่ว่าอย่างเขาต้องทราบให้ได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในถ้ำกันแน่
“ท่านอาวุโส เย่หยวนคนนี้มิได้เจตนารบกวนท่าน ข้าแค่ต้องการเข้าไปดูในถ้ำเพื่อคลายความร้อนรนนี้เท่านั้น โปรดอนุญาตให้เข้าไปได้หรือไม่?”
เย่หยวนเร่งสงบสติอารมณ์ทันทีและเอ่ยเสียงเรียบสนทนากับชายชราผู้นั้นด้วยความใจเย็น
“สถานที่แห่งนี้เป็นบริเวณเก็บตัวของเราชายชรา หากมิใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ เจ้าไม่คิดหรือว่านี่จะเป็นการเสียมารยาทกันเกินไป?”
ชายชราผู้นั้นกล่าวตอบเสียงเย็น
เย่หยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า
“ผู้น้อยทราบดีว่าการกระทำนี้ของข้าค่อนข้างเสียมารยาทเกินไป ทว่าผู้น้อยกลับมีเหตุผลที่ต้องเข้าไปจริงๆ!”
ทั้งชาติก่อนหน้าและชาตินี้ สิริรวมเป็นเวลากว่าห้าร้อยปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนรู้สึกใจสั่นกระวนกระวายรุนแรงถึงเพียงนี้
เขามั่นใจอย่างยิ่งว่า ถ้ำแห่งนี้จะต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตัวเขาแน่นอน!
“ช่างน่าขันสิ้นดี! ถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่เก็บตัวของท่านบรรพบุรุษเป็นเวลาเนินนานแล้ว แล้วเจ้าคิดลบหลู่กันเช่นนี้รึ?”
อ้าวลี่กล่าวตะคอกสวนด้วยความโกรธ
เย่หยวนเหลียวมองอีกฝ่ายเล็กน้อยและกล่าวอย่างไม่แยแสขึ้นว่า
“มิใช่ธุระของเจ้า อย่ามาแส่!”
“เจ้า!”
อ้าวลี่โมโหจัดจนอกแทบระเบิดออกมา
ท่านบรรพบุรุษผู้นั้นสาดสายตาจับจ้องเย่หยวนอย่างพอเป็นพิธีและกล่าวขึ้นเสียงเรียบนิ่งว่า
“สหายตัวน้อย มีความลับของพวกเราเผ่าสี่สัตว์เทวะเก็บซ่อนอยู่ภายในถ้ำ เจ้ามีสายเลือดมังกรฟ้าที่แกร่งกร้าวก็จริง ทว่าสุดท้ายนี้ก็ปฏิเสธมิได้เลยว่าพื้นเพของเจ้าคือมนุษย์!”
คู่แววตาของเย่หยวนพลันหรี่แคบลงเล็กน้อย แม้วาจาคำกล่าวหรือกระทั้งน้ำเสียงของท่านบรรพบุรุษจะฟังดูไม่มีอะไรมาก ทว่านั้นกลับเป็นความจริงที่มิอาจฏิเสธได้เลย
ที่แห่งนี้เป็นของเผ่าสี่สัตว์เทวะ แต่เย่หยวนเป็นเผ่ามนุษย์!
เพียงวาจาคำกล่าวเดียวของท่านบรรพบุรุษก็เปรียบดั่งอาญาสิทธิ์สวรรค์ที่มิอาจฝ่าฝืน
แต่ทันใดนั้น เย่หยวนก็เรียกแท่งโลหะปรากฏขึ้นในมือทันที
แรงกดดันของเผ่ามังกรที่แผ่สะพัดออกมาจากแท่งโลหะนี้ ล้วนแล้วทำให้สีหน้าการแสดงออกของทุกคนเปรียบไปทันทร
กระทั้งท่านบรรพบุรุษที่รักษาความสงบเยือกเย็นมาโดยตลอด บัดนี้ยังต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง!
“ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์! หากย้อนกลับไปในปีนั้น ท่านประมุขรุ่นก่อนได้นำมันติดตัวไปและไม่เคยกลับมาอีกเลย! แต่ไฉนสิ่งนี้ถือปรากฏขึ้นในมือเจ้าได้?”
ท่านบรรพบุรุษโพล่งกล่าวขึ้นทันทีอย่างไม่น่าเชื่อ
“จงสดับต่อหน้าตรามังกรศักดิ์สิทธิ์! ในเมื่อท่านกล่าวว่า นี่เป็นความลับของเผ่าสี่สัตว์เทวะ เช่นนั้นข้าสงสัยว่า ตัวข้าในฐานะประมุขเผ่ามังกรรุ่นปัจจุบันมีคุณสมบัติตรวจสอบบางสิ่งที่อยู่ภายในถ้ำแห่งนี้ได้..หรือ..ไม่!?”
เย่หยวนลั่นวาจาดังสนั่นดุจประกาศิตสวรรค์จุติ
สีหน้าการแสดงออกของท่านบรรพบุรุษไสวรวนเรไม่หยุดหย่อน เขาไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่า เย่หยวนจะมีสมบัติเช่นนี้อยู่ในมือ
เห็นตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ประทับอยู่เบื้องหน้า เท่ากับประมุขมมังกรเสด็จมาเอง แม้ปัจจุบันเขาจะมีตำแหน่งเป็นถึงท่านบรรพบุรุษ แต่ก็มิอาจขัดคำสอนของเหล่าบรรพชนมังกรแห่งยุคบรรพกาลได้!
ทว่าเหล่าสมาชิกเผ่าโดยรอบ, ผู้อาวุโสสูงสุดของทั้งสี่เผ่า รวมไปถึงอ้าวลี่เองล้วนแต่จับจ้องภาพฉากเหล่านี้อย่างโง่งม
พวกเขารู้สึกได้ว่า ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์นี้ต้องมิใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไปแน่นอน แต่พวกเขาทั้งหมดต่างเกิดและเติบโตขึ้นในดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้ และไม่รู้ว่าตรามังกรศักดิ์สิทธิ์อันนี้มีความสำคัญอย่างไร
“ท่านบรรพบุรุษ สิ่งนี้คืออะไรกัน?”
อ้าวลี่อดใจเอ่ยปากถามมิได้
สิ่งนี้ถึงขั้นทำให้ท่านบรรพบุรุษรักษาความสงบไว้ไม่อยู่ เห็นได้ชัดว่ามันมิใช่เครื่องรางธรรมดาทั่วไป
“นี่คือ ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์! เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์สวรรค์ประจำเผ่ามังกร! ส่วนท่านประมุขท่านนั้นที่หายสาปสูญไปพร้อมกับตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ก็คือ ผู้คิดค้นวรยุทต่อสู้ของเผ่ามังกรที่พวกเจ้าใช้ในปัจจุบัน! และคำสอนของเหล่าบรรพชนที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมีดังนี้ : ผู้ใดครอบครองตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ ผู้นั้นคือประมุขเผ่ามังกร!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวอธิบายเสียงดังฟังชัด
แน่นอน คำอธิบายนี้ของท่านบรรพบุรุษทำเอาสีหน้าการแสดงออกของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก
อ้าวลี่อ้างปากค้างหุบไม่อยู่ ก่อนหันมองเย่หยวนด้วยสายตาสุดตะลึง
“เขา…เขาจะขึ้นกลายเป็นประมุขเผ่ามังกรได้อย่างไร? ขะ-เขา…เขาเป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น!”
“เหอะ เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น? มิใช่ว่าสายเลือดมังกรในกายของพี่ใหญ่ทั้งบริสุทธิ์และเข้มข้นกว่าเจ้าอีกรึไง? หากข้าไม่กล่าวคงไม่มีใครทราบกัน แท้ที่จริงแล้ว…ประมุขเผ่ามังกรรุ่นปัจจุบันในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คือ พี่ใหญ่ของข้าคนนี้! กระทั้งเจ้ายังอ่อนแอกว่า แล้วยังมีสิทธิ์พูดอะไรอีก?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพร้อมจับจ้องอ้าวลี่ด้วยสีหน้าสุดรังเกียจ
อ้าวลี่ถึงกับถอดสีหน้ายกใหญ่ ก่อนหันไปมองท่านบรรพบุรุษอย่างอดมิได้เพื่อยืนยันต่อสิ่งที่เขาได้ยิน
ท่านบรรพบุรุษพยักหน้าตอบช้าๆ นี่ถือเป็นการยอมรับว่าคำกล่าวของอิ้งหมัวหู่คือความจริงไปโดยปริยาย
สีหน้าแววตาของอ้าวหลีไร้ประกายสิ้นหวังสุดหัวใจ ความจริงข้อนี้เขาไม่สามารถยอมรับได้จริงๆ
“ท่านอาวุโสยังมีข้อกังขาอันใดอีกหรือไม่?”
เย่หยวนสาดสายตาจับจ้องท่านบรรพบุรุษอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน
ท่านบรรพบุรุษรำพึงรำพันอยู่ครู่ใหญ่ ค่อยเอ่ยปากขึ้นว่า
“ในเมื่อเจ้าคือผู้ครอบครองตรามังกรศักดิ์สิทธิ์รุ่นปัจจุบัน เช่นนั้น,เราชายชราขอทำความเคารพท่านประมุข! เพียงว่า…เราชายชราขอเสียมารยาทสักครา ถ้ำแห่งนี้…ท่านเข้ามิได้เป็นอันขาด!”
คำกล่าวของท่านบรรพบุรุษทำให้เย่หยวนประหลาดใจอย่างยิ่ง
เขาไม่คิดจริงๆว่า ชายชรายผู้นี้ที่เคารพกฎเกณฑ์ประเพณีของเผ่ามังกรอย่างเคร่งครัด สุดท้ายนี้ก็ยังไม่ยอมให้เขาเข้าอยู่ดี
แต่นี่ก็ยิ่งตอกย้ำความจริงเข้าไปใหญ่ว่า ภายในถ้ำแห่งนี้ต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่แน่นอน!
เย่หยวนเก็บตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ลงไปดังเดิมและกล่าวเสียงเย็นว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เย่คนนี้คงต้องเสียมารยาทสักเล็กน้อยแล้ว!”
เมื่อกล่าวจบร่างของเย่หยวนก็อันตรธานหายวับไปทันที
วิชาข้ามมิติ!
ทว่าคราวนี้กลับมีใครบางคนใช้วิชาข้ามมิติได้เร็วกว่าเขา!!
ในเสี้ยวอึดในเดียวกัน ร่างของท่านบรรพบุรุษเองก็อันตรธานหายไปจากจุดที่ยืนอยู่เช่นกัน
นั้นคือวิชาข้ามมิติที่เร็วกว่าของเย่หยวน!
บูมมมม!
เสี้ยวประกายโลหะสาดกระเซ็น เย่หยวนและท่านบรรพบุรุษเข้าแลกเปลี่ยนกระบวนนับสิบกลางห้วงมิติอย่างดุเดือด ทว่ากลับเป็นร่างของเย่หยวนที่ค่อยๆช้าลงจนปรากฏประจักสายตาทุกคนอีกครั้ง ก่อนกระเด็นออกไปนับหลายพันฉื่อกว่าจะทรงตัวยืนหยัดได้มั่นคง
ท่านบรรพบุรุษผู้นี้ช่างแกร่งกล้าเสียจริง!
อย่างไรก็ตามแต่ ท่านบรรพบุรุษก็ยังมิอาจหยุดยั้งความตั้งใจของเย่หยวนได้ สองฝ่ามือตั้งตระหง่านขึ้นชูเข้าใส่ เย่หยวนปลดปล่อยฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าเข้าโจมตีเต็มอัตราศึก!
“จุจุ สำเร็จชีพจรมังกรระดับศักดิ์สิทธิ์ได้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว สมแล้วที่เป็นยอดอัจฉริยะฟ้าประทาน! แต่นั้นยังไม่เพียงพอสำหรับโค่นล้มเราชายชรา!”
ท่านบรรพบุรุษคลี่ยิ้มบางและโต้สวนด้วยฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้ากลับไป!
บูมมม!!
หลังการปะทะครั้งรุนแรง แม้ด้านปราการป้องกันของเย่หยวนจักทรงพลังเหลือล้น ทว่าการโจมตีของอีกฝ่ายยังสามารถทะลวงด่านสร้างบาดแผลแสนสาหัสได้ เขาร่นถอยออกไปหลายร้อยก้าวพลางกระอักพ่นเลือดสดคำโต
“นี่หรือคือความแกร่งกล้าของเซียนอาณาจักรพระเจ้า? สมชื่อยิ่งแล้ว! แต่น่าเสียดาย…เหนือพิภพใต้แผ่นฟ้าแห่งนี้ไร้ซึ่งศาสตร์แห่งสวรรค์อีกต่อไป!”
เย่หยวนเค้นหัวร่อเย็นคำหนึ่ง ก่อนเรียกดาบพิชิตมารฟ้าออกมาในทันใด!
“บัวเพลิงปราณดาบพิโรธ!”
ในปัจจุบัน ไม่เพียงจิตสังหารแห่งดาบของเย่หยวนจะก้าวหน้าพัฒนาไปอย่างมาก กระทั้งเพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวเองก็ทรงพลังแกร่งขึ้นเป็นทวีเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ บัวเพลิงปราณดาบพิโรธนี้จึงทรงพลานุภาพยิ่งกว่าครั้งใดๆ!
เมื่อเห็นภาพฉากตรงหน้า สีหน้าการแสดงออกของอ้าวลี่พลันบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่!
ปรากฏว่า ทุกครั้งที่เย่หยวนปะทะกับเขา อีกฝ่ายกลับออมมือให้ตลอด!
บัวเพลิงปราณดาบพิโรธนี้ทรงพลังยิ่งกว่าฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าอย่างเห็นได้ชัด!
“ท่านบรรพบุรุษ ระวัง!”
อ้าวลี่แผดคำรามสุดเสียงด้วยความวิตก
เขาย่อมทราบ ท่านบรรพบุรุษเป็นยอดเซียนผู้น่าเกรงขามนิ่ง ทว่ายามนี้ ต่อหน้าการโจมตีสุดวิปลาสของเย่หยวน ท่านบรรพบุรุษจะสามารถทานทนได้ไหวหรือไม่ แม้แต่เขายังไม่กล้ารับประกัน!
แต่กระนั้นเอง ท่านบรรพบุรุ์เพียงยิ้มตอบเล็กน้อย ก่อนปลดปล่อยฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าเข้าสวนอีกครา!
ฝ่ามือในคราวนี้กลับทรงพลังยิ่งกว่าก่อนหน้าหลายขุมนัก!
บูมมมม!
หนึ่งกระบวนฝ่ามือปลดปล่อย เย่หยวนถูกซัดกระเด็นไปอีกครั้ง
หลังจากพยายามทรงตัวอยู่นาน เย่หยวนก็กลับมายืนหยัดได้ก็จริง ทว่ายามนี้สภาพร่างกายของเขากลับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อยแล้ว
“ศาสตร์แห่งสวรรค์ของท่านอาวุโสช่างลึกซึ้งยิ่งนัก! ท่านคงอยู่ไม่ไกลจากอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าแล้วกระมัง?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นเจือเสียงทุ้มต่ำ
ท่านบรรพบุรุษคลี่ยิ้มอย่างแผ่วเบา เขากล่าวว่า
“ไม่นานหลังจากที่เราชายชราทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้า ศาสตร์แห่งสวรรค์ก็หายสาบสูญไป ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่หลายปีมานี้ข้าเองก็เก็บตัวบ่มเพาะแนวคิดความเข้าใจอยู่นานไม่น้อย แล้วอย่างไร? ยังต้องการเข้าไปอีกหรือไม่?”
เย่หยวนสูดหายใจเข้าอย่างแช่มช้าและกล่าวว่า
“กระบวนสุดท้าย หากท่านอาวุโสยังสามารถรับมือได้อีก เย่คนนี้จะจากไปทันที!”
“จุจุ ท่านประมุขช่างแข็งแกร่งจริงๆ! แต่ในตอนนี้ท่านยังไม่เข้าคู่กับเราชายชรา! เมื่อใดที่ฝึกปรือจนพัฒนามากกว่านี้ ค่อยมาเยี่ยมเยือนกันยังไม่สาย! เราชายชรายังรออยู่เสมอ!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นพลางส่ายหัวเบาๆ เห็นได้ชัดว่า เย่หยวนยังอ่อนด้อยเกินไปในขณะนี้
ตอนที่1246 ดินแดนเนรเทศ
“กรรร!!”
เสียงมังกรคำรามแผดลั่นสะท้านสิบทิศ สีหน้าการแสดงออกของท่านบรรพบุรุษเปลี่ยนไปในทันที!
ท่านบรรพบุรุษย่อมทราบตระหนักดีว่า วรยุทธที่เย่หยวนปลดปล่อยชนิดนี้คืออะไร ดังนั้นแล้วจึงไม่มีใครประหลาดใจไปกว่าเขาแล้วใน ณ ที่แห่งนี้
เพียงว่าภายใต้สถานการณ์กะทันหันเช่นนี้ ท่านบรรพบุรุษไม่เหลือเวลามาตื่นตะลึงอันใดอีกต่อไป หากถูกเสียงแห่งจอมเทพมังกรของเย่หยวนเข้าเต็มสูบ กระทั้งเขาเองก็ไม่เหลือซากเช่นกัน!
แต่หลังจากชั่วอึดใจนี้เอง ปฏิกิริยาการตอบสนองของท่านบรรพบุรุษเองก็ใชว่าจะเชื่องช้า
ทันทีทันใดปรากฏคลื่นพลังผันผวนปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขา!
และคลื่นพลังผันผวนนี้สามารถลดทอนพลานุภาพของเสียงแห่งจอมเทพมังกรได้โดยตรง!
“นี่…นี่มันเสียงแห่งจอมเทพมังกร! เจ้านี่ไปรู้จักเสียงแห่งจอมเทพมังกรจากแห่งหนใดกัน?! เป็น…เป็นไปไม่ได้!”
อ้าวลี่โพล่งกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตะลึงสุดขีด
สำหรับเผ่ามังกรแล้ว มีตำนานกล่าวขานกันว่า เสียงแห่งจอมเทพมังกรเป็นสุดยอดวรยุทธสมัยบรรพกาล ไม่ว่ากาลอดีตหรือปัจจุบัน ความน่าสะพรึงกลัวของยังคงถูกเล่าสืบต่อกันผ่านตัวหนังสือที่สลักไว้จากรุ่นสู่รุ่น
ถึงแม้สุดยอดวรยุทธนี้จะหายสาบสูญเป็นเวลาเนินนานแล้ว ทว่าสมาชิกเผ่ามังกรทุกคนยังคงตระหนักทราบถึงความแกร่งกล้าของมันอย่างดี!
“มิใช่ว่าเสียงแห่งจอมเทพมังกรเป็นวรยุทธที่หายสาบสูญไปนานแล้วรึ? ไฉนมนุษย์คนนี้ถึงสามารถสำแดงใช้สุดยอดวรยุทธแห่งยุคบรรพกาลชนิดนี้ได้?”
“เหลือเชื่อ! เหลือเชื่อเกินไปแล้ว! ในตอนที่เขาปลดปล่อยฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าระดับศักดิ์สิทธิ์ออกมา ข้าก็แทบหยุดหายใจแล้ว แต่ใครจะไปคิด แม้กระทั้งเสียงแห่งจอมเทพมังกรเอง เขาก็สามารถใช้ได้เช่นกัน!!”
“นี่…นี่เขาใช่มนุษย์จริงๆรึ? หากกล่าวว่าเขาคือสมาชิกเผ่ามังกรที่ใช้วิชาปลอมแปลงมายังน่าเชื่อเสียยิ่งกว่า! ใครก็ได้บอกข้าที…ว่านี่เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?!”
………………
สุดยอดวรยุทธในตำนานที่หายสาบสูญไปเนินนาน ยามนี้ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งต่อหน้าสาธารณะ เหล่าสมาชิกเผ่ามังกรทุกคนรู้สึกดั่งฝันไป
ไม่เพียงแค่สมาชิกเผ่ามังกรเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดของอีกสามเผ่าที่เหลือยังแทบไม่อยากเชื่อสายตา
พวกเขาคาดไม่ถึงจริงๆว่า วรยุทธต่อสู้ของเผ่ามังกรในตำนานจะปรากฏขึ้นอีกครั้งบนตัวมนุษย์!
หนึ่งอึดใจ… สองอึดใจ!
เมื่อเย่หยวนเห็นว่า ตนไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของท่านบรรพบุรุษได้ เขาจึงกัดฟันแน่นผืนสำแดงใช้ต่อเป็นสามอึดใจเต็ม!
ในเวลานั้นเอง เสียงถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยพลันดังขึ้นจากภายในถ้ำ
เย่หยวนไม่สามารถทานทนได้ไหวอีกต่อไป เขาแทบหมดสติล้มทั้งยืน พร้อมเสียงมังกรคำรามที่หยุดลงในทันทีทันใด!
“พี่ใหญ่หยวน!”
เพียงสองอึดใจ ร่างกายเย่หยวนก็ถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ครั้งนี้นับว่าฝืนเกินกำลังมากไปจริงๆ กระทั้งร่างกายยังไม่สามารถประคองได้อยู่ เย่หยวนทรุดฮวบล้มลงในทันใด แต่ยังดีที่ลี่เอ๋อพุ่งเข้ามาประคองเขาได้ทัน
“พร๊วดดด!!”
ใบหน้าของท่านบรรพบุรุษซีดเผือกลงอย่างมาก ก่อนกระอักพ่นเลือดสดคำโตออกมา
ท้ายที่สุดนี้ กระทั้งเขาก็ไม่สามารถต้านรับเสียงแห่งจอมเทพมังกรได้สมบูรณ์!
“ท่านบรรพบุรุษ! ท่านเป็นอะไรหรือไม่!?”
เมื่อเห็นท่านบรรพบุรุษกระอักเลือดไม่หยุด อ้าวลี่และคนอื่นๆต่างอุทานขึ้นด้วยความตื่นตะใจอย่างมาก
ท่านบรรพบุรุษโบกมือปัด และหันมองเย่หยวนด้วยแววตาหลากอารมณ์ ก่อนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า
“เราชายชราเข้าใจแล้ว! ฮะ-ฮ่าฮ่า กลับกลายเป็นว่าสายตาคู่นี้ของข้าต่างหากที่ฝ้าฟาง! จุนเอ๋อ,เพราะเหตุนี้นี่เอง ที่เจ้ายังไม่ออกมาพบตั้งแต่แรก!”
หลังจจากสิ้นเสียงประโยคสุดท้าย ท่านบรรพบุรุษก็กวักมือเรียกเย่หยวนและชี้ไปยังด้านในถ้ำ
ความหมายช่างชัดเจนนัก เขากำลังเรียกเย่หยวนให้เข้าไป
“ท่านบรรพบุรุษ เรียกเขาเข้ามา”
ทันใดนั้นเอง พลันปรากฏเสียงหญิงสาวดังขึ้นจากภายในถ้ำ
สีหน้าการแสดงออกของอ้าวลี่และที่เหลือเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า นอกจากท่านบรรพบุรุษแล้ว ภายในถ้ำแห่งนี้ยังมีคนอื่นดำรงอยู่!
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เย่หยวนยิ่งรู้สึกใจสั่นเข้าไปใหญ่
เห็นได้ชัดว่า สุ้มเสียงนี่เขาไม่เคยได้ยินหรือรู้จักมาก่อน ทว่านั้นกลับทำให้เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์อย่างยิ่ง
“เจ้าเข้าไปข้างในได้แล้ว! แต่มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ข้าอนุญาต”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นเสียงเรียบ
เย่หยวนพยักหน้ารับคำและตรงเข้าไปภายในถ้ำทันที
“ท่านบรรพบุรุษ ภายในถ้ำนั้น…”
อ้าวลี่อดใจเอ่ยปากถามมิได้
“อ้าวจุน!”
ท่านบรรพบุรุษเองก็มิได้คิดบิดบังเช่นกัน และเอ่ยตอบไปตามตรง
สีหน้าการแสดงออกของอ้าวลี่ยิ่งตื่นตะลึงหนัก เขาโพล่งอุทานลั่นว่า
“ราชินีมังกรอ้าวจุน! นะ-นาง….นางยังไม่ตายรึ?”
อ้าวจุนนางนี้ใช้เวลาฝึกปรือเพียงพันปีเท่านั้นก็สามารถทะลวงขึ้นสู่ระดับเก้าขั้นสุดได้ แถมยังเข้าใจศาสตร์แห่งสวรรค์ในระดับลึกซึ้งยิ่ง
ความแกร่งกล้าของนางทรงพลังยิ่งกว่าอ้าวลี่ในปัจจุบันหลายขุมนัก
แต่ช่างน่าเศร้า เมื่อแปดร้อยปีก่อน นางหนีออกจากดินแดนสัตว์เทวะไปและซ้อนตัวอยู่ในหุบเขาเหวพระเจ้า
ต่อจากนั้นเป็นต้นมา เหล่าสมาชิกเผ่าในดินแดนสัตว์เทวะก็ไม่เคยมีใครเคยเห็นนางอีกเลย
ดังนั้นท่านบรรพบุรุษจึงเริ่มอุทิศทรัพยากรและคำสอนสั่งต่างๆให้แห่อ้าวลี่แทน หวังเพื่อปั้นเขาขึ้นมาแทนนางในฐานะประมุข
อ้าวลี่ไม่คิดไม่ฝันเลนว่า แท้ที่จริงแล้วนางจะอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้มาโดยตลอด!
ท่านบรรพบุรุษถอนหายใจเสียงยาวและกล่าวว่า
“เรื่องนี้ยากที่จะอธิบายในประโยคเดียว! แต่นางคงรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่งที่ได้พบหน้าลูกชายของนางอีกครั้ง”
“ละ-ลูกชาย?”
เหล่าสมาชิกเผ่าทั้งหมดต่างอุทานขึ้นด้วยความตกใจสุดขีด
“ถูกต้องแล้ว! เย่หยวนเป็นลูกชายของอ้าวจุน นางให้กำเนิดบุตรชายกับมนุษย์”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นอย่างแช่มช้า
ลี่เอ๋อและอิ้งหมัวหู่สบสายตากันไปมาอย่างรวดเร็ว ก่อนเผยถึงความประหลาดใจเกินพรรณนาออกมา
ทั้งสองคาดไม่ถึงเลยสักนิดว่า เย่หยวนยังมีภูมิหลังเช่นนี้อยู่ด้วย
ไม่น่าแปลกใจว่าไฉนเย่หยวนถูกรู้สึกผิดปกติหลังจากเข้ามาที่นี่
ในเวลานั้นเอง ท่านบรรพบุรุษพลันหยุดสายตาจับจ้องอิ้งหมัวหู่ด้วยความประหลาดใจ ก่อนกล่าวขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า
“โอ้…หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงเป็นลูกหลานของไป๋เซ่ออวี้? กลิ่นอายของเจ้าช่างคล้ายคลึงกับนางยิ่งนัก! หื้ม…กายวิญญาณพยัคฆ์ขาวสมบูรณ์ ไม่เลว! ช่างน่าประทับใจ! หากย้อนกลับไป๋เซ่ออวี้กับจุนเอ๋อ เจ้าสองสาวตัวแซ่บคู่นี้บังอาจผนึกกำลังสร้างภาพลวงตาเพื่อหลอกเราชายชราในปีนั้น! ฮ่าฮ่า… แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่า ลูกชายของทั้งคู่จะสามารถทำลายคำสาปนั้นได้!”
เมื่อกล่าวขึ้นถึงเรื่องวันวาน ท่านบรรพบุรุษพลันหัวเราะขื่นพลางส่ายหัวอย่างเศร้าใจ
ทั่วทั้งร่างอิ้งหมัวหู่สั่นเทาอย่างหนักเมื่อได้ฟังดังนั้น ประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด
“ทะ-ท่านบรรพบุรุษ สิ่งที่ท่านกล่าวไปหมายความอย่างไร?”
อิ้งหมัวหู่กลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากก่อนเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ฟังดังนั้น ท่านบรรพบุรุษจึงนั่งลงและเริ่มเล่าเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับดินแดนสัตว์เทวะให้ฟัง
อิ้งหมัวหู่ที่ได้ฟังเรื่องเล่าของท่านบรรพบุรุษ ก็อดรู้สึกประหลาดใจมิได้เลย
ปรากฏว่า เดิมสถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า ดินแดนเนรเทศ!
เผ่าปีศาจที่นี่ล้วนแล้วแต่ถูกเนรเทศออกมาเพราะก่ออาชญากรรมร้ายแรง จนไม่สามารถกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อีก!
ดินแดนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าบรรพชนต้นกำเนิดแห่งเผ่าสี่สัตว์เทวะ พวกเขาได้ร่วมมือกันสร้างอาคมผนึกดินแดนแห่งนี้เอาไว้ด้วยศาสตร์วิชาลับอันน่าสะพรึง
คนที่ถูกเนรเทศมายังที่นี่ เมื่อใดที่พวกเขาเดินทางออกจากดินแดนแห่งนี้ อายุของพวกเขาจะเดินเร็วขึ้นจนน่าตกใจและตายลงในท้ายที่สุด!
ยิ่งไปกว่านั้นเอง ลูกหลานของพวกเขาก็ไม่สามารถออกจากที่นี่ได้เช่นกัน!
นี่เป็นคำสาปอันน่าสะพรึงยิ่ง กล่าวได้ว่าความผิดผลาดเพียงครั้งเดียว ถึงขั้นถูกเนรเทศออกจากบ้านเกิด กระทั้งรุ่นลูกรุ่นหลานยังถูกขังอยู่ที่นี่โดยไม่มีวันเห็นแสงตะวันอีกต่อไป!
อย่ามองเสียว่าสถานที่แห่งนี้มีทั้งภูเขาสลักซ้อนเขียวขจี หรือน้ำทะเลสีใสบริสุทธิ์ ทว่าความจริงแล้วที่นี่คือคุกขนาดยักษ์ดีๆนี่เอง!
ตามที่ท่านบรรพบุรุษกล่าวเล่าไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาเนินนานมีสมาชิกเผ่าหลายต่อหลายคนพยายามหนีออกจากกรงขนาดยักษ์แห่งนี้
ทว่าหลังจากออกไป พวกเขากลับแก่ชราลงอย่างรวดเร็วและสิ้นใจตายลงในท้ายที่สุด
แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้าเองก็ไม่เว้น!
และปัจจุบัน ท่านบรรพบุรุษแห่งเผ่ามังกรผู้นี้ก็เป็น เซียนอาณาจจักรพระเจ้าคนสุดท้ายที่เหลือรอดอยู่ในดินแดนแห่งนี้
แน่นอนว่าเหล่าบรรพชนต้นกำเนิดแห่งเผ่าสี่สัตว์เทวะมิได้ต้องการให้ผลักไสให้พวกเขาสูญพันธุ์ตายลง แต่เพียงต้องการบ่มเพาะเมล็ดแห่งความหวังขึ้นมา
บรรพชนต้นกำเนิดทั้งสี่ตั้งเงื่อนไขไว้สองข้อ ขอเพียงบรรลุเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งได้ คำสาปนี้จะคลายออกโดยทันที หนึ่งคือ จะต้องมีใครบางคนทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าให้ได้ หรือสอง…สมาชิกภายในเผ่าจะต้องให้กำเนิดกายวิญญาณอันแข็งแกร่งขึ้น
ในปีนั้น อ้าวจุนกับไป๋เซ่ออวี้ ทั้งคู่เป็นพี่น้องร่วมสาบานที่สนิทสนมกันยิ่ง ทั้งสองได้จับมือกันวางแผนหนีออกจากดินแดนแห่งนี้ โดยการล่อลวงคนอื่นๆด้วยภาพมายาในทางทิศตะวันออก ในขณะที่พวกตนหนีไปทางทิศตะวันตก
คนหนึ่งหนีไปยังดินแดนไร้สิ้นสุดโดยผ่านทางดินแดนเทพอสูรต้องห้าม ในขณะที่อีกคนหนีจนไปโผล่ที่หุบเขาเหวพระเจ้า
ในตอนนั้น ท่านบรรพบุรุษโมโหโกรธเกรี้ยวอย่างมากต่อการกระทำของทั้งคู่ จึงสร้างค่ายกลป่าดอกท้อเข้าขว้างระหว่างดินแดนไว้
เพียงแต่ เขาคาดไม่ถึงจริงๆว่า หนึ่งในบรรดาลูกหลานของไป๋เซ่ออวี้จะให้กำเนิดกายวิญญาณพยัคฆ์ขาวสมบูรณ์ขึ้นจริงๆ
ในขณะที่ลูกชายของอ้าวจุนถึงขั้นให้กำเนิดฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงในตำนาน!
ตอนที่1247 ราชินีมังกรอ้าวจุน
ตรงเข้าสู่ส่วนลึกภายในถ้ำ เย่หยวนเร่งใช้พลังปราณทั้งหมดที่เหลืออยู่ผนึกเป็นเกราะลมปราณปกป้องตัวเองทันที
ยิ่งเขาก้าวย่างเข้าไปลึกเท่าไหร่ เย่หยวนก็ยิ่งใจสั่นมากขึ้น พร้อมไอเย็นหอบใหญ่ที่เจาะทะลุเข้าร่างกายอย่างหนาวเหน็บ
เบื้องหน้าปรากฎว่าสระน้ำบรรพกาลทั้งลึกและเงียบสงัด ไม่ว่าจะพยายามมองหาก้นสระอย่างไร ทว่ากลับไม่สามารถมองเห็นได้
ไอเย็นแผ่สะท้านในบริเวณนี้มิใช่ธรรมดา กระทั้งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังแทบเหยือกแข็งทะลุจุดศูนย์เช่นกัน
ไขกระดูกทั่วร่างเย็นจับใจ เย่หยวนถึงขั้นทั่วร่างสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว
เย่หยวนหรี่ตาแคบจับจ้องอย่างผิดสังเกต ก่อนโพล่งกล่าวขึ้นว่า
“นี่มัน…รัศมีเหมันต์นิรันดร์!”
“ถูกต้อง นี่คือรัศมีเหมันต์นิรันดร์! ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้รับสืบทอดศาสตร์วิชาจากเขามาเต็มๆ สัมผัสเย็นหอบหนึ่งเพียงชั่วครู่ก็รู้ทันทีว่าเป็นรัศมีเหมันต์นิรันดร์!”
สุ้มเสียงหญิงสาวดังออกจากเบื้องหน้า และนั้นเป็นเสียงเดียวกับที่เย่หยวนได้ยินตอนอยู่ข้างนอกอย่างแม่นยำ
เสียงนี้เรียบนิ่งปราศจากสภาวะอารมณ์ใด และนั้นทำให้ภายในใจเย่หยวนอลหม่านอีกครั้ง
รัศมีเหมันต์นิรันดร์นี้เกิดขึ้นบนแดนเหนือสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และนี่ยังเป็นหนึ่งในสมุนไพรสุดหายาก สำหรับใช้หลอมกลั่นโอสถที่มีคุณสมบัติธาตุน้ำโดยเฉพาะ
สิ่งนี้มีค่าหาที่เปรียบไม่ แม้แต่ปริมาณของมันแค่เศษเสี้ยวก็มีค่าเท่ากับหลายสิบเมืองเทวะรวมกัน
เหตุที่มันมีชื่อว่า รัศมีเหมันต์นิรันดร์เป็นเพราะ มันมีสถานะคล้ายน้ำไม่สามารถจับต้องได้ด้วยมือเปล่า และยังไม่มีวันละเหยหายไปไหนได้ แม้จะถูกปราณแห่งไฟหล่อหลอมสิบวันสิบคืนเต็ม มันก็ยังคงความเย็นนิรันดร์กาล
หากเป็นนักสู้อาณาจักรเต๋าลึกล้ำทั่วไป เผลอสัมผัสมันเข้าอาจถึงตายทันที!
อย่างไรก็ตามแต่ ไอเย็นไร้ขอบเขตภายในส่วนลึกของสระน้ำตรงหน้า กลับมีปริมาณรัศมีเหมันต์นิรันดร์ที่สูงมาก!
“ท่าน…ท่านคือ?”
เย่หยวกลืนน้ำลายอึดใหญ่ก่อนเอ่ยปากถามขึ้น
หญิงสาวนางนั้นถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง นางเอ่ยปากขึ้นว่า
“หยุนเอ๋อ… เจ้าโตขึ้นมา”
ทั่วทั้งร่างกายของเย่หยวนสั่นเทาหนัก เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนแทบทรุดฮวบลงบนพื้น
“หรือว่า…ท่านคือ…ท่านคือ…”
เสียงหายใจของเย่หยวนหอบถี่ อันที่จริงเขาพอจะคาดเดาได้มาตั้งนานแล้ว ทว่าเมื่อความจริงอยู่ตรงหน้า เขากลับกลายเป็นว่าทำอะไรไม่ถูกไปซะดื้อๆ
สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือ อีกฝ่ายอาจจะปฏิเสธเขาอย่างไร้เยื้อใย เย่หยวนกลัวความจริงเบื้องหน้าที่ต้องเผชิญ
เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยมีคำว่า‘แม่’มาก่อน
ระยะเวลากว่าห้าร้อยปีที่ผ่านมา ชีวิตของเขามีแต่พ่อที่อยู่ดูแลกันมาโดยตลอด
เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจวบจนมาถึงช่วงชีวิตปัจจุบัน เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งในดินแดนที่ไม่คุ้นเคยและเห็นความห่วงใยที่เหรินหงหลิงมอบให้ ซึ่งนั้นเป็นครั้งแรกที่เย่หยวนได้สีมผัสถึงความรักของแม่
เพียงแต่เย่หยวนทราบดี เขาเป็นแค่ตัวแทน‘เย่หยวน’เจ้าของร่างคนเดิมที่ตายไปแล้ว ความรักของผู้เป็นแม่นั้นมิใช่ของจักรพรรดิโอสถ,จี้ฉิงหยุนผู้นี้
ถึงกระนั้นเขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างมากที่ได้รับความรักจากแม่ แม้จะเป็นในนาม‘เย่หยวน’ก็ตามที
ทว่าในท้ายที่สุดนี้ เขาก็ยังเป็นจี้ฉิงหยุน!
“ถูกต้องแล้ว ข้าคือ…แม่ของเจ้า”
สุ้มเสียงของอ้าวจุนส่งผ่านออกมาอย่างแผ่วเบา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลายหลากมากอารมณ์พลันพรั่งพรูเข้ามาในหัวใจเย่หยวน แสนซับซ้อนหาที่เปรียบไม่
ทั้งดีใจ เสียใจ สงสัย โกรธ สรรพอารมณ์ล้วนผสมปนเปกันไปหมด เสมือนว่าตัวเขากำลังจะระเบิดออกมา
เขาไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า แม่ของตนคือใคร หน้าตาเป็นอย่างไร
และก็ไม่เข้าใจด้วยว่า ทำไมท่านพ่อถึงไม่เคยพูดถึงแม่เลย
ในที่สุด หลากหลายคำถามมากมายที่ถูกฝังลึกภายในจิตใจก็ถูกดึงออกมาอีกครั้ง
“ทำไม?!”
ร้อยพันอารมณ์ความรู้สึกกลั่นรวมกลายเป็นคำพูดเดียว
เย่หยวนย่อมไม่ทราบว่าที่นี่คือดินแดนเนรเทศ และมิได้รู้เรื่องราวของอ้าวจุนในอดีตเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นเมื่อเขาทราบว่าตนมีแม่ จึงรู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง!
ฟูวว…
ฟองอากาศจำนวนมากปรากฏขึ้นบนสระน้ำเหมันต์เย็น เงาขนาดใหญ่ค่อยๆปรากฏขึ้นเหนือผิวน้ำพร้อมเสียงหวือ ศีรษะมังกรขนาดมหึมาโผล่ออกมาและจับจ้องไปยังเย่หยวน
สองคู่สายตาเข้าเผชิญหน้ากัน สายตาคู่หนึ่งจับจ้องด้วยความตื่นตะลึง ในขณะที่อีกหนึ่งคู่สายตาจับจ้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่แสนอ่อนโยน
เย่หยวนรู้จักเผ่ามังกรเป็นอย่างดี ซึ่งมังกรฟ้าขนาดมหึมาตนนี้มีหน้าตาค่อนข้างเหี่ยวย่นและผิวหนังแห้งกร้าน เห็นได้ชัดว่ามันใกล้ถึงช่วงชีวิตสุดท้ายเป็นทนแล้ว
นอกจากนี้เอง โดยทั่วไปแล้วเผ่ามังกรจะนิยมคงสภาพในร่างมนุษย์ตลอดเวลา ทว่ายามใดที่แกนอสูรเกิดความเสียหายหนักหรืออ่อนแอจนพลังปราณไม่เพียงพอ พวกมันจะไม่สามารถรักษาความเสถียรพร้อมจำแลงกายกลับเป็นรูปลักษณ์เดิมของมัน
มังกรฟ้าที่ใกล้ตายตนนี้ หรือว่าจะเป็นแม่ของเขาจริงๆ?
แต่…ต่อให้นับรวมชาตินี้กับชาติก่อนหน้า เวลาเพิ่งผ่านไปแค่ห้าร้อยปีเท่านั้น
ดังนั้นแล้ว กาลเวลาผ่านเพียงห้าร้อยปี ไฉนแม่ของเขาถึงดูมีอายุขนาดนี้ได้?
“หยุนเอ๋อ ทั้งหมดเป็นความผิดของแม่เอง! แม้แม่จะเป็นคนให้กำเนิดเจ้ามา ทว่ากลับไม่มีโอกาสได้ดูแลเจ้าเลยแม้นสักวัน! แต่ตลอดห้าร้อยปีที่ผ่านมา ไม่มีวันใดที่แม่ไม่คิดถึงเจ้า!”
ก่อนหน้าสุ้มเสียงของอ้าวจุนนิ่งสงบดุจบ่อน้ำบรรพกาลไร้ระลอกคลื่น ทว่ายามนี้เสียงของนางกลับสั่นเทาด้วยความโศกเศร้าสุดขั้วหัใจ ลึกลงไปในดวงตามังกรคู่นั้น ปรากฏน้ำตาสีใสบริสุทธิ์ไสวเล็กน้อย
แต่ทันทีทันใดรัศมีกลิ่นอายชีวิตของอ้าวจุนก็ตกฮวบลง ดั่งว่าไฟแห่งชีวิตใกล้มอดดับเข้าไปทุกทีแล้ว
เย่หยวนที่เห็นภาพฉากดังกล่าวก็เข้าใจได้ในทันที พลังชีวิตภายในร่างของอ้าวจุนแทบไม่เหลืออยู่แล้ว!
ทันทีที่ตระหนักทราบเช่นนี้ เย่หยวนกลับตื่นตกใจยิ่งโดยมิตั้งใจ
“ท่าน…ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
เย่หยวนกล่าวถามขึ้นพร้อมความตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
แม้เขาจะไม่สามารถกล่าวได้ว่า พลังชีวิตของอีกฝ่ายเหลือมากน้อยขนาดไหน แต่เพียงนางเกิดอาการผันผวนทางอารมณ์เล็กน้อย กลับทำให้พลังชีวิตไร้เสถียรตกฮวบถึงขั้นนี้?
แม้ศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนจะท้าทายสวรรค์เพียงใด แต่เขาเองก็ไม่เคยพบเห็นสถานการณ์แบบนี้เช่นกัน
น้ำตามังกรไหลรินหยดลงมา อ้าวจุนกล่าวขึ้นอย่างโล่งใจว่า
“แม่ไม่เป็นไร ยามได้เห็นหน้าเจ้าอีกครั้ง แม่รู้สึกดีใจเหลือเกิน ต่อให้ต้องตายลงตอนนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรให้เสียใจอีกแล้ว แล้วพ่อเจ้า…ดูแลเจ้าดีไหม?”
“ดี…เขาดีกับข้ามา-ก!”
เย่หยวนโพล่งตอบทันทีตามใจเอ่ยสั่ง แต่ทันใดนั้น เขาก็เพิ่งคิดได้ว่า อ้าวจุนไม่สามารถรองรับอารมณ์ต่างๆได้มากนัก มิฉะนั้นจะส่งผลถึงพลังชีวิตโดยตรง จึงเร่งหยุดปากทันที
ในขณะเดียวกัน อ้าวจุนพยายามข่มกลั้นความรู้สึกต่างๆที่โฉบแล่นมาทันที ก่อนกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เกิดเหตุร้ายกับพ่อเจ้า?”
เห็นได้ชัดว่า คำกล่าวของเย่หยวนเช่นนี้พร้อมกับกิริยาท่าทางที่เปลี่ยนไปโดยพลันของเย่หยวน ทำให้อ้าวจุนสังหรณ์ไม่ดีในทันใด
เย่หยวนส่ายหัวและกล่าวว่า
“ท่านพ่อเพียงคิดการใหญ่เกินตัว เขาประสบอุบัติเหตุขึ้นในระหว่างการหลอมก็เลยต้องพักฟื้นเป็นการใหญ่”
อ้าวจุนนึกภาพตามและกล่าวว่า
“นั้นแหละ…สมแล้วที่เป็นเขา”
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางตอบพร้อมภายในใจที่ต้องเก็บซ่อนความจริงอย่างขมขื่น ไม่นานเขาก็เอ่ยปากถามต่อว่า
“ท่านช่วยบอกข้าหน่อยได้หรือไม่…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
อ้าวจุนถอนหายใจเฮือกใหญ่และเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นรวมไปถึงคำสาปแห่งดินแดนเนรเทศ
เย่หยวนที่ได้ฟังดังนั้นพลันตื่นตกใจอย่างหาที่เปรียบไม้ ยามนี้เขาเพิ่งจะมาเข้าใจว่า เหตุใดแม่ของเขาถึงทอดทิ้งเขาและพ่อไป
และท้ายที่สุดนี้ เหตุใดเขาถึงมีฤทัยแห่งฟ่านจู้หลง!
ความจริงทั้งหมดถูกไขกระจ่างชัดแจ้ง เขาคือลูกครึ่งมนุษย์มังกร!
“แม่ขอโทษ! แม่ไม่เคยทำหน้าที่แม่ที่ดีให้เจ้าได้เลยแม้แต่วันเดียว! หลายร้อยปีที่ผ่านมมา ทั้งเจ้าและพ่อของเจ้าต่างต้องประสบความทุกข์ทรมานโดยลำพัง!”
อ้าวจุนกล่าวขึ้นทั้งน้ำตา
“นั้นมิใช่ความผิดของท่าน! ท่านแม่ คำสาปของดินแดนแห่งนี้ไม่มีทางทำลายได้เลยรึ?”
อ้าวจุนส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เว้นเสียแต่บรรพชนต้นกำเนิดเป็นคนคลายคำสาปเอง มิฉะนั้นคำสาปนี้จะคงอยู่นิรันดร์กาล! หากเป็นเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนยังมีโอกาส หากใครสักคนเผ่ามังกรของข้าสามารถไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งอาณาจักรพระเจ้าได้ ยามนั้นคำสาปจะถูกคลายออกทันที ทว่าปัจจุบันศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสิ้นไปแล้ว แม้กระทั้งท่านบรรพบุรุษยังถูกระงับพลังไว้ที่อาณาจักรกึ่งพระเจ้าเท่านั้น”
แต่เย่หยวนที่ได้ยินดังนั้น คู่แววตาพลันเปล่งประกายขึ้นทันทีและกล่าวว่า
“บรรพชนต้นกำเนิด? ลูกคนนี้มีฤทัยแห่งฟ่านจู้หลง! ฟังว่า,ฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงคือกายวิญญาณดั่งเดิมของบรรพชนต้นกำเนิด! ตราบใดที่ลูกสามารถขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าและปลุกฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงได้ ถึงตอนนั้น ลูกอาจสามารถคลายคำสาปลงได้?”
“อะไรนะ?! เจ้า…เจ้ามีฤทัยแห่งฟ่านจู้หลง!?”
อ้าวจุนตื่นตะลึงสุดขีดเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ตำนานของฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงล้วนปรากฏอยู่ในความทรงจำสืบทอดของเผ่ามังกรทุกตน แต่กลับไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนและยากที่จะตรวจจับได้เช่นกัน
เพราะยังไม่เคยมีใครสามารถไต่เต้าจนประสบความสำเร็จเทียบเทียมบรรพชนต้นกำเนิดแห่งเผ่ามังกรมาก่อน!
ดังนั้นเอง แม้อ้าวจุนจะเป็นผู้ให้กำเนิดเย่หยวนมา แต่นางกลับหาทราบไม่ว่า เย่หยวนมีฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ตอนที่1248 เรื่องราวในอดีต
“ถูกต้องแล้ว! มิเช่นนั้นข้าจะใช้เสียงแห่งจอมเทพมังกรที่หายสาปสูญไปแล้วได้อย่างไร?”
เย่หยวนกล่าวขึ้น
อ้าวจุนพยายามสงบสติความตื่นตะลึงที่ก่อเกิดลงภายในใจ แต่กลับพบว่าเป็นเรื่องยากนัก
ในที่สุด นางก็เข้าใจเสียทีว่าสิ่งที่ท่านบรรพบุรุษได้กล่าวไปในคราแรกหมายความอย่างไร
เย่หยวนสามารถทำลายคำสาปได้จริงๆ!
แต่อ้าวจุนกลับไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า ลูกชายของตนจะมีฤทัยแห่งฟ่านจู้หลง!
ครู่ใหญ่ต่อมา นางถอนหายใจเล็กน้อยและกล่วาว่า
“ถึงแม้จะมีฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงก็เปล่าประโยชน์ เพราะในยุคสมัยปัจจุบัน ศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว”
สีหน้าแววตาของเย่หยวนเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เขากล่าวตอบทันทีว่า
“เพราะแบบนั้น ลูกคนนี้จึงเดินทางมายังหุบเขาเหวพระเจ้าเพื่อแสวงหาโอกาสบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า! หากเขากลายเป็นพระเจ้ามิได้ อย่างน้อยก็แค่ตาย!”
อ้าวจุนโพล่งกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า
“หยุนเอ๋อ ไฉนเจ้าถึงต้องแสวงหาพลังขนาดนี้?”
เย่หยวนมิได้คิดปกปิดใดๆและเล่ากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกภายนอกให้ฟังโดยสังเขป แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาเลือกที่จะไม่เล่าออกไป
อ้าวจุนในปัจจุบันเปรียบเสมือนตะเกียงไร้ไส้น้ำมัน นางไม่สามารถทนรับข่าวการตายของจี้เฉินหยังได้แน่นอน
หากมิใช่เพราะรัศมีเหมันต์นิรันดร์นี้ ด้วยสภาพเช่นนี้อ้าวจุนคงล่วงลับไปนานแล้ว
ส่วนรัศมีเหมันต์นิรันดร์นี้เป็นสิ่งที่จี้เฉินหยังใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อเสาะหามัน ในตอนที่เข้าสำรวจแดนเหนือสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ณ ปีนั้น
“แต่เขตพระเจ้าต้องห้ามมันอันตรายเกินไป! แม้กระทั่งเซียนอาณาจักรพระเจ้ายังยากที่จะรอดชีวิตออกมา แล้วเจ้าตัวคนเดียวยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่!”
อ้าวจุนกล่าวเตือนด้วยความกังวลใจ
ในท้ายที่สุดนี้ นางก็ได้พบหน้าลูกชายอีกครั้ง แน่นอนว่านางไม่ต้องการสูญเสียเขาไปแบบนี้เช่นกัน
เย่หยวนจับจ้องอ้าวจุนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น
“ลูกคนนี้มีเหตุจำเป็นที่ต้องไป และตอนนี้ก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งเพิ่มเข้ามา! ท่านไม่อยากออกไปพบกับท่านพ่ออีกครั้งรึ?”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ประดุจแสงแห่งความหวังสาดประกายขึ้นจากคู่ดวงตามังกรของอ้าวจุนทันที
เย่หยวนจำต้องพูดคำโกหกสีขาวเช่นนี้ออกไป เพียงเพราะไม่อยากให้ท่านแม่ต้องนั่งรอความตายอย่างสิ้นหวัง
เขาสูญเสียพ่อไปแล้วคนนึง และไม่ต้องการสูญเสียผู้เป็นแม่ไปอีกคน
ไม่ว่าความหวังจะริบหรี่เพียงใด แต่เย่หยวนก็จะช่วยท่านแม่ให้จงได้!
ต่อให้มองข้ามเรื่องนี้ไป ไม่ว่าอย่างไรเย่หยวนต้องบรรลุอาณาจักรพระเจ้าให้ได้ เพื่อกำจัดเผ่าปีศาจให้สิ้น พวกมันเหล่านั้นคือฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเขา และเขาไม่มีวันอยู่ร่วมใต้แผ่นฟ้าเดียวกันได้!
หากเย่หยวนไม่สามารถสังหารข่านนั่วได้ กลับเป็นเขาเสียเองที่ต้องตาย!
แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ เย่หยวนมิได้หยิบมาเล่าให้อ้าวจุนฟัง
สำหรับอ้าวจุน เย่หยวนคือความชอบธรรมของเผ่ามนุษย์ไปโดยปริยายแล้ว
สุดท้ายนี้ เขาได้กลายเป็นผู้สืบทอดมรดกของเซียนเต๋าสวรรค์ และยังเป็นบุตรแห่งประกาศิตสวรรค์อีกด้วย
นี่จึงเป็นภาระที่เขาต้องแบกรับมันเอาไว้
เมื่อเห็นแววตาอันมุ่งมั่นของเย่หยวน อ้าวจุนก็ตระหนักทราบทันที ไม่ว่าจะพูดอย่างไรต่อนางก็มิอาจโน้มน้าวลูกชายคนนี้ได้ เช่นนั้นจึงถอนหายใจเสียวยาวพลางกล่าวว่า
“นี่เจ้าถอดแบบมาจากพ่อเจ้าไม่มีผิด หัวรั้นกันทั้งคู่!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มตอบ แต่มิได้กล่าวอันใดต่อ
มาถึงจุดนี้ ปมในใจของเย่หยวนล้วนถูกคลี่คลายขจัดโดยสิ้น และเขาเองก็ยอมรับในตัวอ้าวจุนในฐานะแม่ด้วยความเต็มใจ
แม้ยามพบหน้ากันครั้งแรกจะเต็มไปด้วยหลายหลากอารมณ์ที่พรั่งพรูโถมเข้าใส่
ทว่าทั้งสองก็กลับมาสมานเชื่อมกันดังเดิม สายเลือดมิอาจตัดขาดกันได้ในท้ายที่สุด
ทั้งสองที่มิได้เคยพบหน้ากันตลอดมา ยามนี้มีโอกาสใช้เวลาร่วมกันและการสนทนาระหว่างทั้งสองกินเวลายาวนานถึงห้าวันห้าคืนเต็ม!
ในระยะเวลาห้าวันมานี้ เย่หยวนก็กระจ่างชัดกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีต
ปรากฏว่า หลังจากที่อ้าวจุนหนีออกจากดินแดนเนรเทศนี้ได้สำเร็จ นางก็วิ่งไปชนเข้ากับจี้เฉินหยังและพรรคพวกในเขตพระเจ้าต้องห้ามโดยบังเอิญ
แต่เนื่องจากการเดินสำรวจภายในหุบเขาเหวพระเจ้าโดยลำพังเป็นเรื่องที่อันตรายเสี่ยงตายมาก ดังนั้นจี้เฉินหยังจึงเชื้อเชิญอ้าวจุนให้เข้าร่วมกลุ่มเดินทางไปกับพวกเขา
ต่อมา หลังการผจญภัยสุดทรหดในหุบเขาเหวพระเจ้าได้สิ้นสุดลง จี้เฉินหยังและอ้าวจุนก็มีความรู้สึกดีๆให้กัน อ้าวจุนจึงติดสอยห้อยตามจี้เฉินหยังกลับไปยังหอราชันย์โอสถ
แต่เพียงไม่นานก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น!
จี้เฉินหยังพบว่า อ้าวจุนแก่เร็วเกินไป!
ทั้งสองอยู่ร่วมกันเพียงสองร้อยปี ทว่าอ้าวจุนกลับดูแก่ลงเกือบหนึ่งหมื่นปี!
หลังจากที่จี้เฉินหยังพยายามตื้อถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า อ้าวจุนก็ยอมปริปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
สิ่งเดียวที่อ้าวจุนคาดหวังในเวลานั้นคือ นางไม่ต้องการแยกจากจี้เฉินหยังไป แต่นั้นกลับเป็นเรื่องที่ต้องทำใจในท้ายที่สุด
จี้เฉินหยังพยายามเสาะหาวิธีต่างๆเพื่อชะลอความแก่ชราของอ้าวจึนอย่างสุดความสามารถที่มี
เขารักอ้าวจุนนางนี้เป็นอย่างที่สุด และพยายามที่จะไม่มีบุตร
นั้นเป็นเพราะหากคลอดบุตรออกมา อ้าวจุนจะยิ่งแก่ชราเร็วขึ้นเป็นเท่าทวี!
ทว่ากลับเป็นอ้าวจุนเองที่เลือกจากไปโดยไม่คิดกล่าวคำอำลาใด เนื่องจากทราบว่าตนกำลังตั้งครรภ์เย่หยวนและไม่ต้องการให้จี้เฉินหยังเป็นกังวลหนักไปกว่านี้
ดังนั้นนางจึงเดินทางกลับไปยังดินแดนเนรเทศ!
ในช่วงเวลานั้นเอง จี้เฉินหยังพลันได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องรัศมีเหมันต์นิรันดร์เข้า เขาจึงออกเดินทางไปยังทางเหนือสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อตามหารัศมีเหมันต์นิรันดร์
ต่อมาเขาตรงปรี่เข้าสู่หุบเขาเหวพระเจ้าและพยายามเดินทางกลับไปยังสถานที่ที่พบกับอ้าวจุนครั้งแรก ทว่าสถานที่แห่งนี้กลับถูกป่าดอกท้อกั้นขวางไว้อยู่
เขาละทิ้งความหวาดกลัวไปโดยสิ้นและพุ่งเข้าสู่ค่ายกลป่าดอกท้อโดยมิได้ลังเล แต่จี้เฉินหยังเกือบจะถูกฆ่าทิ้งโดยค่ายกลเหล่านี้
ทั้งหมดเป็นเพียงเพราะอ้าวจุนอ้อนวอนต่อท่านบรรพบุรุษมิให้ลงมือกับจี้เฉินหยัง ส่งผลให้เขารอดตายออกมาอย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้น จี้เฉินหยังก็ดึงดันปรารถนาที่จะอยู่ในดินแดนเนรเทศแห่งนี้กับอ้าวจุนให้ได้ ทว่าอย่างไร ท่านบรรพบุรุษกลับปฏิเสธแบบหัวชนฝา!
จี้เฉินหยังจึงต้องจำใจละทิ้งนางไว้เบื้องหลัง ก่อนจากไป เขาได้มอบรัศมีเหมันต์นิรันดร์ให้แก่อ้าวจุน และนำตัวเย่หยวนที่ยังเป็นทารกกลับออกไปด้วยกัน
ภายในดินแดนเนรเทศแห่งนี้ ทำให้ความแก่ชราของอ้าวจุนชะลอตัวลงอย่างมาก ผนวกกับรัศมีเหมันต์นิรันดร์ของจี้เฉินหยัง นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอ้าวจุนถึงยังมีชีวิตยืนยาวจวบจนปัจจุบัน
เว้นเสียแต่ อ้าวจุนในยามนี้คล้ายคนตายที่ยังมีลมหายใจ นางไม่สามารถออกจากสระน้ำเหมันต์เย็นแห่งนี้ได้เลย
นางพยายามตัดทุกอารมณ์ทิ้งไป หวังเพื่อเบี่ยงความสนใจอยู่กับการยื้อชีวิตไปในแต่ละวัน
เมื่อเย่หยวนได้ยินเหตุการณ์ทั้งหมด เขาก็ได้แต่ถอนหายใจไม่รู้จบ
ช่างเป็นชะตากรรมที่น่าขมขื่นใจโดยแท้!
เย่หยวนในตอนนี้ตระหนักได้ทันทีว่า เหตุใดท่านพ่อของเขาถึงต้องเดินทางไปยังหุบเขาเหวพระเจ้าเป็นประจำทุกหนึ่งถึงสองปี
ในตอนนั้นเขาคิดเสมอว่า ท่านพ่อคงต้องการเสาะแสวงหาโอกาสเพื่อขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า หรือสมบัติที่บรรพชนรุ่นหลังทิ้งเอาไว้ให้ แต่ไม่คิดเลยว่า ยังมีเหตุผลนี้ซ่อนแฝงอยู่
แม้จะถูกแยกจากกันโดยป่าดอกท้อ ทว่านั้นกลับไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดของทั้งคู่ลงได้เลย
ช่างเป็นเรื่องแย่นักที่ทั้งสองถูกพรากจากกันตลอดกาล
ถึงตอนนี้ คนที่จี้เฉินหยังเฝ้ารออยู่เสมอมาจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้วก็ตาม ทว่าเจ้าตัวกลับไม่อยู่เสียแล้ว
……………………..
ห้าวันต่อมา…
เย่หยวนก้าวแช่มออกจากภายในถ้ำ สายตาของเขาเลื่อนมองไปยังท่านบรรพบุรุษพร้อมจับจ้องด้วยอารมณ์ที่หลายหลาก
“หุหุ หากเจ้าต้องการแก้แค้นข้าในตอนนั้น ก็เชิญเข้ามาเถอะ”
ท่านบรรพบุรุษคลี่ยิ้มด้วยความเข้าใจ
เย่หยวนจับจจ้องอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนสายตาออกพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า
“ช่างมันเถอะ ข้าเองก็เข้าใจท่าน ท่านแม่คล้ายคนป่วยติดเตียงไร้ซึ่งความหวัง ท่านคงไม่ต้องการให้ท่านพ่อกับข้าอาศัยอยู่ในคุกยักษ์แห่งนี้ ถึงพวกเราจะสามารถออกไปได้ แต่ท่านก็ทราบดี พวกเราคงไม่ยอมออกไปโดยทิ้งท่านแม่ไว้เช่นกัน นั้นคงไม่ต่างอะไรจากคุกในใจ นั้นจึงเป็นเหตุให้ท่านไล่ข้ากับท่านพ่อไปตั้งแต่ตอนนั้น ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”
รอยยิ้มบางของท่านบรรพบุรุษจางหายไปทันที ก่อนขยับขยายสายตาจับจ้องเย่หยวนพร้อมแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ
เขาคาดไม่ถึงเลยว่า เย่หยวนจะกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา
“ฮ่าฮ่า จุนเอ๋อ,เจ้าให้กำเนิดบุตรชายที่ดีจริงๆ!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นพลางหัวเราะออกมาโดยพลัน
“แต่เพียงว่า ท่านมีสิ่งใดมารับประกันได้บ้างว่า ข้าจะปลอดภัยดีหลังจากที่กลับออกไปสู่โลกภายนอก? หากการสันนิฐานของข้าถูกต้อง เป็นเพราะฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงในกายข้า?”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวตอยพร้อมรอยยิ้มว่า
“เพราะเจ้าเป็นมนุษย์! คำสาปในดินแดนแห่งนี้จะมีผลก็เฉพาะกับเผ่าอสูรเท่านั้น! ตราบใดที่เจ้าอยู่ที่นี่ไม่เกินครึ่งปีย่อมกลับออกไปได้ปลอดภัยหายห่วง แต่หากคนภายนอกที่หลงเข้ามาที่นี่อยู่นานเกินกว่านั้นจะโดนคำสาปกลืนกินด้วยเช่นกัน! แต่ไม่มีใครทราบว่า คำสาปนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าหรือความจริง อีกหนึ่งเหตุผลที่ข้าไล่พวกเจ้าออกไปก็เพราะเรื่องนี้เช่นกัน”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“เป็นเช่นนี้นี่เอง! ท่านบรรพบุรุษ,ข้ายังมีอีกหนึ่งข้อสงสัยต้องการไถ่ถาม”
ท่านบรรพบุรุษพยักหน้าและกล่าวว่า
“กล่าวมาเถอะ”
“ก่อนหน้านี้ ตอนที่ข้าสัประยุทธกับสี่ผู้อาวุโสสูงสุด พวกเขาได้สำแดงใช้กระบวนโจมตีผสวนบางอย่าง จนก่อกำเนิดเป็นอนุภาพทำลายล้างที่ทรงพลังยิ่ง ข้าสงสัยว่านั้นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้น หรือทั้งสี่ได้ซุ่มฝึกเคล็ดวิชาลับร่วมกัน?”
เย่หยวนกล่าวถามด้วยทีท่าอยากรู้อยากเห็นยิ่ง
ท่านบรรพบุรุษลูบเครายาวไปพลาง ก่อนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“สิ่งที่เจ้ากล่าวคงหมายถึง ต้นกำเนิดแห่งอัตลักษณ์สี่สัตว์เทวะ?”
ตอนที่1249 เปิดใช้งานตรามังกรศักดิ์สิทธิ์!
“ต้นกำเนิดแห่งอัตลักษณ์สี่สัตว์เทวะ?”
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันใด ไม่คาดไม่ฝันเลยว่า นี่จะเป็นคำตอบทั้งหมดที่เขาสงสัย
หลังจากที่ศาสตร์แห่งสวรรค์สาบสูญหายไป เผ่าอสูรในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากมหาศึกสัประยุทธ์เมื่อห้าหมื่นปีก่อน เผ่าสี่สัตว์เทวะสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมหาศาล
แม้ว่าตอนนี้ยังมียอดเซียนรุ่นลายครามอย่างหลงหมิ่นอยู่ ทว่าโดยรวมแล้วเดผ่าอสูรยังคงอ่อนแอกว่าเผ่ามนุษย์อยู่ดี
กาลเวลาที่เวียนไหลดุจสายวารีนี้ ยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกมากมายที่เร้นซ่อนและรอวันเปิดเผยอยู่
และเย่หยวนมิอาจทราบได้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วต้นกำเนิดแห่งอัตลักษณ์สี่สัตว์เทวะคืออะไรกันแน่
เผ่าสัตว์เทวะทั้งสี่ล้วนมีบรรพชนต้นกำเนิดผู้เป็นตำนาน พละกำลังฝีมือควบคุมฟ้าดินได้ดั่งใจนึก กระนั้นเอง…บรรพชนต้นกำเนิดเหล่านี้มาจากที่แห่งหนใดกัน?
ท่านบรรพบุรุษกล่าวตอบอย่างแช่มช้าว่า
“เผ่ามังกรฟ้าแห่งทิศตะวันออก เผ่าพยัคฆ์ขาวแห่งทิศตะวันตก เผ่าวิหคเพลิงแห่งทิศใต้ และเผ่าเต่าดำแห่งทิศเหนือ นี่คือสัตว์เทวะผู้ยิ่งใหญ่แห่งจตุทิศ ในครั้นบรรพกาลท่านบรรพชนต้นกำเนิดทั้งสี่มีหน้าที่ปกปักรักษาทั้งสี่ทิศในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกท่านทั้งสี่ผนึกกำลังช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาโดยตลอด ยามใดผนึกกำลังเข้าผสานสัประยุทธ์ ยามนั้นแม้กระทั้งยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ายังไร้ต้าน! ฟังว่า ภายใต้ยอดสัประยุทธ์ผสาน,ค่ายกลสี่อัตลักษณ์เทวะ โบกมือสะบัดหนึ่งครา ยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชีพวายนับร้อยพัน!”
เพียงได้ยินดังนั้นกระจิตกระใจของเย่หยวนถึงกับปั่นปวนหนัก
การดำรงอยู่ในระดับชั้นยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าทรงพลังเพียงใด กระทั้งเย่หยวนยังไม่สามารถจิตนาการถึงได้
แต่นี่…เพียงโบกมือปัดออกไป ก็สามารถสังหารยอดเซียนระดับชั้นนี้นับร้อยพันชีวิต!
เหล่าบรรพชนต้นกำเนิดแห่งเผ่าสี่สัตว์เทวะคือสิ่งมีชีวิตแบบใดกันแน่?
“ท่านบรรพชนต้นกำเนิดทั้งสี่คือใครกันแน่?”
เย่หยวนอดเอ่ยปากถามมิได้
ทว่าท่านบรรพบุรุษกลับส่ายหัวและกล่าวว่า
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน! แค่ทราบเพียงว่า พวกท่านแกร่งกล้าหาผู้ใดทัดเทียมไม่! ความทรงพลังของพวกท่านทั้งสี่มิใช่สิ่งที่พวกเราสามารถจินตนาการได้แม้แต่เศษเสี้ยว! ถามว่าแกร่งกล้าเพียงใด คงมีแค่ทั้งสี่เท่านั้นที่ทราบกันและกัน!”
เย่หยวนสูดไอเย็นแช่มเต็มปอดอย่างตื่นตะลึง ภายในจิตใจช่างรู้สึกโกลาหลอย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เหล่าบรรพชนต้นกำเนิดทั้งสี่ดำรงอยู่มานานกว่าล้านปีแน่นอน
ถ้าเช่นนั้นแล้ว แสดงว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เก่าแก่กว่าเท่าใด?
แต่ไฉนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบันถึงตกต่ำถึงจุดนี้ได้?
เย่หยวนพบว่า ยิ่งตนรู้มากเท่าใด ความจริงกลับยิ่งหยั่งลึกลงไปมากขึ้นเท่านั้น
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเคยรู้จักกลับเป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น
“วรยุทธต่อสู้ของเผ่าสี่สัตว์เทวะได้ถูกถ่ายทอดลงมาจากรุ่นสู่รุ่น และเมื่อทั้งสี่เผ่าผนึกกำลังรวมกัน พวกเขาจะสามารถปลุกกระตุ้นพลังที่แฝงซ่อนในสายเลือดออกมา ในเวลานั้นจะสามารถเพิ่มพูนความแกร่งกล้าได้เป็นเท่าทวีในช่วงระยะเวลาหนึ่ง”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้น
“เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
เย่หยวนที่ได้ฟังเช่นนั้นจึงเข้าใจได้ทันที
ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่เผ่าอยู่ต่ำกว่าสิบจอมราชันย์อย่างเห็นได้ชัด
แต่เมื่อทั้งสี่ผนึกพลังโจมตีร่วมกัน นั้นกลับทรงอนุภาพเสียยิ่งกว่าระเบิดเวทย์สวรรค์ของจอมราชันย์แห่งความมืด,ซือกงซ่าง
นี่มิจำเป็นฝึกปรือร่วมกันใดๆ มันคล้ายสัญชาตญาณที่อยู่ในสายเลือดในกายของพวกเขา
“หุหุ เพียงว่าทั้งสี่อ่อนแอเกินไปจึงไม่สามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้ หากเป็นการผสานโจมตีระหว่างเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้า นั้นสามารถสัประยุทธ์ข้ามระดับได้อย่างมิใช่ปัญหา!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวอธิบาย
ม่านตาดำเย่หยวนหดเล็กเท่ารูเข็มในทันใดที่ได้ยินวาจาคำกล่าวของท่านบรรพบุรุษ
สำหรับเซียนอาณาจักรพระเจ้าด้วนกันแล้ว การสัประยุทธ์ข้ามระดับนับเป็นเรื่องยากเกินจินตนาการได้
แม้จะเป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด แต่นั้นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะเข้าคู่กับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า
ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาศาสตร์ลับใด ก็ไม่มีทางชดเชยความแตกต่างระหว่างอาณาจักรพระเจ้าได้
ทันทีทันใด ราวกับเย่หยวนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยปากถามขึ้นทันทีว่า
“ค่ายกลเจ็ดพิชิตจอมทัพพยัคฆ์ขาวของเผ่าพยัคฆ์ขาว… ค่ายกลจอมทัพเจ็ดเซียนดาราของเผ่ามังกรฟ้า… ค่ายกลทั้งสองชนิดคือการอัญเชิญจิตวิญญาณผู้พิทักษ์ออกมาเหมือนกัน เช่นนั้นข้าสงสัยว่า หากทั้งสี่เผ่าอัญเชิญจิตวิญญาณผู้พิทักษ์ออกมาพร้อมกัน นั้นจะสามารถผนึกกำลังโจมตีผสานได้หรือไม่?”
หากย้อนกลับไปในตอนนั้น จี้ฉางหลานเองก็ต้องการจับจิตวิญญาณพยัคฆ์ขาวกลับไปเช่นกัน ทว่ากลับถูกขัดขวางโดยเย่หยวนเสียก่อน
เป็นที่ชัดเจนว่า เป้าหมายของมันคือจิตวิญญาณพยัคฆ์ขาวเท่านั้น มิใช่ต้องการล้างบางเผ่าพยัคฆ์ขาวแต่อย่างใด
ที่เย่หยวนเอ่ยถามออกไปแบบนี้ก็เพราะพลันนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นได้
ท่านบรรพบุรุษพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ค่ายกลเจ็ดจอมทัพของเผ่าสี่สัตว์เทวะ แต่เดิมเมื่อผสานรวมกันเป็นหนึ่งจะถูกเรียกว่า ค่ายยี่สิบแปดจอมทัพสวรรค์ ค่ายกลทั้งสี่ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพชนต้นกำเนิดทั้งสี่ท่าน โดยที่พวกท่านได้ทิ้งร่องรอยพลังเอาไว้เพื่อปกปักรักษาเผ่าของตน และนั้นยังได้ชื่อว่าค่ายกลพิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน ทว่ายามนี้ศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสิ้น จิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่จึงอ่อนแอลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม…หากจิตวิญญาณทั้งสี่ได้ผนึกกำลังรวมกันเป็นหนึ่ง พลานุภาพที่ก่อเกิดย่อมเกินจินตนาการแน่นอน”
เย่หยวนลดสายตาลงเล็กน้อย จนถึงตอนนี้ เขาก็รู้สึกได้ลางๆว่า เป้าหมายที่แท้จริงของข่าวนั่วกลับมิใช่การยึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด
ข่านนั่วเคยกล่าวถึงสถานที่บางแห่งมีนามว่า‘ดินแดนพฤกษานิรันดร์’ ดูเหมือนว่านั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
เย่หยวนมักค้นพบเรื่องราวแปลกประหลาดและยากจะหาคำตอบได้อยู่เสมอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เอง แม้แต่ฟางเทียนก็ไม่สามารถให้คำตอบได้เช่นกัน
ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็หาได้สำคัญไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันคือ การกำจัดข่านนั่ว!
ตราบใดที่เขาสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ ยามนั้นเพียงอาศัยเสียงแห่งจอมเทพมังกรก็สามารถดับชีพข่านนั่วได้ตลอดกาลแน่นอน
แม้ความแข็งแกร่งของเย่หยวนจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดเพียงใด แต่หากมิใช่เซียนอาณาจักรพระเจ้า ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ต่างจากมหาศึกที่ผ่านมาในกาลอดีตเลย
“เจ้ากำลังจะไปแล้ว?”
ท่านบรรพบุรุษเอ่ยถามขึ้น
เย่หยวนกลับมาได้สติอีกครั้งหลังจากฟังเรื่องเหลือเชื่อมามากมาย เขาพยักหน้ากล่าวตอบว่า
“ข้าจำต้องเข้าสำรวจในเขตพระเจ้าต้องห้าม เพื่อเสาะหาโอกาสที่จะบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า!”
สายตาของท่านบรรพบุรุษหรี่แคบลงคล้ายมีดคม สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นหลายส่วนก่อนกล่าวขึ้นว่า
“เขตพระเจ้าต้องห้ามเป็นสถานที่ที่แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้ายังไม่กล้าย่างกรายเข้าไป!”
เย่หยวนพยักหน้าพลางกล่าวตอบว่า
“แต่นั้นเป็นสถานที่เดียวที่จะทำให้ข้ากลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้! ท่านบรรพบุรุษ,บางทีข้า…ข้าอาจสามารถพาพวกท่านออกไปพบแสงตะวันอีกครั้งได้!”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทั่วทั้งร่างของท่านบรรพบุรุษพลันสั่นเทาในบัดดล พร้อมแววตาที่สาดสะท้อนความตื่นตกใจออกมา
จิตวิญญาณของเย่หยวนเชื่อมต่อกับฤทัยแห่งฟ่านจู่หลงโดยตรง เขาย่อมพึงกระทำในสิ่งที่เหมาะที่ควรตามสัญชาตญาณ
แต่ปัจจุบันศาสตร์แห่งสวรรค์ได้หายไปหมดสิ้น และนี่…ไม่ต่างอะไรกับฝันลมๆแห้งๆ!
เว้นเสียว่า…ไฉนเขาถึงรู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้กัน?
“เฮ้ออ… จุนเอ๋อ,การที่เจ้าให้กำเนิดบุตรชายที่ประเสริฐเช่นนี้นับเป็นพรจากสรวงสวรรค์โดยแท้! หยุนเอ๋อ,เนื่องจากเจ้ามีฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงอยู่แล้ว เช่นนั้น ด้วยภูมิความรู้อันน้อยนิดของข้าเองก็ไม่มีอะไรจะสอนเจ้าเช่นกัน แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องสนใจเป็นอย่างมากแน่นอน!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ดวงเนตรคู่นั้นของเย่หยวนพลันส่องประกายขึ้นทันที พร้อมยืนรอท่านบรรพบุรุษกล่าวต่ออย่างเงียบๆ
ท่านบรรพบุรุษกล่าวถามขึ้นว่า
“ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์นั้น เจ้ายังไม่สามารถสำแดงใช้พลังที่แท้จริงออกมาได้ใช่หรือไม่?”
เย่หยวนอุทานตอบด้วยความประหลาดใจทันที
“ท่านทราบได้อย่างไร?”
ท่านบรรพบุรุษร่วนหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวตอบว่า
“ศาสตร์แห่งสวรรค์สูญสิ้น ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์เหลือเพียงตำนาน ย่อมไม่มีใครทราบวิธีดึงพลังที่แท้จริงของตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกแล้วโดยธรรมชาติ ทว่าอย่าลืมเสีย ในกาลอดีต ข้าเองก็เป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าแห่งเผ่ามังกรคนหนึ่ง! ถึงไม่เคยเห็นตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ของจริง แต่วิธีใช้งานย่อมทราบ!”
“ข้า…ข้าพยายามสื่อจิตกับมันด้วยชีพจรมังกรระดับศักดิ์สิทธิ์หลายต่อหลายคราแล้ว แต่ก่อนข้าเองก็เคยเปิดใช้งานมันด้วยพลังปราณเทวะ รวมถึงโลหิตมังกรในกายข้า ทว่านั้นกลับไม่สามารถดึงพลังที่แท้จริงออกมาได้เลย”
เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างสิ้นหวัง
ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์อันนี้เป็นถึงเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์สวรรค์ ขุมพลังความแกร่งกล้าของมันมีระดับชั้นเหนือกว่าดาบพิชิตมารฟ้า
ดังนั้นแล้ววิถีทางใดที่เคยใช้ได้ผลกับดาบพิชิตมารฟ้าหรือของวิเศษชนิดอื่นๆ กลับเคยใช้ได้ผลกับตรามังกรศักดิ์สิทธิ์อันนี้เลย ทั้งหมดล้วนจบลงด้วยความล้มเหลว
ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดกลับไร้ประโยชน์ เย่หยวนจึงจำต้องยอมแพ้ไป
แต่เขาไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่า วันนี้กลับมีเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ ปรากฏว่าท่านบรรพบุรุษกลับทราบวิธีใช้งานตรามังกรศักดิ์สิทธิ์!
“หุหุ ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์คือสุดยอดมรดกประจำเผ่ามังกรตั้งแต่สมัยบรรพกาล มันถูกสร้างขึ้นโดยท่านบรรพชน ผู้ที่มีคุณสมบัติสำแดงใช้พลังที่แท้จริงได้มีแค่ประมุขเผ่าเพียงคนเดียว มิฉะนั้นแล้วใครได้ไปก็มิใช่ว่าสำแดงใช้กันว่าเล่น?”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้น
“จริงอย่างที่ท่านกล่าว”
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมพยักหน้า
“ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ถูกสร้างขึ้นโดนโลหิตพลังชีพของท่านบรรพชน ผนวกกับศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์แขนงลับ นั้นจึงทำให้ท่านบรรพชนสามารถนำวิธีใช้งานตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงสลักลงในความทรงจำสืบทอดได้ และผู้ที่สามารถปลุกความทรงจำสืบทอดในส่วนนี้ได้ก็มีแต่ยอดเซียนของเผ่ามังกรที่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ แน่นอนว่าแค่‘รู้จักวิธีการใช้’ แต่จะได้การยอมรับจากตรามังกรศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นแล้วจึงมีคำกล่าวสืบต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นว่า : ผู้ใดครอบครองตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ ผู้นั้นคือประมุขเผ่ามังกร ต่อให้เป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด แต่หากมิได้การยอมรับจากตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สามารถสำแดงใช้ได้เช่นกัน!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้น
“เป็นเช่นนี้นี่เอง! มีเพียงเซียนอาณาจักรพระเจ้าของเผ่ามังกรเท่านั้นที่ทราบวิธีใช้ แต่หากต้องการสำแดงใช้ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ จำต้องได้รับการยอมรับจากมันเสียก่อน?”
เย่หยวนโพล่งกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ไม่แน่แปลกใจเลยที่เย่หยวนหยิบนำกลเม็ดทุกอย่างออกจากแขนเสื้อ แต่นั้นก็ยังไม่สามารถสำแดงใช้พลังที่แท้จริงของตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่ดี
หากมิบังเอิญลี้ภัยเข้ามาในดินแดนเนรเทศแห่งนี้ เย่หยวนคงไม่มีทางดึงพลังที่แท้จริงของตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้แน่นอน จนกว่าจะบรรลุอาณาจักรพระเจ้า!
ตอนที่1250 จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์ที่เปลี่ยนไป
ภายในส่วนลึกซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณ ณ ตอนนี้มีเหล่านักสู้บางส่วนรวมตัวกัน พวกเขากำลังถูกตามล่าโดยอสูรเถื่อน
“กระจายตัวกันไปและหนีมันให้พ้น! อสูรเถื่อนในบริเวณนี้รวดเร็วเกินไปแล้ว! หากแยกกันหนีน่าจะมีโอกาสรอดตายมากกว่า!”
ทันทีทันใด นักสู้คนหนึ่งตะโกนขึ้น
กลิ่นอายความแกร่งกร้าวของอสูรเถื่อนที่ไล่หลังมาช่างทรงพลังน่ากลัวนัก นอกเหนือจากพละกำลังแล้ว มันยังมีความเร็วอันน่าเหลือเชื่อยิ่ง
ในเวลานั้นเอง ทุกคนรู้สึกดั่งว่าวิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันพล่ามัวอย่างหนัก ราวกับมีกระแสพลังงานบางอย่างหอบหนึ่งเคลื่อนผ่านหน้าอย่างฉิวเฉียด
บูมมม!!
เศษเนื้อเศษเลือดกระจัดกระจายสารทิศ!
เหล่านักสู้กลุ่มนั้นถึงกับหน้าถอดสีด้วยความหวาดกลัวจัด เมื่อหันหลังกลับไปมองก็พบว่า อสูรเถื่อนที่ไล่ล่าพวกเขามาตลอดทาง บัดนี้ได้เละเป็นเนื้อบดไปแล้ว!
ร่างไสวสายหนึ่งปรากฏขึ้นประจันหน้าพวกเขา พร้อมสองมือไขว้หลังอย่างองอาจ
นักสู้กลุ่มนั้นอดสบสายตามองกันมิได้ก่อนเร่งก้มศีรษะผสานมือคาราวะเหนือหัวในบัดดล
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ท่านอาวุโสยื่นมือช่วยเหลือ!”
พวกเขาก้มหน้าก้มตาโค้งคำนับพร้อมท่าทางอันเปี่ยมไปด้วยความกตัญญู
แต่เมื่อนักสู้กลุ่มนั้นค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันเปลี่ยนไปในทันที!
“จะ-จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์! ท่าน…ท่านยังไม่ตาย?”
สีหน้าของทุกคนซีดเผือกด้วยความกลัวสุดขีด คนที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้กลับเป็น จู่เก๋อฉิงซวนผู้ที่ควรจะตายลงในมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณไปนานแล้ว!
“ฮิฮิ ดูเหมือนว่าพวกเจ้า…คงปรารถนาให้ข้าผู้นี้ตายนัก?”
ทันใดนั้นจู่เก๋อชิงซวนพลันแสยะยิ้มเย็นฉีกกว้าง พร้อมเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกที่แผดดังออกมา
จู่เก๋อฉิงซวนในตอนนี้ราวกับแตกต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง
แม้จู่เก๋อฉิงซวนจะเป็นคนหยิ่งผยองถือดีอย่างไร ทว่าเขากลับไม่เคยมีท่าทางชวนขนลุกขนาดนี้มาก่อน
ทว่ายามนี้ เพียงรอยยิ้มเย็นที่แสยะกว้างนั้นก็ทำเอาหัวจิตหัวใจของผู้คนสั่นสะท้านยันไขกระดูก
ผู้ใดได้จับจ้องประหนึ่งตกอยู่ในวันวนแห่งความสยดสยอง นี่มิใช่จู่เก๋อฉิงซวนที่พวกเขาเคยรู้จัก!
“ผะ-ผู้ต่ำต้อยคนนี้มิได้หมายความเช่นนั้น! เราเพียงได้ยินมาว่า ท่านประสบปัญหาใหญ่ในมิติของนิกายชำระวิญญาณ และ…และคิดว่า…”
นักสู้คนหนึ่งพยายามเอ่ยปากกล่าวอธิบาย ทว่าทันใดนั้น ยังไม่ทันกล่าวจบศีรษะของเขาพลันหลุดจากบ่าทันทีโดยคลื่นใบมีดบนมือของจู่เก๋อชิงฉวน
“ข้าถามพวกเจ้าตอบ! ตอนนี้เย่หยวนอยู่ที่ไหน!”
จู่เก๋อฉิงซวนกล่าวถามขึ้น
เมื่อเห็นสหายในกลุ่มหัวขาดพร้อมน้ำพุเลือดสดพรั่งพรูออกมาไม่หยุดตรงหน้า สีหน้าของทุกคนพลันซีดเผือกอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ยังพร้อมใจกันส่ายหัวไม่รู้เรื่อง
ท้ายที่สุดนี้ ผู้ที่ช่วยให้พวกเขารอดชีวิตออกมาได้ก็คือ จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ดังนั้นแล้วจะให้พวกเขาทรยศจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ได้อย่างไร?
“ท่านจอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์ พวกเราผู้ต่ำต้อยไม่ทราบจริงๆว่าเขาไปที่ใดแล้ว!”
นักสู้อีกคนหนึ่งย่างขึ้นหน้าตรงออกมากล่าวตอบ
“ฮิฮิ ยังกล้าเล่นเล่ห์เหลี่ยมเล็กๆน้อยๆต่อหน้าข้าผู้นี้อีกงั้นรึ? ดูท่าพวกเจ้าคงเป็นพี่น้องกัน? เช่นนั้น…”
ขณะที่กล่าว จู่เก๋อฉิงซวนพลันชี้ดัชนียิงแสกหน้าในทันใด
ซวบบบ!
กลางหน้าผากของนักสู้คนนั้นถูกเจาะเป็นรูโหว่สีเลือดขนาดใหญ่ ร่างไร้วิญญาณทรุดฮวบลงกับพื้นในเสี้ยวพริบตา
“น้องสี่!”
นักสู้อีกคนเร่งรุดตรงออกมาประคองร่างในทันใด พร้อมสาดสายตาแดงก่ำสุดอาฆาตจ้องเขม็งไปที่จู่เก๋อฉิงซวนด้วยความโกรธแค้น
“ไอ้บัดซบ! เดนมนุษย์อย่างแกหาใช่คู่มือของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ไม่! สวรรค์มีตา สักวันแกจักต้องลงนรกแน่นอน นับรอวันตายได้เลย! พวกเรา,แม้นตายอย่าได้เสียสัตย์! ผนึกกำลังโจมตีเศษเดนมนุษย์อันไร้ยางอายจวบจนลมหายใจสุดท้าย!”
กลุ่มนักสู้เหล่านี้มีจำนวนทั้งหมดห้าคน แต่เดิมพวกเขาเป็นนักสู้พเนจรท่องทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เห็นว่าแต่ละคนมีนิสัยถูกคอกันจึงกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบาน พี่ใหญ่เป็นถึงเซียนอาณาจักรบัญชาสวรรค์ ส่วนน้องทั้งสี่ล้วนเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์เทวะ
ด้วยนิสัยของพวกเขา หาได้ตื่นตัวต่อสถานการณ์โดยรวมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ แต่หากจะสั่งให้ พวกเขาทั้งห้าทรยศต่อท่านเย่หยวน นั้นกลับทำไม่ลง!
ภายในใจของพวกเขาทุกคน ท่านเย่หยวนเปรียบเสมือนวีรบุรุษของมวลมนุษย์ และยังเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ ณ ตอนนี้
หากต้องขายท่านเย่หยวนเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาเหล่าห้าพี่น้องขอตายยังดีกว่า!
ยิ่งไปกว่านั้น การทที่จู่เก๋อฉิงซวนสังหารน้องสี่ไป นั้นมิได้ทำให้พวกเขาหวาดกลัวขึ้นแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม นั้นกลับยิ่งปลุกจิตวิญญาณนักสู้ของพวกเขาให้เดือดพล่านลุกโชนขึ้น!
เว้นเสียแต่ว่า ความแข็งแกร่งของทั้งสี่กลับมิควรถูกพูดถึงต่อหน้าจู่เก๋อฉิงซวนแต่อย่างใด
เมื่อเห็นว่าทั้งสี่คนนั้นบ้าไปแล้ว จู่เก๋อฉิงซวนพลันหัวร่อเสียงเย็นคำหนึ่งและชี้ดัชนีสาดกระจายออกมาอย่างเบื่อหน่ายคล้ายบดขยี้กิ่งไม้แห้ง
“ฮิฮิ เจ้าเด็กเหลือขอนั้นช่างมีความสามารถที่น่าประทับใจจริงๆ เสมือนจับผู้คนกรอกยาเสน่ห์ลงคอถึงได้จงรักภักดีกับมันถึงเพียงนี้ ช่างคล้ายกับ…เจ้าเซียนเต๋าสวรรค์ในปีนั้นจริงๆ! ตอนนี้เจ้าด้อยกว่ามันโดยสมบูรณ์แล้ว!”
ทันทีทันใด จู่เก๋อฉิงซวนพลันกล่าวเสียดสีออกมาลอยๆ
เสี้ยวอึดใจต่อมา ใบหน้าประดับรอยยิ้มเย็นแสนขนลุกพลันกลับสู่สภาพเดิม สุ้มเสียงอันหยิ่งผยองที่คุ้นเคยเอ่ยดั่งขึ้นว่า
“หึ! นั้นมิใช่ธุระของเจ้า! เจ้าเองก็ไม่ต่างจากข้าในตอนนี้! ในปีนั้น,เจ้าคงถูกเซียนเต๋าสวรรค์ไล่ต้อนจนหางจุกตูดดั่งสุนัข! หากแกร่งกล้ากว่าอีกฝ่ายจริง คงไม่ต้องจำศีลยาวนานถึงล้านปี!”
“ฮิฮิ เจ้านี่มันหน้าด้านไร้ยางอายเหมือนกับบรรพบุรุษของเจ้า,จั้วซ่งไม่มีผิด! ในปีนั้นมันถึงขั้นทรยศมนุษย์ และทำข้อตกลงกับเผ่าปีศาจ! ช่างเถอะ ยามนี้เจ้ากับข้ากลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว และไอ้เด็กเหลือขอนั้นก็เป็นศัตรูร่วมกันของเราทั้งคู่! อย่าได้ขัดแย้งกันเช่นนี้อีกต่อไป หากไม่มีเจ้า พระเจ้าผู้นี้เองก็ไม่สามารถฆ่ามันได้สำเร็จเช่นกัน!”
“หึ! เช่นนั้นก็จงเชื่อฟังข้าผู้นี้! มิฉะนั้นข้าเองก็ไม่รังเกียจ,ขอฆ่าตัวตายไปพร้อมเจ้า!”
“หยุดทำเรื่องโง่ๆเช่นนั้น! พระเจ้าผู้นี้เข้าใจในตัวเจ้าดี! เฮ้ออ…สันดานนิสัยของเจ้าเหมือนกับจั่วซ่งไม่มีผิดจริงๆ สมแล้วที่เป็นลูกหลานของมัน! เอาเถอะ,เจ้าคงไม่อยากจบชีวิตลงง่ายๆ เช่นนี้เถอะ ร่วมด้วยช่วยกันตามล่าไอ้เด็กเหลือขอนั้น มันในยามนี้คงมุ่งหน้าเข้าสู่เขตพระเจ้าต้องห้ามแน่นอน เจ้าควบคุมร่างกายไป ส่วนข้าจะใช้เคล็ดโลหิตติดตามหาตัวมันเอง!”
“หากเจ้ามีวิถีทางเช่นนี้ ไฉนถึงไม่บอกข้าตั้งแต่แรก?”
“ฮิฮิ ก็เจ้าไม่ถามอะไรข้าเลย! อีกอย่าง วิธีการของพระเจ้าผู้นี้ก็หาใช่สิ่งที่พวกเจ้าอาณาจักรเต๋าลึกล้ำจินตนาการถึงได้ ไม่สิ…แม้แต่จั่วซ่งยังต้องเกรงใจข้าผู้นี้!”
“….”
ปรากฏว่าในวันนั้น จู่เก๋อฉิงซวนกับหลีกุยเข้าพันวัลสัประยุทธ์กันอย่างดุเดือด จนห้วงมิติพังทลายลงมา
และเดิมความแกร่งกล้าของหลีกุยเหนือชั้นกว่ามาก
แต่เนื่องจากหลีกุยเพิ่งฟื้นขึ้นจากการจำศีลนับล้านปี จึงทำให้พละกำลังของมันยังฟื้นคืนไม่เต็มที่ แถมการที่มันต้องตื่นก่อนกำหนดยังส่งผลให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของมันบาดเจ็บสาหัส หลังจากที่สัประยุทธ์ศึกใหญ่กับจู่เก๋อฉิงซวนจึงส่งผลให้ทั้งคู่เจียนตายแทบรั้งชีวิตไม่อยู่
อย่างไรก็แล้วแต่ เซียนอาณาจักรพระเจ้าก็ยังคงเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าวันยังค่ำ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หลีกุยได้สำแดงใช้ศาสตร์ลับพิสดาร ทิ้งร่างกายเนื้อของตนเหลือเพียงจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้าสิงสู่ร่างของจู่เก๋อฉิงซวน หวังเพื่อจะยึดครองและหนีออกไป
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของทั้งคู่ตะลุมบอนอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ท่ามกลางทะเลแห่งจิตใจภายในร่างของจู่เก๋อฉิงซวน
ทว่าท้ายที่สุดนี้ กลับไม่มีใครทำอะไรใครได้
ซึ่งใครจะรู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นว่า จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองพลันสมานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว!
ณ ปัจจุบันทั้งคู่ต้องแบ่งร่างกันใช้อย่างที่เห็น
จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์ในตอนนี้มนุษย์ก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง
……………………….
“สำเร็จ!”
สุ้มเสียงโหร้องของเย่หยวนดังกึกก้องไปทั่วทั้งดินแดนสัตว์เทวะ
โดยไม่รีรออันใด เย่หยวนเร่งกัดปลายนิ้วเล็กน้อยจนเลือดหยดหนึ่งหลั่งออกมา
“เร็วเข้า หยดโลหิตลงบนตรามังกรศักดิ์สิทธิ์!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นอย่างเร่งรีบ
เย่หยวนพยักหน้าตอบพร้อมหยดโลหิตลงบนตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ทันควัน
บูมมมมม!!
แรงกดดันของเผ่ามังกรระเบิดคลั่งพรั่งพรูออกมาไม่หยุดหย่อน เสียงมังกรคำรามสะท้านพิภพกึงก้องทั่วฟ้าดินไพศาล!
ในที่สุดเย่หยวนก็รู้สึกว่าเลือดเนื้อของตนสามารถสื่อจิตกับตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ได้เสียที
แต่นั้นสามารถสัมผัสได้เพียงลางๆเท่านั้น
ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์เป็นถึงเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์สวรรค์ ด้วยความแกร่งกล้าของเย่หยวนในปัจจุบันไม่มีทางปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาได้เลย
อย่าลืมไปเสีย แม้แต่ในยุคศาสตร์แห่งสวรรค์เฟื่องฟู เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์สวรรค์ยังถือเป็นของวิเศษหายากยิ่งเช่นกัน
การจะเปิดใช้ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์จำเป็นจะต้องใช้โลหิตพลังชีพของรุ่นบรรพบุรุษ และวิชาลับศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดต่อกันมาของประมุขเผ่ามังกรในแต่รุ่น จากนั้นก็ให้หยดโลหิตของประมุขรุ่นปัจจุบันลงไป
วิชาลับศักดิ์สิทธิ์นี้คืออักษรจารึกศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกดัดแปลงเพื่อใช้สำหรับตรามังกรศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ แน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่มีวันเข้าใจวิชาลับศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้ได้เลย
ทว่านี่กลับมิใช่เรื่องยากเลยสำหรับผู้ที่มีฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงเฉกเช่นเย่หยวน
เขาใช้เวลาเพียงสามวันเท่านั้นก็สามารถสำเร็จวิชาลับศักดิ์สิทธิ์นี้ได้อย่างถ่องแท้
“มาลองมดสอบพลังกันเถอะ!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
นี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาได้เห็นความมหัศจรรย์ของฤทัยแห่งฟ่านจู้หลง ทันทีที่ท่านบรรพบุรุษทราบว่า เย่หยวนใช้เวลาเพียงสามวันก็สามารถเข้าใจวิชาลับศักดิ์สิทธิ์นี้ได้อย่างถ่องแท้ ขากรรไกรของเขาเองก็แทบร่วงกระแทกพื้น
ยามนี้ ท่านบรรพบุรุษต่างจับจ้องเย่หยวนอย่างใจจดใจจ่อ
เย่หยวนพยักหน้าตอบก่อนดัดคอบิดศีรษะคลายเมื่อยเล็กน้อย และชูตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ขึ้นตรงหน้าทันที
บูมมมมม!!
หุบเขานับร้อยที่สลักซ้อนเบื้องหน้าทอดยาวสุดสายตากว่าเจ็ดหมื่นลี้ ยามนี้พินาศสิ้น สรรพสิ่งถูกชำระล้างเหลือกลายเป็นพื้นที่ราบอันว่างเปล่า!
ตอนที่1251 อีกครั้ง เข้าปะทะยักษ์หิน
“นี่…นี่คือพลังที่แท้จริงของตรามังกรศักดิ์สิทธิ์?”
ยามเห็นภาพฉากนี้ เย่หยวนถอดสีหน้าตื่นตะลึงเหลือเชื่อ
หุบเขาสลักทับซ้อนกว้างไพศาลสุดสายตากว่าเจ็ดหมื่นลี้ถูกทำลายล้างในพริบตา ต่อให้สำแดงใช้บัวเพลิงปราณดาบพิโรธเต็มสูบ เกรงว่าไม่มีทางทำเช่นนี้ได้แน่นอน
ทว่าตรามังกรศักดิ์สิทธิ์อันนี้กลับสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
“หุหุ นี่เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั่น หากเป็นยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าใช้งานมัน กล่าวว่าฟ้าดินยังไม่ควรทัดเทียม”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นพร้อมหัวร่อคำโต
“หื้ม?”
จู่ๆเย่หยวนพลันขมวดคิ้วขึ้น
“เจ้าต้องการก้าวข้ามขีดจำกัดใช่หรือไม่?”
ท่านบรรพบุรุษหันมองเย่หยวนด้วยความประหลาดใจ
ในขณะนี้ พลังปราณที่โคจรทั่วร่างเย่หยวนกำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างไร้สาเหตุ อาณาจักรพลังของเขาเริ่มคงความเสถียรไม่อยู่ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสัญญาณของการก้าวข้ามขีดจำกัด
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวตอบว่า
“เนื่องจากตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ได้ซึมซับโลหิตพลังชีพของท่านบรรพชนต้นกำเนิดไป เมื่อเปิดใช้งานอีกครั้ง โลหิตพลังชีพที่เร้นแฝงจึงหลั่งไหลสู่กายาของข้าบางส่วน ซึ่งนั้นช่วยให้ข้าสามารถทะลวงผ่านปัญหาคอขวดได้โดยตรง”
โอกาสแล่นผ่านเข้ามาเยี่ยมเยือน เย่หยวนจึงไม่รั้งรออีกต่อไป
สำหรับเย่หยวน พลังปราณที่ท่วมท้นไม่หยุดหย่อนเปรียบเสมือนกับสายธารวารีอันไหลลื่น นั้นมิใช่เรื่องยากที่จะจัดการ หรือบททดสอบของสรวงสวรรค์อันน่าสะพรึง นั้นก็มิใช่ปัญหาใหญ่เลยเช่นกัน
หลังจากนั้นหนึ่งวันเต็ม เย่หยวนค่อยๆลืมตาทั้งสองขึ้นอย่างแช่มช้า พร้อมแววตาประกายไสวจรัสจ้าเฉิดฉาย
หลังก้าวข้ามขีดจำกัดได้สำเร็จ เย่หยวนก็ขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์เทวะขั้นสุด และอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เขาก็จะบรรลุสู่ขั้นสมบูรณ์
เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะสามารถหลอมกลั่นโอสถท้าทายสวรรค์ได้และทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า!
ท่านบรรพบุรุษเฝ้าสังเกตการก้าวข้ามขีดจำกัดของเย่หยวนอยู่เคียงข้างตลอดเวลา มีหลายช่วงหลายตอนที่ความตื่นตะลึงพลันโฉบแล่นสะท้อนผ่านนัยน์ตาคู่นั้นออกมา
“ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า วรยุทธบ่มเพาะพลังของเจ้ายังเป็นเคล็ดวิชาระดับสูงเช่นกัน! พลังปราณที่ไหลบ่าสู่กายาล้วนบริสุทธิ์นัก! เห็นทีเมื่อใดที่เจ้าบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ เราชายชราคงมิใช่คู่มือของเจ้าอีกต่อไป!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
ทั้งพลังปราณ,ร่างกายและจิตวิญญาณ ปัจจัยหลักทั้งสามสิ่งนี้เย่หยวนล้วนบ่มเพาะพัฒนาด้วยสุดยอดวรยุทธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงทั้งสิ้น
เมื่อใดที่บรรลุทั้งสามปัจจัยถึงขั้นสมบูรณ์แบบ เย่หยวนจะทรงพลังไร้ผู้ใดทัดเทียม!
และนั้นยังเหนือชั้นยิ่งกว่าฟางเทียนในปีนั้นอีกด้วย!
“ท่านบรรพบุรุษถูกกำจัดพลังโดยศาสตร์แห่งสวรรค์ที่หายสาบสูญไป นั้นจึงเป็นสาเหตุให้ท่านคิดแบบนี้ แต่นั้นมิได้หมายความว่าท่านจะไม่แข็งแกร่งเสีย หากศาสตร์แห่งสวรรค์ยังอยู่ เย่คนนี้เองก็หาใช่คู่มือของท่านไม่”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ท่านบรรพชนหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ระหว่างเรายังต้องสุภาพอันใด? แล้วเจ้าจะเดินทางกลับเลยหรือไม่?”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“หลังจากที่ข้าบอกลาท่านแม่เสร็จ คงเดินทางกลับในทันที”
ท่านบรรพบุรุษถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เส้นทางเบื้องหน้าช่างลำบากยากเข็ญนัก ข้าขอให้เจ้าประสบความสำเร็จโดยเร็ว!”
เย่หยวนผสานมือคำนับท่านบรรพบุรุษหนึ่งที ก่อนตรงกลับไปยังสระน้ำเหมันต์เย็น แม้ใจจริงยังต้องการอยู่ต่ออีกเสียหน้อย ทว่าในท้ายที่สุดสองแม่ลูกยังต้องลาจากกันไป
จากที่เย่หยวนคำนวณเอาไว้ อ้าวจุนยังคงประคองชีวิตได้อีกประมาณสิบปีในสระน้ำเหมันต์เย็นแห่งนี้ ดังนั้นทุกอึดใจล้วนมีค่าดั่งทองสำหรับเย่หยวน
แม้ว่ารัศมีเหมันต์นิรันดร์จะช่วยชะลอความแก่ชราได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่นั้นก็มิอาจหยุดยั้งคำสาปแห่งดินแดนเนรเทศแห่งนี้ได้
อย่างไรก็ตาม การที่นางสามารถประคองชีวิตอยู่จวบจนบัดนี้ได้ ก็นับว่าปาฎิหาริย์ยิ่งแล้ว
ท่านบรรพบุรุษส่งพวกเย่หยวนกลับไปโดยผ่านทางป่าดอกท้อ ในขณะที่กำลังเดินทางกลับ จู่ๆอิ้งหมัวหู่ก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า
“พี่ใหญ่ ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ท่านยังมีภูมิหลังเช่นนี้อยู่ด้วย ไม่แปลกใจที่ไฉนครั้งแรกที่พบกัน ข้าถึงรู้สึกถูกชะตากับท่านนัก”
เย่หยวนที่ได้ฟังดังนั้นพลันถอนหายใจไม่มีสิ้นสุด เขามิได้คาดหวังแม้แต่น้อยว่า การเดินทางเข้ามาในหุบเขาเหวพระเจ้าในครั้งนี้จะทำให้เขาได้ทราบถึงภูมิหลังที่แท้จริง และพบกับแม่ที่เขาไม่เคยได้พบมาก่อนในชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิหลังของอิ้งหมัวหู่เองก็ชวนตกใจไม่ต่าง ปรากฏว่าเขากลับเป็นลูกหลานของน้องสาวร่วมสาบานของแม่อีกทีหนึ่ง
บางทีทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น…สรวงสวรรค์อาจกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
เย่หยวนประสบความโชคร้ายและกลับชาติมาเกิดใหม่ในดินแดนไร้สิ้นสุด จากนั้นเขาก็มีโอกาสเดินทางเข้าสำรวจในป่าไร้สิ้นสุด ก่อนเข้าช่วยเหลืออิ้งหมัวหู่ออกมา
เมื่อกาลเวลาผ่านไป ทั้งสองก็หวนกลับคืนสู่ดินแดนเนรเทศซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง
สรรพสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นล้วนสรุปได้ด้วยคำว่า‘โชคชะตา’
“ถูกต้องแล้ว! ฮ่าฮ่า! จากลูกเสือขนปุยตัวน้อยในปีนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นพยัคฆ์ขาวผู้ไร้เทียมทานแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะคำโต
ใบหน้าของอิ้งหมัวหู่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำโดยมิตั้งใจ เขากล่าโต้ทันควัน
“ผู้ไร้เทียมทาน? นั้นควรจะเป็นพี่ใหญ่มากกว่ามิใช่รึ? อย่าลืมเสีย ยามนี้ท่านคือวีรบุรุษของมวลมนุษย์และเผ่าอสูรทั้งปวง!”
ลี่เอ๋อคลี่ยิ้มบางและกล่าวว่า
“สองพี่น้องคู่นี้ หยุดกล่าวยอกันได้แล้ว พี่ใหญ่หยวน,เราจะทำอย่างไรต่อไปดีในยามนี้? หากออกไปจำต้องผ่านอาณาเขตของพวกยักษ์หินอีก หากไม่รีบหาหนทางแก้ไข เกรงว่าจะประสบปัญหาอีกครา”
เย่หยวนยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินและกล่าวว่า
“หากพวกนั้นไม่มา ข้าจะไปหาเอง! นายน้อยผู้นี้อยากจะรู้เสียจริงว่า พวกนั้นมีความสามารถเพียงใดถึงกล้ายั่วยุข้า!”
ทันทีที่ทั้งสามกลับมายังสันเขา เย่หยวนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใด สองฝ่ามือชูออกมาข้างหน้าพร้อมซัดฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าออกมาเต็มสูบ!
บูมมมม!!
อัดกระแทกสองฝ่ามือออกไป เสียงมังกรคำรามผงาดง้ำดังลั่นสารทิศ บริเวณเชิงเขาเบื้องหน้าวินาศสันตะโรเป็นผุยผงในบัดดล
“บัดซบ! นั้นใครกัน?! กล้ารบกวนเวลาจำศีลของข้า!”
เสียงขุนพลศิลาคำรามลั่น
ทันใดนั้นเบื้องหน้ามัน ปรากฏร่างทั้งสามขึ้นประจักษ์สายตาพร้อมจับจ้องมันด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม
“เจ้าหินโง่ นายน้อยผู้นี้กลับมาแล้ว!”
ขุนพลศิลาอารมณ์เสียอย่างมากเมื่อมีคนมาขัดเวลานอนของมัน แต่หลังจากที่นึกอยู่นานว่าชายหนุ่มคนนี้คือใคร ในที่สุดมันก็นึกออกพลางกล่าวขึ้นด้วยความตกใจว่า
“เจ้า…มิใช่ว่าเจ้าเข้าไปในป่าดอกท้อ? นี่…นี่กลับออกมาได้อย่างไร?”
อาณาเขตของเผ่ายักษ์หินของมันอยู่ใกล้กับป่าดอกท้อ ดังนั้นขุนพลศิลาจึงตระหนักดีถึงความน่าสะพรึงของป่าดอกท้อ
เขาเคยเห็นผู้คนจำนวนมากมายเดินทางเข้าไปในป่าดอกท้อมาก่อน แต่ก็ไม่มีใครสามารถกลับออกมาได้เลยสักคน
ทว่าไอ้เด็กเหลือขอตรงหน้ากลับออกมาได้จริงๆ!
“เหอะ ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลกว่ากะลาที่เจ้ามุดหัวอยู่นัก หรือเป็นไปได้ไหมว่า นายน้อยผู้นี้จักพลาดท่าสิ้นใจตายลงป่าดอกท้อนั้นจริงๆ? นายน้อยผู้นี้ต้องการไปยังเขตพระเจ้าต่องห้าม จะหลีดทางแต่โดยดีหรือต้องให้สั่งสอนสักหนึ่งบทเรียน?”
เย่หยวนเอ่ยปากลั่นวาจาสุดเย้ยหยัน
“เขตพระเจ้าต้องห้าม? เหอะ,ช่างเป็นเด็กน้อยที่หยิ่งผยองนัก! สถานที่แห่งนั้นแม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้าขนานแท้ยังไม่กล้าย่างกรายเข้าไป แล้วเจ้าคิดว่าตนเองไร้เทียมทานเพียงใด ถึงมีความมั่นใจขนาดนี้?”
ขุนพลศิลากล่าวขึ้นด้วยความไม่เชื่อ
“การที่คนอื่นไปไม่ได้ก็มิได้หมายความว่าข้าผู้นี้จะไม่สามารถไปได้!”
เย่หยวนกล่าว
ขุนพลศิลาหัวร่อเสียงเย็นคำโตเมื่อได้ยินและกล่าวว่า
“ช่าน่าขัน! ขนาดข้า เจ้ายังไม่มีปัญหาผ่านไปได้ แล้วนับประสาอะไรกับเขตพระเจ้าต้องห้าม? เหล่าพี่น้องของข้า วันนี้มีมื้ออาหารชุดใหญ่!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เหล่ายักษ์หินนับสิบตัวก็กระโจนเข้าจู่โจมพวกเย่หยวนอย่างพร้อมเพรียง
เว้นเสียว่ายามนี้ เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันย์เทวะขั้นสุดแล้ว ความแกร่งกล้าของเขาถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
หากเปรียบเทียบกับก่อนหน้า เย่หยวนในตอนนี้ทรงพลังกว่ามาก
ร่างเย่หยวนไสวเป็นสายหนึ่ง บัวเพลิงปราณดาบพิโรธถึงคราสำแดงเดช ปราณดาบเพลิงระอุเข้าชนกับกำปั้นของขุนพลศิลาโดยตรง
บูมมมม!
แขนข้างหนึ่งของขุนพลศิลาขาดกระเด็นออกไปทันที
ขุนพลศิลาพลันเปลี่ยนสายตาจับจ้องเย่หยวนด้วยความหวาดกลัว มันอุทานลั่นว่า
“เจ้ามนุษย์ นานแค่ไหนกันมิได้พบหน้า ไฉนเจ้าถึงกล้าแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้?!”
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมส่งยิ้มบางให้
“นี่เพียงโหมโรงเท่านั้น!”
ขุนพลศิลาส่งเสียงคำรามลั่นแสนเดือดดาล ร่างกายของมันคล้ายแม่เหล็ก ยามใดที่แขนขาด้วนมันจะดูดเศษหินเศษทรายโดยรอบประกอบขึ้นมาอีกครั้ง
และในไม่ช้าแขนที่ขาดไปก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
“เจ้ามนุษย์ ข้าขอยอมรับเลยว่าเจ้าช่างแข็งแกร่งจริงๆ! แต่เผ่ายักษ์หินของเราไม่มีวันตาย! ไม่ว่าเจ้าจะกล้าแกร่งเพียงใด ก็เปล่าประโยชน์!”
ขุนพลศิลากล่าวขึ้น
เย่หยวนหัวร่อเสียงเย็นแผดดังและกล่าวตอบว่า
“เช่นนั้นรึ? น่าเสียดาย….นายน้อยผู้นี้ไม่เชื่อว่า บนผืนพิภพแห่งนี้ไม่มีผู้ใดเป็นอมตะไปตลอด!”
เมื่อกล่าวจบร่างของเย่หยวนก็อันตรธานหายวับในทันใด
บูมมมม!
ขุนพลศิลาถูกเป่ากระเด็นอีกคราโดยบัวเพลิงปราณดาบพิโรธ
ขุนพลศิลายามนี้เดือดดาลสุดขีดเมื่อถูกรังควานต่อเนื่องไม่หยุด มันกวัดแกว่งกำปั้นของมันกระหน่ำซัดไปทางเย่หยวน
อย่างไรก็แล้วแต่ เย่หยวนในตอนนี้คือเซียนอาณาจักรราชันย์เทวะขั้นสุด ความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขาลึกซึ้งและเหนือชั้นกว่าก่อนหน้าหลายเท่าทวี เพียงพริบตาเดียว เขาก็ทะยานหนีออกไปอย่างไม่ยากเย็น
ส่งผลให้กำปั้นของขุนพลศิลาพลันต้องคว้าน้ำเหลว แถมยังพลาดไปโดนยักษ์หินตัวอื่นๆจนแหลกเป็นผุยผงระนาว
เย่หยวนหาได้แปลกใจอันใด เขายังคงพึ่งพาวรยุทธเคลื่อนไหวทะยานเหินผ่านยักษ์หินนับหลายสิบตัว
ระหว่างนั้นพวกมันก็โจมตีกันเองและทุบกำปั้นใส่กันจนแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ
“เจ้ามนุษย์ คิดจะหนีไปซ่อนตัวงั้นรึ?”
ขุนพลศิลาไม่สามารถจับตัวเย่หยวนได้เลย ทันทีทันใดเพลิงพิโรธปะทุคลั่งถึงขีดสุด
“หุหุ ข้ามาแล้ว!”
บูมมมม!!
บัวเพลิงปราณดาบพิโรธ!
อย่างไรก็แล้วแต่ การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของเย่หยวนทำให้ขุนพลศิลาและที่เหลือหยุดชะงักในบัดดล
ตอนที่1252 หัวใจแห่งศิลา
ในมือเย่หยวน เขากำลังกำผลึกมณีสีเทาอ่อนอยู่ก้อนหนึ่ง
ซึ่งผลึกมณีชิ้นนี้มีขนาดเล็กมาก ต่อให้วางมันข้างขยะเพียงว่ายังแยกไม่ออกด้วยซ้ำ เพราะมันมิได้โดดเด่นอะไรเลย
หากนำมันผสมลงในเศษหินเศษทรายบนร่างของเหล่ายักษ์หิน ยิ่งไม่สามารถสังเกตเห็นเข้าไปใหญ่
หากไม่ตั้งใจสังเกตระยะใกล้จริงๆ เกรงว่าไม่มีทางหามันเจอ
เมื่อขุนพลศิลาและที่เหลือเห็นภาพฉากตรงหน้า พวกมันแต่ละตัวต่างจจับจ้องด้วยแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวในทันใด และไม่กล้าย่างเท้าเข้าใกล้แม้สักนิด
“หุหุ ไฉนไม่โจมตีข้าแล้วล่ะ? เมื่อครู่ยังกล้ากันอยู่เลย?”
เย่หยวนเบนสายตาเหลียวมองขุนพลศิลาเล็กน้อย เขาแสร้งปั้นหน้าประหลาดใจอย่างใส่ซื่อพลางกล่าวต่อว่า
“เอ๊ะ? เหตุใดถึงไม่กล้าโจมตีข้าแล้ว? หรือเป็นเพราะ…กลัวอะไรแถวนี้ได้รับความเสียหายกระมัง?”
ขุนพลศิลาและที่เหลือต่างสงบปากสงบคำในทันใด เนื่องจากใบหน้าของพวกมันเป็นหิน สีหน้าอารมณ์จึงแสดงออกมามิได้ชัดเจนนัก
ทว่าตอนนี้กลับชัดเจนยิ่งกว่าครั้งใด สีหน้าของพวกมันอึดขรึมหนักประหนึ่งถูกกดขี่โดยสมบูรณ์
“ไม่กล่าวอะไรกันเลยรึ? ข้าสงสัยเสียจริงว่า…หากบดขยี้ผลึกมณีเม็ดนี้ให้แตกคามือ ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร?”
หลังกล่าวจบ เย่หยวนเร่งโคจรพลังปราณทั่วร่างและเตรียมบดขยี้ผลึกมณีชิ้นนั้นทันที
ขุนพลศิลาสีหน้าซีดเผือกในบัดดล มันโพล่งกล่าวขึ้นทันทีด้วยความตกใจสุดขีดว่า
“อย่า! เรายอมแล้ว! เรายอมแล้ว!”
การที่มันกล่าวเช่นนี้เท่ากับมันยอมรับแล้วว่า ผลึกมณีสีเทาอ่อนเม็ดนี้คือจุดอ่อนของพวกมัน
อันที่จริงเย่หยวนมิได้สนใจว่า ขุนพลศิลาจะยอมแพ้หรือไม่ ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้น
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“หุหุ เป็นเช่นนี้นี่เอง! หากข้าเดาไม่ผิด จุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเจ้าก็คือผลึกมณีชิ้นนี้ แล้วที่กล่าวว่าไม่สามารถฆ่าพวกเจ้าได้ล่ะ? แค่ขู่งั้นรึ?”
ยามใดที่หาจุดอ่อนของเหล่ายักษ์หินไม่เจอ ไม่ว่าจะแกร่งกล้าเพียงใดก็ไม่มีทางฆ่าพวกมันได้โดยสมบูรณ์
แต่เย่หยวนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในระหว่างที่ร่างของขุนพลศิลาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หากเป็นคนทั่วไปย่อมไม่มีวันจับสังเกตเล็กๆเช่นนี้ได้แน่นอน ไม่ว่าจะปราบปรามมันลงสักกี่ครั้ง
เหล่ายักษ์หินพวกนี้มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับสิบจอมราชันย์
ในขณะที่ความแกร่งกล้าของขุนพลศิลาสามารถเทียบชั้นได้กับสามอันดับแรกของสิบจอมราชันย์!
แต่ถึงจะสังเกตเห็นความผิดปกติ แต่การจะหาผลึกมณีนี้ แค่พูดง่ายกว่าทำแน่นอน
เหตุผลที่เย่หยวนต้องเคลื่อนที่โฉบแล่นไปทั่วบริเวณก็เพื่อตรวจสอบยักษ์หินเหล่านี้ที่ร่างแตกเป็นเสี่ยงๆ
ในท้ายที่สุดนี้ เขาก็ค้นพบว่าความเร็วในการฟื้นตัวของพวกมันสัมผัสกับตอนที่ผลึกมณีสีเทาอ่อนปลดปล่อยคลื่นความผันผวนออกมาจากร่างขุนพลศิลา
ดังนั้นแล้ว จึงสรุปได้ว่า ผลึกมณีสีเทาอ่อนชิ้นนี้คือแหล่งฟื้นฟูร่างกายของพวกมันทั้งหมด
ตราบใดที่เย่หยวนทำลายผลึกมณีสีเทาอ่อนทิ้งไป พวกมันจจะไม่สามารถฟื้นตัวได้อีกตลอดกาล
“เจ้า…เจ้าทราบได้อย่างไร? ข้ามั่นใจยิ่งว่า ในปัจจุบันทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่มีใครทราบถึงจุดอ่อนของเผ่ายักษ์หินอีกแล้ว!”
ขุนพลศิลากล่าวขึ้นพร้อมน้ำเสียงสุดเศร้าโศก
เนื่องจากเผ่ายักษ์หินได้สูญพันธุ์ไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์นานแล้ว ผู้คนในยุคสมัยปัจจุบันย่อมไม่มีทางทราบถึงจุดอ่อนของพวกมันแน่นอน กระทั้งชื่อเผ่าพันธุ์ยังเกรงว่าไม่รู้จักด้วยซ้ำ
ทว่า…กลับเป็นเด็กเหลือขอคนนี้อีกครั้งที่เสาะพบจนเจอ!
นี่จึงทำให้มันหดหู่ใจอย่างยิ่ง
“หุหุ ทุกชีวีตย่อมมีจุดอ่อน ตราบใดที่ยังไม่ย่อท้อและเสาะค้นต่อไป ย่อมหาเจอเสมอในท้ายที่สุด เอาล่ะ,ตอบคำถามนายน้อยผู้นี้มา ผลึกมณีชิ้นนี้คืออะไร? ไฉนข้ารู้สึกว่ามันค่อนข้างไม่ธรรมดา?”
ยามที่เย่หยวนกุมถือผลึกมณีสีเทาอ่อนนี้ไว้ในมือ เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานแปลกที่แผ่ซ่านออกมาเป็นระลอก
ความผันผวนชนิดนี้คล้ายหัวใจมนุษย์ที่กำลังเต้นอยู่
นี่อาจเป็นแหล่งกำเนิดของยักษ์หินและสามารถชุบชีวิตพวกมันได้อย่างไม่จำกัด
“เอ่อ…”
เมื่อได้ยินคำถามของเย่หยวน กลับเป็นขุนพลศิลาที่เริ่มรวนเร
“ดูท่าเจ้าจะไม่สนใจชีวิตของเหล่าสหายร่วมเผ่าพันธุ์ เช่นนั้นแล้ว…”
“เดี๋ยวก่อน! ข้ายอมพูดแล้ว! นี่…นี่คือหัวใจแห่งศิลา เป็นแหล่งพลังงานหลักของเผ่ายักษ์หินของข้า หากมีผลึกมณีก้อนนี้อยู่รอบๆ พวกเราจะฟื้นฟูพลังได้ไม่รู้จบ”
ขุนพลศิลากล่าวขึ้นด้วยความหวาดกลัว
แม้ว่ายักษ์หินเหล่านี้จะแข็งแกร่ง ทว่าโดยนิสัยของพวกมันที่ตรงไปตรงมาไร้เล่ห์เหลี่ยม จึงหลงกลเย่หยวนเข้าอย่างจังและยอมปริปากบอกทุกอย่าง
ต่อให้เป็นขุนพลศิลา แต่มันก็ไม่ค่อยทันคนนัก
หากเปรียบเทียบกับเผ่ามนุษย์ เผ่ายักษ์หินทั้งซื่อสัตย์และใสซื่อกว่ามาก
แม้สีหน้าการแสดงออกของพวกมันจะแสดงออกมามิได้ชัดเจนนัก ทว่าท่าทางของพวกมันก็ส่อผิดสังเกตอยู่หลายหน
ที่ขุนพลศิลามิเต็มใจกล่าวถึงเรื่องหัวใจแห่งศิลา เห็นได้ชัดว่า มันมีข้อกังวลเรื่องอื่น
และเพราะเป็นเช่นนี้ เย่หยวนจึงมิได้ลงมือกับพวกมันขั้นเด็ดขาด
เขารู้สึกว่า เผ่ายักษ์หินไม่ชอบเผ่ามนุษย์เป็นทุนเดิมเนื่องจากเหตุผลบางประการ นั้นจึงเป็นสาเหตุที่พวกมันเข้าโจมตีเช่นนี้
มิฉะนั้นด้วยนิสัยของเย่หยวน เขาคงบดขยี้หัวใจแห่งศิลาไปสิ้นแล้ว คงไม่เสียเวลายืนคุยกับขุนพลศิลาแน่นอน
“นะ-น้องเล็ก ขุนพลศิลาผิดไปแล้ว! ขุนพลศิลาตนนี้ไม่ควรท้าทายเจ้า! ขะ–ข้าขอร้องปล่อยแม่ทัพศิลาไปเถิด เดี๋ยวพวกเรา…พวกเราจะพาพวกเจ้าออกไปจากบริเวณนี้เอง!”
ขุนพลศิลายอมอ่อนข้อสวามิภักดิ์อย่างหมดท่า มันไม่ยอมเผยความลับใดๆเกี่ยวกับหัวใจแห่งศิลาออกไป ซึ่งมันเองก็โกหกไม่เป็น จึงทำได้แต่ขอร้องอ้อนวอนเย่หยวนเท่านั้น
ทว่าเย่หยวนกลับเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆว่า
“เหอะ,หรือเป็นไปได้ไหมว่า นายน้อยผู้นี้เป็นคนใจกว้างมากเมตตา? อย่าคิดต่อรองกับข้า เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก! พูดมา! หัวใจแห่งศิลาคืออะไรกันแน่?”
ขุนพลศิลาพลันกรอกตาให้เห็นอย่างชัดแจ้งเมื่อได้ยิน
ทว่าในท้ายที่สุด มันยังคงใจแข็งและคำรามลั่นว่า
“แม่ทัพศิลา,ข้าขอโทษ! ความลับของหัวใจแห่งศิลาจะต้องเป็นความลับตลอดไป! มิเช่นนั้นพวกเราก็ไม่ขออยู่เช่นกัน!”
ทันทีที่กล่าวจบขุนพลศิลาก็ยกมือขึ้นหันเข้าใส่เย่หยวนทันที และเป้าหมายของมันก็คือหัวใจแห่งศิลาในมือเย่หยวน!
เมื่อเย่หยวนจี้ถามเกี่ยวกับเรื่องความลับของหัวใจแห่งศิลา ขุนพลศิลาถึงขั้นลงมือทันทีโดยไม่ลังเลใดๆ
ดูเหมือนว่าหัวใจแห่งศิลาก้อนนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ!
ร่างของเย่หยวนไสวหลบฝ่ามือของขุนพลศิลาเล็กน้อย
“เหอะ มีผู้นำอย่างเจ้า เหล่าสมาชิกที่เหลือจักต้องสูญพันธุ์กันหมด!”
เย่หยวนกล่าวเย้ยหยันทันที
“หึ! พวกมนุษย์ช่างน่ารังเกียจ! พี่ใหญ่ขุนพลศิลาอุตส่าห์ทำถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ! เจ้ากลับรังแกพวกเราเกินไป!”
“พี่ใหญ่ วันนี้พวกเราขอสู้ร่วมกันท่านจนตัวตาย! วันนี้ไม่มันก็เราต้องตายไปข้าง!”
“ฆ่าพวกมนุษย์! ล้างแค้นให้พี่ใหญ่แม่ทัพศิลา!”
สิ่งที่ทำให้เย่หยวนประหลาดใจคือ ไม่เพียงแต่ขุนพลศิลาที่บ้าดีเดือด แม้กระทั้งเหล่ายักษ์หินตัวอื่นๆเองกลับเห็นพ้องต้องกัน
“เหอะ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า วันนี้พี่ใหญ่กลับต้องรับบทตัวร้ายไปเสียแล้ว เผ่ายักห์หินพวกนี้ช่างซื่อตรงและจริงใจโดยแท้!”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพลางถอนหายใจอย่างหมดปัญญา
เหล่ายักษ์หินเก้าตัวตรงเข้าปิดล้อมเย่หยวนในทันที แต่หลังจากที่ความแกร่งกล้าของเย่หยวนพัฒนาขึ้นอีกขั้น พวกมันก็หาใช่คู่มืออีกต่อไป
ในทางตรงกันข้าม เย่หยวนสามารถฆ่าเหล่ายักษ์หินพร้อมได้ในทีเดียว หัวใจแห่งศิลาอยู่ในกำมือของเขา นั้นเท่ากับชีวิตและความตายของพวกมันก็อยู่ในมือเขาเช่นกัน
“ย๊ากกก! เจ้ามนุษย์บัดซบ! ข้าจะสู้กับเจ้าเอง!”
ทันใดนั้นเอง ขุนพลศิลาก็พลันบ้าดีเดือดถึงขีดสุดประหนึ่งเสียสติไปแล้ว จู่ๆกลางหน้าผากของมันพลันเปล่งแสงประกายเจิดจ้า
เมื่อเหล่ายักษ์หินตัวอื่นๆเห็นภาพฉากนี้ พวกมันต่างร้องลั่นด้วยความตื่นตกใจ
“พี่ใหญ่ขุนพลศิลาไม่!”
แต่ขุนพลศิลาหามีเจตนาหยุดยั้งใดๆไม่
เย่หยวนทราบดี ศูนย์รวมพลังชีพทั้งหมดของยักษ์หินเหล่านี้คือกลางหน้าผาก
ความผันผวนแปรปรวนกระเพื่อมขึ้นกลางเวหา เย่หยวนในยามนี้ประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับความตาย!
“แย่แล้ว! เจ้าบ้านั้นกำลังจะระเบิดตัวเอง! ช่างเป็นอนุภาพที่น่ากลัวนัก! พี่ใหญ่รีบหนีออกมาเร็ว!”
อิ้งหมัวหู่ที่ตะโกนสุดเสียงลั่น สีหน้าของเขาซีดขาวเปลี่ยนสีแทบไม่ทันตอนที่1253 ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ!
“ต่อให้มากกว่านี้ก็อย่าหวังปราบปรามข้าได้!”
เย่หยวนคาดไม่ถึงจริงๆว่า เจ้าพวกยักษ์หินเหล่านี้จะถึงขั้นพลีชีพระเบิดตัวเองทิ้ง
อย่างไรก็ตาม เขากลับมิได้หวาดกลัวหรือกังวลอันใดแม้สักนิด
แม้แต่สุดยอดวิชาจับตายของสามเทพอสูรยังไม่สามารถทำอันตรายเขาได้กระทั้งรอยขีดข่วน แล้วนับประสาอันใดกับการระเบิดตัวเองของขุนลศิลา เพียงโคจรพลังปราณโดยใช้เคล็ดมังกรทรราชจุติก็เพียงพอแล้ว
เพียงแต่เย่หยวนคาดไม่ถึงจริงๆว่า ขุนพลศิลาจะใจเด็ดกล้าพลีชีพเช่นนี้
ร่างขนาดมหึมาของขุนพลศิลาพุ่งทะทานเข้าใส่เย่หยวนสุดกำลัง
ในเวลานี้ร่างกายของมันประหนึ่งระเบิดเวลาที่รอปะทุ
ทว่าทันใดนั้น จู่ๆกลับมีรัศมีพลังอันอ่อนโยนเข้าโอบอุ้มขุนพลศิลาไว้ทันควัน
แต่เดิมขุนพลศิลาที่กำลังจะระเบิดคลั่ง ยามนี้ทุกอย่างล้วนถูกระงับโดยสมบูรณ์
กลิ่นอายหอบใหญ่ที่รอการวินาศ ทั้งหมดสลายหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บูมมม!
เบื้องหน้าพลันประจักษ์ ยักษ์หินขนาดมหึมาเป็นพิเศษตนหนึ่งปรากฏกายขึ้นพร้อมเสียงดังอึกทึกดั่งปฐพีสะเทือน
เย่หยวนอดช้อนสายตาจับจ้องไปยังยักษ์หินมหึมาตัวใหม่ที่เพิ่งมาถึงมิได้ด้วยแววตาแสนประหลาดใจ ขนาดของมันใหญ่ยิ่งกว่าขุนพลศิลา แน่นอนว่ามันตนนี้อันตรายยิ่งกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับขุนพลศิลา!
“ท่านประมุข!”
“ท่านประมุข!”
…………………
เมื่อเหล่ายักษ์หินทั้งหมดเห็นการมาถึงของยักษ์หินมหึมาตนนี้ ทุกคนต่างตื่นอกตื่นเต้นจนผิดวิสัย
“ท่านประมุข ในที่สุดท่านก็ตื่นขึ้น! ไอ้พวกมนุษย์บัดซบมันฆ่าแม่ทัพศิลาไป! ท่านต้องล้างแค้นให้พวกเรา!”
ขุนพลศิลากล่าวขึ้นด้วยความขุ่นแค้นเจือเศร้าโศก
มันเกลียดเย่หยวนฝังลึกถึงกระดูกดำ และต้องการจะตายพร้อมกัน
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความปรารถนาและความตายอันสมเกียรติสำหรับมัน
เย่หยวนเงยศีรษะจับจ้องยักษ์หินมหึมาตนนั้น นี่ให้ความรู้สึกดั่งว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่
แม้อีกฝ่ายจะเป็นยักษ์หินเหมือนพวกมันตนอื่นๆ ทว่าแรงคุกคามที่ปลดปล่อยออกมาจากร่าง ช่างค่อนข้างคล้ายคลึงกับท่านบรรพบุรุษแห่งเผ่ามังกรยิ่ง!
หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ยักษ์หินมหึมาตรงหน้าก็เคยเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าเช่นกัน?
ก่อนหน้านี้รัศมีพลังอันอ่อนโยนนั้นช่างลึกล้ำเกินหยั่งถึงได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถระงับการระเบิดตัวเองของขุนพลศิลาได้อย่างสมบูรณ์
ประมุขยักษ์หินกลับมิได้สนใจฟังวาจาของขุนพลศิลาเลย แต่ทว่าเบนสายตาจับจ้องเย่หยวนอย่างสงสัยและกล่าวขึ้นว่า
“มนุษย์…บนร่างกายของเจ้า…ช่างเป็นกลิ่นอายที่พระเจ้าผู้นี้คุ้นเคยยิ่งนัก”
พระเจ้าผู้นี้?!
ดั่งที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ยักษ์หินตนนี่เคยเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าเช่นกัน!
วาจาดั่งคำใบ้ที่ทิ้งทวนของประขุนยักษ์หิน ทำเอาสีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนและพรรคพวกเปลี่ยนไปโดยพลัน
ทั้งๆที่เพิ่งพบเจอกันครั้งแรกแต่กลับบอกว่าคุ้นเคย?
ประมุขยักษ์หินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อว่า
“หากพระเจ้าผู้นี้สันนิฐานไม่ผิด มันควรจะเป็น…ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ?”
ปลายคิ้วเย่หยวนพลันกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนเรียกศิลาจารึกเลื่องสวรรค์ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือและกล่าวถามอย่างฉงนสงสัยว่า
“ท่านหมายถึงสิ่งนี้?”
ประมุขยักษ์หินเร่งขยับขยายสายตาเข้าจับจ้องทันที ก่อนโพล่งคำนับทันทีด้วยความตื่นตะลึง
“นะ-นี่…นี่มันศิลาจารึกบัลลังก์พิภพจริงๆ! ประมุขเผ่ายักษ์หิน,ซือโปเทียน ขอทำความเคารพนายท่าน!”
ซือโปเทียนทิ้งคู่เข่าลงพื้นสะเทือนพิภพ มันเร่งก้มศีรษะคำนับเย่หยวนด้วยความเคารพยิ่ง
เมื่อภาพฉากตรงหน้าปรากฏเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงเหล่ายักษ์หินที่ตื่นตกลึงอย่างมาก แม้แต่เย่หยวนเองยังตกใจเช่นกัน
ศิลาจารึกเลื่องสวรรค์มันกลายไปเป็นศิลาจารึกบัลลังก์พิภพตั้งแต่เมื่อใด?
“ทะ-ท่านประมุข…นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เหตุการณ์ตรงหน้าแทบทำเอาขุนพลศิลาไม่อยากเชื่อสายตา มันจนปัญญาจริงๆ ไฉนท่านประมุขถึงต้องคุกเข่าคาราวะต่อหน้ามนุษย์!
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ เผ่ามนุษย์คือศัตรูของเผ่ายักษ์หิน!
“ถูกต้องท่านประมุขซือ ท่านเข้าใจอันใดผิดไปหรือไม่? ในมือผู้เยาว์คือศิลาจารึกเลื่องสวรรค์ หาใช่ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพไม่!”
เย่หยวนโพล่งกล่าวขึ้นด้วยความงุนงง
แต่ซือโปเทียนกล่าวตอบว่า
“ไม่ผิดแน่นอน! นี่คือกลิ่นอายของศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ! หัวใจแห่งประมุขเผ่ายักษ์หิน! มรดกชิ้นนี้ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น พระเจ้าผู้นี้ซึ่งครองตำแหน่งประมุขมาอย่างยาวนานย่อมเห็นไม่ผิดแน่นอน!”
ครั้งนี้เย่หยวนถึงกับผงะตกใจ
นอกจากชื่อของมัน เย่หยวนยังเพิ่งทราบอีกว่า มันยังมีความสำคัญต่อเผ่ายักษ์หินอีกด้วย
ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ล้วนถูกบันทึกลงในความทรงจำสืบทอดของเผ่ายักษ์หินมาอย่างยาวนาน ดังนั้นซือโปเทียนย่อมจำไม่ผิดแน่นอน
แต่ปัญหาคือ ไฉนศิลาจารึกเลื่องสวรรค์ถึงถูกเรียกว่า ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ?
“ท่านประมุขซือโปรดลุกขึ้นก่อนเถอะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ท่านสามารถชี้แจงให้ผู้เยาว์ฟังได้หรือไม่?”
เย่หยวนผสานมือคาราวะและเอ่ยกล่าวขึ้น
ทว่าขุนพลศิลาพลันก้าวย่างออกมาและโพล่งกล่าวอย่างเดือดดาลว่า
“ท่านประมุขซือ หัวใจแห่งศิลาของพวกเราอยู่ในมือมัน! มัน…มันต้องการฆ่าพวกเรา!”
เย่หยวนที่ได้ยินเช่นั้นพลางหัวเราะแห้งด้วยท่าทีเก้อเขินเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า
“ฮะ-ฮ่าฮ่า ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะระเบิดตัวเองจริงๆ ที่ข่มขู่ไปทั้งหมดก็แค่อยากรู้เกี่ยวกับหัวใจแห่งศิลาก้อนนี้เท่านั้น และนั้นคือทั้งหมด”
เมื่อกล่าวจบ เย่หยวนก็โยนหัวใจแห่งศิลาคืนให้มันโดยตรง
ทันทีทันใด เหล่าพรรคพวกของมันที่ตายไปก็ค่อยๆฟื้นคืนกลับมาอีกครั้งเมื่อได้หัวใจแห่งศิลากลับคืน
หัวใจแห่งศิลานี้มีขนาดเล็กมาก ดังนั้นแล้วรัศมีขอบเขตการฟื้นฟูจึงมีขนาดเล็กตาม
ยามนี้ แม้เย่หยวนจะคืนหัวใจแห่งศิลาให้กับขุนพลศิลาและคืนชีพพรรคพวกกลับมาดังเดิม ทว่าขุนพลศิลายังคงปฏิเสธที่จะเชื่อใจเย่หยวน มันและที่เหลือยังคงจับจ้องเย่หยวนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความขุ่นเคือง
ในมุมมองของพวกมัน ที่เย่หยวนยอมทำเช่นนี้ก็เพราะหวาดกลัวในความแกร่งกล้าของท่านประมุข
แต่ใครจะทราบ จู่ๆซือโปเทียนกลันเอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า
“หัวใจแห่งศิลา คล้ายแก่นอสูรของเหล่าเผ่าอสูรทั้งหมด นั้นเป็นแหล่งพลังงานหลักของพวกเราเผ่ายักษ์หิน ในทางตรงกันข้าม มันก็เป็นของวิเศษใช้บำรุงร่างกายชั้นยอดสำหรับมนุษย์เช่นกัน เมื่อได้ที่เหล่านักสู้มนุษย์ได้กลืนกินหัวใจแห่งศิลาลงไป พวกเขาจะสามารถเข้าถึงพลังของหัวใจแห่งศิลาได้โดยตรง แรกเริ่มเดิมที พวกเราเผ่ายักษ์หินเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่งบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าวันเวลาเลยผ่าน พวกเราถูกจับและฆ่าทิ้งเป็นผักปลาจนแทบสูญพันธุ์โดยพวกมนุษย์ ทางหนีสุดท้ายที่เหลืออยู่คือการอพยพซ่อนตัวในหุบเขาเหวพระเจ้า นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงอยู่อาศัยในสถานที่แห่งนี้ จวบจนบัดนี้เผ่าพันธุ์ของเรานับวันยิ่งอ่อนแอลง”
“ท่านประมุข! ท่าน…ไยต้องเล่าเรื่องพวกนี้ให้พวกมนุษย์ฟังด้วย?”
ขุนพลศิลากล่าวขึ้นด้วยความตกใจ
หัวใจแห่งศิลาคือชีวิตของพวกมัน และนั้นยังเป็นบาปที่ติดตัวพวกมันตั้งแต่เกิดเช่นกัน
ในตอนนี้เย่หยวนเข้าใจแจ่มแจ้งดีแล้ว เหตุใดขุนพลศิลาและยักษ์หินตนอื่นๆถึงเกลียดชังมนุษย์นักหนา
เผ่าพันธุ์โบราณอันทรงพลังจำต้องเกือบสูญพันธุ์ไปโดยฝีมือของมนุษย์ผู้โลภมาก
หากกล่าวว่าสิ่งใดน่ากลัวที่สุดของมนุษย์คงหนีไม่พ้นความโลภ
ความโลภสามารถเปลี่ยนให้มนุษย์คนหนึ่งกระทำเรื่องอันแสนโหดร้ายได้อย่างไร้จำกัด
แต่ทันทีที่ขุนพลศิลาโพล่งกล่าวขึ้นอย่างโกรธเกลียดเช่นนั้น ซือโปเทียนพลันสวนตอบด้วยถ่อยคำอันไม่แยแสว่า
“เจ้าของศิลาจารึกบัลลังก์พิภพคือจ้าวประมุขเผ่ายักษ์หินที่แท้จริง! แม้เขาจะต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เหลืออยู่ของเราก็ตาม แต่พวกเราก็มิอาจขัดขืนได้! หากเขาปรารถนาครอบครองหัวใจแห่งศิลา ก็จงมอบให้เขาแต่โดยดี!”
วาจาของซือโปเทียนที่เอ่ยลั่นทำให้ทุกคนตื่นตกใจขึ้นเป็นทวี
ความภักดีระดับนี้ที่มีต่อเย่หยวน นับเป็นความภักดีอันแสนโง่เขลาอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าพินิจจากน้ำเสียงและการแสดง ดูท่าซือโปเทียนจะมิได้ประชดหรือเจตนาเสียดสีแต่อย่างใด
อย่างไรเสีย เย่หยวนเร่งส่ายหัวและเอ่ยตอบว่า
“ข้ามิได้ปรารถนาครอบครองหัวใจแห่งศิลา ข้าแค่อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมันเท่านั้น”
เย่หยวนกล่าวเช่นนี้เพื่อแสดงจุดยืนของตนเองอย่างชัดเจน ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้น
“วาจาดูสูงส่งดีหนิ! ก็ตอนนี้ท่านประมุขอยู่ตรงหน้า หากเจ้ากล่าวว่ายังต้องการก็นับว่าแปลกแล้ว!”
แต่ทันใดนั้น อิ้งหมัวหู่พลันแสยะยิ้มเล็กน้อยและสวนตอบกลับไปว่า
“เหอะ ของสิ่งนี้มีคุณสมบัติเพิ่มระดับความเข้าใจใช่หรือไม่? สงสัยพวกโง่นี่ยังไม่ทราบ พี่ใหญ่ของข้าเข้าใจต่อศาสตร์แห่งสวรรค์ลึกซึ้งกว่าพวกเจ้าหลายขุม จากอาณาจักรแก่นแท้แห่งปราณจนถึงปัจจุบัน เขาใช้เวลาไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ! ความเร็วในการเข้าใจขนาดนี้ หัวใจแห่งศิลายังมีความสำคัญอันใดในสายตา?”
ขุนพลศิลากล่าวตอบทันทีด้วยความไม่เชื่อว่า
“เจ้าโกหก! นักสู้เผ่ามนุษย์อันต่ำต้อยจะมีพรสวรรค์ขนาดนี้ได้อย่างไร?!”
“เหอะ เจ้าเองก็เคยเห็นแล้วมิใช่รึ? ป่าดอกท้อนั้นเข้าออกง่ายมากกระมัง? เจ้ายังไม่ทันหลับเต็มตื่นพี่ใหญ่ก็ออกมาได้แล้ว!”
อิ้งหมัวกล่าวกล่าวโต้เสียงเย็น
ขุนพลศิลาตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนกลับมาครุ่นคิดกับตนเองถึงเหตุการณ์ก่อนพบว่า มันไม่สามารถโต้เถียงใดๆตอกกับอีกฝ่ายได้อีกต่อไป
เย่หยวนหาได้มีเจตนาร่วมวงโต้เถียงใดๆ เขาหันกลับมาเอ่ยถามซือโปเทียนว่า
“ท่านประมุขซือ ท่านกำลังบอกว่า ศิลาจารึกเลื่องสวรรค์ในมือข้าคือศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ? นี่หมายความอย่างไรกันแน่?”
ทว่าคำตอบที่ได้รับมาจากซือโปเทียน พลันทำเอาเย่หยวนยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่
“อันที่จริงแล้วข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ข้าเพิ่งรู้โดยสัญชาตญาณว่า เจตจำนงของพวกเราเผ่ายักษ์หินคือการพิทักษ์ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพอันนี้!”
ตอนที่1254 ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยมีเผ่าปีศาจ?
“ข้ารู้เพียงว่า เหล่าบรรพชนของพวกเรามีหน้าที่พิทักษ์ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพมาหลายชั่วอายุคนแล้ว จนกระทั้งวันนั้น วันที่เผ่าพันธุ์ของพวกเราเริ่มล้มสลาย หลังจากหนีเข้ามาลี้ภัยอยู่ภายในนี้ ก็ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง”
ซือโปเทียนกล่าว
เมื่อได้ยินแบบนั้น เย่หยวนก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าไม่รู้จบ
เผ่ามนุษย์ไล่ล่าเผ่ายักษ์หินจนเกือบสูญพันธุ์เพราะความโลภล้วนๆ ในขณะที่เผ่าปีศาจไล่ล้างบางเผ่ามนุษย์หวังเพื่อยึดครองมาเป็นของตน
ใครถูกใครผิดกลับเห็นต่างที่มุมมองและจุดยืน กระทั้งประเด็นนี้เองเย่หยวนก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินได้เช่นกัน
มีเพียงคำพูดเดียวยังคงเป็นความจริงไม่เปลี่ยนผันคือ บนพิภพแห่งนี้ คนอ่อนแอเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแกร่งกว่า
แม้เย่หยวนในตอนนี้จะเป็นผู้นำของมวลมนุษย์ แต่เขาก็ไม่มีอำนาจควบคุมมนุษย์ทุกคนได้เบ็ดเสร็จ
บางทีอาจมีอีกหลายเผ่าที่สูญพันธุ์ไปแล้วโดยฝีมือของมนุษย์ เพียงว่าเผ่าพันธุ์เหล่านั้นอาจถูกหน้าประวัติศาสตร์กลบฝังและหลงลืมไปตลอดกาล
ในฐานะผู้นำมวลมนุษย์ เย่หยวนต้องมีหน้าที่ปราบปรามเผ่าปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย
มิอาจกล่าวได้ว่าเผ่าปีศาจเป็นฝ่ายผิด แต่เป็นเพราะเย่หยวนคือมนุษย์คนหนึ่ง
สำหรับเผ่ายักษ์หินที่เห็นเผ่ามนุษย์เป็นศัตรู เย่หยวนย่อมตระหนักได้เข้าใจดี ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับเผ่ามนุษย์และปีศาจเลย ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้เหล่ายักษ์หินโดยรอบกรนด่าสาปแช่งต่อไป
แน่นอน หากมีโอกาส เขาเองก็ต้องการปรับความเข้าใจของพวกเขาใหม่
“ท่านประมุขซือ วีรกรรมต่างๆนาๆของเผ่ามนุษย์ เย่คนนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากขอโทษ ข้าขอสัญญา หากข้าสามารถกำจัดเผ่าปีศาจได้สำเร็จลุล่วง เย่คนนี้จะแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้พวกท่านตั้งถิ่นฐานใหม่และพักผ่อนได้ตามสะดวก”
เย่หยวนผสานมือกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าเย่หยวนจะมิใช่คนที่ใช้อำนาจบังคับสั่งการอันใดตามใจนึก แต่เรื่องนี้เขาไม่สามารถปล่อยทิ้งไว้ได้จริงๆ ในเมื่อมนุษย์เป็นคนก่อเรื่องขึ้น ดังนั้นก็จำต้องรับผิดชอบเช่นกัน
ทั้งๆที่เผ่ายักษ์หินมิได้อะไรเลย แต่เผ่ามนุษย์กลับตามล่าฆ่าฟันอย่างไร้เหตุผล ไม่ว่าอย่างไรเย่หยวนก็ไม่สามารถยอมรับได้จริงๆ
“เผ่าปีศาจ? ข้าจำได้ว่า บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ยุคบรรพกาลไม่เคยมีเผ่าพันธุ์นี้ดำรงอยู่”
เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับผงกด้วยความตกใจ!
ไม่เคยมีเผ่าพันธุ์นี้ดำรงอยู่?
เขามิได้กังขาสงสัยในคำกล่าวของซือโปเทียนเลย เขาหลับใหลอยู่ในที่แห่งนี้ไม่รู้กี่แสนปี และบางทีอาจมากกว่าหนึ่งล้านปีด้วยซ้ำ!
นี่แสดงให้เห็นถึงอะไร? สิ่งที่ซือโปเทียนกำลังสื่อก็คือ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อหลายล้านปีก่อน ยังไม่มีเผ่าปีศาจดำรงอยู่!
หากเช่นนั้น…เผ่าปีศาจมาจากไหน?
ความจริงข้อนี้ค่อนข้างทำให้เย่หยวนตกใจอย่างมาก!
“ท่าน…ท่านแน่ใจใช่ไหม? ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต บางทียังมีอีกหลายเผ่าพันธุ์ที่ท่านยังไม่รู้จัก?”
เย่หยวนยังคงยืนยันคำเดิม เขาพลางคิดว่า กาลเวลาผ่านไปล้านปี ซือโปเทียนอาจมีอาการหลงๆลืมๆไปบ้าง
และสุดท้ายนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขายืนอยู่ก็มีขนาดใหญ่เกินไป!
นอกจากพื้นที่อาณาเขตหลักๆแล้ว ยังมีอีกแล้วดินแดนลึกลับที่ผู้คนไม่รู้จัก
อย่างไรก็ตาม ซือโปเทียนกลับส่ายหัวและกล่าวตอบด้วยความมั่นใจว่า
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มิได้กว้างใหญ่อย่างที่ท่านคิด สำหรับเซียนอาณาจักรพระเจ้าแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็เดินทางข้ามดินแดนได้ไกลเกินจินตนาการ! แต่สุดท้ายนี้ข้าก็ยังยืนยัน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยมีชื่อเผ่าปีศาจดำรงอยู่”
เย่หยวนสูดไอเย็นแช่มเข้าปอดลึก เขาพยายามสงบสติอารมณ์โดยเร็ว
ทันใดนั้น พลันนึกถึงบางอย่างได้ เย่หยวนจึงเอ่ยถามอีกครั้ง
“ท่านประมุขซือ ท่านเคยได้ยินสถานที่นามว่า‘ดินแดนพฤกษานิรันดร์’มาก่อนหรือไม่?”
ซือโปเทียนยังคงส่ายหัวและกล่าวว่า
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน”
“หากเช่นนั้น ท่านทราบหรือไม่ว่า ยังมีอาณาจักรพลังที่สูงกว่าอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าหรือไม่? บางทีหลังจากที่ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดได้ พวกเขาเหล่านั้นอาจทำลายความว่างเปล่าและขึ้นสู่อีกดินแดนที่อยู่สูงกว่า คล้ายกับคนจากแดนล่างขึ้นมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์?”
เย่หยวนเอ่ยปากสอบถามไถ่ต่อในทันที
“ตามที่ข้าทราบ อาณาจักรบรรพชนพระเจ้ายังมิใช่จุดสิ้นสุดของเส้นทางแห่งพลัง เหล่าบรรพชนของเผ่ายักษ์หินในกาลอดีตเอง ก็น่าจะมีความแกร่งกล้าเหนือกว่าอาณาจักรพระเจ้าไปแล้วเช่นกัน แต่…พวกเขาก็ยังคงอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มิได้ขึ้นสู่ดินแดนที่สูงกว่าอย่างใด”
ซือโปเทียนกล่าว
ปรากฏว่ายิ่งเย่หยวนถามมากเท่าไหร่ ข้อสงสัยก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
ท่านบรรพบุรุษของเผ่ามังกรเคยกล่าวไว้ก่อนหน้าว่า บรรพชนต้นกำเนิดแห่งเผ่าสี่สัตว์เทวะสามารถจัดการยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้เพียงสะบัดมือ
แถมยังเย่หยวนยังจำเทพบรรพบุรุษของเผ่าพยัคฆ์ขาวในอนุสรหณ์ได้เป็นอย่างดี กระทั้งเซียนอาณาจักรพระเจ้ายังต้องก้มหัวให้! และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เย่หยวนจึงเริ่มตั้งข้อสงสัยแล้วว่า ยังมีอาณาจักรพลังที่อยู่สูงกว่าอาณาจักรพระเจ้าจริงๆหรือไม่?
หลังจากที่ฟังคำอธิบายของซือโปเทียน เย่หยวนยังกล่าวได้อีกว่า แม้จะสำเร็จอาณาจักรพระเจ้าหรือเหนือกว่านั้น แต่ใครใคร่จะขึ้นสู่ดินแดนถัดไป เกรงว่ามิใช่ทุกคนที่สามารถขึ้นไปได้
แต่อย่างไรก็ตาม…เผ่าปีศาจมาจากไหนกัน?
หากมาจากดินแดนที่สูงส่งกว่า ไฉนจะต้องลดตัวลงมาที่นี่?
คำถามนับร้อยพันพรั่งพรูเข้าสู้ห้วงความคิดของเขาจนสับสนมึนงงไปหมด เขาไม่สามารถสลัดสิ่งรบกวนจิตใจเหล่านี้ออกไปได้แม้สักนิด
“ช่างเถอะ,ช่างมันไปก่อน! ท่านประมุขซือ,เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ล้วนเกิดการความเข้าใจผิดทั้งสิ้น เย่คนนี้มิได้มีเจตนาร้ายอันใด พวกเรายังมีธุระสำคัญอยู่ในมือ เช่นนั้นขอตัวลา”
กล่าวจบ เย่หยวนยกมือขึ้นประสานให้อีกฝ่าย
“นายท่านต้องการไปที่ใด?”
ซือโปเทียนเอ่ยถาม
“พวกเรากำลังเดินทางไปยังเขตพระเจ้าต้องห้ามเพื่อเสาะหาพฤกษาคุนหวู!”
เย่หยวนหาได้มีเจตนาปกปิดอันใดและเอ่ยตอบตามความเป็นจริง
ยามนั้น ขุนพลศิลาอดตะลึงมิได้และโพล่งขึ้นกล่าวว่า
“พวกเจ้าคิดจะไปเขตพระเจ้าต้องห้ามจริงๆรึ?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ขนาดนี้ยังต้องโกหก?”
ก่อนหน้าขุนพลศิลายังคิดว่าเย่หยวนคุยโม้เฉยๆ แต่มันคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะเดินทางเข้าไปจริงๆ!
“เช่นนั้นให้พวกเราเข้าไปด้วยกันกับท่าน!”
ซือโปเทียนกล่าวตอบทันทีโดยมิได้ลังเลแม้แต่น้อย
“แต่…เขตพระเจ้าต้องห้ามเป็นสถานที่อันตรายอย่างยิ่ง ท่านประมุขซือ อย่าเอาความเป็นยความตายของเผ่ายักษ์หินมาเสี่ยงกับข้าเลยดีกว่า”
สีหน้าเย่หยวนเหยียบเย็นเคลือบแข็งในทันทด พร้อมกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม
ทว่าเจตจำนงของซือโปเทียนช่างกล้าแกร่งและมั่นคงยิ่ง เขายังคงกล่าวตอบอย่างไม่ไหวติงว่า
“พวกเรามีหน้าที่พิทักษ์ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพตั้งแต่สมัยบรรพกาล ในเมื่อเจ้าของศิลาจารึกบัลลังก์พิภพรุ่นปัจจุบันคือท่าน ดังนั้นแล้วเราย่อมต้องปกป้องท่านจวบจนชีวิตจะหาไม่! แม้ตายก็ตายในหน้าที่ พวกเราย่อมไม่มีวันหวนคืนเสียใจ!”
เย่หยวนไม่คิดเลยว่า ซือโปเทียนจะมีความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ กลับเป็นเขาเสียเองที่ไม่มีสิทธิ์ตั้งสินใจเลือกอะไรได้
ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเท่าไหร่นัก หากเขาต้องเป็นต้นเหตุที่ทำให้เผ่ายักษ์หินต้องสูญพันธุ์ไป ตราบาปนี้กลับยากที่จะลบออกจากจิตใจแม้ตายลง
“แน่ใจแล้ว? แต่ข้าว่าพวกท่านอยู่ตรงนี้ไปก่อนดีกว่า เอาเช่นนี้,หลังจากที่ข้าออกจากเขตพระเจ้าต้องห้ามได้ ข้าจะพาพวกเจ้าออกไปสู่โลกภายนอกด้วยกัน”
เย่หยวนครุ่นคิดพินิจกับตัวเองครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวเสนอออกไป
หากเขาสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ มหาศึกใหญ่ที่รอเขาอยู่ข้างนอกก็มิน่าใช่ปัญหาเช่นกัน อย่างน้อยที่สุดก็สามารถการันตีความปลอดภัยของเผ่ายัก์หินเหล่านี้ได้
“ความแกร่งกล้าของซือโปเทียนตนนี้ ก็เคยเป็นถึงเซียนอาณาจักรพระเจ้าขนานแท้ในกาลอดีต! ข้าคิดว่าตนเองน่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง! ไม่ว่านายท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ซือโปเทียนก็ขอติดตามท่านไปด้วยทุกที!”
เย่หยวนถึงกับทำอะไรไม่ถูก จุดแข็งของซือโปเทียนผู้นี้เหนือชั้นกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด หากมีการดำรงอยู่ระดับนีติดสอยห้อยตามไปด้วย ย่อมอุ่นใจกว่านแน่นอน
“เอาล่ะ ข้ากล่าวอันใดไปคงปฏิเสธ จากนี้ต่อไป พวกเจ้าเข้ามาอยู่ในเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เสมือนไปก่อน ยามใดที่ข้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะเรียกพวกเจ้าออกมาเอง”
เย่หยวนหันไปกล่าวกับยักษ์หินตนอื่นๆโดยรอบ และเรียกเจดีย์เลื่องสวรรค์ออกมาพร้อมนำพวกเขาเข้าไปทันที
อาณาเขตของเผ่ายักษ์หินอยู่ไม่ไกลนักจากเขตพระเจ้าต้องห้าม
พริบตาเดียว หนึ่งเดือนผ่านพ้นไป ในที่สุดกลุ่มของเย่หยวนก็เดินทางมาถึงเขตพระเจ้าต้องห้ามในท้ายที่สุด
“พี่ใหญ่ เขตพระเจ้าต้องห้ามแห่งนี้ให้ความรู้สึกคับคล้ายกับดินแดนผีสิง ช่างว่างเปล่าและน่าขนหัวลุกยิ่ง! เพียงย่างกรายเข้ามาในที่แห่งนี้ ร่างกายกลับสั่นเทาโดยมิตั้งใจ!”
อิ้งหมัวหู่เอ่ยกล่าวขึ้นพลางยกมือลูบแขนตัวเองเล็กน้อย
เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นที่รกร้างแสนว่างเปล่า
ยังไม่ทันเข้าสำรวจ รัศมีพลังผันผวนอันน่าสะพรึงหอบใหญ่ก็พัดผ่านปะทะร่างเสียแล้ว
ไม่เพียงอิ้งหมัวหู่ที่รู้สึกเช่นนี้ กระทั้งเย่หยวนยังต้องหายใจติดขัดไปเช่นกัน
ประหนึ่งต้นไม้ใบไม้หรือแม้แต่สรรพสิ่งโดยรอบมีสัมผัสพิเศษอย่างน่าพิสดาร
ในบริเวณนี้ดูท่าจะแตกต่างไปจากภายนอกโดยสิ้นเชิง!
ทันทีทันใด ญาณเหนือสัมผัสของเย่หยวนคล้ายสั่นระฆังเตือนขึ้นกลางใจ!
“ระวัง!”
คลื่นพลังสีโลหิตสองสายพวยพุ่งเข้าใส่โดยไม่ทันตั้งตัว นี่เป็นการลอบโจมตีพวกเขาจากด้านหลังอย่างไม่ต้องสงสัย
ญาณเหนือสัมผัสของเย่หยวนค่อนข้างมีปฏิกิริยาว่องไวเฉียบคมยิ่ง ทว่าคราวนี้ เขาเองก็เพิ่งจับสัมผัสได้ทันทีที่การโจมตีพุ่งถึงตัว
คลื่นพลังสีโลหิตสองสายนี้เล็งเป้าไปยังอิ้งหมัวหู่กับลี่เอ๋ออย่างชัดเจน และทั้งสองไม่สามารถตอบสนองรับมือใดๆได้ทัน
กระบวนโจมตีนี้ช่างกล้าแกร่งอย่างยิ่ง!
เขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบ!
เคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำ!
เย่หยวนพุ่งตัวเข้ามาปกป้องอิ้งหมัวหู่และลี่เอ๋ออย่างรวดเร็วทันควัน
บูมม! บูมมม!
คลื่นพลังสีโลหิตทั้งสองสายกระหน่ำเข้าใส่เย่หยวนโดยหาได้บ่ายเบี่ยงอันใด
“พร๊วดดด!”
เย่หยวนกระอัดพ่นเลือดสดคำโต พร้อมร่างที่ถูกซัดถอยออกไปหลายสิบก้าว
แม้แต่เคล็ดมหาดาราย้อนสวรรค์ของสามเทพอสูรยังไม่สามารถทลายปราการป้องกันเหล็กกล้าของเย่หยวนได้ ทว่าคลื่นพลังสีโลหิตทั้งสองสายจากทิศทางใดไม่ทราบกลับเล่นเอาเย่หยวนบาดเจ็บสาหัสได้ในคราเดียว!
“พี่ใหญ่!”
“ท่านพี่หยวน!”
เสี้ยวอึดใจพลันตอบสนอง อิ้งหมัวหู่กับลี่เอ๋อที่เห็นดังนั้นต่างกรีดร้องขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“ฮิฮิ นับเป็นการป้องกันที่ทรงพลังไม่น้อย! ดูท่าเจ้าจะได้รับสืบทอดเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำมาด้วน แต่นั้น…ยังห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบ!”
เสียงหัวเราะแปลกๆชวนขนลุกลั่นดังขึ้น ร่างของจู่เก๋อฉิงซวนค่อยๆประจักขึ้นสู่สายตาของทั้งสาม
ตอนที่1255 ศาสตร์แห่งสวรรค์ขั้นที่สอง!
“จู่เก๋อฉิงซวน!”
เมื่อทั้งสามเห็นเป็นจู่เก๋อฉิงซวน สีหน้าการแสดงออกของพวกเขาพลันผันแปรโดยไม่สมัครใจ
เย่หยวนมั่นใจอย่างยิ่งว่า จู่เก๋อฉิงซวนไม่เข้าคู่กับหลีกุยแน่นอน ทว่ากลับคาดไม่ถึง ปรากฏว่าอีกฝ่ายสามารถรอดชีวิตออกจากมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณได้จริงๆ!
อย่างไรก็แล้วแต่…ไฉนบุคลิกท่าทีของมันถูกดูเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเช่นนี้?
“เหอะ! แกประหลาดใจนักรึ? ไม่คิดไม่ฝันใช่ไหมว่า ข้าผู้นี้จะหนีรอดออกมาได้?”
“ฮิฮิ… เจ้าเด็กนี่นับว่าฉลาดหลักแหลม รู้จักฆ่าคนด้วยมีดคนอื่น! แต่ความพยายามของข้านับล้านปีเต็มกลับต้องล้มเหลวภายในวันเดียว ความโกรธแค้นของพระเจ้าผู้นี้ เจ้าเตรียมใจรับได้เลย!”
สองเสียงจากปากเดียวแผดดั่งชัดแจ้ง ซึ่งน้ำเสียงและลักษณะการพูดล้วนแล้วแต่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พวกเย่หยวนทั้งสามที่ได้ยินดังนั้นพลันอดประหลาดใจมิได้
อย่างไรก็ตาม แค่ไม่กี่อึดใจต่อมา เย่หยวนก็เข้าใจทุกอย่างได้ในทันทีเช่นกัน ดูเหมือนว่าจ้าวนิกายชำระวิญญาณ,หลีกุยจะเข้ายึดร่างของจู่เก๋อฉิงซวนไว้
เว้นเสียแต่ การยึดร่างครั้งนี้กลับไม่สมบูรณ์จึงส่งผลให้จู่เก๋อฉิงซวนยังคธำรงสติสัมปชัญญะได้อยู่อย่างที่เห็น
อย่างไรก็ตามแต่ จู่เก๋อฉิงซวนในปัจจุบันเผยถึงแรงคุกคามที่น่าสะเทือนขวัญยิ่ง
เย่หยวนสงบเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็ว ก่อนกล่าวขึ้นพลางหัวเราะลั่นว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า! จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์ผู้สูงศักดิ์กลับมีจุดจบที่น่าสังเวชยิ่งกว่าความตาย! คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง! หากโลกภายนอกทราบว่าเจ้าต้องกลายมาเป็นเช่นนี้ คงเป็นเรื่องตลกที่โด่งดังที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลยกระมัง?”
สีหน้าการแสดงออกของจู่เก๋อฉิงซวนมืดลงในบัดดล แม้เขาจะถูกหลีกุยควบคุมร่างไปแล้วตอนนี้ แต่สติสัมปชัญญะดั่งเดิมของมันยังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี
มันหยิ่งผยองถือตนอยู่เหนือหัวสรรพสิ่ง ทันทีที่ถูกเย่หยวนพ่นวาจาเหยียดหยามใส่เช่นนี้ มันจึงเดือดพิโรธแทบลุกเป็นไฟ
“หุบปากไปซะ! รอจนกว่าข้าผู้จะถลกหนังเลาะกระดูกแกออกมาเสีย จากนั้นค่อยไปพล่ามต่อในนรก!”
จู่เก๋อฉิงซวนสาดคำขู่ออกไปหยุดปากด้วยความโมโห
“ใจเย็นก่อน! หากเจ้ายังไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจเสียบ้าง เจ้าจะทำกิจสำคัญได้สำเร็จอย่างไร?”
หลีกุยกล่าวเตือนสติ
“หุบปากได้แล้ว! ไอ้บัดซบนี่ข้าจัดการเอง! หรือเจ้าคิดว่านามขาน จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์เป็นเพียงคำขู่หลอกเด็ก?!”
“เอาล่ะ,เอาล่ะ! พระเจ้าผู้นี้จะไม่เข้าแทรกแซง! หลังจากนี้อย่ามาขอให้พระเจ้าผู้นี้ช่วย!”
เมื่อกล่าวจบหลีกุยก็ไม่ส่งเสียงเอ่ยดังใดๆอีกต่อไป พร้อมยกสิทธิ์การควบคุมร่างกายให้แก่จู่เก๋อฉิงซวนโดยปริยาย
“เย่หยวน ในคราวนี้แม้แต่จักรพรรดิหยกก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้!”
จู่เก๋อฉิงซวนคำรามลั่นด้วยความเดือดดาล
ทว่าเย่หยวนคลี่ยิ้มสวนพลางกล่าวตอกไปว่า
“เอ…ครั้งล่าสุดข้าสงสัยเสียจริงว่า ใครมันหนีหางจุกตูดดั่งสุนัขกัน!”
“มิใช่ว่าครั้งล่าสุดเจ้าเล่นไม่ซื่อรุมข้า? ครั้งนี้หนึ่งต่อหนึ่งไร้ซึ่งแผนการ คิดหรือจะเอาชนะข้าผู้นี้ได้?”
จู่เก๋อฉิงซวนกล่าวตอบอย่างรังเกียจ
“เหอะ เหอะ ก็แค่พวกขี้แพ้ชวนตี สำหรับข้าในตอนนี้ เจ้ามิได้อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ!”
เย่หยวนเชิดศีรษะกล่าวตอบเสียงเย็น
“เช่นนั้น ข้าผู้นี้ก็ขอดูเสียหน่อย ว่าวันนี้แก่จะแกร่งกล้าสักแค่ไหน?!”
จู่เก๋อฉิงซวนหัวร่อเสียงเย็นพร้อมปลดปล่อยดัชนีออกไปทันที!
ดัชนีปราณฉีเลิศล้ำ!
ดัชนีสายเดี่ยวถูกปลดปล่อย ฉีกเมฆาแหวกอากาศทะลวงสิ้น!
ช้อนสายตาจับจ้องสะท้อนแววสุดเหยียดหยาม เย่หยวนกระตุกยิ้มคำหนึ่งพร้อมสำแดงใช้บัวเพลิงปราณดาบพิโรธเข้าชนกับดัชนีปราณฉีเลิศล้ำโดยตรง
แต่ในเสี้ยวอึดใจนั้นเอง ขณะที่เย่หยวนกำลังระดมพลังปราณ เขาพลันรู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก เสมือนว่าพลังปราณภายในร่างถูกสกัดกั้นเอาไว้ ส่งผลให้บัวเพลิงปราณดาบพิโรธถูกลดทอนอนุภาพไปกว่าครึ่ง!
บูมมมม!
บัวเพลิงปราณดาบพิโรธที่สำแดงใช้เพียงครึ่งหนึ่งจะไปทัดเทียมกับดัชนีฉีเลิศล้ำเต็มสูบได้อย่างไร?
ใจกลางทรวงอกของเย่หยวนถูกดัชนีซัดกระแทกเต็มแรง กลิ่นโลหิตหวานล้นทะลักออกจากลำคอ พร้อพ่นเลือดสดออกมาไม่หยุดหย่อนจนชโลมชุ่มเสื้อผ้า
“พี่ใหญ่หยวน!”
“พี่ใหญ่!”
ลี่เอ๋อกับอิ้งหมัวหู่ถอดสีหน้าทันทีด้วยความตกใจ ทั้งคู่ไม่คาดคิดเลยว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นเช่นนี้
เย่หยวนเพิ่งเริ่มสัประยุทธ์ได้กระบวนเดียว แต่กลับบาดเจ็บสาหัสไปเสียแล้ว
โชคยังดีที่เขายังมีวรยุทธมังกรทรราชจุติคอยฟื้นฟูสภาพร่างกาย
“ฮิฮิ เป็นอย่างไรบ้าง? รสชาติของตราสาปภูตวิญญาณ? ไม่เลวเลยใช่ไหม?”
หลีกุยกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะชวนขนลุก
เย่หยวนตระหนักทราบทันทีว่า นี่เกิดจากคลื่นพลังสีโลหิตทั้งสองสายก่อนหน้า
ความรู้สึกชนิดนี้คล้ายคลึงกับลูกประคำปราบเทพของหกผู้พิทักษ์ปีศาจของจี้ฉางหลาน
แต่สิ่งนี้คล้ายตราคำสาปที่ติดตัวเย่หยวน แม้เขาจะใช้พฤกษาวิญญาณหยวนฉือพยายามขจัดออกอย่างไร แต่นั้นกลับไม่ได้ผลเลย
ตามที่คาดไว้ วิธีการนำใช้นาๆชนิดของเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดในกาลอดีต ล้วนเกินหยั่งถึงทั้งสิ้น!
เว้นเสียว่า…
แทนที่เย่หยวนจะเจ็บใจหรือแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยว เขากลับแสยะยิ้มออกมาแทน ซึ่งนั้นทำเอาสีหน้าการแสดงออกของหลีกุยแข็งค้างโดยพลัน
“ตราสาปภูตวิญญาณ? เป็นชื่อที่ไม่เลวหนิ แต่ข้าสงสัยเสียจริงว่า…กุยฟู่จะทราบวิธีถอนตราสาปนี้หรือไม่?”
เย่หยวนปั้นสีหน้าเสแสร้งแสดงใคร่รู้พร้อมฉีกยิ้มกว้าง
ทันทีทันใดปรากฏรัศมีพลังสีแดงชั้นบางเข้าปกคลุมร่างกายของเย่หยวนทันที
ใบหน้าของหลีกุยบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ มันกัดฟันแน่นพร้อมกล่าวด้วยความเกลียดชังว่า
“ข้าก็สงสัยว่าเหตุใดธงอัตลักษณ์วิญญาณของข้าถึงหายไป! ปรากฏว่ามันอยู่ในมือเจ้า!”
หลี่กุยคือเจ้าของธงอัตลักษณ์วิญญาณคนก่อน ธงอัตลักษณ์วิญญาณทรงพลังแกร่งกล้าเพียงใด มีหรือที่มันจะไม่ทราบ?
ถึงอย่างไร ไม่ว่านักสู้ผู้มาพบเจอของวิเศษชิ้นนี้จะแกร่งกร้าวเพียงใด แต่หากต้องการกำปราบผีร้ายเหล่านี้ให้เชื่อฟัง เกรงว่าเป็นไปไม่ได้
แต่มันก็ไม่อยากเชื่อเลยว่า เย่หยวนจะสามารถกำราบผีร้ายของมันได้อยู่หมัด
พลันนึกถึงความพยายามนับหลายปีที่มันพยายามเสริมแกร่งธงอัตลักษณ์วิญญาณ ของวิเศษคู่กายมันอย่างต่อเนื่อง บัดนี้กลับกลายเป็นว่าหลีกุยเย็บปักชุดแต่งงานสุดหรูให้แก่เย่หยวนใช้งานเสียเอง ต่อหน้าธงอัตลักษณ์วิญญาณนี้ ตราสาปภูตวิญญาณของมันก็ไม่ต่างอะไรจากของเล่นเด็ก
กุยฟู่ทำราวกับไม่เห็นหลีกุย มันเรียกสหายภูผีอีกแปดตนออกมาคุ้มกัน และเริ่มคลายตราสาปในกายเย่หยวนทันที
เหล่าผีร้ายพวกนี้ทราบดี ระหว่างที่หลีกุยกำลังคลายตราสาปนี้ ห้ามให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด ถึงจะสามารถคลายตราสาปนี้ออกได้ไม่ยาก แต่นั้นยังต้องใช้เวลาพอสมควร
ซึ่งความแกร่งกร้าวของพวกมันทั้งแปดก็น่าจะเพียงพอแล้ว
“คิดจะคลายก็คลายง่ายๆงั้นรึ? ข้าคงไม่ปล่อยให้สำเร็จลุล่วงกระมัง?”
สีหน้าน้ำเสียงของจู่เก๋อฉิงซวนปรากฏขึ้นอีกครั้ง พร้อมชี้ดัชนีตรงเข้าใส่อีกระลอกหนึ่ง
“ดัชนีสวรรค์…เลิศล้ำ!”
จู่เก๋อฉิงซวนกู่ร้องขึ้นพร้อมระเบิดพลังดัชนีขั้นสุดยอดออกมาโดยตรง
ดัชนีโลกาวินาศ, ดัชนีพลังฉีเลิศล้ำและดัชนีสวรรค์เลิศล้ำ ทั้งสามกระบวนโจมตีนี้ล้วนเป็นวิชาแขนงเดียวกันของฤทัยพุทธะสูตร
เพื่อที่จะสำเร็จถึงกระบวนนี้ กล่าวได้ว่าขุมพลังความสามารถของผู้ฝึกฝนยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง
นอกจากนี้จู่เก๋อฉิงซวนยังสามารถใช้เขตแดนจักรพรรดิแห่งเต๋าได้แล้ว ด้วยสิ่งนี้จึงยิ่งเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของมันเป็นหลายเท่าทวี
สีหน้าของเย่หยวนตกลงทันใด ก่อนกล่าวขึ้นว่า
“ไม่น่าแปลกใจ ไฉนเจ้าถึงหยิ่งยโสได้เพียงนี้ ปรากฏเจ้าบรรลุถึงศาสตร์แห่งสวรรค์ขั้นที่สองแล้ว ทว่าน่าเสียดาย…เจ้ากลับบรรลุได้เพียงแค่นี้”
ประกายแสงสีทองสาดกรพริบวิบวับจากกายาเย่หยวน สองฝ่ามือชูชันซัดกระหน่ำเข้าตอบโต้ในบัดดล
ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้า!
วรยุทธต่อสู้ของเผ่ามังกรของเย่หยวนได้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลังจากที่ปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ได้ นั้นส่งผลให้เขาบรรลุศาสตร์แห่งสวรรค์ขั้นที่สองในพริบตา!
ซึ่งศาสตร์แห่งสวรรค์ขั้นที่สองนี้ มีระดับความแกร่งกล้าสอดคล้องกับอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง
ซึ่งแต่เดิม ความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งสวรรค์ของจู่เก๋อฉิงซวนกับของเต็งหยุนอยู่ในระดับชั้นเดียวกันคือจุดสูงสุดของขั้นแรก
โดยไม่ต้องพินิจพิจารณาให้เหนื่อยเปล่า ที่จู่เก๋อฉิงซวนแข็งแกร่งขึ้นได้ในพริบตาต้องเป็นฝีมือของข่านนั่วแน่นอน ด้วยวิธีการบางอย่างจึงทำให้มันบรรลุศาสตร์แห่งสวรรค์ขั้นที่สองโดยตรง
อย่างไรก็ตามแต่ ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าที่เป็นศาสตร์แห่งสวรรค์ขั้นที่สอง กลับเหนือชั้นกว่าดัชนีสวรรค์เลิศล้ำซึ่งเป็นศาสตร์แห่งสวรรค์ขั้นที่สองเหมือนกันได้อย่างขาดลอย!
แต่เดิม วรยุทธทั้งสองชนิดนี้ควรมีระดับชั้นและพลานุภาพใกล้เคียงกัน ทว่าเย่หยวนได้เพิ่มแกร่งกระบวนโจมตีไปอีกขั้นโดยใช้กายทองคำเก้าอรหันต์
สองสุดยอดกระบวนโจมตีเข้าชนกันจนเกิดแรงระเบิดซัดถีบออกมา และเป็นจู่เก๋อฉิงซวนที่กระเด็นออกไปไร้ทิศทาง
“เหอะ นี่รึจอมราชันย์อันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์? กระจอกสิ้นดี!”
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตาพร้อมกล่าวเยาะอย่างหยามเหยียด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น