Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1233-1240
ตอนที่1233 งานเลี้ยง
“หื้ม? นี่…นี่เราอยู่ที่ไหน?”
“พื้นที่แบบนี้…นี่คือหุบเขาเหวพระเจ้า! พวกเรากลับมาได้แล้ว! พวกเรารอดตายแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“ฮ่าฮ่า จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์บัดซบนั้นโง่เง่าสิ้นดีที่ปล่อยโอกาสรอดให้เรา!”
“ปราณกฏว่าฟ้ายังมีตา! ฮ่าฮ่าฮ่า…ขอให้ไอ้จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์บัดซบนั้นตายไปในป่าช้านั้นเถอะ!”
………………..
กลุ่มนักสู้เหล่านนั้นเดินสุ่มไปเรื่อยๆภายในป่าช้า แต่กลับออกจากแดนมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณตอนไหนไม่ทราบ และกลับเข้าสู่หุบเขาเหวพระเจ้าดังเดิมโดยไม่รู้ตัว
หลังจากทราบเช่นนี้ พวกเขาทุกคนต่างกระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความดีใจ
พวกเขาถูกบังคับขู่เข็ญให้เข้าไปในป่าช้าโดยจู่เก๋อฉิงซวน ยามนั้นทุกคนต่างรู้สึกหมดสิ้นความหวังโดยสมบูรณ์
สถานที่แห่งนั้นเคยเป็นถึงนิกายศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่สมัยบรรพกาล หาใช่เรื่องง่ายจะเอาชีวิตรอกดออกมาที่ไหน
แต่นี่…พวกเขาทั้งหมดกลับออกมาได้โดยมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่ปลายเส้นผม แล้วนี่จะมิให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร?
หลังจากที่ตื่นเต้นดีใจอยู่พักใหญ่ กลับเป็นความขุ่นแค้นใจที่มีต่อจู่เก๋อฉิงซวนแมนที่แทรกขึ้นกลางใจของพวกเขาทั้งหมด ทุกคนในยามนี้ต่างกรนด่าสาปแช่งจู่เก๋อฉิงซวนอย่างไม่หยุดหย่อน และหวังให้พลาดท่าตายลงไปในป่าช้าแห่งนั้น
“เหอะ พวกเจ้าคิดจริงๆว่า ที่รอดออกมาได้เพราะโชคช่วย?”
ทันใดนั้นเอง เยาวชนหนุ่มผู้หนึ่งพลันก้าวแช่มออกมาและเอ่ยปากเสียงดังฟังชัด
แต่ทันทีที่ทุกคนเหลียวมองต้นเสียง พวกเขาก็จำได้ทันทีว่าเยาวชนหนุ่มผู้นี้คือใคร
“เป็นเจ้า! จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ตัวปลอมที่หลอกพวกเรา! ถูกรุมประชาทัณฑ์ขนาดนั้นยังไม่ตายจริงๆ? เจ้านี่มันถึกทนดีเยี่ยม!”
บางคนร้องอุทานขึ้นทันทีด้วยความประหลาดใจ
เยาวชนหนุ่มผู้นี้คือเย่เซิงอย่างแม่นยำ เขาได้ทางออกจากแดนมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณแล้วเช่นกัน
ครั้งสุดท้ายที่ทุกคนได้เห็นเย่เซิง คือตอนที่เขาถูกจู่เก๋อฉิงซวนเลือกออกไปเพื่อเข้าสำรวจก่อนหน้า แต่ใครจะไปคิดว่า เขายังสามารถรอดชีวิตออกมาได้ ทุกคนล้วนคิดว่าเขาตายลงไปนานแล้ว
พวกเขาไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่า คนที่ถูกพวกตนกระทืบในทีแรก กลับยังรอดออกมาได้จวบจนปัจจุบัน!
เมื่อได้ยินเสียงอุทานดังลั่นเช่นนี้ เย่เซิงพลันไหล่ตกในทันใด
เจ้าคนพวกนี้ยังไม่ลืมวีรกรรมของเขาจริงๆ!
ไม่ใกล้ไม่ไหลนัก ลู่เอ๋อและลี่เอ๋อที่ได้ยินดังนั้นพลันปิดปากหัวเราะแทบไม่ทัน
ยามนี้ไม่มีใครคิดใครฝันว่า เย่เซิงคนนี้กลับเป็นผู้ที่วิ่งออกมาเพื่อบอกความจริงทั้งหมด
“เจ้ากำลังหมายความว่า ที่พวกเรารอดออกมาได้มิใช่เพราะโชคช่วย? เช่นนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ภายในนั้น? เพราะข้าเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเช่นกัน?”
ใครบางคนในฝูงชนเอ่ยปากกล่าวขึ้นทันทีด้วยความสงสัย
เมื่อได้ยินคำถามนี้ทุกคนต่างเอียงหูฟัง รอคำตอบจากเย่เซิงใจจดใจจ่อ
พวกเขาเหล่านี้มิใช่นักสู้ชนชั้นกินเจ ประสบการณ์เป็นตายต้องเจนจัดมากเท่าใด ถึงสามารถรอดได้ถึงทุกวันนี้?
หากกล่าวตามสัตย์จริง พวกเขาก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่ซากปรักหักพังของนิกายศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะเป็นเพียงเปลือกหอยเปล่า แน่นอนว่าสถานที่แห่งนี้ต้องเร้นแฝงไปด้วยขุมสมบัติมากมาย เช่นนั้นจะไร้ซึ่งภัยอันตรายได้อย่างไร?
เย่เซิงในยามนี้ยืดอกดูภาคภูมิใจอย่างมาก ประหนึ่งว่าตนเป็นผู้ช่วยชีวิตทุกคน
“ที่พวกเจ้าทั้งหมดออกมาได้โดยไร้ซึ่งรอยขีดขวนเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กำลังควบคุมแดนมิติของนิกายชำระวิญญาณไว้ให้อยู่ จึงบีบทางให้พวกเจ้าเดินในเฉพาะเส้นทางที่ปลอดภัย! มิฉะนั้นอย่าหวังว่าจะรอดออกมาได้!”
เย่เซิงกล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“จอมราชันย์พิชิตสวรรค์?! ปรากฏว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์อยู่ที่นี่จริงๆ! นี่หมายความว่า…ชายหนุ่มที่เสนอตัวขึ้นสันเขาในก่อนหน้า แท้ที่จริงแล้วก็คือ….จอมราชันย์พิชิตสวรรค์!!”
หลายต่อหลายคนโพล่งอุทานขึ้นทันทีด้วยความตื่นตะลึง
“ถูกต้องแล้ว! มิฉะนั้นยังเป็นอันใดอื่นได้อีก? หรือพวกเจ้าคิดจริงๆว่า ซากปรักหักพังของนิกายศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาลจะไร้ซึ่งภัยอันตราย? มองโลกในแง่ดีเกินไปกระมัง?”
เย่เซิงกล่าวตอบ
“ควบคุมห้วงมิติ! นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร? กฎแห่งห้วงมิติถือเป็นศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์แขนงหนึ่ง!”
“ทุกอย่างก็สมเหตุสมผลยิ่งแล้ว หากมิใช่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์…แล้วยังมีใครควบคุมกฎแห่งห้วงมิตินั้นได้อีก? จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ท่านทรงมีเมตตาห่วงใยชีวิตเล็กน้อยของพวกเราจริงๆ! ท่านผู้นี้คือผู้นำของมวลมนุษย์ที่แท้จริง!”
“เหอะ จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์ จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ถึงนามขานจะมีคำว่า‘สวรรค์’เหมือนกัน แต่คุณธรรมกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!”
…………………….
เมื่อความจริงจากปากของเย่เซิงแผดดังออกมา ดั่งระเบิดลูกใหญ่ถูกโยนลงกลางฝูงชนทันที
ในปัจจุบัน เหลือเพียงสองขั้วอำนาจที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คนหนึ่งถึงกับเคลื่อนไหวเป็นการส่วนตัวเพื่อช่วยชีวิตผู้คน ทว่าอีกคนกลับใช้ชีวิตผู้คนเป็นเหยื่อล่อ
ความแตกต่างชนิดนี้ช่างชักเจนเกินไปจริงๆ!
เย่หยวนควบคุมห้วงมิติทั้งหมดเพื่อวางเส้นทางที่ปลอดภัยให้แก่ผู้คนจนออกมาได้สำเร็จ
การทำเช่นนี้ให้ทุกคนสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัย เห็นได้ชัดว่าจำต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก
หากเป็นพวกเขาแทนคงไม่มีปัญญาทำได้เช่นกัน
แต่เย่หยวนกลับปฏิเสธที่จะยอมแพ้และลงมือทำมัน!
ภาพลักษณ์ของเย่หยวนภายในหัวใจทุกคนช่างยิ่งใหญ่ประดุจเทพเสมอฟ้า!
นี่แหละคือยอดเซียนที่ทรงพลังและคุณธรรมสูงส่ง!
“ตะ-แต่…เจ้าเองก็ออกมาแล้ว ท่านเย่หยวนอยู่ที่ใดกัน?”
มีคนหนึ่งเอ่ยปากถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
มุมปากของเย่เซิงกระตุกเล็กน้อยและกล่าวขึ้นตอบว่า
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ยังคงอยู่ในมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณ ท่านกำลังเตรียมงานฉลองใหญ่ไว้ต้อนรับจู่เก๋อฉิงซวนอยู่! หลังจากวันนี้เป็นต้นไป จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์บัดซบนั้น…จะถูกลบออกจากทำเนียบสิบจอมราชันย์ตลอดกาล! ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เมื่อพินิจคำนึงถึงจุดนี้ เย่เซิงพลันรู้สึกสะใจจนระเบิดเสียงหัวเราะลั่นอย่างอดมิได้
นอกจากที่เขาจะรังเกียจจู่เก๋อฉิงซวนอย่างมากแล้ว เย่เซิงยังปรารถนาให้มันตายลงในที่แห่งนี้อย่างไม่มีหวนกลับ!
เมื่อคนอื่นๆได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น ทุกคนพลันรู้สึกตื่นอกตื่นเต้นตามกันใหญ่!
ไอ้คนไร้ยางอายเช่นนั้น สมควรยิ่งแล้วที่จะตาย!
………………….
ภายในมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณ จู่เก๋อฉิงซวนและตาเฒ่าฮั่นยังคงเดินทางสำรวจต่อไปด้วยความระมัดระวัง
“ดูเหมือนว่า พวกเราจะพ้นเขตค่ายกลกับดักมาหมดแล้ว?”
ตาเฒ่าฮั่นกล่าวขึ้น
คิ้วขวาของจู่เก๋อฉิงซวนพลันกระตุกไม่หยุด มันกล่าวตอบทันทีว่า
“นี่มิใช่สัญญาณที่ดี! ไอ้เด็กเหลือขอนั้นไม่ยอมปล่อยเราไปง่ายๆแน่นอน!”
ณ ปัจจุบัน ทั้งสองเปรียบเสมือนเนื้อสัตว์ชิ้นสวยที่วางอยู่บนเขียงสับ
เย่หยวนกำลังควบคุมทุกอย่าง และไม่ยอมปล่อยออกไปจนกว่าจะตาย!
ตอนนี้พวกมันจำต้องพึ่งพาพลังของตนเองเพื่อฝ่าออกจากสถานที่น่าตายแห่งนี้ไปให้ได้
“คนอื่นๆหายกันไปหมดแล้ว! แสดงว่าพวกมันถูกเย่หยวนนำตัวออกไปจากมิติแห่งนี้แล้ว! ข้าคิดไม่ออกจริงๆว่า ไฉนเย่หยวนถึงสามารถควบคุมกฎแห่งห้วงมิติได้ขนาดนี้ อย่าลืมเสียนี่เป็นถึงนิกายศักดิ์สิทธิ์สมัยบรรพกาล!”
ตาเฒ่าฮั่นเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างเศร้าสลดใจ
“วิธีใดที่มันสำแดงใช้กลับมิได้สำคัญอีกต่อไป! สิ่งที่สำคัญที่สุดของเรา ณ ตอนนี้คือ วิธีกลับออกไปภายนอก!”
ยังไม่ทันขาดคำ จู่ๆแสงสว่างพลันสาดส่องใส่เบื้องหน้าทั้งสองโดยพลัน
ภาพฉากตรงหน้าของพวกมันคือห้องโถงหรูหราขนาดมหึมา คล้ายหลุมศพของจักรพรรดิ
โดยรอบห้องโถงหรูแห่งนี้กอปรไปด้วยกลไกค่ายกลวิจิตสวยงามที่กำลังทำงานอยู่ โดยที่ใจกลางห้องโถงปรากฏเป็นโลงศพตั้งอยู่
รัศมีสีแดงสุดน่าสยดสยองพลันเปล่งจรัสออกจากโลงศพภายใน กลิ่นอายภัยคุกคามหอบใหญ่แพร่สะพัดออกมาแทบขวัญเสีย
ทันทีทันใด ร่างปีศาจสีทมิฬพลันปรากฏกายขึ้นต่อหน้าต่อตา นั้นทำให้สีหน้าของจู่เก๋อฉิงซวนและตาตเฒ่าฮั่นเปลี่ยนไปทันที
“เย่หยวน!”
เมื่อเห็นเงาปีซาจร่างนี้ ทั้งคู่ล้วนกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชังสุดหัวใจ
เพราะพวกมันทราบดี นี่เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
“หุหุ พวกเจ้าทั้งคู่เป็นอย่างไรกันบ้าง? ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีด้วยที่มาถึงจุดศูนย์กลางของนิกายชำระวิญญาณได้ในที่สุด! ภายในสถานที่แห่งนี้ ข้าได้เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่รอพวกเจ้าไว้นานแล้ว หวังว่า…จะสนุกไปกับมัน!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
ยิ่งเย่หยวนกล่าวมากเท่าใด สีหน้าของทั้งคู่ก็ยิ่งน่าเกลียดขึ้นเท่านั้น
จู่เก๋อฉิงซวนกล่าวตอบพร้อมน้ำเสียงกดต่ำเย็นสะท้านลั่นว่า
“ไอ้เด็กบัดซบ! หากแน่จริงก็มาสู้ตัวต่อตัวกับข้า! มิฉะนั้นข้าผู้นี้จะทำให้เจ้าต้องเสียใจยิ่งที่เกิดมา!”
แต่เย่หยวนกลับหาได้แยแสไม่ และกล่าวอย่างสงบว่า
“หุหุ รอดออกจากที่นี่ให้ได้ก่อน ค่อยปากเก่งดีกว่ากระมัง? โอ้,งานเลี้ยงใกล้เริ่มแล้ว นายน้อยผู้นี้ขอลา!”
เมื่อกล่าวจบ ร่างเงาของเย่หยวนก็อันตรธานหายไปทันที
บูมมมม!!
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะตอบสนองใดๆได้ ใต้ผืนดินทั่วทั้งบริเวณพลันเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นรุนแรง
“แย่แล้ว! ไอเด็กเหลือขอนั้นต้องการทำลายมิตินี้พร้อมกับเรา! รีบหนีกันเร็ว!”
ตาเฒ่าฮั่นตะโกนขึ้นทันที
อย่างไรก็ตาม จู่เก๋อฉิงซวนกลับมิได้สนใจฟังมันเลย
ตาเฒ่าฮั่นงุนงงเป็นอย่างยิ่ง ก่อนช้อนสายตามองตามพร้อมกับว่า มีเงาร่างสีเลือดกำลังลอยเคว้งอยู่เหนือโลงศพ
เพียงแค่มองเท่านั้น ตาเฒ่าฮั่นพลันรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างไร้สาเหตุ!
เงาร่างสีเลือดตนนี้…อันตรายเกินไป!
ตอนที่1234 เจตจำนงผู้นำ
“นี่…นี่มันบ้าอะไรกัน?”
เมื่อตาเฒ่าฮั่นเห็นเงาผีร่างนั้น พลันรู้สึกขนลุกซู่ดั่งหนังห่านทั่วทุกอณูร่าง
ร้ายกาจเกินไป!
“มารปีศาจอมตะ! ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ! ไอ้บัดซบเย่หยวน! หากบิดดาผู้นี้รอดออกไปได้ แกไม่ตายดีแน่นอน!”
จู่เก๋อฉิงซวนกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชังสุดหัวใจ
สีหน้าการแสดงออกของจู่เก๋อฉิงซวนในตอนนี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดน่ากลัวยิ่ง มันคาดไม่ถึงเลยว่า บนผืนพิภพแห่งนี้ยังมีใครบางคนสามารถบ่มเพาะขัดเกลาตัวเองจนกลายเป็นมารปีศาจอมตะได้อยู่!
การดำรงอยู่เฉกเช่นนี้น่ากลับเกินไปและไม่สามารถฆ่าให้ตายได้เลย!
เมื่อพินิจมองจากรัศมีกลิ่นอายภัยคุกคามหอบใหญ่แสนข้นคลัก สัญชาตญาณของพวกมันทั้งคู่พลันกระตุ้นเตือนให้วิ่งหนีโดยเร็ว
จู่เก๋อฉิงซวนแทบจะกินเลือดกินเนื้อเย่หยวนแล้วในขณะนี้ แต่แน่นอนว่าสิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือ การหนีให้พ้นจากการดำรงอยู่อันไร้เทียมทานตรงหน้า!
“ข้าผู้นี้ถูกฝังลึกอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาล้านปี และอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นข้าก็จะสำเร็จกลายเป็นมารปีศาจอมตะที่ไม่มีวันตายอย่างแท้จริง! แต่พวกเจ้า…พวกเจ้ากล้าทำลายทุกสิ่งเพื่อให้ตัวข้าล้มเหลว! เช่นนั้น…เตรียมรับความพิโรธจากข้าผู้นี้ซะ!”
สุ้มเสียงที่แหบดังของหลีกุยเปรียบดั่งเสียงจากนรก
โดยสัญชาตญาณที่มันเพิ่งตื่นมา จึงพลางคิดว่าสองคนนี้ที่อยู่ต่อหน้าเป็นคนทำลายมิติต่อเติมของมัน จนส่งผลให้มันประสบความล้มเหลวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย
ยอดเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด มิใช่สิ่งที่จู่เก๋อฉิงซวนจะเข้าคู่ได้เลย
อย่างไรก็แล้วแต่ นิกายชำระวิญญาณกำลังจะให้กำเนิดมารปีศาจอมตะขึ้นมา กาลเวลานับล้านปีกำลังทำให้หลีกุยบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของมัน
เย่หยวนผู้ซึ่งเป็นคนรับสืบทอดเสื้อคลุมของเซียนเต๋าสวรรค์ ย่อมไม่มีทางปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้แน่นอน
สำหรับจู่เก๋อฉิงซวนที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อเผ่าปีศาจ หากมันถูกฆ่าตายในที่แห่งนี้ เย่หยวนล้วนสุขใจเป็นธรรมดา
ดังนั้นการให้ศัตรูตัวฉกาจทั้งสองมาตีกันเองเช่นนี้ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ส่วนตัวเขาเองก็ก้าวแช่มหนีออกไปอย่างสบายอารมณ์
ตาเฒ่าฮั่นรู้สึกราวกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของจนกำลังเลื่อนหายสลายไปเมื่อจ้องมองหลีกุย ประหนึ่งว่ามันถูกวางยาด้วยสายตา
“เจ้า ระวั-….”
ตาเฒ่าฮั่นยังไม่ทันกล่าวจบ ร่างพรายวิญญาณของหลีดุยพลันอันตรธานหายไปลับสายตาแล้ว
บูมมมม!!
จู่เก๋อฉิงซวนเข้าปะทะกระบวนกับหลีกุยโดยตรง คลื่นลมที่ซัดกระจายออกมาส่งร่างของตาเฒ่าฮั่นกระเด็นออกไปไกลโข
จู่เก๋ฮฉิงซวนเหนือชั้นกว่าเซียนทั่วไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าการปะทะคราวนี้แทบทำให้ร่างกายของมันแตกกระจุยไปตาม
แดนมิติต่อเติมแห่งนี้ยังคงพังทลายลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่หลีกุยดูจะไม่สนใจเรื่องนี้เลย พร้อมพุ่งทะยานเข้าใส่จู่เก๋อฉิงซวนอย่างบ้าคลั่ง
หนึ่งล้านปีเต็มแห่งความพยายาม ทุกอย่างกลับกลายเป็นศูนย์ จะมิให้มันโมโหได้อย่างไร?
ทั้งสองเริ่มก่อศึกสัประยุทธ์ครั้งใหญ่ภายในมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณที่กำลังพังทลายลงมา!
……………………………….
ปรากฏระบอกคลื่นความผันผวนกลางอากาศ เย่หยวนก้าวย่างออกมาจากห้วงแห่งความว่างเปล่า
“ขอบคุณสวรรค์! ท่านจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ยังปลอดภัยดี!”
ยามนี้ปรากฏนักสู้นับพันยืนอยู่ต่อหน้าอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาจนปกคลุมไปทั่วทั้งเนินเขา
คนเหล่านี้ต่างโหร้องดีใจกันยิ่งเมื่อได้เห็นเย่หยวนกลับมา และรีบคุกเข่ากราบกรามเย่หยวนอย่างพร้อมเพรียงประหนึ่งว่าเคยซ้อมกันมาก่อน
จากนั้นเสียงชื่นชมสรรเสริญจากนักสู้นับพันก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน จนกังวานไปทั่วทั้งหุบเขาเหวพระเจ้า
พวกเขาเหล่านี้ที่สามารถบ่มเพาะฝึกฝนตนเองจนกลายเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์เทวะได้ แต่ละคนล้วนมีอุปลักษณ์นิสัยแสนหยิ่งผยองและทะนงตัวเทียบสวรรค์
การจะให้คนเหล่านี้คุกเข่าให้เกรงว่ายากกว่าขึ้นสวรรค์
แต่นักสู้พวกนี้นับหลายพันต่างคุกเข่าก้มกราบต่อหน้าเย่หยวนโดยมิได้นับหมายใดๆ ซึ่งนี่ทำให้ตัวเย่หยวนเองประหลาดใจอย่างมาก
เขาสัมผัสได้ว่า คนเหล่านี้ต้องการที่จะขอบคุณเขาจากส่วนลึกของใจจริง
ในเวลานี้เองเยวี่ยเมิ่งลี่ก็เข้ามาทักและกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางๆว่า
“เย่เซิงปากไวไปเสียหน่อย คนเหล่านี้จึงทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในมิติของนิกายชำระวิญญาณ”
เมื่อเย่หยวนได้ฟังเช่นนั้นก็ตระหนักทราบทันทีและเอ่ยปากป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดว่า
“ลุกขึ้น! ทุกคนไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนี้กับข้า ข้าช่วยเหลือพวกเจ้าในวันนี้ก็หวังให้พวกเจ้าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในวันหน้า หากพวกเจ้าพบเจอผลกำไรภายในหุบเขาเหวพระเจ้าแห่งนี้ หวังว่าทุกคนจะไม่คิดตระหนี่แบ่งปันให้คนอื่นๆ อย่าลืมไปเสียทุกกำลังของพวกเจ้าล้วนสำคัญต่อมหาศึกคราวนี้ ถ้าสักวันเกิดเหตุอะไรกับนายน้อยผู้นี้ ข้าก็หวังว่าจะมีใครบางคนในหมู่พวกเจ้าสืบทอดเจตจำนงของข้าต่อไป ยามนั้นก็โปรดรักษารากฐานของมวลมนุษย์แทบข้าด้วย! สำหรับเรื่องนี้ข้าจะไม่เอ่ยปากกล่าวใดๆอีก ลี่เอ๋อ,ไปกันเถอะ”
ทันทีที่เย่หยวนกล่าวจบ เขาก็นำลี่เอ๋อ,ลู่เอ๋อและคนอื่นๆจากออกไปทันที โดยมิได้ใส่ใจฝูงชนเหล่านั้นอีกต่อไป
เหล่านักสู้นับพันต่างแลกเปลี่ยนสายตากันไปมาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความขมขื่น
ในคำกล่าวของเย่หยวนก่อนหน้า ช่างสะท้อนใจเจือโศกเศร้ายิ่งนัก
ไฉนจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ถึงกล่าวเช่นนั้น? แล้วหากเกิดอะไรขึ้นกับท่านผู้นั้นจริงๆ พวกเขาจะเป็นคู่มือของเผ่าปีศาจได้อย่างไร?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า ยังมีปีศาจบางตนที่แกร่งกร้าวเทียบเทียมได้กับท่าน?
นอกจากนี้เอง…ไฉนท่านจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ถึงต้องเสี่ยงชีวิตเข้าสำรวจหุบเขาเหวพระเจ้าด้วย?
คำถามเหล่านี้ต่างวนไปเวียนมาอยู่ในหัวของทุกคน
ก่อนหน้านี้ พวกเขาคิดว่าหากท้องนภายังไม่ร่วงหล่นลงมา ก็คงยากที่พวกเขาจะเข้าสนับสนุน
ท่านจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ซึ่งเป็นผู้นำภาคีวิถีเร้นลับ หากมีเขาและภาคีนี้อยู่เพื่อค้ำยันเผ่าปีศาจ แล้วพวกเขายังจำเป็นต้องกังวลอะไรอีก?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความแกร่งกล้าของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ลึกล้ำเกินเข้าใจได้แล้ว บางทีท่านผู้นี้อาจทรงพลังเสียยิ่งกว่าจู่เก๋อฉิงซวนไปมากแล้ว
แต่ทว่า…หากเผ่าปีศาจยังมีการดำรงอยู่ที่ทัดเทียมได้กับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์จริงๆ เช่นนั้น…เผ่ามนุษย์เองก็อยู่ในจุดวิกฤติยิ่งเช่นกัน!
“หรือเป็นไปได้ไหมว่ายังมีปีศาจที่แกร่งกร้าวยิ่งกว่าเทพอสูรเหล่านี้ดำรงอยู่? เทพอสูรเหล่านั้นต่างเคยเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้ามาก่อน เช่นนั้นแล้ว การดำรงอยู่อันน่าสะพรึงนั้นไม่ยิ่ง…. เผ่ามนุษย์ในยามนี้สุ่มเสี่ยงอย่างมากจริงๆ!”
“ไม่รู้เลยว่ามันเป็นการดำรงอยู่แบบใดกันแน่! แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเผ่ามนุษย์ถึงจุดวิฤตแล้ว! ข้ารู้สึกว่า การที่ท่านจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กล่าวเช่นนั้น ท่านยอมมีเหตุผลแน่นอน หรือว่าท่านเองก็…ไม่ค่อยมั่นใจกับสถานการณ์นัก?”
“จอมราชันย์พิชิตสวรรค์คือยอดอัจฉริยะและมากคุณธรรมอย่างแท้จริง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่เสมอว่า ข้าต้องใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง แต่เมื่อได้เห็นท่านจอมราชันย์พิชิตสวรรค์แล้ว ข้ารู้สึก…ละอายใจยิ่งนัก! ตัวข้านี่มันเห็นแก่ตัวโดยแท้! กระทั้งสุนัขยังดีกว่าด้วยซ้ำ!”
“ถูกต้อง! ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ! จากนี้ไปพวกเจ้าเข้าสำรวจไปต่อเถอะ ข้าขอไปเข้าร่วมกับภาคีวิถีเร้นลับเพื่อต่อสู้กับเผ่าปีศาจอย่างสุดกำลังดีกว่า!”
“ข้าไปด้วย!”
…………………………
เย่หยวนยังพอสัมผัสถึงคุณธรรมในเบื้องลึกของจิตใจคนเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงมิได้กล่าววาจาไร้สาระหรือข่มขู่ใดๆกับพวกเขา
แต่เขาก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า พฤติกรรมของคนเหล่านี้กลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราบกับโรคระบาด ท้ายที่สุดนี้พวกเขาแทบทุกคนเลือกที่จะเข้าร่วมมหาศึกครั้งใหญ่เพื่อต่อกรกับเผ่าปีศาจ
นับวันเข้า ตัวเย่หยวนก็เริ่มคล้ายคลึงกับเซียนเต๋าสวรรค์ในกาลอดีตขึ้นทุกที
แรงบันดาลใจเหล่านี้มิได้เกิดจากการใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ
แต่มันเกิดจากจิตสำนึกที่อยู่ภายในใจของทุกคน และเมื่อทุกคนรู้สึกเช่นนี้แบบเดียวกัน เมื่อรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน พวกเขาจะทรงพลังขึ้นหลายเท่าทวี
กิ่งไม้เพียงก้านเดียวไม่สามารถทนต่อแรงหักได้ แต่หากนำมามัดรวมกันนับร้อยพัน นั้นจะยิ่งเหนียวแน่นและแข็งแกร่งขึ้น!
…………………….
“นายท่าน,เมื่อครู่เท่สุดๆไปเลย!”
ลู่เอ๋อกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นอยู่เคียงข้าง
ภาพฉากที่ผู้คนหลายพันคุกเข่าขอบคุณต่อหน้าเย่หยวน ช่างเป็นเหตุการณ์ที่กินใจเหลือเกิน
ลืมไปเลยสำหรับลู่เอ๋อ แม้แต่เย่เซิงและพี่น้องของเขาเองที่เจนจัดทางโลกไม่น้อย ก็ไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน
พวกเย่เซิงประหลาดใจอย่างมากจริงๆกลับการกระทำของนักสู้เหล่านั้น
ก่อนหน้าเขาไม่เคยกล่าวสั่งด้วยซ้ำว่า ให้นักสู้เหล่านี้ต้องโค้งคำนับหรือต้องขอบคุณเย่หยวน
ภาพฉากเมื่อสักครู่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเองด้วยความสมัครใจของทุกคน
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เย่เซิงยิ่งรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวเย่หยวนมากขึ้นเป็นทวีเท่า
พวกเขาเคารพในความพยายามและคุณธรรมในตัวเย่หยวนที่มีต่อมวลมนุษย์ ซึ่งนั้นคล้ายกระจกใสสะท้อนใจของพวกเขา ทุกคนต่างรู้สึกละอายใจยิ่งและต้องการสนับสนุนช่วยเหลือเย่หยวนอย่างสุดความสามารถ
มีเพียงการกระทำเช่นนี้เท่านั้น ที่ทุกคนจะสามารถตอบแทนเย่หยวนได้
ท้ายที่สุดนี้ นี่คือหนี้บุญคุณครั้งใหญ่ที่พวกเขาเต็มใจตอบแทนด้วยความกตัญญู
ลี่เอ๋อยิ้มและกล่าวว่า
“พี่ใหญ่หยวน ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า คนเห็นแก่ตัวพวกนั้นจะกลับใจได้จริงๆ!”
ตอนที่1235 ยักษ์หิน
ภายในป่าลึก ปรากฏอิสตรีร่างงามและอสูรเถื่อนกำลังพัลวันสัประยุทธ์อย่างดุเดือด
นั่นคืออสูรเหยี่ยว ความเร็วในการเคลื่อนไหวผาดโผนของมันช่างว่องไว รวมไปถึงพละกำลังอันมหาศาล
ไม่ใกล้ไม่ไกลมีอีกหลายคนกำลังเฝ้ามองการสัประยุทธ์นี้อยู่ห่างๆ ซึ่งมิได้เจตนาช่วยเหลือใดๆ
“บัวเหมันต์วิญญาณ!”
อิสตรีร่างงามนางนั้นเปล่งเสียงร้องดังสนั่น บัวน้ำแข็งสลักประณีตขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นเหนือน่านฟ้า พร้อมแช่แข็งอสูรเหยี่ยวนั้นโดยตรง
เห็นว่ากระบวนโจมตีนี้สามารถสยบศัตรูได้เป็นผลสำเร็จ อิสตรีนางนั้นก็เผยสีหน้าสุดแสนมีความสุขออกมา
แต่ทันทีทันใด สีหน้าของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันทีฉับพลัน
แกร๊กก! แกร๊กกก!!
บนบัวน้ำแข็งนั้นปรากฏรอยร้าวแตกแขนงออกไปคล้ายใยแมงมุม มันเริ่มขยายกว้างขึ้นและกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดบัวน้ำแข็งนั้นก็ถูกทำลายโดยอสูรเหยี่ยวนั้นอย่างหมดจด
การจะควบแน่นปราณน้ำแข็งขึ้นเป็นบัวเหมันต์วิญญาณ อิสตรีนางนี้จำต้องระดมใช้พลังปราณเป็นจำนวนมหาศาลยิ่ง และนางก็คาดไม่ถึงเลยว่า กระทั้งสิ่งนี้ก็ยังไม่สามารถฆ่าอสูรเหยี่ยวได้
ในยามนี้ นางไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะสู้อีกต่อไปแล้ว
อย่างก็ตามแต่ สีหน้าของนางกลับมิได้เกรงกลัวหรือสิ้นหวังแต่อย่างใด ในทางตรงข้าม นางกลับแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาแทน
อสูรเหยี่ยวตัวนี้เองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วเช่นกัน เพียงว่ามันยังรั้งรอนเหลือพละกำลังอยู่บางส่วนเพื่อสัประยุทธ์ต่อ
เช่นนั้นมันจึงกระพือคู่ปีกโหมกระหน่ำสร้างวายุอันน่าสะพรึงโจมตีอิสตรีนางนั้น
แต่ทันใดนั้นเอง ได้มีร่างหนึ่งปรากฏคั่นกลางระหว่างทั้งสองฝ่ายและเปิดใช้เขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบเข้าบดขยี้วายุนั้นโดยสิ้น
จากนั้นแสงคมดาบพลันสาดระยับ อสูรเหยี่ยวตัวนั้นยังไม่ทันหลบหนีก็ถูกฆ่าไปทันที
ลู่เอ๋อเบะปากเล็กน้อยและกล่าวอย่างไร้ซึ่งความสุขว่า
“สุดท้ายก็ต้องให้นายน้อยช่วยอีกแล้ว!”
เย่หยวนหัวเราะและกล่าวว่า
“อสูรเหยี่ยวตัวนี้สามารถฆ่าเซียนอาณาจักรบัญชาสวรรค์ขั้นสุดได้ไม่ยาก ทว่าตอนนี้เจ้าเป็นเพียงเซียนอาณาจักรบัญชาสวรรค์ สามารถทำให้มันบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ได้นับว่าน่าประทับใจมากแล้ว”
เย่หยวนมิได้มีเจตนาปลอบใจลู่เอ๋อแต่อย่างใด ในทางกลับกัน แม้แต่เขาเองยังประหลาดใจไม่น้อยกับความแกร่งกร้าวของลู่เอ๋อ
ระหว่างทาง ทั้งสี่ย่อมพบเจอกับภัยอันตรายเล็กๆน้อยๆโดยธรรมชาติ
โดยส่วนใหญ่ คนที่เผชิญหน้ากับพวกมันก็คือลู่เอ๋อ
เมื่อใดที่นางไม่สามารถปิดฉากอสูรเถื่อนเหล่านี้ได้ เย่หยวนจะเป็นคนออกมาเก็บงาน
หลังออกมาจากมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณ นี่เพิ่งผ่านพ้นไปแค่หนึ่งเดือน ทว่าลู่เอ๋อสามารถทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรบัญชาสวรรค์ขั้นกลางได้แล้ว
ความเร็วในการพัฒนาเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่งบนผืนพิภพแห่งนี้
ณ ปัจจุบัน พวกเขาทั้งสี่ได้เดินทางมาถึงเขตบัญชาต้องห้ามโดยไม่ทันรู้ตัว ดังนั้นแล้วภัยอันตรายจึงเพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
อสูรเหยี่ยวก่อนหน้านี้เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น
“ข้าก็แค่…ไม่อยากเป็นภาระของนายน้อยไปชั่วชีวิต!”
ลู่เอ๋อคลี่ยิ้มอย่างหดหู่ พลังฝีมือของนายน้อยท้าทายสวรรค์เกินไป ไม่ว่านางจะพยายามบ่มเพาะฝึกฝนอย่างไร นางกลับไม่มีทางตามได้ทัน
ลืมไปเลยสำหรับนายน้อย แม้แต่ลี่เอ๋อหรืออิ้งหมัวหู่เองนางก็ทิ้งช่วงห่างจากทั้งคู่ไม่น้อยเช่นกัน
ดังนั้นแล้ว ระหว่างทางที่ผ่านมา นางจึงพยายามอย่างหนักเพื่อพัฒนาตัวเอง
เป้าหมายหลักก็เพื่อไม่อยากเป็นภาระของทุกคน
“ลู่เอ๋อ,เจ้าจะเป็นภาระได้อย่างไร? หากไม่มีเจ้า คงไม่มีพี่ใหญ่หยวนในปัจจุบันเช่นกัน! ตัวเจ้าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดสำหรับเขา กระทั้งบางเรื่องมีแค่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้ คนอื่นมิอาจแทนที่! ตรงจุดนี้เองแม้แต่ข้าก็ยังอิจฉา!”
ลี่เอ๋อป้องปากหัวเราะเล็กน้อย พร้อมเดินเข้ามาปลอบประโลมลู่เอ๋อ
แก้มเนียนขาวของลู่เอ๋อแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำทันที นางโพล่งกล่าวขึ้นว่า
“พี่ใหญ่ลี่เอ๋อ ท่านหยอกข้าเล่นอีกแล้ว!”
เย่หยวนจับจ้องลี่เอ๋อด่วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นเขาก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าเด็กโง่ ลี่เอ๋อกล่าวถูกต้องแล้ว! เจ้าเป็นคนเดียวที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้ และเจ้าก็มิใช่ภาระ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่เอ๋อจากที่ใบหน้ามืดครึ้มพลันแปรเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นหลายส่วน นางเร่งจับมือนวลเนียนของลี่เอ๋อและกล่าวว่า
“แต่พี่ใหญ่ลี่เอ๋อก็อย่าลืมเสีย ท่านก็เป็นคนสำคัญยิ่งที่ไม่มีใครแทนที่ได้สำหรับนายน้อย ยามที่นายน้อยเสียสติคลุ้มคลั่งก็เพราะคิดว่าเสียท่านไปแล้ว ตลอดที่ผ่านมา ข้าไม่เคยเห็นนายน้อยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย”
สาวงามทั้งสองกำลังยืนปลอบใจกันไปมา เย่หยวนที่เห็นดังนั้นพลันปวดเศียรขึ้นเล็กน้อยก่อนรีบเปลี่ยนเรื่องและเอ่ยขึ้นว่า
“เอาล่ะ รีบเดินทางกันต่อเถอะ พวกเรายังต้องเดินทางเข้าไปในส่วนลึก หุบเขาเบื้องหน้านี้ดูท่าจะไม่ปกติ ระวังตัวกันด้วย”
นี่มิใช่เพราะเย่หยวนจงใจหาเรื่องเข้าแทรก แต่หุบเขาเบื้องหน้ามันทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดจริงๆ
เย่หยวนมีญาณเหนือสัมผัส ดังนั้นจึงไวต่อภัยอันตรายยิ่ง
หุบเขาแห่งนี้มิง่ายที่จะข้ามผ่าน
เมื่อเข้าใกล้หุบเขาลูกนี้มากขึ้น กระแสคุกคามหอบใหญ่ก็ยิ่งรุนแรงชัดเจนขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
“พี่ใหญ่ นี่ดูจะไม่ถูกต้องจริงๆ!”
อิ้งหมัวหู่เองก็สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติเช่นกัน
เย่หยวนพยักหน้า ใบหน้าคล้ายดูเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วนก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ทุกคนระวังตัวให้ดี”
ในเวลานั้นเอง จู่ลู่เอ๋อพลันอุทานขึ้นด้วยความตกตะลึง
“นายท่านดูนั้น! ไฉนหินก้อนนั้นถึงดูแปลกๆ?”
ทุกคนเร่งหันมองไปยังจุดที่ลู่เอ๋อชี้นิ้ว ก่อนพบว่าหินผามหึมาก้อนนั้นคล้ายกับคนที่กำลังนอนหลับอยู่
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไปกลายเป็นจริงจัง ก่อนเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“อย่าไปสนใจ ไปกันเถอะ!”
หินผาก้อนนี้อัดแน่นไปด้วยภัยอันตรายหอบหนึ่ง เย่หยวนย่อมไม่เต็มใจไปยั่วยุมันก่อนแน่นอน
หากพวกเขาสามารถออกจากจุดนี้ไปยังที่ปลอดภัยได้ย่อมเป็นดีที่สุด
อย่างไรก็ตามแต่ หลายสิ่งอย่างกลับไม่เป็นดั่งใจปรารถนาเสมอไป เมื่อพวกเขาย่างก้าวเดินผ่านหินผาก้อนนี้ไป ทันทีทันใดผืนดินทั่วทั้งบริเวณพลันสั่นสะเทือนรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว
เย่หยวนขนลุกซู่ยันหนังศีรษะเฉียบพลัน จู่ๆหินผานั้นก็ลืมตาขึ้น!
“หนีเร็ว!”
เย่หยวนตะโกนลั่นพร้อมพาทั้งสามหนีไปโดยเร็วที่สุด
ตึงงง….
เศษหินเศษกรวดน้อยใหญ่บินกระจายไร้ทิศทาง หินผามหึมานั้นค่อยๆลุกขึ้นยืดตัวกลายเป็นยักษ์หิน!
“เจ้าพวกมนุษย์ กล้าย่างกรายเข้ามาในดินแดนของเผ่าข้า! รนหาที่ตาย!”
ยักษ์หินนั้นไม่อธิบายอันใดต่อ พร้อมกวาดกำปั้นยักษ์ซัดเข้าใส่พวกเย่หยวนโดยตรง
เมื่อเห็นกำปั้นนี้ ม่านตาดำของเย่หยวนพลันตีบแคบในทันใด
กำปั้นของยักษ์หินตนนี้กอปรไปด้วยศาสตร์แห่งสวรรค์!
ตัวเขายังพอทำเนา แต่หากกำปั้นนี้ทุบใส่ร่างของอีกสามคนที่เหลือ หากไม่ตายคงสาหัสขั้นหนักแน่นอน
สีหน้าเย่หยวนมืดทมิฬลงทันใด ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าพลันปลดปล่อยเต็มกำลังสูบ!
บูมมมม!!
ภายใต้แรงระเบิดนี้ ร่างเย่หยวนถูกผลักกระเด็นกลับไปหลายร้อยฉื่อ
อย่างรก็ตามแต่ ยักษ์หินตนนั้นกลับน่าสมเพชเสียยิ่งกว่า
โดยฝ่ามือของเย่หยวนซัดกระแทกเข้าไปเต็มๆ ร่างมหึมาของมันถึงขั้นเสียศูนย์จนทรงตัวไม่หยุด ทันทีที่ร่างของมันล้มคะมำลง ดั่งหุบเขาลูกนี้ถูกเขย่าอย่างรุนแรง สั่นสะเทือนทั่วสารทิศ
“ฮ่าฮ่า นายน้อยช่างทรงพลังนัก!”
“พี่ใหญ่น่าเกรงขามจริงๆ! แม้ยักษ์หินตนนี้จะแกร่งกร้าวอย่างมาก แต่นั้นกลับมิใช่คู่มือท่านเลย!”
เมื่อเห็นเย่หยวนสำแดงเดชอันทรงพลังออกมา ลู่เอ๋อและอิ้งหมัวหู่ต่างส่งเสียงให้กำลังใจกึกก้อง
แต่สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนกลับมิได้คลายอ่อนลงใดๆ เขายังคงจับจ้องอย่างเคร่งเครียด
เขาตระหนักดีถึงอนุภาพการทำลายของฝ่ามือนี้ ทว่ายักษ์หินตนนั้นกลับไม่ได้รับอันตรายใดๆเลย!
การป้องกันของยักษ์หินแกร่งกล้าถึงขั้นวิปลาส!
“มนุษย์คนนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง พวกเราออกมาให้หมด!”
ยักษ์หินตนนั้นมิได้เข้าโจมตีสวนตอบทันที แต่กลับเรียกพวกพ้องเสียงดังลั่น
ตึงงง…
ทั่วทั้งหุบเขาเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรงอีกครั้ง ยักษ์หินตนอื่นๆค่อยๆปรากฏขึ้นมา
เมื่อเห็นภาพฉากดังนี้ สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนก็ยิ่งแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก
แนวคิดความเข้าใจของยักษ์หินเหล่านี้มิได้สูงเท่าเขาก็จริง ทว่าพลังการป้องกันกลับแกร่งกร้าวไม่น่าเชื่อ
ตัวเดียวยังพอทำเนาต่อกร ทว่าแห่มาขนาดนี้คงไม่มีทางเลือกอื่นใด
“หนีเร็ว!”
เย่หยวนลากลู่เอ๋อพร้อมผสานรวมฟ้าดินหนีเตลิดออกไปนับหมื่นฉื่อในทันใด
สีหน้าท่าทางของลี่เอ๋อและอิ้งหมัวหู่เองก็พลันเปลี่ยนไปอย่างมากเช่นกัน ก่อนเร่งติดตามเย่หยวนไปอย่างใกล้ชิดหนีไป
“อย่าได้หวังเจ้าพวกมนุษย์!”
บูม! บูม! บูม!
พวกยักษ์หินแต่ละตนทุบกำปั้นอัดลงพื้นดินต่อเนื่องไม่หยุด
เย่หยวนเหลียวหลังหันไปมอง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวน่าเกลียดโดยมิตั้งใจ ปรากฏว่าเบื้องหลังยังมียักษ์หินอีกหลายสิบไล่ล่าวิ่งตามมา
ยักษ์หินเหล่านี้มีร่างกายที่ใหญ่โตดูเงอะงะก็จริง ทว่าความเร็วของมันกลับว่องไวน่าเหลือเชื่อ พวกมันมิได้ช้ากว่าพวกเย่หยวนเลยสักนิด!
ตอนที่1236 หลงเข้าสู่ป่าดอกท้อ
“หินผาทะยาน!”
เหล่ายักษ์หินจำนวนหลายสิบหยิบคว้าหินก้อนยักษ์ขึ้นมา และโยนอัดเย่หยวนและที่เหลือโดยตรง
ภัยคุกคามหอบใหญ่บืนทะยานเหินจากด้านหลังไม่หยุดหย่อน เย่หยวนยั้งฝีเท้าหันเข้าตอบโต้ในอึดใจทันใด
สีหน้าเย่หยวนเคร่งขรึมส่อประกายจริงจังขึ้นหลายส่วน พร้อมเรียกดิบพิชิตมารฟ้าออกมาทันที
“บัวเพลิงปราณดาบพิโรธ!”
เกร๊ง! เกร๊ง! เกร๊ง!
คลื่นเสียงโลหะปะทะดังระงมชุดใหญ่ ดาบพิชิตมารฟ้าเข้าฟาดฟันก้อนหินเหล่านั้นกลางห้วงเวหาตัดผ่าไม่เหลือ
จากแรงถีบคราวนี้ ร่างเย่หยวนไม่สามารถทรงตัวได้จนร้นถอยกระเด็นออกมานับหลายพันฉื่อ กว่าจนทรงตัวให้นิ่งได้
แม้กายเนื้อนี้จะทรงพลัง ทว่าโจมตีในระยะฉิวเฉียดเช่นนี้กลับไม่สามารถทนต่อแรงดีดได้เช่นกัน
ซึ่งนี่ทำให้พวกเย่หยวนทั้งสี่พลาดท่าไปเสี้ยวจังหวะ และถูกเหล่ายักษ์หินนับหลายสิบเข้าปิดล้อมทั่วทุกทางหนี
“ลู่เอ๋อ กลับเข้าไปยังเจดีย์เลื่องสวรรค์ก่อน!”
เย่หยวนเอ่ยสั่ง
ถึงแม้นางจะไม่เต็มใจก็ตาม แต่ลู่เอ๋อย่อมทราบตระหนักดี ศึกสัประยุทธ์คราวนี้กลับมิใช่สิ่งที่นางสามารถเข้าร่วมได้เลย
เย่หยวนเหลียวหลังกล่าวกับลี่เอ๋อและอิ้งหมัวหู่ว่า
“พวกเจ้าทั้งคู่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าไม่ต้องห่วง! อย่าติดพันกับศึกนี้นัก มีโอกาสให้หนีทันที!”
“เจ้าพวกมนุษย์โง่เขลา ยังคิดว่าตนเองมีโอกาสรอดอีกงั้นรึ?”
ยักษ์หินตนหนึ่งกล่าวเย้ยหยั่นขึ้น
สีหน้าของเย่หยวนมิดทมิฬลงทันใด เขากลับตอบยักษ์หินตนนั้นไปว่า
“พวกเราบังเอิญผ่านมาในดินแดนของเผ่าพวกเจ้าเท่านั้น และมิได้มีเจตนาร้ายใดๆ! แต่ไฉนถึงต้องไล่ล่าเอาตายเพียงนี้?”
ยักษ์หินกดเสียงทุ้มต่ำแสนเหยียดเย็นกล่าวว่า
“พวกมนุษย์ล้วนชั่วช้า! พล่ามไร้สาระพอแล้ว! ตายซะ!”
ยักษ์หินเหล่านี้ดูท่าจะเคียดแค้นมนุษย์เป็นทุนเดิม โดยไม่ยืนแช่มรอฟังคำอธิบายอันใดอีก พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวจู่โจมต่อทันที
ทว่าสิ่งหนึ่งที่เย่หยวนยังเคลือบแคลงใจสงสัยจนถึงตอนนี้คือ พวกมันเหล่านี้เคยเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าในยุคบรรพกาลใช่หรือไม่?!
เพียงกำปั้นเปล่าที่ต่อยออกมา ก็ปลดปล่อยศาสตร์แห่งสวรรค์พรั่งพรู ซึ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามแต่ จุดเด่นของพวกมันนับหลายสิบนี้คือพละกำลังและพลังป้องกันสุดวิปลาสาขั้นสุด
ทว่าในด้านแนวคิดความเข้าใจ พวกมันกลับด้อยชั้นกว่าเย่หยวน
หากพวกมันมีแนวคิดความเข้าใจที่สูงล้ำเท่าพละกำลัง นี่จะกลายเป็นเรื่องยากทันทีสำหรับลี่เอ๋อและอิ้งหมัวหู่ ไม่เพียงโอกาสชนะที่ลดฮวบ กระทั้งโอกาสหนีรอดยังน้อยลงเป็นอย่างมาก
แต่กระนั้นเอง ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งคู่ยังมีทุนรอนมากเพียงพอที่จะสัประยุทธ์ต่อกรเช่นกัน
สุดท้ายนี้ สิ่งที่น่าขมขื่นใจที่สุดยังคงเป็นพลังการป้องกันของพวกมันที่สูงลิบผิดปกติ แม้จะโดนซัดด้วยฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าเข้าไปเต็มสูบขนาดนั้น แต่มันก็แค่ล้มคะมำลงเท่านั้น
พวกมันทั้งหมดเตรียมเข้าสัประยุทธระลอกสองเต็มกำลัง
รัศมีสีทองจรัสล้ำเปล่งประกายขึ้นจากกายาเย่หยวน หากต้องต่อสู้กับพวกยักษ์หินเหล่านี้ เขาจำต้องเร่งพลังกายเนื้ออกมาถึงขีดสุด ทว่าเขาที่ทำถึงขนาดนี้กลับมิได้เหนือกว่าหรือด้อยกว่าพวกมันเท่าไหร่นัก
โชคยังดีที่ยักษ์หินเหล่านี้เข้าถึงศาสตร์แห่งสวรรค์มิได้ลึกซึ้งจนเกินไป
เย่หยวนในปัจจุบันที่ใกล้บรรลุปัจจัยหลักทั้งสามประการโดยสมบูรณ์ สามารถกล่าวได้ว่า ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ความแข็งแกร่งของเขาคืออันดับสองเป็นรองจากฟางเทียนเท่านั้น
ดังนั้นแล้ว เย่หยวนยังพอมีลู่ทางจัดการกับพวกมันได้อยู่บ้าง ในขณะที่ลี่เอ๋อและอิ้งหมัวหู่กลับไม่สามารถรับมือกับพวกมันได้เป็นเวลานานนัก
‘ไม่มีทางหนีออกไปได้เลย ในยามนี้หากยืดยื้อต่อไป พวกเราทั้งหมดคงกลายเป็นเนื้อบนเขียงแน่นอน!’
เย่หยวนพลันครุ่นพินิจในใจ ก่อนเคลื่อนเข้าหาลี่เอ๋อโดยใช้วิชาข้ามมิติ
“ลี่เอ๋อ เจ้าไปรอข้าด้านนอกก่อน”
ในขณะที่กล่าวขึ้น สองฝ่ามือพลันชูขึ้นโดยไม่ตั้งตัว พร้อมปลดปล่อยฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้ากระหน่ำโดยตรงสองชุดต่อเนื่อง ยักษ์หินในบริเวณนั้นถูกส่งกระเด็นออกไปไกล
ลี่เอ๋อและเย่หยวนเข้าใจกันดีจนไม่ต้องสื่อสารอันใดให้มากความ เพียงมองตาก็เข้าใจกันทันที เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น ลี่เอ๋อเร่งพลังปราณเร็วจี๋ฉีกตัวหนีออกไปจากวงล้อมศัตรูทันที
“อิ้งหมัวหู่!”
เย่หยวนกู่ร้องตะโกนเรียก ส่วนอิ้งหมัวหู่เองก็เข้าใจความหมายในทันที
หลังเสียงตะโกนของเย่หยวน ทันทีทันใดกระบวนหมัดหนึ่งก็แผดคำรามลั่น
“เพลงหมัดเทพพยัคฆ์สวรรค์คลั่ง!”
เงาร่างพยัคฆ์ขาวขนาดยักษ์พุ่งโจมตียักษ์หินเบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่งบ้าบิ่น
ด้วยกระบวนโจมตีของอิ้งหมัวหู่จึงสามารถถ่วงเวลาจนลี่เอ๋อสลัดหลุดออกจากวงศัตรูได้โดยสมบูรณ์
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเสี้ยวอึดใจคล้ายประกายไฟกระเซ็นจากคมโลหะ ยังไม่ทันจะกำราบเพลงหมัดเทพพยัคฆ์สวรรค์คลั่งดี เหล่ายักษ์หินพลันได้ยินเสียงมังกรคำรามสะท้านฟ้า!
“เสียงแห่งจอมเทพมังกร!”
เย่หยวนไม่ลังเลใดๆพร้อมใช้ไพ่ตายสุดท้ายออกมา สรรพสิ่งทั่วบริเวณถูกบดขยี้แหลกเละไม่เลือกหน้า!
ร่างยักษ์หินนับหลายสิบล้วนตัวแข็งทื่อไปในทันที!
ยักษ์หินเหล่านี้ปราศจากจุดอ่อน ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณยุทธ์หรือกายเนื้อ ล้วนแกร่งกร้าวไร้เทียมทาน
ทว่าต่อหน้าเสียงแห่งจอมเทพมังกรนี้ สรรพสิ่งใต้สวรรค์ล้วนถูกบดขยี้ไม่เหลือ!
บูมมม… บูมมม… บูมมม…
ร่างกายหินผาของพวกมันปรากฏรอยร้าวแตกกร้าน ทันใดนั้นพวกมันค่อยๆสลายกลายเป็นเศษหินเศษฝุ่นโดยตรง!
ตึงง! ตึงง!
ร่างแล้วร่าเล่าค่อยๆทรุดทลายลงมา ภายใต้เสียงแห่งจอมเทพมังกรนี้ ไม่มีใครสามารถรอดออกมาได้ ไม่แม้แต่คนเดียว!
หนึ่งอึดใจ… สองอึดใจ!
ยักษ์หินนับหลายสิทลายลงมากลายเป็นเศษหินเศษทรายกองใหญ่
แฮ่ก แฮ่ก…
เย่หยวนหอบหนักอย่างเหน็ดเหนื่อย ความรู้สึกเจ็บปวดอ่อนล้าโฉบแล่นกระจายทั่วร่างในบัดดล
เว้นเสียว่าไร้ซึ่งทางเลือกอื่นใดจริงๆ มิฉะนั้นเขาไม่มีทางสำแดงใช้วรยุทธนี้แน่นอน
พลานุภาพการทำลายล้างที่ทรงพลังขนาดนี้ ย่อมแลกมาด้วยภาระอันหนักอึ้งที่ร่างกายต้องได้รับ
ในเวลานี้เขาอ่อนล้าเหนื่อยเพลียจัด และต้องการนอนพักสักระยะหนึ่ง
เขาทอดสายตาจับจ้องไปยังเหล่ายักษ์หินที่ค่อยๆทลายลงมาไม่เหลือ พร้อมดวงตาที่กำลังจะปิดลง แต่ทันใดนั้น จู่ๆเขาจำต้องโพล่งตาเบิกกว้างในทันใด!
เศษหินเศษทรายกองมหึมานั้นกลับเริ่มเคลื่อนไหว พวกมันก่อร่างรวมตัวขึ้นมาอีกครั้ง!
ครืน! ครืน! ครืน!
ภายใต้สายตาอันเพลียจัดของเย่หยวน เหล่ายักษ์หินทั้งหมดได้ฟื้นคืนสภาพอีกครา!
เสียงแห่งจอมเทพมังกรที่สามารถฆ่าเยวี่ยจี้ได้ ทว่าสิ่งนี้กลับไม่สามารถทำอันตรายยักษ์หินเหล่านี้ได้เลย!
“@#¥¥%% …”
เย่หยวนอดสบถดังไม่เว้นวาย เขาพยายามลากสังขารอันเหนื่อยล้าของตนออกจากที่นี่เป็นการด่วนที่สุด
หากพวกนี้ฟื้นตัวกลับมาโดยสมบูรณ์ เขาจะไม่มีโอกาสหนีอีกต่อไป
เบื้องหน้าปรากฏเป็นลี่เอ๋อและอิ้งหมัวหู่ที่ตรงเข้ามาประคองร่างด้วยความกังวลสุดขีด ก่อนช่วยกันหิ้วปีกเย่หยวนคนละข้างซ้ายขวา
“เป็นอะไรหรือไม่พี่ใหญ่? แม้แต่เสียงแห่งจอมเทพมังกรก็ไม่สามารถจัดการพวกมันได้! นี่ไม่เกินไปหน่อยรึ?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น
เย่หยวนกล่าวอย่างไร้ประโยชน์ว่า
“รีบหนีออกไปก่อนโดยเร็ว! ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป!”
คำกล่าวของเย่หยวนทำเอาทั้งสองถอดสีหน้าหนัก
กระทั้งเย่หยวนยังไม่สามารถทำอะไรยักษ์หินเหล่านี้ได้ แล้วทั้งคู่จะไปเป็นคู่มือพวกมันได้อย่างไร?
โดยไม่ลังเลใดๆอีกต่อไป ทั้งสองหามร่างเย่หยวนหนีไปอย่างรวดเร็ว
“พี่ใหญ่…จะทำอย่างไรต่อไปดี?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวถามด้วยความสับสน
สีหน้าท่าทีของเย่หยวนในขณะนี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่ง ทั้งคู่ที่เห็นดังนั้นต่างพูดไม่ออกโดยพลัน
“พี่ใหญ่ เบื้องหน้าพวกเรามีป่าดอกท้อ!”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นทันควัน
“เข้าไป!”
เย่หยวนไม่ลังเลใดๆพร้อมกล่าวสั่งให้อิ้งหมัวหู่หนีเข้าป่าดอกท้อโดยตรง
อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งน่าอัศจรรย์ก็คือ จากเดิมที่เหล่ายักษ์หินไล่ล่าพวกเย่หยวนอย่างไม่ลดละ ทว่าทันทีที่เห็นพวกเย่หยวนวิ่งเข้าไปในป่านั้น พวกมันกลับไม่หยุดชะงักในทันที!
“ท่านขุนพลศิลา มนุษย์คนนั้นแข็งแกร่งเกินไป! เสียงคำรามเมื่อครู่ทำเอาพวกเราเสียศูนย์ไปครู่ใหญ่!”
ยักษ์หินตนหนึ่งกล่าวขึ้น
ขุนพลศิลาเอ่ยขึ้นว่า
“มนุษย์คนนี้ค่อนข้างพิเศษและแตกต่างจากคนอื่นๆ! เสียงคำรามเมื่อครู่ ดูท่าจะเป็นเสียงแห่งจอมเทพมังกรในตำนานที่เล่าลือกัน! แต่น่าแปลก…เขาคนนี้เป็นมนุษย์อย่างชัดเจน แต่ไฉนถึงสำแดงใช้วรยุทธศักดิ์สิทธิ์ที่สูญหายไปเนินนานของเผ่ามังกรได้? ช่างเถอะ,ในเมื่อเลือกที่จะเข้าไปในป่าดอกท้อเอง เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปไล่ตามให้เสียเวลาอีกต่อไป หุบเขาเหวพระเจ้าเป็นแหล่งพยัคฆ์ซ่อนมังกรซุ่มอย่างแท้จริง แถมช่วงนี้ก็เกิดเหตุผิดประหลาดอยู่หลายครั้งหลายครา ดูท่าท่านประมุขเองก็ใกล้จะตื่นแล้วเช่นกัน กลับกันเถอะ!”
ตอนที่1237 กับดัก
“พี่ใหญ่ ดูท่าพวกมันจะไม่ได้ตามเรามาแล้ว”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพร้อมความกังวลที่ระเหยไปจากจิตใจ
แต่สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนกลับมิได้ดีนัก
“หากข้าเดาไม่ผิด ถึงเราจะเพิ่งออกจากถ้ำเสือได้ ทว่ากลับเผลอเข้าถ้ำหมาป่าอีกครา!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มสุดขมขื่นใจ
อิ้งหมัวหู่ตัวแข็งทื่อไปโดยพลัน เขาค่อนข้างงุนงงกับคำกล่าวของเย่หยวน
นี่มิได้เป็นแค่ป่าดอกท้ออันสวยงามหรอกรึ?
เห็นท่าทีฉงนงุนงงของอีกฝ่าย เย่หยวนกล่าวต่อว่า
“ภายในป่าดอกท้อแห่งนี้ห้อมล้อมไปด้วยค่ายกลศักดิ์สิทธิ์เร้นแฝงอยู่ทั่วทุกพื้นที่ นอกจากนี้มันทั้งลึกล้ำซับซ้อนยิ่ง กระทั่งข้าเองก็ไม่สามารถแก้ได้โดยง่าย!”
อิ้งหมัวหู่ที่ได้ฟังดังนั้นถึงกับสีหน้าแปรเปลี่ยน ตั้งแต่นั้นมันเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเป็นสองเท่าทวีทันทีต่อป่าดอกท้อแห่งนี้
นับเป็นเรื่องน่าเสียดายนัก ที่อิ้งหมัวหู่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับศาสตร์แห่งค่ายกลเลย ดังนั้นจึงไม่สามารถรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้แม้แต่น้อย
“อย่าทำให้ข้ากลัวสิพี่ใหญ่!”
อิ้งหมัวหู่กล่าวเสียงอ่อน
เย่หยวนเองก็กล่าวเสียงค่อยอย่างไร้เรี่ยวแรง
“จะแกล้งให้เจ้ากลัวเพื่ออันใด? ต้นดอกท้อเหล่านี้คือรากฐานของค่ายกลขนาดใหญ่ รูปแบบโครงสร้างของมันช่างซับซ้อนยิ่งนัก แถมยังกินพื้นที่ทั่วทั้งบริเวณ ช่างน่าอัศจรรย์เกินไป! หากคาดไม่ผิด คงเป็นค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเซียนอาณาจักรพระเจ้าสร้างทิ้งเอาไว้!”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า
“ไม่มีทางใช่ไหม? ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็เป็นแค่ต้นดอกท้อธรรมดาทั่วไปชัดๆ? ทั้งหมดนี้คือค่ายกลจริงๆหรือพี่ใหญ่? แล้วไฉนเราถึงไม่เผาทิ้งให้สิ้นซาก?”
เย่หยวนส่ายหัวและกล่าวว่า
“พวกนี้ไม่สามารถเผาทิ้งได้! การทำเช่นนั้นเท่ากับประมาทอย่างยิ่ง และนั้นอาจหวนกลับมาทำร้ายพวกเราเสียเอง!”
สีหน้าท่าทางของอิ้งหมัวหู่เผยถึงความกลัวอยู่หลายส่วน ในที่สุดเขาก็ทราบถึงความอันตรายที่แฝงซ่อนอยู่ในป่าดอกท้อแห่งนี้
เขาย่อมทราบ เย่หยวนไม่มีทางกล่าวไร้สาระหรือไม่มีมูลความจริงแน่นอน ถึงแม้ศาสตร์แห่งค่ายกลของเย่หยวนจะสูงส่ง ทว่าเขาก็ไม่สามารถแก้ไขหรือทำลายค่ายกลเหล่านี้ได้เช่นกัน นี่จึงแสดงให้เห็นว่า ค่ายกลที่อยู่ภายในนี้น่าสะพรึงกลัวพียงใด
“เช่นนั้นแล้ว…เราควรทำอย่างไรต่อไปดีพี่ใหญ่?”
“รอให้ข้าฟื้นพลังกลับคืนมาก่อน!”
เย่หยวนกล่าว
อีกสองวันให้หลัง ความอ่อนล้าอ่อนเพลียของเย่หยวนก็หายเป็นปลิดทิ้ง จากนั้นเขาก็เริ่มสำรวจป่าดอกท้อแห่งนี้โดยละเอียด ยิ่งตรวจสอบมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นตะลึงมากขึ้นเท่านั้น
ปรากฏว่าเบื้องหน้าต่อจากนี้ พวกเขามีตัวเลือกทั้งหมดสามเส้นทางให้เดินสำรวจไปต่อ
ป่าดอกท้อแห่งนี้ดูสงบรื่นรมย์เป็นอย่างมาก ทว่าเย่หยวนทราบ หากผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว นั้นเท่ากับไปกระตุ้นกับดักที่ซุกซ่อนอยู่ในทำงานขึ้นทันที
อิ้งหมัวหู่หันมองเย่หยวนอยู่หลายคราด้วยความวิตกอยู่เคียงข้าง ทว่าเขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยปากเข้ารบกวนอีกฝ่ายเช่นกัน
ซึ่งเวลาผ่านไป อิ้งหมัวหู่ก็พลันพบว่า บนหน้าผากของเย่หยวนเองก็ปรากฏเม็ดเหงื่อมากมายชโลมชุ่มไม่ต่าง! ดูท่างานนี้จะมิใช่เรื่องง่ายจริงๆ!
เห็นได้ชัดว่า เย่หยวนประสบปัญหาที่ยากเกินจะแก้ไขเข้าให้แล้ว!
เย่หยวนหยุดอยู่นิ่งๆเช่นนี้เป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม!
หากเป็นก่อนหน้านี้ อิ้งหมัวหู่ไม่กล้าเชื่อลงจริงๆว่า เย่หยวนต้องใช้เวลานานขนาดนี้กว่าจะก้าวย่างได้ก้าวหนึ่งบนพื้นที่ค่ายกล
ดูท่าค่ายกลอันนี้จะพิเศษโดดเด่นจริงๆ
“เห้ออ…”
เมื่อได้เห็นเย่หยวนถอนหายใจเสียงยาวออกมา อิ้งหมัวหู่พลันผ่อนคลายลงตามไปด้วย
ในขณะที่ลี่เอ๋อเอื้อมมือไปเช็ดเม็ดเหงื่อที่ชโลมชุ่มบนหน้าผากเย่หยวนให้ พร้อมสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจสะท้อนออกมา
ตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมา เย่หยวนมุ่งความสนใจไปยังการศึกษารูปแบบค่ายกลอันซับซ้อนนี้เป็นจุดเดียว ซึ่งนางเองก็ไม่กล้าเข้าไปขัดขวางใดๆ
“เป็นอย่างไรบ้างพี่ใหญ่? เราควรไปยังเส้นทางไหน?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวถาม
ท่าทางการแสดงออกของเย่หยวนในยามนี้ค่อนข้างเหนื่อยล้าไม่น้อย แต่เขายังคงกัดฟันฮึดและกล่าวว่า
“ทางขวาน่าจะปลอดภัย”
ต่อหน้าวาจาคำพูดนี้ของเย่หยวน อิ้งหมัวหู่ไม่ทันสังเกต ทว่าลี่เอ๋อกลับหันมองเย่หยวนพร้อมสีหน้าเจือประหลาดใจเล็กน้อย
ในครั้งนี้ เย่หยวนใช้คำว่า‘น่าจะ’ นี่แสดงให้เห็นว่าแม้กระทั้งเขาเองก็ไม่มั่นใจ!
เย่หยวนตรวจสอบค่ายกลเบื้องหน้านี้โดยละเอียดเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นคำตอบอันคลุมเครือ
ค่ายกลนี้จะน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ!
“ข้าจะไปเอง!”
ลี่เอ๋อเสนอตัวขึ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อกล่าวจบนางก็เตรียมย่างเท้าออกไปเดินบนเส้นทางด้านขวาทันที
เย่หยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่หยุดหย่อน เขาทราบความคิดความอ่านของลี่เอ๋อได้โดยธรรมชาติ นางจะต้องตระหนักถึงความไม่มั่นใจผ่านวาจาคำพูดของเขาเป็นแน่ จึงเลือกที่จะทดสอบด้วยตัวนางเอง
เพียงปลายเส้นผม เท้าของลี่เอ๋อก็จะสัมผัสกับพื้นเส้นทางแล้ว ทว่าทันใดนั้นหนึ่งความคิดพลันโฉบแล่นเข้าสู่ห้วงความคิดเย่หยวนดุจสายฟ้าฟาด!
“เดี๋ยวก่อน!”
เย่หยวนตะโกนขึ้นทันใด
อีกนิดเดียวเท่านั้น ปลายเท้าของลี่เอ๋อก็จวนจะสัมผัสกับพื้นดินอยู่แล้ว ทันทีที่ได้ยินเสียงเตือนของเย่หยวน ลี่เอ๋อก็เร่งถอนปลายเท้าออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“มีอันใดรึพี่ใหญ่หยวน?”
ลี่เอ๋อเอ่ยถามขึ้นอย่างฉงนใจ
ในขณะนี้ทั่วทั้งร่างของเย่หยวนเปียกโชกชโลมไปด้วยเหงื่อเย็น หากปลายเท้าของลี่เอ๋อสัมผัสกับพื้นดินเท่าใด ชีวิตนางจะมลายสูญทันที!
“ข้าขอโทษลี่เอ๋อที่เกือบทำร้ายเจ้าแล้ว เส้นทางนั้นจุดจบคือความตาย! ค่ายกลแห่งนี้มีจิตสังหารแอบแฝงซ่อนอยู่ ยามที่ข้ากล่าวคาดคะเนออกไปเช่นนั้นและเจ้ากำลังจะย่างก้าวเข้าทดสอบ ในเสี้ยวจังหวะนั้นกลับปรากฏร่องรอยจิตสังหารออกมาจากเส้นทางขวา แม้เพียงเศษอึดใจ แต่นั้นชัดเจนมาก!”
เย่หยวนเผยสีหน้าครั่นคร้ามออกจากจากใจจริง ป่าดอกท้ออันแสนงดงามและร่มรื่นแห่งนี้เร้นแฝงไปด้วยหายนะทุกขณะจิต!
หนึ่งความผิดพลาด เท่ากับหนึ่งชีวิตที่ตายลง
ก่อนหน้านี้เย่หยวนพยายามอนุมานทุกความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้น คล้ายกับการจำลองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ในหัวหากเกิดความผิดพลาดขึ้น!
ซึ่งถ้าหากเมื่อครู่เย่หยวนกล่าวเตือนช้าไปกว่านี้อีกเพียงเสี้ยวอึดใจ พวกเขาทั้งคู่จะถูกความตายแยกจากกันตลอดกาล!
ทว่าลี่เอ๋อกลับยิ้มให้เย่หยวนอย่างไร้กังวลและกล่าวว่า
“พี่ใหญ่หยวนใจดีเกินไปแล้ว อย่าลืมเสีย นี่เป็นถึงค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นโดยเซียนอาณาจักรพระเจ้าขนานแท้ ผิดพลาดกันบ้างมิใช่เรื่องแปลกอันใด ไยต้องขอโทษข้าด้วย? ในรอบแรกนี้ กลับเป็นท่านคือฝ่ายชนะต่างหาก!”
เย่หยวนถอนหายใจอย่างลับๆเมื่อได้ยินแบบนี้ ลี่เอ๋อเป็นคนใจเย็นและมากล้นด้วยน้ำใจเสมอมา แม้เกือบโดนไฟคลอกตายอีกแค่ปลายเส้นผม นางยังไม่ถือโทษตำหนิเย่หยวนเลยสักนิด
หากมีภรรยาดีเลิศเช่นนี้ สามียังต้องการอันใดอีก?
เขาตัดสินใจแล้วว่า หากเขาสามารถกำราบเผ่าปีศาจและยังไม่ตาย เขาจะจัดงานสมรสที่หรูหราและยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ลี่เอ๋อ!
อิ้งหมัวหู่ที่หน้าซีดเผือกอยู่เคียงข้างประหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็มตลอดเวลา ยามนี้กล่าวขึ้นว่า
“พี่ใหญ่ เช่นนั้นแล้วเส้นทางใดกันที่ถูกต้อง?”
“ไม่มีเส้นทางใดถูกต้องเลย!”
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างเคร่งขรึม
เมื่อได้ฟังดังนั้น ทั้งอิ้งหมัวหู่และลี่เอ๋อพลันตกกะใจกันยกใหญ่ พวกเขาไม่ทราบเลยว่านั้นหมายความอย่างไรกันแน่
เย่หยวนชี้นิ้วไปทางดงป่าอันรกร้างและกล่าวว่า
“เป็นทางนั้น”
อิ้งหมัวหู่และลี่เอ๋อตื่นตกใจเป็นทวีเท่า เพราะเส้นทางอันรกร้างนั้น ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เป็นทางตัน!
“พี่ใหญ่ เอ่อ…”
อิ้งหมัวหู่มองไปตามที่เย่หยวนชี้นิ้วไปพลางจับจ้องอย่างโง่งม
เย่หยวนมิได้อธิบายอันใดอื่น พร้อมสืบเท้าตรงเข้าไปทันที
ทว่าภาพฉากต่อจากนั้นทำเอาอิ้งหมัวหู่และลี่เอ๋อประหลาดใจสุดขีด
จู่ๆร่างของเย่หยวนก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา!
ทั้งคู่แลกเปลี่ยนสายตากันเล็กน้อย ก่อนเร่งติดตามเย่หยวนไปทันที
ทั้งสองเสมือนรู้สึกว่า วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพล่ามัวบิดเบี้ยวไม่เหลือทรง พวกเขาได้เข้าไปยังประตูมิติลับที่ซ่อนไว้อะไรสักอย่าง
ทว่าความน่าประหลาดใจยังไม่หมดสิ้น เมื่อทั้งคู่รู้สึกฟื้นสติขึ้นอีกครั้ง สภาพแวดล้อมโดยรอบกลับไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้าเลย!
ประหนึ่งว่าพวกเขาหลงอยู่ในภาพลวงตา เมื่อทั้งคู่เดินเข้าประตูมิติลับไป กลับโผล่ออกมาอยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อครู่ไม่มีผิดเพี้ยน!
“พี่ใหญ่หยวน นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือเป็นไปได้ไหมว่า ป่าดอกท้อแห่งนี้คือดินแดนลวงตา?”
ลี่เอ๋อกล่าวถามด้วยความประหลาดใจยิ่ง
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ความจริงกับภาพลวงตากลับต่างกันแค่เส้นกั้นบางๆ ความจริงบางอย่างถูกปฏิบัติราวกับภาพลวง และภาพลวงบางอย่างก็ถูกปฏิบัติราวกับความจริง สิ่งที่น่ากลัวกว่าภาพลวงตาคือ ความจริงที่ถูกเติมแต่งจนเหมือนภาพลวงตา! บุคคลที่สร้างค่ายกลนี้มีระดับแนวคิดที่สูงส่งเกินหยั่งถึงเกินไป สวนต้นดอกท้อเหล่านี้เป็นของจริง ทว่าถูกสร้างให้เหมือนกันหมดตลอดเส้นทาง เพื่อลวงหลอกพวกเรา ทว่าเส้นทางรอดกลับมีเส้นทางเดียว และเราต้องเดินให้ถูกตลอดเส้นทางตั้งแต่แรกจนท้ายที่สุด มิฉะนั้นจะไม่มีวันออกไปได้อีกตลอดกาล!”
เมื่อทั้งสองได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจอย่างมาก เพื่อสร้างค่ายกลสวนดอกท้อให้เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วขนาดนี้ได้ บุคคลผู้นั้นจะต้องเชี่ยวชาญศาสตร์แห่งค่ายกลเพียงใดกัน
ฝีไม้ลายมือของเซียนอาณาจักรพระเจ้า กลับมิใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถจินตนาการหยั่งถึงได้โดยแท้
ก่อนหน้าที่ลี่เอ๋อกล่าวให้กำลังใจไปเช่นนั้น ก็ทำให้เย่หยวนที่อ่อนล้าทั้งกายใจกลับมากระตือรือร้นพร้อมเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอีกครั้ง!
เย่หยวนสัมผัสได้ว่า ผู้ที่สร้างค่ายกลทั้งหมดเหล่านี้จะต้องเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าที่บ่มเพาะฝึกฝนมาบนเส้นทางแห่งค่ายกลมาโดยเฉพาะ
เขาค่อยๆแก้ทางค่ายกลนี้ไปทีละขั้นตอนอย่างใจเย็น มีหลายต่อหลายครั้งที่เขาเกือบเสียรู้ให้แก่เซียนผู้สร้างค่ายกลนี้เข้าให้แล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับค่ายกลอันทรงพลังนี้ เย่หยวนรู้สึกราวกับว่าตนกำลังลูบคมของเซียนอาณาจักรพระเจ้าท่านั้นก็มิปาน
หลังจากได้รับกำลังใจจากลี่เอ๋อ เย่หยวนในปัจจุบันเสมือนถูกเสริมแกร่ง พร้อมความมั่นใจอันล้นเหลือ!
เซียนอาณาจักรพระเจ้าแล้วอย่างไร?
วันนี้ ข้า,เย่หยวนจะกำราบเซียนอาณาจักรพระเจ้าให้ดูเป็นขวัญตา!
ตอนที่1238 ปล่อยให้โจมตีจนกว่าจะเหนื่อย
“พี่ใหญ่ เราควรไปทางใดดีในเวลานี้?”
เมื่อเห็นว่าเย่หยวนเริ่มจับจุดบางอย่างของค่ายกลนี้ได้ อิ้งหมัวหู่พลันเอ่ยถามอย่างอดมิได้
ในขณะนี้ เป็นเวลากว่าสามวันเต็ม พวกเขาเพิ่งมาถึงพื้นที่ในส่วนที่สองเท่านั้น!
ซึ่งส่วนที่สอง เย่หยวนใช้เวลามากกว่าส่วนแรกถึงสามเท่า
อันที่จริงแล้ว อิ้งหมัวหู่และเยวี่ยเมิ่งลี่พลางรู้สึกว่า ทิวทัศน์โดยรอบบริเวณนี้ยังคงเหมือนกับส่วนแรกดุจลอกกันมา และไม่มีความแตกต่างอันใดเลย
ทว่าการที่ทุกอย่างเหมือนกันขนาดนี้โดยไม่สามารถจับจุดผิดสังเกตได้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ค่ายกลนี้ยิ่งใหญ่เกินจินตนาการกว่าที่คิดไว้มาก
“ตรงกลาง!”
เอ่ยกล่าวจบ เย่หยวนก้าวแช่มออกเดินเข้าเส้นกลางทันทีโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
อิ้งหมัวหู่และเยวี่ยเมิ่งลี่ที่เห็นดังนั้นพลันตกใจเล็กน้อย ก่อนเร่งเดินติดตามไปทันที
สำหรับพื้นที่ในส่วนที่สามนี้ เย่หยวนใช้เวลาถึงหกวันเต็มเพื่อค้นหาเส้นทางที่ถูกต้อง
แต่ในส่วนที่สี่ มันกลับกินเวลาเย่หยวนถึงครึ่งเดือนเต็มกว่าจะเข้าใจทั้งหมด!
อิ้งหมัวหู่ไม่กล้าขัดจังหวะเย่หยวนที่กำลังศึกษาอย่างเอาจริงเอาจังแม้แต่น้อย เขาอดเบือนหน้าหันบ่นกับลี่เอ๋อมิได้เลยว่า
“สวรรค์! ด้วยความเร็วเต่าคลานเช่นนี้ ยามที่เราออกไปได้ เกรงว่าเผ่าปีศาจคงรวมดินแดนศักดิ์สิทธิ์เข้าเป็นปึกแผ่นเดียวกันแล้วกระมัง!”
ลี่เอ๋อในตอนนี้เองก็เป็นกังวลมิใช่น้อย เพียงว่านางมิได้แสดงอารมณ์ออกมาเหมือนอิ้งหมัวหู่
หนึ่งเดือนผ่านไป ณ ปัจจุบัน พวกเขาก็ยังไม่สามารถออกจากพื้นที่ในส่วนที่สี่ได้
อัตราความเร็วชนิดนี้ กระทั้งเต่ายังคลานแซงไปไกลโขแล้ว
มาตรได้ว่า อิ้งหมัวหู่พูดไม่ออกกล่าวไม่ถูกแล้วเช่นกัน
แต่ทั้งคู่ก็ทราบตระหนักดี ศาสตร์แห่งค่ายกลที่กอปรอยู่ภายในค่ายกลเหล่านี้ช่างลึกซึ้งและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง อย่าลืมไปเสีย ท้ายที่สุดนี้นี่เป็นถึงค่ายกลขั้นสวรรค์ที่ถูกสร้างโดยเซียนอาณาจักรพระเจ้า การจะทำความเข้าใจนั้นกลับมิใช่เรื่องง่าย
ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าตั้งแต่พื้นที่ส่วนแรกจวบจนตรงนี้ มีกับดักเตรียมปลิดชีพซ่อนเร้นอยู่ไม่รู้จำนวนเท่าใด
ดังนั้น เย่หยวนจำต้องศึกษาด้วยความรอบคอบจนมั่นใจเสียก่อน ถึงจะกล้าสืบเท้าย่างไปข้างหน้า
ทันใดนั้นเอง เย่หยวนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่พลันลืมตาขึ้นกะทันหัน เขาลุกขึ้นพรวดพร้อมก้าวแช่มตรงไปทางดงบุปผาทันที
พื้นที่ในส่วนที่ห้านี้ ลี่เอ๋อคาดการณ์ไว้ว่า เย่หยวนจำต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนแน่นอนถึงจะผ่านไปยังส่วนต่อไปได้
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่กลับคาดไม่ถึงเลยว่า เย่หยวนจะใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้นก็สามารถผ่านไปได้ฉลุย
“พี่ใหญ่หยวน เกิดอะไรขึ้น? หรือเป็นไปได้ไหมว่าสามารถทำลายกระบวนค่ายกลได้สิ้นแล้ว?”
ลี่เอ๋อเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“การจะทำลายกระบวนค่ายกลหาใช่เรื่องง่ายได้อย่างไร? ทว่าเพียงแค่ต้องการฝ่าปก่าดอกท้อนี้ออกไปกลับมิน่าใช่ปัญหาอีกต่อไป!”
เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าที่การเฝ้าศึกษาอย่างเข้มข้น ในท้ายที่สุด ความสำเร็จบนศาสตร์แห่งค่ายกลของเย่หยวนก็พัฒนาขึ้นอีกระดับ จนสามารถเข้าใจค่ายกลขั้นสวรรค์อันแสนซับซ้อนได้
ค่ายกลที่กอปรไปด้วยศาสตร์แห่งสวรรค์เหล่านี้มิใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจ ต่อให้เชิญจักรพรรดิค่ายกลมานับร้อยนับพันช่วยระดมความคิด พวกเขาเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลยแม้แต่พื้นฐาน
แต่อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของเย่หยวนบนเส้นทางแห่งค่ายกลก็ได้ทะลวงขึ้นสู่ระดับชั้นเดียวกับเซียนอาณาจักรพระเจ้านานแล้ว
และเย่หยวนเองก็ตระหนักดีว่า วิถีค่ายกลที่เก้าของหลู่หลินเฟยเป็นถึงค่ายกลขั้นสวรรค์ขนานแท้!
นั้นจึงเป็นสาเหตุที่เย่หยวนกล้าท้าทายหลู่หลินเฟยด้วยศาสตร์แห่งค่ายกลในตอนนั้น และทันทีที่หลู่หลินเฟยเตรียมจะใช้วิถีค่ายกลที่เก้า เย่หยวนจึงยกธงขาวประกาศยอมแพ้ในทันที
ระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนมานี้ เย่หยวนได้อุทิศกายใจเพื่อทำความเข้าใจต่อศาสตร์สวรรค์ที่เปี่ยมแน่นค่ายกลตรงหน้าอย่างสุดกำลัง
ถึงแม้ความเข้าใจจะค่อนข้างตื้นเขิน แต่นั้นก็เปรียบเสมือนประตูสู่โลกใบใหม่ของเย่หยวน
เช่นนั้น ความเร็วในการถอนรหัสค่ายกลป่าดอกท้อจึงสูงขึ้นกว่าก่อนหน้านับหลายสิบเท่าทวี
เพียงหนึ่งเดือนเศษ เย่หยวนก็สามารถมองเห็นปริศนาที่เร้นแฝงในค่ายกลนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ไม่ว่าทิวทัศน์จะรื่นรมย์งดงามเพียงใด แต่นั้นมิอาจลวงตาเย่หยวนได้อีกต่อไป
ถึงมันจะดูปลอดภัยแค่ไหนในสายตา ทว่าจิตสังหารกลับไม่สามาถหลบซ่อนได้มิดชิด
ในทางตรงข้าม หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้แทบทำให้เขาเป็นบ้าเช่นกัน
เพราะไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหน ก็มีแต่เส้นทางทั้งสามเบื้องหน้าที่เฝ้ารออยู่
บุคคลผู้สร้างค่ายกลนี้จำต้องมีจิตวิปลาสเพียงใดกัน?
“เอ๊ะ ที่นี่? ช่างเป็นสถานที่ที่งดงามนัก! สวยดั่งสรวงสวรรค์เลย!”
ลี่เอ๋อโพล่งอุทานขึ้นพร้อมความประหลาดใจ
อ๊อกกก…!!
จู่ๆอิ้งหมัวหู่ที่เห็นทางออกตรงหน้าก็อาเจียนออกมาระลอกใหญ่ทันที
เย่หยวนและลี่เอ๋อที่เห็นดังนั้นพลันสบสายตากันเล็กน้อย ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นแสนขำขัน
หากกล่าวตามหลักเหตุและผล มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เซียนผู้ไร้เทียมทานเฉกเช่นอิ้งหมัวหู่จะอาเจียนออกมาเช่นนี้ ทว่าผลกระทบทางจิตใจที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา กลับกระทบกับเขาอย่างจัง
อิ้งหมัวหู่กรอกตามองทั้งคู่ที่กำลังยืนขำและกล่าวขึ้นว่า
“พวกท่านยังจะหัวเราะอีก! ข้าขอเตือนไว้ก่อนเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปห้ามใครพูดคำว่า‘ดอกท้อ’ให้ข้าได้ยืนอีก มิเช่นนั้น…อ๊อกกกก!!”
หลังจากที่ทั้งสามหยอกล้อกันไปมายกใหญ่ พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางต่ออีกครั้ง
สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนสรวงสวรรค์ก็มิปาน เนินเขาทับซ้อนเขียวชอุ้ม น้ำทะเลสีครามฟ้าใสบริสุทธิ์ เฝ้ามองโดยภาพรวมช่างเป็นทิวทัศน์งดงามมากเสน่ห์และน่าหลงใหล
ที่สำคัญกว่านั้นคือ บริเวณแห่งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์ไม่ด้อยไปกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลย
“พี่ใหญ่หยวน ที่แห่งนี้ดูไม่เหมือนหุบเขาเหวพระเจ้าเลย! แล้วพวกเราจะกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกหรือไม่?”
ลี่เอ๋อกล่าวขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เย่หยวนส่ายหัวและกล่าวว่า
“ดูไม่เหมือนเลยจริงๆ! ข้ารู้สึกดั่งว่ามันเป็นอีกมิติหนึ่งคล้ายกับมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณ มันเป็นดินแดนอิสระตัดขาดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยสิ้นเชิง”
“เป็นไปได้ไหมว่าที่นี่ก็อาจเป็นนิกายศักดิ์สิทธิ์ร้างที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง? แต่เท่าที่ดูแล้วมันไม่คล้ายกับนิกายหรือสำนักอะไรเทือกนั้นเลย เช่นนี้คงไม่น่าเป็นอันตรายอันใดกระมัง?”
อิ้งหมัวหู่ที่หยุดอ้วกในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นกล่าวแทรก
“นั้นมิน่าเกี่ยว เคยมีคำกล่าวเล่ากันว่า สถานที่ยิ่งสวยงามยิ่งอันตราย แถมหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ เราก็มิได้รับรู้ข่าวภายนอกใดๆเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
เย่หยวนกล่าว
ท่าทางการแสดงออกของอิ้งหมัวหู่แปรเปลี่ยนในทันใด จากที่มองในแง่ดียามนี้กลับถอดสีหน้าในทันใด
ถูกต้องแล้ว ภายในหุบเขาเหวพระเจ้าจะใช่สถานที่ปลอดภัยไร้พิษภัยได้อย่างไร?
“พี่ใหญ่ หรือเราควรย้อนกลับ?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวถาม
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“หากพวกเราย้อนกลับไปได้ง่ายๆ ไฉนข้าต้องใช้เวลาเป็นเดือน? ที่สำคัญ ดูท่าค่ายกลนี้จะเป็นแบบทางเดียว หากข้าสามารถทวนรูปแบบย้อนกลับไปได้ ข้าคงกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าแล้วกระมัง? ในความเห็นของข้า การที่ผู้สร้างค่ายกลมายังที่แห่งนี้ อาจต้องมีวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง?”
“นี่…ท่านคิดจะทำอะไร?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มแสนหดหู่ราวกับคาดเดาคำตอบของอีกฝ่ายได้แล้ว
“ในเมื่อมาถึงที่นี่ทั้งทีก็เดินต่อให้สุด! ไฉนไม่ลองเข้าไปสำรวจหน่อยล่ะ? บางทีอาจได้ดอกผลที่ไม่คาดคิด?”
เย่หยวนกล่าว
จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็เดินหน้าเข้าสำรวจต่ออย่างระมัดระวัง แต่ระหว่างทางมานี้กลับไม่พบภัยอันตรายใดๆเลย นี่จึงทำให้พวกเขาคลายใจลงอย่างมาก
เมื่อเดินทางเคลื่อนผ่านหุบเขาลูกหนึ่งไป สิ่งน่าประหลาดใจพลันเกิดขึ้นในที่สุด ปรากฏว่าเบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งกำลังตรงมาทางนี้เช่นกัน
“พี่ใหญ่,ดูเหมือนจะมีผู้คน! นั้นหรือว่า…เผ่าอสูร! แปลกเกินไป! ไฉนสถานที่แห่งนี้ถึงมีเผ่าอสูรอาศัยอยู่?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เย่หยวนที่เห็นดังนั้นพลันแปลกใจไม่ต่าง
ห่างออกไปไกล ปรากฏเหล่านักสู้ของเผ่าอสูรกำลังฝึกซ้อมต่อสู้กันอยู่อย่างขยันแข็งขัน
และเมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นเล็งเห็นพวกเย่หยวนกำลังมาทางนี้ พวกเขาจึงเร่งตรงมาหาทันที!
พวกเย่หยวนทั้งสามพลันคิดว่าพวกเขาจะตรงเข้ามาเพื่อทักทาย แต่ที่ไหนได้สีหน้าของพวกนั้นกลับมืดทมิฬลงโดยพลัน และตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาลว่า
“มันเป็นมนุษย์! พวกมนุษย์ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?!”
ยังไม่ทันที่จะได้ปริปากอธิบายใดๆ พวกนั้นก็เข้าจู่โจมทันทีโดยตรง
อิ้งหมัวหู่และลี่เอ๋อกำลังจะเคลื่อนไหว แต่กลับถูกหยุดโดยเย่หยวนเสียก่อน
“ปล่อยให้พวกมันโจมตีจนกว่าจะเหนื่อย เราอย่าเพิ่งตอบโต้ใดๆในสถานที่ที่ไม่รู้จักเป็นดีที่สุด พวกเจ้าอย่าได้เสียแรงโดยใช่เหตุ ตรงนี้ให้ข้าจัดการเอง”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นเอ่ยขึ้น
ตอนที่1239 ดินแดนสัตว์เทวะ
“เจ้าหนุ่มนี่มันสัตว์ประหลาดชนิดใดกัน?”
“ขะ-ข้า…ข้าเหนื่อยเจียนตายแล้ว!”
“ไม่ไหว…ข้าสู้ไม่ไหวแล้ว! ข้าไม่สามารถระดมพลังปราณใดๆในร่างกายได้เลย!”
หลายต่อหลายคนต่างร้องโอดอวนระงมใจไม่หยุด ก่อนหน้าพวกเขาปลดปล่อยทุกกระบวนโจมตีออกมาด้วยพลังทั้งหมดที่มี ทว่านั้นไม่สามารถทำอันตรายใดๆเย่หยวนได้เลยแม้กระทั้งปลายเส้นผม
ในยามนี้สีหน้าการแสดงออกของแต่ละคนล้วนจับจ้องเย่หยวนด้วยความหวาดกลัวสุดหัวใจ
ชายหนุ่มตรงหน้าแกร่งกล้าเกินไป!
เขายังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ยังไม่ทันออกอาวุธโจมตีก็ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เหนื่อยจัดแล้ว
นี่เป็นการสัประยุทธ์ที่แสนสิ้นหวังไร้โอกาสนัก
เย่หยวนค่อยๆย่างก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าไม่เสื่อมคลาย
เหล่าอสูรพวกนั้นสะดุ้งโหย่งด้วยความตกใจสุดขีด คล้ายถูกเหยียบหางอย่างแรง
“จะ-จะ-เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าขอเตือนไว้ก่อน…ท่านประมุขน้อยของพวกเราน่าเกรงขามยิ่ง! ทันทีที่เขามาถึง เจ้าตายแน่!”
เย่หยวนยังคงฉีกยิ้มกว้างแจ่มใส ทว่าในสายตาของพวกนั้นกลับน่าสยดสยองประหนึ่งฆาตกรโรคจิต
“ประมุขน้อย? พวกเจ้าสังกัดเผ่าอันใด…เผ่ามังกร? เผ่าวิหกเพลิง? หรือเผ่าพยัคฆ์ขาว? ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่า ประมุขน้อยของพวกเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร?”
เย่หยวนทราบมานานแล้วว่า เหล่าอสูรน้อยพวกนี้เป็นสมาชิกเผ่าสัตว์เทวะทั้งสี่
หรือเป็นไปได้ไหมว่า ภายในพื้นที่แห่งนี้ยังมีเผ่าสี่สัตว์เทวะดำรงอยู่?
ความแข็งแกร่งของผู้คนเหล่านี้มิได้สูงนัก เพียงแค่ระดับเก้าขั้นต้นเท่านั้น
ทว่าอายุของพวกเขาก็มิได้แก่เช่นกัน ในบรรดาเผ่าสูร คนเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์
แน่นอนว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขา เหนือชั้นกว่าเผ่าอสูรบนโลกภายนอกอย่างชัดเจน
“ขะ-ข้าจะคอยดู! รอจนกว่าท่านประมุขน้อยของพวกเรามาถึง ยามนั้นเจ้าได้ประจักษ์แจ้งเป็นแน่แท้!”
ในบรรดาพวกเขาโพล่งกล่าวขึ้น
เย่หยวนหัวเราะเล็กน้อยเมื่อได้ยินและกล่าวว่า
“ฮ่าฮ่า ข้าจะรอชม เช่นนั้นข้าขอนั่งพักผ่อนรอประมุขน้อยของพวกเจ้าแถวนี้ก่อน ส่วนพวกเจ้ารีบไปเรียกมาเถอะ”
พวกนั้นคล้ายนักโทษโดนปล่อยตัว ทันทีที่ได้ยินเย่หยวนกล่าวเช่นนั้น ก็เร่งสับเท้าหลบหนีออกไปทันที
“พี่ใหญ่ ที่แห่งนี้แปลกมาก!”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้น
เย่หยวนพยักหน้าตอบและกล่าวว่า
“อืม ที่แห่งนี้…ช่างน่าสนใจยิ่งนัก!”
ไม่นานเกินรอ เหล่าอสูรน้อยที่หนีออกไปก็ได้กลับมาหาอีกครั้ง
แต่คราวนี้พวกนั้นกลับมาพร้อมกับพรรคพวกอีกมากมายเป็นโขยงตามกันมา
กลุ่มคนจำนวนมากเข้าปิดล้อมพวกเย่หยวนทันที พร้อมชายหนุ่มคนหนึ่งที่ก้าวแช่มออกมา เขาจับจ้องเย่หยวนด้วยความรังเกียจ อย่างไรก็ตาม ความแกร่งกล้าของชายคนนี้มิได้อ่อนด้อย นั้นเป็นถึงระดับเก้าขั้นสุด
ทว่าความแกร่งกล้าเพียงแค่นี้ ไม่สามารถทำอันตรายอันใดแก่เย่หยวนได้โดยธรรมชาติ
“เจ้ามนุษย์ กล้าล่วงล้ำมายังดินแดนสัตว์เทวะไม่พอ ยังกล้าทำร้ายสมาชิกเผ่าของข้าผู้นี้อีกรึ? เตรียมใจรับโทษรึยัง?”
ชายหนุ่มผู้นี้กลับมิได้แยแสอันใดเย่หยวนเลย ด้วยความแกร่งกร้าวของเขา มีหรือจะไม่สามารถรับมือกับเซียนอาณาจักรราชันย์เทวะทั่วไปด้?
เย่หยวนมิได้ตอบคำถามอีกฝ่าย แต่กล่าวขึ้นด้วยความสนใจยิ่งว่า
“เช่นนี้นี่เอง สถานที่แห่งนี้มีนามว่า ดินแดนสัตว์เทวะ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไฉนสมาชิกเผ่าสี่สัตว์เทวะถึงมีมากมายเพียงนี้ แต่ข้าสงสัยอย่างมากว่า เผ่าสี่สัตว์เทวะของฝั่งนี้กับเผ่าสี่สัตว์เทวะในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีความสัมพันธ์กันเช่นไร?”
“สามหาว! ท่านประมุขน้อยกำลังตั้งคำถามกับเจ้า! แต่เจ้ากลับกล้าเมินงั้นรึ?!”
ทันใดนั้นมีใครบางคนตะโกนสวนกลับมาทันที
สีหน้าของประมุขน้อยมืดขรึมลงในทันใด
เขาผู้นี้หยิ่งผยองและทะนงตนยิ่งกว่าใครๆ ทว่ามนุษย์เบื้องหน้ากลับหยิ่งยโสยิ่งกว่านัก!
ยามนี้ประมุขน้อยได้ค้นพบเลยว่า เย่หยวนเองก็มิได้สนใจตัวมันเลย!
ในขณะเดียวกัน มีใครบางคนในฝูงชนเกิดผิดสังเกตเข้า ก่อนค่อยๆขยับขยายสายตาเข้าจับจ้องเย่หยวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“จะ-จะ-จะ-เจ้า…นั้นเจ้าจริงๆ! ฉะ-ไฉน…ไฉนเจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้?!”
คนๆนั้นอุทานขึ้นไม่เป็นภาษาทันที
ประมุขน้อยผู้นั้นขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเผยถึงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนกล่าวเสียงเข้มถามขึ้นว่า
“เจ้ารู้จักมัน?”
ในเวลานั้นทุกคนต่างเผยท่าทางอย่างรู้อยากเห็นออกมาโดยพลัน
สมาชิกเผ่าคนนั้นมีนามว่า หลงเซิง ในหมู่พวกเขาทั้งหมดกลับหาใช่คนโดดเด่นนัก
หากย้อนกลับไป หลงเซิงเคยออกเดินทางไปยังดินแดนลึกลับแห่งหนึ่ง ก่อนกลับมาพร้อมใบหน้าบวมช้ำเสมือนหัวหมู และนั่นได้กลายเป็นเรื่องตลกภายในดินแดนสัตว์เทวะเป็นเวลาพักใหญ่
ทว่ายามนี้พรสวรรค์ที่แฝงซ่อนในตัวเขาก็เริ่มแสดงออกมาบ้างแล้ว และด้วยนิสัยขี้ประจบประมุขน้อยจนเคยตัว จึงทำให้หลงเซิงมีปากมีเสียงไม่น้อยในเผ่า
หลงเซิงถอดสีหน้าหนักด้วยความหวาดกลัว ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“มัน…มันคือไอ้เด็กเหลือขอที่ปลอมตัวเป็นราชันย์มังกรในดินแดนไร้สิ้นสุด!”
เมื่อวาจาคำกล่าวเหล่านี้ดังออกมา ทุกคนต่างตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะเยาะดังสนั่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าลืมกินยามาใช่หรือไม่? เจ้ากำลังจะบอกว่า คนที่ทุบตีเจ้าจนเละเป็นหัวหมูคือมัน? มนุษย์จากแดนล่างที่ไหนจะมีปัญญาขึ้นสู่ดินแดนสัตว์เทวะได้?”
“หลงเซิง ข้าว่าเงามืดในจิตใจเจ้ายังไม่จางหายดี กระทั้งตอนนี้ยังเป็นรอยแผลฝังลึก! หรือเป็นไปได้ไหมว่า เจ้ากลัวมนุษย์จนขึ้นสมองไปแล้ว?”
“เวลาเพิ่งผ่านไปกี่ปีเชียว? มนุษย์คนนั้นจะสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันย์เทวะได้อย่างไรในเวลาอันสั้นเพียงนี้? เป็นบุตรแห่งสรวงสวรรค์กระมัง? ฮ่าฮ่าฮ่า!”
…………………………..
เหล่าสมาชิกเผ่าอสูรต่างหัวเราะหยอกล้อหลงเซิงอย่างสนุกปาก ไม่มีใครสักคนเชื่อว่า เย่หยวนคือคนที่ทุบตีมันจนเละเป็นหัวหมูในปีนั้นเลย
อย่างไรก็ตาม ความตื่นตะลึงที่ก่อเกิดขึ้นกลางใจของเย่หยวนก็มิได้น้อยกว่าหลงเซิงเลย
ยามนี้ เมื่อเห็นหลงเซิงอุทานขึ้นดังลั่น เขาเองก็รู้สึกว่า อีกฝ่ายคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างมากเช่นกัน
อีกหนึ่งคนที่ตื่นตกลึงไม่แก้กันก็คือ อิ้งหมัวหู่!
เพราะเขาเองก็เคยพบกับราชันย์มังกรมาก่อนในปีนั้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ผิดตัวแน่ มันคือหลงเซินที่อยู่เบื้องหน้าจริงๆ!
เย่หยวนกับอิ้งหมัวหู่สบตากันไปมาอย่างรวดเร็ว พร้อมแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความไม่น่าเชื่อสาดสะท้อนออกมา
หรือเป็นไปได้ไหมว่าสถานที่แห่งนี้คือ…ด้านหลังของป่าแห่งความมืด?
นี่ช่างน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว?
“พวกเจ้า…ไฉนไม่มีใครเชื่อข้าเลย? มัน…มันคนนั้นคือไอ้เด็กเหลือขอที่ปลอมตัวจริงๆ!”
หลงเซิงตะคอกขึ้นสวนทันทีอย่างเดือดดาล
ประมุขน้อยเค้นเสียงเย็นคำหนึ่งและกล่าวขึ้นว่า
“ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ช่าง มนุษย์ที่กล้าล่วงล้ำมายังดินแดนนี้มีโทษประหารไม่ละเว้น!”
เมื่อกล่าวจบ ประมุขน้อยก็ยกฝ่ามือขึ้นและคำรามดังลั่น
“ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้า!”
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวนี้ เย่หยวนก็แอบอมยิ้มเล็กน้อย
แม้แต่ลี่เอ๋อและอิ้งหมัวหู่เองก็อดขำมิได้เมื่อเห็นดังนั้น
ในจังหวะเดียวกัน เย่หยวนก็พลันยกฝ่ามือขึ้นพร้อมปลดปล่อยฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าออกไปเช่นกัน!
หาญกล้าแสดงเศษเสี้ยวฝีมือต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ นี่เป็นเรื่องน่าขันเพียงใด?
ทันทีที่เห็นฝ่ามือนั้นของเย่หยวน เหล่าสมาชิกเผ่าอสูรทั้งหมดต่างเปลี่ยนสีหน้าไปทันที
มนุษย์คนนี้สามารถใช้ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าได้อย่างไร?!
ทว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่มีเวลาครุ่นคิดมากนัก
มังกรฟ้าทั้งสองเข้าปะทะชนกันอย่างแรง จนเกิดแรงระเบิดขึ้นกลางเวหา กระทั้งมวลอากาศในบริเวณนั้นยังบิดเบี้ยวเสียรูป
แต่ช่างน่าเศร้านัก มังกรฟ้าของมระมุขน้อยกลับถูกบดขยี้แหลกเละอย่างรวดเร็ว
การจะจัดการกับประมุขน้อยผู้นี้ เย่หยวนไม่จำเป็นต้องใช้ชีพจรมังกรระดับศักดิ์สิทธิ์ออกมาด้วยซ้ำ
เพียงกายทองคำเก้าอรหันต์ และให้ความสนใจกันสักเล็กน้อย สิ่งนี้ก็มิใช่กระบวนโจมตีที่นักสู้ทั่วไปจะสามารถต้านทานไหวแล้ว
เห็นได้ชักว่า ประมุขน้อยผู้นี้ยังคงไร้ซึ่งคุณสมบัติโดยสิ้นเชิง
บูมมมม!!
ร่างของประมุขน้อยถูกซัดกระเด็นออกไป
“เจ้า…เจ้ารู้จักฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าได้อย่างไร?”
เย่หยวนมิได้เจตนาถึงขั้นเข่นฆ่า เพียงทำให้ประมุขน้อยได้รับบาดเจ็บในระดับนึงก็เพียงพอ แต่นั้นกลับสร้างความประหาดใจยิ่งให้แก่ประมุขน้อย จนต้องเอ่ยถามออกมาอย่างอดมิได้
“ก็แค่ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้า มันจะน่าตื่นเต้นอันใดมากมาย?”
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างเฉยเมย
ทุกคนโดยรอบต่างพูดไม่ออกในบัดดล
ก็แค่…งั้นรึ?
บนดินแดนสัตว์เทวะ ผู้ที่มีคุณสมบัติสามารถบ่มเพาะฝึกฝนฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าได้ มีอยู่จำนวนน้อยนิดจนนับนิ้วได้
และประมุขน้อยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
วรยุทธศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถฝึกฝนได้
ทว่าความสำเร็จของเย่หยวนในเส้นทางนี้ เป็นที่ชัดเจนว่าเหนือชั้นกว่าประมุขน้อยอยู่หลายขุม
พวกเขาทั้งหมดต่างคิดว่า ที่เย่หยวนกล่าวเช่นนั้นเพียงแสร้งทำเป็นลึกลับเท่านั้น ทว่าความจริงแล้ว เย่หยวนแค่พูดออกไปตามความเป็นจริง
เสียงแห่งจอมเทพมังกร นับว่าล้ำค่ากว่าฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าไม่รู้กี่สิบเท่า
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมียอดวรยุทธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามังกรอีกมากมายที่เย่หยวนยังคงไม่รู้จักและเข้าใจได้
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าจะตอบคำถามนายน้อยผู้นี้ได้หรือยัง? ข้าแค่ต้องการทราบว่าดินแดนนี้คือที่ไหน?”
เย่หยวนกล่าวถามอย่างเยือกเย็น ทุกคนที่สาดสายตาจับจ้องเขาในปัจจุบันล้วนสั่นกลัวจับไขกระดูก
ตอนที่1240 สี่ผู้อาวุโสสูงสุดผนึกกำลัง!
เย่หยวนเอ่ยถามทุกคนอย่างเป็นมิตร ทว่าฝ่ายนั้นกลับหวาดกลัวสุดขีดราวกับพวกเขากำลังเผชิญกับพญาเสือ ทุกคนต่างเร่งจับกลุ่มกันแน่นและค่อยๆย่างก้าวถอยกรูกลับไปหลายสิบก้าว
“เจ้า…เจ้า…เจ้าอย่าเข้ามา!”
หลงเซิงในยามนี้หวาดผวาหนัก เย่หยวนผู้นี้คือเงามืดในจิตใจของเขาตลอดมาจริงๆ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้น มันตราตรึงสลักจับใจยิ่ง ไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงใด ก็ไม่สามารถลบความกลัวนี้ออกไปได้เลย
แต่เดิมหลงเซิงพยายามคิดในแง่ดีอยู่เสมอว่า เขาในตอนนี้สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้แน่นอน ทว่ากลับไม่คิดไม่ฝัน เงามืดในจิตใจนามเย่หยวนกลับกลายเป็นเซียนไร้เทียมทานไปแล้ว!
บุคคลผู้นี้คือฝันร้ายของเขา!
ฝันร้ายตลอดมาของหลงเซิง!
เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกของพวกนั้น เย่หยวนก็พูดอะไรไม่ออก
เขาเพียงต้องการทราบจริงๆว่า สถานที่แห่งนี้เป็นด้านหลังของป่าแห่งความมืดใช่หรือไม่
แต่พวกเผ่าอสูรเหล่านี้กลับหวาดผวาขวัญกระเจิงจนพูดไม่รู้เรื่องกันไปหมดแล้ว
เย่หยวนมิได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้จริงๆ!
“นี่ เจ้าคือหลงเซิงใช่ไหม? ช่วยบอกข้าทีว่า ดินแดนแห่งนี้คือด้านหลังป่าแห่งความมืดใช่ไหม? เช่นนั้นเราสามารถเดินกลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยผ่านทางดินแดนไร้สิ้นสุดได้?”
เย่หยวนเอ่ยถามอีกครั้งด้วยเสียงนุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มแสนเป็นมิตร
ทว่าทันทีที่เย่หยวนก้าวย่างออกไป พวกนั้นกลับตกใจยิ่งกว่ากระต่ายตื่นตูมจนสะดุ้งโหย่งสะดุดก้อนกรวดก้นคะมำลงกับพื้น ทุกคนทนแรงกดดันที่มีต่อเย่หยวนไม่ไหวอีกต่อไป พร้อมเร่งเตลิดหนีไปอย่างหัวซุกหัวซุน
“เอ่อ…ข้าน่ากลัวตรงไหน? นายน้อยผู้นี้ยังไม่ทำอะไรเลย?”
เย่หยวนยกมือเท้าเอวเล็กน้อยพลางเอ่ยขึ้นด้วยความฉงนงุนงง
อิ้งหมัวหัวกลั้นขำไม่ไหวอีกต่อไป ก่อนระเบิดหัวเราะยกใหญ่และกล่าวว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ไอ้เจ้าพวกนี้ช่างขี้ขลาดยิ่งกว่าอะไร! เสียชื่อเผ่าสี่สัตว์เทวะยิ่งนัก!”
ลี่เอ๋อยิ้มและกล่าวว่า
“พี่ใหญ่หยวน ท่านยังไม่ทันโจมตีอันใด พวกนั้นก็กลัวขึ้นสมองแล้ว เพราะการที่ประมุขน้อยของพวกนั้นไม่สามารถทำอะไรท่านได้เลย มันแสดงให้เห็นถึงบรรทัดฐานที่ห่างชั้นจนชัดเจนเกินไป จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะกลัวกันขนาดนี้ แต่เป็นเช่นนี้พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี?”
เย่หยวนกล่าวอย่างไร้ประโยชน์ว่า
“ดูเหมือนว่าข้าต้องใช้กำลังจริงๆ”
เมื่อกล่าวจบ พลันถอนหายใจเฉือกใหญ่ ร่างของเย่หยวนอันตรธานหายไปจากจุดที่ยืนอยู่ทันที
ในขณะเดียวกัน ประมุขน้อยที่เพิ่งคลานขึ้นจากพื้นดินก็กำลังเตรียมสับฝีเท้ารีบหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่จู่ๆพลันมีจิตสังหารสุดน่าสะพรึงหอบใหญ่เข้ากักขังเขาไว้
ประมุขน้อยเสียวสันหลังวาบยันปลายหนังศีรษะ ประหนึ่งว่ายามนี้ เขาได้เห็นยมบาลยืนกวักมือเรียกอยู่ตรงหน้าแล้ว
โดยไม่ลังเลอีกต่อไป ประมุขน้อยเร่งพลังปราณเต็มสูบสู่สองเท้าเตรียมสับตีนแตก เขาต้องการจะหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้
“วิ่งต่อคือตาย!”
วาจาสุดเย็นยะเยือกของเย่หยวนประดุจแผดดังขึ้นจากใต้พิภพบาดาล เล่นเอาทุกความคิดในห้วงสมองของประมุขน้อยแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
ส่วนพวกลิ่วล้อที่เหลือเย่หยวนหาได้ใส่ใจไม่ จึงปล่อยให้หนีไปตามอิสระเสรี
เสียงฝีเท้าของประมุขน้อยหยุดลงกะทันหัน ก่อนพบว่าชายหนุ่มก่อนหน้าได้ยินดักหน้าเขาไว้แล้ว
ในมุมมองของเย่หยวน ประมุขน้อยคนนี้อาจเป็นตัวหมากสำคัญในอนาคต
……………………
“ทะ-ทะ-ท่าน…ท่านผู้อาวุโสสูงสุด! แย่แล้ว!”
ทุกคนเร่งหนีเตลิดกลับเผ่าพร้อมส่งเสียงดังลั่นไม่หยุดหย่อน
“จะตะโกนเสียงดังจนฟ้าถล่มลงมาเลยใช่ไหม!”
ผู้อาวุโสสูงสุด,หลงหยานกล่าวขึ้นพร้อมท่าทีปราศจากความสุข
ได้ยินผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวประชดเจือตำหนิเช่นนี้ ทุกคนถึงกับปิดปากเงียบในบัดดล
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด เกิดเรื่องแล้ว! มี…มีมนุษย์บุกเข้ามาในดินแดนสัตว์เทวะ! แถมยัง… แถมยัง…”
เวลานี้เป็นหลงเซิงที่ใจกล้าเปิดปากกล่าวขึ้น ก่อนจะชะงักลังเลเงียบไปเฉยๆ
สีหน้าการแสดงออกของหลงหยานยิ่งทมิฬมืดหนัก เป็นเวลาไม่รู้เนินนานเท่าใดที่มีเผ่ามนุษย์กล้ารุกล้ำมายังดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้
“แถมยังอะไร!”
หลงหยานกล่าวจี้ติดตามทันที
“แถมอีกฝ่ายยังจับประมุขน้อยเป็นตัวประกันไว้ด้วย!”
หลงเซิงกล่าวขึ้นอย่างรวนเร
เพราะประมุขน้อยผู้นี้เป็นหลานแท้ๆของหลงหยาน
พอได้ยินแบบนั้น เพลิงโทสะในใจหลงหยานพลันปะทุเดือดดาลขึ้นทันใด
“ช่างเป็นมนุษย์ที่หยิ่งยโสเกินไปแล้ว! กล้าจับหลานชายข้าเป็นตัวประกัน มันรนหาที่ตาย! อีกฝ่ายเป็นใคร มันใหญ่มาจากไหน?!”
หลงหยานกัดฟันเสียงดังกรอกด้วยความเกลียดชัง
หลงเซิงส่ายหวัและกล่าวว่า
“ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่เขาเดินทางมาจากทิศป่าดอกท้อ”
คู่ดวงตาของหลงหยานเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนกล่าวขึ้นราวกับเป็นเรื่องงมงายขึ้นว่า
“เป็นไปไม่ได้! ป่าดอกท้อคือค่ายกลสมัยบรรพกาลที่ถูกสร้างขึ้นโดยเซียนอาณาจักรพระเจ้า!”
หลงเซิงกล่าวตอยพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่นขึ้นว่า
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด เรื่องนี้ข้าเองก็มิทราบ! แต่บางที…เขาอาจเป็นคนๆเดียวกับไอ้เด็กเหลือขอแดนล่างที่เคยมีเรื่องกับข้าในแดนเทพอสูรต้องห้าม”
ผู้อาวุโสสูงสุดพลันเอะใจก่อนกล่าวถามอย่างประหลาดใจขึ้นว่า
“เจ้ารู้จักมันด้วยรึ?”
หลงเซิงพยักหน้าและกล่าวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้นโดยสังเขป ผู้อาวุโสสูงสุดจึงตระหนักได้เข้าใจทันที
“หึ! ไม่ว่ามันจะท้าทายสวรรค์เพียงใด แต่บังอาจกล้ารังแกชุนเอ๋อ ข้าจะตีตั๋วส่งมันลงนรกเอง!”
หลงหยานกล่าว
ขณะที่หลงหยานก้าวแช่มออกไปด้านนอก พลันปรากฏอีกสามร่างที่กำลังยืนรอต้อนรับอยู่นานแล้ว
“ไฉนพวกเจ้าทั้งสามถึงมารวมตัวกันที่นี่?”
หลงหยานกล่าวขึ้นด้วยความงุนงง
ในดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้ ทั้งสี่เผ่าสัตว์เทวะต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เพียงว่าสถานที่ปักหลักของแต่ละเผ่าอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล
ทั้งสามคนนี้ที่กำลังยืนรอหลงหยานล้วนเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของแต่ละเผ่า
“พวกเราได้ยินมาว่า มีมนุษย์คนหนึ่งบุกเข้ามาในดินแดนสัตว์เทวะ นอกจากนี้ความแกร่งกล้าของมันยังสูงส่งพอตัว ถึงขั้นสามารถจับตัวชุนเอ๋อเป็นตัวประกันได้ ยิ่งไม่ควรประมาท เช่นนั้นให้พวกเราไปยืนคุมสถานการณ์อีกแรงจะดีกว่า จึงเดินทางมารวมพลอย่างที่เห็น”
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าพยัคฆ์ขาวกล่าวขึ้น
หลงยันพยักหน้าตอบทันทีโดยไม่ลังเลและกล่าวว่า
“ขอบคุณพวกเจ้ามาก เช่นนั้นไปกันเถอะ!”
………………………..
ในปัจจุบัน เย่หยวนใช้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อนทุกกลยุทธ์เพื่อถามไถ่ข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้จากปากของชุน
กลับกลายเป็นว่า ดินแดนแห่งนี้คือด้านหลังป่าแห่งความมืดจริงๆ!
เมื่อก่อน เขากับอิ้งหมัวหู่เคยพยายามเข้าไปตรวจสอบป่าแห่งความมืดมาก่อน ทว่าแรงกดดันที่พรั่งพรูออกมาจากป่าแห่งความมืดกลับเข้มขันเกินต้านทานได้ไหว จึงไม่สามารถเข้าไปสำรวจได้เลย
เมื่อได้ยินชุนกล่าวเล่ามาเช่นนี้ เย่หยวนก็รู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มปะติปะต่อกันอย่างมีเหตุผล
เย่หยวนไม่คิดไม่ฝันเลยว่า หลังจากช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา สุดท้ายเขาก็สามารถไขปริศนาของป่าแห่งความมืดได้โดยบังเอิญ
นอกจากนี้เอง ดินแดนแห่งนี้ยังเป็นอีกดินแดนหนึ่งที่มิใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งที่นี่ยังเป็นสถานที่อยู่อาศัยของเผ่าสี่สัตว์เทวะอีกด้วย!
และอีกหนึ่งสิ่งที่เย่หยวนคาดไม่ถึงเลยก็คือ ดินแดนแห่งนี้ไม่เพียงเชื่อมต่อกับดินแดนไร้สิ้นสุด แต่มันยังเชื่อมต่อกับหุบเขาเหวพระเจ้าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยตรง!
ดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก!
เย่หยวนเพิ่งมาทราบทีหลังจากหลงชุนว่า ดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้ไม่เพียงเชื่อมต่อกับดินแดนไร้สิ้นสุดเท่านั้น แม้แต่แดนล่างอื่นๆเองก็เช่นกัน
เหล่าอสูรที่อาศัยอยู่ในแดนเทพอสูรต้องห้าม แต่เดิมพวกเขาทั้งหมดเคยอยู่ในดินแดนสัตว์เทวะเช่นกัน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็เริ่มมีการขยายเผ่าพันธุ์ สัตว์อสูรน้อยใหญ่หลากชนิดมีจำนวนเพิ่มขึ้นมหาศาล จนทำให้ดินแดนสัตว์เทวะไม่สามารถรองรับประชากรได้อีกต่อไป
ดังนั้นเหล่าบรรพชนของเผ่าสี่สัตว์เทวะจึงแบ่งดินแดนออกเป็นสองส่วน และได้สร้างทางเชื่อมห้วงมิติระหว่างแดนเทพอสูรต้องห้ามกับแดนล่างต่างๆ เพื่อระบายปริมาณเผ่าอสูรที่มีสายเลือดไม่บริสุทธิ์ออกไป ส่วนเผ่าพันธุ์ที่ยังพอหลงเหลือสายเลือดสัตว์เทวะบริสุทธิ์อยู่บ้างก็ลงหลักปักฐานอาศัยอยู่ในแดนเทพอสูรต้องห้าม
กาลเวลาผ่านไปเนินนาน เหล่าอสูรที่อาศัยอยู่ในแดนเทพอสูรต้องห้ามต่างหลงลืมกันหมดแล้วว่า ต้นกำเนิดของตนคือใคร หรือเคยมาจากที่ใดกันบ้าง รวมไปถึงเรื่องราวของดินแดนสัตว์เทวะ
สิ่งเดียวที่ยังหลงเหลือในความคิดของพวกเขาคือ ป่าแห่งความเป็นสถานที่ที่อันตรายและไม่มีใครกล้าล่วงล้ำเข้าไป
เย่หยวนที่ได้ฟังหลงชุนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ก็พลันเดาะลิ้นด้วยความอัศจรรย์ใจ
เหล่าบรรพบุรุษของเผ่าสี่สัตว์เทวะช่างลึกลับเกินหยั่งถึง
แน่นอนว่าเย่หยวนย่อมสงสัยในตัวบรรพบุรุษเหล่านี้ยิ่ง แต่น่าเสียดายที่แม้แต่หลงชุนเองก็ไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อนเช่นกัน
อย่างไรก็ตามแต่ หลงชุนกล่าวว่า ป่าดอกท้อแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษท่านหนึ่งเพื่อต้องการตัดขาดจากหุบเขาเหวพระเจ้า
เป็นเวลาเนินนานเกินนับ ไม่เคยมีใครในดินแดนสัตว์เทวะสามารถออกไปยังหุบเขาเหวพระเจ้าได้อีก
แต่หลงชุนไม่คิดไม่ฝันเลยว่า วันนี้เย่หยวนจะสามารถเดินทางฝ่าออกจากป่าดดอกท้อได้จริงๆ!
สำหรับต้นกำเนิดของดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้ กลับไม่มีใครทราบหรือย้อนรอยตรวจสอบใดๆได้ แม้แต่ประมุขน้อยอย่างหลงชุนก็เช่นกัน
แต่เย่หยวนกลับรู้สึกว่า เผ่าสี่สัตว์เทวะของดินแดนสัตว์เทวะ กับ เผ่าสี่สัตว์เทวะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ควรจะมีสัมพันธ์กันใกล้ชิด!
ยิ่งไปกว่านั้นเอง เมื่อฟังถึงตรงนี้เย่หยวนกับอิ้งหมัวหู่ยิ่งตื่นตะลึงหนัก
ทั้งคู่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า บนดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้ที่จริงแล้วยังมีดินแดนลึกลับซ่อนอยู่อีก!
ดูท่าดินแดนสัตว์เทวะแห่งนี้จะเต็มไปด้วยความลับที่เก็บซ่อนอย่างแท้จริง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น