True Martial World พิภพเทพยุทธ์ 1159-1167
บทที่ 1159 แพ้ชนะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เป็นโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยจริงๆ หรือ? แต่ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์ฮูเหยียนกับปรมาจารย์จั่วชิวบอกว่าโอสถนี้เป็นสีเขียว เหตุใดโอสถที่อี้อวิ๋นหลอมจึงเป็นสีฟ้าน้ำแข็ง?”
ผู้คนพากันแสดงความเห็น ในสายตาพวกเขาหากฮูเหยียนชางพูดผิดก็ช่างมันเถอะ แต่จั่วชิวปั๋วเป็นปรมาจารย์โอสถชั้นสูงของเมืองสรรพสิ่ง ทั้งยังเป็นคนระดับสูงของหอเซียนสรรพสิ่งที่เป็นกลุ่มอิทธิพลอันดับหนึ่ง คำพูดของเขาก็คืออำนาจและหลักความเป็นจริง
ตอนนี้โอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยของจั่วชิวปั๋วไม่มีประโยชน์ต่อต่งเสี่ยวหวั่นแม้แต่น้อย แต่โอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยที่อี้อวิ๋นแล้วกลับมีประโยชน์!
หรือจะบอกว่าระดับความรู้ด้านโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยของจั่วชิวปั๋วจะสู้อี้อวิ๋นไม่ได้?
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!”
จั่วชิวเฮ่าอวี้ทำอะไรไม่ถูก “เรื่องนี้ต้องมีปัญหาแน่นอน โอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยของเด็กรุ่นเยาว์คนหนึ่งจะเทียบท่านอาปู่หกของข้าได้อย่างไร? โอสถของท่านอาปู่หกที่ต่งเสี่ยวหวั่นกินไปก่อนหน้าคงไม่ทันได้แสดงผลลัพธ์ก็กินโอสถปลอมของอี้อวิ๋นลงไปพอดีแน่นอน ดังนั้นจึงทำให้มีผลลัพธ์เช่นนี้ ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ! โอสถของท่านอาปู่หกช่วยรักษาต่งเสี่ยวหวั่นจนทำให้เจ้าเด็กเวรอี้อวิ๋นโชคดีเข้า!”
จั่วชิวเฮ่าอวี้พูดอย่างคลุ้มคลั่ง เขายอมรับไม่ได้ว่าตัวเองแพ้ให้อี้อวิ๋น ยอมรับราคาที่ต้องจ่ายไม่ไหว
“หุบปาก!” ในตอนนี้เองที่มีเสียงอันเย็นยะเยือกดังขึ้น เสียงนี้แฝงไว้ซึ่งแรงปะทะทางจิตอันรุนแรง มันทำให้จั่วชิวเฮ่าอวี้ตกใจจนหน้าซีดและเกือบล้มลงพื้น
ผู้พูดคือจั่วชิวปั๋ว
จั่วชิวปั๋วขมวดคิ้ว ครั้งนี้ไม่ใช่แค่จั่วชิวเฮ่าอวี้ที่แพ้ ตัวเขาก็ถือว่าแพ้ให้อี้อวิ๋นเช่นกัน
เขาย่อมอับอายที่แพ้ให้เด็กรุ่นเยาว์คนหนึ่ง แต่ในเมื่อแพ้แล้วก็แพ้ไป เขาไม่คิดที่จะปฏิเสธ
“เจ้าปรับปรุงเทียบโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวย?”
จั่วชิวปั๋วถาม เพราะนอกจากสาเหตุนี้แล้วก็ไม่มีความเป็นไปได้อื่นที่จะอธิบายได้ว่าเหตุใดอี้อวิ๋นจึงหลอมโอสถออกมาเป็นสีฟ้าน้ำแข็ง แต่เขาก็ไม่เชื่ออีกว่าอี้อวิ๋นมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร?
ทว่าอี้อวิ๋นกลับไม่ตอบจั่วชิวปั๋ว เขาเดินมาด้านข้างต่งเสี่ยวหวั่น ผลลัพธ์ของโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยดีกว่าที่เขาคิดไว้เล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงนำโอสถเม็ดที่สองออกมา
“คุณชายอี้ นี่…นี่มันล้ำค่าเกินไป รับไว้ไม่ได้ รับไว้ไม่ได้ขอรับ”
ต่งเส่าชิงพูดมั่วสะเปะสะปะไปมา เขาเองก็มองออกว่าโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยมีผลลัพธ์กับอาการป่วยของลูกสาวเขาเพียงเล็กน้อย ไม่อาจรักษาได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งโอสถนี้ก็ล้ำค่ามากเกินไปจริงๆ ตามเดิมพันที่ตกลงไว้ก่อนหน้านี้พวกมันก็เป็นของอี้อวิ๋นทั้งหมด เป็นสมบัติของอี้อวิ๋น จะให้ลูกสาวเขากินอย่างเดียวได้อย่างไร?
อี้อวิ๋นพูดว่า “เจ้าสำนักต่งไม่ต้องเกรงใจ หญ้าน้ำค้างสวรรค์ที่เจ้าหามาก่อนหน้านี้มีประโยชน์ต่อข้าอย่างใหญ่หลวง โอสถแค่สองสามเม็ดไม่นับเป็นอะไรได้”
สำหรับอี้อวิ๋นแล้วหญ้าน้ำค้างสวรรค์ที่ได้มาก่อนหน้านี้ช่วยยกระดับจิตวิญญาณเขาให้แข็งแกร่งขึ้นมาก จากที่ควบคุมเชื้อเพลิงแทบมารได้หนึ่งสายก็กลายเป็นสองสาย การก้าวกระโดดที่ไม่ธรรมดานี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่โอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยหม้อหนึ่งจะเทียบได้
อี้อวิ๋นไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูด เขาเปลี่ยนโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยเม็ดที่สองให้เป็นพลังปราณแล้วผสานเข้าสู่จุดตันเถียนของต่งเสี่ยวหวั่น จากนั้นพลังโอสถก็ไหลไปตามแขนขานางและเข้าสู่เลือดเนื้ออีกครั้ง
ร่างกายต่งเสี่ยวหวั่นแข็งแรงขึ้นอีกขั้น
‘หืม? นี่มัน…’
อี้อวิ๋นเปิดการมองเห็นด้านพลังอยู่ตลอด ตอนนี้เขาพบว่าใบหน้าชั่วร้ายที่ซ่อนในร่างต่งเสี่ยวหวั่นเริ่มดุร้ายขึ้นมาเพราะร่างกายและเลือดลมนางแข็งแกร่งขึ้น มันร้องคำรามดิ้นรนไปมาเพื่อกลืนกินเลือดลมและพลังปราณของนางมารักษาสมดุล
อี้อวิ๋นขยับความคิด เขาจะใช้การควบคุมพลังอันเด็ดขาดของผลึกม่วงต้นกำเนิดมาดูดซึมสิ่งชั่วร้ายนี้โดยตรง!
ฟึ่บ!
ผลึกม่วงสร้างน้ำวนพลังที่ไม่มีใครมองเห็นขึ้นมา น้ำวนปกคลุมไปทางท้องต่งเสี่ยวหวั่นก่อนที่จะจมลงสู่จุดตันเถียน
อี้อวิ๋นจะทำลายสิ่งชั่วร้ายนี้
‘โฮกกก!’
สิ่งชั่วร้ายนั่นร้องคำรามอย่างตกใจ มันเกาะจุดตันเถียนของต่งเสี่ยวหวั่นไว้แน่นเพื่อต้านน้ำวนพลังจากผลึกม่วง
ตอนนี้กำลังจิตของอี้อวิ๋นแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน เขาย่อมควบคุมผลึกม่วงได้สบายมากขึ้น แต่ไม่ว่าน้ำวนจะสังหารอย่างไรจนพลังของสิ่งชั่วร้ายนี้ไหลออกไม่หยุด ทว่าท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ถูกทำลาย
‘มันเป็นสิ่งมีชีวิต ประสิทธิภาพของผลึกม่วงจะลดลงมากเมื่อเจอสิ่งมีชีวิต’
อี้อวิ๋นพูดกับตัวเอง เขารู้จุดอ่อนของผลึกม่วง หากจะสังหารสิ่งชั่วร้ายนี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องยาก ตอนนี้เขาก็เพิ่งหลอมโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยเสร็จ กำลังจิตจึงลดลงไปมาก ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาต่งเสี่ยวหวั่นให้หายในคราเดียว
อี้อวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และล้มเลิกการสังหารสิ่งชั่วร้ายนั่น
น้ำวนพลังสลายหายไป สิ่งชั่วร้ายยังไม่หายตกใจ มันมองอี้อวิ๋นผ่านจุดตันเถียนของต่งเสี่ยวหวั่น ใบหน้าที่เดิมทีดุร้ายของมันมีความตื่นกลัวอย่างรุนแรง
ในที่สุดมันก็เข้าใจว่าชายหนุ่มผู้นี้มองเห็นมัน ทั้งเขายังมีพลังที่สังหารมันได้ด้วยซ้ำ
จะไม่ให้สิ่งชั่วร้ายนี้กลัวได้อย่างไร
‘ไสหัวไปซะ!’
เสียงอันเย็นยะเยือกของอี้อวิ๋นดังอยู่ในจุดตันเถียนของต่งเสี่ยวหวั่น สิ่งชั่วร้ายนั่นสะดุ้งตกใจ ท้ายที่สุดก็ไม่กล้าต่อต้านอี้อวิ๋นและค่อยๆ เงียบหายไป
มันไม่ได้ออกจากร่างต่งเสี่ยวหวั่นเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของอี้อวิ๋น มันไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนี้เช่นกัน แต่หลังจากที่มันเงียบหายไป พลังปราณและพลังเลือดลมที่ถูกสิ่งชั่วร้ายผนึกไว้ในจุดตันเถียนของต่งเสี่ยวหวั่นก็ถูกปล่อยออกมาช้าๆ
พลังเหล่านี้อ่อนแอ แต่หลังจากที่พลังเลือดลมของโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยไม่มีสิ่งชั่วร้ายควบคุมก็โหมซัดสาดอย่างรวดเร็ว พลังโอสถไหลไปทั่วร่างต่งเสี่ยวหวั่นผ่านเส้นลมปราณ พลังชีวิตนางค่อยๆ ฟื้นฟู เมื่อพลังชีวิตฟื้นฟู จิตวิญญาณที่ถูกผนึกของนางจึงเริ่มตื่นขึ้นไปด้วย
เพียงครึ่งก้านธูป สีหน้าของต่งเสี่ยวหวั่นแดงระเรื่อขึ้นมาก
ต่งเส่าชิงรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของลูกสาว ขณะที่เขายังไม่เข้าใจอะไร ในตอนนี้เอง…
“แค่กๆ!”
ทันใดนั้นต่งเสี่ยวหวั่นก็ไอขึ้นมา ร่างกายนางสั่นเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ
วิสัยทัศน์ที่พล่ามัวค่อยๆ ชัดเจนขึ้น นางเห็นใบหน้าของท่านพ่อและเด็กหนุ่มที่นางไม่รู้จักผู้หนึ่ง
“นี่ข้า…เป็นอะไรไปหรือ…”
ต่งเสี่ยวหวั่นพูดด้วยความงุนงง หลายวันมานี้นางรู้สึกราวกับถูกขังไว้ในมิติแคบๆ สีดำ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เมื่อวันนี้มาเห็นแสงสว่างอย่างฉับพลันอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
“เสี่ยวหวั่น! เสี่ยวหวั่น!”
ต่งเส่าชิงดีใจจนน้ำตาไหล เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยเม็ดที่สองของอี้อวิ๋นจะทำให้ต่งเสี่ยวหวั่นฟื้นขึ้นมาได้!
เขาตื่นเต้นมากจริงๆ เดิมทีเขาเตรียมใจสำหรับผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุดไว้แล้ว เมื่อวันนี้ลูกสาวฟื้นขึ้นก็รู้สึกเหมือนเสียแล้วได้กลับคืน
ทุกคนไม่พูดอะไรอีกเมื่อเห็นต่งเสี่ยวหวั่นฟื้นกลับมา
พวกเขาไม่รู้ถึงการมีอยู่ของผลึกม่วง ได้แต่คิดว่าโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยสองเม็ดของอี้อวิ๋นคือสิ่งที่รักษาต่งเสี่ยวหวั่นให้หายดี
โอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยของอี้อวิ๋นจะมหัศจรรย์เกินไปแล้วกระมัง!
พวกเขารู้ว่าก่อนหน้านี้ต่งเสี่ยวหวั่นอยู่ในสถานการณ์ที่ร้ายแรงดุจโดนโทษประหารชีวิต การที่โอสถของจั่วชิวปั๋วใช้ไม่ได้ผลก็ช่วยพิสูจน์เรื่องนี้เช่นกัน
………………………………………
บทที่ 1160 ไม่ปรานี
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์อี้ ข้าน้อยจะจดจำบุญคุณนี้ไปชั่วชีวิต!”
ตอนนี้ต่งเส่าชิงตื่นเต้นอย่างไม่มีอะไรเทียบ เขาคารวะให้อี้อวิ๋นไม่หยุด
อี้อวิ๋นประคองเจ้าสำนักต่งและพูดว่า “ท่านเจ้าสำนักต่งอย่ารีบดีใจเกินไป ข้าไม่ได้รักษาอาการป่วยของลูกสาวเจ้าทั้งหมด เพียงแค่ทำให้พิษในร่างถอยตัวลงเท่านั้น หากวันหน้ามันมีโอกาสก็อาจกลับมาอีก”
“หา? นี่…”
ต่งเส่าชิงตกใจ คำพูดของอี้อวิ๋นทำให้เขาเป็นกังวลมาก ครั้งนี้ลูกสาวเขารอดมาได้เพราะมีอี้อวิ๋น แต่ครั้งหน้าจะทำอย่างไร?
“เจ้าสำนักต่งโปรดวางใจ ข้าไม่ทอดทิ้งอาการป่วยของลูกสาวท่านแน่นอน เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เพื่อช่วยลูกสาวท่าน ข้าเองก็สงสัยเรื่องนี้มากเช่นกัน”
อี้อวิ๋นรู้สึกว่าสิ่งชั่วร้ายนี้มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา
ฟังคำพูดอี้อวิ๋นแล้วต่งเส่าชิงก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไรจริงๆ เขาติดค้างอี้อวิ๋นมากเกินไปแล้ว
“เช่นนั้น…” อี้อวิ๋นมองไปที่จั่วชิวปั๋วพร้อมพูดว่า “ท่านปรมาจารย์จั่วชิว ท่านดูแล้วโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยที่ข้าหลอมใช่ของจริงหรือไม่?”
จั่วชิวปั๋วเลิกคิ้วขึ้น แม้ในใจจะไม่อยากยอมรับ แต่เรื่องที่โอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยที่อี้อวิ๋นหลอมมีคุณภาพสูงกว่าเขาก็เป็นเรื่องจริง
เขาพยักหน้าพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ย่อมเป็นของจริง”
“เช่นนั้น…” อี้อวิ๋นลุกขึ้นมองไปที่จั่วชิวเฮ่าอวี้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายจั่วชิว ก่อนหน้านี้ตกลงกันแล้วว่าหากข้าหลอมโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยสำเร็จ โอสถที่หลอมสำเร็จก็จะเป็นข้า ทั้งเจ้ายังจะจ่ายค่าหลอมโอสถให้เป็นสองเท่า ส่วนเรื่องมือของเจ้า…”
“อี้อวิ๋น นี่เจ้า…”
จั่วชิวเฮ่าอวี้หน้าซีด เขาเป็นจอมยุทธ์คนหนึ่ง หากถูกตัดมือก็จะทำให้พลังลดลงอย่างหนัก!
ตอนแรกเขาคิดว่าจะใช้ตำแหน่งคุณชายแห่งหอเซียนสรรพสิ่งมาทำให้อี้อวิ๋นไม่กล้าแตะต้องเขา ตอนนี้การเดิมพันจบลงแล้ว แต่อี้อวิ๋นกลับจะยังคงลงมือกับเขาอีก
“อี้อวิ๋น เจ้าอย่ารังแกกันเกินไป หรือเจ้าอยากเป็นศัตรูกับหอเซียนสรรพสิ่ง?”
เสียงของจั่วชิวเฮ่าอวี้ดังขึ้นข้างหูอี้อวิ๋น เขายกหอเซียนสรรพสิ่งออกมาขู่ มันเป็นฟางช่วยชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของเขา
“คุณชายอี้อย่าได้เอาจริงเอาจังเกินไป เรื่องก่อนหน้านี้เป็นแค่เรื่องล้อเล่น อย่าได้ถือโทษเอาความเลย” ผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังจั่วชิวเฮ่าอวี้พูดขึ้น
“นั่นน่ะสิขอรับ อะไรละเว้นได้ก็ควรละเว้น คุณชายอี้ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ”
มีคนในฝูงชนพูดคล้อยตาม กระโดดออกมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในเวลานี้ก็เป็นวิธีที่ชาญฉลาด ไม่แน่ว่าเมื่อขจัดความขัดแย้งนี้สำเร็จก็จะได้มิตรภาพจากจั่วชิวเฮ่าอวี้
ส่วนเรื่องอี้อวิ๋น ทุกคนไม่คิดว่าอี้อวิ๋นว่าอี้อวิ๋นจะตัดมือจั่วชิวเฮ่าอวี้จริงๆ คุณชายของหอเซียนสรรพสิ่งถูกเด็กรุ่นเยาว์คนหนึ่งตัดมือ นี่ใช่เรื่องธรรมดาที่ไหนกัน?
พวกเขาคิดว่าอี้อวิ๋นคงจะหาเหตุผลมาถอนตัวเรื่องนี้ ท้ายที่สุดก็จะแปรเปลี่ยนจากเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก
“เรื่องล้อเล่นหรือ?” อี้อวิ๋นหัวเราะขึ้นมา เขาลูบแหวนมิติเบาๆ ดาบฟันเลื่อยแผ่นหนาเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
รูปร่างของดาบเล่มนี้ดูเกินจริงมาก ดูแล้วเหมือนฟันออกมาจากมีดตัดหญ้าเล่มใหญ่ นี่คืออาวุธที่อี้อวิ๋นหาอย่างไม่ใส่ใจในแหวนมิติ แม้คุณภาพจะไม่ได้ดีอะไร แต่รูปร่างของมันก็ทำให้ตื่นตกใจมาก
จั่วชิวเฮ่าอวี้ลนลานขึ้นมาเมื่อเห็นว่าอี้อวิ๋นเอาจริง
“อี้อวิ๋น เจ้าจะสู้ให้ตายตกกันไปข้างหนึ่งจริงๆ หรือ?”
“ตายตกกันไปข้างหนึ่ง? น้ำหน้าอย่างเจ้าก็มีคุณสมบัติด้วย?” อี้อวิ๋นส่งเสียงเย็นๆ แล้วเดินเข้ามาหาจั่วชิวเฮ่าอวี้
“ท่านอาปู่หก!” จั่วชิวเฮ่าอวี้หันไปขอความช่วยเหลือจากจั่วชิวปั๋ว
จั่วชิวปั๋วขมวดคิ้วเบาๆ อย่างไรจั่วชิวเฮ่าอวี้ก็เป็นเด็กรุ่นหลังที่เขาหวังว่าจะได้ดีคนหนึ่ง แต่จะให้เขาขอร้องเด็กคนหนึ่งเพราะเรื่องนี้ก็รู้สึกน่าละอายจริงๆ
แม้จะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่จั่วชิวปั๋วก็พูดว่า “สหายน้อยอี้ หลานชายข้าทำผิดต่อเจ้าก็เป็นเรื่องไม่สมควร แต่ครั้งนี้เจ้าช่วยแปลงความบาดหมางให้เป็นสันติภาพเพื่อเห็นแก่หน้าข้าได้หรือไม่ หอเซียนสรรพสิ่งจะไม่ผิดต่อเจ้าแน่นอน”
“เห็นแก่หน้าเจ้า?” อี้อวิ๋นหัวเราะ “ข้าเพิ่งรู้จักเจ้าวันนี้ ไม่ทราบว่าหน้าเจ้ามีประโยชน์อะไรกับข้าบ้างกัน? ข้าขอถามหนึ่งประโยค หากวันนี้คนที่แพ้คือข้า หลานชายเจ้าจะตัดมือข้า ไม่ทราบว่าเจ้าจะออกหน้าแทนข้าและพูดว่า ‘แปลงความบาดหมางเป็นสันติภาพ’ หรือไม่?”
อี้อวิ๋นพูดเสียดสีอย่างไม่ไว้หน้า สีหน้าจั่วชิวปั๋วแข็งทื่อไป เขาคิดไม่ถึงว่าตัวเขาที่เป็นปรมาจารย์โอสถระดับสูงของเมืองสรรพสิ่งและเป็นผู้อาวุโสของหอเซียนสรรพสิ่งจะถูกเด็กคนหนึ่งมองข้ามอย่างสิ้นเชิง!
“ดี! ดีมาก! วีรบุรุษกำเนิดในเด็กหนุ่มมาตั้งแต่โบราณจริงๆ คนหนุ่มสาวจะฮึกเหิมก็เป็นเรื่องดี แต่บางครั้งก็นำภัยมาสู่ตน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ควรเหลือทางถอยให้ตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะเสียใจภายหลังก็ไม่ทันการแล้ว”
จั่วชิวปั๋วพูดเสียงทุ้ม ในตอนนี้เองที่เจ้าเมืองฉินหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ในเมื่อปรมาจารย์จั่วชิวพูดแบบนี้ เช่นนั้นก็ต้องยอมรับผลพนัน ปฏิบัติตามที่เดิมพันไว้เถอะ”
ขณะที่เจ้าเมืองฉินพูดก็โบกมือเบาๆ มิติข้างกายจั่วชิวเฮ่าอวี้ถล่มลงเป็นกรงมิติที่ขังเขาเอาไว้
“เจ้าเมืองฉิน ท่านทำอะไรน่ะ!”
จั่วชิวเฮ่าอวี้หน้าซีดเผือด แต่เขาต้านทานการกักขังของเจ้าเมืองฉินได้ที่ไหนกัน?
ในตอนนี้เองที่อี้อวิ๋นก้าวเท้าออกมา ลำแสงดาบสาดกระพริบ
ฉัวะ!
คมดาบฟาดผ่านอากาศ จั่วชิวเฮ่าอวี้ห้องโหยหวน มือทั้งสองข้างของเขาถูกตัดตั้งแต่ต้นแขนลงมา โลหินสาดกระเซ็น
จากนั้นอี้อวิ๋นก็ดีดนิ้ว ไฟหยางบริสุทธิ์สายหนึ่งพุ่งเข้ากลืนกินมือกลางอากาศที่ถูกตัด
ฟู่ฟู่ฟู่!
ไฟหยางบริสุทธิ์แผดเผา เพียงไม่กี่อึดใจ แขนคู่นี้ที่ถูกตัดของจั่วชิวเฮ่าอวี้ก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
ในเมื่อเดิมพันไว้ด้วยมือคู่หนึ่งอี้อวิ๋นก็ไม่มีทางตัดออกมาแล้วมอบคืนให้จั่วชิวเฮ่าอวี้ เพราะทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับไม่ตัด ด้วยกำลังที่หอเซียนสรรพสิ่งมี การเชื่อมต่อแขนกลับเข้าไปก็ทำได้ง่ายมาก แต่หากแขนถูกทำลาย เช่นนั้นการจะสร้างขึ้นใหม่ก็ยากแล้ว!
วัตถุดิบฟ้าดินที่ทำให้แขนขางอกกลับมาใหม่ได้มีราคาสูงเกินไป หอเซียนสรรพสิ่งอาจไม่ทุ่มเทราคาขนาดนี้ให้คุณชายคนหนึ่งเสมอไป และต่อให้ทุ่มเทแล้ว แขนที่งอกออกมาใหม่ก็ไม่เคยผ่านการหล่อหลอมจากกฎและพลังปราณ เทียบกับแขนเดิมแล้วก็ด้อยกว่ามาก ต้องมาเริ่มฝึกใหม่ตั้งแต่ต้น เส้นทางแห่งยุทธ์พิการไปแล้วครึ่งหนึ่ง
จั่วชิวเฮ่าอวี้มองแขนตัวเองถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน เขารู้สึกเหมือนโดนต่อยเข้าที่ศีรษะอย่างรุนแรง สับสนงุนงงไปหมด
เขาร่วงตกจากคุณชายชั้นสูงมาเป็นคนพิการภายในไม่กี่อึดใจ!
“แขนของข้า…แขนของข้า…”
เมื่อแขนเขาพิการ ฐานะในหอเซียนสรรพสิ่งของเขาก็จะตกต่ำลงมาก หอเซียนสรรพสิ่งคงไม่มอบวัตถุดิบฟ้าดินที่ทำให้แขนงอกขึ้นใหม่แก่คนพิการแบบเขาเช่นกัน
จั่วชิวเฮ่าอวี้จ้องอี้อวิ๋น ดวงตามีจิตสังหารอย่างรุนแรง
อี้อวิ๋นไม่สนใจเรื่องนี้
‘สหายน้อยนี้ช่างเด็ดขาดไม่น้อย เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้หอเซียนสรรพสิ่งไม่พอใจหรือ?’ เจ้าเมืองฉินหัวเราะ ปราณเสียงของเขาดังขึ้นข้างหูอี้อวิ๋น
อี้อวิ๋นส่ายหน้าพูดว่า ‘ข้าย่อมไม่อยากมีเรื่องกับกลุ่มอิทธิพลในเมืองสรรพสิ่ง แต่ข้าต้องอยู่เมืองนี้อย่างน้อยสามปี ใครไม่มาหาเรื่องข้า ข้าก็ไม่หาเรื่องใคร หากข้าเอาแต่อดทนก็มีแต่จะถูกคนอื่นมองว่ารังแกง่าย ถึงเวลานั้นก็มีปัญหามากขึ้นอีก!’
อี้อวิ๋นรู้ดีว่าในเวลาสามปีที่เขาอยู่เมืองสรรพสิ่งจะเกิดคลื่นลูกใหญ่ ไม่พูดถึงอย่างอื่น ลำพังแค่ห้องหออวิ๋นซินของเขาก็ขัดประโยชน์โรงโอสถหลายแห่ง หากปล่อยให้คนอื่นรังแกก็คงถูกกลืนกลายในไม่ช้าก็เร็ว
บทที่ 1161 คำเชิญของเจ้าเมืองฉิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนทั้งแท่นหลอมโอสถตกอยู่ในความเงียบเมื่อเห็นจั่วชิวเฮ่าอวี้กุมแขนล้มอยู่บนพื้น ผู้คนหลายร้อยเป็นพยานต่อภาพเหตุการณ์นี้
หลายคนรู้สึกเย็นยะเยือกในใจเล็กน้อย อี้อวิ๋นจะเด็ดเดี่ยวเกินไปแล้ว นั่นมันคุณชายแห่งหอเซียนสรรพสิ่งเชียวนะ เขากลับถูกอี้อวิ๋นตัดแขนเช่นนี้ ช่างทำอะไรโดยไม่เหลือทางถอยจริงๆ
ฝ่ามือฮูเหยียนชางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ตอนที่อี้อวิ๋นเดิมพันด้วยมือก่อนหน้านี้ก็คิดจะดึงเขาไปร่วมด้วย ตอนนั้นเขาเกือบตอบตกลง ดีที่ใจเขาตื่นกลัวไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นวันนี้คงต้องมีจุดจบเดียวกับจั่วชิวเฮ่าอวี้ หากปรมาจารย์โอสถไม่มีมือ แบบนี้จะไม่นับว่าพิการอย่างสมบูรณ์หรือ?
ขณะที่ฮูเหยียนชางกำลังสั่นกลัวก็เห็นอี้อวิ๋นจ้องมองมา สายตานี้ทำให้เขาขนลุกไปหมด
เด็กคนนี้คือตัวหายนะ!
อี้อวิ๋นใจคออำมหิตเด็ดขาด เขาอายุน้อยและอนาคตกว้างไกล เมื่อเติบโตขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้จะค่อยๆ คิดบัญชีกับเขาหรือเปล่า?
“พาเฮ่าอวี้ไปด้วย พวกเราไป!”
สีหน้าจั่วชิวปั๋วมืดครึ้มดุจเมฆดำ ตัวเขาที่เป็นถึงผู้อาวุโสของหอเซียนสรรพสิ่งยอมขอร้องแต่กลับโดนอี้อวิ๋นปฏิบัติเช่นนี้ มีความหมายอะไรที่จะอยู่ต่อ
ผู้ติดตามด้านหลังเขาเดินออกมาพยุงจั่วชิวเฮ่าอวี้ที่บาดเจ็บหนัก
“สหายจั่วชิวจะไปแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้เจ้ามีเรื่องจะคุยกับข้าไม่ใช่หรือ?”
เจ้าเมืองฉินพูดเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
“เจ้าเมืองฉินรู้อยู่แล้วว่าข้าจะพูดอะไร แต่ในเมื่อท่านไม่อยากเจรจากับข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้ตัวเองอับอาย”
จั่วชิวปั๋วส่งเสียงเย็นๆ แม้คนที่ลงมือในตอนสุดท้ายจะเป็นอี้อวิ๋น แต่การที่เจ้าเมืองฉินใช้กฎแห่งมิติมาขังจั่วชิวเฮ่าอวี้ก็ถือว่าแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว
เขาอยากผูกมิตรกับเจ้าเมืองฉินมาโดยตลอด เอาใบหน้าอุ่นๆ ไปแนบกับก้นเย็นๆ ของอีกฝ่ายไปก็ไร้ความหมาย เขาเก็บแท่นผนึกเทพลง เดินขึ้นเรือรบวิญญาณแล้วจากไป
จั่วชิวปั๋วจากไปแล้ว คนอื่นๆ ย่อมแยกย้ายเช่นกัน หลายคนมองอี้อวิ๋นด้วยใจที่ซับซ้อน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอี้อวิ๋นจะเป็นดาวดวงใหม่ของเมืองสรรพสิ่ง แต่ก่อนอื่นคือเขาต้องรอดพ้นจากแรงกดดันของหอเซียนสรรพสิ่งเสียก่อน
อี้อวิ๋นเดินไปตรงหน้าเจ้าเมืองฉิน เขานำโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยสี่เม็ดที่เหลือออกมาและพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองฉิน โอสถสี่เม็ดนี้น่าจะมีราคาพอให้ชำระหนี้แปดแสนอักขระ ข้าขอคืนให้ท่านเจ้าเมือง หากท่านไม่ต้องการโอสถ เช่นนั้นอี้อวิ๋นก็จะนำมันไปแลกเป็นอักขระที่หอสรรพสิ่งแล้วค่อยคืนให้ท่าน อี้อวิ๋นจดจำความช่วยเหลือที่ท่านมีให้ไว้กับใจ”
แม้อี้อวิ๋นจะไม่ได้ใช้เงินแปดแสนอักขระนี้มาซื้อธาตุกระดูกฟื้นวิญญาณ แต่ความช่วยเหลือของเจ้าเมืองฉินก็ทำให้อี้อวิ๋นรู้สึกขอบคุณ
แม้โอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยจะเป็นโอสถชั้นสูงแต่ก็ใช้ช่วยหลิงเสียเอ๋อร์ไม่ได้ ตอนนี้อี้อวิ๋นก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน เขาจึงตัดสินใจมอบให้เจ้าเมืองฉิน
เจ้าเมืองฉินมองโอสถเหล่านี้แล้วพูดว่า “ตอนนั้นเจ้าบอกว่าจะชำระหนี้ภายในสามเดือน ข้าคิดว่าเจ้าแค่คุยโว แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าแค่ครึ่งเดือนก็สำเร็จ ช่างประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยจริงๆ ปกติแล้วข้าต้องซื้อโอสถนี้อยู่แล้ว ย่อมไม่ต้องแลกเป็นอักขระ ขอรับเอาไว้ แต่โอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยสี่เม็ดไม่ได้มีราคาแค่แปดแสนอักขระ ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นคุณภาพชั้นเลิศ ข้ารับไว้แค่สองเม็ดก็ถือว่าได้เปรียบมากแล้ว”
เมื่อเห็นเจ้าเมืองฉินรับโอสถไปแค่สองเม็ด อี้อวิ๋นจึงมองไปยังองค์หญิงจิ้งจอกขาวที่อยู่ด้านข้างแล้วมอบโอสถสองเม็ดที่เหลือให้นาง
“เจ้าทำอะไรน่ะ…” องค์หญิงจิ้งจอกขาวถามเสียงเบา
ตอนที่อี้อวิ๋นหลอมโอสถเมื่อครู่นางก็กังวลแทนเขาอยู่ตลอด เมื่อตอนนี้เห็นว่าทุกอย่างราบรื่นก็เบาใจลง
“ข้าลงหลักปักฐานในเมืองสรรพสิ่งได้เพราะมีความช่วยเหลือและเชื่อมั่นของเทพธิดาอู๋เสีย เทพธิดาฝึกจิตวิญญาณ โอสถนี้มีประโยชน์ต่อเจ้า นับเป็นเจตจำนงของอี้อวิ๋นเช่นกัน”
ขณะที่องค์หญิงจิ้งจอกขาวกำลังจะปฏิเสธก็ได้ยินเจ้าเมืองฉินพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นอู๋เสียเจ้าก็รับไว้เถอะ ติดบุญคุณแล้วไม่ตอบแทนไม่ใช่สุภาพชน ยิ่งไปกว่านั้นวิชาหลอมโอสถของสหายเจ้าก็เลิศล้ำถึงเพียงนี้ เจ้าไม่ต้องกลัวว่าเขาจะยากจน อีกไม่นานข้าคงต้องพึ่งสหายน้อยอี้แล้ว!”
เจ้าเมืองฉินพูดจบก็หัวเราะเสียงดัง
“เจ้าค่ะ ท่านลุงฉิน” องค์หญิงจิ้งจอกขาวพยักหน้า
“สหายน้อยอี้ ข้าจะจัดงานบรรเลงฉินที่จวนเจ้าเมืองในอีกครึ่งเดือน มีเทพธิดาโยวฉินเข้าร่วม ตอนนั้นเจ้าก็มาร่วมด้วยดีไหม?” เจ้าเมืองฉินพูดกับอี้อวิ๋นด้วยรอยยิ้ม วิชาหลอมโอสถของอี้อวิ๋นทำให้เขาแปลกใจ ให้อี้อวิ๋นได้รู้จักกับคนระดับสูงของเมืองสรรพสิ่งก็เป็นการปกป้องเขาเช่นกัน
“ขอบคุณท่านเจ้าเมืองฉินขอรับ ข้าน้อยจะไปร่วมงานแน่นอน” อี้อวิ๋นพูด
“ดี เช่นนั้นข้ากับอู๋เสียต้องขอตัวก่อน” เจ้าเมืองฉินกวาดตามองห้องหออวิ๋นซินแล้วพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “หลังจากนี้ห้องหออวิ๋นซินของเจ้าคงคึกคักมาก”
หลังจากที่ส่งเจ้าเมืองฉินกับองค์หญิงจิ้งจอกขาว คนที่มาดูเรื่องสนุกที่ห้องหออวิ๋นซินพากันแยกย้าย ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็อยากหลอมโอสถ
“ปรมาจารย์อี้ ข้าต้องการหลอมโอสถชำระใจเปลี่ยนไขกระดูก”
“ปรมาจารย์อี้ ข้าก็ต้องการหลอมเช่นกัน! ข้าต้องการโอสถไท่หยินหนึ่ง ต้องการโอสถวิญญาณมรกต ธาตุกระดูกเลี้ยงหัวใจ…”
หลายคนรีบพูดกับอี้อวิ๋น อี้อวิ๋นหลอมโอสถเก่งถึงเพียงนี้ พวกเขาต้องรีบใช้โอกาสที่ชื่อเสียงเขายังไม่แพร่ไปไกลมาให้อีกฝ่ายหลอมโอสถ หลอมได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกสองสามวันก็ต่อแถวไม่ได้แล้ว
ต่อให้โอสถที่หลอมออกมาเหล่านี้จะไม่อาจใช้เองแต่ก็เอาไปขายเป็นเงินได้ เพราะต้องบอกก่อนว่าโอสถที่อี้อวิ๋นหลอมมีคุณภาพสูงกว่าปกติมาก
เมื่อเห็นคนมากมายพากันร้องให้อี้อวิ๋นหลอมโอสถ หรูเอ๋อร์ก็เดินมาข้างกายอี้อวิ๋นเงียบๆ และส่งเสียงพูดสองสามประโยค
“โอ้?” อี้อวิ๋นยิ้มบางๆ แล้วมองคนเหล่านี้ด้วยแววตาสนุกสนาน “จะให้ข้าหลอมโอสถก็ย่อมได้ ราคาหม้อละหนึ่งล้านอักขระ…”
“นี่เจ้า…”
พวกคนที่เอ่ยปากพูดโมโหขึ้นมาทันที หม้อละหนึ่งล้าน? โอสถที่พวกเขาต้องการหลอมมีราคาไม่ถึงหนึ่งแสน แต่ค่าหลอมโอสถกลับมากถึงหนึ่งล้าน!?
“เหอะ! ก่อนหน้านี้พวกตีสองหน้าแบบพวกเจ้าด่าทอว่าป้ายที่ห้องหออวิ๋นซินแขวนออกไปบ้าคลั่งไม่ใช่หรือไง? เหตุใดนี้จึงต้องการให้ข้าหลอมโอสถให้ล่ะ? หากมีศักดิ์ศรีอยู่บ้างก็ไสหัวไปเสียเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องสะอิดสะเอียน”
อี้อวิ๋นพูดจบก็หมุนตัวจากไป เขาไม่กลัวที่จะมีเรื่องกับนักเลงพวกนี้
แม้แต่แขนจั่วชิวเฮ่าอวี้ยังถูกเขาตัด เมื่อนักเลงพวกนี้พิจารณาว่าพวกเขาห่างจากจั่วชิวเฮ่าอวี้เพียงใดก็จะรู้ว่ามีแต่ต้องยอมรับ
“ขะ…เขารู้ได้อย่างไร…สาวใช้คนนั้น!”
คนเหล่านี้มองหน้ากันไปมา พวกเขาเคยเย้ยหยันอยู่หน้าห้องหออวิ๋นซิน คิดไม่ถึงว่าจะถูกสาวใช้คนนั้นจดจำเอาไว้
“วันนี้ปิดประตูไม่รับลูกค้า แผ่นป้ายหน้าร้านก็เอาลงมาเช่นกัน” อี้อวิ๋นพูดกับหรูเอ๋อร์ในขณะที่เดินเข้าร้าน
ตอนนั้นเขาแขวนป้านนี้ก็เพราะยังไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม แต่ตอนนี้เขาพิสูจน์พลังของตัวเองไปแล้ว ย่อมไม่อาจหลอมโอสถด้วยราคาถูกเช่นนั้นอีก
“คุณชายอี้” ต่งเส่าชิงยังไม่ไปไหน
…………………………………………….
บทที่ 1162 คุณชายป๋ายเฟิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้าสำนักต่ง” อี้อวิ๋นมองท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็หยุดของต่งเส่าชิงแล้วก็มองต่งเสี่ยวหวั่น เขาอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้เมื่อเห็นร่างกายอันเล็กบอบบางของนาง ไม่รู้ว่าต่งเสี่ยวหวั่นเป็นอะไรกันแน่ เหตุใดเด็กสาวที่ปกติดีคนหนึ่งจึงเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้
“พวกเจ้าเข้ามาเถอะ แต่ข้าอาจไม่มีวิธีเช่นกัน”
“ขอบคุณคุณชายอี้ขอรับ”
ต่งเส่าชิงประคองต่งเสี่ยวหวั่นเข้ามาในห้องหลอมโอสถของอี้อวิ๋น
รูปร่างต่งเสี่ยวหวั่นไม่สูง นางนั่งลงบนเตียงศิลาในห้องหลอมโอสถอย่างระมัดระวัง
“มือ”
อี้อวิ๋นยื่นมือออกมา
ต่งเสี่ยวหวั่นพยักหน้าอย่างหน้าแดง นางเลิกแขนเสื้อขึ้นจนเผยให้เห็นข้อมือที่ขาวดุจหิมะ มือของต่งเสี่ยวหวั่นเหมือนเด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่ปี มันมีขนาดเล็กน่ารัก อี้อวิ๋นวางมือลงบนข้อมือนาง ขณะเดียวกันก็เปิดการมองเห็นพลังเพื่อตรวจสอบการไหลเวียนของพลังในร่าง
แม้สิ่งชั่วร้ายนั่นจะสงบตัวไปแล้ว แต่มันก็ยังคงอยู่ในจุดตันเถียนของต่งเสี่ยวหวั่นและราวกับจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจุดตันเถียนของนาง
ที่ก่อนหน้านี้ต่งเสี่ยวหวั่นฝึกฝนอย่างไรระดับยุทธ์ก็ไม่เพิ่มขึ้นก็คงเป็นเพราะสาเหตุนี้
อี้อวิ๋นรู้สึกได้รางๆ ว่าเมื่อสิ่งชั่วร้ายนี้ผสานเข้ากับต่งเสี่ยวหวั่นอย่างสมบูรณ์ เช่นนั้นต่งเสี่ยวหวั่นก็ไม่มีทางรอด
มันเป็นสัตว์ประหลาดที่พยายามยึดร่างต่งเสี่ยวหวั่นหรือ?
อี้อวิ๋นเกิดความคิดนี้ขึ้นในหัว แต่หลังจากที่ไตร่ตรองสักพักก็ตัดความคิดนี้ทิ้งไป หากจะยึดร่างก็ควรเริ่มลงมือจากจิตวิญญาณ ไม่ใช่จุดตันเถียน
และแม้สิ่งชั่วร้ายนี้จะหน้าตาเหมือนมนุษย์ แต่ความรู้สึกที่ให้กลับไม่เหมือนวิญญาณมนุษย์
อี้อวิ๋นลังเลชั่วครู่แล้วคลึงมือ กฎแห่งมิติรวมตัวขึ้นเป็นลายวิถีหยางบริสุทธิ์
อี้อวิ๋นส่งลายวิถีหยางบริสุทธิ์เหล่านี้เข้าสู่ร่างต่งเสี่ยวหวั่นเพื่อผนึกเส้นทางรอบๆ จุดตันเถียน พลังหยางบริสุทธิ์มีฤทธิ์จำกัดสิ่งชั่วร้ายได้ดีที่สุด มีลายวิถีหยางบริสุทธิ์เหล่านี้อยู่ สิ่งชั่วร้ายนี่คงทำไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตต่งเสี่ยวหวั่นอีก แต่อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ทางออกระยะยาว
“ช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งฝึกวรยุทธ์ ไม่ต้องใช้พลังปราณ หากเจ้าสำนักต่งวางใจข้าก็ขอแนะนำให้ฝากต่งเสี่ยวหวั่นไว้ที่นี่ เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
“คุณชายอี้เกรงใจกันเกินไปแล้วขอรับ ท่านเป็นคนช่วยชีวิตเสี่ยวหวั่น ข้าจะไม่ไว้วางใจได้อย่างไร”
ต่งเส่าชิงไม่เพียงไม่กังวลเมื่อได้ยินคำของอี้อวิ๋น เขาดีใจมากด้วยซ้ำ ยินดีฝากลูกสาวไว้ที่นี่ หากเกิดอะไรก็จะได้รับความช่วยเหลือจากอี้อวิ๋นอย่างทันท่วงที
“ได้” อี้อวิ๋นพยักหน้า
“เช่นนั้น…ข้าน้อยขอตัวก่อน เสี่ยวหวั่น ไว้พ่อจะมาเยี่ยมเจ้า”
ต่งเส่าชิงพูดพร้อมประสานมือ ต่งเส่าชิงไม่กังวลที่ต้องทิ้งลูกสาวที่ไร้แรงต้านทานไว้กับอี้อวิ๋น ไม่ว่าจะการตอบแทนบุญคุณก่อนหน้านี้ของอี้อวิ๋นหรือการช่วยลูกสาวเขาอย่างไม่เรียกสิ่งตอบแทน อี้อวิ๋นก็เป็นคนมีคุณธรรมไม่เลว
ต่อให้อี้อวิ๋นมีความคิดอะไรกับลูกสาวเขาจริงๆ ต่งเส่าชิงก็ยอมหลับตาข้างหนึ่ง อี้อวิ๋นต่างจากฮูเหยียนชาง ฮูเหยียนชางอายุมากจนใกล้จะลงโลงแล้วแต่กลับคิดยุ่งกับลูกสาวเขา ทว่าอี้อวิ๋นยังอายุน้อย อนาคตก็กว้างไกล หากลูกสาวติดตามอี้อวิ๋นได้ก็ไม่มีอะไรเสียหายแน่นอน
ต่งเส่าชิงจากไปแล้ว ในเวลาสองสามวันต่อมาอี้อวิ๋นก็ปิดด่านฝึกตน หากมีเวลาว่างก็จะตรวจสอบสิ่งชั่วร้ายในร่างต่งเสี่ยวหวั่น เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ อี้อวิ๋นก็ค่อยๆ เข้าใจสิ่งชั่วร้ายนี้มากขึ้น
ต่งเสี่ยวหวั่นกลายเป็นเด็กรับใช้ในห้องหออวิ๋นซินเช่นเดียวกับหรูเอ๋อร์ หากหรูเอ๋อร์มีเรื่องอะไรนางก็จะคอยช่วยเหลือ ทั้งสองช่วยกันดูแลห้องหออวิ๋นซินให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
ขณะเดียวกันชื่อเสียงของอี้อวิ๋นก็กระจายไปทั่วเมืองสรรพสิ่งอย่างรวดเร็ว
เขาตัดแขนจั่วชิวเฮ่าอวี้และใช้เพลิงหยางบริสุทธิ์มาเผาเป็นเถ้าถ่าน
เขาเป็นเด็กรุ่นเยาว์แต่กลับหลอมโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยสำเร็จ ทั้งยังทำให้ต่งเสี่ยวหวั่นที่มีโรคประหลาดรักษายากฟื้นคืนสติกลับมา คุณภาพโอสถเหนือกว่าจั่วชิวปั๋ว!
ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ทำให้ผู้คนที่ได้ฟังรู้สึกตกตะลึง
ปรมาจารย์โอสถมีฐานะในเมืองสรรพสิ่งสูงมาก แม้จะรู้ว่าอี้อวิ๋นล่วงเกินหอเซียนสรรพสิ่ง ถึงกระนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากอยากให้อี้อวิ๋นหลอมโอสถหรือไม่ก็ผูกมิตรกับเขา
“อะไรนะ คุณชายป๋ายเฟิงอยากพบข้า? คุณชายป๋ายเฟิงนี่เป็นใครกัน?”
อี้อวิ๋นเพิ่งนั่งสมาธิเสร็จก็ได้ยินรายงานจากต่งเสี่ยวหวั่น
“เรียนคุณชายอี้ คุณชายป๋ายเฟิงมีชื่อเต็มๆ ว่าโจวป๋ายเฟิง เป็นคนจากตระกูลโจวแห่งเมืองสรรพสิ่ง ตระกูลโจวไม่ใช่สำนักแต่ก็เป็นกลุ่มอิทธิพล เป็นกลุ่มอิทธิพลอันดับสามของเมืองสรรพสิ่ง! แม้จะเทียบหอเซียนสรรพสิ่งไม่ได้แต่ก็ด้อยกว่าไม่มาก ตัวโจวป๋ายเฟิงได้รับความสำคัญในตระกูลมากเช่นกัน เรื่องหลายอย่างในตระกูลมีเขาเป็นผู้ดูแล”
“คุณชายป๋ายเฟิงรออยู่ด้านหน้าแล้วเจ้าค่ะ” ต่งเสี่ยวหวั่นพูดต่อ
อี้อวิ๋นคิดแล้วก็พยักหน้าพูดว่า “ให้เขาเข้ามาเถอะ”
ในเมื่อคุณชายป๋ายเฟิงผู้นี้ร่ำรวยมีอิทธิพล เช่นนั้นหากให้อี้อวิ๋นหลอมโอสถก็คงจ่ายราคาไหว อี้อวิ๋นต้องรวบรวมอักขระจำนวนมหาศาลภายในสามปี ย่อมไม่ปฏิเสธการค้าที่เข้ามาถึงที่
หลังจากที่ต่งเสี่ยวหวั่นออกไปแจ้งข่าว ไม่นานก็มีชายสองคนเดินเข้ามา
ชายที่สวมเสื้อตัวยาวสีฟ้าอ่อนคนหนึ่งยิ้มมาแต่ไกลและทักทายอี้อวิ๋นอย่างเป็นมิตร “ท่านผู้นี้คือปรมาจารย์อี้สินะ ข้าเลื่อมใสมานาน ข้ามีนามว่าโจวป๋ายเฟิง ผู้นี้คือคุณชายจางจื้อหย่วนผู้เป็นแขกของตระกูลโจว ปรมาจารย์อี้เพิ่งมาเมืองสรรพสิ่งเป็นครั้งแรก อาจไม่รู้จักชื่อเสียงของคุณชายจางจื้อหย่วน เขาเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงของเมือง”
จางจื้อหย่วนส่ายพัดหยก กลิ่นอายบนร่างเขาแหลมคมและดูไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก
อี้อวิ๋นวางถ้วยชาลงช้าๆ แล้วพูดเรียบๆ ว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายป๋ายเฟิงต้องการหลอมโอสถอะไรหรือ? ท่านคงรู้นะว่าราคาที่ข้าเสนอไม่ใช่ถูกๆ”
“ย่อมรู้อยู่แล้ว แต่วันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อขอให้ปรมาจารย์อี้หลอมโอสถ แต่มาเชิญให้ท่านเป็นแขกของตระกูลโจวเช่นเดียวกับคุณชายจางจื้อหย่วน ตระกูลโจวของข้ามีอิทธิพลในเมืองสรรพสิ่งอยู่ไม่น้อย แขกในตระกูลต่างเป็นอัจฉริยะ หากท่านปรมาจารย์อี้เห็นด้วย เช่นนั้นแม้แต่หอเซียนสรรพิ่งก็ไม่กล้ามาหาเรื่องท่านง่ายๆ” คุณชายป๋ายเฟิงพูดอย่างมั่นใจ สีหน้ามีความทะนงตนเล็กน้อย
ตระกูลโจวถือเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งของเมืองสรรพสิ่ง จางจื้อหย่วนก็เป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงของเมือง แต่เขาก็ถูกตระกูลโจวดึงตัวมาเป็นพวกเหมือนกันไม่ใช่หรือ? คุณชายป๋ายเฟิงจงใจพาจางจื้อหย่วนมาด้วยก็เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
แม้จางจื้อหย่วนจะเทียบเทพธิดาอู๋เสียกับเทพธิดาโยวฉินไม่ได้ แต่เขาก็เป็นอัจฉริยะผู้โด่งดัง
“ตอนนั้นคุณชายจางจื้อหย่วนก็มีเรื่องกับสำนักขนาดใหญ่เพราะผู้หญิงคนหนึ่ง แต่หลังจากที่เขาเป็นแขกของตระกูลโจว สำนักขนาดใหญ่นั้นก็ได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจ” คุณชายป๋ายเฟิงพูด
“คุณชายป๋ายเฟิงพูดถูกแล้ว อี้อวิ๋น วันนี้คุณชายป๋ายเฟิงมาเพื่อช่วยเจ้า หากไม่มีตระกูลโจว ตัวเจ้าที่อยู่เพียงลำพังก็ยากจะยืนหยัด” จางจื้อหย่วนเหลือบมองอี้อวิ๋นแวบหนึ่ง แต่ในใจกลับไม่พอใจ
ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาอี้อวิ๋นก็ไม่ลุกตัวขึ้นสักครั้ง ตอนที่จางจื้อหย่วนกลายเป็นแขกของตระกูลโจวก็เคารพนบนอบมากและเป็นฝ่ายเข้าไปขอพึ่งพา
การปฏิบัติที่ต่างกันนี้ทำให้จางจื้อหย่วนไม่พอใจ ท่าที่หยิ่งยโสของอี้อวิ๋นก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกไม่ชอบ
“ดึงข้าเป็นพวก? ขออภัยด้วย ข้าไม่สนใจ” อี้อวิ๋นปฏิเสธในคำเดียว “ข้ามีนิสัยอิสระ ไม่ชอบถูกใครควบคุม ส่วนเรื่องที่หอเซียนสรรพสิ่งจะมาหาเรื่องข้าหรือไม่ แล้วข้าจะต้องการความคุ้มครองจากตระกูลโจวหรือเปล่านั้น…”
“หากข้าต้องขายตัวเองให้กลุ่มอิทธิพลหนึ่งเพราะเรื่องแค่นี้เพื่อความคุ้มครอง เช่นนั้นวิถียุทธ์ของข้าก็คงฝึกมาเปล่าประโยชน์แล้ว” อี้อวิ๋นพูดแล้วก็มองไปที่จางจื้อหย่วนแวบหนึ่ง
ไม่มีว่าจะคุณชายโจวหรือคุณชายจางก็ไม่มีความหมายสำหรับอี้อวิ๋นแม้แต่น้อย
……………………………………………………..
บทที่ 1163 เทียบเชิญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้ากล้าดียังไงมาพูดเช่นนี้!” จางจื้อหย่วนโมโห อี้อวิ๋นพูดแบบนี้ก็เท่ากับตบหน้าเขาชัดๆ หมายความวิถียุทธ์ของจางจื้อหย่วนเสียเปล่า บอกว่าเขาขายตัวให้ตระกูลโจว จะให้จางจื่อหย่วนอดทนได้อย่างไร
อี้อวิ๋นไม่สนใจจางจื้อหย่วน เขารู้สึกตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าคนผู้นี้มีเจตนาความเป็นศัตรูกับเขา ใช้คำข่มขู่ตั้งแต่เริ่มพูด อี้อวิ๋นจะยืนหยัดเพียงลำพังได้หรือไม่ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเขาที่เป็นแขก
ตัวเองเป็นแขกแล้วอยากให้คนอื่นเป็นเหมือนตัวเอง เมื่อเจอแขกตระกูลเดียวกันที่มีความสามารถก็อิจฉา อี้อวิ๋นขี้เกียจแสร้งทำว่านอบน้อมและคล้อยตามต่อคนประเภทนี้
คุณชายป๋ายเฟิงมองอี้อวิ๋นด้วยสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย “ข้ามาเชิญชวนด้วยตัวเอง ทั้งยังพาคุณชายจางมาด้วย นับว่าแสดงความจริงใจให้เห็นแล้ว ปรมาจารย์อี้ดูถูกตระกูลโจวของพวกข้าหรือ?”
อี้อวิ๋นประสานมือพูดกับคุณชายป๋ายเฟิงว่า “หากคุณชายป๋ายเฟิงจะเข้าใจข้าแบบนี้ เช่นนั้นอี้อวิ๋นก็ไม่มีอะไรพูด ตอนนี้อี้อวิ๋นขอเป็นอิสระ ยังไม่อยากพึ่งพาผู้ใด ในเมื่อท่านทั้งสองไม่ได้มาหลอมโอสถ เช่นนั้นข้าต้องขอตัวปิดด่านฝึกตนก่อน เชิญพวกท่านกลับไปเถอะ”
แม้จะเพิ่งเคยเจอโจวป๋ายเฟิงเป็นครั้งแรก แต่ฟังจากที่ต่งเสี่ยวหวั่นบรรยายแล้วอี้อวิ๋นก็เดาได้ว่า โจวป๋ายเฟิงมาเชิญเขาเป็นแขกเพื่อยกระดับฐานะตัวเองในตระกูล
หากอี้อวิ๋นสวามิภักดิ์ต่อตระกูลโจวก็ย่อมนับว่าเป็นพรรคพวกสายตรงของโจวป๋ายเฟิง เมื่อโจวป๋ายเฟิงได้มรดกในอนาคตก็จะมีหมากในมือมากขึ้น อี้อวิ๋นฝึกวรยุทธ์มาถึงขั้นนี้ เขาจะยอมเป็นแขกให้คุณชายคนหนึ่งได้อย่างไร?
“ทั้งสองท่านได้ยินคำของคุณชายข้าแล้ว เชิญเจ้าค่ะ” ต่งเสี่ยวหวั่นพูด อี้อวิ๋นช่วยชีวิตนาง นางจึงฟังคำสั่งอี้อวิ๋นเท่านั้น
สีหน้าโจวป๋ายเฟิงดำจนจะหยดเป็นน้ำ “เช่นนั้นก็หวังว่าปรมาจารย์อี้จะไม่เสียใจภายหลัง เจ้าเป็นแค่ปรมาจารย์โอสถคนหนึ่งและมีศัตรูมากเกินไป ระวังจะเอาตัวไม่รอด”
คุณชายป๋ายเฟิงส่งเสียงเย็นๆ อย่างหนักเมื่อพูดจบแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
จางจื้อหย่วนมองอี้อวิ๋นอย่างเย็นชาเช่นกัน จากนั้นก็เดินตามคุณชายป๋ายเฟิงออกจากห้องหออวิ๋นซิน
“คุณชายป๋ายเฟิง อี้อวิ๋นผู้นี้ช่างไม่รับน้ำใจยิ่งนัก! เขาไม่เพียงไม่เห็นข้าในสายตา แต่ยังไม่เห็นคุณชายป๋ายเฟิงกับตระกูลโจวอยู่ในสายตาเช่นกัน” จางจื้อหย่วนหันไปมองป้ายร้านห้องหออวิ๋นซินและพูดว่า “เขาคงหยิ่งทะนงเพราะอาศัยว่าตัวเองรู้จักเทพธิดาอู๋เสีย ส่วนเทพอู๋เสียก็เป็นเด็กรุ่นหลังของเจ้าเมืองฉิน”
คุณชายป๋ายเฟิงยกมือให้จางจื้อหย่วนหยุดพูด “เป็นความจริงที่เขามีความสามารถ โลกนี้มีอัจฉริยะมากมายไปหมด แต่คนที่เติบโตขึ้นมาได้กลับมีไม่มาก”
“เขาเป็นปรมาจารย์โอสถระดับสูง อนาคตไร้ขีดจำกัด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนเช่นนี้มีประโยชน์ต่อกลุ่มอิทธิพลใหญ่กลุ่มหนึ่งมากเพียงใด ทั้งอี้อวิ๋นยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่มีกำลังต่อต้าน ในเมื่อเขาปฏิเสธตระกูลโจวของเรา เช่นนั้นก็ต้องมีกลุ่มอิทธิพลอื่นอยากดึงตัวเขาแน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะควบคุมได้ กลุ่มอิทธิพลไหนจะยอมให้อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาในอนาคตและไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกเขาเติบโตได้กัน? ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ล่วงเกินหอเซียนสรรพสิ่ง ข้าอยากรู้นักว่าเขาจะทำอย่างไร! กลับจวน!”
……
เพียงพริบตาก็ผ่านไปแล้วสิบวัน
สิบวันนี้อี้อวิ๋นเอาแต่ปิดด่านฝึกตนไม่รับแขก
ตัวอย่างจากโจวป๋ายเฟิงก่อนหน้านี้ทำให้อี้อวิ๋นเข้าใจว่า ตอนนี้กลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มในเมืองสรรพสิ่งพากันอยากดึงเขาไปเป็นแขกประจำบ้านตัวเอง
เพราะเขาไม่มีกำลังป้องกันตัวเอง กลุ่มอิทธิพลต่างๆ จึงมองเขาเป็นลูกแกะอ้วนตัวหนึ่ง แต่ละตระกูลอยากดึงเขาไปเป็นพวกตัวเอง บางกลุ่มอิทธิพลจะให้เขาลงนามสัญญาหลังจากที่เข้าร่วมด้วยซ้ำ
การลงนามสัญญาของจอมยุทธ์เกี่ยวพันไปถึงวิญญาณ แม้เงื่อนไขจะหละหลวมอี้อวิ๋นก็ไม่ยอมลงนามเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เขาจึงปิดร้านไม่ยอมพบหน้าดีกว่าต้องล่วงเกินทุกฝ่าย
สิบวันนี้มีคนจากจวนเสวียนหยาง ภูเขาเบญจธาตุและสำนักกระบี่โอสถหทัยพากันมาที่ห้องหออวิ๋นซิน แต่พวกเขาไม่แม้แต่จะได้พบอี้อวิ๋น พวกเขาด้อยกว่าโจวป๋ายเฟิงในด้านนี้
“คุณชาย เทพธิดาจื่ออวี่จากตระกูลกุยหยวนต้องการให้ท่านหลอมโอสถเจ้าค่ะ ตระกูลกุยหยวนเป็นกลุ่มอิทธิพลอันดับสองของเมืองสรรพสิ่งที่เป็นรองแค่หอเซียนสรรพสิ่ง เทพธิดาจื่ออวี่เป็นอัจฉริยะหญิงที่มีชื่อเสียงเช่นกัน แม้ชื่อเสียงของนางจะเทียบเทพธิดาโยวฉินไม่ได้แต่ก็ไม่ใช่เพราะด้อยกว่า แต่เพราะเทพธิดาโยวฉินบรรเลงฉินที่ตรอกสมบัติสวรรค์ ผู้คนที่รู้จักนางจึงย่อมมีมาก แต่เทพธิดาจื่ออวี่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในตระกูลกุยหยวน น้อยมากที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน คนที่รู้จักนางจึงย่อมน้อย คุณชายอี้ ท่านเห็นว่า…”
ต่งเสี่ยวหวั่นพูดอย่างระมัดระวัง ความจริงอี้อวิ๋นสั่งนางไว้ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนจากกลุ่มอิทธิพลใดก็ไม่พบทั้งนั้น แต่เทพธิดาจื่ออวี่ไม่เหมือนคนอื่น สถานะของนางสูงกว่าโจวป๋ายเฟิงมาก ทั้งยังเป็นคนของตระกูลกุยหยวน กลุ่มอิทธิพลในเมืองสรรพสิ่งที่มีคุณสมบัติให้แข่งขันกับหอเซียนสรรพสิ่งก็มีแค่ตระกูลกุยหยวน
ในฐานะที่เทพธิดาจื่ออวี่เป็นอัจฉริยะหญิงของตระกูลกุยหยวน การที่นางเป็นฝ่ายมาพบอี้อวิ๋นด้วยตัวเองก็เป็นเรื่องที่คุณชายหลายคนปรารถนา ดังนั้นหลังจากที่ต่งเสี่ยวหวั่นคิดไปคิดมาแล้วจึงมารายงานอี้อวิ๋น
“เทพธิดาจื่ออวี่? ตระกูลกุยหยวนหรือ?” อี้อวิ๋นลูบคางแล้วถามต่งเสี่ยวหวั่น “เสี่ยวหวั่น ตระกูลกุยหยวนกับหอเซียนสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน?”
“เรียนคุณชาย ทุกกลุ่มอิทธิพลต่างแย่งชิงผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน แม้ภายนอกจะดูเป็นมิตร แต่ความเป็นจริงก็ย่อมไม่ใช่แบบนั้น”
……
ด้านนอกห้องหออวิ๋นซินในเวลานี้ รถม้าสีขาวหยกคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตู ตัวรถม้าดูอ่อนโยนแวววาวและงดงามประณีต ม้าที่ทำหน้าที่ลากรถเป็นม้าเขาเดียวเลือดบริสุทธิ์ขนสีหิมะสี่ตัว ม้าเขาเดียวมีปีกคู่หนึ่งงอกบนหลัง พวกมันยืนอย่างนิ่งสงบมาก
“คุณหนู ได้ยินว่าไม่ว่าจะคนจากกลุ่มอิทธิพลใดก็โดนอี้อวิ๋นปฏิเสธ ช่างทะนงตนยิ่งนัก!”
“แต่คุณหนูไม่เหมือนคนอื่น ท่านเป็นเทพธิดาของเมืองสรรพสิ่ง ไม่รู้มีคุณชายมากเท่าไรที่อยากจับชายกระโปรงท่านแต่ก็ไม่มีโอกาส ครั้งนี้คุณหนูมาห้องหออวิ๋นซินด้วยตัวเอง อี้อวิ๋นคงดีใจจนน้ำตาไหลและออกมาพบคุณหนูอย่างเกรงกลัว เป็นโชคดีของเขาที่จะได้เป็นแขกประจำตระกูลกุยหยวน เพราะทั้งเมืองสรรพสิ่งแล้วก็มีแค่ตระกูลกุยหยวนของเราที่สู้หอเซียนสรรพสิ่งได้”
ในลดม้ามีหญิงสาวอยู่สองคน เด็กสาวที่แต่งตัวเหมือนสาวใช้กำลังพูดกับคุณหนูชุดกระโปรงม่วงที่อยู่ด้านข้าง
สาวน้อยชุดม่วงยิ้มบางๆ ผิวพรรณนางเกลี้ยงเกลา รูปร่างอรชร ใบหน้าประณีตงดงาม ดวงตาทั้งสองเหมือนมีน้ำพุ เมื่อชายตามองก็ทำให้ทุกอย่างรอบด้านไร้สีสัน รอยยิ้มบางๆ ของนางนี้ยิ่งเปล่งประกาย
“เก็บคำพูดสวยหรูพวกนี้ไว้เถอะ เจ้านี่นะ อยู่กับข้าแต่กลับไม่เรียนรู้อะไรเลย” สาวน้อยชุดม่วงจิ้มนิ้วไปที่หน้าผากสาวใช้เบาๆ “แต่…ตระกูลกุยหยวนของเราก็เป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของอี้อวิ๋นจริงๆ เขาปฏิเสธตระกูลโจว จวนเสวียนหยาง ภูเขาเบญจธาตุและสำนักกระบี่โอสถหทัย คงจะรอตระกูลกุยหยวนของเราเพื่อได้ข้อเสนอที่ดีที่สุด”
“วิธีเช่นนี้ก็นับว่าชาญฉลาด ครั้งนี้ข้าขอจากท่านผู้อาวุโสเพื่อมาพบเขาด้วยตัวเอง ถือว่าให้เกียรติเขาไม่น้อย ท่านอาวุโสอนุญาตให้ข้าเปลี่ยนแปลงสัญญาบางอย่างให้เงื่อนไขคลายลงเช่นกัน”
“คิกคิก คุณหนูเห็นทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ที่แท้อี้อวิ๋นก็กำลังรอข้อเสนอที่ดีที่สุดนี่เอง ข้าคิดว่าเขาหยิ่งทะนงจนไร้เหตุผลเสียอีก ดูซิว่าครั้งนี้เขาต้อนรับคุณหนูแล้วจะกล้าทะนงตนอีกหรือเปล่า” สาวใช้ยิ้มหน้าบาน นางเพิ่งพูดจบ ประตูห้องหออวิ๋นซินก็เปิดออก
สาวใช้เห็นต่งเสี่ยวหวั่นเดินเข้ามาอย่างสุภาพและโค้งคำนับให้รถม้าเบาๆ นางรู้จักต่งเสี่ยวหวั่น ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าติดอันดับอัจฉริยะหญิง แต่แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับคุณหนูของนางก็ห่างชั้นอีกไกล
สาวใช้เลิกม่านประตูรถม้าออกอย่างสง่างาม นางมองลงไปที่ต่งเสี่ยวหวั่นพร้อมกับพูดเรียบๆ ว่า “คุณชายพวกเจ้าว่าอย่างไร?”
ต่งเสี่ยวหวั่นพูดว่า “คุณชายยังคงปิดด่านฝึกตน ขออภัยที่ไม่อาจพบเทพธิดาจื่ออวี่”
“หืม?”
สาวน้อยชุดม่วงในรถม้าตกใจเบาๆ นางไม่พูดอะไร ทว่าสาวใช้ตรงหน้านางกลับโมโห นางขมวดคิ้วพูดว่า “อะไรนะ? ยังปิดด่านฝึกตนอยู่? อย่ามาหลอกกันเสียให้ยาก!”
“เจ้าใจกล้ามากจริงๆ คุณหนูของพวกข้ารออยู่ด้านหน้า เจ้ามีคุณสมบัติอะไร…”
“พอได้แล้ว” สาวน้อยชุดม่วงในรถม้าพูดตัดบทสาวใช้ของนาง นางเองก็ขมวดเบาๆ เช่นกัน คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ตระกูลกุยหยวนก็ถูกอี้อวิ๋นปฏิเสธ สาเหตุที่ใช้ปฏิเสธก็ไม่ต่างจากที่ใช้กับคนอื่นเลย
อี้อวิ๋นผู้นี้ไม่อยากสนใจกลุ่มอิทธิพลใดในเมืองสรรพสิ่งจริงๆ แต่เหตุใดเขาไม่คิดบ้างว่าด้วยภูมิหลังและรากฐานของเขาแล้วจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ ตอนแรกข้าคิดว่าเขากำลังรอข้อเสนอที่ดีที่สุดจึงคิดว่าพอมีฝีมือ คิดไม่ถึงว่าจะไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ คิดว่าตัวเองอยู่นอกกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ได้เพียงลำพังและกลายเป็นคนแบบเจ้าเมืองฉินหรือ? ในเมื่อเขาไม่พบก็ช่างเถอะ พวกเรากลับจวน”
ในเมื่อสาวน้อยชุดม่วงพูดแบบนี้ สาวใช้จึงได้แต่ปล่อยม่านลงอย่างโกรธเคือง
ภาพที่รถม้าหยกขาวเคลื่อนตัวออกจากห้องหออวิ๋นซินถูกใครหลายคนเห็น พวกเขาย่อมรู้ว่าคนบนรถม้าคือใคร
“ไม่ธรรมดาจริงๆ แม้แต่เทพธิดาจื่ออวี่จากตระกูลกุยหยวนยังปฏิเสธ หากเป็นข้าก็คงตอบตกลงไปนานแล้ว”
“ฮ่าฮ่า เจ้าเลิกฝันกลางวันเถอะ แต่จะว่าไปแล้วสถานการณ์ตอนนี้ของอี้อวิ๋นก็ไม่ดีเลย เขาล่วงเกินหอเซียนสรรพสิ่ง ทั้งยังถูกกลุ่มอิทธิพลจำนวนมากเฝ้าดู หยกล้ำค่าชิ้นหนึ่งตกอยู่กลางถนน ใครจะไม่อยากเก็บบ้างเล่า? หากเอาแต่ต่อต้านไม่ย่อมให้เก็บก็คงต้องเกิดเรื่องแล้ว”
แรดถูกฆ่าเพราะเขา ช้างถูกฆ่าเพราะงา หากตัวเองมีค่าสูงเกินไปและไม่อาจป้องกันตัวเองก็อาจถูกจับไปหลอมโอสถโดยเฉพาะก็เป็นไปได้
เวลาผ่านไปอีกสองสามวัน กลุ่มอิทธิพลทั้งสิบของเมืองสรรพสิ่งมาที่ห้องหออวิ๋นซินเกินครึ่ง ทว่าทั้งหมดก็ถูกปฏิเสธให้กลับไป
ขณะที่หรูเอ๋อร์กำลังมองถนนอย่างเหม่อลอยในวันนี้ ทันใดนั้นตรงหน้านางก็พร่ามัว ชายชราผู้หนึ่งปรากฏขึ้น
“แม่นางน้อย นี่คือเทียบเชิญที่ท่านเจ้าเมืองให้นำมามอบแด่คุณชายอี้” ชายชรายิ้มบางๆ แล้วนำเทียบเชิญแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้หรูเอ๋อร์
หรูเอ๋อร์รีบรับทันทีเมื่อได้ยินว่าเป็นเทียบเชิญของเจ้าเมืองฉิน “ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ ข้าจะนำไปมอบให้คุณชายเดี๋ยวนี้”
“หืม? เทียบเชิญของท่านเจ้าเมืองฉินหรือ? คงจะเป็นงานบรรเลงฉิน…”
ตอนที่หลอมโอสถเสร็จสิ้นเมื่อตอนนั้น เจ้าเมืองฉินได้เชิญให้เขาเข้ารวมงานบรรเลงฉินที่จะจัดในจวนเมืองในอีกครึ่งเดือน นับแล้ววันนี้ก็ครบครึ่งเดือนพอดี
คิดไม่ถึงว่าท่านเจ้าเมืองฉินจะส่งคนมามอบเทียบเชิญ อี้อวิ๋นยิ้มบางๆ แล้วหันไปพูดกับหรูเอ๋อร์ “ตามข้าไปจวนเจ้าเมือง”
……………………………………
บทที่ 1164 ซืออวี้เซิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ข่าวเรื่องที่จวนเจ้าเมืองจะจัดงานบรรเลงฉินเป็นที่รับรู้ของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในเมืองสรรพสิ่งอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนรู้ว่าเทพธิดาโยวฉินกับเทพธิดาอู๋เสียจะปรากฏตัวในงาน
ตอนที่อยู่ตรอกสมบัติสวรรค์ของสำนักอภิรมย์เมื่อตอนนั้น การบรรเลงกู่ฉินของเทพธิดาทั้งสองกลายเป็นการประลองอันเลิศล้ำ ผู้คนที่โชคดีได้เห็นต่างพูดคุยเรื่องนี้ไม่หยุด ส่วนคนที่ไม่ได้ดูก็รู้สึกเสียดาย
วันนี้จะได้เห็นการประลองของยอดอัจฉริยะหญิงทั้งสองในงานบรรเลงฉินอีกครั้ง
กลุ่มอิทธิพลที่ได้รับเทียบเชิญต่างมาเด็กรุ่นเยาว์มาด้วยจำนวนมาก ความจริงนี่ก็ไม่ใช่แค่งานบรรเลงฉินของเทพธิดาอู๋เสียกับเทพธิดาโยวฉิน แต่เป็นงานชุมนุมของอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ด้วยเช่นกัน
ในฐานะที่อี้อวิ๋นเป็นอัจฉริยะปรมาจารย์โอสถที่กำลังมีชื่อเสียงในช่วงนี้ ทั้งยังเป็นสหายของเทพธิดาอู๋เสีย เรื่องที่เขาจะถูกเจ้าเมืองฉินเชิญมาด้วยจึงอยู่ในความคาดการณ์ของใครหลายคน
เหนือทะเลสาบคันฉ่องในจวนเจ้าเมือง เรือประดับขนาดยักษ์หลายสิบลำลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำ บนเรือประดับลำที่ใหญ่ที่สุดมีแท่นยกสูง เจ้าเมืองฉินนั่งอยู่บนแท่นนี้
เรือลำหนึ่งมีนักดนตรีฉินสิบกว่าคนคอยบรรเลงเพลง เหนือทะเลสาบมีนักเริงระบำร้อยกว่าคนร่ายรำ
สายลมพัดเบาๆ ผิวน้ำสั่นกระเพื่อม ภาพนี้เป็นดั่งภาพบนสวรรค์
หรูเอ๋อร์เพิ่งเคยมางานเลี้ยงแบบนี้เป็นครั้งแรก นางเดินตามหลังอี้อวิ๋น ดวงตามองไปรอบด้านอย่างสงสัย
ต่งเสี่ยวหวั่นตามอยู่ด้านหลังอี้อวิ๋นเช่นกัน เดิมทีนางก็เป็นคนสง่างาม เมื่อปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตาคนไม่น้อย
แต่หลังจากที่ทุกคนมองนางแล้วก็เคลื่อนสายตาไปยังอี้อวิ๋นที่อยู่ข้างหน้า
“เขาก็คืออี้อวิ๋น”
“ปรมาจารย์อี้ผู้นี้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยจริงๆ แต่เพราะเขายังอายุน้อยจึงได้หยิ่งทะนง”
“คิดไม่ถึงว่าเขากล้ามาร่วมงานบรรเลงฉินในวันนี้ด้วย ได้ยินว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ล่วงเกินกลุ่มอิทธิพลของเมืองสรรพสิ่งไปจำนวนไม่น้อย งานบรรเลงฉินในวันนี้ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขา”
หรูเอ๋อร์รู้สึกไม่สบายใจมากเมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์
“คุณชาย…”
“ไม่เป็นไร” อี้อวิ๋นกวาดตามองคนเหล่านั้นแวบหนึ่ง เขาย่อมรู้ว่าด้วยฐานะของเขาแล้ว หากไม่เข้าร่วมกับกลุ่มอิทธิพลใดในเมืองสรรพสิ่งก็มีแต่จะถูกกลุ่มอิทธิพลเหล่านั้นร่วมมือกันกดดัน อย่างเช่นงานบรรเลงฉินในวันนี้ที่มีคนเป็นมิตรกับเขาไม่มากนัก
และตอนนี้เองที่อี้อวิ๋นได้พบกับคนคุ้นเคย
“คุณชายอี้ เราพบหน้ากันอีกแล้ว” ผู้พูดคือโจวป๋ายเฟิง ข้างกายเขาคือจางจื้อหย่วน
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนถูกอี้อวิ๋นหักหน้า ตอนนี้ได้พบกันอีกครั้ง โจวป๋ายเฟิงยังนับว่าท่าทีดี แต่แววตาของจางจื้อหย่วนกลับไม่ปิดบังความเย็นชาแม้แต่น้อย ภายในถึงขั้นมีจิตสังหารแฝงอยู่
จางจื้อหย่วนลูบมือไปที่ด้ามกระบี่เงียบๆ เขาย่อมไม่อาจชักกระบี่ในจวนเจ้าเมือง ทว่านี่เป็นการแสดงพลังอย่างหนึ่ง “อี้อวิ๋น ข้าอยากสั่งสอนเจ้ามากจริงๆ สอนให้เจ้ารู้ว่าแม้ปรมาจารย์โอสถจะมีสถานะสูงศักดิ์ในเมืองสรรพสิ่ง แต่กลุ่มอิทธิพลที่ปกครองเมืองสรรพสิ่งที่แท้จริงนั้นใช้ความแข็งแกร่ง”
จางจื้อหย่วนพูดเรียบๆ เขามีตระกูลโจวหนุนหลัง ไม่กลัวที่จะมีเรื่องกับอี้อวิ๋น
โจวป๋ายเฟิงทำแค่ยิ้มให้กับคำพูดยุแหย่ของจางจื้อหย่วนแต่ไม่ห้ามปรามอะไร ในตอนนี้เองที่เสียงสตรีอันไพเราะส่งเข้ามา…
“เจ้าคงเป็นคุณชายอี้สินะ วันนี้จื่ออวี่เพิ่งเคยพบคุณชายอี้เป็นครั้งแรก คราวก่อนที่ไปห้องหออวิ๋นซินก็พบว่าคุณชายกำลังปิดด่านฝึกตนพอดี”
สาวน้อยชุดม่วงคนหนึ่งเดินเข้ามาช้าๆ นางคือเทพธิดาจื่ออวี่จากตระกูลกุยหยวน
เมื่อเทพธิดาจื่ออวี่ปรากฏ แม้แต่ต่งเสี่ยวหวั่นก็ดูด้อยลงไปทันที ความจริงสาวน้อยก็งดงามจนยากจะเปรียบเทียบว่าใครเหนือกว่า ด้วยเหตุนี้จึงวัดกันที่คุณสมบัติเฉพาะตัว คุณสมบัติเฉพาะตัวของเทพธิดาจื่ออวี่เป็นดังสายฝนสีม่วงที่พัดเข้าหน้าตามลมเหมือนหมอกเหมือนควัน
“ต้องขอโทษเทพธิดาจื่ออวี่ด้วยจริงๆ ก่อนหน้าข้าปิดด่านฝึกตนนานเกินไป เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่านเทพธิดาในวันนี้”
อี้อวิ๋นประสานมือพูดด้วยรอยยิ้ม แม้อี้อวิ๋นจะไม่สนใจคำเชิญชวนของตระกูลกุยหยวน แต่หากอีกฝ่ายสุภาพกับเขา เช่นนั้นภายนอกแล้วอี้อวิ๋นก็จะไม่เป็นฝ่ายพูดไร้มารยาทกับใคร
“เทพธิดาจื่ออวี่ ข้าต้องขอตัวก่อน ข้าต้องไปทำความเคารพแด่ท่านเจ้าเมืองฉิน”
ขณะที่อี้อวิ๋นพูดก็เดินผ่านห้องโถงแล้วบินไปยังเรือประดับที่อยู่ตรงกลางที่สุด
“ท่านเจ้าเมืองฉิน” อี้อวิ๋นโค้งตัวคำนับให้เจ้าเมืองฉิน
จากนั้นก็มองไปยังองค์หญิงจิ้งจอกขาวที่อยู่ด้านข้าง “เทพธิดาอู๋เสีย”
องค์หญิงจิ้งจอกขาวกอดกู่ฉินไว้ในอก นางยิ้มให้อี้อวิ๋นบางๆ พร้อมกับพยักหน้า
“ฮ่าฮ่า อี้อวิ๋น เจ้ามาสายถึงเพียงนี้ มาๆๆ ข้าขอลงโทษด้วยการดื่ม” เจ้าเมืองฉินหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
ตอนนี้ทุกคนต่างพุ่งความสนใจมาที่อี้อวิ๋น พวกเขาคิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นมาสถานที่แบบนี้แล้วยังกล้าทำตัวเช่นนี้อีก
“เจ้าเด็กนี่ไม่เกรงกลัวอะไรเพราะอาศัยว่าตัวเองอยู่ในจวนเจ้าเมือง” จางจื้อหย่วนมองอี้อวิ๋นบินไปยังเรือประดับแล้วก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เขาต้องติดตามคุณชายป๋ายเฟิงจึงจะเข้างานเลี้ยงได้แต่ก็ไม่มีสิทธิไปทักทายเจ้าเมืองฉิน ส่วนเงาร่างอันงดงามที่อยู่ข้างกายเจ้าเมืองฉินก็เข้าใกล้แม้แต่น้อยไม่ได้เช่นกัน
อี้อวิ๋นประสานมือหัวเราะแล้วดื่มสุรา ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไร จู่ๆ เจ้าเมืองฉินก็ขมวดคิ้วเบาๆ
“หืม? คนของหอเซียนสรรพสิ่ง พวกเขาก็มาด้วยเช่นกัน…”
ขณะที่เจ้าเมืองฉินกำลังพูด กลางประตูหลักก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
คนที่เดินนำหน้าคือจั่วชิวปั๋ว
ข้างกายจั่วชิวปั๋วมีชายหน้าตาเหมือนเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ชายคนนี้สวมเสื้อผ้าสีขาว ผมสีดำปล่อยตรงอย่างอิสระ ด้านหลังสะพายกระบี่ยาวหนึ่งเล่ม
คนกลุ่มนี้บินตัวขึ้นเรือประดับลำหนึ่งอย่างสบายๆ แล้วนั่งลง ชายหนุ่มผมยาวผู้นี้ยกจอกสุราขึ้นจากโต๊ะและทักทายเจ้าเมืองฉินจากไกลๆ “ท่านเจ้าเมืองฉิน ข้าน้อยซืออวี้เซิง ขอคารวะท่านหนึ่งจอก”
ซืออวี้เซิง?
อี้อวิ๋นไม่รู้จักคนผู้นี้ ต่งเสี่ยวหวั่นพูดอยู่ข้างอี้อวิ๋นว่า “คุณชาย ซืออวี้เซิงคือผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขรุ่นต่อไปของหอเซียนสรรพสิ่ง ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในหอเซียนสรรพสิ่งคือตระกูลซือ ตระกูลจั่วชิวเป็นแขกประจำบ้านของตระกูลซือตั้งแต่ยุคเริ่มแรก ต่อมาตระกูลซือได้มีบุคคลผู้เป็นเอกถือกำเนิดจึงค่อยๆ ร่ำรวยและก่อตั้งหอเซียนสรรพสิ่ง ประมุขทุกรุ่นล้วนเป็นทายาทสายตรงของตระกูลซือ ส่วนตระกูลจั่วชิวก็ค่อยๆ กลายเป็นตระกูลใหญ่อันดับสองของหอเซียนสรรพสิ่ง ถูกดึงเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจ แต่ความจริงแล้วตระกูลจั่วชิวเฟื่องฟูได้ก็เพราะพึ่งพาตระกูลซือ”
อี้อวิ๋นพยักหน้า ดูจากแค่ท่าทีที่จั่วชิวปั๋วมีต่อชายชุดขาวผู้นี้ก็ต่างจากที่มีต่อจั่วชิวเฮ่าอวี้ จั่วชิวเฮ่าอวี้เป็นแค่คุณชายคนหนึ่งของหอเซียนสรรพสิ่ง แต่ชายชุดขาวผู้นี้กลับเป็นถึงผู้สืบทอดตำแหน่งประมุข
‘คนที่อยู่ข้างเจ้าเมืองฉินก็คืออี้อวิ๋นที่ตัดแขนจั่วชิวเฮ่าอวี้ วิชาหลอมโอสถของเขาเลิศล้ำมาก’ จั่วชิวปั๋วส่งเสียงพูดข้างหูซืออวี้เซิง
‘เป็นเขานี่เอง เฮ่าอวี้เติบโตด้วยกันกับข้ามาตั้งแต่เล็ก เป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ เรื่องของเฮ่าอวี้ก็คือเรื่องของข้า อี้อวิ๋นเป็นปฏิปักษ์กับหอเซียนสรรพสิ่งของเราเพราะอาศัยการสนับสนุนจากฉินเจิ้งหยาง หากปล่อยเรื่องนี้ให้จบไป เช่นนั้นใครๆ ก็คงรังแกหอเซียนสรรพสิ่งได้ คนอื่นจะคิดว่าพวกเรากลัวฉินเจิ้งหยาง’
‘เจ้าดูคนพวกนั้น พวกเขารอที่จะเป็นปฏิกิริยาของเรากันหมด ข้ารู้ว่านอกจากตระกูลโจวแล้ว เทพธิดาจื่ออวี่จากตระกูลกุยหยวนก็ถูกอี้อวิ๋นปฏิเสธไม่พบหน้าเช่นกัน’ ซืออวี้เซิงพูดอย่างเย็นยะเยือก
แม้เจ้าเมืองฉินจะรินสุราให้กับการคารวะของซืออวี้เซิงแต่ก็ไม่ได้ดื่มทันที เขาทำแค่มองซืออวี้เซิงแล้วพูดช้าๆ ว่า “คุณชายซือมาพบข้าก็ย่อมดีใจ แต่เหมือนข้าจะจำได้ว่าไม่ได้ส่งคำเชิญให้คุณชาย?”
เพราะเชิญอี้อวิ๋นมาร่วมงานบรรเลงฉินนี้ ตอนที่เจ้าเมืองฉินส่งเทียบเชิญก่อนหน้านี้จึงไม่ส่งให้หอเซียนสรรพสิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้สองฝ่ายพบกันแล้วต้องกระอักกระอ่วนใจ
ทว่าการที่ซืออวี้เซิงมาโดยไม่รับเชิญทำให้เจ้าเมืองฉินรู้สึกถึงบรรยากาศความเป็นศัตรูที่รุนแรง
“ฮ่าฮ่า เป็นความจริงที่ท่านเจ้าเมืองฉินไม่ได้ส่งเทียบเชิญให้ข้าน้อย ความจริงเป็นแบบนี้ขอรับ เมื่อคืนนี้ข้าน้อยเจอคุณชายอู๋เฟิงที่วังเซียนสรรพสิ่ง คุณชายอู๋เฟิงเป็นคนเชิญข้าน้อยให้มาร่วมงาน”
หืม?
เจ้าเมืองฉินขมวดคิ้วเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของซืออวี้เซิง ฉินอู๋เฟิงคือลูกชายของเขา ทั้งยังเป็นลูกชายที่ไม่ได้ความ
ส่วนวังเซียนสรรพสิ่งก็คือสถานที่เริงรมย์แห่งหนึ่งเหมือนตรอกสมบัติสวรรค์ของหอเซียนสรรพสิ่ง แต่เพราะวังเซียนสรรพสิ่งเปิดกิจการอยู่นอกเมืองสรรพสิ่ง ไม่ถูกควบคุมโดยกฎของทางเมือง ด้วยเหตุนี้จอมยุทธ์จึงเสพสุข ก่อความวุ่นวาย ข่มเหงทาสหญิง พนันและใช้โอสถมัวเมาได้อย่างตามใจ… ขอเพียงมีเงินอักขระก็ปลดปล่อยด้านมืดในใจได้อย่างเต็มที่
เจ้าเมืองฉินจะสบายใจที่รู้ว่าลูกชายตัวเองไปวังเซียนสรรพสิ่งได้อย่างไร
ในตอนนี้เองที่ซืออวี้เซิงกลายเป็นเงาสายหนึ่งแล้วมาปรากฏบนเรือประดับที่เจ้าเมืองฉินอยู่และอยู่ด้านหลังอี้อวิ๋น
มุมปากคุณชายป๋ายเฟิงยกขึ้นเล็กน้อยด้วยสีหน้าราวกับดูเรื่องสนุกเมื่อเห็นซืออวี้เซิงปรากฏตัว
“คราวนี้คงมีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว”
ไม่ใช่แค่คุณชายป๋ายเฟิง เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ที่ถูกอี้อวิ๋นปฏิเสธพากันมีสีหน้าดีใจในโชคร้ายของผู้อื่นเมื่อเห็นว่าซืออวี้เซิงกับอี้อวิ๋นอยู่บนเรือลำเดียวกัน
ซืออวี้เซิงไม่เหมือนจั่วชิวเฮ่าอวี้ เขายุ่งเกี่ยวด้านการผูกมิตรกับคนอื่นน้อยมากแต่กลับมีชื่อเสียงโด่งดัง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเร็วในการฝึกยุทธ์อันรวดเร็วของเขา พรสวรรค์อันน่าตื่นตะลึงและตำแหน่งผู้สืบทอดคนต่อไปของหอเซียนสรรพสิ่ง!
ซืออวี้เซิงเป็นคนทะเยอทะยาน ทั้งยังเผด็จการเล็กน้อยด้วยซ้ำ ไม่ว่าใครที่มีเรื่องกับเขาต่างก็ต้องจ่ายราคาแสนสาหัสทั้งสิ้น
ทุกคนไม่สงสัยเลยว่าหากที่นี่ไม่ใช่เมืองสรรพสิ่ง ซืออวี้เซิงก็คงลงมือสังหารอี้อวิ๋นไปแล้ว
แต่แน่นอนว่าที่นี่คือจวนเจ้าเอง ซืออวี้เซิงคงไม่ทำอะไรอี้อวิ๋นต่อหน้าท่านเจ้าเมืองฉิน
เจ้าเมืองฉินขมวดคิ้วเบาๆ เมื่อเห็นซืออวี้เซิงขึ้นมาบนเรือ คนผู้นี้มาด้วยเจตนาไม่ดี
อี้อวิ๋นหันตัวกลับไปมอง เขารู้ว่าคนผู้นี้มาเพราะเขา
แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรได้ในงานวันนี้
“เจ้าคืออี้อวิ๋นสินะ?” ซืออวี้เซิงมองอี้อวิ๋นด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “วันนั้นเจ้าตัดแขนจั่วชิวเฮ่าอวี้จนหอเซียนสรรพสิ่งของข้าเสียหน้าอย่างหนัก ข้าควรคิดบัญชีนี้กับเจ้าให้ดี”
“เจ้าจะคิดยังไง?” อี้อวิ๋นเลิกคิ้วขึ้น ตอนนี้พวกเขาอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองฉิน หรือจะให้ลงมือสู้กัน?
“ความจริง ด้วยความเคยชินปกติของข้าแล้ว คนที่ล่วงเกินหอเซียนสรรพสิ่งเช่นเจ้าจะถูกข้าจับตัวไปขังในคุกใต้ดินของหอเซียนสรรพสิ่งและทรมานจนตาย”
ซืออวี้เซิงเปลี่ยนน้ำเสียงเมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาพูดต่อว่า “แต่…ข้าก็นับถือคนมีความสามารถเช่นกัน พรสวรรค์ของคุณชายอี้ทำให้ข้านับถือ ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เจ้าเมืองฉินก็อยู่ที่นี่ เพื่อเห็นแก่หน้าเจ้าเมืองฉินแล้วข้าก็มีวิธีที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายอยู่วิธีหนึ่ง”
……………………………………
บทที่ 1165 ยอมรับความพ่ายแพ้และทำตามเดิมพัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“วิธีอะไร?” เสียงของฉินเจิ้งหยางเย็นชา ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าเมืองสรรพสิ่งจึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าซืออวี้เซิง วันนี้อี้อวิ๋นเป็นแขกที่เขาเชิญมา ต่อให้ไม่ความสัมพันธ์กับองค์หญิงจิ้งจอกขาว ฉินเจิ้งหยางก็ไม่ยอมให้อี้อวิ๋นตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอยู่แล้ว เพราะหากเรื่องนี้แพร่ออกไปเขาจะเป็นเจ้าเมืองได้อย่างไร?
“ฮ่าฮ่า ท่านเจ้าเมืองฉินกำลังปกป้องเด็กรุ่นเยาว์หรือ วางใจเถอะ แม้ข้าจะไม่ค่อยไว้หน้าใครแต่ก็ยกเว้นสำหรับบางคน มีหรือที่ข้าจะไม่ไว้หน้าท่านเจ้าเมืองฉิน? อีกอย่างคุณชายอี้ก็เป็นอัจฉริยะ ก่อนหน้านี้มีความเข้าใจผิดเล็กน้อยกับเฮ่าอวี้ แม้ตอนนี้เรื่องราวจะผ่านพ้นไปแล้วแต่ก็เกี่ยวข้องถึงหอเซียนสรรพสิ่ง ข้าจำเป็นต้องออกมาจัดการ ท่านเจ้าเมืองฉินโปรดวางใจ วิธีแก้ปัญหาที่ข้าเสนอเป็นเรื่องดีสำหรับคุณชายอี้เช่นกัน”
ขณะที่ซืออวี้เซิงพูดก็มีแสงสีสองกระพริบผ่านที่มือ ม้วนกระดาษสีทองแผ่นหนึ่งปรากฏในมือซืออวี้เซิงแล้วลอยในอากาศ
ม้วนกระดาษค่อยๆ คลี่ออก ด้านบนเต็มไปด้วยลายวิถีที่มีแสงรุ่งโรจน์ ดูแล้วลึกลับมหัศจรรย์
ซืออวี้เซิงพูดว่า “นี่คือสัญญาผูกวิญญาณที่เตรียมไว้ให้คุณชายอี้ เฮ่าอวี้ทำผิดก็จริง แต่บทลงโทษที่มีต่อเขาก็รุนแรงเกินไป คุณชายอี้ต้องรับผิดชอบต่อหอเซียนสรรพสิ่ง!”
“สัญญาตัวนี้มีเนื้อหาสองส่วน ส่วนแรกคือหากคุณชายอี้ตอบตกลงก็ห้ามเป็นศัตรูกับหอเซียนสรรพสิ่งไปชั่วชีวิต ขอเพียงศิษย์หอเซียนสรรพสิ่งไม่เป็นฝ่ายล่วงเกินคุณชายก่อน เช่นนั้นคุณชายอี้ก็ห้ามลงมือกับศิษย์คนใดทั้งนั้น”
“ส่วนที่สองคือคุณชายอี้ต้องรับใช้หอเซียนสรรพสิ่งเป็นเวลาหกร้อยปี หลังจากนั้นจะไปหรืออยู่ต่อก็เป็นอิสระของท่าน ในเวลาหกร้อยปีนี้หอเซียนสรรรพสิ่งจะมอบทรัพยากรสำหรับฝึกฝนให้คุณชายอี้แบบเดียวกับที่ปฏิบัติต่อศิษย์คนสำคัญและผู้อาวุโส รวมไปถึงวัตถุดิบหลอมโอสถด้วยเช่นกัน แต่หากหอเซียนสรรพสิ่งต้องการโอสถอะไรก็ต้องรบกวนให้คุณชายอี้ช่วยหลอมโดยห้ามบ่ายเบี่ยง ดังนั้น…ในเวลาหกร้อยปีนี้คุณชายอี้ไม่อาจออกจากเมืองสรรพสิ่งได้ตามใจ หากจะไปไหนก็ต้องขออนุญาตจากสภาผู้อาวุโส”
“เพียงแค่คุณชายอี้ลงนาม ความบาดหมางระหว่างเราทั้งหมดก็จะถือว่าเลิกแล้วต่อกัน!”
สัญญาฉบับนี้ลอยมาหาอี้อวิ๋นในขณะที่ซืออวี้เซิงกำลังพูด
พวกโจวป๋ายเฟิงกับจางจื้อหย่วนได้ยินเนื้อหาของสัญญานี้แล้วก็ผิดหวังเล็กน้อย นี่ไม่นับเป็นบทลงโทษสำหรับอี้อวิ๋นด้วยซ้ำ
ไม่ต้องพูดถึงเงื่อนไขข้อแรก มันไม่นับเป็นการควบคุมอี้อวิ๋น
ส่วนเงื่อนไขข้อที่สอง แม้มันอาจเป็นการลงโทษเล็กๆ น้อยๆ สำหรับอี้อวิ๋น แต่สำหรับหลายคนแล้วก็เป็นเรื่องปรารถนา ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกับผู้อาวุโสของหอเซียนสรรพสิ่ง มีวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถตระเตรียมไว้พร้อม ต้องบอกก่อนว่าการฝึกของปรมาจารย์โอสถจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมหาศาล เมื่อหลอมโอสถล้มเหลวก็จะเสียเงินก้อนโต แต่หากไม่ลองหลอมโอสถเลยก็ไม่อาจพัฒนาระดับการหลอมโอสถของตัวเอง
แม้จะมีการจำกัดอิสรภาพเล็กน้อย แต่เทียบกับประโยชน์ที่ได้รับแล้วก็พออดทนได้
เทพธิดาจื่ออวี่ขมวดคิ้วเช่นกันเมื่อได้ยินคำของซืออวี้เซิง เงื่อนไขที่ซืออวี้เซิงเสนอดีกว่าของตระกูลกุยหยวนมาก เช่นนั้นหากจะดึงดูดอี้อวิ๋นก็มีแต่ต้องเพิ่มแต้มต่อ
“ดูแล้วซืออวี้เซิงคงยับยั้งตัวเองเล็กน้อยเช่นกัน วิธีเช่นนี้ทั้งได้รักษาหน้าหอเซียนสรรพสิ่ง ทั้งได้ปรมาจารย์โอสถมาหนึ่งคน เป็นประโยชน์ครั้งใหญ่สำหรับหอเซียนสรรพสิ่ง”
มีคนบนเรือประดับพูดคุยกันเสียงเบา ทว่าพวกเขาคิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นจะส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ขออภัยที่ข้าไม่อาจตอบตกลงกับเงื่อนไขของเจ้า”
อี้อวิ๋นปฏิเสธทันที แม้แต่เหตุผลที่ละมุนอ้อมค้อมก็ไม่มีให้
หืม?
ซืออวี้เซิงเลิกคิ้วขึ้น วันนี้เขาพยายามควบคุมนิสัยของตัวเองอย่างเต็มที่และไว้หน้าอี้อวิ๋น แต่อี้อวิ๋นผู้นี้กลับได้คืบจะเอาศอก เงื่อนไขดีขนาดนี้ก็ยังจะปฏิเสธ?
“หากมีแค่เงื่อนไขข้อแรกข้าก็คงตอบตกลง แต่ในเมื่อมีเงื่อนไขที่สองด้วยจึงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่พูดถึงระยะเวลาที่ยาวนานถึงหกร้อยปี ลำพังแค่คำสัญญาที่บอกว่าจะมอบทรัพยากรสำหรับฝึกยุทธ์และวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถก็ไม่ได้แล้ว บอกตามตรงว่าข้าไม่เชื่อเรื่องนี้ ความจริงข้าไม่คิดว่าหอเซียนสรรพสิ่งมีความสามารถที่จะมอบทรัพยากรและวัตถุที่ข้าต้องการให้ได้”
ตอนนี้อี้อวิ๋นอยู่ระดับวังวิถี เพราะมีต้นไม้พิภพ เจดีย์เก้าสมบัติและผลวิถีเก้าใบสี่ผล ทรัพยากรที่เขาใช้จึงยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้มากกว่าจอมยุทธ์ระดับเดียวกันทั่วไป หอเซียนสรรพสิ่งจะมอบให้ไหวได้อย่างไร?
แม้อี้อวิ๋นจะพูดความจริง แต่เมื่อคำพูดนี้ตกสู่หูซืออวี้เซิงก็ไม่ต่างอะไรกับการดูถูก
วันนี้เขาลดท่าทีลงถึงขีดสุด แต่อี้อวิ๋นกลับตบหน้าเขาแบบนี้ มันทำให้ซืออวี้เซิงมีไฟแห่งความโมโหลุกโชน
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา แต่ในเสียงหัวเราะกลับเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกและจิตสังหาร “ดี ดีมาก! ทุกคนต่างบอกว่าเจ้ากำเริบเสิบสาน วันนี้ได้มาเห็นกับตาก็นับว่าเปิดโลกทัศน์ จอมยุทธ์รุ่นเยาว์เช่นเจ้ากล้าดูถูกหอเซียนสรรพสิ่งของข้าถึงเพียงนี้ ท่านเจ้าเมืองฉิน ข้าไว้ท่านมากพอแล้ว อี้อวิ๋นผู้นี้ไม่รับน้ำใจเอง!”
วันนี้เขาถูกอี้อวิ๋นหยาบคายใส่ ซืออวี้เซิงจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะมีเจ้าเมืองฉิน อี้อวิ๋นก็คงกลายเป็นศพไปนานแล้ว
เจ้าเมืองถอนหายใจเบาๆ ตอนแรกเขาคิดว่าอี้อวิ๋นอาจตอบตกลง คิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นจะพูดคำเช่นนี้ จะไม่ให้ซืออวี้เซิงโมโหได้อย่างไร
“ท่านลุงฉิน อี้อวิ๋นไม่มีทางตอบตกลงต่อเงื่อนไขเช่นนี้แน่นอนเจ้าค่ะ” องค์หญิงจิ้งจอกขาวพูดเสียงเบา ด้วยความเข้าใจที่นางมีต่ออี้อวิ๋นแล้ว การที่อี้อวิ๋นพูดเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าคุยโวแม้แต่น้อย เป็นความจริงที่หอเซียนสรรพสิ่งไม่มีความสามารถนี้
“อู๋เสีย แม้แต่เจ้าก็พูดเช่นนี้หรือ?” เจ้าเมืองฉินย่อมโน้มเอียงไปทางเชื่อคำพูดองค์หญิงจิ้งจอกขาว ในเมื่อแม้แต่นางยังพูดแบบนี้ เจ้าเมืองฉินจึงไม่คิดว่าอี้อวิ๋นคุยโวเกินจริงอีก ไม่ว่าอย่างไรอี้อวิ๋นก็เป็นแขกของเขา เขาย่อมต้องปกป้องแขกของตัวเอง
“ซืออวี้เซิง ในเมื่ออี้อวิ๋นไม่ตอบตกลงต่อสัญญาของเจ้า เช่นนั้นวันนี้ก็พอแค่เถอะ ตามกฎของเมืองสรรพสิ่งก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้และทำตามเดิมพัน ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เป็นเดิมพันที่จั่วชิวเฮ่าอวี้เสนอขึ้นเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับอี้อวิ๋น ต่อให้หอเซียนสรรพสิ่งจะถูกตบหน้า แต่นั่นก็เป็นเพราะจั่วชิวเฮ่าอวี้ ไม่ใช่อี้อวิ๋น”
คำพูดของเจ้าเมืองฉินได้แสดงจุดยืนของตัวเองแล้ว ทุกคนเข้าใจทันทีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะแตะต้องอี้อวิ๋นในงานบรรเลงฉินวันนี้
ซืออวี้เซิงคงได้แต่ถอยกลับอย่างพ่ายแพ้
แต่ซืออวี้เซิงเป็นคนทำอะไรเผด็จการ ไม่เคยยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ วันนี้เขามาจัดการอี้อวิ๋นต่อหน้าเจ้าเมืองฉินที่จวนเจ้าเมือง รู้อยู่แล้วว่าต้องมีอุปสรรคไม่ใช่หรือ?
ขณะที่ทุกคนกำลังคิด จู่ๆ ซืออวี้เซิงก็หัวเราะขึ้นมา
“ท่านเจ้าเมืองฉิน ท่านบอกว่าต้องยอมรับความพ่ายแพ้และทำตามเดิมพัน ข้าเห็นด้วยมาก ความจริงท่านพูดคำนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ตอนที่ท่านกักขังจั่วชิวเฮ่าอวี้ก่อนหน้าและตัดแขนเขาก็พูดไปแล้วครั้งหนึ่ง!”
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกไปแล้วว่าวันนี้มางานบรรเลงฉินก็เพราะได้คำเชิญจากคุณชายอู๋เฟิง แต่ข้าลืมบอกไปว่าที่เขาเชิญข้ามาร่วมงานก็เพราะเดิมพันกับคนอื่นที่วังเซียนสรรพสิ่งจนต้องเสียมือคู่หนึ่ง วันนี้เป็นกำหนดการตัดมือพอดี ดังนั้นคุณชายอู๋เฟิงจึงให้ข้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านเจ้าเมืองฉิน ทว่าข้ายังไม่ทันพูดเรื่องนี้ ท่านเจ้าเมืองฉินกลับบอกว่า…ต้องยอมรับความพ่ายแพ้และทำตามเดิมพัน!”
ซืออวี้เซิงพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า ทุกคนในงานฟังแล้วต่างตกตะลึง
ฉินอู๋เฟิงผู้เป็นลูกชายของฉินเจิ้งหยางพนันว่าจะตัดมือที่วังเซียนสรรพสิ่งหรือ?
……………………………………………….
บทที่ 1166 บังคับขู่เข็ญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
วังเซียนสรรพสิ่งเป็นเขตอิทธิพลของหอเซียนสรรพสิ่ง การที่ฉินอู๋เฟิงเดิมพันด้วยมือคู่หนึ่งในช่วงนี้ทั้งยังพ่ายแพ้ทำให้หลายคนสงสัยว่า ซืออวี้เซิงจะยุยงให้ใครวางกับดักใส่ฉินอู๋เฟิงเพื่อเอาคืนที่อี้อวิ๋นตัดมือจั่วชิวเฮ่าอวี้
แม้ฉินอู๋เฟิงจะเป็นคนไม่เอาไหน แต่ในฐานะที่เขาเป็นลูกชายแท้ของเจ้าเมืองฉิน เจ้าเมืองฉินจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อลูกชายถูกตัดมือ?
สายตาทุกคนพากันไปรวมตัวที่ใบหน้าเจ้าเมืองฉิน
“คุณชายซือผู้นี้ช่างเผด็จการไม่เบา แม้แต่เรื่องเช่นนี้ยังกล้าทำ” เทพธิดาจื่ออวี่ขยับริมฝีปากพูดเบาๆ
ตอนนี้เจ้าเมืองฉินวางมือทั้งสองบนพนักเก้าอี้ ดวงตาจับจ้องมาที่ซืออวี้เซิงพร้อมกับพูดเสียงทุ้มว่า “ซืออวี้เซิง เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ?”
เสียงเขาทุ้มเหมือนระฆัง พลังอันน่ากลัวปะทุออก จิตสังหารอันลุ่มลึกกลุ่มหนึ่งเพ่งเล็งมาที่ซืออวี้เซิง บนทะเลสาบมีคลื่นกระจายตัว ลมฝนพัดเข้ามา เมฆดำปกคลุมตัวเมือง
ช่างเป็นพลังที่แข็งแกร่งมาก!
อี้อวิ๋นตกใจเงียบๆ ก่อนหน้านี้เขาเคยรู้สึกถึงกลิ่นอายเช่นนี้จากคนระดับราชาสายฝนกับเทพราชาเนตรมารเท่านั้น
แต่เห็นได้ชัดว่าระดับของเจ้าเมืองฉินยังด้อยกว่าราชาสายฝนเล็กน้อย
เกรงว่าเจ้าเมืองฉินคงขาดพลังอีกนิดเดียวก็จะก้าวเข้าสู่ระดับเทพราชาอย่างสมบูรณ์ หรือไม่ก็แม้เขาจะอยู่ระดับเทพราชา แต่เขากลับไม่ได้ผสานรวมกับตราลัญจกรแห่งเทพราชา
อี้อวิ๋นรู้เรื่องตราลัญจกรแห่งเทพราชาเป็นครั้งแรกจากเจดีย์เทพจุติที่ราชาชิงหยางทิ้งไว้ ในแต่โลกสวรรค์มีตราลัญจกรแห่งเทพราชาเพียงโลกละเจ็ดสิบสองตรา มันเป็นวัตถุที่เกิดจากกฎฟ้าดิน เทพราชาที่ผสานรวมกับตรานี้กับเทพราชาที่ไม่ได้ผสานมีพลังห่างชั้นกันมาก
ในฐานะที่เจ้าเมืองฉินเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ควบคุมเมืองสรรพสิ่ง ตอนนี้ซืออวี้เซิงจึงกำลังเผชิญกับเพลิงแห่งความโมโหของเทพราชาโดยตรง!
ซืออวี้เซิงหน้าซีดเล็กน้อยและถอยหลังหนึ่งก้าวเมื่อเผชิญกับอำนาจของเจ้าเมืองฉิน
“ข้าแค่นำคำพูดของคุณชายอู๋เฟิงมาบอก ข่มขู่กันที่ไหนขอรับ? แต่ในเมื่อท่านเจ้าเมืองฉินบอกว่าต้องยอมรับความพ่ายแพ้และทำตามเดิมพัน เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ส่งคำพูดนี้ให้คุณชายอู๋เฟิงตามที่ท่านพูดมา” ซืออวี้เซิงพูดในขณะที่พยายามระงับเลือดลมอันเดือดพล่าน
ตอนนี้ฉินอู๋เฟิงยังอยู่ที่วังเซียนสรรพสิ่ง ด้านหลังซืออวี้เซิงก็มีกลุ่มอิทธิพลใหญ่อย่างหอเซียนสรรพสิ่ง แม้พลังของฉินเจิ้งหยางจะน่ากลัว แต่ซืออวี้เซิงก็ไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะลงมือกับเขา
เขาไม่ใช่จั่วชิวเฮ่าอวี้ แต่เป็นถึงผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขของหอเซียนสรรพสิ่ง!
สีหน้าเจ้าเมืองฉินเคร่งขรึมดุจน้ำ ใครๆ ต่างบอกว่าพ่อเป็นเสือลูกไม่เป็นสุนัข แต่ทั้งๆ ที่ฉินเจิ้งหยางเป็นคนปราดเปรื่อง ทว่าลูกหลานของเขากลับไม่ได้เรื่องสักคน
เขามีลูกชายทั้งหมดหกคน มีสองคนตายไปตั้งแต่ก่อนที่เจ้าเมืองฉินจะมีชื่อเสียง อีกสี่คนที่เหลือก็แข่งกันไม่ได้เรื่อง ฉินอู๋เฟิงผู้เป็นลูกชายคนเล็กสุดถูกเขาสั่งสอนอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่อัจฉริยะวิถียุทธ์อยู่ดี ทั้งเขายังยินดีให้ตัวเองตกต่ำ ไปสถานที่เสื่อมทรามอย่างตรอกสมบัติสวรรค์และวังเซียนสรรพสิ่งอยู่บ่อยๆ ตอนนี้เขาติดกับของคนอื่นจนถูกนำมาถ่วงสมดุลกับเจ้าเมืองฉิน มีหรือที่ฉินเจิ้งหยางจะไม่โมโห?
แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าเมืองสรรพสิ่ง ตัวเขาต้องตัดสิ่งทุกอย่างด้วยความเที่ยงธรรมด
“ซืออวี้เซิง ไม่ว่าจะลูกชายใครก็ต้องปฏิบัติตามกฎของเมืองสรรพสิ่งทั้งสิ้น ในเมื่อเดิมพันกับคนอื่นก็ต้องยอมรับผลเดิมพัน เขาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง”
เสียงของเจ้าเมืองฉินดังก้องไปทั่วทะเลสาบคันฉ่อง!
คิดจะใช้ลูกชายเขามาบีบให้เขาผิดต่อความตั้งใจเดิมและยอมให้เกิดความไม่ธรรมดา ช่างเพ้อฝันยิ่งนัก!
อี้อวิ๋นรู้สึกประทับใจ เจ้าเมืองฉินผู้นี้เป็นสุภาพชนที่กล้าได้กล้าเสีย ในใจรักความเป็นธรรม
แต่อี้อวิ๋นรู้ว่าเรื่องในวันนี้เกิดขึ้นเพราะเขา ต่อให้ฉินอู๋เฟิงจะไม่ได้ความเพียงใด แต่หากไม่ใช่เพราะอี้อวิ๋นก็คงไม่โดนคนวางแผนใส่
แม้เจ้าเมืองฉินจะรักความยุติธรรมดา แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ฉินอู๋เฟิงถูกตัดมือจริงๆ
“ขอบคุณท่านเจ้าเมืองฉินขอรับ แต่เรื่องในวันนี้เป็นความรับผิดชอบของข้าน้อย ท่านเจ้าเมืองไม่จำเป็นต้องออกหน้าแทนข้าน้อยอีก” ขณะที่พูดอี้อวิ๋นก็หันไปทางซืออวี้เซิง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าเมืองฉินแม้แต่น้อย เจ้าวางแผนต่อคุณชายอู๋เฟิงก็เพราะมีข้าเป็นเป้าหมาย หากมีวิธีอะไรก็ใช้ออกมา!”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ซืออวี้เซิงหัวเราะเสียง “ใช้วิธีดีๆ ไม่ชอบต้องให้ใช้กำลัง ข้าซืออวี้เซิงเคยเสียเปรียบที่ไหน? ก่อนหน้านี้ข้านับถือเจ้าเป็นอัจฉริยะ พูดคุยกับเจ้าอย่างเป็นมิตร แต่เจ้ากลับไม่รับน้ำใจและยิ่งอวดดีกว่าเดิม ตอนนี้คิดจะลงนามในสัญญาฉบับหรือ? สายไปแล้ว!”
ซืออวี้เซิงหัวเราะอย่างชั่วร้าย เขานำสัญญาอีกฉบับออกมาและโยนไปในอากาศ
เขาเตรียมพร้อมสำหรับการมาในวันนี้ เริ่มจากวางมาดให้พอก่อน หากอี้อวิ๋นไม่รับน้ำใจ เช่นนั้นหากเขาจะกดดันอี้อวิ๋นอีกก็ถือว่ามีเหตุผล ไม่มีใครตำหนิอะไรได้
ทุกคนมองสัญญาที่โยนมาทางอี้อวิ๋นด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป
อี้อวิ๋นไม่ได้รับสัญญาไว้ในมือ เขาทำแค่โบกมือเบาๆ ตัวสัญญาหยุดลงในอากาศตรงหน้าเขา
อี้อวิ๋นหัวเราะเมื่อกวาดตาอ่านเนื้อหาในสัญญา “หกร้อยปีเป็นหกพันปี ทรัพยากรไม่ให้อย่างไม่มีค่าตอบแทนแล้ว แต่ต้องมอบสมบัติอย่างโอสถและวิชาให้ต้องหอเซียนสรรพสิ่งเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นค่าอุทิศตนจึงจะแลกทรัพยากรของหอเซียนสรรพสิ่งได้?”
“ช่างเป็นเงื่อนไขที่ดีจริงๆ!”
ทุกคนพากันฮือฮาเมื่ออี้อวิ๋นพูดเช่นนี้ ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าซืออวี้เซิงอยากใช้สัญญาฉบับหลังนี้มาตั้งแต่แรก ส่วนสัญญาฉบับแรกก็เป็นแค่การรักษาภาพลักษณ์
สัญญาฉบับที่สองคือราคาที่ขูดรีดอี้อวิ๋นอย่างถึงที่สุด!
ปรมาจารย์โอสถคนหนึ่งหลอมโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยฉบับปรับปรุงใหม่ได้ตั้งแต่อายุน้อย อนาคตจะพัฒนาได้ถึงขั้นไหน หากจะเป็นยอดปราชญ์โอสถแห่งยุคก็ไม่ใช่เรื่องยาก!
คนเช่นนี้เพียงพอให้หอเซียนสรรพสิ่งเกิดความอิจฉา เรื่องของจั่วชิวเฮ่าอวี้อาจเป็นข้ออ้างให้พวกเขาลงมือด้วยซ้ำ!
ทุกคนเคยได้ยินว่านับแต่โบราณมามีปรมาจารย์โอสถบางคนที่โดดเด่นแต่มีพลังจำกัดถูกคนจับตัวและบังคับให้หลอมโอสถ!
เกรงว่าหอเซียนสรรพสิ่งคงวางแผนนี้ต่ออี้อวิ๋นเช่นกัน
ตัวสัญญาบอกว่าต้องรับใช้หกพันปี แต่หากไปที่หอเซียนสรรพสิ่งจริงๆ แล้วก็คงมีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรกับอี้อวิ๋น?
สายตาทุกคนมองมาที่อี้อวิ๋นอย่างตั้งตารอที่จะเห็นปฏิกิริยาของเขา
แต่ตอนนี้ใบหน้าอี้อวิ๋นกลับยังคงมีรอยยิ้มนิ่งเรียบ เขามองสัญญาที่มีลายวิถีส่องสว่างตรงหน้าแล้วยกนิ้วขึ้นตวัดลงใส่สัญญาเบาๆ
ฟิ้ว!
ปราณกระบี่หยางบริสุทธิ์แล่นผ่าน สัญญาทั้งแผ่นกลายเป็นเศษกระดาษเพราะปราณกระบี่ภายในชั่วพริบตา จากนั้นก็ถูกไฟหยางบริสุทธิ์เผาเป็นผุยผง!
“ต้องอุทิศให้พวกเจ้าและนำคะแนนสะสมไปแลกจึงจะได้ทรัพยากร? ข้าน่ะหรือจะอยากได้ของของหอเซียนสรรพสิ่ง? น่าขันยิ่งนัก!”
สีหน้าซืออวี้เซิงยิ่งมีจิตสังหารรุนแรงเมื่อเห็นขี้เถ้ากระจายไปในอากาศ “ดูแล้วเจ้าคงอยากตายมากจริงๆ ดี ดีมาก! ข้าจะสนองให้!”
กลิ่นอายบนร่างซืออวี้เซิงปะทุออก เขาร้องคำรามและชักกระบี่ที่สะพายบนหลังออกมา
“เจ้าเป็นแค่ปรมาจารย์โอสถคนหนึ่ง กล้าดียังไงมาหยิ่งทะนง วันนี้ข้าจะตัดมือเจ้าก่อน!”
หากปรมาจารย์โอสถไม่มีมือก็เท่ากับพิการอย่างสมบูรณ์
หอเซียนสรรพสิ่งไม่มีทางปล่อยให้ศัตรูที่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาเติบโต อี้อวิ๋นมีอนาคตกว้างไกล มีความแค้นกับหอเซียนสรรพสิ่งแต่ก็ไม่ยอมสวามิภักดิ์ คนประเภทนี้จำเป็นต้องถูกสังหาร!
…………………………………………………….
บทที่ 1167 รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ซืออวี้เซิงถูกอี้อวิ๋นยั่วยุจนโมโหถึงขีดสุด เขาไม่มีทางยอมให้อี้อวิ๋นออกจากงานบรรเลงฉินในวันนี้อย่างปกติสุขแน่นอน
“ซืออวี้เซิง หากวันนี้เจ้าลงมือก็เท่ากับเป็นศัตรูกับข้า ถ้าเจ้าตัดมือแขกของข้าคู่หนึ่ง ข้าก็จะตัดแขนทั้งสองของเจ้า!” เจ้าเมืองฉินโมโห คิดไม่ถึงว่าซืออวี้เซิงจะกล้าลงมือในงานบรรเลงฉินที่เขาจัด!
ที่นี่ไม่ใช่แค่จวนเจ้าเมือง แต่ยังเป็นเมืองสรรพสิ่ง ตามกฎของเมืองสรรพสิ่งแล้วก็ไม่อะไรให้ต่อสู้กัน
“ขอบคุณท่านเจ้าเมืองฉินมากขอรับ แต่เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างข้าน้อยกับซืออวี้เซิง ท่านเจ้าเมืองโปรดอย่ายื่นมือเข้ามาเกี่ยว” อี้อวิ๋นพูด
เขารู้สึกขอบคุณในความยุติธรรมของเจ้าเมืองฉิน เรื่องในวันนี้ล้วนเกิดจากเขาทั้งสิ้น
อี้อวิ๋นมองซืออวี้เซิงแล้วมองคนที่อยู่ด้านหลังอีกฝ่าย เขารู้ว่าแท้จริงแล้วซืออวี้เซิงพาคนเหล่านี้มาเพื่อจับกุมเขา
หากลงนามในสัญญาก็แล้วไป แต่หากไม่ลงนาม ซืออวี้เซิงก็จะใช้กำลังมาจับเขากลับไปที่หอเซียนสรรพสิ่ง แค่คิดเอาก็รู้ว่าเมื่อเข้าสู่หอเซียนสรรพสิ่งแล้วจะมีจุดจบอย่างไร
“จั่วชิวเฮ่าอวี้ของพวกเจ้าเป็นฝ่ายมาหาเรื่องข้าเอง เขาเดิมพันด้วยมือคู่หนึ่งอย่างไม่ประมาณตน เมื่อพ่ายแพ้ก็ต้องยอมรับและทำตามเดิมพัน ถือเป็นหลักการที่ถูกต้องอย่างไม่มีอะไรสงสัย แต่หอเซียนสรรพสิ่งของพวกเจ้ากับใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการลงมือกับข้า เรื่องนี้ข้ายอมรับ ทว่าพวกเจ้ากลับลงมือกับคุณชายอู๋เฟิงและใช้วิธีชั้นต่ำมาข่มขู่ท่านเจ้าเมืองฉิน จะทำเกินไปแล้ว!”
“ข้าไม่ว่าอะไรถ้าพวกเจ้าจะจัดการเรื่องนี้! แต่ข้าก็ถามก่อนว่าหากท่านเจ้าเมืองฉินไม่เอาเรื่อง เช่นนั้นคุณชายอู๋เฟิงจะปลอดภัยดีหรือไม่?”
ฉินอู๋เฟิงโดนวางกับดักก็เพราะอี้อวิ๋น แม้อี้อวิ๋นจะไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่เขาก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ท่านเจ้าเมืองฉิน
“สหายน้อยอี้” เจ้าเมืองฉินขมวดคิ้วห้ามทันที
แม้องค์หญิงจิ้งจอกขาวจะสวมผ้าคลุมหน้า แต่ดวงตาคู่งามก็มีความกังวลปรากฏออกมา
“ท่านเจ้าเมืองฉินไม่ต้องพูดอะไรแล้วขอรับ” อี้อวิ๋นจดจ้องซืออวี้เซิงพร้อมกับถามเสียงทุ้ม “เจ้าได้ยินคำพูดข้าแล้ว”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ซืออวี้เซิงหัวเราะเสียงดัง “หากท่านเจ้าเมืองฉินไม่ถือสาเอาความกับเรื่องนี้ เช่นนั้นคุณชายอู๋เฟิงที่อยู่วังเซียนสรรพสิ่งก็ย่อมได้การต้อนรับอย่างไมตรี เมื่อเขาเที่ยงเล่นจนพอใจแล้วก็จะกลับมา หอเซียนสรรพสิ่งจะชำระหนี้พนันของเขาให้เอง”
“ดี!” อี้อวิ๋นไม่กลัวว่าซืออวี้เซิงจะผิดคำพูด ไม่ว่าจะตัวเขาหรือหอเซียนสรรพสิ่งก็ไม่มีทางแตกหักกับเจ้าเมืองฉินอย่างสมบูรณ์
“คุณชายอี้ ซืออวี้เซิงผู้นี้มีชื่อเสียงมานานและแข็งแกร่งจนน่ากลัว ด้านหลังเขายังมีหอเซียนสรรพสิ่งอีก…” ต่งเสี่ยวหวั่นกับหรูเอ๋อร์มีสีหน้ากังวลใจ
“ไม่เป็นไร” อี้อวิ๋นพูดเรียบๆ แล้วพุ่งร่างออกจากเรือประดับไปยังริมทะเลสาบ
“พาตัวไป!”
ซืออวี้เซิงโบกมือ ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังซ้ายขวาพุ่งตัวไปอยู่ข้างอี้อวิ๋นและจับตัวเขาเอาไว้
ผู้ติดตามคนหนึ่งโบกมือแล้วนำโซ่เส้นหนึ่งออกมา
โซ่เส้นนี้ทำจากเหล็กดำใต้ทะเลลึก ด้านบนมีลวดลายกฎสลักไว้เต็ม เป็นโซ่ผนึกพลังปราณ เมื่อถูกโซ่นี้มัดก็ไม่อาจใช้พลังปราณในร่าง ถูกคนอื่นจัดการได้ตามใจชอบ
“มัดเขาไว้!” มุมปากซืออวี้เซิงมีรอยยิ้มชั่วร้าย
แกร๊กๆๆ!
โซ่เส้นนี้เป็นดังงูหลามตัวหนึ่ง มันวนรอบตัวอี้อวิ๋นแล้วมัดแขนสองข้างของเขาให้ไพล่หลัง
ชั่วพริบตาที่โซ่ประกบ ลวดลายอักขระก็ส่องประกาย สายโซ่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันและผนึกการไหลเวียนของพลังปราณในร่างอี้อวิ๋นอย่างสมบูรณ์
เจ้าเมืองฉินมีสีหน้าไม่สู้ดี ซืออวี้เซิงผู้นี้กล้าจับกุมคนที่จวนเจ้าเมืองของเขา ไม่ว่าลูกชายเขาจะเป็นอย่างไร เขาก็ยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
ขณะที่เขากำลังจะลงมือ จู่ๆ องค์หญิงจิ้งจอกขาวที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป “ท่านลุงฉิน เมื่อครู่อี้อวิ๋นส่งเสียงให้ข้าว่าท่านลุงฉินอย่าลงมือเจ้าค่ะ”
องค์หญิงจิ้งจอกขาวเป็นห่วงอี้อวิ๋นเช่นกัน แต่ในเมื่ออี้อวิ๋นส่งปราณเสียงให้นางโดยเฉพาะ เขาก็คงไม่อยากให้เจ้าเมืองฉินเข้าไปเกี่ยวจริงๆ
“เวลานี้แล้วยังไม่ลงมืออีก หรือจะปล่อยให้อี้อวิ๋นถูกพาตัวไปหอเซียนสรรพสิ่งจริงๆ?”
ขณะที่เจ้าเมืองฉินกำลังพูด ผู้ติดตามของซืออวี้เซิงก็พาตัวอี้อวิ๋นออกนอกจวนเจ้าเมือง
“พาไปวังเซียนสรรพสิ่ง” ซืออวี้เซิงโบกมือ แต่เมื่อเห็นว่าตอนนี้อี้อวิ๋นยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบและฝีเท้ามั่นคง ซืออวี้เซิงก็รู้สึกหงุดหงิด “ช่างกล้ามาก น้ำหน้าอย่างเจ้าก็คู่ควรให้สู้กับข้าด้วยหรือ! ข้าจะรอดูว่าเมื่อถึงวังเซียนสรรพสิ่งแล้วเจ้าจะทนได้ถึงเมื่อไร!”
ซืออวี้เซิงพาอี้อวิ๋นออกนอกจวนเจ้าเมือง ผู้คนริมทะเลสาบพากันหลีกทางให้
ปรมาจารย์โอสถหนุ่มผู้นี้มีเรื่องกับหอเซียนสรรพสิ่ง ตอนนี้ถูกพาออกนอกจวนเจ้าเมือง ไม่รู้ว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร เกรงว่าเขาคงถูกหอเซียนสรรพสิ่งใช้เป็นทาสที่ต้องรับใช้ไปตลอดกาล!
หลายคนอดทอดถอนใจไม่ได้เมื่อนึกถึงจุดจบเช่นนี้
ฉินเจิ้งหยางมีสีหน้าเคร่งเครียด แม้อี้อวิ๋นจะส่งเสียงไม่ให้เขาลงมือ แต่เขาจะนั่งนิ่งเฉยได้อย่างไร ตอนนี้อี้อวิ๋นถูกพาออกจากจวนเจ้าเมือง เขาเองก็จะตามไปด้วยเช่นกัน
“อู๋เสีย พวกเราไปวังเซียนสรรพสิ่งด้วยกัน ซืออวี้เซิงกำเริบเสิบสาน เขาเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างไม่เลือกวิธี ข้าอยากรู้นักว่าผู้อาวุโสของหอเซียนสรรพสิ่งจะกล้าฉีกหน้ากับข้าเหมือนเขาไหม”
ในฐานะที่ฉินเจิ้งหยางเป็นเจ้าเมืองของเมืองสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะอำนาจหรือความแข็งแกร่งส่วนบุคคลของเขาก็เป็นสิ่งที่กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ต้องคำนึงถึง
ตอนนี้ฉินเจิ้งหยางต้องการพบคนระดับสูงของหอเซียนสรรพสิ่ง แต่เขาก็รู้ว่าครั้งนี้พวกคนระดับสูงคงไม่ปรากฏตัว
พวกเขาน่าจะยินยอมให้ซืออวี้เซิงใช้วิธีสุดโต่งเช่นนี้มาจัดการปัญหา
ใช้ลูกชายเขามาข่มขู่และจับตัวอี้อวิ๋นในงานบรรเลงฉิน หากคนระดับสูงของหอเซียนสรรพสิ่งเป็นผู้ใช้วิธีเช่นนี้ก็คงเสื่อมเสียเกียรติเกินไป แต่ซืออวี้เซิงเป็นเด็กหนุ่มบ้าระห่ำและทำอะไรเปิดเผย หากเขาเป็นผู้ลงมือก็ไม่มีใครตำหนิ
นี่เองก็เป็นเรื่องที่ฉินเจิ้งหยางกังวล เขาสงสัยด้วยซ้ำว่าต่อให้เขาไปถึงวังเซียนสรรพสิ่ง พวกผู้อาวุโสสูงสุดของหอเซียนสรรพสิ่งก็อาจหลบซ่อนไม่มาพบหน้า
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องนี้ก็คงยุ่งยากแล้ว
หรูเอ๋อร์เป็นกังวลเมื่อเห็นเจ้าเมืองฉินตามพวกซืออวี้เซิงออกจากจวน ต่งเสี่ยวหวั่นจับมือนางแล้วพูดว่า “พวกเรารีบตามคุณชายไปกันเถอะ”
“อะ…อื้ม!” หรูเอ๋อร์รีบพยักหน้าเมื่อตั้งสติได้
เมื่อเห็นพวกต่งเสี่ยวหวั่นรีบตามออกไป สาวใช้ข้างกายเทพธิดาจื่ออวี่ก็พูดอย่างดีใจในโชคร้ายของคนอื่นว่า “หากวันนั้นออกมาต้อนรับคุณหนูอย่างเคารพนบนอบและยอมเป็นแขกประจำตระกูลกุยหยวนของเรา มีหรือที่จะเจอจุดจบดังเช่นวันนี้?”
“อี้อวิ๋นผู้นี้มีความภักดีมาก แต่การยอมยืนตายแต่ไม่ยอมคุกเข่าเพื่อรอดในเวลานี้กลับไม่ใช่วิธีที่ชาญฉลาดนัก” เทพธิดาจื่ออวี่พูดเสียงเบาพร้อมลุกขึ้นยืน “ข้าคิดว่าท่านเจ้าเมืองฉินคงไปที่วังเซียนสรรพสิ่งแน่นอน งานบรรเลงฉินคงจัดต่อไม่ได้อีก พวกเราเองก็ตามไปดูกันเถอะ”
สายตานางมองไปยังองค์หญิงจิ้งจอกขาวที่อยู่บนเรือเจ้าเมือง จากนั้นก็มองไปยังเรือประดับขนาดใหญ่อีกลำ บนเรือลำนั้นมีเงาร่างรางๆ ดุจเมฆบังพระจันทร์และกลิ่นอายดุจเซียนนั่งอยู่ นั่นคือเทพธิดาโยวฉิน
“อี้อวิ๋นเป็นสหายของเทพธิดาอู๋เสีย เทพธิดาอู๋เสียคงตามไปดูเช่นกัน น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นการประลองของพวกนางสองคน” เทพธิดาจื่ออวี่ยิ้มบางๆ เงาร่างนางบินฉวัดเฉวียนดุจหงส์ไปยังริมทะเลสาบเช่นกัน
“เทพธิดาโยวฉิน” องค์หญิงจิ้งจอกขาวเอ่ยปากพูด “ดูแล้วงานบรรเลงฉินในวันนี้คงจบแต่เพียงเท่านั้น ข้าต้องตามท่านลุงฉินไปที่วังเซียนสรรพสิ่ง”
เทพธิดาโยวฉินที่อยู่บนเรือประดับของสำนักอภิรมย์ถอนหายใจเบาๆ วันนั้นนางกับเทพธิดาอู๋เสียยังตัดสินผลแพ้ชนะไม่ได้ หลังจากวันนั้นก็คอยพะวงถึงการประมือครั้งต่อไปอยู่ตลอด แต่คิดไม่ถึงว่างานบรรเลงฉินครั้งนี้จะยกเลิกเพราะหอเซียนสรรพสิ่งกับอี้อวิ๋น
เทพธิดาโยวฉินเคยได้ยินเรื่องอี้อวิ๋นมาบ้างเช่นกัน อี้อวิ๋นกล้ามีเรื่องกับหอเซียนสรรพสิ่ง เมื่อวันนี้นางได้พบก็รู้สึกว่าคนผู้นี้น่าสนใจเล็กน้อย
“คุณหนู ในเมื่องานบรรเลงฉินถูกยกเลิก เช่นนั้นพวกเราก็กลับกันเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้รูปร่างอรชรนางหนึ่งเดินเข้ามาพูด
เทพธิดาโยวฉินส่ายหน้าเบาๆ “เกรงว่าคนในงานวันนี้มากกว่าครึ่งคงตามไปดูเรื่องสนุก พวกเราเองก็ตามไปดูกันเถอะ หากหอเซียนสรรพสิ่งจะเปลี่ยนอี้อวิ๋นให้เป็นทาสรับใช้ของพวกเขาจริงๆ เช่นนั้นก็เกรงว่าคงมีกลุ่มอิทธิพลไม่น้อยที่ไม่ยอม”
อี้อวิ๋นเป็นอัจฉริยะปรมาจารย์โอสถแต่กลับไร้พลังอำนาจ เขาเป็นดังอัญมณีไร้เจ้าของที่ตกอยู่กลางถนน ไม่ว่าใครก็อยากเก็บมาเป็นของตัวเองทั้งนั้น
โอกาสที่อี้อวิ๋นจะอยู่รอดคือหาทางออกในรอยแยกของกลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ เขาไม่อาจเอาตัวออกนอกวง ท้ายที่สุดก็ต้องพึ่งพาสักกลุ่มอิทธิพลเพื่อความปลอดภัย
เทพธิดาโยวฉินพูดถูกแล้ว แม้แต่เจ้าเมืองฉินกับเทพธิดาอู๋เสียยังตามไป คนในงานมากกว่าครึ่งจึงตามไปด้วยเช่นกัน
ที่นอกจวนเจ้าเมืองมีจอมยุทธ์อยู่มาก พวกเขารู้ว่าวันนี้ในจวนเจ้าเมืองมีงานบรรเลงฉิน แต่เนื่องจากไม่มีเทียบเชิญจึงได้แต่มุงล้อมอยู่ด้านนอกเพื่อฟังเสียงฉินจากไกลๆ เมื่อเห็นแขกในงานและเจ้าเมืองฉินพากันออกจากจวนก็ตกตะลึง
พวกเขากำลังทำอะไรน่ะ?
พวกเขายังเห็นอีกว่าที่หน้าสุดของฝูงชนคืออี้อวิ๋นที่ถูกโซ่ผนึกปราณมัดไขว้หลังและพาูออกนอกเมือง
เมื่อมองดูอย่างละเอียดก็พบว่าคนที่จับตัวเขาคือผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขรุ่นต่อไปของหอเซียนสรรพสิ่ง…ซืออวี้เซิง!
ซืออวี้เซิงมีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองสรรพสิ่ง เป็นบุคคลอันดับในหมู่เด็กรุ่นเยาว์ แต่เขาเป็นคนทำอะไรเปิดเผย ผิดใจกับคนไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะจับปรมาจารย์โอสถที่อัจฉริยะที่สุดของเมืองสรรพสิ่ง เรื่องนี้เพียงพอให้เป็นที่ฮือฮา
“เกิดอะไรขึ้น? อี้อวิ๋นถูกจับแล้วหรือ!”
“ต้องเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างหอเซียนสรรพสิ่งกับอี้อวิ๋นแน่นอน การจับตัวนี้คงมีโชคร้ายมากกว่าโชคดี!”
………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น