True Martial World พิภพเทพยุทธ์ 1138-1140
บทที่ 1138 ตรอกสมบัติสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้ดูแลหอสรรพสิ่งส่งรายละเอียดร้านค้ามาให้อย่างรวดเร็ว อี้อวิ๋นกวาดตาดูราคาแล้วก็อดที่จะตกใจเงียบๆ ไม่ได้
เมืองสรรพสิ่งนี้เจริญรุ่งเรืองเกินไปจริงๆ นับเป็นเมืองขั้นสุดยอดเมืองหนึ่งของโลกสวรรค์เทพหยางได้เลย จำนวนความมั่งคั่งที่ร้านในพื้นที่ใจกลางได้รับในแต่ละปีเป็นตัวเลขที่ยากจะจินตนาการ ไม่ใช่แค่กลุ่มอิทธิพลประจำแดนสวรรค์สรรพสิ่ง กลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มจากพื้นที่ส่วนอื่นของโลกสวรรค์เทพหยางก็มาสร้างธุรกิจที่เมืองนี้เช่นกัน นี่ทำให้หน้าร้านของเมืองสรรพสิ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ร้านค้าขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งในพื้นที่ใจกลางมีค่าเช่าปีละสองแสนอักขระ ต้องเช่าสิบปีเป็นขั้นต่ำ
ฟังดูแล้วแพงมาก แต่เมื่อลองคิดดู ขอเพียงทำการค้าขนาดใหญ่ได้สองสามครั้งภายในเวลาหนึ่งปี เช่นนั้นก็จะได้ทุนคืนพร้อมกำไร
สมบัติที่อี้อวิ๋นมีในตอนนี้ไม่อาจเช่าร้านในพื้นที่ใจกลาง และเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ท้ายที่สุดเขาก็เลือกร้านขนาดเล็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ค่าเช่าก็เป็นแค่หนึ่งในสิบ แต่ต้องเช่าสิบปีเป็นอย่างน้อยเช่นกัน อี้อวิ๋นจึงเสียอักขระไปสองหมื่นสองพัน
หรูเอ๋อร์ตกอยู่ในความงุนงงเล็กน้อยเมื่อออกจากหอสรรพสิ่ง หากไม่มาเมืองสรรพสิ่งก็คงไม่รู้ว่าตัวเองยากจนเพียงใด รายได้ร้อยปีที่สำนักหม้อชาดได้ยังไม่พอให้จ่ายค่าเช่ารายปีสำหรับร้านเล็กๆ ในเมืองสรรพสิ่ง
‘เราช่างยากจนจริงๆ’
อี้อวิ๋นรู้สึกถึงวิกฤตด้านการเงิน
เขาไม่มีความรู้สึกนี้มานานมากแล้ว คิดดูอย่างละเอียด แม้เขาจะมีสมบัติชั้นยอดอยู่มากมาย แต่ทรัพย์สมบัติที่เขาใช้ได้จริงๆ ก็มีไม่มากนักมาโดยตลอด
แม้การหาเงินโดยเปิดร้านหลอมโอสถจะหาเงินได้เช่นกัน แต่ความเร็วก็ช้าเกินไป
อี้อวิ๋นอยากฝึกยุทธ์ไปด้วย ขัดเกลาวิชาหลอมโอสถและวิชาปรมาจารย์อสูรของตัวเองไปด้วย
หากใช้วัตถุดิบหายากอันล้ำค่ามาควบคู่กับการฝึกยุทธ์ก็จะได้ผลสองเท่า แต่จะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องใช้เงินไม่น้อย
มีวิธีอะไรบ้างที่จะทำให้หาเงินได้อย่างรวดเร็วในเมืองสรรพสิ่ง?
อี้อวิ๋นลูบคางคิด ในตอนนี้เองที่จู่ๆ เขาก็รู้สึกอะไรบางอย่าง เมื่อหันไปมองอย่างประหลาดใจก็เห็นรถม้าที่ห่อหุ้มอยู่กลางแสงสีรุ้งคันหนึ่งแล่นผ่านไปด้วยความเร็ว
รถม้าคันนี้ถูกลากโดยปักษาขนรุ้งเก้าตัว ตัวรถลอยเหนือพื้นสามฉื่อ ทั้งเร็วทั้งมั่นคง รถม้าหายไปที่สุดขอบถนนภายในชั่วพริบตา ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมจางๆ ที่ปะทะหน้าเข้ามา
รถม้าคันนี้…
อี้อวิ๋นตกใจเล็กน้อย เขารู้สึกถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยจากรถม้าที่แล่นผ่านไป แต่เมื่อนึกย้อนดูอย่างละเอียดก็กลับนึกไม่ออกว่าใคร
จิตเขาติดตามรถม้าไป เห็นว่ารถม้าบินเข้าสู่สิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่เหมือนภูเขาลูกย่อมๆ
‘ตรอกสมบัติสวรรค์?’
อี้อวิ๋นเห็นว่าบนแผ่นป้ายเหนือประตูเขียนไว้เช่นนี้
“หรูเอ๋อร์ เจ้ารู้จักตรอกสมบัติสวรรค์หรือไม่?”
อี้อวิ๋นถามอย่างไม่ใส่ใจ คิดไม่ถึงว่าเมื่อหรูเอ๋อร์ได้ยินแล้วจะหน้าแดงเล็กน้อย นางพยักหน้าแล้วถามอึกอัก “คุณชาย…จะไปตรอกสมบัติสวรรค์หรือเจ้าคะ?”
“มีปัญหาอะไรหรือ?”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่…” หรูเอ๋อร์หน้าแดงพร้อมอธิบายเรื่องตรอกสมบัติสวรรค์
ฟังไปฟังมาแล้วอี้อวิ๋นก็หัวเราะ
ตรอกสมบัติสวรรค์คือธุรกิจของสำนักอภิรมย์
พูดถึงสำนักอภิรมย์แล้วก็เป็นสำนักมีชื่อเสียงของแดนสวรรค์สรรพสิ่ง วิชาของสำนักนี้พิเศษมาก ให้ความสำคัญกับการทำตามความต้องการของตัวเอง ปลดปล่อยความปรารถนาขณะฝึกฝน ใช้ความต้องการที่บรรลุมาข้ามผ่านระดับ
ด้วยเหตุนี้สำนักอภิรมย์จึงมีชื่อเสียงไม่ดีนัก ศิษย์ในสำนักหลายคนใช้สาวงามเป็นคู่หลับนอน เสพสมความอภิรมย์ต่างๆ จนแทบกลายเป็นสำนักนอกรีตแล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตรอกสมบัติสวรรค์จึงกลายเป็นสถานที่เริมรมย์ที่เสื่อมทรามที่สุดของเมืองสรรพสิ่ง
ที่นี่สะสมทาสหญิงรูปงามจำนวนมหาศาล ขอเพียงแค่จ่ายราคาที่เหมาะสมก็ซื้อขายได้ตามใจชอบ นอกจากนี้ยังมีของวิเศษล้ำค่าต่างๆ อาหารรสเลิศ การพนันใต้ดินที่ตัดสินเป็นตาย ทั้งหมดล้วนพบได้ที่นี่
เอาเป็นว่าแค่มีเงินก็เสพสุขทุกรูปแบบในตรอกสมบัติสวรรค์ได้
ขณะที่หรูเอ๋อร์อธิบายเรื่องตรอกสมบัติก็หน้าแดงอยู่ตลอด อี้อวิ๋นเข้าใจแล้ว เด็กหญิงคนนี้คงคิดเขาว่าจะไปหาทาสหญิงเสพสุขที่ตรอกสมบัติสวรรค์
อี้อวิ๋นหัวเราะแล้วไม่อธิบายอะไร เขาเพิ่งมาเมืองสรรพสิ่งเป็นครั้งแรก มีหลายที่ที่ไม่เคยไป ไปเปิดหูเปิดตาดูสักครั้งก็ไม่เลว ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็สงสัยว่ากลิ่นอายอันคุ้นเคยที่รู้สึกก่อนหน้านี้คือใครกันแน่
……
ตรอกสมบัติสวรรค์คือของวิเศษประเภทที่พำนักขนาดยักษ์ มันถูกวางไว้ที่นี่มาหลายล้านปีแล้ว
ที่พำนักมีพื้นที่ประมาณสิบลี้ ภายในผ่านการปรับปรุงจนโอ่อ่ารโหฐาน
เมื่ออี้อวิ๋นมาถึงหน้าประตูก็เห็นชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนที่สวมชุดเกราะแถวหนึ่งยืนอยู่หน้าทางเข้า คนที่ต้อนรับพวกเขาอยู่คือสาวน้อยรูปร่างอรชร ความป่าเถื่อนกับความอ่อนหวานแช่มช้อยกลายเป็นความแต่งต่างอย่างสิ้นเชิง
“ยินดีต้อนรับ!”
สายน้อยแถวหนึ่งโค้งคำนับพร้อมกัน แต่ไม่ใช่แขกทุกคนที่จะได้รับการคำนับ มีเพียงคนที่มีตำแหน่งระดับหนึ่งที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
“คุณชายลิ่งหูมาแล้ว รีบเชิญเข้ามาเลยเจ้าค่ะ”
สาวน้อยผู้มีรอยยิ้มดังดอกท้อนางหนึ่งเดินเข้ามารับชายชุดขาวผู้หนึ่ง ชายชุดขาวผู้นี้เดินลงจากรถม้าที่มีแสงส่องประกาย ดูก็รู้ว่าชาติกำเนิดไม่ธรรมดา
เมืองสรรพสิ่งมีโอกาสทำการค้าอยู่ทั่วทุกที่ ทั้งยังผ่านการสะสมมาเป็นสิบล้านปี ที่นี่จึงมีกุล่มอิทธิพลที่ร่ำรวยจำนวนมาก นำแดนสวรรค์กลางมาเทียบกับที่นี่แล้วก็ต่างกันเหมือนเมืองเล็กๆ กับเมืองหลวงของโลก
กระทั่งอี้อวิ๋นเดินเข้าสู่ประตูตรอกสมบัติสวรรค์ก็ยังไม่มีใครเข้ามาต้อนรับ เขาไม่เป็นที่รู้จัก อายุก็ดูไม่มาก เป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครสนใจ
หรูเอ๋อร์ที่เดินตามอยู่ด้านหลังอี้อวิ๋นหน้าแดงเหมือนผิงกั่ว ตัวนางที่อยู่ในเมืองสรรพสิ่งก็เหมือนเด็กซื่อๆ จากครอบครัวยากจน จู่ๆ ต้องมาสถานที่น่ากลัวอันฟุ่มเฟือยเช่นนี้ แค่คิดเอาก็รู้ว่าประหม่าเพียงใด
‘ที่นี่ช่างงดงามหรูหราจริงๆ’
อี้อวิ๋นเดินเข้าสู่ห้องโถงหลังประตู ห้องโถงขนาดร้อยจั้งนี้มีโต๊ะเก้าอี้ที่ทำจากไม้หอมสวรรค์วางอยู่เต็ม บนยอดห้องโถงมีเปลวไฟสีรุ้งหนึ่งดวงลุกโชน มันคอยส่องสว่างให้ห้องโถงมีสีสันแพรวพราว
‘เพลิงขนรุ้ง?’
คิดไม่ถึงว่าไฟที่ส่องสว่างในตรอกสมบัติสวรรค์จะเป็นวิญญาณเพลิงกลายพันธุ์ที่มีค่าประเภทหนึ่ง แม้มูลค่าจะไม่อาจเทียบกับเชื้อเพลิงเทพมารของอี้อวิ๋นแต่ก็ค่อนข้างน่าทึ่ง
อีกอย่าง กลางห้องโถงยังมีปะการังสูงหนึ่งจั้งกระถางหนึ่งวางเอาไว้ มันดึงดูดสายตามาก
ปะการังนี้เป็นสีม่วง รูปร่างสมบูรณ์แบบ อี้อวิ๋นอ่านบันทึกของเทพโอสถจนจำได้ขึ้นใจ มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นปะการังโลหิตม่วงจากทะเลลึก อายุคงเกือบล้านปีแล้ว
ปะการังโลหิตม่วงประเภทนี้เป็นสมุนไพรหลอมโอสถที่หายาก แต่ตอนนี้กลับถูกใช้เป็นของตกแต่ง มันไม่เพียงแค่งดงาม แต่ยังทำให้พลังปราณในห้องโถงเข้มข้นมาก
‘สำนักอภิรมย์ร่ำรวยถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ใช้ปะการังโลหิตม่วงล้านปีเป็นของตกแต่ง เกรงว่าของชิ้นนี้คงขายได้เป็นล้านอักขระสรรพสิ่ง…’ อี้อวิ๋นรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย เขายากจนเพียงนี้ แต่สำนักอภิรมย์กลับฟุ่มเฟือยถึงระดับนี้
“ฮ่าฮ่า แม้แต่ปะการังโลหิตม่วงก็ยังถูกตรองสมบัติสวรรค์นำออกมา การปฏิบัติที่มีต่อเทพธิดาโยวฉินช่างต่างออกไปจริงๆ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว พวกเราเองก็นับว่าโชคดีไปด้วย แม้จะไม่อาจใกล้ชิดสาวงาม ไม่อาจกิโอสถที่หลอมจากปะการังโลหิตม่วง แต่แค่ได้ดูดซึมปราณที่ปะการังโลหิตม่วงแผ่ออกมาก็สดชื่นไปทั้งตัวแล้ว”
อี้อวิ๋นได้ยินจอมยุทธ์สองคนคุยกันแล้วจึงเบาใจลง ตรอกสมบัติสวรรค์คงนำวัตถุวิญญาณระดับปะการังโลหิตม่วงออกมาแค่ในเวลาสำคัญเช่นกัน ยังไม่ถึงขั้นมีเงินมากจนมองเป็นของตกแต่ง
…………………………………………
บทที่ 1139 เทพธิดาโยวฉิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
โอสถวิญญาณส่วนใหญ่มักเก็บไว้ในกล่องหยกปิดผนึก บางชนิดถึงขั้นต้องมีค่ายกลสนับสนุนบนกล่องหยกอีกชั้น ทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้แก่นสำคัญในโอสถรั่วไหล
ปะการังโลหิตม่วงตรงหน้าวางอย่างเปิดเผย ย่อมเลี่ยงเรื่องที่จะไม่ให้แก่นสำคัญรั่วไหลไม่ได้
ภาพงานที่จัดอย่างหรูหราขนาดนี้ทำให้อี้อวิ๋นอดสงสัยไม่ได้ว่าเทพธิดาโยวฉินเป็นใคร?
“พี่ชายสองท่านนี้ ขอถามได้หรือไม่ว่าเทพธิดาโยวฉินที่พวกท่านบอกว่าจะมาวันนี้คือใครหรือ?”
อี้อวิ๋นถามจอมยุทธ์สองคนที่ก่อนหน้านี้คุยเรื่องปะการังโลหิตม่วง แม้ระดับยุทธ์พวกเขาจะปกติธรรมดาในสายตาอี้อวิ๋น ทว่าเสื้อผ้าที่ใส่ล้วนราคาแพง สวมเสื้อที่ทำจากผ้าไหมสวรรค์ กระบี่ที่เหน็บไว้ข้างเอวก็เลี่ยมฝังอัญมณีไว้ไม่น้อย อี้อวิ๋นเป็นผู้ใช้กระบี่ มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่ากระบี่สองเล่มนี้ระดับธรรมดา หรูหราแค่ภายนอกเท่านั้น
ดูแล้วสองคนนี้คงเป็นคุณชายจากตระกูลร่ำรวยเช่นกัน
“น้องชายมาจากต่างถิ่นสินะ? ไม่เคยได้ยินชื่อเทพธิดาโยวฉินหรือ?” ชายหนุ่มที่เอ่ยปากพูดสวมเสื้อผ้าสีผ้า ทว่าสิ่งที่ดูต่างจากเครื่องแต่งกายหรูหราของเขาคือชายหนุ่มคนนี้ดูค่อนข้างซื่อตรง ผิวหนังก็ดำคล้ำเล็กน้อย ดูเหมือนคนทำไร่ทำนาเล็กน้อย
อี้อวิ๋นพยักหน้า “ไม่รู้จักจริงๆ หวังว่าพี่ชายทั้งสองจะชี้แนะ”
คราวนี้ชายหนุ่มอีกคนเป็นฝ่ายพูด เขาคลึงลูกวอลนัทสองลูกไว้ในมือพร้อมพูดด้วยท่าทีดังผู้คงแก่เรียนว่า “พูดถึงเทพธิดาโยวฉินแล้วก็ต้องพูดเรื่องสำนักอภิรมย์ก่อน ว่ากันว่าผู้ก่อตั้งแรกเริ่มสุดของสำนักอภิรมย์มาจากร่องสมุทร ต่อมาสำนักอภิรมย์ก็อยู่ถาวรที่แดนสวรรค์สรรพสิ่ง กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลอันดับต้นๆ ของที่นี่ ศิษย์ในสำนักอภิรมย์เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เพราะสำนักนี้ให้ความสำคัญกับการปล่อยเนื้อปล่อยตัว เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของจอมยุทธ์ชายหลายคน นี่จึงทำให้สำนักอภิรมย์มีศิษย์มากขึ้นเรื่อยๆ”
“สำนักอภิรมย์จะเลือกผู้สืบทอดทุกหมื่นปี ปกติแล้วจะเป็นผู้ชาย ผู้สืบทอดจะได้รับ ‘สุดยอดวิชาอภิรมย์’ นับว่าได้เสพสมความสุขทั่วใต้หล้า”
“แต่…” ชายหนุ่มท่าทางเหมือนปัญญาชนพูดถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนเรื่อง “มีน้อยครั้งที่สำนักอภิรมย์จะเลือกผู้สืบทอดหญิง หากเป็นเช่นนี้ก็จะไม่ธรรมดามาก ผู้สืบทอดชายมักมั่วโลกีย์ไร้ขอบเขต ส่วนผู้สืบทอดหญิงก็ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง พวกนางสูงส่งบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งความต้องการทางโลก”
“เทพธิดาโยวฉินก็คือผู้สืบทอดของสำนักอภิรมย์! นางปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน มีชื่อเสียงทั่วแดนสวรรค์สรรพสิ่งอย่างรวดเร็ว มีร่างคู่สามีภรรยา วิชาที่ฝึกก็ทำให้เมื่อชนะใจนาง ได้ร่วมเสพสมด้วย เวลานั้นผิวน้ำแข็งกระดูกหยกก็จะกลายเป็นน้ำพิสุทธิ์ที่ทอดยาวไม่หยุด หากได้มีความสุขสำราญเช่นนี้สักครั้ง ต่อให้ตายก็ไม่มีอะไรเสียดาย!”
ชายหนุ่มท่าทางปัญญาชนพูดถึงตรงนี้ก็เหมือนวิญญาณออกจากร่าง อี้อวิ๋นรู้สึกน่าขัน คนผู้นี้ดูสูงส่ง แต่แท้จริงก็เป็นคนหมกมุ่นในโลกีย์
ตอนนี้ชายหนุ่มท่าทางซื่อตรงพูดต่อว่า “ฮ่าฮ่า หญิงชั้นยอดเช่นนี้ไม่ใช่คนที่พวกเราจะเพ้อฝันได้ ทำแบบน้องชายเจ้าดีกว่า เลี้ยงสาวใช้น่ารักไว้ข้างกาย ทั้งน่ารักทั้งเชื่อฟัง ตกกลางคืนก็คอยรับใช้ เป็นความสุขที่ไม่น้อย!”
ขณะที่ชายหนุ่มท่าทางซื่อตรงพูดก็มองหรูเอ๋อร์แล้วมองอี้อวิ๋นด้วยสีหน้าที่ผู้ชายรู้กันจนหรูเอ๋อร์หน้าแดงไปหมด
คนผู้นี้กำลังพูดบ้าอะไรน่ะ นางไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี ส่วนอี้อวิ๋นก็ทำแค่หัวเราะแต่ไม่อธิบายอะไร
ในตอนนี้เองที่จู่ๆ ภายในห้องโถงก็วุ่นวายขึ้นมา ผู้ดูแลตรอกสมบัติสวรรค์สองสามคนพากันเดินออกไป สาวงามยืนเรียงเป็นแถว
“หืม? มีคนใหญ่คนโตมาแล้ว”
หลายคนพากันออกไปต้อนรับ เหล่าผู้ดูแลพูดด้วยเสียงอันเคารพนบนอบพร้อมกันว่า “ยินดีต้อนรับคุณชายเฮ่าอวี้!”
“ข้าก็คิดว่าใครกันที่ได้รับความสำคัญจากตรอกสมบัติสวรรค์ถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็จั่วชิวเฮ่าอวี้จากหอเซียนสรรพสิ่ง” ชายหนุ่มปัญญาชนพูดอย่างอิจฉา
คุณชายจากหอเซียนสรรพสิ่ง?
ในฐานะที่หอเซียนสรรพสิ่งเป็นกลุ่มอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดในแดนสวรรค์สรรพสิ่ง คนที่ถูกเรียกว่าเป็นคุณชายได้ย่อมมีตำแหน่งไม่ธรรมดาในหอเซียนสรรพสิ่ง ไม่แปลกที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
“คุณชายเฮ่าอวี้มาด้วยเช่นกัน”
“แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องที่จั่วชิวเฮ่าอวี้ตามจีบเทพธิดาโยวฉินไม่ใช่ความลับอะไร หากเขาชนะใจเทพธิดาโยวฉินสำเร็จก็จะได้เสพสุข ไม่พูดถึงประโยชน์ด้านพลังยุทธ์ที่ได้จากร่างคู่สามีภรรยา ตำแหน่งของเขาที่หอเซียนสรรพสิ่งจะพัฒนาขึ้นอีกขั้นเพราะเป็นพันธมิตรกับสำนักอภิรมย์สำเร็จอีกด้วย”
ขณะที่ผู้คนกำลังคุยกัน คนแถวหนึ่งก็เดินเข้ามาจากนอกประตู คนที่เดินนำหน้าเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาที่สวมเสื้อผ้าหรูหรา คงจะเป็นจั่วชิวเฮ่าอวี้
คนผู้นี้องอาจห้าวหาญ กลิ่นอายดุจกระบี่ที่ออกจากฝัก มองดูก็รู้ว่าเป็นมังกรหงส์ท่ามกลางมนุษย์
ผู้ดูแลตรอกสมบัติสวรรค์พาจั่วชิวเฮ่าอวี้ไปที่ห้องรับรองบนชั้นสอง แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้กลับทำให้หลายคนสนใจ
ห้องรับรองที่สูงศักดิ์ที่สุดของตรอกสมบัติสวรรค์คือห้องระดับสวรรค์และห้องระดับพิภพที่รองลงมา
ห้องระดับพิภพมีหลายห้อง แต่ห้องระดับสวรรค์มีเพียงห้องเดียว
ตอนแรกทุกคนคิดว่าจั่วชิวเฮ่าอวี้จะเข้านั่งที่ห้องระดับสวรรค์ คิดไม่ถึงว่าผู้ดูแลจะพาเขาไปยังห้องระดับพิภพ
จั่วชิวเฮ่าอวี้เองก็ขมวดคิ้วเบาๆ ให้กับการจัดการเช่นนี้ แต่จากนั้นผู้ดูแลก็อธิบายข้างหูเขาสองสามประโยค จั่วชิวเฮ่าอวี้มีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาทันทีและเข้าสู่ห้องระดับพิภพอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่อยู่ในห้องรับรองระดับสวรรค์มีตำแหน่งสูงกว่าจั่วชิวเฮ่าอวี้
เรื่องนี้ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าใครกันที่อยู่ในห้องรับรองระดับสวรรค์
คนในเมืองสรรพสิ่งที่ตำแหน่งสูงศักดิ์กว่าจั่วชิวเฮ่าอวี้ย่อมมีไม่น้อย อย่างเช่นผู้อาวุโสจากกลุ่มอิทธิพลชั้นยอด
แต่ผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่มาฟังเทพธิดาโยวฉินดีดฉินที่ตรอกสมบัติสวรรค์แน่นอน อย่างไรที่นี่ก็เป็นโลกของหนุ่มสาว
ในตอนนี้เองที่ในห้องโถงมีเสียงฉินอันแผ่วเบาดังขึ้นอย่างฉับพลัน
เสียงฉินนี้น่าประทับใจมาก ดุจดั่งดนตรีเซียนอันล่องลอย
แม้แต่อี้อวิ๋นก็ยังหวั่นไหว คลื่นเสียงแต่ละคลื่นเหมือนเพลงแต่ก็เหมือนเสียงร่ำไห้
ช่างเป็นเสียงฉินที่พิเศษยิ่งนัก
อี้อวิ๋นมองชายหนุ่มสองคนที่คุยกับเขาเมื่อครู่แล้วก็พบว่าพวกเขาถูกเสียงฉินสะกดอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่พวกเขา ทุกคนในห้องโถงต่างมีสีหน้าเคลิบเคลิ้มกันหมด
เสียงฉินนี้ไม่ธรรมดา!
อี้อวิ๋นรู้สึกได้ว่าในเสียงฉินมีกำลังจิตที่พิเศษมากแฝงอยู่ มันส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณผู้ฟัง
อีกอย่าง เมื่อคลื่นเสียงกระเพื่อมออก กฎในอากาศที่อยู่รอบๆ ก็รวมตัวกันเองตามธรรมชาติจนกลายเป็นอักขระเสียงที่มองไม่เห็นและร่ายรำกลางอากาศ
ฉินหนึ่งตัวไม่ได้ดีดอักขระเสียงออกมา มันดีดกฏออกมาต่างหาก
วิถีฉิน…
ทั้งยังมีกฎแห่งจิตวิญญาณ
อี้อวิ๋นพิจารณาในใจ
“นี่คือเสียงฉินของเทพธิดาโยวฉิน!”
ไม่รู้ใครกันที่พูดประโยคนี้ ทุกคนมองตามที่มาของเสียงฉินก็พบว่ากลางห้องโถงมีผ้าแพรสีขาวหลายสิบเส้นลอยลง หมอกเซียนลอยวน เงาร่างคนผู้หนึ่งปรากฏ ผมสีดำปลิวสยาย ดุจนางฟ้านางสวรรค์ลงมาโลกมนุษย์
นิ้วมือเรียวยาวบรรเลงไปบนฉิน เสียงฉินกระเพื่อมออกเป็นระลอกไปทั่วทุกทิศ ระลอกดังน้ำสะท้อนลงบนใบหน้าที่ค่อยๆ เงยขึ้นของนาง
ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องโถงก็ประหนึ่งถูกขโมยสีสันทันที แม้แต่ปะการังโลหิตม่วงอันงดงามก็เหมือนจะจืดจางลงเล็กน้อย
อี้อวิ๋นเองก็อดที่จะประทับใจไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้านี้
ช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติจริงๆ หาจุดบกพร่องไม่เจอแม้แต่น้อย
ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานที่ทิวทัศน์เช่นนี้ ทว่าเทพธิดาโยวฉินที่เป็นผู้สืบทอดของสำนักอภิรมย์กลับสูงส่งบริสุทธิ์มากจนไม่อาจเกิดความคิดดูหมิ่น
หลายคนมีสีหน้าหลงใหลท่ามกลางเสียงฉิน ดุจดั่งยินดีตายเพื่อเทพธิดาโยวฉิน
แต่แน่นอนว่าอี้อวิ๋นไม่ได้รับผลกระทบ จิตวิญญาณเขาแข็งแกร่ง ไม่ถูกมอมเมาง่ายๆ
เทพธิดาโยวฉินคนนี้…เหมือนว่าเราจะไม่เคยเจอมาก่อน
อี้อวิ๋นมองใบหน้าอันงามเลิศของเทพธิดาโยวฉินพร้อมครุ่นคิด แต่เขาก็นึกไม่ออกว่านางคล้ายใคร เดิมทีเขาคิดว่าหญิงปริศนาที่สวมทางกันนอกตรอกสมบัติสวรรค์อาจเป็นเทพธิดาโยวฉิน แต่ดูจากตอนนี้แล้วเขาคงเดาผิดไป
“ได้ยินว่าแขกผู้มีเกียรติมาถึง โยวฉินขอต้อนรับด้วยบทเพลง” เสียงอันงามเรียบดั่งเพลงดังออกมาจากไอหมอก เสียงนี้ประหนึ่งส่งเข้ากระดูกโดยตรง วนเวียนอ้อยอิ่งและความหมายลึกซึ้ง
คนที่ถูกเสียงฉินส่งผลกระทบต่างหลงใหลในเสียงของเทพธิดาโยวฉิน
คุณชายจั่วชิวพูดพร้อมหัวเราะว่า “ฮ่าฮ่า คิดไม่ถึงว่าวันนี้เทพธิดาโยวฉินจะไม่ใช้ผ้าคลุมหน้า ช่างเป็นโชคดีของพวกข้าจริงๆ”
เมื่อก่อนที่เทพธิดาโยวฉินปรากฏตัวก็ใช้ผ้าคลุมหน้าตลอด แต่วันนี้กลับไม่ใส่จนทุกคนได้เห็นหน้าตาที่แท้จริง
แม้จั่วชิวโฮ่วอวี้จะบอกว่าโชคดี แต่แท้จริงแล้วใจเขาไม่พอใจมาก เขาเป็นคนที่มีความเป็นเจ้าของรุนแรง เขาอยากให้เทพธิดาโยวฉินใช้ผ้าคลุมหน้าไปตลอดจนกว่าเขาจะพิชิตนางสำเร็จ ให้นางเผยหน้าอันงดงามเป็นเอกให้เขาเห็นแค่คนเดียว
การได้ครอบครองหญิงชั้นเลิศอย่างสมบูรณ์ทำให้จั่วชิวโฮ่วอวี้เกิดความรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
จอมยุทธ์ระดับล่างพวกนั้นมีสิทธิอะไรมาเห็นหน้าภรรยาในอนาคตของเขา?
“เทพธิดาโยวฉินพูดเกินไปแล้ว ข้าเองก็เพิ่งเคยมาฟังเจ้าดีดฉินที่ตรอกสมบัติสวรรค์ครั้งแรก เมื่อฟังแล้วจึงเพิ่งรู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองพลาดเสียงสวรรค์ไปมากแค่ไหน ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
ในตอนนี้เองที่มีเสียงอันทรงพลังส่งออกมาจากห้องรับรองระดับสวรรค์ ทุกคนได้ยินแล้วก็ตกใจ ฟังจากเสียงแล้วก็เป็นผู้อาวุโสจริงๆ ด้วย!
ผู้อาวุโสที่ตำแหน่งสูงกว่าจั่วชิวเฮ่าอวี้ก็มาฟังเทพธิดาโยวฉินดีดฉินเช่นกัน?
ขณะที่ทุกคนกำลังส่งสัยว่าผู้อาวุโสคนนี้คือใครก็เห็นว่าห้องรับรองระดับสวรรค์เปิดออก ชายวัยกลางสวมชุดคลุมม่วงทองก้าวเท้าออกมา
ชายวัยกลางคนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ คิ้วเข้มดุจกระบี่ กลิ่นอายไม่ธรรมดา
หลายคนตะลึงงันเมื่อเห็นชายผู้นี้ เขาคือ…ท่านเจ้าเมืองสรรพสิ่ง!
เมืองสรรพสิ่งก่อตั้งมาไม่รู้กี่ร้อยล้านปี แต่ตำแหน่งเจ้าเมืองกลับพิเศษมาก มันไม่เคยเป็นของกลุ่มอิทธิพลใดกลุ่มอิทธิพลหนึ่ง
ในฐานะที่เมืองสรรพสิ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าของโลกสวรรค์เทพหยาง ประโยชน์ที่เจ้าเมืองสรรพสิ่งจะได้รับย่อมมากจนไม่อาจจินตนาการ ด้วยเหตุนี้ แม้กลุ่มอิทธิพลต่างๆ จะถ่วงดุลสมดุลซึ่งกันและกันแต่ก็ไม่อยากเป็นเจ้าเมืองและตกอยู่ในมือกลุ่มอิทธิพลคู่แข่ง ไม่เช่นนั้นสมดุลระหว่างแต่ละกลุ่มก็จะถูกทำลาย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กลุ่มอิทธิพลต่างๆ จึงไม่อาจไม่ยอมถอยคนละก้าวและเลือกยอดฝีมือผู้เป็นเอกที่เป็นกลางมารับตำแหน่งเจ้าเมืองสรรพสิ่ง คนที่เลือกมานี้ต้องมีพลังที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ของกลุ่มต่างๆ ได้ระดับหนึ่ง
คนระดับนี้มาอยู่ที่นี่อย่างฉับพลัน คิดเอาก็รู้ว่ามีน้ำหนักขนาดไหน
ทุกคนต่างสงสัยว่าเหตุใดเจ้าเมืองสรรพสิ่งจึงมาตรอกสมบัติสวรรค์ พวกเขายังเห็นอีกด้วยว่าที่ด้านหลังท่านเจ้าเมืองมีหญิงชุดขาวที่กลิ่นอายสูงส่งบริสุทธิ์ผู้หนึ่งยืนอยู่
……………………………………………………
บทที่ 1140 สหายเก่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
สาวน้อยที่อยู่ด้านหลังเจ้าเมืองสรรพสิ่งดูท่าทางอายุไม่ถึงยี่สิบ นางสวมกระโปรงยาวสีขาว เข็มขัดผ้าลอยปลิว
สาวน้อยเดินมาข้างหน้าช้าๆ รูปร่างสูงเรียว ผิวพรรณขาวบริสุทธิ์ บนร่างมีเสน่ห์ที่เก็บงำไม่แผ่ออกมา งามล่มเมืองล่มโลก ลอยล่องดุจเซียน
สายตาทุกคนถูกดึงดูดอย่างควบคุมไม่ได้และยากจะละสายตา
“หญิงคนนี้สูงส่งบริสุทธิ์มากจริงๆ เทียบเคียงกับเทพธิดาโยวฉินได้เลย ควรจะพูดว่ามีเสน่ห์กันละแบบ”
“นางอยู่ในห้องรับรองสวรรค์กับท่านเจ้าเมือง หรือจะเป็นบุตรสาวของท่าน?”
ผู้คนพากันพูดคุยอย่างสงสัยในตัวตนของหญิงคนนี้
คุณชายสองคนที่อยู่ด้านข้างอี้อวิ๋นมองจนตาแทบถลน วันนี้มาไม่เสียเที่ยวจริงๆ ไม่เพียงได้เห็นเทพธิดาโยวฉินที่ไม่ใส่ผ้าคลุมหน้า แต่ยังได้เจอหญิงผู้เป็นเอกอีกคน
แต่พวกเขาก็รู้ว่าหญิงระดับนี้ไม่ใช่คนที่คนระดับพวกเขาจะแตะต้องได้
ขณะที่ทั้งคู่กำลังทอดถอนใจก็พบว่าอี้อวิ๋นที่อยู่ด้านข้างกำลังมองหญิงชุดขาวอย่างตกตะลึงและใจลอยเล็กน้อย
“น้องชาย มองไปก็ไม่มีประโยชน์ คนระดับนี้อยู่คนละโลกกับพวกเรา หลงใหลไปก็มีแต่จะเจ็บปวดเอง”
ขณะที่ชายหนุ่มท่าทางซื่อตรงพูดก็ตบไหล่ปลอบใจอี้อวิ๋นอย่างเป็นมิตร
อี้อวิ๋นพ่นลมหายใจเบาๆ เขาทำแค่ยิ้มให้ชายท่าทางซื่อตรงแต่ไม่อธิบายอะไร
เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอสหายเก่าที่แดนสวรรค์สรรพสิ่ง กลิ่นอายและพลังของอีกฝ่ายก้าวกระโดดด้านคุณภาพจนอี้อวิ๋นจำไม่ได้ในตอนแรก
หญิงผู้นี้คือองค์หญิงจิ้งจอกขาวที่เคยแข่งขันกับอี้อวิ๋น
ตอนนั้นที่อี้อวิ๋นไปโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ พลังของเขายังเทียบองค์หญิงจิ้งจอกขาวไม่ติด กระทั่งเมื่อเขาเจอความลับในศิลาแห่งความโกลาหลผลึกม่วงโดยบังเอิญ ได้ศึกษากงล้อหมื่นมารเกิดดับ ศึกษาวิถีแห่งการทำลายล้างแบบใหญ่จึงเอาชนะองค์หญิงจิ้งจอกขาวในการทดสอบได้อย่างพอผ่านไปได้
ต่อมาอี้อวิ๋นก็กราบราชาสายฝนเป็นอาจารย์ ออกจากเผ่าสกุลลั่ว จากนั้นก็เดินทางสู่โลกไม้ฟ้าพยับหมอก เขากับองค์หญิงจิ้งจอกขาวจึงไม่ได้ติดต่อกันอีก อี้อวิ๋นคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะเจอองค์หญิงจิ้งจอกที่โลกสวรรค์เทพหยาง
เหตุใดองค์หญิงจิ้งจอกขาวจึงมาโลกสวรรค์เทพหยาง? รู้จักเจ้าเมืองสรรพสิ่งได้อย่างไร?
อี้อวิ๋นสับสนงุนงง
แต่เขาแน่ใจว่าพลังขององค์หญิงจิ้งจอกขาวพุ่งทะยาน เดิมทีนางก็เป็นอัจฉริยะผู้เป็นเอก เมื่อตอนนี้เกิดการพัฒนาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก แม้จะอยู่ในกลุ่มอิทธิพลระดับเทพราชาก็เป็นอัจฉริยะหญิง
“เจ้าเมืองฉินพูดเกินไปแล้ว เป็นเกียรติของโยวฉินที่การดีดฉินวันนี้มีเจ้าเมืองฉินรับฟัง”
เทพธิดาโยวฉินเก็บฉินโบราณลงแล้วโค้งตัวคำนับให้เจ้าเมืองฉิน
“ฮ่าฮ่า!” เจ้าเมืองฉินหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเฒ่าจัวมีศิษย์เช่นเจ้าได้ก็เป็นโชคดีของเขาจริงๆ แม้แต่ข้ายังอิจฉา”
เจ้าเมืองฉินชมเทพธิดาโยวฉินอย่างไม่ตระหนี่ “ว่าไปแล้วแม้ข้าจะไม่มีศิษย์ที่โดดเด่นอะไร แต่สหายเก่าของข้าได้ศิษย์ชั้นดีมาคนหนึ่ง วันนี้ข้าจึงพามาให้พวกเจ้ารู้จักกัน”
เจ้าเมืองฉินพูดแล้วก็มององค์หญิงจิ้งจอกขาวที่อยู่ด้านหลัง “อู๋เสีย เจ้ามาทักทายโยวฉินสิ”
อู๋เสีย?
อี้อวิ๋นตกใจเล็กน้อย เขารู้ว่าคนในเผ่าจิ้งจอกต่างเรียกองค์หญิงจิ้งจอกขาวว่าองค์หญิงเสวี่ยเอ๋อร์ ไม่เคยได้ยินชื่ออู๋เสีย ไม่รู้ว่านี่ใช่ชื่อที่เปลี่ยนในภายหลังหรือเปล่า
“จัวโยวฉิน” เทพธิดาโยวฉินโค้งตัวให้องค์หญิงจิ้งจอกขาวเล็กน้อย
“เสวี่ยอู๋เสีย” องค์หญิงจิ้งจอกขาวทำความเคารพกลับ
อัจฉริยะหญิงสองคนทักทายกันอย่างสุภาพ ทว่าคำพูดต่อมาของเจ้าเมืองฉินกลับทำลายความสงบ
“เทพธิดาโยวฉิน ครั้งนี้สหายเก่าของข้าให้อู๋เสียมาเมืองสรรพสิ่งก็เพื่อฝึกฝน บังเอิญมากจริงๆ ที่อู๋เสียก็ฝึกวิถีฉินและวิชาจิตวิญญาณที่คล้ายคลึงกับเจ้าเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงแนะนำให้นางมาตรอกสมบัติสวรรค์”
“วิถีฉินของเทพธิดาโยวฉินไม่เป็นสองรองใคร หากพวกเจ้าได้แลกเปลี่ยนฝีมือกันก็ต้องมีความพัฒนาทั้งสองฝ่ายแน่นอน ไม่ทราบว่าเทพธิดาโยวฉินคิดเห็นอย่างไร?”
คำพูดของเจ้าเมืองฉินทำให้ทุกคนตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยิน เมื่อพวกเขาเข้าใจว่าเจ้าเมืองฉินหมายถึงอะไรก็ตกใจ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเจ้าเมืองฉินพาเสวี่ยอู๋เสียมารู้จักสหาย คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วมาเพื่อประลองฝีมือ
เรื่องนี้ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ชายในที่นี้อดตื่นเต้นไม่ได้
ตรอกสมบัติสวรรค์เป็นเขตของเทพธิดาโยวฉิน เทพธิดาโยวฉินปรากฏตัวมาสามปี คุณชายแทบจะทั้งเมืองสรรพสิ่งต่างหลงใหลในตัวนาง แต่น่าเสียดายที่นางสูงส่งบริสุทธิ์ไกลเกินเอื้อม คนที่ไล่จีบนางได้แต่ถอยกลับอย่างหมดอาลัย
แต่ตอนนี้กลับมีเทพธิดาอู๋เสียที่ไม่ด้อยไปกว่ากันปรากฏตัว พญาหงส์ทั้งสองประลองกันจะมีผลลัพธ์อย่างไร?
“โอ้? บังเอิญขนาดนี้เชียว…”
เทพธิดาโยวฉินมองเจ้าเมืองฉินแวบหนึ่งด้วยสีหน้านิ่งเรียบ นางรู้สึกได้ว่าระดับจิตวิญญาณของเสวี่ยอู๋เสียผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่านางแน่นอน
เทพธิดาโยวฉินไม่กลัวการแข่งขันเช่นนี้ ตรงกันข้าม นางยินดีรับเรื่องนี้มากด้วยซ้ำ นางรู้ดีว่าหากได้เจอคู่ต่อสู้ที่พลังใกล้เคียงกันก็จะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาระดับยุทธ์ของนางมาก
ความจริงที่นางเลือกปรากฏตัวในตรอกสมบัติสวรรค์ ดีดฉินต่อหน้าอัจฉริยะทั้งหลายในเมืองสรรพสิ่ง ใส่พลังวิญญาณลงในเสียงฉินและห่อหุ้มทุกคนไว้กลางเขตแดนฉินของตัวเองก็คือการฝึกวิถีฉินและจิตวิญญาณของนาง
นิ้วมือเรียวยาวขององค์หญิงจิ้งจอกขาวตวัดไปในอากาศ จุดแสงจำนวนมากรวมตัวกันเป็นฉินหางหงส์ใต้ปลายนิ้วนางและลอยกลางอากาศ
นางมองสายฉินทั้งเจ็ดพร้อมพูดว่า “เสียงฉินของเทพธิดาโยวฉินงดงามประทับใจ อู๋เสียไม่เคยกลัวการแข่งขัน ทว่าท่านอาจารย์สั่งมาอย่างเคร่งครัด อู๋เสียจึงได้แต่ทำตาม ว่าไปแล้วท่านอาจารย์ก็มีต้นกำเนิดเดียวกับสำนักอภิรมย์…”
เสียงขององค์หญิงจิ้งจอกขาวชะงักลงอย่างฉับพลันเมื่อพูดถึงตรงนี้ นางมองไปในฝูงชนอย่างประหลาดใจ เพราะชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้นางรู้สึกถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยที่เหมือนมีเหมือนไม่มี…
หรือที่นี่จะมีคนรู้จักเก่าของนาง?
……
ต้นกำเนิด? ต้นกำเนิดอะไรกันแน่?
ทุกคนรอให้องค์หญิงจิ้งจอกขาวพูดต่อ ทว่าองค์หญิงจิ้งจอกขาวกลับปิดปากเงียบ
แต่นางพูดถึงแค่ตรงนี้ทุกคนก็พอเดาได้ว่า ‘ต้นกำเนิด’ นี้คงไม่ธรรมดา
เป็นไปได้มากว่าอาจารย์ของเสวี่ยอู๋เสียมีอดีตกับสำนักอภิรมย์ ดังนั้นจึงได้ส่งนางที่เป็นลูกศิษย์ว่าวัดฝีมือกับผู้สืบทอดของสำนักอภิรมย์
บรรดาผู้ชมยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีกเมื่อคิดถึงตรงนี้
การประลองของอัจฉริยะหญิงเช่นนี้เป็นเรื่องที่หายากในรอบหมื่นปี!
‘เสวี่ยอู๋เสียผู้นี้ก็เป็นของชั้นยอดเหมือนกัน’
จั่วชิวเฮ่าอวี้มองเสวี่ยอู๋เสียด้วยใจที่คันคะเยอ เขาเกิดความปรารถนาที่จะยึดเอาเป็นของตัวเองอย่างรุนแรง ไม่ว่าด้านใดของเสวี่ยอู๋เสียก็ไม่ด้อยไปกว่าเทพธิดาโยวฉิน!
หากมีนางทั้งสองในห้องนอนได้ก็คงเป็นจุดสูงสุดของชีวิต
แต่เรื่องนี้ยากเกินไป จั่วชิวเฮ่าอวี้รู้ดีมากว่าการไล่จีบเสวี่ยอู๋เสียก็เต็มไปด้วยความยากลำบากเช่นกัน
แม้จะมีความยากสูง ทว่าจะเกิดความรู้สึกสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีความยาก ทั่วทั้งเมืองสรรพสิ่ง คนที่มีชาติกำเนิดและพลังเทียบเคียงกับเขาได้ก็มีแค่ไม่กี่คน หากพวกนางจะแต่งงาน ไม่เลือกเขาแล้วจะเลือกใคร?
ขณะที่จั่วชิวเฮ่าอวี้กำลังคิดเช่นนี้ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขามั่นใจในเรื่องนี้มาก
‘หืม? เสวี่ยอู๋เสียกำลังมองอะไรน่ะ?’
จั่วชิวเฮ่าอวี่สงสัย เขาค้นพบอย่างฉับพลันว่าเสวี่ยอู๋เสียที่นำฉินโบราณออกมาแล้วกำลังแบ่งความสนใจออกไป สายตานางมองไปยังมุมหนึ่งของที่นั่ง…ตำแหน่งที่นั่งของตรอกสมบัติสวรรค์มีราคาแตกต่างกัน ที่นั่งในมุมนี้ย่อมราคาต่ำที่สุด คนที่นั่งที่นี่ต่างเป็นพวกยากจนและจอมยุทธ์ระดับต่ำในสายตาจั่วชิวเฮ่าอวี้
เหตุใดเสวี่ยอู๋เสียจึงมองจอมยุทธ์ระดับต่ำพวกนี้?
จั่วชิวเฮ่าอวี้ไม่เข้าใจ เขาสังเกตสายตาของเสวี่ยอู๋เสียอย่างละเอียด ท้ายที่สุดก็แน่ใจว่านางกำลังมองเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มคนนี้มีสาวใช้ที่หน้าตานับว่าโดดเด่นคอยติดตาม แต่หน้าตาเช่นนี้ไม่นับเป็นอะไรในโลกของจอมยุทธ์ ทั้งเด็กหนุ่มคนนี้ก็แต่งตัวธรรมดา บนร่างไม่เครื่องหมายของกลุ่มอิทธิพลใหญ่ เห็นได้ชัดว่าชาติกำเนิดธรรมดา ไม่มีอะไรน่าสนใจ
………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น