True Martial World พิภพเทพยุทธ์ 1135-1137
บทที่ 1135 รักษา
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘คราวนี้เสียเอ๋อร์จะได้รอดแล้ว’ อี้อวิ๋นพลิกฝ่ามือเก็บรากคืนวิญญาณลงสู่แหวนมิติ
“ท่านผู้อาวุโส” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ที่อยู่ด้านข้างพูดอย่างอดไม่ได้ เวลานี้เขาเป็นกังวลเล็กน้อย
ตอนนี้อี้อวิ๋นได้รากคืนวิญญาณมาแล้ว หากเขาจะหนีไปก็ไม่มีใครห้ามได้
แม้อี้อวิ๋นจะดูไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงการอยู่รอดของสำนัก ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ไม่อาจวางใจ
หรูเอ๋อร์เองก็มองอี้อวิ๋นอย่างเป็นกังวล นางอยากรู้ว่าท่านพ่อของนางจะฟื้นภายใต้การรักษาของอี้อวิ๋นได้จริงหรือไม่
อี้อวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ความจริงบาดแผลบนตัวเจ้าสำนักของพวกเจ้าไม่ได้รุนแรง แต่จุดตันเถียนในร่างถูกผนึก พลังปราณไม่อาจไหลเวียน ดังนั้นลำพังแค่วางรากคืนวิญญาณไว้บนร่างเขาอย่างเดียวก็ทำได้แค่รักษาชีวิต ไม่อาจรักษาเขาได้”
คิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นจะมองอาการของท่านเจ้าสำนักออกในแวบเดียว ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่มีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ท่านผู้อาวุโสพูดเช่นนี้ก็คงมีวิธีรักษาใช่ไหมขอรับ?”
“คงจะใช่…” อี้อวิ๋นพยักหน้า “ข้าอ่านเทียบโอสถเทียบหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าไม่เคยหลอมโอสถ แต่คิดว่าคงไม่มีปัญหา”
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่และศิษย์สำนักหม้อชาดที่อยู่ที่นี่ต่างเลิกคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ยินอี้อวิ๋นพูดเช่นนี้
นี่…อ่านเทียบโอสถแค่ผ่านๆ ตา จะไม่มีปัญหาจริงหรือ?
“หาห้องเงียบๆ ให้ข้า หากไม่มีคำสั่งจากข้าก็ห้ามรบกวนเด็ดขาด ถ้าต้องการอะไรข้าจะบอกให้รู้เอง” อี้อวิ๋นพูด
“ขอรับๆ เรื่องนี้แน่นอน” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่รีบตอบ
ตอนนี้สำนักหม้อชาดเหลือคนอยู่ไม่มาก ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่จึงถือโอกาสมอบพื้นที่ส่วนลึกของหุบเขาที่มีลานบ้านสองสามลานให้อี้อวิ๋นอยู่คนเดียว
ศิษย์คนอื่นๆ ถูกเขาสั่งอย่างเคร่งครัดว่าห้ามเข้าใกล้
อี้อวิ๋นเข้าพักในลานบ้านแห่งหนึ่ง ส่วนอีกลานก็ถูกเขาสร้างค่ายกลเล็กๆ เอาไว้แล้ววางหม้อโอสถ
หุบเขานี้มีเมฆหมอกวนเวียนทั้งปี ป่าไผ่เขียวชอุ่ม เมื่ออี้อวิ๋นเข้าพักในหุบเขาก็เริ่มศึกษาคัมภีร์ของเทพโอสถเป็นอย่างแรก
แม้เขาจะท่องคัมภีร์เหล่านี้ได้ไหลลื่นเหมือนสายน้ำ แต่วิชาโอสถที่บันทึกไว้ภายในซับซ้อนเกินไป หากจะให้เข้าใจทั้งหมดก็เป็นภาระที่หนักอึ้ง
อี้อวิ๋นนั่งอยู่กลางป่าไผ่ ถ้วยชาวางอยู่ในมือ สายลมพัดเบาๆ ใบไม้ส่งเสียงซ่าๆ ฟังแล้วให้ความรู้สึกสบายใจมาก
คนจากสำนักหม้อชาดออกไปหมดแล้ว ประตูสำนักปิดสนิทจึงเงียบสงบมาก ไม่มีความขัดแย้งอะไร
จอมยุทธ์มีอายุขัยยืนยาว แต่เส้นทางแห่งยุทธ์กลับเต็มไปอันตรายแสนสาหัส มีน้อยมากที่อี้อวิ๋นจะมีวันเวลาสุขสงบเช่นนี้
หลังจากที่อ่านบันทึกของเทพโอสถได้ครึ่งเดือน อี้อวิ๋นก็รู้สึกว่าใจตัวเองค่อยๆ สงบลง
ในบันทึกของเทพโอสถบอกไว้ว่าหลอมโอสถเหมือนหลอมเทพ อย่างแรกคือต้องให้ใจตัวเองสว่างไสว โอสถที่หลอมจึงจะไม่มีสิ่งเจือปนและเป็นโอสถที่บริสุทธิ์จนน่าตกใจ
อี้อวิ๋นนำวัตถุดิบส่วนหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ ก่อนที่เขาจะออกจากแดนสวรรค์กลาง จีสุ่ยเยียนได้ใช้ร้านความลับเทพมารวบรวมวัตถุดิบล้ำค่าจำนวนมากแล้วส่งมาที่สำนักกระบี่สระใสให้อี้อวิ๋น สมุนไพรเหล่านี้มีคุณภาพหลากหลาย เพียงพอให้อี้อวิ๋นหลอมโอสถสำหรับเจ้าสำนักหม้อชาด
หลังจากที่เตรียมวัตถุดิบเสร็จ เงาร่างอี้อวิ๋นก็กระพริบมายังลานบ้านที่วางหม้อโอสถพร้อมกับกล่องสมุนไพร
ลานบ้านนี้มีค่ายกลที่อี้อวิ๋นวางไว้ก่อนหน้านี้ ครึ่งเดือนมานี้มันคอยรวบรวมพลังวิญญาณในหุบเขาไม่หยุดจนกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขนาดเล็ก
ตูม!
ฝาหม้อลอยออก แววตาอี้อวิ๋นนิ่งสงบเหมือนน้ำ เขานำสมุนไพรใส่ลงหม้อไปทีละอย่าง
“เพลิงมา” อี้อวิ๋นยื่นมือออกไปโบก ไฟหยางบริสุทธิ์ลูกหนึ่งปรากฏและห่อหุ้มหม้อโอสถในชั่วพริบตา
ส่วนสำคัญที่สุดในการหลอมโอสถคือการดึงพลังโอสถและหลอมกฎให้เป็นเม็ด อี้อวิ๋นมีผลึกม่วงสำหรับด้านนี้ ดึงพลังโอสถได้ง่ายเหมือนกินข้าว ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องใช้เพลิงก็ทำสำเร็จได้ ส่วนเรื่องที่จะใช้เชื้อเพลิงเทพมารมาหลอมโอสถระดับต่ำเช่นนี้ก็เกินกว่าเหตุ ไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย
การหลอมโอสถเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความจดจ่อและเวลามาก ด้วยเหตุนี้เทพโอสถจึงบอกว่าหลอมโอสถเหมือนหลอมเทพ
แต่พลังวิญญาณของอี้อวิ๋นแข็งแกร่งมาก เขาทำได้อย่างไม่มีความยากแม้แต่น้อย
อี้อวิ๋นยืนอยู่หน้าหม้อโอสถ เขาควบคุมไฟหยางบริสุทธิ์ไปด้วย คอยส่งสมุนไพรใหม่ๆ เข้าสู่หม้อโอสถตามการเปลี่ยนแปลงในหม้อไปด้วย…
เวลาผ่านไปแล้วสิบวันอย่างไม่รู้ตัว
ตูม!
เสียงดังสนั่นที่ดังขึ้นกลางหุบเขาของสำนักหม้อชาดอย่างฉับพลันจนศิษย์ทุกคนตกใจ
เมื่อพวกชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่รุดหน้ามาถึงที่พักของอี้อวิ๋นก็เห็นว่าเงาร่างอี้อวิ๋นกระพริบออกจากลานกว้างไป บนร่างเหมือนมีควันสีฟ้า
อี้อวิ๋นมองลานบ้านที่มีควันขโมง มุมปากยกยิ้มขึ้น “เป็นปัญหาที่คิดไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ ด้วย…”
อี้อวิ๋นพูดพึมพำกับตัวเอง พวกชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กับหรูเอ๋อร์ต่างเป็นกังวล พวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้วก็คิดว่าคงหลอมโอสถล้มเหลว
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ถอนหายใจ อย่างไรนี่ก็เป็นโอสถที่ท่านผู้อาวุโสไม่เคยหลอมมาก่อน หากจะล้มเหลวก็เป็นเรื่องปกติ เขากลัวแต่ว่าท่านผู้อาวุโสจะค่อยๆ หมดความอดทน ไม่รู้ว่าจะยอมแพ้หรือเปล่า
“ลำบากท่านผู้อาวุโสแล้ว เดิมทีโอสถฟื้นฟูวิญญาณก็หลอมยากมากอยู่แล้ว ทั้งยังต้องใช้กำลังจิต…”
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่เพิ่งพูดจบก็เห็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งมาหาพวกเขา
แสงสีขาวนี้ร่วงลงในมือหรูเอ๋อร์ เมื่อหรูเอ๋อร์มองดูให้ชัดก็พบว่าเป็นขวดโอสถสีขาว
“เมื่อครู่ข้าลองหลอมโอสถอีกประเภทแต่ล้มเหลว แต่โอสถของพวกเจ้าข้าหลอมเสร็จแล้ว เอาไปให้เจ้าสำนักของพวกเจ้ากินเถอะ ข้าจะหลอมโอสถต่อ พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”
อี้อวิ๋นพูดจบก็พุ่งตัวกลับไปยังลานบ้านเหมือนควันสีฟ้าสายหนึ่ง
เขาเจอสาเหตุของความล้มเหลวและอยากลองดูใหม่เดี๋ยวนี้
พวกชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ที่อยู่นอกลานต่างยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่มองขวดโอสถในมือหรูเอ๋อร์แล้วกลืนน้ำลาย
โอสถประเภทอื่น? โอสถของเจ้าสำนักหลอมเสร็จในกระบวนการนี้?
น่าขันที่เมื่อครู่เขาคิดจะปลอบใจท่านผู้อาวุโส…
“หรูเอ๋อร์ เร็วเข้า เอาโอสถไปช่วยท่านเจ้าสำนัก!” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ได้สติอย่างฉับพลัน อี้อวิ๋นมอบโอสถนี้ให้อย่างไม่ใส่ใจ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตอบสนองไม่ทันในตอนแรก นี่คือโอสถช่วยชีวิตท่านเจ้าสำนักเชียวนะ!
“เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว!” หรูเอ๋อร์กำขวดโอสถไว้แน่นมือ แม้โอสถจะบรรจุไว้ในขวดแต่ก็มีกลิ่นหอมของโอสถที่น่าหลงใหลส่งออกมา
พวกเขามาถึงห้องลับที่ปกป้องท่านเจ้าสำนักอย่างรวดเร็ว
หรูเอ๋อร์เปิดขวดโอสถออก ทันใดนั้นโอสถสีขาวเหมือนหยกเม็ดหนึ่งก็กลิ้งออกมาอยู่กลางมือนาง
“ท่านพ่อ…” หรูเอ๋อร์ป้อนโอสถเม็ดนี้เข้าสู่ปากชายวัยกลางคนอย่างระมัดระวัง
ทุกคนมองภาพนี้อย่างประหม่า โอสถเม็ดนี้คือสิ่งที่จะตัดสินความเป็นความตายของเจ้าสำนัก ทั้งยังตัดสินชะตากรรมสำนักหม้อชาดของพวกเขาด้วยเช่นกัน
ทุกคนกลั้นหายใจมองอย่างจดจ่อ ในห้องเงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก
“ทุกคนไม่ต้องตื่นเต้นเกินไป การฟื้นฟูวิญญาณต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เจ้าสำนักก็หลับใหลมานานถึงสิบปี พวกเราร้อนใจไปก็ไร้ประโยชน์ รออย่างช้าๆ เถอะ”
ขณะที่ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กำลังพูด ในตอนนี้เองที่ชายวัยกลางคนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงก็ตัวสั่นขึ้นอย่างฉับพลัน จากนั้นนิ้วมือก็ค่อยๆ งอ
“แค่กๆ!”
ชายวัยกลางคนยังคงหลับตา ทว่าลำคอเขากลับมีเสียงไอต่ำๆ ส่งออกมา ความรู้สึกนี้ก็เหมือนคนที่ไม่หายใจมานานแล้วมาหายใจอย่างฉับพลันจึงทำให้ปอดไม่คุ้นชิน
“นี่…”
ศิษย์สำนักหม้อชาดที่อยู่ที่นี่ต่างใจเต้นผิดหวัง ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของชายวัยกลางคนเกี่ยวพันถึงใจพวกเขา
“ข้าเป็นอะไรไปหรือ…เกิดอะไรขึ้น…”
ร่างของชายวัยกลางคนสั่นเบาๆ จุดตันเถียนที่ถูกผนึกเกิดรอยแยกเล็กๆ มากมาย พลังปราณไหลสายไหลบ่าเข้าสู่เส้นลมปราณเหมือนสายน้ำ
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตากวาดมองทุกคนอย่างงุนงง เสียงเขาฟังเหมือนกำลังละเมอ เขารู้สึกว่าตัวเองประหนึ่งหลับฝันมานาน ไม่รู้ว่าฝันนี้ผ่านมานานแค่ไหน…
ตอนนี้หรูเอ๋อร์มีน้ำตานองหน้า
“ท่านพ่อ!”
หรูเอ๋อร์พุ่งตัวเข้าสู่อ้อมอกชายวัยกลางคนดั่งสายลม
“ท่านเจ้าสำนักฟื้นแล้ว!”
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่เอามือเช็ดดวงตาที่แดงก่ำเช่นกัน สิบปีมาแล้ว สำนักหม้อชาดอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่น ภาระอันหนักอึ้งตกอยู่บนบ่าเขา เขาแบกรับอะไรไว้หลายอย่างจริงๆ เรียกได้ว่าโอสถเม็ดนี้ช่วยชีวิตทุกคนในสำนักหม้อชาด
บทที่ 1136 หอเซียนสรรพสิ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในที่สุดสำนักหม้อชาดที่เดิมทีอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่นก็พ้นขีดอันตราย
เรื่องนี้เป็นเหมือนการตายแล้วฟื้นคืนชีพสำหรับเจ้าสำนักหม้อชาด เขาพาเสี่ยวหรูผู้เป็นบุตรสาวมาขอบคุณอี้อวิ๋น เมื่อมาถึงที่พักของอี้อวิ๋นก็พบว่าอี้อวิ๋นกำลังนั่งสมาธิจึงรอให้เขานั่งสมาธิเสร็จอยู่ข้างนอกเงียบๆ
“พวกเจ้าเข้ามาเถอะ” อี้อวิ๋นพูด
เจ้าสำนักหม้อชาดผลักประตูออกเมื่อได้ยินดังนี้ หลังจากที่เข้ามาก็ทำความเคารพให้อี้อวิ๋นเคารพนบนอบ
“ข้าน้อยเจ้าสำนักหม้อชาด นามว่าหลินเทียนเฉิง ขอทำความเคารพท่านผู้อาวุโสอี้ ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตขอรับ”
หรูเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างหลินเทียนเฉิงรีบทำความเคารพตามแบบฉบับของผู้น้อยเช่นกัน อี้อวิ๋นเป็นผู้อาวุโสยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งมากในสายตาสำนักหม้อชาด
“เราต่างก็คว้าสิ่งที่ตัวเองต้องการ ข้าต้องการไม้เลี้ยงวิญญาณชิ้นนี้ ความจริงการที่ข้าช่วยเจ้าก็ไม่ได้ยากอะไรเลย ไม้เลี้ยงวิญญาณนี้มีประโยชน์ต่อข้ามากด้วยซ้ำ นับว่าข้าเป็นฝ่ายได้เปรียบ”
อี้อวิ๋นพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านผู้อาวุโสพูดหนักเกินไปแล้วขอรับ หากไม่มีท่าน ทั้งสำนักหม้อชาดก็อาจรักษาไว้ไม่ได้ ไม่ใช่แค่ว่าไม้เลี้ยงวิญญาณนี้มีค่าแค่ไหน ต่อให้มันมีค่ามากเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์สำหรับสำนักหม้อชาดของข้า อาจนำภัยมาสู่ตัวด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงของหลินเทียนเฉิงจริงใจมาก เขาไม่อยากได้ไม้เลี้ยงวิญญาณ เขาเดาได้นานแล้วว่านี่เป็นสมบัติชั้นสูง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะครอบครองได้
อี้อวิ๋นชื่นชมในคนที่ควบคุมความละโมบของตนเองได้เป็นอย่างมาก เขาพูดว่า “ข้าเป็นฝ่ายได้เปรียบมากในการซื้อขายครั้งนี้ ไม้เลี้ยงวิญญาณมีประโยชน์ต่อข้ามาก ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าเสียเปรียบแน่นอน พวกเจ้านำของพวกนี้ไป นับว่าเป็นสิ่งชดเชย”
ขณะที่อี้อวิ๋นพูดก็ดีดนิ้ว แหวนมิติวงหนึ่งบินเข้าสู่มือหลินเทียนเฉิง
หลินเทียนเฉิงรับมาดูแล้วก็เห็นว่าภายในแหวนมิติมีม้วนแผ่นหยกและขวดโอสถอยู่ไม่น้อย ทั้งหมดคือมรดกวิชาและโอสถธาตุกระดูก
“แม้ของพวกนี้จะมีจำนวนไม่มากแต่ก็มีค่ามากกว่าของที่ทิ้งไว้ให้พวกเจ้าเมื่อหนึ่งปีก่อนมากกว่าสิบเท่า ถือว่าชดเชยราคาของไม้เลี้ยงวิญญาณได้เล็กน้อย อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้และเรื่องไม้เลี้ยงวิญญาณออกไป มิเช่นนั้นจะนำภัยมาสู่ตัวพวกเจ้าเอง”
เพราะหลายปีมานี้อี้อวิ๋นสังหารศัตรู ทรัพย์สมบัติที่เขาสะสมจึงมีมหาศาล แต่เพราะรากฐานของอี้อวิ๋นแข็งแกร่งเกินไป คุณภาพของทรัพยากรที่ใช้จึงสูงเป็นอย่างยิ่ง สมบัติของอรหันต์ทั่วไปอาจไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกของเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่ถือสาหรือเสียดายที่ต้องมอบของเหล่านี้ให้คนอื่น
ทว่าสำหรับสำนักหม้อชาด สิ่งของในแหวนมิติวงนี้กลับเพียงพอให้พวกเขาเติบโต พลังของสำนักพัฒนาขึ้นอีกระดับ หลินเทียนเฉิงจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วไม่ปฏิเสธ ฟังจากคำบรรยายของหรูเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ เขาก็ได้รู้ว่าของพวกนี้ไม่นับเป็นอะไรสำหรับอี้อวิ๋น
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมากขอรับ”
“อื้ม พวกเจ้ารู้ไหมว่าพื้นที่ซื้อขายที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของแดนสวรรค์สรรพสิ่งอยู่ที่ไหน?”
แม้อี้อวิ๋นจะเจอบันทึกเกี่ยวกับแดนสวรรค์สรรพสิ่งในคัมภีร์ของเทพโอสถ แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน เวลาผ่านมานานถึงเพียงนี้ กลุ่มอิทธิพลในแดนสวรรค์สรรพสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปนานแล้ว
อี้อวิ๋นกังวลเล็กน้อยว่าจะไม่เจอสิ่งที่ตัวเองต้องการที่แดนสวรรค์สรรพสิ่ง
เขาจะใช้รากคืนวิญญาณมาหลอมโอสถวิญญาณเปล่า
โอสถวิญญาณเปล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยหลิงเสียเอ๋อร์ได้ มันมีประโยชน์ต่ออี้อวิ๋นมากเช่นกัน
จากบันทึกในคัมภีร์ของเทพโอสถ หลังจากที่กินโอสถวิญญาณเปล่านี้จะทำให้จิตวิญญาณเปลี่ยนแปลง กำลังจิตแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก
จิตวิญญาณมีความสำคัญต่อจอมยุทธ์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งการบรรลุ ควบคุมกฎ โจมตีทางจิต ตรวจสอบด้วยจิต หลอมโอสถ หลอมโอสถ ผสานค่ายกล ทั้งหมดล้วนแต่ต้องใช้จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งทั้งสิ้น
จิตวิญญาณของอี้อวิ๋นไม่ได้อ่อนแอ แต่เขาก็ยังไม่พอใจ
เขามีผลึกม่วง การควบคุมผลึกม่วงก็ต้องใช้จิตวิญญาณกับกำลังจิต
ทุกครั้งที่ใช้ผลึกม่วงจะเป็นการใช้พลังไม่น้อยสำหรับจิตวิญญาณของอี้อวิ๋น
อย่างเช่นการหลอมโอสถ อี้อวิ๋นมีพรสวรรค์ด้านการหลอมโอสถมากที่สุด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผลึกม่วง
อาศัยผลึกม่วงมาสกัดและควบคุมการไหลเวียนของพลังโอสถ อี้อวิ๋นแสดงพรสวรรค์ด้านวิชาปรมาจารย์อสูรที่ไม่มีใครเทียบได้มาหลายปีแล้ว เขาถึงขั้นเอาชนะลั่วหั่วเอ๋อร์ที่ฝึกวิชาปรมาจารย์อสูรหลายปีในหลายๆ ด้านด้วย
หากมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง อี้อวิ๋นก็จะเป็นดังเสือติดปีก ควบคุมผลึกม่วงง่ายเหมือนปลาได้น้ำ
แต่การหลอมโอสถวิญญาณเปล่าต้องใช้สมุนไพรเสริมอื่นด้วย สมุนไพรเสริมแต่ละอย่างก็มีค่าเป็นอย่างยิ่ง
สมุนไพรเสริมสองอย่างที่หายากที่สุดคือ ‘ทรายยมโลก’ และ ‘วารีสวรรค์’
ทั้งสองต่างเป็นวัตถุฟ้าดินที่เกิดจากการหล่อเลี้ยงของพลังวิญญาณฟ้าดินในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว เดิมทีสภาพแวดล้อมที่ตรงตามเงื่อนไขก็หายากมากอยู่แล้ว และต่อให้มีสภาพแวดล้อมเช่นนี้อยู่จริงก็ใช่ว่าจะมี ‘ทรายยมโลก’ กับ ‘วารีสวรรค์’ กำเนิด
แต่แน่นอนว่าเมื่อนำสองสิ่งนี้มาเทียบกับรากคืนวิญญาณในมืออี้อวิ๋นก็มีมูลค่าด้อยกว่าเล็กน้อย
ดูจากขนาดของรากคืนวิญญาณ หากเจอ ‘ทรายยมโลก’ และ ‘วารีสวรรค์’ ได้มากพอ อี้อวิ๋นก็อาจหลอมโอสถวิญญาณเปล่าได้หกเจ็ดเม็ด
หลิงเสียเอ๋อร์ใช้แค่สองเม็ดก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือก็ไว้ให้อี้อวิ๋นเพิ่มความแข็งแกร่งให้จิตวิญญาณ
“เรียนท่านผู้อาวุโส ร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในแดนสวรรค์สรรพสิ่งคือหอเซียนสรรพสิ่ง หอเซียนสรรพสิ่งมีสมบัติมหาศาล ภายในมีสมบัติฟ้าดินนับไม่ถ้วน ท่านผู้อาวุโสต้องเจอสิ่งที่ต้องการแน่ขอรับ”
หอเซียนสรรพสิ่ง?
อี้อวิ๋นเคยอ่านเจอชื่อนี้จากคัมภีร์ของเทพโอสถ แต่เกรงว่าเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อนหอเซียนสรรพสิ่งจะยังไม่ใช่กลุ่มอิทธิพลสิบอันดับแรกของแดนสวรรค์สรรพสิ่งด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเป็นกลุ่มอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดของแดนสวรรค์สรรพสิ่ง
การค้าขายในแดนสวรรค์สรรพสิ่งมีกลุ่มอิทธิพลจากโลกสวรรค์เทพหยางมารวมตัวจำนวนมาก ผลกำไรที่กลุ่มอิทธิพลอันดับหนึ่งได้รับคงมากจนไม่อาจจินตนาการ
“พูดเรื่องหอเซียนสรรพสิ่งให้ข้าฟังดู”
หลินเทียนเฉิงพูดอย่างเคารพว่า “เรียนท่านผู้อาวุโส หอเซียนสรรพสิ่งควบคุมการซื้อขายวัตถุล้ำค่าในแดนสวรรค์สรรพสิ่งประมาณเจ็ดส่วน ประมุขหอเซียนสรรพสิ่งคนปัจจุบันมีนามว่าถังเชียนอวี่ ถังเชียนอวี่ผู้นี้เป็นบุคคลระดับตำนานของแดนสวรรค์สรรพสิ่ง เขาเป็นเทพราชาสำเร็จเมื่อสิบล้านปีก่อน ผลักหอเซียนสรรพสิ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด คนระดับนั้นไม่ใช่คนที่ท่านผู้อาวุโสจะจินตนาการออก…”
ถังเชียนอวี่?
อี้อวิ๋นพยักหน้า แดนสวรรค์สรรพสิ่งไม่ใช่สิ่งที่แดนสวรรค์เล็กๆ ทั่วไปจะเทียบได้ ในฐานะที่เป็นกลุ่มอิทธิพลอันดับหนึ่งของที่นี่ ภายในคลังย่อมต้องมีวัตถุล้ำค่าจำนวนมหาศาล แต่ละวันต้องควบคุมการซื้อขายนับไม่ถ้วน หากไม่มีเทพราชารักษาการณ์ก็คงถูกปล้นหมดไปนานแล้ว
หอเซียนสรรพสิ่งที่มีเทพราชารักษาการณ์น่าจะมีทรายยมโลกกับวารีสวรรค์ แต่ไม่รู้ว่าราคาเท่าไร…
อี้อวิ๋นปวดหัวเล็กน้อยเมื่อพูดเรื่องราคา
ตอนนี้สถานการณ์ของเขากระอักกระอ่วนมาก ด้านหนึ่งคือมีรากฐานดีเกินไป คุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้จึงสูงมาก อีกด้านคือเขายังยากจนมากเมื่อเทียบกับคนที่สะสมสมบัติมาหลายปี
เขาไม่ได้เปรียบอะไรเมื่อแข่งกับคนเหล่านั้น
‘ไม่ว่าอย่างไรก็ลองไปที่หอเซียนสรรพสิ่งก่อนแล้วค่อยวางแผนอีกที’
บทที่ 1137 หอสรรพสิ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฟึ่บ!
พลังปราณของค่ายกลส่งข้ามสั่นไหว เงาร่างของอี้อวิ๋นกับหรูเอ๋อร์ปรากฏขึ้นกลางค่ายกล
“ท่านผู้อาวุโส ด้านหน้าก็คือเมืองสรรพสิ่งแล้วเจ้าค่ะ” หรูเอ๋อร์พูด
จากสำนักหม้อชาดมาจนถึงพื้นที่ใจกลางแดนสวรรค์สรรพสิ่ง อี้อวิ๋นกับหรูเอ๋อร์ก็ผ่านค่ายกลส่งข้ามก็สองสามค่าย ในที่สุดก็ถึงที่หมาย
แดนสวรรค์สรรพสิ่งกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง พื้นที่ใจกลางของมันก็คือเมืองสรรพสิ่ง
อี้อวิ๋นมองไปด้านหน้าเมื่อออกจากค่ายกลส่งข้าม ทั่วทั้งเมืองสรรพสิ่งสร้างอยู่บนที่ราบขนาดยักษ์ เมื่อทอดสายตาออกไปก็เห็นหอศาลาทอดตัวกันแน่นขนัด ทั่วทั้งที่ราบมีปราณฟ้าดินอันโหมซัดสาดรวมตัวไปทางเมืองสรรพสิ่งไม่หยุด อยู่ห่างออกมาไกลก็ยังรู้สึกถึงแรงสยบอันน่ากลัว
“ท่านผู้อาวุโส เมืองสรรพสิ่งไม่อนุญาตให้เหาะเหิน พวกเราเรียกรถม้าไปกันเถอะเจ้าค่ะ” หรูเอ๋อร์พูด
“อื้ม เจ้าไปเรียกเถอะ” อี้อวิ๋นพยักหน้า
เขาไม่คุ้นเคยกับเมืองสรรพสิ่งแม้แต่น้อย หลินเทียนเฉิงจึงให้หรูเอ๋อร์มากับเขา หรูเอ๋อร์เคยมาเมืองสรรพสิ่งหลายครั้ง เรียกได้ว่ารู้จักที่นี่เป็นอย่างดี ช่วยลดความยุ่งยากให้อี้อวิ๋นมาก
“ต่อจากนี้เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านผู้อาวุโส เรียกตามชื่อสกุลข้าก็พอ” อี้อวิ๋นพูด
แม้เขาจะไม่สนใจที่ถูกคนอื่นเข้าใจอายุผิด แต่หากจะต้องถูกเรียกว่าผู้อาวุโสทุกวันก็รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
“เช่นนั้น…ข้าจะเรียกท่านว่าคุณชายแล้วกันนะเจ้าคะ” หรูเอ๋อร์พูดอย่างเคอะเขิน “คุณชายเองก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าแม่นางหนานกงอีก เรียกว่าหรูเอ๋อร์ก็พอเจ้าค่ะ”
หรูเอ๋อร์ใช้สกุลตามมารดา อี้อวิ๋นเรียกนางว่าแม่นางหนานกงมาตลอดทาง ทำให้สาวน้อยประหม่าเล็กน้อย
“ได้” อี้อวิ๋นตอบ
หรูเอ๋อร์เรียกรถม้าคันหนึ่งมาอย่างรวดเร็ว ม้าที่ลากรถตัวสูงใหญ่แข็งแรง ทั่วร่างมีพลังปราณแผ่ออกมา ดูแล้วสง่าไม่ธรรมดา เมื่ออี้อวิ๋นเข้าสู่รถม้าก็พบว่าภายในกว้างขวางและหรูหรามาก
“ว่ากันว่าในเมืองสรรพสิ่งรวบรวมไว้ซึ่งของดีทั้งหมดในแดนสวรรค์สรรพสิ่งและโลกสวรรค์เทพหยาง ที่นี่ไม่เพียงแต่มีสมบัติล้ำค่า สิ่งเริงรมย์ต่างๆ ก็มีเช่นกัน หอเซียนสรรพสิ่งจะจัดงานซื้อขายสมบัติทุกสิบปี ในงานจะมีสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในแดนสวรรค์สรรพสิ่งปรากฏ ดึงดูดคนจอมยุทธ์โลกสวรรค์เทพหยางหรือแม้กระทั่งโลกสวรรค์อื่นให้เข้ามา”
“งานซื้อขายครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในอีกสามปี ถึงเวลานั้นคุณชายต้องเจอสิ่งที่ต้องการในงานแน่นอนเจ้าค่ะ ในงานมีทุกอย่าง นี่คือสิ่งที่ทำให้เมืองสรรพสิ่งมีชื่อเสียง” หรูเอ๋อร์นั่งอธิบายให้อี้อวิ๋นฟังในรถม้า
“รออีกสามปีก็ไม่เป็นไร พวกเราอยู่ที่เมืองสรรพสิ่งไปก่อนแล้วกัน” อี้อวิ๋นพูด
“อื้ม เช่นนั้นเราต้องไปหอสรรพสิ่ง ที่นั่นเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนเงินของเมืองสรรพสิ่ง ซื้อเช่าบ้านและที่ดินเพื่ออยู่อาศัย” หรูเอ๋อร์พูด
อี้อวิ๋นพยักหน้า ระหว่างทางนี้หรูเอ๋อร์บอกเขาว่าแม้เมืองสรรพสิ่งจะใช้ศิลาพิภพและศิลาแห่งความโกลาหลเช่นกัน ทว่าสมบัติฟ้าดินที่ล้ำค่าจริงๆ กลับไม่อาจแลกเปลี่ยนด้วยศิลาพิภพ แต่ต้องใช้ ‘อักขระสรรพสิ่ง’ มาแลก
อักขระสรรพสิ่งนี้จัดทำขึ้นโดยกลุ่มอิทธิพลทั้งสิบในแดนสวรรค์สรรพสิ่ง หากจะได้มาก็มีเพียงวิธีเดียว นั่นคือนำสมบัติฟ้าดินไปจำนำให้กลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ ยิ่งเป็นสมบัติที่ล้ำค่าก็จะยิ่งได้อักขระมาก ส่วนสมบัติระดับต่ำ กลุ่มอิทธิพลทั้งสิบก็ไม่อยากรับซื้อ
พูดตามตรงแล้วแดนสวรรค์สรรพสิ่งก็นิยมใช้วัตถุมาแลกวัตถุ สกุลเงินอักขระมีเพื่อให้ประเมินราคาวัตถุง่ายขึ้น
รถม้าวิ่งไปบนถนนอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เข้าสู่ตัวเมือง อี้อวิ๋นก็เห็นว่าสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าที่คึกคัก บนท้องถนนมีผู้คนพลุ่กพล่านขวักไขว่ คึกคักกว่าเมืองของคนธรรมดาเป็นร้อยเป็นพันเท่า
บนท้องถนนมีกลิ่นอายอันแข็งแกร่งปรากฏเป็นครั้งคราว จอมยุทธ์ที่ผ่านไปมาต่างไม่อ่อนแอ ยากที่จะเห็นยอดฝีมือมารวมตัวกันมากขนาดนี้ในสถานที่อื่น
เวลาปกติก็มีจอมยุทธ์มาเมืองสรรพสิ่งมากขนาดนี้แล้ว หากถึงเวลาจัดงานซื้อขายก็เกรงว่าคงยิ่งคึกครื้น บรรยากาศคงยิ่งใหญ่มาก
ต่อให้ไม่ได้มาเพื่อซื้อสมุนไพรหลอมโอสถวิญญาณเปล่า การมาเมืองสรรพสิ่งสักครั้งก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตา
“คุณชาย ถึงหอสรรพสิ่งแล้วเจ้าค่ะ”
รถม้าจอดลงตรงหน้าหอขนาดสูงใหญ่แห่งหนึ่ง ที่นี่มีจอมยุทธ์เข้าออกเหมือนกระแสน้ำ
หรูเอ๋อร์เป็นคนนำทางอยู่ด้านหน้า เพียงไม่นานก็มีผู้ดูแลหอสรรพสิ่งคนหนึ่งเข้ามาต้อนรับ
“ลูกค้าท่านนี้ ไม่ทราบว่าต้องการอะไรขอรับ?” ผู้ดูแลคนนี้มีรอยยิ้มบนใบหน้า
อี้อวิ๋นมอบแหวนมิติกำหนึ่งให้อีกฝ่าย แหวนมิติเหล่านี้เขาได้มาหลังจากที่สังหารศัตรู
“อะไรที่มีประโยชน์ในนี้ก็ช่วยข้าแลกให้หมด อีกเรื่องคือช่วยหาที่พักที่เหมาะกับการฝึกฝน” อี้อวิ๋นพูด
“ได้ขอรับ เชิญทั้งสองท่านมาดื่มชาทางนี้ โปรดรอสักครู่” ผู้ดูแลรับแหวนมิติมาแล้วพูด
หอสรรพสิ่งอยู่ในสังกัดเมืองสรรพสิ่ง จอมยุทธ์ที่มาต่างมาแลกอักขระสรรพสิ่งที่นี่ อัตราการแลกเปลี่ยนย่อมเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้อี้อวิ๋นลงมือ จอมยุทธ์คนอื่นคงจัดการไปนานแล้ว
ขณะที่รอ ผู้ดูแลได้ส่งสมุดเล่มหนึ่งมาให้
อี้อวิ๋นตาเป็นประกายเมื่อเปิดสมุดเล่มนี้ ภายในบันทึกไว้ซึ่งราคาสินค้าของร้านต่างๆ
จิตของเขากวาดค้นไปในสมุด ไม่นานก็เจอสมบัติล้ำค่าหลายอย่างที่ทำให้ใจเต้น
ก่อนที่จะได้บันทึกของเทพโอสถ อี้อวิ๋นก็ไม่รู้สึกอะไรกับวัตถุเหล่านี้มากนัก แต่ตอนนี้วัตถุล้ำค่าเหล่านี้มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวง
สมบัติแทบทุกชิ้นใช้อักขระสรรพสิ่งเป็นป้ายราคา มีน้อยมากที่จะใช้ศิลาพิภพ
“แพงมาก…”
หรูเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างมองแล้วปวดตา สมบัติแต่ละอย่างใช้อักขระสรรพสิ่งสองสามหมื่น ต่อให้ขายสำนักหม้อชาดทิ้งทั้งสำนักก็ซื้อได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน
อี้อวิ๋นเห็นสมบัติบางอย่างในนั้นที่มีราคาสองสามแสนอักขระสรรพสิ่ง
‘หืม? คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีหญ้าสวรรค์รกร้าง เก้าแสนอักขระ นี่คือโอสถวิญญาณอันล้ำค่าที่มีบันทึกถึงในคัมภีร์ของเทพโอสถ แม้จะด้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรากคืนวิญญาณ แต่ก็ของที่เจอได้ด้วยโชค’
ราคาเก้าแสนอักขระฟังดูแพงมาก แต่อี้อวิ๋นกลับไม่รู้สึกเช่นกัน เขาเทียบราคากับสมบัติชิ้นอื่นๆ แล้วก็พบว่าสมบัติที่มีค่าไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของหญ้าสวรรค์รกร้างในสายตาอี้อวิ๋นต่างก็มีราคาสองสามแสนอักขระ
เห็นไดชัดว่าราคานี้ไม่สมเหตุสมผล
อี้อวิ๋นลูบคาง ดูแล้วใต้หล้านี้คงมีสมบัติมากเกินไปจริงๆ แม้แต่แดนสวรรค์สรรพสิ่งก็ไม่รู้มูลค่าของสมบัติทั้งหมด
ยกตัวอย่างหญ้าสวรรค์รกร้าง มันล้ำค่ามาในคัมภีร์ของเทพโอสถ แต่เทียบโอสถที่ใช้หญ้าสวรรค์รกร้างนี้อาจมีเพียงเทพโอสถคนเดียวที่ใช้ หรือไม่ก็หายสาบสูญไปในเวลาสองสามร้อยล้านปีต่อมา เรื่องนี้ทำให้หลายคนไม่รู้มูลค่าของหญ้าสวรรค์รกร้าง ไม่เช่นนั้นหากตั้งราคาขายที่สองสามล้านอักขระอี้อวิ๋นก็ไม่รู้สึกว่าแพง
‘เราต้องคว้าหญ้าสวรรค์รกร้างนี้มา’
ขณะที่อี้อวิ๋นกำลังคิด ผู้ดูแลคนนั้นก็กลับมา
“ลูกค้าท่านนี้ นี่คือตราหยกอักขระของท่าน หลังจากที่ตรวจสอบแล้วก็แค่ตีตราประทับทางจิตลงไป ตราหยกนี้ก็จะไม่ถูกผู้อื่นใช้” ผู้ดูแลส่งตราหยกกลับมา
อี้อวิ๋นรับตราหยกมาแล้วส่งกำลังจิตเข้าสู่ภายในก็ต้องมีสีหน้าทรุดลงเล็กน้อยทันที
จนมาก…
แหวนมิติสิบกว่าวงแลกได้แค่แปดหมื่นห้าพันอักขระ
แบบนี้จะซื้อหญ้าสวรรค์รกร้างได้อย่างไร แค่สมุนไพรที่เขาถูกใจสักต้นก็ยังซื้อไม่ได้
คิดดูแล้วก็ช่วยไม่ได้จริงๆ คนแข็งแกร่งที่อี้อวิ๋นสังหารก่อนหน้านี้คือระดับวังวิถี ภายในแหวนมิติมีแต่ของที่อี้อวิ๋นใช้ไม่ได้ สมบัติที่แท้จริงของเขาอย่างเจดีย์เทพจุติ คัมภีร์สุดยอดวิชาหมื่นปีศาจและบันทึกของเทพโอสถก็เอาออกมาไม่ได้
ความจริงสมบัติที่อี้อวิ๋นมีในตอนนี้ค่อนข้างมั่งคั่งแล้ว แต่เมื่อถึงเวลางานซื้อขายสมบัติ สมบัติในงานพวกนั้นก็อาจยิ่งแพง คนที่ทำการซื้อขายต่างเป็นอรหันต์ที่อยู่มาสองสามล้านปีหรือแม้กระทั่งเทพราชา!
เทียบกับคนเหล่านี้แล้วอี้อวิ๋นจึงยากจน
“ส่วนที่พักที่ท่านลูกค้าต้องการ ข้าได้จัดหาที่ฝึกที่เหมาะสมในเมืองสรรพสิ่งออกมา เชิญเลือกได้ตามสบายขอรับ” ผู้ดูแลนำแผนที่แผ่นหนึ่งออกมา
“ไม่ต้องล่ะ” อี้อวิ๋นครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเงยหน้าพูดว่า “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว หาหน้าร้านที่เงียบสงบให้ข้าแทนแล้วกัน”
ผู้ดูแลชะงักเล็กน้อยแต่ก็พูดพร้อมพยักหน้ายิ้มอย่างรวดเร็ว “ได้ขอรับ ข้าจะไปตรวจสอบดูว่ามีหน้าร้านไหนว่างเดี๋ยวนี้”
หลายคนมาทำการค้าที่เมืองสรรพสิ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“คุณชาย เหตุใดจึงเลือกร้านค้าหรือเจ้าคะ?” หรูเอ๋อร์ถามด้วยความแปลกใจ
“สมุนไพรที่ข้าต้องการมีราคาค่อนข้างสูง ตอนนี้ยังขาดอักขระอยู่จำนวนหนึ่ง หากจะรับประกันว่าได้มาแน่นอนก็เกรงว่าคงต้องใช้อักขระมากกว่านี้ ในเวลาสามปีนี้ข้าจะฝึกหลอมโอสถฝึกจิต ไม่สู้ถือโอสถเปิดร้านไปเลยดีกว่า” อี้อวิ๋นพูด
ก่อนหน้านี้อี้อว๋นพุ่งทะยานจากระดับรวมวิถีช่วงกลางมาถึงระดับวังวิถีในคราเดียว แม้ความเข้าใจด้านกฎของเขาจะมากแค่ไหนก็ไม่อาจเลี่ยงที่จะมีปัญหาบางอย่าง
เขาต้องการเวลามาทำให้ระดับยุทธ์ตกผลึก เวลาสามปีไม่เพียงพอด้วยซ้ำ
แต่ถึงกระนั้นอี้อวิ๋นก็จะฝึกยุทธ์ไปด้วย ศึกษาคัมภีร์ของเทพโอสถไปด้วย นำโอสถไร้ประโยชน์ที่หลอมออกมาไปขาย การค้าในเมืองสรรพสิ่งรุ่งเรือง ต่อให้เปิดร้านในที่เงียบสงบก็ใช้ว่าจะทำการค้าไม่ได้
อี้อวิ๋นมั่นใจในคุณภาพโอสถที่ตัวเองหลอม แม้จะไม่มีเทียบโอสถของเทพโอสถ โอสถธรรมดาที่อี้อวิ๋นเป็นผู้หลอมก็ได้รับการปรับปรุงคุณภาพให้สูงขึ้นมากอยู่ดี
………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น