True Martial World พิภพเทพยุทธ์ 1131-1134
บทที่ 1031 บุกวังวิถี
โดย
Ink Stone_Fantasy
เปลวไฟสีเทาเผาตัวเป็นกลุ่มกลางอากาศ เจี้ยนอู๋เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เวลาผ่านมาแค่ปีเดียวแต่เขากลับรู้สึกมองอี้อวิ๋นไม่ออก เหมือนว่าอี้อวิ๋นจะได้วัตถุเทพจากทะเลทรายกลบอาทิตย์จึงทำให้พลังพุ่งทะยาน แต่เจี้ยนอู๋เฟิงกับเจี้ยนปู๋อี้ต่างก็รู้ว่าการที่อี้อวิ๋นได้วัตถุเทพและสกัดสำเร็จก็แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของอี้อวิ๋น
ไม่ใช่แค่ชัยชนะที่มีต่อรองประมุขวังวิถีเจ็ดดารา ลำพังแค่หลอมวิญญาณหยางเข้าร่างด้วยระดับรวมวิถีก็ทำให้รู้สึกคาดไม่ถึงแล้ว
“เจ้า มานี่” อี้อวิ๋นคว้าคนจากวังวิถีเจ็ดดาราที่บาดเจ็บหนักคนหนึ่งมาไว้ด้านหน้า
คนผู้นี้เจ็บจนวิญญาณแทบออกจากร่าง แม้เขาจะกลัวจนตัวสั่นเมื่อเห็นอี้อวิ๋นแต่ก็มีแววตาเหี้ยมโหด เขาพูดด้วยเสียงอันแหบแห้งว่า “อี้อวิ๋น เจ้ากล้าลงมือกับพวกข้า เจ้ากับสำนักกระบี่สระใสไม่มีทางรอดพ้นจากการแก้แค้นของวังวิถีเจ็ดดาราแน่นอน!”
“แก้แค้น?” อี้อวิ๋นยิ้มบางๆ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องรอแล้ว ข้าจะเป็นฝ่ายบุกไปหาเองตั้งแต่ตอนนี้ นำทาง ไปวังวิถีเจ็ดดารา”
แม้อี้อวิ๋นจะสังหารทูตอวี้เหิงตั้งแต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะบีบยันต์ส่งเสียงสำเร็จ แต่ต่อให้ทูตอวี้เหิงส่งข่าวสำเร็จจริงๆ อี้อวิ๋นก็ไม่ใส่ใจนัก ในเมื่อเขาลงมือแล้วก็จะจัดการเรื่องนี้ให้หมดจด
“อี้อวิ๋นเขา…จะบุกไปสังหารวังวิถีเจ็ดดารา?”
คำพูดของอี้อวิ๋นทำให้พวกเจี้ยนอู๋เฟิงต้องตะลึงงันอีกครั้ง
วิธีที่เขาสังหารคนจากวังวิถีเจ็ดดาราเหล่านี้น่าตื่นตกใจก็จริง แต่คนเหล่านี้ไม่ใช่พลังทั้งหมดของวังวิถีเจ็ดดารา
วังวิถีเจ็ดดาราเป็นสำนักชั้นหนึ่งของแดนสวรรค์กลาง มีค่ายกลป้องกันสำนัก ยอดฝีมือและมรดกย่อมไม่น้อยแน่นอน
แต่พวกเขาห้ามอี้อวิ๋นไม่ทันแล้ว อี้อวิ๋นพาคนจากวังวิถีเจ็ดดาราผู้นั้นพุ่งเป็นลำแสงออกไปไกล
“พวกเราตามเขาไป” เจี้ยนอู๋เฟิงพูด เจี้ยนเสี่ยวซวงที่อยู่ด้านหลังรู้สึกเหมือนกำลังฝัน
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนสำนักกระบี่สระใสของพวกเขาถูกปิดล้อมอย่างไร้ทางออก ทว่าเพียงชั่วพริบตา อี้อวิ๋นก็กลับพลิกสถานการณ์ขึ้นมาบุกไปสังหารวังวิถีเจ็ดดารา
วังวิถีเจ็ดดาราตั้งอยู่บนภูเขาเซียนลูกหนึ่งของแดนสวรรค์กลาง เมฆหมอกปกคลุมภูเขา เมื่อมองจากบนท้องฟ้าก็จะเห็นว่าตำหนักวังวิถีเจ็ดดาราเรียงตัวเหมือนกลุ่มดาวทั้งเจ็ด ดูกว้างใหญ่ทรงพลัง
คนธรรมดากับจอมยุทธ์ธรรมดาจะเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าวังเซียนเจ็ดดารา มีชื่อเสียงโด่งดังและไม่มีใครกล้าบุกรุก
ทว่าวันนี้กลับมีเงาร่างคนสายหนึ่งพุ่งลงจากฟ้าด้วยจิตสังหารมายังลานกว้างหน้าวังวิถีเจ็ดดารา
“ผู้ใดกัน?!”
บรรดาศิษย์ที่เฝ้าทางเข้าสำนักรีบพุ่งตัวมาดู พวกเขาแต่ละคนมีพลังโหมซัดสาด อยากเห็นว่าใครกันที่ตาบอดกล้าปรากฏตรงหน้าสำนักพวกเขาอย่างไร้กฎระเบียบ
ตุบ!
เงาร่างที่หายใจรวยรินร่างหนึ่งล้มลงตรงหน้าพวกเขา ศิษย์เหล่านี้มองแล้วก็ตกตะลึง
คนผู้นี้มีสภาพอนาถจนทนดูไม่ได้ ทั้งร่างไหม้ดำไปหมด แต่จากเครื่องแต่งกายบนร่างแล้วก็พอมองออกว่าเป็นคนจากวังวิถีเจ็ดดารา
“ผะ…ผู้อาวุโสฉู่?!” ศิษย์คนหนึ่งพอจำคนผู้นี้ได้รางๆ
เขาคือผู้อาวุโสท่านหนึ่งของพวกเขา!
“ท่านผู้อาวุโสฉู่ เกิดอะไรขึ้นขอรับ ท่านไปจัดการสำนักกระบี่สระใสไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้…” ศิษย์คนนั้นถามอย่างยากที่จะเชื่อ
ดวงตาผู้อาวุโสฉู่มองไปยังลานเบื้องหน้าแล้วก็เห็นเงาร่างของอี้อวิ๋น “เร็ว…พวกข้า…ถูกเขาฆ่าตายหมดแล้ว…”
ศิษย์เหล่านี้ตื่นตกใจ ตอนนี้พวกเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผู้อาวุโสฉู่ถูกคนผู้นั้นโยนมาตรงหน้าพวกเขา
พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองอี้อวิ๋นอย่างตกใจ คนผู้นี้ฆ่าพวกผู้อาวุโสฉู่ทั้งหมด?
ตอนนี้อี้อวิ๋นพูดขึ้นว่า “วันนี้ข้ามาเพื่อทำลายวังวิถีเจ็ดดารา ผู้ใดที่ขวางทางจะถูกฆ่าไม่เว้น”
“หากพวกเจ้าอยากมีชีวิตก็จงหลีกไป ลงไปจากภูเขาก็ได้”
อี้อวิ๋นมองไปยังตำหนักเบื้องหน้า วันนี้ตำหนักบนภูเขาเซียนลูกนี้คงต้องนองเลือดแล้ว
วังวิถีเจ็ดดารามีศิษย์หลายหมื่นคน อี้อวิ๋นไม่ได้จะฆ่าทั้งหมด แต่เขาจะทำให้ชื่อของวังวิถีเจ็ดดาราหายไปจากแดนสวรรค์กลางนับแต่บัดนี้
“ทำลายวังวิถีเจ็ดดาราของข้า? ปากดีไม่เบา!” ศิษย์สองคนที่เฝ้าประตูจะข่มขู่อี้อวิ๋น อย่างไรด้านหลังพวกเขาก็มีวังวิถีเจ็ดดาราอยู่
ทว่าในตอนนี้เองที่พวกเขารู้สึกถึงลมที่แล่นผ่านข้างกาย คนผู้นั้นพุ่งผ่านพวกเขาไปแล้ว
ฉัวะๆๆ!
บนร่างศิษย์ทั้งสองพากันมีรอยกระบี่ปรากฏ พวกเขากระอักเลือดแล้วสิ้นใจลง!
ศิษย์คนอื่นๆ สองสามคนตกใจจนขาอ่อน มือเท้าเย็นไปหมด พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายลงมืออย่างไร รู้ตัวอีกทีก็เห็นสองคนนั้นถูกฆ่าแล้ว!
คราวนี้พวกเขาไม่กล้าขัดขวางอี้อวิ๋นอีก แต่ละคนพากันหนีลงภูเขาอย่างหวาดผวา
อี้อวิ๋นมาถึงตรงหน้าทางเข้า คลื่นพลังจากค่ายกลขวางเขาไว้อยู่ กระบี่หักในมือตวัดลง
ฉัวะ!
ครืนครืนครืน!
ทั้งทางเข้าสั่นสะเทือน ทุกคนในวังวิถีเจ็ดดาราตื่นตกใจ
“บังอาจ! ผู้ใดกล้าทำลายทางเข้า!”
ยอดฝีมือสองสามคนของวังวิถีเจ็ดดาราพุ่งตัวออกมาพร้อมร้องคำราม ทว่าพวกเขากลับทำได้แค่เห็นหน้าอี้อวิ๋น
ลำแสงกระบี่แล่นผ่าน โลหิตกระเซ็นทั่วฟ้า!
อี้อวิ๋นถือกระบี่เดินเข้าสู่สำนักทีละก้าว ชายเสื้อเขาไม่เปื้อนโลหิตแม้แต่นิดเดียว
“รีบหยุดเขาเอาไว้!”
“คนผู้นี้เป็นใครกัน?”
บรรดาศิษย์วังวิถีเจ็ดดาราที่กล้าเข้ามาสกัดอี้อวิ๋นถูกลำแสงกระบี่ของเขาฆ่าตายหมด ไม่อาจแม้แต่จะเข้าใกล้ตัวอี้อวิ๋น
ไม่นานก็ไม่มีศิษย์คนใดกล้าเข้าใจอี้อวิ๋นอีก เด็กหนุ่มที่ก้าวเดินช้าๆ และมีคุณสมบัติลึกลับผู้นี้เป็นดังราชามารที่เข่นฆ่าคนในสายตาพวกเขา
เทพขวางสังหารเทพ พระขวางสังหารพระ
อี้อวิ๋นเดินผ่านตำหนักหลังหนึ่ง เขายกมือขึ้น เปลวไฟสีเทาของเชื้อเพลิงเทพมารปกคลุมตำหนักหลังนี้และเผาไหม้อยู่เงียบๆ
ตำหนักเซียนเมื่อครั้งอดีตกลายเป็นขี้เถ้าอย่างรวดเร็วภายใต้การเผาของเพลิงเทพมาร ควันสีเทาสายยาวลอยขึ้นฟ้า
ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธ์และคนธรรมดาที่อยู่ล่างภูเขาหรือแม้กระทั่งไกลออกไปพันลี้มากเท่าไรที่เห็นภาพนี้
พวกเขาต่างตื่นตกใจ ไม่รู้ว่าวันนี้วังวิถีเจ็ดดาราที่ตั้งตระหง่านมานานไปเจอศัตรูที่น่ากลัวอะไรเข้า?
“สหายผู้นี้ อย่ารีบร้อนที่จะสังหารทั้งหมด”
ในตอนที่อี้อวิ๋นเดินไปถึงหน้าตำหนักหลังสุดท้าย ชายชราผู้หนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าอย่างฉับพลันพร้อมพูดเรียบๆ
ฝีเท้าอี้อวิ๋นหยุดลง นับตั้งแต่ที่เข้าวังวิถีเจ็ดดารามาก็มีชายชราผู้นี้เป็นคนแรกที่ทำให้เขาหยุดฝีเท้า
ชายชราผู้นี้เหมือนยืนอยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว แต่อี้อวิ๋นเพิ่งเห็นหลังจากที่อีกฝ่ายพูดขึ้น กลิ่นอายบนร่างก็ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา เรื่องนี้ทำให้อี้อวิ๋นรู้สึกถึงภัยคุกคาม
คนๆ นี้…
“เจ้าคือประมุขวังวิถีเจ็ดดารา?” อี้อวิ๋นถาม
เมื่อครู่นี้เขาบุกสังหารมาตลอดทาง ทว่าประมุขวังกลับไม่ปรากฏตัว เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ
“ประมุขวัง? หากเจ้าบอกว่าใช่ก็คงใช่กระมัง แต่สำหรับข้าแล้วข้าเป็นเพียงชายชราที่ดูทะเลเมฆให้เวลาผ่านไปวันๆ ก็เท่านั้น” ชายชราพูด
“สหาย วังวิถีถูกเจ้าเผาหมดแล้ว รองประมุขที่ไปทะเลทรายกลบอาทิตย์ก่อนหน้านี้ก็ไม่กลับมาหรือส่งข่าวคราว พวกเขาคงถูกเจ้าฆ่าตายแล้วสินะ ตอนนี้ศิษย์ของวังวิถีเจ็ดดาราพากันหนีลงเขา วังวิถีเจ็ดดาราก็ถือว่าถูกทำลาย เจ้าเองก็ควรถอยได้แล้ว”
อี้อวิ๋นมองชายชราผู้นี้ด้วยแววตานิ่งเรียบ เขาถามอีกฝ่ายอย่างสงสัยว่า “เจ้าคือประมุขวังจริงๆ? เหมือนว่าเจ้าจะไม่สนใจการอยู่รอดของวังวิถีเจ็ดดาราเท่าไรนะ?”
บทที่ 1032 ประมุขวัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนแรกอี้อวิ๋นคิดว่าศัตรูตัวฉกาจที่สุดของการสังหารวังวิถีเจ็ดดาราครั้งนี้ก็คือประมุขวังวิถีเจ็ดดารา ไม่ว่าจะการกวาดล้างสำนักกระบี่สระใสก่อนหน้านี้หรือการเดินทางในทะเลทรายกลบอาทิตย์ก็มีแต่รองประมุขที่ปรากฏตัว ประมุขของวังวิถีเจ็ดดาราเป็นปริศนา
อี้อวิ๋นไม่รู้ว่าตัวประมุขวังมีระดับยุทธ์ขั้นไหน เขามั่นใจว่าต่อให้ตอนนี้จะยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของประมุขวังก็ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหนักและถอยตัวอย่างปลอดภัยได้
แต่ตอนนี้ชายชราที่ปรากฏตัวอย่างฉับพลันกลับทำให้อี้อวิ๋นรู้สึกคาดไม่ถึงเพราะคำพูดของอีกฝ่าย
ชายชราถอนหายใจแล้วพูดว่า “เฮ้อ…การอยู่รอดของวังวิถีเจ็ดดารา…พูดเรื่องนี้แล้วข้าก็ควรทำอะไรบ้างจริงๆ”
ทันใดนั้นเงาร่างของชายชราก็หายไปจากจุดที่ยืนอยู่ ใจอี้อวิ๋นตื่นตัวขึ้นมาทันที
ฟิ้ว!
เงาร่างของชายชราปรากฏตรงหน้าอี้อวิ๋นอย่างฉับพลัน เขาตบฝ่ามือออกเหมือนขุนเขาถล่ม พลังปราณที่ทั้งยิ่งใหญ่ทั้งน่ากลัวห่อหุ้มอี้อวิ๋นไว้ภายในอย่างสมบูรณ์
แข็งแกร่งมาก!
กระบี่หักในมืออี้อวิ๋นส่งเสียงร้องเช่นกัน ลำแสงกระบี่สว่างวาบพร้อมกับแทงไปที่กลางฝ่ามือ!
การปะทะของทั้งคู่ในเวลานี้ทำให้ทะเลเมฆที่อยู่รอบด้านกระจายตัว!
ปั้งปั้งปั้ง!
ชายชรากับอี้อวิ๋นถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมกัน!
ชายชราผู้นี้แข็งแกร่งมาก
เขาต้านกระบี่ของอี้อวิ๋นได้ด้วยมือเปล่า
“อีกครั้ง!”
ดวงตาอี้อวิ๋นมีจิตกระหายการต่อสู้ลุกโชน วิชากระบี่แห่งกาลเวลาสามฉื่อ กระบี่แห่งกาลเวลาฟันออกไป!
กระบี่แห่งกาลเวลาผสานไว้ซึ่งกฎแห่งมิติเวลาและกฎแห่งหยางบริสุทธิ์ กระบี่ดั่งสายน้ำรินไหล ดั่งเปลวไฟร้อนระอุ ดั่งมาจากยุคดึกดำบรรพ์ มันพุ่งเข้าใส่ชายชรา
แววตาชายชรานิ่งสงบเหมือนน้ำ ดาบยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา ดาบที่หนักอึ้งประหนึ่งขุนเขาฟันเข้าใส่ลำแสงกระบี่อย่างรุนแรง
ตูม!
พื้นดินรอบด้านเกิดรอยแตกนับไม่ถ้วนเหมือนใยแมงมุมทันที
อี้อวิ๋นรู้สึกเจ็บที่ข้อมือเป็นอย่างยิ่ง ผิวหนังบนร่างถูกคลื่นพลังปราณจากดาบนี้ทำให้แสบไปหมด
ชายชราเองก็ไม่ได้มีท่าทีสบายนัก กระบี่ของอี้อวิ๋นแหลมคมมาก ยิ่งสู้ก็ยิ่งรุนแรง แต่ละกระบี่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ลำแสงกระบี่ลำแสงดาบร้อยเรียงเข้าด้วยกัน เสียงอันน่ากลัวทำให้แม้แต่ภูเขาเซียนที่อยู่ใต้เท้าสั่นสะเทือนไม่หยุด
“อี้อวิ๋นกำลังสู้กับใครบางคนอยู่!” ตอนนี้พวกเจี้ยนอู๋เฟิงตามมาถึงแล้ว พวกเขาเห็นพลังปราณปะทะกันไม่หยุดและมีเสียงดังน่าตกใจจากที่ไกลๆ
เกรงว่าคนที่สู้กับอี้อวิ๋นถึงขั้นนี้ได้จะมีแค่ประมุขวังวิถีเจ็ดดารา
ประมุขวังผู้นี้เป็นปริศนา พวกเจี้ยนอู๋เฟิงไม่เคยพบหน้าเช่นกัน
“คนหนุ่มสาวเก่งนำหน้าคนรุ่นก่อนจริงๆ ข้าไม่กล้าเชื่อว่าเจ้าเป็นเด็กรุ่นเยาว์” ขณะที่ชายชราพูดก็ถอยออกไปร้อยจั้งอย่างฉับพลัน จากนั้นก็เก็บดาบยาวลงสู่แหวนมิติ
อี้อวิ๋นงุนงง ชายชราผู้นี้ทำอะไรน่ะ ไม่สู้แล้วหรือ?
การต่อสู้ของพวกเขายังไม่ตัดสินผลแพ้ชนะอย่างแท้จริง
แต่หากสู้ต่อจริงๆ อี้อวิ๋นก็รู้สึกว่าเขาสู้ชายชราไม่ได้ อย่างไรระดับยุทธ์เขาก็ด้อยกว่า
แม้ความเข้าใจด้านกฎของเขาจะโดดเด่น แต่หากไม่อาจเอาชนะด้วยวิธีปาฏิหาริย์ก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถึงเวลาก็ได้แต่ถอยกลับ
ชายชรามองอี้อวิ๋นอย่างพิจารณาแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ขนาดนี้ได้ ทั้งทำให้หลิ่วหรูอี้กลัว ทั้งได้โอกาสจากทะเลทรายกลบอาทิตย์”
“เจ้าถามข้าว่าสนใจวังวิถีเจ็ดดาราหรือเปล่า…ข้าก็ไม่สนใจอย่างที่เจ้าว่า เมื่อได้ยินว่ามีเด็กรุ่นเยาว์เช่นเจ้าจึงไม่เชื่อและอยากลองประมือด้วยเท่านั้น ตอนนี้ก็ถือว่าได้ประมือแล้ว…”
“หืม?” อี้อวิ๋นตกใจมาก ประมุขวังผู้นี้จะพูดจาไม่ใส่ใจเกินไปแล้ว หากไม่รู้เรื่องมาก่อนก็คงคิดว่าเขาแค่อยากชี้แนะให้คำแนะนำกับเด็กในสำนักตัวเอง
มีเจ้าสำนักที่ไม่สนใจความเป็นความตายของสำนักตัวเองด้วย?
“เจ้าไม่ต้องแปลกใจ” ชายชรารู้ว่าอี้อวิ๋นคิดอะไร “ตอนที่ข้ายังหนุ่มก็เคยถูกคนอื่นมองว่าเป็นอัจฉริยะผู้เป็นเอก มีใจไล่ตามจุดสูงสุดของวิถียุทธ์ ข้าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขรุ่นต่อไปของวังวิถีเจ็ดดาราตั้งแต่อายุน้อย อนาคตไร้ขีดจำกัด”
“วังวิถีเจ็ดดาราไม่เคยเป็นสำนักที่อยู่ในศีลธรรม นับแต่ที่วังวิถีเจ็ดดาราก่อตั้งมาก็เต็มไปด้วยการนองเลือด ข้าไม่อยากเป็นประมุขของสำนัก ไม่พอใจกับการที่ต้องอยู่ในที่เล็กๆ อย่างแดนสวรรค์กลาง ข้าไม่พอใจที่ต้องอยู่แค่โลกสวรรค์เทพหยางด้วยซ้ำ ข้าออกจากแดนสวรรค์กลางเมื่ออายุร้อยปี ไปฝึกฝนที่โลกภายนอกพันปีจนท้ายที่สุดก็เข้าไปในร่องสมุทร เคยตั้งหลักในร่องสมุทรที่มียอดฝีมือมากมายดุจเมฆ ทว่า…”
ชายชราพูดถึงตรงนี้แล้วก็ถอนหายใจ “ตอนที่ข้าประสบความสำเร็จที่สุดก็ได้ตามยอดฝีมือหลายร้อยคนเข้าสู่แดนลับแห่งหนึ่งของร่องสมุทรเพื่อตามหาโอกาสพัฒนาตัวเอง แต่การเดินทางครั้งนี้พวกข้ากลับเจออันตรายที่น่ากลัว ยอดฝีมือหลายร้อยคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันแทบจะจบชีวิตทั้งหมด แม้ข้าจะกลับออกมาได้ก็ถูกทำลายวังวิถี พลังยุทธ์พังทรุดลง”
ขณะที่ชายชราพูดก็ส่ายหน้าเบาๆ อี้อวิ๋นฟังแล้วก็ตะลึงงัน พลังยุทธ์ถูกทำลาย? นี่เป็นแรงกระทบที่มากเพียงใดสำหรับจอมยุทธ์กัน?
“นับจากนั้นข้าไร้วาสนากับวิถีสายใหญ่ เวลาผ่านมานานหลายปี พลังของข้าฟื้นฟูมาถึงแบบตอนนี้และกลับมาเป็นประมุขที่วังวิถีเจ็ดดารา…”
“สิ่งต่างๆ เหมือนถูกกำหนดไว้แล้ว วังวิถีเจ็ดดารามีโชคชะตาของมัน ข้าเบื่อหน่ายกับเรื่องทางโลกจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปใช้ชีวิตสันโดษอยู่หลังภูเขา รองประมุขทั้งสี่แข่งขันแย่งชิงอำนาจกันเองและดูแลวังวิถีเจ็ดดาราร่วมกัน ข้าเองก็พอเดาผลลัพธ์ของการเดินทางในทะเลทรายกลบอาทิตย์ครั้งนี้ได้ ต่อให้ไม่มีเจ้า เมื่อพวกเขาสี่คนได้วิญญาณหยางไปก็จะเข่นฆ่ากันเองแน่นอน”
“คนที่คว้าชัยคงอยากสกัดวิญญาณหยางให้พลังก้าวกระโดด จากนั้นก็กลับมาสังหารข้าแล้วขึ้นเป็นประมุขวังวิถีเจ็ดดาราเอง…”
ชายชราพูดช้าๆ อี้อวิ๋นฟังแล้วก็ตื่นตะลึง ชายชรามองอะไรทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้แต่กลับไม่ทำอะไรหรือขัดขวาง?
“จะถูกผิดหรือแพ้ชนะก็ล้วนแต่กลายเป็นความว่างเปล่า ไม่มีอะไรในโลกจีรังยั่งยืนไปตลอด วังวิถีเจ็ดดารายิ่งเป็นเช่นนั้น ข้าเคยเห็นความรุ่งโรจน์ในอดีตจึงไม่สนใจอีกต่อไป นี่ก็เหมือนราชาชิงหยางที่สร้างอาณาจักรเฉียนอันยิ่งใหญ่เมื่อตอนนั้น ตอนนี้เหลือเพียงสำนักกระบี่สระใสที่เป็นร่องรอยอันเล็กน้อย รวมไปถึงกระบี่ในมือเจ้าที่มีกลิ่นอายน้อยนิดจนไม่มีค่าให้พูดถึง อาณาจักรเคยรุ่งโรจน์ แต่ตอนนี้ล่ะ?”
อี้อวิ๋นตกใจ คิดไม่ถึงว่าชายชราจะรู้เรื่องมากขนาดนี้ เขารู้จักราชาชิงหยางด้วย
สำนักกระบี่สระใสที่อยู่ในแดนสวรรค์กลางก็นับเป็นสำนักซ่อนเร้น มีไม่กี่คนที่รู้เรื่องความเกี่ยวระหว่างสำนักกับราชาชิงหยาง
“ท่านผู้อาวุโสบอกว่าอาณาจักรเฉียนไม่เหลืออยู่แล้ว ข้าน้อยอยากถามว่าท่านรู้จักป๋ายเยวี่ยอิ๋นหรือไม่ขอรับ? ป๋ายเยวี่ยอิ๋นเคยเป็นภรรยาของราชาชิงหยาง นางทำร้ายราชาชิงหยางแล้วควบคุมอาณาจักรเฉียนในท้ายที่สุด” น้ำเสียงอี้อวิ๋นมีความเคารพขึ้นมาก
ป๋ายเยวี่ยอิ๋นมีพรสวรรค์น่ากลัวมาก นางเคยเป็นคนที่ราชาชิงหยางรักสุดใจ พวกเขาดูแลอาณาจักรด้วยกัน เป็นจักรพรรดิและจักรพรรดินี
แต่ต่อมาป๋ายเยวี่ยอิ๋นกลับหักหลังราชาชิงหยาง
นางทำร้ายราชาชิงหยางหนึ่งวันก่อนที่เขาจะสู้กับเทพราชาซาหงเสวี่ยจากเผ่าปีศาจ นำปลายกระบี่สนิมขึ้นเป็นจุดๆ ที่ราชาชิงหยางได้จากร่องสมุทรจากไปด้วยจนราชาชิงหยางพ่ายแพ้ต่อซาหงเสวี่ยและสูญเสียตำแหน่งเทพราชา นับจากนั้นก็ตกต่ำลงจนมาถึงโลกเทียนหยวน
จากนั้นราชาชิงหยางก็ได้รู้จักกับจักรพรรดินีโบราณ ค่อยๆ ฟื้นฟูพลัง สร้างแดนลับจักรพรรดินีขึ้นและทิ้งเจดีย์เทพจุติเอาไว้และถูกอี้อวิ๋นได้มาครอบครองในเวลาต่อมา
นี่หมายความว่าในมือป๋ายเยวี่ยอิ๋นมีปลายกระบี่อยู่ท่อนหนึ่ง และปลายกระบี่นี้…
อี้อวิ๋นจับกระบี่หักหยางบริสุทธิ์ในมือไว้แน่น เขารู้ว่าปลายกระบี่นั่นคืออีกครึ่งหนึ่งของกระบี่หักเล่มนี้
แต่เวลาผ่านมานานแสนนาน ด้วยพรสวรรค์อันน่ากลัวของป๋ายเยวี่ยอิ๋นแล้ว พลังของนางในตอนนี้คงไม่อาจคาดคะเน
อี้อวิ๋นไม่ได้จะไปเอาปลายกระบี่จากนางตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เขาแค่สงสัยว่าเหตุใดป๋ายเยวี่ยอิ๋นหักหลังราชาชิงหยางแต่กลับยอมให้สำนักกระบี่สระใสอยู่ในแดนสวรรค์กลาง?
“ป๋ายเยวี่ยอิ๋น?” ชายชราส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้ แต่ผู้สืบทอดต่อมาของอาณาจักรเฉียนได้พากลุ่มอิทธิพลทั้งหมดในอาณาจักรออกจากแดนสวรรค์กลางไปที่ร่องสมุทร”
ไปที่ร่องสมุทร?
อี้อวิ๋นขมวดคิ้ว แม้แต่ราชาชิงหยางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดป๋ายเยวี่ยอิ๋นจึงหักหลัง แต่อาณาจักรมีดินแดนกว้างใหญ่ เหตุใดนางจึงละทิ้ง…
ป๋ายเยวี่ยอิ๋นผู้นี้เต็มไปด้วยปริศนา แต่ในเมื่อนางไปจากแดนสวรรค์กลาง เช่นนั้นเรื่องที่สำนักกระบี่สระใสยังคงอยู่ได้ก็พอเข้าใจ
“ท่านผู้อาวุโสเคยไปร่องสมุทร รู้ไหมว่าตอนนี้อาณาจักรเฉียนอยู่ส่วนใหญ่ของร่องสมุทร?” อี้อวิ๋นอยากรู้ว่าป๋ายเยวี่ยอิ๋นนำปลายกระบี่อีกครึ่งไปไว้ที่ไหน เขาสืบทอดมรดกจากราชาชิงหยาง ราชาชิงหยางถูกนางหักหลังจนสูญเสียทุกอย่างและเกือบตาย สักวันหนึ่งอี้อวิ๋นก็ควรทวงความยุติธรรมให้ราชาชิงหยาง
ชายชราพูดพร้อมหัวเราะขึ้นมาทันที “เจ้าทำลายสำนักข้าไปแล้ว ตอนนี้ยังมาถามคำถามมากมายอีก จะเกินไปแล้วนะ ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้ากับข้าเองก็ประมือกันเรียบร้อย เจ้าจงไปเสียเถอะ ตอนนี้มีข้าเพียงคนเดียว ในที่สุดก็จะได้ดื่มด่ำกับความเงียบสงบ”
ชายชราหมุนตัวเดินเข้าสู่ตำหนักทันทีที่พูดจบ
ปึก!
ประตูตำหนักปิดลง อี้อวิ๋นยืนมองประตูที่ปิดสนิทอยู่บนลานกว้าง
ชายชราผู้นี้เป็นเหมือนบ่อน้ำโบราณ เบื้องหลังความเงียบสงบของเขามีอดีตอันรุ่งโรจน์ อี้อวิ๋นส่ายหน้า ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการตอบ เช่นนั้นดึงดันที่จะถามไปก็คงไร้ผล
‘แดนสวรรค์สรรพสิ่งเป็นสถานที่ค้าขาย เราอาจได้ข้อมูลบางอย่างจากที่นั่น’ อี้อวิ๋นคิดในใจ
สุดท้ายแล้วเขาก็มองภูเขาเซียนลูกนี้แวบหนึ่ง หากชายชราไม่สนใจทุกสิ่ง เกรงว่านับจากนี้วังวิถีเจ็ดดาราของแดนสวรรค์กลางจะต้องตกต่ำลงแล้ว
บทที่ 1133 ชื่อเสียง
โดย
Ink Stone_Fantasy
สรรพสิ่งล้วนไม่แน่นอน หลังจากที่อี้อวิ๋นฟังเรื่องในอดีตจาดประมุขวังวิถีเจ็ดดาราก็เกิดความรู้สึกหลายอย่าง
ไม่รู้ว่าในประวัติศาสตร์ของสิบสองยอดสวรรค์มีอัจฉริยะที่โดดเด่นอยู่มากเท่าไร แต่ละคนต่างก็มีช่วงที่ชื่อเสียงโด่งดัง แต่ต่อมาพวกเขาก็ไม่อาจเอาชนะโชคชะตา ท้ายที่สุดก็กลายเป็นกระดูกร่างหนึ่งบนเส้นทางแห่งยุทธ์
ประมุขวังผู้นี้ก็เช่นกัน เพราะผ่านอุปสรรคและความรุ่งโรจน์ตกต่ำมามากมายจึงทะลุปรุโปร่งแม้กระทั่งชะตาชีวิตตัวเอง ย่อมไม่สนใจชะตากรรมของวังวิถีเจ็ดดาราอีก ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว
“พี่อี้…พวกเรา…กลับไปไหม…”
เจี้ยนเสี่ยวซวงถามอย่างลังเล นางรู้แค่ว่าอี้อวิ๋นกับประมุขวังเจ็ดดาราประมือกันเป็นเวลาสั้นๆ ยังไม่ตัดสินผลแพ้ชนะดี แต่ไม่รู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกันบ้าง
“กลับไปเถอะ ต่อไปนี้วังวิถีเจ็ดดาราจะไม่สร้างปัญหาให้สำนักกระบี่สระใสแล้ว”
แม้จะทำลายวังวิถีเจ็ดดาราแต่อี้อวิ๋นกลับไม่มีความรู้สึกยินดี คำพูดของประมุขวังทำให้อี้อวิ๋นคิดถึงเรื่องในอดีตหลายอย่าง
นอกจากราชาชิงหยางแล้วผู้ยิ่งใหญ่ที่เขารู้จักก็มีนายแห่งวังกระบี่หยางบริสุทธิ์ที่แข็งแกร่งกว่าราชาชิงหยาง ทั้งยังมีเทพโอสถที่ตัวตนเป็นปริศนา มีตำแหน่งสูงในร่องสมุทรและมีจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนนำสมบัติฟ้าดินมากมายมาขอร้องให้เขาช่วยหลอมโอสถ…
คนเหล่านี้ต่างก็จบชีวิตกันแล้ว
อี้อวิ๋นเชื่อว่าหากในอนาคตเขาไม่ตายเสียก่อนก็ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน เขาอาจเหนือกว่าผู้อาวุโสเหล่านี้ด้วยซ้ำ
แต่ถ้าไม่อาจหลบพ้นชะตากรรม ท้ายที่สุดแล้วเขาก็จะกลายเป็นแค่เศษฝุ่นเช่นกัน นอกจากว่าจะทำลายวัฏจักรฟ้าดินจนบรรลุวิถีอมตะในตำนาน ไม่มีวันตายไม่มีวันดับ…
ไม่รู้ว่านับแต่โบราณกาลมาเคยมีใครทำสำเร็จไหม?
ในหัวอี้อวิ๋นมีความคิดเหล่านี้แล่นผ่าน เขานึกถึงหญิงผมยาวชุดดำที่เจอในโลกไม้ฟ้าพยับหมอกเมื่อตอนนั้นขึ้นมาอย่างประหลาด บางที ในบรรดาผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่เขาเคยเจอมาก็คงมีแต่นางที่เข้าใจระดับในตำนานมากที่สุดกระมัง…
เมื่ออี้อวิ๋นกลับถึงสำนักกระบี่สระใส ข่าวเรื่องที่วังวิถีเจ็ดดาราถูกทำลายก็กระจายผ่านศิษย์วังวิถีเจ็ดดาราที่หนีลงภูเขาอย่างรวดเร็ว
พวกเขารู้ชัดแล้วว่าอี้อวิ๋นที่หายตัวไปเมื่อหนึ่งปีก่อนบุกสังหารไปที่ภูเขาเจ็ดดาราและทำลายวังวิถีเจ็ดดารา!
ชื่อเสียงของอี้อวิ๋นแพร่กระจายตั้งแต่ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ทุกคนต่างรู้ว่าเขาเป็นเด็กรุ่นเยาว์อันดับหนึ่ง มีพลังแข็งแกร่งกว่าเจี้ยนเสี่ยวซวง
แต่อย่างไรชื่อเสียงก็จำกัดอยู่เท่านี้ ทุกคนได้ยินว่าอี้อวิ๋นมีเรื่องกับวังวิถีเจ็ดดารา แม้แต่สำนักกระบี่สระใสก็เดือดร้อนไปด้วย หลายคนคิดว่าอี้อวิ๋นคงถูกวังวิถีเจ็ดดาราสังหารแน่แล้ว สำนักกระบี่สระใสก็อาจถูกทำลายเช่นกัน แต่ไม่มีใครคิดจริงๆ ว่าหลังจากที่เวลาผ่านมาหนึ่งปีจะมีข่าวน่าเหลือเชื่อเช่นนี้เกิดขึ้น
ตอนแรกทุกวันคิดว่านี่เป็นแค่ข่าวลือ แต่เมื่อมีคนไปตรวจสอบที่ภูเขาเจ็ดดาราแล้วเห็นว่าภูเขาถูกเผาจนเกรียม ศิษย์ในสำนักหนีหายจนแทบไม่มีคน
พวกเขาก็ไม่อาจไม่เชื่อ
อี้อวิ๋นอายุแค่นี้ เขามีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร ถึงขั้นชนะยอดฝีมือที่อาวุโสกว่าด้วยซ้ำ เรื่องนี้เพียงพอให้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ในแดนสวรรค์กลาง
ยิ่งไปกว่านั้นอี้อวิ๋นก็อายุน้อยจนน่ากลัว!
ว่ากันว่าเขาฝึกวรยุทธ์มาแค่หกสิบปี ไม่กล้าจินตนาการถึงอนาคตในวันข้างหน้าจริงๆ หากจะเป็นเทพราชาก็ไม่แปลก!
เดิมทีแดนสวรรค์กลางก็เป็นแดนสวรรค์ที่มีขนาดเล็กมากแห่งหนึ่งของโลกสวรรค์เทพหยาง ไม่มีชื่อเสียงอะไรนัก มันเพิ่งเป็นที่รู้จักเพราะการกำเนิดของราชาชิงหยางเมื่อหลายสิบล้านปีก่อน
แต่หลังจากนั้นแดนสวรรค์กลางก็ไม่มีเทพราชาปรากฏขึ้นอีก
สำหรับสำนักในแดนสวรรค์กลาง เทพราชาคือคนที่ยากจะจินตนาการถึง คนระดับนั้นยกมือทำลายสำนักพวกเขาได้ง่ายเหมือนถอนหญ้า
กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในแดนสวรรค์กลางตื่นกังวลขึ้นมา กลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มเคยมีความขัดแย้งเล็กน้อยกับอี้อวิ๋น พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไม่สบายใจนักเพราะเรื่องนี้ อยากฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอี้อวิ๋นอยู่ตลอด
พวกเขาไม่อาจพบตัวอี้อวิ๋น ไม่อาจไปสำนักกระบี่สระใส ดังนั้นร้านความลับเทพที่เดิมทีไม่มีค่าให้พูดถึงจึงได้รับการปฏิบัติพิเศษเพราะความเกี่ยวข้องที่มีต่ออี้อวิ๋น
เมื่อผู้อาวุโสจีพาจีสุ่ยเยียนกลับมาที่เมืองแสงหยกเพื่อก่อตั้งร้านความลับเทพขึ้นใหม่ เขาก็พบว่าสำนักสิบกว่าสำนักได้ส่งยอดฝีมือหลายร้อยคนมาร่วมงานเปิดร้านใหม่และเฉลิมฉลองให้ร้านความลับเทพ
เดิมทีผู้อาวุโสจีก็ไม่ได้ส่งเทียบเชิญให้ใครมากมาย เมื่อเห็นคนหลายร้อยคนมาร่วมงานโดยที่ไม่ได้เชิญและมีระดับยุทธ์ต่ำสุดอยู่ที่ระดับวังวิถี คนจากร้านความลับเทพก็พากันตะลึงงัน
พวกเขาต้องเพิ่มโต๊ะหลายสิบตัว แต่ถึงกระนั้นก็มีจอมยุทธ์อิสระจำนวนมากล้อมรอบอยู่นอกประตูร้านความลับเทพอย่างไม่มีที่นั่งด้วยเหตุผลต่างๆ ทันใดนั้นกลุ่มอิทธิพลเล็กๆ อย่างร้านความลับเทพก็กลายเป็นศูนย์รวมของทะเลทรายกลบอาทิตย์
ส่วนสำนักกระหายโลหิตก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อนว่าตอนที่ร้านความลับเทพถูกร้านขยายฟ้าทำลาย เหยียนเทียนชงได้จับตัวสาวน้อยหน้าตาดีสิบกว่าคนจากร้านความลับเทพเพื่อมอบให้ศิษย์คนหนึ่งในสำนักพวกเขา สำนักกระหายโลหิตตกใจแทบแย่เมื่อรู้ข่าวนี้!
พวกเขาเพิ่งรู้ว่าคุณชายเสวี่ยอวี้ที่หายตัวไปเมื่อหนึ่งปีก่อนถูกอี้อวิ๋นสังหาร
เดิมทีสำนักกระหายโลหิตก็เป็นสำนักนอกรีต ปกป้องพวกเดียวกันเป็นอย่างยิ่ง หากใครสังหารศิษย์ของพวกเขาก็จะเอาคืนให้ได้ แต่กับอี้อวิ๋นพวกเขากลับไม่เอาความ มีหรือที่จะไปแก้แค้น พวกเขาไม่เพียงไม่แก้แค้น แต่ยังนำของกำนัลไปไถ่โทษให้ร้านความลับเทพ
คนนำคือรองเจ้าสำนักกระหายโลหิต คนที่มีตำแหน่งสูงเช่นนี้มาเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสจีด้วยตัวเอง
ถัดจากสำนักกระหายโลหิตก็มีสำนักความลับสวรรค์มาด้วยเช่นกัน
ตอนที่ผู้อาวุโสจีออกจากสำนักความสวรรค์ด้วยความแค้นก็ถูกมองว่าเป็นคนทรยศ วันนี้เจ้าสำนักคนปัจจุบันมาขอโทษด้วยตัวเอง ขอเพียงแค่ผู้อาวุโสจียินยอมก็กลับไปเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักได้เลย สำนักความลับสวรรค์ส่งของกำนัลมาจำนวนมาก ทั้งยังไม่กล้าพูดเรื่องเข็มทิศความลับสวรรค์แม่ลูกแม้แต่คำเดียว…
ผู้อาวุโสจีเกิดความรู้สึกหลากหลายเมื่อเห็นของกำนัลจากหลายสิบสำนักที่มีมากพอให้ซื้อร้านความลับเทพกลับคืนมาได้หลายครั้ง
ร้านความลับเทพมีความเกี่ยวข้องกับอี้อวิ๋นเพียงเล็กน้อยแต่กลับทำให้กลุ่มอิทธิพลใหญ่อย่างสำนักกระหายโลหิตเกรงกลัว ทำให้สำนักความลับเทพที่มีความแค้นกับเขามาหลายเข้ามาหาเหมือนหลานชาย ตำแหน่งของอี้อวิ๋นในตอนนี้สูงจนไม่อาจจินตนาการ
ความจริงอี้อวิ๋นไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงเปิดร้านนี้
ผู้อาวุโสจีรู้ว่ากลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ต่างมาร้านความลับเทพด้วยความหวังที่จะได้พบอี้อวิ๋นและผูกมิตรกัน แต่หลายเดือนมานี้อี้อวิ๋นอยู่ที่สำนักกระบี่สระใสมาโดยตลอด ไม่เคยออกมาแม้แต่ก้าวเดียว
ก่อนหน้านี้กลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มไปรวมตัวใกล้สำนักกระบี่สระใสเพื่อพบอี้อวิ๋น แต่เพราะอี้อวิ๋นไม่ออกจากสำนักจึงได้แต่ยอมแพ้
“เมื่อไม่กี่วันก่อนคุณชายอี้บอกว่าเขาอาจจะจากไปในอีกสองสามเดือน”
จีสุ่ยเยียนยืนอยู่ข้างท่านปู่ นางมองงานเลี้ยงคึกคัก มองร้านความลับเทพที่รุ่งโรจน์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแต่กลับดีใจไม่ออก
ท้ายที่สุดอี้อวิ๋นก็ต้องไป
ตอนนั้นจีสุ่ยเยียนช่วยอี้อวิ๋นที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์จึงมีวาสนาได้พบกัน แต่สองสามเดือนต่อจากนี้วาสนาคงจบลงแล้ว
จีสุ่ยเยียนรู้ว่านางอาจไม่ได้พบอี้อวิ๋นอีก เรื่องนี้ทำให้นางเสียใจมาก
“แต่ละคนมีชะตาชีวิตของตัวเอง เขายืนอยู่สูงเกินไป เรามีโอกาสได้พบเขาก็ถือเป็นโชคใหญ่แล้ว”
ผู้อาวุโสจีถอนหายใจ อี้อวิ๋นมอบโอสถและมรดกวิชาจำนวนมหาศาลให้ร้านความลับเทพเพื่อขอบคุณที่เข็มทิศความลับสวรรค์แม่ลูกช่วยแสดงตำแหน่งของวิญญาณหยาง ขอบคุณที่เสื้อหยกด้ายทองช่วยชีวิต ความจริงสิ่งที่อี้อวิ๋นมอบให้สกุลจีมีมากกว่าที่สกุลจีมอบให้อี้อวิ๋นเสียอีก
บทที่ 1134 แดนสวรรค์สรรพสิ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เสี่ยวซวง อะไรที่ข้าสอนได้ก็อยู่ในกระบวนท่ากระบี่ตลอดสองสามเดือนมานี้แล้ว จะบรรลุได้แค่ไหนก็อยู่ที่เจ้า”
อี้อวิ๋นใช้เวลาช่วงนี้มาถ่ายตลอดมรดกทั้งหมดของราชาชิงหยางและการบรรลุที่เขามีต่อมรดกของราชาชิงหยางให้สำนักกระบี่สระใสอย่างเต็มกำลัง
แน่นอนว่าว่าวิถีแห่งความโกลาหล วิถีแห่งการทำลายล้าง รวมไปถึงกฎแห่งมิติเวลาเป็นสิ่งที่เขามีเพียงผู้เดียว โดยเฉพาะวิถีแรก แม้อี้อวิ๋นจะอยากถ่ายทอดแต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะเข้าใจ
หลังจากที่อี้อวิ๋นทำลายวังวิถีเจ็ดดาราก็อยู่ที่สำนักกระบี่สระใสมาสิบเดือนเต็มๆ สิบเดือนนี้เขาศึกษาบันทึกทั้งหมดที่เทพโอสถทิ้งไว้ไปหนึ่งรอบและจดจำเอาไว้
เขาเจอวิธีที่อาจช่วยชีวิตหลิงเสียเอ๋อร์สำเร็จอยู่สามวิธี รากคืนวิญญาณของสำนักหม้อชาดเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในทั้งสามวิธีนี้
อี้อวิ๋นรู้สึกว่าได้เวลาที่เขาจะไปจากที่นี่ อะไรที่เขาทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว บุญคุณที่เจี้ยนอู๋เฟิงช่วยชีวิตเขาก็ทดแทนไปบ้างแล้ว
ส่วนเรื่องความปรารถนาก่อนตายของราชาชิงหยางก็ต้องรอให้เขาไปร่องสมุทรจึงจะสำเร็จ เห็นได้ชัดว่าตัวเขาในตอนนี้ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของป๋ายเยวี่ยอิ๋น
“พี่อี้ ท่านจะไปแล้วหรือ?”
เจี้ยนเสี่ยวซวงมีลางสังหรณ์เมื่อได้ยินคำพูดของอี้อวิ๋น
“ใช่ ข้าจะไปแล้ว จะมุ่งหน้าสู่แดนสวรรค์สรรพสิ่ง”
“แดนสวรรค์สรรพสิ่ง…” สีหน้าเจี้ยนเสี่ยวซวงมืดมนลง ในใจผิดหวังเล็กน้อย นางอยากรีบเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่แน่นอนว่าเรื่องที่จะไล่ตามอี้อวิ๋นให้ทันนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่หากมีคุณสมบัติให้ออกไปฝึกข้างนอกเป็นอย่างน้อย ระยะห่างระหว่างนางกับอี้อวิ๋นก็จะเข้ามาใกล้ขึ้น มีโอกาสพบกันในอนาคตมากขึ้น
“เช่นนั้นข้าจะไปแจ้งท่านอาจารย์กับท่านอาจารย์อาให้ทราบ”
“ไม่ต้องล่ะ อาจารย์กับอาจารย์อาของเจ้าปิดด่านฝึกตนตั้งแต่ก่อนหน้านี้ การปิดด่านครั้งนี้ของพวกเขาอาจทำให้ก้าวถึงระดับอรหันต์ ไม่ต้องรบกวนพวกเขา”
เดิมทีเจี้ยนปู๋อี้กับเจี้ยนอู๋เฟิงก็เข้าสู่ระดับอรหันต์เพียงก้าวเดียว ขาดเพียงเยื่อบางๆ ชั้นหนึ่งเท่านั้น หลังจากที่พวกเขาได้เสริมมรดกที่ครบสมบูรณ์ของราชาชิงหยางในช่วงสองสามเดือนมานี้ ในที่สุดเยื่อบางๆ นี้ก็จะถูกทำลาย
เมื่อเจี้ยนปู๋อี้กับเจี้ยนอู๋เฟิงเข้าสู่ระดับอรหันต์ สำนักกระบี่สระใสที่มีอรหันต์สองคนและอยู่ในแดนสวรรค์กลางที่ไม่มีเทพราชาก็จะก้าวขึ้นเป็นสำนักชั้นหนึ่ง ต้องบอกก่อนว่าเผ่าสกุลลั่วที่ปกครองถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบหกแคว้นและมีอาณาเขตกว้างขวางเมื่อตอนนั้นก็มีอรหันต์แค่ไม่กี่คนเช่นกัน
เช่นนี้อี้อวิ๋นจึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของสำนักกระบี่สระใส
“เสี่ยวซวง ข้าต้องไปแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อเจอกันครั้งหน้าวิถีกระบี่ของเจ้าจะพัฒนาแค่ไหน บางทีตอนนั้นเจ้าอาจจะเป็นอรหันต์ด้วยก็ได้”
อี้อวิ๋นยิ้มบางๆ เจี้ยนเสี่ยวซวงคือคนที่เขารับเป็นน้องบุญธรรม หากเป็นไปได้เขาก็อยากดูแลนางไปตลอด
“อื้ม”
เจี้ยนเสี่ยวซวงพยักหน้าอย่างออกแรง จากนั้นอี้อวิ๋นก็ฉีกมิติออกแล้วหายไปกลางจุดเชื่อมมิติ
นี่เองก็เป็นนิสัยของอี้อวิ๋น เขาชอบจากไปเงียบๆ ไม่จำเป็นต้องมีพิธีหรือเลี้ยงส่งอะไร
ครึ่งวันต่อมาอี้อวิ๋นก็กลับมาที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์อีกครั้ง เมื่อไม่มีเชื้อเพลิงเทพมารกับค่ายกลฟ้าดินของเทพโอสถ พลังหยางบริสุทธิ์ในทะเลทรายกลบอาทิตย์ก็เบาบางลงเรื่อยๆ อี้อวิ๋นเชื่อว่าผ่านไปอีกสองสามปี ที่นี่จะเริ่มมีฝนตก หากจะกลายเป็นป่าที่เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ในอีกร้อยปีต่อมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อี้อวิ๋นหาตำหนักใต้ดินที่เขาสร้างไว้เมื่อตอนนั้นเจออย่างรู้ลู่ทางดี เขาขยับความคิดแล้วทลายพื้นดินออก ร่างกายร่วงลงหมื่นจั้งอย่างรวดเร็ว
ตูม!
ก้อนดินก้อนหินแยกตัว อี้อวิ๋นเข้าสู่ใจกลางค่ายกล เขามาถึงยังห้องพักของหรูเอ๋อร์พอดี หรูเอ๋อร์เพิ่งอาบน้ำเสร็จเมื่อหนึ่งเค่อก่อน เส้นผมยังมีหยดน้ำ ขณะที่นางกำลังจัดห้องก็เห็นอี้อวิ๋นปรากฎตัว เรื่องนี้ทำให้หรูเอ๋อร์เบิกตาโพลง
“พะ…พี่อี้ ท่านกลับมาแล้วหรือ”
อี้อวิ๋นบอกว่าเขาอาจจากไปสองสามปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีก็กลับมาแล้ว
หนึ่งปีมานี้คนจากสำนักหม้อชาดต่างศึกษาคัมภีร์วิชาลับที่อี้อวิ๋นไม่ต้องการ มันทำให้พวกเขาได้เปิดโลกกว้าง
หรูเอ๋อร์ศึกษาวิชาเหล่านี้อย่างหิวกระหาย ความช่วยเหลือจากโอสถและธาตุกระดูกก็ทำให้พลังนางเพิ่มขึ้นมากจนไม่อยากไปจากที่นี่
“ใช่ กลับมาแล้ว พวกเรากลับไปที่สำนักหม้อชาดกันเถอะ!”
……
เพราะแดนสวรรค์สรรพสิ่งดังอยู่ใจกลางโลกสวรรค์เทพหยาง ทั้งภายในยังมีจุดเชื่อมมิติจำนวนมาก ที่นี่จึงกลายเป็นหนึ่งในแดนสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกสวรรค์เทพหยาง กลุ่มอิทธิพลที่นี่สลับซับซ้อน ยอดฝีมือมากดุจเมฆ
เมื่อมียอดฝีมือมาก การแย่งชิงอาณาเขตและที่ดินจึงดุเดือดเป็นพิเศษ
แดนสวรรค์สรรพสิ่งมีภูเขาวิญญาณกับรากวิญญาณคุณภาพสูงอยู่พอดี หลายสำนักในโลกสวรรค์เทพหยางจึงพากันมาก่อตั้งที่แดนสวรรค์สรรพสิ่ง นี่ทำให้พื้นที่ใจกลางถูกเรียกว่าเป็นที่เสือหมอบมังกรขด
ส่วนสำนักหม้อชาดก็แน่นอนว่าไม่มีทางครอบครอง พวกเขาทำได้แค่อยู่ในภูเขาที่พลังวิญญาณแห้งแล้งแห่งหนึ่งทางชายขอบของแดนสวรรค์สรรพสิ่งที่ใกล้แดนสวรรค์กลาง
แต่แม้จะเป็นภูเขานี้สำนักหม้อชาดก็ไม่อาจครอบครองเพียงลำพัง หลังจากที่อี้อวิ๋นมาถึงภูเขาวิญญาณก็ยิงการรับรู้ออกไป เมื่อเห็นสำนักเล็กๆ ที่เรียงตัวติดต่อกันก็แปลกใจเล็กน้อย ปกติแล้วสำนักสำนักหนึ่งจะครอบครองภูเขาทั้งลูก มีน้อยมากที่กลุ่มสำนักจะมาอยู่รวมกัน ภาพตรงหน้านี้ดูไม่ต่างจากแผงขายของที่เบียดเสียดกันบนตลาด
“ที่นี่มีสำนักมากไปเล็กน้อย…” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กระอักกระอ่วนใจ “สำนักหม้อชาดเล็กเกินไป ได้แต่รวมตัวกับสำนักเล็กๆ หลายสิบสำนักจึงจะรักษาที่นี่ไว้ได้”
การแข่งขันที่แดนสวรรค์สรรพสิ่งดุเดือดเกินไป ด้วยเหตุนี้เจ้าสำนักหม้อชาดจึงมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ หากในสำนักไม่มียอดฝีมือ ที่ดินอันน้อยนิดของสำนักหม้อชาดนี้ก็จะถูกคนอื่นยึดไปอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่ก็คือสำนักหม้อชาดของพวกข้า” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กับศิษย์สำนักหม้อชาดพาอี้อวิ๋นมายังกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง
อี้อวิ๋นมองไปก็เห็นว่าหุบเขานี้เขียวชอุ่มงดงาม ทิวทัศน์นับว่าน่าหลงใหล หน้าหุบเขามีไอหมอกปกคลุมชั้นหนึ่ง นี่คือค่ายกลป้องกันของสำนักหม้อชาด แต่นำค่ายกลเช่นนี้มาเทียบกับค่ายกลโบราณของสำนักกระบี่สระใสแล้วก็หยาบกว่ามาก
“หืม? ท่านอาจารย์อากลับมาแล้ว! ศิษย์น้องเสี่ยวหรู!”
“คิดว่าพวกท่านอาจารย์จะกลับมาโดยเร็วเสียอีก เหตุใดจึงจากไปนานเช่นนี้?”
ศิษย์สองสามคนรีบเข้ามาต้อนรับอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นพวกชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ปรากฏตัว
ตอนนั้นพวกชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่เสี่ยงอันตรายไปทะเลทรายกลบอาทิตย์ของแดนสวรรค์กลางเพื่อหาวัตถุดิบล้ำค่ามารักษาท่านเจ้าสำนัก เรียกได้ว่าแบกความคาดหวังไว้ครั้งใหญ่
“ใช่ พวกข้ากลับมาแล้ว” พวกชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ตื่นเต้นมากเช่นกัน
แต่ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กลับต้องขมวดคิ้วเมื่อมองเข้าไปในสำนัก “เหตุใดในสำนักจึงไม่มีคน พวกผู้อาวุโสโอวหยางไปไหน?”
ศิษย์เหล่านี้มีแววตาปวดใจขึ้นมาทันที ใบหน้ามีประกายหดหู่ ศิษย์คนหนึ่งถอนหายใจพูดว่า “พวกข้ากำลังจะพูดเรื่องนี้กับท่านอาจารย์อาพอดี ก่อนหน้านี้เพราะท่านอาจารย์อากลับมาช้า ผู้อาวุโสโอวหยางจึงคาดการณ์ว่าพวกท่านคงไม่เจออะไรจึงไม่มีหน้ากลับมา และเป็นไปได้ว่าตะ…ตายอยู่ข้างนอกแล้ว…”
ศิษย์คนนี้แอบมองชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่แวบหนึ่งเมื่อพูดถึงตรงนี้ เมื่อพบว่าแม้สีหน้าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าเคร่งขรึมลงแต่ก็ไม่ได้โมโหจึงพูดต่อว่า “ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสโอวหยางจึงพาคนจำนวนไม่น้อยไปจากที่นี่ ต่อมาก็ศิษย์พากันออกจากสำนัก ตอนที่พวกเขาไปยังนำสิ่งของไปด้วยมาก พวกข้าเองก็หยุดยั้งไม่อยู่ ตอนนี้แม้แต่โต๊ะเก้าอี้ไม้ในสำนักก็ถูกพวกเขาเอาไปหมด”
พวกเสี่ยวหรูได้ยินแล้วก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์หลายคนอดใจไม่ไหวและอยากไปเอาคืนผู้อาวุโสโอวหยางเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กลับทำแค่ถอนหายใจพูดว่า “ช่างเถอะ ไม่ใช่ของมีค่าอะไร จะเอาก็เอาไปเถอะ ในเมื่อคนพวกนั้นอยากไปก็ไม่มีจำเป็นต้องรั้ง”
“ท่านผู้อาวุโส ทำให้ท่านต้องเห็นเรื่องน่าขันแล้ว” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่หันมายิ้มให้อี้อวิ๋นอย่างขมขื่น
“เจ้าสำนักของพวกเจ้าคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” อี้อวิ๋นถาม เขาไม่สนใจความรุ่งเรืองตกต่ำของสำนักเล็กๆ เช่นนี้ ครั้งนี้เขามาก็เพื่อรากคืนวิญญาณ หากรากคืนวิญญาณถูกนำไปด้วย เช่นนั้นเขาคงต้องไปไล่ตามผู้อาวุโสโอวหยางแล้ว
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหาขอรับ ท่านเจ้าสำนักมีค่ายกลปกป้อง ศิษย์พวกนั้นและผู้อาวุโสโอวหยางไม่มีทางทำลายได้” หญิงชุดดำพูด
“อื้ม เช่นนั้นข้าจะไปดูสถานการณ์ของเขา” อี้อวิ๋นพูด
“ขอรับๆ เชิญท่านผู้อาวุโสทางนี้” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่พูด
ศิษย์เหล่านั้นเพิ่งจะเห็นว่าครั้งนี้พวกเขาพาคนนอกกลับมาด้วยเมื่อชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่และหญิงชุดดำพูดกับอี้อวิ๋น ชายผู้นี้ดูหนุ่มมากแต่กลับถูกท่านอาจารย์อาทั้งสองเรียกว่าท่านผู้อาวุโส
เขาเป็นใครกัน?
พวกเขารู้สึกงุนงงแต่ก็ตามชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่มายังห้องลับใต้ดินที่ท่านเจ้าสำนักหลับใหลอยู่ ห้องลับนี้มีค่ายกลป้องกันหลายชั้น แต่ละวันต้องใช้ศิลาพิภพจำนวนมากมาขับเคลื่อนค่ายกล
“ที่นี่แหละ ค่ายกลนี้ต้องให้ข้ากับศิษย์น้องซ่งร่วมมือกันจึงจะเปิดออก เจ้าโอวหยางไม่มีทางแตะต้องได้”
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่เพิ่งพูดจบก็เห็นเงาร่างอี้อวิ๋นกระพริบผ่านค่ายกลป้องกันของห้องลับเข้าสู่ภายใน
จากนั้นอี้อวิ๋นก็โบกมืออย่างสบายๆ ทั้งค่ายกลสั่นอย่างรุนแรงและส่งคลื่นพลังปราณอันแข็งแกร่งออกไป
อี้อวิ๋นไม่อาจวางใจถ้ายังไม่ได้เห็นรากคืนวิญญาณ กระทั่งเมื่อเขาเข้าสู่ค่ายกล กวาดการรับรู้ออกไปแล้วเจอรากคืนวิญญาณเข้าจึงวางใจลงในที่สุด
ตอนนี้พวกชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ที่ยังอยู่นอกค่ายกลห้องลับต่างงุนงง
แม้จะรู้ว่าอี้อวิ๋นเก่งกาจมาก แต่นี่เป็นค่ายกลที่ใช้แผ่นกลโบราณสร้างขึ้น แต่ละวันต้องใช้ศิลาพิภพจำนวนมหาศาลอย่างไม่เสียดายมาขับเคลื่อน ทว่าค่ายกลป้องกันชั้นยอดนี้ของสำนักหม้อชาดกลับไม่ได้มีความยากไปกว่าการก้าวผ่านธรณีประตูสำหรับอี้อวิ๋น
เรื่องนี้ทำให้ใจของชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่เกิดความรู้สึกต่ำต้อย มีอะไรที่ท่านผู้อาวุโสท่านนี้ทำไม่ได้ไหม…
เขารีบเปิดค่ายกลห้องลับแล้วเข้าสู่ภายในพร้อมศิษย์คนอื่นๆ
บนเตียงหินในห้องมีชายวัยกลางคนผิวขาวซีดผู้หนึ่งนอนอยู่ กลิ่นอายบนร่างเขาเจือจางมาก หากเป็นคนธรรมดาที่อยู่ที่นี่ก็คงคิดว่าเขาตายแล้ว
อี้อวิ๋นยื่นมือออกไปเงียบๆ เขาหยิบรากไม้สีดำขนาดเท่านิ้วมือท่อนหนึ่งออกมาจากอกชายวัยกลางคน รากไม้นี้ดูไม่มีอะไรน่าสะดุดตา ทว่าใจอี้อวิ๋นกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาดเมื่อถือมันไว้ในมือ
นี่ก็คือรากคืนวิญญาณ มันเป็นวัตถุดิบฟ้าดินที่มีมูลค่ามหาศาลสำหรับสิบสองยอดสวรรค์ หากคนอื่นรู้ถึงมูลค่าที่แท้จริงของมัน เช่นนั้นก็ไม่ใช่แค่สำนักหม้อชาด แม้แต่สำนักทั้งหมดบนภูเขาลูกนี้ก็จะนองเลือดเช่นกัน
………………………………………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น