True Martial World พิภพเทพยุทธ์ 1128-1130
บทที่ 1128 การกลับมา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หนึ่งปีมานี้สำนักกระบี่สระใสถูกวังวิถีเจ็ดดาราล้อมอยู่ตลอดเวลา แต่ตัวสำนักกระบี่สระใสมีค่ายกลป้องกัน ในสำนักมียอดฝีมือสองคนดูแล วังวิถีเจ็ดดาราไม่ได้มีการโจมตีขนาดใหญ่
พงกเขาคอยเพิ่มกำลังคนมาที่นี่ ทุกๆ วันจะมียอดฝีมือด้านวิถีค่ายกลของวังวิถีเจ็ดดาราคอยตระเวนสังเกตการณ์หน้าทางเข้าสำนักกระบี่สระใสเพื่อหาวิธีทำลายค่ายกล
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้สำนักกระบี่สระใสย่อมตกอยู่ในอันตราย ต่อให้มีค่ายกลป้องกัน แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ต้องมีสักวันที่จุดเชื่อมมิติของสำนักกระบี่สระใสถูกวังวิถีเจ็ดดาราเจอเข้าเป็นแน่
สำนักกระบี่สระใสปิดประตูไม่ให้ใครเข้าออก ปล่อยให้ทรัพยากรที่สะสมมาถูกใช้ไปเรื่อยๆ
ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ใช่ทางออก อี้อวิ๋นไปจากสำนักกระบี่สระใสเมื่อหนึ่งปีก่อนเพื่อมุ่งไปยังทะเลทรายกลบอาทิตย์ เรื่องนี้ทำให้เจี้ยนอู๋เฟิงผู้เป็นเจ้าสำนักและเจี้ยนปู๋อี้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดกังวลใจ
พวกเขาวางเดิมพันทั้งหมดไว้ที่อี้อวิ๋น หากอี้อวิ๋นเป็นไปอะไรไปพวกเขาก็จะพ่ายแพ้ทั้งกระดาน เมื่อเหล่ายอดฝีมือของวังวิถีเจ็ดดาราที่ไปตามหาสมบัติที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์กลับมา เช่นนั้นสำนักกระบี่สระใสของพวกเขาก็ได้แต่นั่งรอการล่มสลายแล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ทุกคนในสำนักกระบี่สระใสไม่อาจผ่อนคลาย
เจี้ยนเสี่ยวซวงฝึกฝนอย่างหนักทุกคน นางทั้งศึกษา ต่อสู้และฝึกฝนมรดกของสำนักกระบี่สระใส รวมไปถึงวิชาและวิถีกระบี่ที่อี้อวิ๋นทิ้งไว้ด้วย
ทุกอย่างที่อี้อวิ๋นทิ้งไว้ช่วยเปิดบานใหม่ให้แก่เจี้ยนเสี่ยวซวง มันทำให้นางเห็นวิถียุทธ์ที่สูงขึ้นไปอีก
แต่ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันรุนแรง
พี่ชายบุญธรรมของนางคนนี้จากไปหนึ่งปีแล้ว เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ วังวิถีเจ็ดดาราก็คอยจับตามองอยู่ตลอด สำนักกระบี่สระใสตกอยู่ในอันตราย
เจี้ยนเสี่ยวซวงต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง แม้จะเล็กน้อยมากก็ยังดี
ทุกอย่างล้วนต้องมีความแข็งแกร่ง
นางถึงขั้นวางแผนที่เลวร้ายที่สุดด้วยซ้ำ หากอี้อวิ๋นตายในทะเลทรายกลบอาทิตย์ ท้ายที่สุดสำนักกระบี่สระใสถูกวังวิถีเจ็ดดาราตีแตก เช่นนั้นนางก็คงได้แต่ฝืนใจหนีไปก่อนที่สำนักกระบี่สระใสจะถูกล้างด้วยโลหิต นางจะแบกความแค้นนี้และฝึกฝนวิชากระบี่อย่างหนัก จากนั้นก็บุกไปคิดบัญชีที่วังวิถีเจ็ดดาราในอนาคตทีละคน
วังวิถีเจ็ดดาราแข็งแกร่งมาก นางอาจต้องใช้เวลาเป็นพันเป็นหมื่นปีจึงจะสำเร็จ ที่เป็นไปได้มากกว่านั้นคือนางอาจต้องตายในขณะที่ล้างแค้น ต้องตายไปพร้อมกับความคับแค้นในใจ ทุกครั้งที่เจี้ยนเสี่ยวซวงนึกถึงตรงนี้ก็จะหายใจไม่ออก
“คนจากวังวิถีเจ็ดดารากำลังทำลายค่ายกลอีกแล้ว”
ขณะที่เจี้ยนเสี่ยวซวงกำลังฝึกกระบี่อย่างหนัก เจี้ยนเฟิงหงที่จับคู่สู้กับนางก็ขมวดคิ้วพูด ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นแบบนี้ทุกวัน ไม่รู้วันไหนพวกเขาจะเจอวิธีทำลายค่ายกล
“ไม่ต้องสนใจพวกเขา สู้ต่อ!”
เจี้ยนเสี่ยวซวงฟันกระบี่เข้าใส่เจี้ยนเฟิงหง เจี้ยนเฟิงหงมีสีหน้าจริงจังขึ้นและรับกระบี่อย่างระมัดระวัง
เขารู้สึกถึงความก้าวหน้าด้านวิถีกระบี่ของเจี้ยนเสี่ยวซวง เรียกได้ว่าพุ่งทะยานวันละพันลี้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานวิถีกระบี่ของเขาก็อาจไม่สามารถชี้แนะเจี้ยนเสี่ยวซวงอีก
กระบี่ทั้งสองปะทะเข้าด้วยกัน ขณะที่เจี้ยนเฟิงหงกำลังจะใช้เจตนากระบี่แข็งอ่อนของตัวเอง ทันใดนั้นพลังมิติในสำนักกระบี่สระใสก็สั่นอย่างรุนแรงประหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลง
“หืม? หรือวังวิถีเจ็ดดาราจะเจอวิธีทำลายค่ายกลแล้ว?”
สีหน้าเจี้ยนเฟิงหงเปลี่ยนไปทันที เขาเลิกสนใจสู้กับเจี้ยนเสี่ยวซวงแล้วถือกระบี่บินไปที่ทางเข้าสำนัก ตอนนี้เจี้ยนปู๋อี้กับเจี้ยนอู๋เฟิงก็บินมาจากวังกระบี่เช่นกัน
“การสั่นสะเทือนของจุดเชื่อมมิติ มีคนผ่านจุดเชื่อมมิติเข้ามา!”
เจี้ยนอู๋เฟิงขมวดคิ้วแน่น พลังทั่วร่างหมุนโคจร กลิ่นอายที่เข้าสู่จุดเชื่อมมิตินี้ทำให้เขารู้สึกตกใจ!
คนผู้นี้แข็งแกร่งมากแน่นอน
“หรือจะเป็นวังวิถีเจ็ดดารา?”
เจี้ยนปู๋อี้พูดขึ้น เขาย่อมหวังว่าคนที่ผ่านจุดเชื่อมมิติเข้ามาคืออี้อวิ๋น แต่กลิ่นอายของอีกฝ่ายแข็งแกร่งจนเขาเกิดความคิดเชื่อมโยงที่ไม่ดี หากวังวิถีเจ็ดดาราบุกสังหารเข้ามาจริงๆ สำนักกระบี่สระใสของพวกเขาก็จะประสบหายนะ พวกเขาอาจถึงขั้นส่งทายาทของสำนักออกไปไม่ทันด้วยซ้ำ
ครืน!
มิติสั่นสะเทือน วินาทีต่อมาก็มีรอยแยกมิติสายหนึ่งปรากฏ มือคู่หนึ่งยื่นออกมาฉีกรอยแยกนี้ออก
จากนั้นเด็กหนุ่มชุดฟ้าผู้หนึ่งก็ก้าวเท้าออกจากรอยแยก แม้คลื่นพลังจะรุนแรง แต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับฉีกมิติออกได้อย่างสบายๆ เหมือนเลิกม่านประตูออก
เจี้ยนปู๋อี้กับเจี้ยนอู๋เฟิงต่างตะลึงงันเมื่อเห็นหน้าตาของเด็กหนุ่มคนนี้ เดิมทีพวกเขาสะสมพลังพร้อมสู้ แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่ผ่านจุดเชื่อมมิติเข้ามาจะเป็น…อี้อวิ๋น!?
กลิ่นอายของอี้อวิ๋นแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
“พี่อี้!” เจี้ยนเสี่ยวซวงตะลึงงันเช่นกัน ตอนแรกนางเตรียมใจที่จะสู้เพื่อฝ่าวงล้อมออกไปเรียบร้อยแล้ว เวลาผ่านมาแค่หนึ่งปี กลิ่นอายอี้อวิ๋นเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ได้อย่างไร?
“ท่านผู้อาวุโสอู๋เฟิง ท่านผู้อาวุโสปู๋อี้” อี้อวิ๋นทำความเคารพให้ทั้งสองแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำให้ท่านสองต้องกังวลใจแล้ว การเดินทางไปทะเลทรายกลบอาทิตย์ของอี้อวิ๋นนับว่ามีผลลัพธ์ ล่าช้าไปหน่อยเท่านั้น”
“อี้อวิ๋น เจ้า…” เจี้ยนอู๋เฟิงมองอี้อวิ๋นขึ้นๆ ลงๆ “เจ้าเข้าสู่ระดับวังวิถีแล้ว!?”
ตอนที่อี้อวิ๋นออกไปก็อยู่แค่ระดับรวมวิถีช่วงกลาง แต่เมื่อตอนนี้กลับมาก็กลับอยู่ระดับวังวิถี
ข้ามผ่านระดับมากขนาดนี้ภายในเวลาหนึ่งปี นี่จะเป็นได้อย่างไร?
นับแต่โบราณมาเจี้ยนอู๋เฟิงก็ไม่เคยได้ยินว่าใครฝึกเร็วขนาดนี้
“ที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์มีโอกาสชั้นยอดที่ก่อตัวมาหลายร้อยล้านปี ข้าน้อยข้ามผ่านระดับได้ก็เพราะสิ่งนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องจ่ายราคาไม่น้อย…”
อี้อวิ๋นพูดถึงตรงนี้แล้วก็ปวดใจเบาๆ ตอนนี้วิญญาณของหลิงเสียเอ๋อร์บาดเจ็บหนักจนไม่ได้สติ ไม่รู้ว่าเขาจะปลุกนางได้อย่างราบรื่นหรือเปล่า
หางตาเจี้ยนปู๋อี้กระตุกอย่างอดไม่ได้เชื่อได้ยินคำของอี้อวิ๋น นี่ต้องเป็นโอกาสระดับไหนกัน ท้าทายสวรรค์ขนาดนี้เชียวหรือ? เขาจินตนาการไม่ออกจริงๆ
“ระดับยุทธ์เจ้าพุ่งทะยานขนาดนี้ภายในปีเดียว รากฐานล่ะ? มั่นคงหรือ?” เจี้ยนอู๋เฟิงเป็นกังวลมาก อัจฉริยะผู้เป็นเอกหลายคนต่างก็จงใจระงับระดับยุทธ์สะสมพลังเอาไว้เพราะกลัวว่าจะข้ามผ่านระดับเร็วเกินไปจนรากฐานไม่มั่นคงและกฎไม่เฉียบแหลม
“มีปัญหาอยู่เล็กน้อย” อี้อวิ๋นพยักหน้า “แต่ตอนนั้นสถานการณ์กระชั้นชิด ข้าน้อยเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ข้ามผ่านระดับอย่างไม่สนใจอะไร แต่…บรรดาผลวิถีที่ข้าน้อยรวมตอนที่เข้าระดับรวมวิถีก็มีเก้าใบกันทั้งนั้น ความเข้าใจด้านกฎจึงไม่เป็นปัญหา ส่วนเรื่องรากฐานของระดับยุทธ์ก็ต้องใช้เวลาจำนวนมากมาตีให้แน่น”
“จะ…เจ้าว่า…อะไรนะ?”
เจี้ยนอู๋เฟิงกับเจี้ยนปู๋อี้ต่างก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่งเมื่อฟังคำพูดครึ่งแรกของอี้อวิ๋น อี้อวิ๋นข้ามผ่านระดับยุทธ์เร็วเกินไป รากฐานไม่มั่นคง แต่เมื่อพวกเขาฟังมาถึงด้านหลังก็ต้องอ้าปากค้างจนหุบไม่ได้อยู่นาน
บรรดาผลวิถี…ที่รวมตอนเข้าสู่ระดับรวมวิถี…มีเก้าใบทั้งนั้น?
เก้าใบ! ทั้งยังมีหลายผล!
อี้อวิ๋นพูดเรื่องเหล่านี้อย่างสบายๆ ไม่ใช่แค่เจี้ยนอู๋เฟิงกับเจี้ยนปู๋อี้ เจี้ยนเฟิงหงกับเจี้ยนเสี่ยวเฟิงที่ฟังอยู่ด้านข้างก็มีปฏิกิริยาเดียวกัน
จอมยุทธ์ระดับรวมวิถีมีผลวิถีแปดใบหนึ่งผลก็นับว่าอัจฉริยะแล้ว ผลวิถีเก้าใบคือตำนาน ส่วนผลวิถีเก้าใบสองสามผลยิ่งไม่เคยได้ยินเข้าไปใหญ่
หากเป็นคนปกติที่พูดเช่นนี้พวกเขาก็คงคิดว่าอีกฝ่ายสติไม่ดี แต่เมื่ออี้อวิ๋นเป็นคนพูดพวกเขาก็ไม่อาจไม่เชื่อ มีเพียงผลวิถีเก้าใบสองสามผลที่จะอธิบายได้ว่าเหตุใดอี้อวิ๋นจึงพิสดารขนาดนี้
ความห่างระหว่างคนกับคนนี้จะมากเกินไปแล้ว…
ขณะที่เจี้ยนเฟิงหงทอดถอนใจ ในตอนนี้เองที่จู่ๆ อี้อวิ๋นก็เห็นจีสุ่ยเยียนที่กำลังวิ่งมาจากฝูงชน
“หืม? แม่นางสุ่ยเยียน!”
อี้อวิ๋นรู้สึกขอบคุณในจีสุ่ยเยียนมาก หากไม่มีเข็มทิศความลับสวรรค์ของนาง การเดินทางไปทะเลทรายกลบอาทิตย์ครั้งนี้ก็อาจไม่มีชีวิตกลับมา ทั้งเขายังได้ช่วยร้านความลับเทพและหาตัวท่านปู่ของจีสุ่ยเยียนเจอในขณะที่ตามหาเชื้อเพลิงเทพมาร ทั้งหมดนี้ทำให้อี้อวิ๋นโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง
ในที่สุดเขาก็ตอบแทนบุญคุณของสกุลจีได้แล้ว
จีสุ่ยเยียนยิ้มเขินๆ นางเห็นอี้อวิ๋นอยู่นานแล้ว แต่เพราะมีนิสัยเก็บตัวและรู้สึกว่าฐานะตัวเองต่ำต้อย ดังนั้นจึงไม่เข้ามาทักทาย
อี้อวิ๋นเดินไปตรงหน้าจีสุ่ยเยียนแล้วโบกมือ เจดีย์ขนาดเล็กหลังหนึ่งบินออกมา มันหมุนกลางอากาศแล้วขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีลำแสงกระพริบผ่าน ชายชราชุดฟ้าผู้หนึ่งและกลุ่มสาวน้อยถูกส่งออกมาจากเจดีย์เทพจุติ…
……………………………………………………………………………………………
บทที่ 1129 คิดบัญชี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนที่ผู้อาวุโสจีถูกส่งออกมาก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ เขาเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งรายล้อมอยู่ที่นี่ และตัวจีสุ่ยเยียนที่อยู่กลางกลุ่มก็ตัวสั่น ดวงตามีม่านน้ำตาปกคลุม
“ทะ…ท่านปู่…”
จีสุ่ยเยียนตกตะลึง นี่นางกำลังฝันอยู่หรือเปล่า? เวลาผ่านมานานขนาดนี้ ไร้ข่าวคราวของท่านปู่ ทั้งยังเป็นสถานที่อันตรายอย่างใจกลางทะเลทรายกลบอาทิตย์ คิดไม่ถึงว่าท่านปู่จะยังมีชีวิต
“เยียนเอ๋อร์?” ผู้อาวุโสจีตกตะลึงเช่นกัน
“คุณหนู!” พวกสาวน้อยอย่างซินเอ๋อร์และเยวี่ยเอ๋อร์ย่อมควบคุมอารมณ์ได้ยากกว่าผู้อาวุโสเยียน น้ำตารินไหลทั่วหน้า ก่อนหน้านี้ร้านความลับเทพถูกทำลาย พวกนางถูกเหยียนเทียนชงจับตัวเพื่อที่จะมอบเป็นคู่นอนให้คนอื่น การได้พบกันอีกครั้งหลังจากที่ผ่านความเป็นความตายทำให้ยากจะควบคุมอารมณ์
“ซินเอ๋อร์ เยวี่ยเอ๋อร์ เหตุใดพวกเจ้าจึงอยู่ที่นี่ด้วย? ตอนนั้นข้าให้พวกเจ้าหนีไปทางทางลับแล้วไม่ใช่หรือ?”
“คุณหนู เรื่องนี้พูดแล้วก็ยาวเจ้าค่ะ ต้องขอบคุณคุนชายอี้…” ขณะที่ซินเอ๋อร์พูดก็พุ่งเข้าสู่อ้อมอกจีสุ่ยเยียนอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป แม้นางจะมีความสัมพันธ์เป็นนายบ่าวกับจีสุ่ยเยียน แต่ความจริงก็ใกล้ชิดกันเหมือนพี่น้อง
อี้อวิ๋นเก็บเจดีย์เทพจุติแล้วเดินไปด้านข้าง ไม่รบกวนการรวมตัวของพวกจีสุ่ยเยียน
แต่เจดีย์เทพจุติหลังเล็กๆ นี้กลับถูกเจี้ยนอู๋เฟิงสังเกตเห็น เขาอดที่จะตกใจไม่หรือ หรือเจดีย์นี้จะเป็น…
สำนักกระบี่สระใสมีเจดีย์เทพจุติฉบับลอกเลียนแบบของท่านบรรพชน เจี้ยนอู๋เฟิงไม่รู้ว่าเจดีย์ในมืออี้อวิ๋นเป็นของเลียนแบบหรือของจริง แต่ไม่ว่าจะแบบไหนก็มีมูลค่าที่เขาไม่อาจจินตนาการ ดูจากกลิ่นอายที่สัมผัสถึงก็รู้แล้ว
แม้ในใจจะตื่นตะลึงแต่เจี้ยนอู๋เฟิงก็ไม่ถามอะไร ไม่ว่านี่จะเป็นของจริงหรือไม่ ในเมื่ออี้อวิ๋นได้มาก็เป็นโอกาสของอี้อวิ๋น
“ท่านผู้อาวุโส” อี้อวิ๋นเดินมาตรงหน้าเจี้ยนอู๋เฟิงกับเจี้ยนปู๋อี้ “สถานการณ์ช่วงนี้ของสำนักกระบี่สระใสเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
ความจริงตอนที่อี้อวิ๋นเพิ่งผ่านจุดเชื่อมมิติเข้ามาในสำนักกระบี่สระใสและเห็นปฏิกิริยาที่เหมือนพร้อมสู้ของทุกคนก็พอเดาได้
แววตาเจี้ยนปู๋อี้มีประกายความโกรธแล่นผ่าน เขาพูดว่า “คนจากวังวิถีเจ็ดดาราคอยหาตำแหน่งของพวกเราอยู่ตลอดและหาวิธีทำลายค่ายกล บังคับขู่เข็ญอย่างหนัก! พวกเขารู้ว่าเรากำลังมองอยู่จึงคอยตะโกนไม่หยุด คอยบอกให้พวกข้ารีบยอมจำนวนและบอกตำแหน่งของเจ้า พวกข้าจำเป็นต้องผนึกสำนัก ไม่ว่าศิษย์คนใดก็ไม่กล้าออกไปฝึกฝน”
อี้อวิ๋นฟังแล้วก็ไม่แปลกใจ หลังจากที่พลังเขาพุ่งทะยาน คนเหล่านี้ก็ไม่อาจทำให้ใจเขาหวั่นไหวได้อีก
“ไม่พูดเรื่องพวกนี้ดีกว่า ตอนนี้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย หนึ่งปีมานี้พวกเขาทำลายสำนักกระบี่สระใสของเราไม่สำเร็จ ต่อให้ผ่านไปอีกสองสามปีก็เป็นเช่นเดิม ไม่รู้ว่าตัวเจ้าที่อยู่ทะเลทรายกลบอาทิตย์มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?” เจี้ยนอู๋เฟิงรู้ว่าพวกหลิ่วหรูอี้ก็ไปที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์เช่นกัน ไม่รู้ว่าอี้อวิ๋นเจอคนเหล่านั้นหรือไม่ แล้วเขากลับมาอย่างปลอดภัยได้อย่างไร
“เรื่องนี้ค่อยคุยวันหลังเถอะ ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว เช่นนั้นความแค้นระหว่างข้ากับวังวิถีเจ็ดดาราก็ควรคิดบัญชีเสียที” ขณะที่อี้อวิ๋นพูดก็มีประกายเย็นยะเยือกแล่นผ่านดวงตา
พวกเจี้ยนอู๋เฟิงกับเจี้ยนปู๋อี้ตกตะลึง คิดบัญชีแค้น ตอนนี้หรือ?
พวกเขายังไม่ทันได้ถาม อี้อวิ๋นก็ก้าวไปยังจุดเชื่อมมิติที่เชื่อมโลกใบเล็กของสำนักกระบี่สระใสออกไปด้านนอก เขายื่นมือออกไปเปิดมิตินี้ออกและก้าวเท้าออกไป ในมือมีลำแสงสว่างวาบ กระบี่หักปรากฏขึ้นในมือ
เขาเดินไปในอากาศเช่นนี้ เพียงก้าวเดียวก็ข้ามผ่านระยะห่างร้อยจั้ง เงาร่างหายไปภายในชั่วพริบตา
“อี้อวิ๋น!?”
เจี้ยนอู๋เฟิงตกใจอย่างหนักเมื่อเห็นภาพนี้ เดิมทีเขาก็สังหรณ์ใจตั้งแต่ตอนที่อี้อวิ๋นพูดคำเมื่อครู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นจะไม่ปรึกษาเรื่องใหญ่เช่นนี้แม้แต่ประโยคเดียวก็ออกไปเลย!
ข้างนอกมีแต่คนจากวังวิถีเจ็ดดาราทั้งนั้นนะ!
“ศิษย์น้อง พวกเรารีบตามออกไป” เจี้ยนปู๋อี้ตกใจเช่นกัน แม้การกลับมาครั้งนี้ของอี้อวิ๋นจะมีกลิ่นอายแข็งแกร่งจนพวกเขารู้สึกกดดันเล็กน้อย ดวงตาก็ลึกล้ำยากจะคาดเดา
แต่ถึงกระนั้นคู่ต่อสู้ก็เป็นวังวิถีเจ็ดดาราที่แข็งแกร่งจนไม่อาจคาดคะเน!
เมื่อตำแหน่งของจุดเชื่อมมิติถูกเปิดเผย แม้มันจะไม่ถึงขั้นทำให้ค่ายกลของสำนักกระบี่สระใสถูกทำลายทันทีแต่ก็ช่วยเร่งกระบวนการ
เจี้ยนปู๋อี้กับเจี้ยนอู๋เฟิงได้แต่มิติอีกครั้งเพื่อตามอี้อวิ๋นออกไป
เจี้ยนเสี่ยวเฟิงกัดฟันแน่นแล้วกระพริบร่างตามออกไปในชั่วพริบตาที่มิติกำลังจะปิดลง
นางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ ตอนที่ถูกวังวิถีเจ็ดดาราปิดล้อม เจี้ยนเสี่ยวซวงคอยบอกตัวเองเสมอว่านางต้องกล้ำกลืนความแค้นเอาไว้ แม้สำนักกระบี่สระใสจะถูกชโลมด้วยโลหิตก็ต้องหนีไปให้ได้ ใช้ชีวิตต่อไปด้วยความอัปยศ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเมื่อในอนาคตนางแข็งแกร่งแล้วจะได้จัดการวังวิถีเจ็ดดาราด้วยตัวเอง!
แต่ในวันนี้เมื่อเห็นอี้อวิ๋นฉีกมิติออกแล้วพุ่งตัวออกไป นางก็รู้สึกว่าในใจเกิดความห้าวหาญขึ้นอย่างฉับพลัน ดังนั้นนางจึงพุ่งตามออกมาอย่างอดไม่ได้
บางทีนี่อาจเป็นความนับถือและเชื่อมั่นในอี้อวิ๋น บางทีอาจติดเชื้อความมั่นใจที่แข็งแกร่งจากอี้อวิ๋น ตอนนี้นางแค่อยากไปเผชิญร่วมกันกับเขา ไปเห็นทุกอย่างด้วยตาตัวเอง
“ศิษย์น้องเสี่ยวซวง!”
เจี้ยนเฟิงหงตกใจ อี้อวิ๋นกับพวกท่านอาจารย์ออกไปก็มากพอแล้ว นี่เจี้ยนเสี่ยวซวงยังไปด้วยอีก!
เจี้ยนเฟิงหงทำอะไรไม่ถูก เขารู้ว่าตัวเองออกไปก็ทำประโยชน์อะไรไม่ได้ ไม่สู้อยู่ที่นี่เพื่อรักษาขวัญกำลังของคนที่เหลือดีกว่า เขายกมือขึ้น ภาพเหตุการณ์ภายนอกสะท้อนลงบนอากาศผ่านค่ายกลสะท้อนภาพ
ตอนนี้ทั้งสำนักกระบี่สระใสเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ทุกคนรู้สึกตึงเครียดอย่างประหลาด แม้อี้อวิ๋นจะแข็งแกร่งมาก แต่ตอนนี้เขาจะสู้กับวังวิถีเจ็ดดาราหรือ? วังวิถีเจ็ดดารามีรองประมุขสี่คน มีประมุขที่ลึกลับและทูตระดับสูงถึงเจ็ดคน!
“พวกเต่าหดหัวสำนักกระบี่สระใส ข้ารู้ว่าพวกเจ้าได้ยิน! ก่อนหน้านี้ข้าแนะนำให้พวกเจ้ารีบเปิดประตูและเข้าพวกกับวังวิถีเจ็ดดาราก็จะรักษาความปลอดภัยไว้ได้ น่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่รับฟังเสียที ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าทำลายค่ายกลได้เมื่อไรก็จะเป็นวันล้างบางของสำนักพวกเจ้า!”
ที่นอกภูเขาสระใสมีชายวัยกลางคนผมยาวที่สวมชุดคลุมเจ็ดดาราผู้หนึ่งพูดพร้อมหัวเราะเสียงดัง เขาเป็นหนึ่งในทูตเจ็ดดาราของวังวิถีเจ็ดดารา…ทูตเทียนซู
ทูตเทียนซูศึกษาวิถีค่ายกลมาหลายหมื่นปี มีความรู้ด้านค่ายกลเป็นอันดับหนึ่งของวังวิถีเจ็ดดารา เมื่อได้ยินว่าสำนักกระบี่สระใสมีค่ายกลโบราณป้องกันก็คันไม้คันมืออยากลองจึงมาเพื่อทำลายค่ายกลโดยเฉพาะ
เขารู้ว่าค่ายกลโบราณนี้ลึกล้ำมาก แต่ไม่ว่าค่ายกลจะลึกล้ำอย่างไรก็อานุภาพเสื่อมโทรมลงเมื่อผ่านเวลาอันยาวนาน การทำลายค่ายกลของเขาจึงเป็นปัญหาแค่เรื่องเวลา เขาชอบความรู้สึกที่ได้ผลักให้สำนักกระบี่สระใสเข้าหาความตายช้าๆ ให้ความสิ้นหวังของคนในสำนักค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยากวางเดิมพันไว้กับอี้อวิ๋น แต่เจ้าเด็กเหลือขอนี่ไม่ประมาณตน ไปทะเลทรายกลบอาทิตย์หาที่ตายเอง รองประมุขทั้งสี่ของวังวิถีเจ็ดดาราต่างไปทะเลทรายกลบอาทิตย์ พวกเขาจะจัดการเรื่องนี้สำเร็จแน่นอน เด็กระดับรวมวิถีแบบอี้อวิ๋นก็เป็นของเล่นเหมือนมดตัวหนึ่ง เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
ทูตเทียนซูหัวเราะ เขาคาดการณ์ว่าเขาจะทำลายค่ายกลได้ภายในเวลาหนึ่งปี ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือด้านวิถีค่ายกลก็สนุกกับการถอดรหัสทำลายค่ายกลมาก
ในตอนนี้เองที่ทูตเทียนซูใจเต้นแรงขึ้นมา ธงค่ายกลในมือหยุดชะงักลง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าคนผู้หนึ่งฉีกมิติออกและปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปร้อยจั้ง
……………………………………………………………………………………………………….
บทที่ 1130 ทะเลเพลิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ใคร!?
ทูตเทียนซูระวังตัวขึ้นมา เขาเห็นชัดแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนั้นฉีกมิติออกมา หรือนั่นจะเป็นที่ตั้งจุดเชื่อมมิติของสำนักกระบี่สระใส?
“ฮ่าฮ่า! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบอกที่ตั้งของจุดเชื่อมมิติให้ข้ารู้เอง นี่เท่ากับบอกวิธีทำลายค่ายกลให้ข้าชัดๆ!”
ทูตเทียนซูหัวเราะ คนผู้นี้ช่างโง่เขลายิ่งนัก คราวนี้จะได้ส่งสำนักกระบี่สระใสไปปรโลก
แต่ทูตเทียนซูเพิ่งหัวเราะได้สองคำก็หัวเราะไม่ค่อยออกอีก เขามองเด็กหนุ่มคนนี้ถือกระบี่เข้ามาใกล้ ไม่รู้เหตุใดพลังของอีกฝ่ายจึงทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมา
“เจ้าเป็นใคร?” ทูตเทียนซูขมวดคิ้วถาม เขาเดาว่าคนผู้นี้มาจากสำนักกระบี่สระใส คงเป็นคนระดับสูงในสำนัก แม้หน้าตาจะยังหนุ่มแต่ก็อาจเป็นปีศาจเฒ่า
“วังวิถีเจ็ดดาราของพวกเจ้าไล่สังหารข้า แต่ตัวเจ้าที่เป็นทูตของวังวิถีเจ็ดดารากลับไม่รู้จักข้า?”
อี้อวิ๋นพูดเย้ยหยัน เขาอยู่ห่างจากทูตเทียนซูแค่ยี่สิบจั้งแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของอี้อวิ๋นก็ตะลึงอึ้งไป
“เจ้าคือ…อี้อวิ๋น!?”
ทูตเทียนซูตกใจ เขาย่อมเคยได้ยินเรื่องลักษณะเฉพาะของหน้าตาอี้อวิ๋น แต่เพราะมั่นใจว่าอี้อวิ๋นจะตายอยู่ที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์จึงไม่สนใจนัก สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ คือค่ายกลโบราณของสำนักกระบี่สระใส
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลังจากที่อี้อวิ๋นไปทะเลทรายกลบอาทิตย์ได้หนึ่งปีแล้วจะกลับมาอย่างปลอดภัย ที่แปลกไปกว่านั้นคือเหตุใดจู่ๆ เขาจึงมีกลิ่นอายแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?
ในตอนนี้เอง…
ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว!
คนจากวังวิถีเจ็ดดาราพากันบินเข้ามาไม่หยุด พวกเขารู้สึกถึงสถานการณ์ที่นี่ รองประมุขทั้งสี่ของวังวิถีเจ็ดดาราต่างไปทะเลทรายกลบอาทิตย์กันหมด คนที่อยู่เฝ้าสำนักกระบี่สระใสในเวลานี้จึงเป็นทูตเจ็ดดารากับผู้อาวุโสวังวิถีกันหมด
“คิดไม่ถึงว่าจะมีคนออกมาหาที่ตาย ข้าคิดว่าสำนักกระบี่สระใสเป็นเต่าแก่กับเต่าเด็กเสียอีก สระใสอะไรกัน เป็นสระเลี้ยงเต่าหดหัวชัดๆ”
คนผู้หนึ่งบินเข้ามาพร้อมหัวเราะเสียงดัง ทว่าเขาเพิ่งมาถึงฟากตรงข้ามอี้อวิ๋นก็ต้องหยุดชะงักไป คนผู้นี้คือคนคุ้นเคยเก่าของอี้อวิ๋น…ทูตอวี้เหิง
“อี้อวิ๋น!? เจ้า…”
ทูตอวี้เหิงตกตะลึง ในฐานะทูตเจ็ดดาราที่คลุกคลีกับอี้อวิ๋นมากที่สุด เขาจึงเข้าใจสถานการณ์ของอี้อวิ๋นมากกว่าใคร เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากที่เวลาผ่านมาหนึ่งปี กลิ่นอายที่อี้อวิ๋นส่งออกมาก็ทำให้ตื่นตกใจ เพียงแค่ถูกดวงตาที่มีเปลวไฟสีเทาเต้นอยู่มองผ่านก็ประหนึ่งถูกแช่แข็งไปทั้งร่าง
หรือว่า…
ทูตอวี้เหิงตระหนักได้อย่างฉับพลันว่าที่พลังอี้อวิ๋นเพิ่มขึ้นเช่นนี้ได้ก็คงเพราะเจอโชคบางอย่าง เรื่องนี้ทำให้เขาอดคิดเชื่อมโยงกับทะเลทรายกลบอาทิตย์ไม่ได้ อี้อวิ๋นได้ผลเก็บเกี่ยวจำนวนมากจากทะเลทรายกลบอาทิตย์?
“เจ้าหนีรอดจากการไล่สังหารของพวกรองประมุขหลิ่ว?” ทูตอวี้เหิงหยั่งเชิงถาม ตามหลักแล้วอี้อวิ๋นที่เจอรองประมุขทั้งสี่ไม่ควรรอดชีวิตจึงจะถูก
“หนีรอดจากการไล่สังหารของพวกเขา?” อี้อวิ๋นยิ้มเยาะ เขาไม่อยากพูดกับคนพวกนี้ให้มากความ “เจ้าเก็บเรื่องนี้ไปถามพวกเขาในนรกเองก็แล้วกัน”
“อะไรนะ?” ทูตอวี้เหิงยังไม่ทันตอบสนองว่าอี้อวิ๋นหมายความอย่างไรก็เห็นลำแสงกระบี่หยางบริสุทธิ์พุ่งผ่านอากาศ เพียงพริบตาก็มาถึงตรงหน้าทูตอวี้เหิง
“เจ้าเด็กเหลือขอ คิดว่าจะสู้ข้าได้หรือ?”
ทูตอวี้เหิงมีสีหน้าดุร้าย พู่หางม้าพุ่งออกจากแขนเสื้อ ด้ายเงินหลายหมื่นเส้นพุ่งไปรับกระบี่ของอี้อวิ๋น
ฉัวะฉัวะฉัวะ!
ด้ายเงินพันรอบและห่อลำแสงกระบี่ของอี้อวิ๋นไว้ภายใน
สีหน้าอี้อวิ๋นไม่เปลี่ยนแปลง เขาทำแค่โบกมือข้างขวา เขตแดนวิถีแห่งการทำลายล้างปรากฏออกมากลืนกินด้ายเงิน!
ฉึกฉึกฉึก!
ด้ายเงินของพู่หางม้าพากันฉีกขาด!
ทูตอวี้เหิงตกใจ เขาทั้งตกใจทั้งโมโห พลังของอี้อวิ๋นน่ากลัวกว่าที่เขาคิดมาก
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเจอโชคอะไร ต่อให้เจ้าได้ของดีทุกอย่างจากทะเลทรายกลบอาทิตย์ก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของข้า!”
ทูตอวี้เหิงคำราม ร่างกายกับพู่หางม้าผสานกันเป็นลำแสงสายหนึ่งแล้วพุ่งมาทางคออี้อวิ๋น
อี้อวิ๋นทำแค่ดีดนิ้วให้กับการโจมตีที่มีพลังโหมซัดสาดของทูตอวี้เหิง เปลวไฟสีเทาลูกหนึ่งลอยไปหาทูติอวี้เหิง
เปลวไฟลูกเล็กๆ นี้ดูไม่มีอะไรสะดุดตา ทว่าการปรากฏของมันกลับประหนึ่งทำให้ฟ้าดินสูญเสียอุณหภูมิ ประหนึ่งพลังหยางบริสุทธิ์ทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่โดยรอบถูกเปลวไฟลูกเล็กๆ นี้กลืนกิน
“แผดเผาเถอะ เชื้อเพลิงเทพมาร”
เสียงอี้อวิ๋นดังขึ้นเบาๆ เปลวไฟลูกนี้ระเบิดขึ้นทันที!
เปลวไฟพุ่งขึ้นฟ้า ดุจดั่งอุกกาบาตสีเทาตกสู่โลก!
“นี่คือ!”
ตอนนี้ทูตอวี้เหิงกับทูตเทียนซูถูกเปลวไฟสีเทานี้ปกคลุม พวกเขาพยายามใช้ปราณเกราะมาต้านสิ่งเหล่านี้แต่ก็ไร้ประโยชน์ ปราณคุ้มครองร่างของพวกเขาพากันถูกเผา
จากนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นติดต่อกัน ศิษย์จากวังวิถีเจ็ดดาราที่มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นพากันถูกเผาเป็นจุณ!
อ้าอ้าอ้า!
ทูตอวี้เหิงร้องเสียงแหบแห้ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอี้อวิ๋นแม้แต่น้อย เมื่อนึกถึงเรื่องที่อี้อวิ๋นบอกให้ไปถามพวกเขาในนรกก่อนหน้านี้ก็ตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่น่ากลัวอย่างหนึ่ง…
รองประมุขวังวิถีเจ็ดดาราทั้งสี่คงถูกอี้อวิ๋นฆ่าไปแล้ว!
รองประมุขสี่คนถูกอี้อวิ๋นที่มีเพียงคนเดียวฆ่าตาย นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?
แต่ตอนนี้เปลวไฟอันน่ากลัวที่อี้อวิ๋นปล่อยออกมาฆ่าคนง่ายเหมือนฆ่าสุนัขฆ่าไก่ก็ทำให้เขาจำเป็นต้องเชื่อ!
เขากัดฟันบีบยันต์ส่งเสียงแผ่นหนึ่งเพื่อส่งข่าวทั้งหมดออกไปและขอความช่วยเหลือ ทว่าในตอนนี้เองที่อี้อวิ๋นมาถึงด้านหลังทูตอวี้เหิง
ฉึก!
อี้อวิ๋นแทงกระบี่ออก กระบี่นี้รวมขึ้นจากเชื้อเพลิงเทพมาร เพลิงแห่งเทพมารอันน่ากลัวทะลุผ่านหน้าอกทูตอวี้เหิงพร้อมแผดเผาอวัยวะภายในเขาจนหมดสิ้น!
ทูตอวี้เหิงกระอักเปลวไฟสีดำเทาออกมา ดวงตาค่อยๆ ไร้ซึ่งประกาย นี่มันพลังไฟอะไรกันแน่…
ปัง!
ทูตอวี้เหิงกลายเป็นอขี้เถ้า!
ส่วนทูตเทียนซูที่อ่อนแอกว่าทูตอวี้เหิงก็ถูกเชื้อเพลิงเทพมารห่อหุ้ม ปราณเกราะถูกเผาทะลุ เนื้อหนังแยกออก ทรมานเป็นที่สุด
“ช้าก่อน! ข้ามีวิชาค่ายกลสามสิบหกม้วนที่ได้จากซากวัตถุโบราณ ข้าจะมอบให้เจ้าทั้งหมด ขอเพียงแค่เจ้า…”
เสียงของทูตเทียนซูขาดห้วยหายไปอย่างฉับพลัน กระบี่หักหยางบริสุทธิ์แล่นผ่านพร้อมกับศีรษะที่หลุดออกของเขา
ทูตทั้งสองของวังวิถีเจ็ดดาราตายแล้ว!
ตอนนี้เจี้ยนอู๋เฟิง เจี้ยนปู๋อี้และเจี้ยนเสี่ยวซวงก็ผ่านจุดเชื่อมมิติมาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน เพราะความรู้ด้านกฎแห่งมิติของเจี้ยนอู๋เฟิงสู้อี้อวิ๋นไม่ได้ ความเร็วในการผ่านจุดเชื่อมมิติของเขาจึงค่อนข้างช้า เมื่อมาถึงที่นี่ก็ทันเห็นภาพเหตุการณ์นี้พอดี
ภาพที่ศิษย์วังวิถีเจ็ดดาราที่ปิดล้อมสำนักกระบี่สระใสมานานพากันถูกเผาเป็นอะไรที่น่าตกใจมาก มันทำให้เจี้ยนอู๋เฟิงกับเจี้ยนปู๋อี้ตะลึงอึ้งไป เปลวไฟสีเทานี้จะน่ากลัวเกินไปแล้ว
หรือนี่จะเป็น…วิญญาณหยางที่อี้อวิ๋นได้จากทะเลทรายกลบอาทิตย์?
แต่จากประสบการณ์ของเจี้ยนอู๋เฟิงกับเจี้ยนปู๋อี้ ยิ่งเป็นวิญญาณฟ้าดินที่มีอานุภาพมากก็ยิ่งยากที่จะกำราบ วิญญาณหยางที่น่ากลัวเช่นนี้จะถูกอี้อวิ๋นที่เป็นเด็กรุ่นเยาว์สกัดได้อย่างไร?
………………………………………………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น