True Martial World พิภพเทพยุทธ์ 1113-1114
ตอนที่ 1113
อาจารย์เทียนเซียวผู้น่าอนาถ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่ออี้อวิ๋นเจอม้วนกระดาษที่บันทึกถึงค่ายกลก็นั่งขัดสมาธิลงข้างทะเลสาบพร้อมกับเริ่มอ่าน
ม้วนกระดาษนี้ซับซ้อนมาก เนื้อหาที่บันทึกภายในก็ลึกล้ำ แม้แต่อี้อวิ๋นที่เป็นปรมาจารย์อสูรก็ยังต้องทำความเข้าใจทีละคำทีละประโยคจึงจะเข้าใจความหมาย
หลิงเสียเอ๋อร์นั่งมองอี้อวิ๋นที่กำลังศึกษาเงียบๆ จากข้างแผ่นค่ายกล แม้นางจะไร้เดียงสา แต่ในฐานะที่นางเป็นวิญญาณฟ้าดินจึงแยกแยะความดีความชั่วของมนุษย์ออก นางรู้สึกว่าอี้อวิ๋นไม่มีเจตนาร้ายต่อนาง
“ถ้าเขาแข็งแกร่งกว่านี้อีกนิดก็คงดี” หลิงเสียเอ๋อร์ใช้มือประคองหน้าตัวเองพร้อมกับถอนหายใจ
ในตอนนี้เองที่จู่ๆ นางก็รู้สึกอะไรบางอย่าง นางเงยหน้ามองไปยังน้ำตกหยางบริสุทธิ์ที่ไหลบ่าอยู่ด้านบน
หลังจากที่มองสักพักก็ก้มมามองอี้อวิ๋นอีกครั้ง
นางลุกขึ้นยืนเงียบๆ เมื่อเห็นว่าอี้อวิ๋นจมดิ่งอยู่ในม้วนกระดาษอย่างสมบูรณ์ จากนั้นเงาร่างก็กระพริบเป็นลำแสงแล้วหาย ในตอนที่หลิงเสียเอ๋อร์หายไป เปลวไฟสีเทาในร่างกลับถูกกำแพงที่มองไม่เห็นสกัดกั้นเอาไว้ เปลวไฟไม่อาจข้ามผ่านกำแพง ท้ายที่สุดก็ได้แต่อยู่ในค่ายกลต่อ…
แม้หลิงเสียเอ๋อร์จะเป็นเชื้อเพลงเทพมาร แต่เปลวไฟสีเทานี้คือจุดกำเนิดของนาง หากเปลวไฟไม่อาจออกจากค่ายกล เช่นนั้นหลิงเสียเอ๋อร์ก็ไม่มีวันได้ไปจากที่ฝังเพลิงแห่งนี้
……
“อ้า!”
มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นกลางความมืดอย่างฉับพลัน เงาร่างจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหน้าผา
“เลิกร้องได้แล้ว หากดึงให้สิ่งมีชีวิตร่างคนพวกนั้นเข้ามาอีก เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ใช่แค่ขาขาดแน่” หลิ่วหรูอี้พูดอย่างเย็นชา
คนขาขาดที่นางพูดถึงก็คืออาจารย์เทียนเซียวจากสำนักความลับสวรรค์
ตอนนี้อาจารย์เทียนเซียวมีสภาพอนาถมาก บริเวณตั้งแต่ต้นขาลงไปถูกตัดทั้งสองข้าง โลหิตหยดไหล มือข้างหนึ่งก็ขาดไปเช่นกัน หากยังมาเสียมืออีกข้างไปอีก เช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนหมู[1]แล้ว
เพราะตอนนี้อาจารย์เทียนเซียวสูญเสียพลังต่อสู้ไปอย่างสมบูรณ์ รองประมุขวังวิถีเจ็ดดาราที่มีรูปลักษณ์เหมือนเด็กสองคนนั้นจึงนำหุ่นเชิดที่ทำงานด้วยกลไกมาจุร่างเขาเอาไว้ จากนั้นก็ใช้เชือกเส้นหนึ่งมาแขวน สภาพเขาอนาถจนไม่รู้จะอนาถอย่างไรได้อีก
อาจารย์เทียนเซียวตัวเย็นและไม่กล้าร้องอีกทันทีเมื่อหลิ่วหรูอี้พูดถึงสิ่งมีชีวิตร่างคน
“เจ้านำทางให้ดี ก็แค่ขาขาดสองข้างและเสียมือข้างหนึ่งก็เท่านั้น วังวิถีเจ็ดดาราของข้ารับปากแล้วว่าจะต่อกลับไปให้เจ้า ยังจะกลัวอะไรอีก?” เด็กสองคนพูดด้วยเสียงอันแหบแห้ง
คนจากวังวิถีเจ็ดดาราที่มามีพวกเขาเหลือรอดแค่สามคน แม้แต่รองประมุขคนหนึ่งก็ยังจบชีวิต
ส่วนศิษย์สำนักความลับสวรรค์ที่อาจารย์เทียนเซียวพามาก็มีเพียงอาจารย์เทียนเซียวที่รอดชีวิตอย่างสะบักสะบอม นี่ขนาดว่าหลิ่วหรูอี้ช่วยเขาเพราะรู้สึกว่ายังมีประโยชน์
ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้เจอแค่สิ่งมีชีวิตร่างคนที่น่ากลัว พวกเขายังเจอสิ่งมีชีวิตโบราณอื่นๆ จนเกือบต้องตายยกกลุ่ม
คิดไม่ถึงว่าคำพูดดีใจในโชคร้ายของผู้อื่นที่อี้อวิ๋นพูดกับพวกเขาจะเป็นจริงทุกคำ
“มีรองประมุขทั้งสามท่านอยู่ ข้าย่อมไม่กลัว” ใบหน้าอาจารย์เทียนเซียวซีดขาว เขาพูดด้วยสีหน้าขมขื่น
ไม่กลัวหรือ? เขาเสียใจจนลำไส้เป็นสีเขียวแล้ว!
ตอนแรกาเขาคิดว่จะได้ประโยชน์เล็กน้อยจากแดนลับแห่งนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องไม่พูดถึงเรื่องที่ไม่ได้อะไร เพราะเสียขาสองข้างกับแขนข้างหนึ่งไปแล้ว
มาถึงตอนนี้รองประมุขทั้งสามจะยอมกลับไปได้อย่างไร พวกเจ้าจ่ายราคาอันแสนสาหัสไปแล้ว ต้องคว้าวิญญาณหยางมาให้ได้จึงจะยอม
อาจารย์เทียนเซียวรู้ว่าหากเขาไม่อาจนำทาง เช่นนั้นคนพิการเช่นเขาก็ไม่มีค่าอะไรอีก
“สภาพแวดล้อมของที่นี่แตกต่างจากจุดที่เดินผ่านมา…” มือข้างที่เหลือของอาจารย์เทียนเซียวถือเข็มทิศเอาไว้พร้อมกับอนุมานเรื่อยๆ “ที่นี่คงอยู่ห่างจากที่ตั้งของวิญญาณหยางไม่ไกลแล้ว”
“ก่อนหน้านี้เจ้าก็พูดแบบนี้มาสองครั้งแล้ว…” หลิ่วหรูอี้มองอาจารย์เทียนเซียวอย่างไม่พอใจแล้วพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ข้าจะเชื่อเจ้าอีกครั้ง”
“ข้าน้อยเองก็จนปัญญา ไม่ได้มีเข็มทิศความลับสวรรค์อยู่ในมือ” อาจารย์เทียนเซียวพูดอย่างอ่อนแอ
รองประมุขรูปร่างเด็กหนึ่งใช้เชือกมาแขวนอาจารย์เทียนเซียว ทั้งสี่เดินต่อไปข้างหน้า
จากนั้นไม่นานก็มีเสียงดังกึกก้องดังมาจากด้านหน้า
“นี่คือ…” พวกเขามาถึงตรงหน้าน้ำตกเหล็กหลอม
น้ำตกนี้ยิ่งใหญ่มาก ด้านล่างลึกจนไม่อาจคาดคะเน พลังหยางบริสุทธิ์ไหลบ่าดั่งคลื่น คนที่ระดับยุทธ์ต่ำเช่นอาจารย์เทียนเซียวรู้สึกเหมือนถูกไฟเผาทันที
ขาเขาขาดสองข้างและเสียแขนไปข้างหนึ่งจนอ่อนแอเป็นที่สุด ตอนนี้ต้องมาทนการเผาจากกฎหยางบริสุทธิ์อีก แม้แต่เคราก็เริ่มหงิกงอ
“พลังหยางบริสุทธิ์ที่อยู่ด้านล่างบริสุทธิ์มาก วิญญาณหยางคงจะอยู่ใต้น้ำตกนี้” รองประมุขท่าทางเหมือนเด็กพูดอย่างตาเป็นประกาย
ต่อให้ไม่อาจแน่ใจว่าเป็นวิญญาณหยาง แต่เกรงว่าใต้น้ำตกนี้คงมีสมบัติแน่นอน
“ไม่รู้ว่าไอ้เด็กเวรอี้อวิ๋นอยู่ที่ไหน หากเขาอยู่ที่นี่เช่นกันข้าก็จะลอกหนังกระชากกระดูกเขา จากนั้นก็เอาวิญญาณมาหลอมโอสถ!”
พวกเขาจำคำเย้ยหยันที่อี้อวิ๋นมีต่อพวกเขาก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี
ตลอดทางมานี้พวกเขาไม่เจออี้อวิ๋น อี้อวิ๋นอาจอยู่ที่นี่ก็ได้
“เขาคงคิดว่าสมบัติเป็นของเขาแน่นอน ทว่าเขามีชีวิตมาถึงที่นี่แต่จะไม่มีชีวิตนำสมบัติกลับไป ทุกอย่างที่นี่จะถูกวังวิถีเจ็ดดาราหลอมเป็นสมบัติขั้นสุดยอด” หลิ่วหรูอี้เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับพูดอย่างเย็นยะเยือก
หลิงเสียเอ๋อร์กำลังแอบมองสี่คนนี้อยู่กลางน้ำตก
นางมองออกว่าในสี่คนนี้นอกจากคนที่หายใจรวยรินแล้ว อีกสามคนที่เหลือล้วนมีกลิ่นอายแข็งแกร่งมาก
แต่ระหว่างทางที่มาที่นี่พวกเขาสามคนก็บาดเจ็บ แม้กลิ่นอายจะแข็งแกร่งแต่กลับไม่เสถียร
‘พวกเขามีความแค้นต่อคนที่ชื่ออี้อวิ๋นมากถึงเพียงนี้เชียว?’ หลิงเสียเอ๋อร์คิดอย่างสงสัยแล้วก็กระพริบตาคู่โตอย่างฉับพลัน ‘อี้อวิ๋น…คงไม่ใช่เขาหรอกกระมัง?’
หลิงเสียเอ๋อร์เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลฟ้าดิน ไม่ว่าใครที่เข้ามาในโลกใต้ดินนี้นางก็รู้ทั้งนั้น
นางรู้ว่าก่อนหน้านี้คนเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อย คนกลุ่มนี้เป็นพวกเดียวกัน เช่นนั้นศัตรูของพวกเขาก็มีเพียงอี้อวิ๋นที่อยู่เพียงลำพัง
หลิงเสียเอ๋อร์เท้าคางคิดเมื่อได้ยินสี่คนนี้คุยกันว่าเมื่อจับอี้อวิ๋นได้แล้วจะทำอะไรกับเขา นางเป็นคนล่ออี้อวิ๋นลงมา เช่นนั้นหากคนเหล่านี้ลงไปเจออี้อวิ๋นเข้าก็เท่ากับนางทำร้ายเขา
ก่อนหน้านี้มีคนต้องตายเพราะคิดจะทำลายค่ายกล จนถึงตอนนี้หลิงเสียเอ๋อร์ก็ยังรู้สึกผิด ตอนนี้นางเป็นคนล่อให้อี้อวิ๋นมาที่ค่ายกล นางจึงยิ่งไม่อาจปล่อยให้เขาถูกคนเหล่านี้ทำร้าย
‘ถ้าเขาพบว่าไม่อาจทำลายค่ายกลแล้วจากไปเองก็คงดี ในเมื่อคนพวกนี้มาหาข้า เช่นนั้นข้าจะล่อให้พวกเขาไปที่อื่นก่อนแล้วกัน’ หลิงเสียเอ๋อร์คิด
ความจริงนางก็ไม่มีวิธีที่ดีอะไรมาจัดการคนทั้งสามที่กลิ่นอายแข็งแกร่ง นางถูกขังที่นี่มาหลายร้อยล้านปีจนอ่อนแอมาก ส่วนต้นกำเนิดของนางอย่างเปลวไฟสีเทาก็ถูกขังไว้กลางค่ายกล… ไม่อาจนำมาจัดการสามคนนี้
คนทั้งสี่กำลังจะกระโดดลงสู่น้ำตก หลิงเสียเอ๋อร์ไม่มีเวลามาคิดอย่างละเอียดก็พุ่งตัวออกจากน้ำตกที่ซ่อนตัว
“ผู้ใด!”
หลิ่วหรูอี้ร้องด้วยความโกรธแต่ก็ต้องตะลึงงัน
มีเด็กผู้หญิงมาอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไร?
………………………………………………………………………………………………………….
[1] คนหมูคือวิธีลงโทษที่โหดร้ายมาก โดยจะทำการตัดมือ ตัดเท้า ควักลูกตา เอาทองแดงกรอกหูให้หูหนวก กรอกยาใบ้เข้าปาก ตัดลิ้น ทำลายเส้นเสียงแล้วทิ้งไว้ในกองอาจม
ตอนที่ 1114
กลกักขัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ระวัง!”
ตลอดทางมานี้พวกหลิ่วหรูอี้เป็นดังนกที่ตื่นธนู สัตว์ประหลาดของที่นี่แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ หากนำออกไปโลกภายนอกก็ทำลายสำนักขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าเด็กหญิงคนตรงหน้าไม่ปกติ เกรงว่าจะไม่ใช่คน
“ถอย! คอยหาจังหวะลงมือ!”
หลิ่วหรูอี้กับเด็กสองคนตื่นตัวอย่างหนัก แต่ตอนนี้อาจารย์เทียนเซียวกลับมองเข็มทิศในมือตัวเองอย่างงงัน เพราะการปรากฏตัวของเด็กหญิงคนนี้ทำให้เข็มทิศเกิดการตอบสนองพิเศษ
หรือว่า…
อาจารย์เทียนเซียวมองหลิงเสียเอ๋อร์ ตอนนี้หลิงเสียเอ๋อร์จงใจปล่อยกลิ่นอายเพลิงเทพในร่าง นี่จึงทำให้อาจารย์เทียนเซียวที่เชี่ยวชาญวิชาราศีรู้สึกถึง
เรื่องนี้ทำให้เขาดีใจมาก
“ท่านรองประมุขหลิ่ว จับนางไว้ขอรับ!”
อาจารย์เทียนเซียวตะโกนขึ้นอย่างฉับพลัน
เขาพบจุดที่พิเศษมากอย่างหนึ่ง ในร่างคนธรรมดาจะมีโชคชะตาฟ้าดิน ทว่าบนร่างเด็กหญิงคนนี้กลับว่างเปล่า แม้นางจะดูเหมือนคนที่มีชีวิตแต่ก็มีความต่างด้านธาตุแท้
ด้วยเหตุนี้อาจารย์เทียนเซียวจึงแน่ใจว่านางไม่มนุษย์ แต่เป็นร่างวิญญาณที่ก่อรูปขึ้น
วิญญาณที่ก่อรูปเป็นร่างมนุษย์ในที่แห่งนี้ ทั้งยังมีกลิ่นอายแห่งเพลิงบนร่างเด็กหญิงอีก เป็นไปได้มากว่านางก็คือร่างแปลงของวิญญาณหยาง
“นางคือวิญญาณหยาง! ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย” อาจารย์เทียนเซียวพูดอย่างตื่นเต้น
“นางเองหรือ?”
พวกหลิ่วหรูอี้ทั้งสามคนประหลาดใจ แต่จากนั้นรองประมุขรูปร่างเด็กสองคนนั้นก็ยื่นมือจับไปที่หลิงเสียเอ๋อร์พร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ก็จับไว้ก่อน!”
“จับนางแล้วสกัดทิ้ง นำกลับไปที่วังแล้วจะถือว่าสร้างผลงานใหญ่!”
หลิงเสียเอ๋อร์หน้าซีดเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับฝ่ามือขนาดยักษ์ที่ปรากฏขึ้นทางซ้ายขวา จากนั้นนางก็กลายเป็นเปลวไฟลูกหนึ่งในชั่วพริบตาแล้วบินลงเบื้องล่างด้วยความเร็วสูง
ดวงตาหลิ่วหรูอี้เป็นประกายเมื่อเห็นภาพนี้
“เป็นวิญญาณหยางจริงๆ ด้วย! ไล่ตามไป!”
น้ำตกไหลลงด้านล่าง เปลวไฟลูกหนึ่งพุ่งตามน้ำตกไปยังเบื้องล่าง
พวกหลิ่วหรูอี้ตามไปติดๆ ตั้งแต่พวกเขามาที่โลกใต้ดินของทะเลทรายกลบอาทิตย์ก็ไม่เคยเจอเรื่องนี้ ในที่สุดตอนนี้ก็มีผลให้เก็บเกี่ยวแล้ว
หลิงเสียเอ๋อร์รู้สึกถึงกลิ่นอายของคนทั้งสี่ที่ไล่ตามด้านหลังมาติดๆ สายตานางมองไปข้างหน้า
แม้ตอนนี้หลิงเสียเอ๋อร์จะเป็นแค่ร่างวิญญาณ แต่ค่ายกลของที่นี่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับตัวนาง ขอเพียงแค่ระมัดระวังก็มั่นใจว่าจะขังคนเหล่านี้สำเร็จ
ฟิ้ว!
หลิงเสียเอ๋อร์พุ่งตัวเข้าถ้ำ
“ที่นี่มีถ้ำอยู่” พวกหลิ่วหรูอี้มาถึงปากถ้ำภายในชั่วพริบตา
“วิญญาณหยางเหมือนจะจงใจล่อพวกเรามาที่นี่” อาจารย์เทียนเซียวลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้น
เขาถูกความประหลาดและอันตรายของโลกใต้ดินนี้ทำให้หวาดกลัวแล้ว แม้วิญญาณหยางจะอยู่ในถ้ำนี้เขาก็ยังกลัวอยู่ดี
“จงใจแล้วอย่างไร? ที่นี่ทิ้งร้างมานาน เจ้านายเมื่อครั้งวันวานของนางไม่อยู่แล้ว เราเข้าไปอย่างระมัดระวังก็พอ” รองประมุขรูปร่างเหมือนเด็กพูดขึ้น
“อาจารย์เทียนเซียว เจ้ามานำทาง” หลิ่วหรูอี้พูด “อย่าทำอะไรตุกติกล่ะ เมื่อได้วิญญาณหยางแล้วพวกข้าย่อมพาเจ้าออกไปและต่อแขนขาให้ นับจากนี้สำนักความลับสวรรค์ของเจ้าก็พึ่งพิงวังวิถีเจ็ดดาราของพวกข้าได้”
อาจารย์เทียนเซียวหน้าซีดพร้อมก่นด่าในใจ คนจากวังวิถีเจ็ดดาราโหดเหี้ยมไร้ปราณีจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะให้เขาที่ไร้พลังมานำทาง
แต่อาจารย์เทียนเซียวก็ไม่กล้าปฏิเสธ ในเมื่อหาวิญญาณหยางเจอแล้ว ตัวเขาจึงมีประโยชน์ไม่มากอีก รองประมุขวังวิถีเจ็ดดาราสามคนนี้สลัดเขาทิ้งได้ทุกเมื่อ
อาจารย์เทียนเซียวใช้แผ่นกลมาอนุมานไปด้วยเดินเข้าใกล้ตำหนักศิลาไปด้วย
“เหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร” อาจารย์เทียนเซียวพูด
อาจารย์เทียนเซียวใช้โชคชะตาฟ้าดินมาคำนวณ หากภายในอันตรายมากจริงๆ เช่นนั้นโชคชะตาเขาก็จะตกต่ำถึงขีดสุด นี่หมายถึงนิมิตรหมายแห่งความตาย
ตูม!
มีเสียงดังสนั่นขึ้นด้านหลังเมื่อพวกเขาเข้ามา
พวกหลิ่วหรูอี้รีบหันไปมองก็เห็นว่าประตูเหล็กบานยักษ์ปิดลง
“นี่!”
อักขระบนประตูเหล็กสว่างวาบขึ้น หลิ่วหรูอี้แทงกระบี่เข้าใส่แต่กลับถูกลำแสงค่ายกลกั้นกลับมา
ตรงหน้าพวกเขาคือทางตัน
“พวกเราถูกขังแล้ว” รองประมุขร่างเด็กพูดอย่างโมโห
หลิ่วหรูอี้จ้องประตูอยู่สักพักแล้วหันไปมองในถ้ำ
“ไม่ต้องร้อนใจ วิญญาณหยางหายไปแล้ว เกรงว่าในถ้ำนี้คงมีเล่ห์กลบางอย่าง ลองหาดูก็ต้องเจอทางออกแน่นอน” หลิ่วหรูอี้พูด
ที่แห่งนี้ไม่มีตัวประหลาดร่างคน ไม่มีสิ่งชีวิตโบราณอะไร เทียบกับอันตรายพวกนั้นแล้วแค่ถูกขังจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นวิญญาณหยางก็อยู่ใกล้ๆ นี้ ภารกิจของพวกเขาจะเสร็จสิ้นในไม่ช้า
“อาจารย์เทียนเซียว เจ้าจงรีบคำนวณหาทางออก” หลิ่วหรูอี้สั่ง
“ค่ายกลในถ้ำนี้น่าจะขังพวกเขาไว้ได้แล้ว น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจควบคุมปีศาจนอกค่ายกลพวกนั้น ไม่เช่นนั้นจะได้ล่อมาที่ถ้ำ…”
หลิงเสียเอ๋อร์พูดพึมพำกับตัวเองแล้วกลับไปดูอี้อวิ๋นศึกษาม้วนกระดาษที่ทะเลสาบอีกครั้ง
อี้อวิ๋นนั่งขัดสมาธิด้วยท่าทีที่เหมือนเข้าสู่สภาวะจดจ่อมาก ข้างกายเขามีอักขระกระพริบผ่านไม่หยุด ส่วนนิ้วมือก็วาดไปในอากาศ
ตอนแรกอี้อวิ๋นแค่อยากศึกษาค่ายกลนี้ให้ทะลุปรุโปร่ง แต่เมื่อเขาศึกษาม้วนกระดาษก็กลับค่อยๆ จมลงสู่วิชาค่ายกลและวิชาโอสถที่บันทึกอยู่ภายใน
เรียกได้ว่าเทพโอสถผู้นี้บรรลุวิถีโอสถถึงขั้นสุดยอด ม้วนกระดาษนี้จึงเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับอี้อวิ๋น
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว
วันแล้ววันเล่าเคลื่อนผ่านจนเกือบครบหนึ่งเดือน
วันนี้หลิงเสียเอ๋อร์นั่งอยู่ริมแม่น้ำเปลวเพลิง ขาทั้งสองจุ่มลงไปเล่นน้ำ เหล็กหลอมสีแดงสาดกระเซ็น ดูแล้วเกิดความแตกต่างที่ชัดเจนกับเท้าที่เหมือนเครื่องเคลือบของนาง
“เด็กหนุ่มคนนี้มีความอดทนจริงๆ!”
หลิงเสียเอ๋อร์โยกศีรษะไปมาพร้อมกับมองอี้อวิ๋น ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว เขาคอยศึกษาค่ายกลอย่างไม่ขยับเขยื้อนมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเข้าใจอะไรบ้าง เขาอ่านม้วนกระดาษสีดำของเทพโอสถจบไปแล้วรอบหนึ่ง แต่เทพโอสถอยู่ตั้งระดับไหนกัน บันทึกที่เขาทิ้งไว้ใช่สิ่งที่คนรุ่นหลังจะเข้าใจได้หรือ?
ขณะที่หลิงเสียเอ๋อร์กำลังคิดก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นอย่างฉับพลันเหมือนกำแพงแตก คลื่นพลังของพลังมิติส่งข้ามส่งเข้ามา
“หืม? พวกเขาทำลายพันธนาการของถ้ำหรือ?” หลิงเสียเอ๋อร์กระพริบตาอย่างตกใจเบาๆ แต่ไม่นานนางก็เข้าใจว่าอย่างไรถ้ำพำนักนี้ก็อยู่มาหลายร้อยล้านปี ต่อให้ค่ายกลในอดีตจะเสถียรมาก แต่ผ่านกาลเวลามานานขนาดนี้ก็ใกล้ดับสูญลง ย่อมไม่อาจกักขังพวกหลิ่วหรูอี้ทั้งสี่คน
หลิงเสียเอ๋อร์มองอี้อวิ๋นที่ยังคงไม่ขยับ จากนั้นร่างวิญญาณก็หายไปจากทะเลสาบและมาอยู่ที่หน้าตำหนักศิลาตอนนี้พวกหลิ่วหรูอี้เพิ่งออกจากค่ายกลส่งข้ามมาถึงที่ตำหนักศิลาเช่นกัน
เรียกได้ว่าตอนนี้สภาพพวกเขาสะบักสะบอมมาก การถูกขังในถ้ำพำนักเป็นเวลานานทำให้พวกเขาเสียพลังอย่างหนัก
พวกเขามองไปก็เห็นเงาร่างของเด็กหญิงคนนั้นยืนอยู่หน้าตำหนักศิลา
“วิญญาณหยาง!”
เวลาผ่านมาหนึ่งเดือน แววตารองประมุขร่างเด็กเป็นประกายเมื่อเห็นวิญญาณหยางอีกครั้ง!
หลิงเสียเอ๋อร์หมุนตัววิ่งเข้าสู่ตำหนักเมื่อเห็นคนทั้งสี่
“อีกแล้วหรือ?”
แววตาหลิ่วหรูอี้มีความละโมบ แค้นเคืองและพยาบาท
เมื่อเข้าสู่ตำหนักศิลาก็เห็นหลิงเสียเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างรูปปั้นแกะสลักรูปหนึ่ง
“วิญญาณหยาง!” ดวงตาหลิ่วหรูอี้มีประกายแล่นผ่าน นางยื่นมือออกไปคว้าทันที
แต่ในตอนนี้เองที่จู่ๆ หลิงเสียเอ๋อร์ก็กระโดดตัวไปด้านหลัง บนร่างนางมีแสงเพลิงจ้าตาส่องออกมา บนพื้นตำหนักศิลามีลวดลายลึกล้ำนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นทันที
ลวดลายเหล่านี้มีทั้งสลักขึ้นโดยเทพโอสถ มีทั้งเกิดขึ้นเองตามธรรมดาเมื่อค่ายกลผสานเข้ากับฟ้าดิน
ในฐานะที่หลิงเสียเอ๋อร์เป็นหัวใจของค่ายกลและผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นแม้ตัวนางจะไม่มีพลังแต่ก็กระตุ้นค่ายกลได้
หลิ่วหรูอี้ยั้งมือและถอยตัวไปด้านหลังทันทีเมื่อเห็นลวดลายที่แดงขึ้นมาเหมือนเปลวไฟ
ทว่าลวดลายเหล่านี้สว่างขึ้นทั้งหมดภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งตำหนักจมอยู่ในกองเพลิงอันร้อนระอุ
ตำหนักแห่งนี้กลายเป็นหม้อโอสถขนาดยักษ์ขึ้นมาทันที มันขังพวกหลิ่วหรูอี้ทั้งสี่คนไว้กลางกองเพลิง
ตูม ตูม!
รองประมุขร่างเด็กสองคนรวมพลังกันแต่ก็ไม่อาจทำลายกำแพงเพื่อออกจากกองเพลิง
“อ้าอ้า!” อาจารย์เทียนเซียวร้องโหยหวนไม่หยุด ท่ามกลางเปลวเพลิงนี้เขาคือคนที่ถูกเผาจนอนาถที่สุด ปราณคุ้มครองร่างอันอ่อนแอช่วยเขาไม่ได้แม้แต่น้อย คราวนี้ไม่ใช่แค่หนวดที่ถูกเผา แม้แต่ผมบนศีรษะก็ถูกเผาเกลี้ยงเช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาก็รู้สึกว่าตัวเองจะถูกเผาจนสุกแล้ว
ส่วนพวกหลิ่วหรูอี้สามคนก็พอต้านทานเปลวเพลิงได้บ้าง แต่การถูกขังที่นี่ มองเห็นวิญญาณหยางแต่กลับคว้ามาไม่ได้ก็น่าคลุ้มคลั่งไม่น้อย
“อื้ม แค่นี้ก็ได้แล้ว เมื่ออี้อวิ๋นรู้ว่าตัวเองไม่อาจทำลายค่ายกลก็คงออกไปเอง” หลิงเสียเอ๋อร์ปรบมือพูดอย่างพอใจ
เดิมทีนางก็เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกล ย่อมไม่เป็นอะไรเมื่ออยู่กลางค่ายกล เข้าออกได้ตามใจชอบ
ทว่าในตอนนี้เองที่จู่ๆ ดวงตาหลิ่วหรูอี้ก็มีประกายชั่วร้ายแล่นผ่าน นางลูบมือไปที่แหวนมิติ แส้เส้นหนึ่งปรากฎออกมา ลายอักขระสว่างวายแล้วม้วนไปทางหลิงเสียเอ๋อร์
สีหน้าหลิงเสียเอ๋อร์เปลี่ยนไปอย่างหนัก ขณะที่นางกำลังจะกลายร่างเป็นเปลวเพลิงเพื่อออกจากที่นี่ แส้เส้นนั้นก็หายไปจากจุดที่มันเคยอยู่ มันมาปรากฏข้างกายหลิงเสียเอ๋อร์ภายในชั่วพริบตาและจับนางไว้แน่น
“ใช่จริงๆ ด้วย! เจ้าเป็นแค่ร่างทางจิต มีเพียงความรู้สึกนึกคิดแต่ไม่มีพลังต้นกำเนิด แส้ของข้าเส้นนี้มีไว้จับความคิดและร่างวิญญาณพอดี” หลิ่วหรูอี้พูดอย่างเย็นยะเยือก
แม้การถูกขังหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้จะทำให้พวกเขาดูสะบักสะบอม แต่แท้จริงแล้วพวกเขาคอยหาจุดอ่อนของหลิงเสียเอ๋อร์อยู่ตลอด
อย่างไรหลิงเสียเอ๋อร์ก็เป็นเด็กหญิงไร้เดียงสา ต่อให้นางจะรู้ทุกอย่างที่นี่ดี ทว่าเทียบกับคนจิตใจชั่วร้ายแล้วนางไม่อาจเทียบกับคนแบบหลิ่วหรูอี้
หลิงเสียเอ๋อร์ดิ้นรนสุดชีวิต แต่ตอนนี้นางไม่มีร่างจริง ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของหลิ่วหรูอี้
“แส้ขังวิญญาณของข้ามีไว้ทรมานวิญญาณโดยเฉพาะ ทุบตีวิญญาณในร่างให้ออกมาแล้วค่อยๆ จัดการจนวิญญาณแตกสลาย เจ้าเป็นแค่วิญญาณ แทนที่จะยอมให้จับแต่โดยดีแต่กลับมาขังพวกข้า เพียงแค่ร่างวิญญาณถูสังหาร เจ้าก็จะสูญเสียสติปัญญา ค่ายกลนี้ย่อมเสื่อมฤทธิ์เช่นกัน”
“ในเมื่อร่างวิญญาณเจ้าอยู่ที่นี่ ร่างจริงของเจ้าก็คงอยู่ที่นี่เหมือนกัน เมื่อพวกข้าได้ร่างจริงของเจ้าก็จะสกัดทิ้งเพื่อให้วังวิถีเจ็ดดารานำไปใช้” หลิ่วหรูอี้พูดพร้อมยกมุมปากขึ้นอย่างชั่วร้าย
หลิงเสียเอ๋อร์ฟังแล้วก็หน้าซีด ผู้หญิงคนนี้จะทำลายจิตนาง! สำหรับพวกเขาแค่จับเปลวเพลิงต้นกำเนิดของนางก็เพียงพอแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น