True Martial World พิภพเทพยุทธ์ 1111-1112
ตอนที่ 1111
เชื้อเพลิงเทพมาร
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘ข้ารู้ว่าจุดจบของตัวเองกำลังใกล้เข้ามา วันนี้ขอปิดด่านเพื่อตามหาจุดสูงสุดของวิถีโอสถ หากสำเร็จก็อาจช่วยเซียวเซียวที่อยู่แดนปรโลกได้ ไม่รู้ว่าการปิดด่านนี้จะใช้เวลากี่เดือนกี่ปี บางทีอาจไม่มีชีวิตออกมา หากได้ฝังร่างในที่หลอมโอสถแห่งนี้ก็เป็นความปรารถนาของข้าเช่นกัน…’
อี้อวิ๋นอ่านประโยคสุดท้ายในม้วนกระดาษสีดำ ที่แท้ผู้อาวุโสท่านนี้ก็สร้างค่ายกลขึ้นในทะเลทรายกลบอาทิตย์เพื่อปิดด่านตาย
การปิดด่านนี้หลายร้อยล้านปี ทุกอย่างที่นี่คงถูกทิ้งหลายมาหลายร้อยล้านปี ผู้อาวุโสท่านนี้ปิดด่านตายนานถึงเพียงนี้ก็คงจบชีวิตไปแล้ว
‘ผู้อาวุโสปิดด่านเพื่อช่วยหลิงเซียวเซียวผู้เป็นลูกสาว นางก็คือเด็กหญิงที่เราเห็น?’
อี้อวิ๋นวางม้วนกระดาษลงแล้วเงยหน้าขึ้น เขาเห็นเด็กหญิงผิวขาวละเอียดผู้นั้นนั่งอยู่บนหม้อโอสถพร้อมกับเท้าคางมองเขา
เรื่องนี้ทำให้อี้อวิ๋นรู้สึกเข้าใจได้ยากไปชั่วขณะ หรือว่าหลังจากที่หลิงเซียวเซียวคืนชีพจะอยู่ที่นี่เพียงลำพังมาสองสามร้อยล้านปี? หรือว่าจะนานกว่าอีก?
เวลาผ่านมานานขนาดนี้แต่นางกลับไม่แก่ตายหรือเติบโต หรือท้ายที่สุดแล้วเทพโอสถจะไม่ใช่แค่หลอมโอสถคืนชีพสำเร็จ แต่ยังมีโอสถอายุวัฒนะด้วย?
อี้อวิ๋นคิดถึงตรงนี้แล้วก็ส่ายหน้า มีตำนานเล่าว่าคนเราจะเป็นอมตะได้ก็ต่อเมื่อไปถึงจุดสูงสุดของวิถียุทธ์ มีเรื่องง่ายแบบเป็นอมตะได้ด้วยโอสถธาตุกระดูกเม็ดหนึ่งที่ไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงชีวิตสุดท้ายของเทพโอสถก็ได้ยอมแพ้ต่อโอสถอายุวัฒนะ เลือกทุ่มเทกับการหลอมโอสถคืนชีพอย่างเดียว แม้แต่โอสถคืนชีพนี้ก็ทำให้เขาเสียพลังเฮือกสุดท้าย ต้องสร้างค่ายกลขึ้นจึงจะพอมีความหวัง
หวนกลับไปยังแม่น้ำแห่งกาลเวลาเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน คนที่ฟื้นคืนชีพคนตายในช่วงใดช่วงหนึ่งของแม่น้ำกาลเวลาได้ก็แทบเรียกได้ว่าเป็นพระเจ้า!
เทพโอสถทำสำเร็จจริงๆ หรือ? หรือหลังจากที่เขาสร้างค่ายกลได้สองสามร้อยล้านปีแล้วจะเพิ่งทำสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นหลิงเซียวเซียวจึงเพิ่งฟื้นคืนชีพและไม่ทันได้เติบโต?
ในใจอี้อวิ๋นมีความคิดเหล่านี้แล่นผ่าน เขาพบว่าเด็กหญิงคนนั้นคอยมองเขาจากบนหม้อโอสถอยู่ตลอด ดวงตานางเป็นประกายเหมือนดาว ทั้งยังเป็นอัญมณีที่เรืองแสงยามค่ำคืน
คงมีเพียงหลิงเซียวเซียวที่รู้ว่าเพลิงเทพนั่นอยู่ที่ไหนในตำหนักศิลานี้
แต่ในเมื่อเทพโอสถเป็นผู้ทิ้งเพลิงเทพเอาไว้ก็น่าจะทิ้งให้หลิงเซียวเซียว เขาจะไปแย่งมาก็ไม่ถูกไม่ควรนัก
อี้อวิ๋นมีเส้นตายของตัวเองที่จะไม่มีวันข้าม ตัวหลิงเซียวเซียวน่าสงสารมากอยู่แล้ว หากไปแย่งเพลิงเทพที่ท่านพ่อนางทิ้งไว้ให้แล้วจะเรียกตัวเองว่าสุภาพชนได้หรือ?
ขณะที่อี้อวิ๋นกำลัง จู่ๆ เงาร่างเด็กหญิงคนนั้นก็กระพริบหายไป นางถูกหม้อโอสถขนาดยักษ์ที่นั่งอยู่ดูดเข้าไป
‘ที่แท้หม้อโอสถนี้ก็เป็นของวิเศษประเภทมิติเหมือนเจดีย์เทพจุติ’
เด็กหญิงเหมือนอยากให้อี้อวิ๋นเข้าไปในหม้อโอสถเช่นกัน อี้อวิ๋นลังเลเล็กน้อย เขาเดินมาตรงหน้าหม้อโอสถ วางมือลงบนหม้อเพื่อส่งพลังปราณสายหนึ่งเข้าไป จากนั้นเขาก็ถูกดูดเข้าไปทันที
เขาไม่ต่อต้านแรงดูดนี้ ปล่อยให้แรงดูดควบคุมตัวเขา ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไป อี้อวิ๋นมายืนอยู่หน้าทะเลสาบขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง
ทะเลสาบนี้คล้ายคลึงกับแอ่งลึกใต้น้ำตกที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ ในทะเลสาบมีเหล็กหลอมสีแดงไหลเชี่ยว ทว่าไอที่ปะทะหน้าเข้ามากลับไม่ใช่ไอร้อน แต่เป็นไอเย็น
อี้อวิ๋นรู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเมื่อหยางพัฒนาถึงขีดสุดจะเกิดหยิน มีหยางอย่างเดียวจะไม่โต มีเพียงการหลอมรวมกันของหยินหยางเท่านั้นที่จะทำให้กฎแห่งหยางบริสุทธิ์ของที่นี่พัฒนาถึงขีดสุด
อี้อวิ๋นเห็นค่ายกลอยู่กลางทะเลสาบนี้ มองจากไกลๆ ก็พบว่าบนค่ายกลมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ หลิงเซียวเซียวนั่นเอง
ใต้เท้าหลิงเซียวเซียวมีเปลวไฟอันแผ่วเบาลุกโชนอยู่เงียบๆ เปลวไฟนี้เป็นสีดำเทา มันดูเงียบสงบมาก
กลิ่นอายอันยากจะบรรยายส่งมาจากเปลวไฟนี้ กลิ่นอายนี้ทำให้อี้อวิ๋นเคารพยำเกรงออกมาจากใจ ประหนึ่งว่ากำลังเผชิญกับเทพปีศาจทั้งสิบสองของโลกสวรรค์หมื่นปีศาจอย่างไรอย่างนั้น
หรือนี่จะเป็น…เชื้อเพลิงเทพมาร!?
อี้อวิ๋นกลั้นหายใจ แม้สติสัมปชัญญะจะบอกเขาว่านี่คือเชื้อเพลิงของหลิงเซียวเซียว แต่เมื่อได้มาเห็นสมบัติระดับนี้จริงๆ ก็ยากที่จะระงับความตื่นเต้น
หากสามารถสกัดเพลิงเทพระดับนี้ พลังของเพลิงเทพก็จะสะท้อนกลับมาในร่างเขาจนระดับยุทธ์พุ่งทะยาย ต้นไม้พิภพในร่างก็จะเติบโตอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน!
ไม่รู้ว่าพลังเขาจะพัฒนาถึงระดับไหน!
อยากได้จริงๆ…
อี้อวิ๋นสู้กับความคิดตัวเอง แม้จะไม่อาจแย่งชิงเพลิงเทพแต่เขาก็อยากพาหลิงเซียวเซียวไปจากที่นี่ ปล่อยให้นางอยู่ในค่ายกลทิ้งร้างเพียงลำพังก็คงโดดเดี่ยวเกินไป
เช่นนี้แล้วเชื้อเพลิงเทพมารก็จะตามหลิงเซียวเซียวไปด้วย ถึงเวลานั้นต่อให้เขาจะไม่ได้เพลิงนี้มาครอบครองก็ดูดซึมพลังส่วนหนึ่งและคว้าประโยชน์มาได้
อี้อวิ๋นรู้สึกละอายเล็กน้อยเมื่อคิดได้ว่าเขากำลังวางแผนต่อเด็กหญิงอายุเก้าถึงสิบขวบ แต่…นางอายุแค่เก้าถึงสิบขวบจริงๆ หรือ?
เหตุใดตัวนางที่ยืนอยู่กลางเปลวไฟจึงไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย ตอนที่นางกระโดดลงน้ำตกหยางบริสุทธิ์ก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะมีความเข้าใจต่อกฎแห่งหยางมากกว่าเขาด้วยซ้ำ?
เด็กหญิงอายุสิบขวบมีความเข้าใจด้านกฎเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน หรือนางจะได้การยอมรับจากพลังหยางบริสุทธิ์เพราะฟื้นคืนชีพที่นี่?
ขณะที่อี้อวิ๋นกำลังคิดก็เห็นว่าเชื้อเพลิงเทพมารสีเทากลายเป็นแสงสายหนึ่งอย่างฉับพลัน จากนั้นก็ผสานหายไปในร่างหลิงเซียวเซียว
สีหน้าหลิงเซียวเซียวไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย นางยังคงใช้ดวงตาที่เป็นดั่งอัญมณีมามองเขา
ทันใดนั้นอี้อวิ๋นก็ตะลึงงันขึ้นมา หลิงเซียวเซียวผสานเข้ากับเชื้อเพลิงเทพมาร!?
แค่กระโดดลงน้ำตกหยางบริสุทธิ์ก็น่าเหลือเชื่อแล้ว แต่นี่นางถึงขั้นผสานกับเชื้อเพลิงเทพมาร นี่…
คิดอย่างละเอียดแล้วแม้หม้อโอสถนี้จะเต็มไปด้วยพลังหยางบริสุทธิ์ที่เหมือนจะลุกโชนมาตลอดเวลาหลายร้อยล้านปี
แต่ในหม้อโอสถไม่มีสมุนไพรอะไรทั้งนั้น หากโอสถคืนชีพเพิ่งหลอมสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้จริงๆ เช่นนั้นก็ไม่ใช่แค่พืชสมุนไพร อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเหลือกากโอสถอยู่บ้าง
แค่คิดถึงหม้อโอสถที่หลอมมาหลายร้อยล้านปีก็น่าเหลือเชื่อแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบล้ำค่าอะไรก็สลายเป็นธุลี
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ค่ายกลที่เทพโอสถสร้างขึ้นจะคืนชีพให้ลูกสาวได้จริงๆ หรือ?
ค่ายกลเพิ่งสำเร็จหลังจากที่ผ่านเวลามาหลายร้อยล้านปี มีความเป็นได้มากแค่ไหนกัน?
อี้อวิ๋นเห็นเด็กหญิงคนนี้ครั้งแรกก็คิดว่านางคือหลิงเซียวเซียว แต่…นางใช่หลิงเซียวเซียวจริงหรือ!?
อี้อวิ๋นถอยหลังสองสามก้าวเมื่อคิดถึงตรงนี้ เขามองค่ายกลใต้เท้าเด็กหญิง เห็นได้ชัดว่าค่ายกลนี้คือค่ายกลแกนกลางของหม้อโอสถ หม้อโอสถนี้ถูกเผาในดินแดนหยางบริสุทธิ์มาร้อยล้านปีจนกลายเป็นสมบัติขั้นสุดยอด ส่วนค่ายกลนี้ก็คอยทำงานอยู่ตลอด มันคอยรวบรวมพลังหยางบริสุทธิ์ในทะเลทรายกลบอาทิตย์ พลังหยางนี้เข้มข้นจนแม้แต่อี้อวิ๋นก็ไม่กล้าสัมผัส
แต่เด็กหญิงคนนี้กลับเดินไปมาบนแกนกลางค่ายกลได้อย่างสบายๆ เหมือนเดินในสวนดอกไม้ มองพลังหยางบริสุทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ดุจมหาสมุทรที่ไหลเข้าออกร่างนางไม่หยุดแล้วในหัวอี้อวิ๋นก็มีความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว…
“เจ้าก็คือเชื้อเพลิงเทพมาร!?”
อี้อวิ๋นเข้าใจขึ้นมาทันที เปลวไฟสีเทาที่เขาเห็นบนค่ายกลก่อนหน้านี้ไม่ใช่ร่างจริงของเชื้อเพลิงมารเทพ
แม้เปลวเพลิงนั่นจะมีกลิ่นอายแข็งแกร่งดุจพลังแห่งความโกลาหลในยุคแรกเริ่มของจักรวาลแต่ก็อ่อนแอเกินไป ต่างจากเชื้อเพลิงมารเทพที่อี้อวิ๋นคิดไว้
เชื้อเพลิงสีเทานี้รวมตัวเข้าร่างหลิงเซียวเซียวอย่างไม่มีอุปสรรคใดๆ เรื่องนี้ทำให้อี้อวิ๋นยากจะรับรู้ถึงกลิ่นอายของเชื้อเพลิงเทพมารได้อีก
ดังนั้นความคิดอันกล้าหาญอย่างหนึ่งจึงปรากฏในใจอี้อวิ๋น เป็นไปได้มากว่าเด็กหญิงคนนี้ก็คือร่างจริงของเชื้อเพลิงมารเทพ!
มีเพียงเช่นนี้จึงจะอธิบายได้ว่าเหตุใดนางอยู่ที่นี่มาร้อยล้านปีแต่กลับยังมีรูปลักษณ์เป็นเด็กหญิง ไม่แก่ไม่ตาย และมีเพียงเช่นนี้จึงจะอธิบายได้ว่าเหตุใดตอนที่นางกระโดดลงน้ำตกเหล็กหลอมก่อนหน้านี้จึงเหมือนกำลังเล่นน้ำ
อี้อวิ๋นรู้ว่าเพลิงเทพชั้นสูงและวัตถุล้ำค่าชั้นสูงมีความสามารถในการแปลงกาย พวกมันรวบรวมแก่นฟ้าดินมาเป็นร้อยล้านปี หากจะแปลงกายเป็นมนุษย์หรือปีศาจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เด็กหญิงทำแค่มองอี้อวิ๋น หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นานก็พูดเสียงใสว่า “เจ้ามาตามหาข้าหรือ? อยากได้ข้าใช่ไหม?”
ตอนที่ 1112
หลิงเสียเอ๋อร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
คำพูดตรงไปตรงมาของเด็กหญิงแทบจะยืนการคาดการณ์ของอี้อวิ๋น
“เจ้าคือเชื้อเพลิงเทพมาร?” อี้อวิ๋นถือโอกาสถามตรงๆ
เด็กหญิงกระพริบตาปริบๆ แล้วพยักหน้า
ในม้วนกระดาษจำนวนมากของเทพโอสถไม่มีการพูดถึงความสามารถในการเปลี่ยนร่างของเชื้อเพลิงเทพมาร เด็กหญิงคนนี้แปลงร่างสำเร็จหลังจากที่เทพโอสถตายไปแล้ว
กาลเวลาอันยาวนานทำให้เชื้อเพลิงเทพมารเกิดสติปัญญา จากนั้นก็กลายร่างเป็นรูปร่างเหมือนหลิงเซียวเซียว
หลิงเซียวเซียวเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่นางเห็นในโลกใต้ดินนี้ แต่ตอนนี้ไม่เห็นร่องรอยของหลิงเซียวเซียว เกรงว่านางคงสลายเป็นธุลีท่ามกลางกาลเวลาอันแสนยาวนาน
กระทั่งเมื่อค่ายกลเสื่อมพลัง เกิดปรากฏการณ์ เด็กหญิงคนนี้กับตำหนักศิลาใต้ดินนี่จึงได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง
เชื้อเพลิงเทพมารล่อให้เขามาที่นี่ทำไม?
“เจ้าอยู่ในโลกใต้ดินเพียงลำพังนี้มาเป็นร้อยล้านปี หากเจ้าออกไปที่นี่ได้ก็คงออกไปนานแล้ว แต่นี่เจ้ากลับอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ทั้งยังล่อให้ข้ามาที่นี่โดยเฉพาะ เพราะเหตุใดกัน?” อี้อวิ๋นถาม
“ข้าอยากไปจากที่นี่ แต่ไปไม่ได้…”
เด็กหญิงพูดแล้วก็นั่งลงบนแผ่นค่ายกล ขาที่ละเอียดเหมือนรากบัวแกว่งไปมา “ตอนนั้นนายท่านใช้พลังฟ้าดินมาสร้างค่ายกลนี้ เขาคิดว่าตัวเองจะทำสำเร็จ แต่กระทั่งเมื่อนายท่านตายไปแล้วคุณหนูเซียวเซียวก็ไม่อาจฟื้นคืนชีพ ค่ายกลยังคงหมุนเวียน ข้าค่อยๆ ก่อร่างขึ้นท่ามกลางกาลเวลาอันแสนยาวนาน ข้าเองก็อยากช่วยคุณหนูเซียวเซียว แต่ว่า…แม้ข้าจะใช้พลังทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วค่ายกลนี้ก็ยังคงค่อยๆ อ่อนแรงลง”
“ข้าต้องเข้าสู่การหลับใหลเพราะพลังหมด ไม่รู้ว่าการหลับใหลนี้ใช้เวลาแค่ไหน คิดไม่ถึงว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ผ่านมาร้อยล้านปีแล้ว ที่นี่กลายเป็นค่ายกลฟ้าดินขึ้นเองตามธรรมชาติและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับค่ายกลที่นายท่านทิ้งไว้”
“เดิมทีข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลที่นายท่านสร้างขึ้น ตอนนี้ตัวค่ายกลผสานเข้ากับค่ายกลฟ้าดิน ข้าจึงพบว่าตัวเองไม่อาจออกไป”
เด็กหญิงก้มหน้าลงเมื่อพูดถึงตรงนี้ “คนที่มาก่อนหน้านี้ก็อยากพาข้าออกไป แต่พวกเขากลับถูกค่ายกลสังหารในขณะที่ลองทำลายค่ายกล”
ก่อนหน้านี้มีคนถูกฆ่า?
อี้อวิ๋นตกใจเล็กน้อย ก่อนที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์จะมีปรากฏการณ์ก็มีคนเข้ามาที่นี่ได้น้อยมาก นอกค่ายกลมีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว ในค่ายกลยังมีกลสังหารอีก ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เข้ามาก็เกรงว่าต้องเจ็บช้ำ
ส่วนคนจากร้านความลับเทพที่เจอตำแหน่งได้เพราะใช้เข็มทิศความลับสวรรค์ตัวแม่และมาถึงที่นี่ได้เพราะเสื้อหยกด้ายทองก็ยิ่งทำอะไรไม่ได้เข้าไปใหญ่
จอมยุทธ์จำนวนมากบาดเจ็บล้มตายเพราะตามหาโอกาส อี้อวิ๋นคิดแล้วก็ถอนหายใจ
เด็กหญิงเหมือนจะรู้สึกผิดเมื่อเห็นท่าทีของอี้อวิ๋น
นางแค่อยากไปจากที่นี่ก็เท่านั้น นางโดดเดี่ยวมานานเกินไป ถูกขังที่นี่มาสองสามร้อยล้านปีแล้ว
“เจ้าไม่ต้องรู้สึก คนที่มาที่นี่ต่างก็มาเพื่อตามหาสมบัติ ในเมื่อเป็นการตามหาสมบัติก็ย่อมมีอันตราย” อี้อวิ๋นมองความคิดเด็กหญิงออก เขาคิดไม่ถึงว่านางจะใจดีมาก
นางถูกเรียกว่าเชื้อเพลิงเทพมารไม่ใช่หรือ?
อี้อวิ๋นมองว่าต่อให้เชื้อเพลิงเทพมารจะไม่ชั่วร้ายถึงขีดสุดก็น่าจะไม่สนใจสรรพชีวิตและทำทุกอย่างตามใจ
แต่เด็กหญิงคนนี้จะมีภาพลักษณ์ไม่สอดคล้องไปเกินหน่อยกระมัง?
“เหตุใดเจ้าจึงถูกเรียกว่าเชื้อเพลิงเทพมาร?” อี้อวิ๋นถามอย่างอดไม่ได้
เด็กหญิงส่ายหน้าพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ ยามที่ข้าเกิดมาก็เหมือนจะมีความทรงจำที่แตกเป็นเสี่ยงๆ แต่หลังจากที่ผ่านเวลามาไม่รู้นานแค่ไหน ความทรงจำเหล่านี้ก็เหมือนจะถูกผนึก ต่อมาข้าก็ออกจากร่องสมุทรและติดตามนายท่าน ข้าค่อยๆ เติบโต ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น หลังจากที่นายท่านตายไปก็ใช้เวลาประมาณหลายสิบล้านปีจึงจะก่อตัวขึ้นช้าๆ…”
แม้จะบอกว่าวัตถุล้ำค่าและวิญญาณฟ้าดินสามารถกลายรูปเป็นมนุษย์ แต่บางครั้งวัตถุที่ยิ่งเลิศล้ำก็ยิ่งก่อตัวได้ยาก
ในช่วงเวลาอันยาวนานหลังจากที่เทพโอสถตายลง เชื้อเพลิงเทพมารได้รวบรวมปราณฟ้าดินหยางบริสุทธิ์เข้ามาในค่ายกลจนในที่สุดก็ก่อตัวสำเร็จ
อี้อวิ๋นไม่รู้ว่าเด็กหญิงคนนี้นับเป็นสิ่งมีชีวิตหรือเปล่า เขารู้สึกได้ว่านางมีพลังเลือดลมที่แทบไม่ต่างอะไรกับคนปกติ แม้แต่วิญญาณในร่างนางอี้อวิ๋นก็สัมผัสถึง
สาเหตุเหล่านี้ทำให้ตอนแรกอี้อวิ๋นคิดว่านางคือหลิงเซียวเซียว คิดว่านางเป็นมนุษย์เป็นๆ ไม่คิดแม้แต่น้อยว่าคือเชื้อเพลิงเทพมาร
“เจ้ามีชื่อไหม?” อี้อวิ๋นถาม
เด็กหญิงส่ายหน้า
“เช่นนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าดีไหม…เจ้าอยู่ในค่ายกลเพื่อช่วยหลิงเซียวเซียว แม้จะทำไม่สำเร็จแต่สุดท้ายก็ก่อตัวขึ้นจากเรื่องนี้ นับได้ว่ากำเนิดจากหลิงเซียวเซียว ต่อไปนี้ก็ชื่อหลิงเสียเอ๋อร์แล้วกัน”
หลิงเสียเอ๋อร์?
เด็กหญิงแปลกใจแต่ไม่นานก็พยักหน้า นางเอียงศีรษะคิดไปมาเหมือนชอบชื่อนี้มาก
“อื้ม!”
หลิงเสียเอ๋อร์ยิ้ม ทันใดนั้นไอเย็นในค่ายกลก็บางลงมาก ประหนึ่งมีความอบอุ่นเพิ่มเข้ามา
อี้อวิ๋นรู้สึกเหลือเชื่อ ในฐานะที่เป็นเชื้อเพลิงเทพมาร นางผ่านกาลเวลาร้อยล้านปีจนเกิดเป็นชีวิตที่ไม่ต่างจากมนุษย์แต่กลับมีนิสัยบริสุทธิ์เหมือนผ้าขาว
นางบอกว่าตัวเองมีความทรงจำที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ในตอนที่ถือกำเนิด ความทรงจำพวกนั้นคืออะไร หรือจะเป็นอดีตชาติของนาง
อี้อวิ๋นรู้สึกว่าหลิงเสียเอ๋อร์อาจไม่ได้ธรรมดาเรียบง่ายขนาดนั้น
อี้อวิ๋นส่ายศีรษะแล้วมองค่ายกลที่เกิดขึ้นเองจากพลังฟ้าดิน หลิงเสียเอ๋อร์บอกว่านางกับค่ายกลเป็นหนึ่งเดียวกันและเกิดการผสานแล้ว เช่นนั้นทะเลสาบนี้ก็น่าจะเชื่อมโยงด้วยเช่นกัน
แม้ตอนนี้จะปลอดภัย แต่เมื่อเขาลองทำลายความสมดุลของค่ายกลนี้ก็เกรงว่าจะแปรเปลี่ยนเป็นอันตรายครั้งใหญ่
หลิงเสียเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น “เจ้าจะทำลายพลังฟ้าดินของที่นี่หรือ?”
“อื้ม ลองดูไม่เห็นเป็นไร” อี้อวิ๋นพูด
หลิงเสียเอ๋อร์ส่ายหน้า “แต่ว่า…เจ้าอ่อนแอเกินไป ตอนนั้นคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าลองทำก็ยังไม่สำเร็จ”
นางหยุดเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ จากนั้นก็พูดต่อว่า “ข้าพาเจ้าเข้ามาในหม้อโอสถก็เพราะอยู่คนเดียวมานานเกินไปจึงอยากหาคนคุยด้วยก็เท่านั้น ไม่ได้หวังว่าเจ้าจะพาข้าออกไป”
อี้อวิ๋นเกาจมูกอย่างกระอักกระอ่วนเมื่อถูกเด็กผู้หญิงบอกว่าเขาอ่อนแอเกินไปอย่างฉับพลัน ความจริงหลิงเสียเอ๋อร์ก็พูดไม่ผิด เขาอ่อนแอไปหน่อยจริงๆ
แต่เขามีข้อได้เปรียบของตัวเอง แม้ระดับยุทธ์จะยังไม่สูง แต่ในร่างก็มีผลวิถีเก้าใบถึงสี่ผล ในแง่พลังฟ้าดินแล้วก็เข้าใจกฎแห่งหยางบริสุทธิ์จนเรียกได้ว่าบรรลุขั้นสุดยอด
การทำลายพลังฟ้าดินที่นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับยุทธ์ แต่อยู่ที่ความเข้าใจด้านกฎมากกว่า
อี้อวิ๋นบินออกจากหม้อโอสถเมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาเดินไปหาม้วนกระดาษสีดำที่เทพโอสถทิ้งไว้พวกนั้น ในม้วนกระดาษเหล่านี้มีบันทึกเกี่ยวกับค่ายกลสุดท้ายของเทพโอสถอยู่
อย่างไรเขาก็เป็นปรมาจารย์อสูรคนหนึ่ง เข้าใจวิถีโอสถอยู่ไม่น้อย นี่เองก็เป็นข้อได้เปรียบสำคัญของเขา
“เจ้าคอยดูเถอะ ไม่แน่ว่าเรื่องที่คนก่อนหน้านี้ทำไม่สำเร็จจะถูกข้าทำให้สำเร็จก็ได้…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น