True Martial World พิภพเทพยุทธ์ 1108-1110

 ตอนที่ 1108

 

มองคนอื่นประสบหายนะ

“ไม่รู้ว่าอี้อวิ๋นมีเข็มทิศความลับสวรรค์อยู่ในมือแล้วจะคิดเพ้อฝันมาที่นี่หรือเปล่า แต่ด้วยระดับยุทธ์เขาแล้วต่อให้มาที่นี่ก็ไม่อาจไปไหน เสียของจริงๆ” อาจารย์เทียนเซียวไม่สบอารมณ์เมื่อพูดถึงอี้อวิ๋นกับเข็มทิศความลับสวรรค์ เขารู้ว่าการเดินทางในทะเลทรายกลบอาทิตย์ครั้งนี้ตัวเขาไร้วาสนากับสมบัติขั้นสุดยอด ได้รับแค่รางวังเล็กๆ น้อยจากวังวิถีเจ็ดดารา หากนำเข็มทิศความลับสวรรค์กลับคืนมาได้ก็เป็นผลตอบแทนที่ไม่เลวสำหรับเขา


“เหอะ หากเขาเข้ามาก็ให้ข้าหลอมเป็นโอสถได้พอดี” เด็กอีกคนพูดขึ้น เสียงเขาเหมือนเด็กอีกคนอย่างไม่ผิดเพี้ยน ฟังแล้วแปลกพิลึกมาก


“นำทางต่อได้แล้ว รีบหาวิญญาณหยางให้เจอ” หลิ่วหรูอี้พูดเสียงเย็น ครั้งนี้นางถูกสำนักกระบี่สระใสขัดขวาง เมื่อพูดถึงอี้อวิ๋นก็มีจิตสังหารแฝงในคำพูด


อาจารย์เทียนเซียวถือเข็มทิศเพื่ออนุมาน แต่ในตอนนี้เองที่เขาเหลือบตาอย่างไม่ใส่ใจแล้วก็ต้องตกตะลึง


เขาเห็นจอมยุทธ์ท่าทางอิสระผู้หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลออกไป ในมืออีกฝ่ายถือเข็มทิศโลหะสองชิ้น นั่นคือเข็มทิศความลับสวรรค์! ทั้งยังเป็นเข็มทิศแม่ลูกทั้งสองแผ่น!


“ขะ…เข็มทิศความลับสวรรค์!?”


อาจารย์เทียนเซียวคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะใครที่นี่ ทั้งอีกฝ่ายยังมีเข็มทิศความลับสวรรค์ครบทั้งสองแผ่น


หากไม่มีวิชาอนุมานก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหาที่นี่เจอ คนผู้นี้มาจากไหนกัน? หรือเข็มทิศความลับสวรรค์หลุดจากมีอี้อวิ๋น หรือคนผู้นี้คือตัวอี้อวิ๋นเอง?


อาจารย์เทียนเซียวรู้ว่าวิชาแปลงโฉมหลายวิชาลึกล้ำมากจนยากจะมองออก


“ไม่ว่าเขาจะใช่อี้อวิ๋นหรือไม่ก็จับตัวเขาก่อน! แย่งเอาเข็มทิศความลับสวรรค์มา!” อาจารย์เทียนเซียวตะโกนอย่างตื่นเต้น


เขาไม่รู้ว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงยืนนิ่งอยู่กับที่ ช่างรนหาที่ตายจริงๆ!


“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย? บังเอิญจริงๆ” เด็กสองคนนั้นบินออกไปทันที พวกหลิ่วหรูอี้ก็พากันตามไปเช่นกัน


แต่พวกเขาก็ต้องรุ้สึกประหลาด เหตุใดคนผู้นี้อยู่ใกล้แต่กลิ่นอายกลับห่างไกลจนพวกเขาไม่สังเกตเห็นตั้งแต่แรก?


ทั้งอีกฝ่ายก็มีสีหน้านิ่งสงบ


“คนผู้นี้น่าจะเป็นอี้อวิ๋น นับว่าใจกล้าไม่น้อย แต่ดูซิว่าเมื่อข้าหลอมเขาเป็นโอสถแล้วจะรักษาความกล้าได้นานแค่ไหน” เด็กคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม


เด็กทั้งสองพุ่งเข้าหาอี้อวิ๋นพร้อมกันเมื่อพูดจบ


ทว่าเมื่อพวกเขาพุ่งตัวเข้าไปก็กลับพบว่าทั้งๆ ที่ตัวเองพุ่งมาแล้วระยะหนึ่ง แต่เมื่อมองไปที่อี้อวิ๋นอีกครั้งก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงยืนอยู่ข้างก้อนหินและห่างจากพวกเขาด้วยระยะทางเช่นเดิม


“หืม?” เด็กน้อยขมวดคิ้วแล้วสร้างตราคาถาขึ้น ทันใดนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึม “มิติอันโกลาหล? ไอ้หนู มิน่าเล่าเจ้าถึงได้ไม่เกรงกลัว แต่ในเมื่อเจ้ามาที่โลกใต้ดินนี้แล้วก็อย่าหวังว่าจะได้รอดออกไป”


“ใช่ ตอนนั้นมีสำนักกระบี่สระใสคุ้มครองเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าอยู่ตัวคนเดียว มาที่นี่ก็เท่ากับรนหาที่ตาย!” ดวงตาเรียวยาวของหลิ่วหรูอี้หรี่ลงเบาๆ คำพูดเต็มไปด้วยปราณสังหารอันน่ากลัว


แต่ตอนนี้กลับหัวเราะขึ้นมา เพราะมีมิติขวางกั้นอยู่ ความจริงแล้วเสียงเขาจึงส่งไปไม่ถึงอีกฝั่ง เขาทำแค่ขยับรูปปากเพื่อส่งสารของตัวเอง “พวกเจ้าเป็นห่วงตัวเองเถอะ ขอให้พวกเจ้าโชคดี”


อี้อวิ๋นเพิ่งพูดจบ คนจากวังวิถีเจ็ดดาราที่อยู่ด้านหลังก็ร้องโหยหวนขึ้นมาอย่างฉับพลัน


พวกหลิ่วหรูอี้รีบหันไปมองก็เห็นสิ่งมีชีวิตร่างคนที่ไม่มีหน้าตนหนึ่งฟันศิษย์วังวิถีเจ็ดดาราผู้นั้นแยกเป็นสองส่วน ตอนนี้มันกำลังพุ่งมาทางพวกเขา


“ตัวอะไรน่ะ?”


สิ่งมีชีวิตน่ากลัวสูงสามหมี่ ใบหน้าเหมือนถูกเผาเกรียม ทั้งร่างมีกลิ่นอายอันน่ากลัวแผ่ออกมา


ในเงามืดด้านหลังสิ่งมีชีวิตร่างคนมีศีรษะหลายศีรษะโผล่ออกมา นับรวมแล้วมีทั้งหมดสิบสองศีรษะ เป็นสิ่งมีชีวิตร่างคนทั้งหมด


ซ่า!


พวกมันกระโดดขึ้นจากเหล็กหลอม ตรงกลางยังมีสิ่งมีชีวิตตัวหัวหน้าที่สูงสี่หมี่ หน้าตาชัดเจนและมีกลิ่นอายชัดเจนว่าน่ากลัวยิ่งขึ้น มันทำให้ทุกคนขนลุกไปหมด


‘โฮก!’


สิ่งมีชีวิตร่างคนพากันร้องคำรามเสียงต่ำแล้วพุ่งตัวเข้ามา


“น่าตายชะมัด!” เด็กน้อยสองคนสบตากันแล้วพุ่งตัวออกไป คนจากวังวิถีเจ็ดดาราคนอื่นๆ พุ่งเข้าไปปะทะกับสิ่งมีชีวิตนี้เช่นกัน


แต่พวกเขาก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าแม้สิ่งมีชีวิตร่างคนเหล่านี้จะไม่เข้าใจกฎแต่กลับทรงพลังมาก ความเร็วก็เร็วถึงขีดสุดเช่นกัน


“อ้า!”


คนจากวังวิถีเจ็ดดาราร้องโหยหวนไม่หยุด มีคนบาดเจ็บล้มตายอย่างรวดเร็ว


อาจารย์เทียนเซียวตกใจกับภาพตรงหน้าจนตัวเย็น ด้วยระดับยุทธ์ของเขาแล้วไม่มีทางสู้สิ่งมีชีวิตนี้ได้แน่นอน


“โฮก!”


วังวิถีเจ็ดดาราสูญเสียศิษย์ไปอีกสองสามคนภายในเวลาสั้นๆ


คนที่เหลือรับมืออย่างจนมุม สิ่งมีชีวิตประหลาดพวกนี้ฟันแทงไม่เข้า การโจมตีของพวกเขายากที่จะสร้างบาดแผล!


แม้แต่รองประมุขทั้งสี่ของวังวิถีเจ็ดดาราก็ยังรับมือได้ไม่ง่ายนัก!


“น่าตายชะมัด!” เด็กน้อยทั้งสองมีสีหน้าเย็นยะเยือก พวกเขาเห็นว่าอี้อวิ๋นยังยืนดูเรื่องสนุกอยู่ที่เดิม!


ทั้งที่อีกฝ่ายอยู่ใกล้แค่ตาและกลับจับตัวไม่ได้ ได้แต่มองเด็กที่ไม่มีค่าให้พูดถึงสำหรับพวกเขาดูเรื่องสนุกไปด้วย มีสีหน้าเย้ยหยันไปด้วย


นี่เป็นความอัปยศสำหรับพวกเขาที่เป็นรองประมุขของวังวิถีเจ็ดดารา!


“พวกเจ้าค่อยๆ สู้ไป ข้าไปก่อนล่ะ” อี้อวิ๋นพูดพร้อมรอยยิ้ม


“โถ่เว้ย! คนผู้นี้คืออี้อวิ๋นแน่นอน! ไอ้เด็กสกุลอี้ วังวิถีเจ็ดดาราของข้าจะหาเจ้าให้เจอแล้วหั่นร่างเป็นชิ้นๆ แน่นอน!” หลิ่วหรูอี้กัดฟันพูดอย่างชั่วร้าย


นางอยากพุ่งไปจับอี้อวิ๋นเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แต่ตอนนี้วังวิถีเจ็ดดาราแค่จะเอาตัวรอดยังยาก พวกนางมากันสามสิบกว่าคนแต่กลับตายไปแล้วครึ่งหนึ่งภายในชั่วพริบตา!


ไม่รู้ว่าอี้อวิ๋นมีชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมอันแสนจะอันตรายนี้ได้อย่างไร!


“ท่านรองประมุข อี้อวิ๋นมีเข็มทิศความลับสวรรค์ ทั้งยังมีเข็มทิศตัวแม่อยู่ในมือด้วย เกรงว่าเขาคงเจอคนทรยศของสำนักความลับสวรรค์แล้ว บนร่างเขาใส่เสื้อหยกด้ายทองไว้อยู่! เสื้อหยกนี้ใช้บดบังกลิ่นอายได้ เขานำหน้าพวกเราไปก่อน อาจเจอสมบัติก่อนพวกเรา!” อาจารย์เทียนเซียวพูดอย่างรีบเร่ง


เด็กน้อยสองคนมองอาจารย์เทียนเซียวอย่างเย็นยะเยือก อาจารย์เทียนเซียวนี่พูดอะไรไม่พูดดันมาพูดเรื่องนี้ พวกเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?


“เขาจะได้ก็ต่อเมื่อมีชีวิตรอด!” ชายวัยกลางคนสะพายดาบเล่มใหญ่สีดำที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดพูดขึ้นด้วยเสียงอันแหบแห้งอย่างฉับพลัน


ตอนนี้อี้อวิ๋นมองอาจารย์เทียนเซียวแวบหนึ่ง แววตามีประกายยิ้มเยาะ “นอกจากสิ่งมีชีวิตร่างคนแล้วในโลกใต้ดินนี้ยังมีอย่างอื่นอีก พวกมันน่าจะหิวโหยมาหลายล้านปี ขอให้พวกเจ้าโชคดี”


อาจารย์เทียนเซียวฟังคำพูดอี้อวิ๋นแล้วก็เสียวสันหลัง มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีก? เขาอันตรายแล้วจริงๆ ลำพังแค่คนจากวังวิถีเจ็ดดารายังยากจะเอาตัวรอด จะมาสนใจเขาได้อย่างไร?


ตอนนี้อี้อวิ๋นค่อยๆ หมุนตัวเดินเข้าสู่ส่วนลึกภายใต้สายตาของคนจากวังวิถีเจ็ดดารา


แผ่นหลังอันเอ้อระเหยของเขาทำให้คนจากวังวิถีเจ็ดดาราที่อยู่กลางการต่อสู้โมโหจนแทบกระอักเลือด


…………………………………………………………………………………………………

 

 

 


ตอนที่ 1109

 

หลิงเซียวเซียว

โดย

Ink Stone_Fantasy

‘พวกคนจากวังวิถีเจ็ดดาราไม่รู้ทาง ทั้งยังไม่มีเสื้อหยกด้ายทอง คงต้องใช้เวลาไม่น้อยจึงจะไล่เราทัน ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขา’ อี้อวิ๋นเดินไปด้วยคิดไปด้วย


หลังจากที่เดินในโลกใต้ดินมาอีกพักหนึ่งอี้อวิ๋นก็รู้สึกว่าอากาศรอบด้านร้อนขึ้นเรื่อยๆ ก้อนหินใต้เท้าถูกเผาด้วยอุณหภูมิสูงจนใสแวววาว ภายในเหมือนมีของเหลวสีแดงไหลเวียนอยู่


อี้อวิ๋นเปรียบเทียบกับแผนที่ในหัวแล้วก็พบว่าเขาได้เข้าสู่พื้นที่ใจกลางที่ชายชราทำสัญลักษณ์ไว้ให้แล้ว


แผนที่ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปเมื่อเข้าสู่พื้นที่ใจกลาง อี้อวิ๋นเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังมากขึ้น


เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ เพื่อหาตำแหน่งของวิญญาณหยาง


ตอนนี้มีเสียงกึกก้องจากด้านหน้าส่งมาให้ได้ยินรางๆ ตอนแรกอี้อวิ๋นคิดว่าจะมีอะไรน่ากลัวโผล่ออกมาอีก เขาเมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ต้องตกตะลึง


เบื้องหน้าเขาคือน้ำตกเหล็กหลอมขนาดใหญ่สายหนึ่ง เหล็กหลอมที่ไหลเชี่ยวทำให้เกิดประกายไฟนับไม่ถ้วน เหล็กหลอมนี้ไหลจากด้านบนลงไปด้านล่าง และเบื้องล่างของน้ำตกก็อยู่ลึกลงไปใต้ดินอีก


อี้อวิ๋นยืนมองลงไปด้านล่างจากริมน้ำตก ที่ด้านล่างนั้นเขาเห็นแต่แสงไฟรางๆ คาดการณ์ว่าคงลึกลงไปร้อยจั้ง พลังหยางบริสุทธิ์อันน่ากลัวส่งขึ้นมาไม่หยุด


“นี่มันสถานที่อะไรกัน…” อี้อวิ๋นมองอย่างตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าในโลกใต้ดินจะมีภาพอัศจรรย์เช่นนี้


และในตอนนี้เองที่อี้อวิ๋นต้องตกใจอย่างฉับพลัน


เขาเห็นว่าในอีกฟากหนึ่งของน้ำตกมีเด็กหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ นางกำลังมองลงไปใต้น้ำตกเหมือนเขา


ดูท่าทางแล้วเด็กหญิงคนนี้อายุแค่เก้าถึงสิบขวบ บนหัวมัดเป็นมวยผมสองข้าง ใบหน้ากลมอ้วน ผิวพรรณขาวละเอียด ดูแล้วเป็นคนที่งดงามตั้งแต่กำเนิด


เด็กหญิงหน้าตาน่ารักมากปรากฏตัวในโลกใต้ดินอันน่ากลัวอย่างฉับพลัน เรื่องนี้ทำเอาตอบสนองไม่ถูกจริงๆ


ขณะที่อี้อวิ๋นกำลังมองเด็กหญิง อีกฝ่ายก็เหมือนรู้สึกได้ว่ามีคนมอง นางเงยหน้ามองอี้อวิ๋นด้วยดวงตาคู่โตและเอียงคอเหมือนประหลาดใจ


ไม่รู้เหตุใด ทั้งที่เด็กหญิงผู้นี้ไม่ได้เปิดปากพูด แต่อี้อวิ๋นกลับเหมือนได้ยินเสียงนาง


“หลังจากที่กลุ่มคนก่อนหน้านี้มาก็มีคนจำนวนมากมาใหม่ในครั้งนี้ แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในบรรดากลุ่มมาใหม่นี้จะเป็นเจ้าที่มาถึงเป็นคนแรก คนอีกพวกหนึ่งเป็นกลุ่มอิทธิพลที่มีคนมากไม่ใช่หรือ?”


เสียงของเด็กหญิงและหวาน ฟังแล้วน่าเป็นที่รักมาก


อี้อวิ๋นคิดกับตัวเอง กลุ่มก่อนหน้านี้หรือ?


กลุ่มคนที่เด็กหญิงพูดถึงคงไม่ใช่พวกท่านปู่ของจีสุ่ยเยียนจากร้านความลับเทพหรอกใช่ไหม? ส่วนอีกกลุ่มที่มีคนมากก็น่าจะหมายถึงวังวิถีเจ็ดดารา


เด็กหญิงคนนี้ลึกลับมา ในเมื่อนางปรากฏตัวที่นี่ก็ต้องมีการเกี่ยวข้องอันใหญ่หลวงต่อสถานที่แห่งนี้


“หนูน้อย เจ้าเป็นใครหรือ? คนที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่คือ…”


 อี้อวิ๋นเพิ่งจะเอ่ยปากพูด จู่ๆ สาวน้อยก็หัวเราะเสียงใสขึ้นมา ขณะที่หัวเราะก็กระโดดตัวลง ร่างกายเล็กน่ารักของนางพุ่งลงใต้น้ำตก


“นี่…”


อี้อวิ๋นรีบเดินไปข้างหน้าสองก้าวแล้วชะโงกหน้ามองด้านล่าง


ไอร้อนถาโถมขึ้นจนผมอี้อวิ๋นพัดปลิว หากจอมยุทธ์ที่ไม่แข็งแกร่งพอมาทำแบบเขา เช่นนั้นอย่างเบาก็ดวงตาถูกเผา อย่างหนักก็สลายเป็นขี้เถ้า


ทว่าท่ามกลางคลื่นความร้อนนี้เงาร่างของเด็กหญิงกลับเป็นดังนกนางแอ่นที่นุ่มนวล เพียงพริบตาก็ตกลงสู่ส่วนลึก


‘เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้คุ้นเคยกับที่นี่มาก’ อี้อวิ๋นครุ่นคิด หากเขาตามหาที่นี่ไปมาเหมือนแมลงวันไร้หัวก็อาจเจออันตรายที่ไม่รู้จัก


คนจากวังวิถีเจ็ดดาราอาจหลุดพันจากสิ่งมีชีวิตร่างคนในท้ายที่สุดและไล่ตามมา ตอนนี้เขาต้องรีบทำเวลา


เด็กหญิงคนนี้แปลกประหลาดมาก พลังหยางบริสุทธ์ที่อยู่ใต้น้ำตกก็บริสุทธิ์กว่าจุดอื่นๆ…


‘ลงไป’ อี้อวิ๋นไม่ลังเลอีกต่อไป เขากระโดดตัวลงเช่นกัน


เมื่อเข้าสู่พื้นที่ของน้ำตกก็รู้สึกประหนึ่งอยู่กลางเตาไฟทันที เขารีบเพิ่มพลังให้ปราณคุ้มครองร่าง ร่างหยางบริสุทธิ์ถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์ เขาพุ่งตัวลงใต้ดินลึกด้วยความเร็วสูง


ตุบ!


อี้อวิ๋นร่อนตัวลงบนหินยักษ์สีแดงก้อนหนึ่ง


ด้านล่างของน้ำตกเป็นแอ่งลึกที่มีเหล็กหลอมสีแดงไหลบ่าอยู่ภายใน ทุกอย่างที่ตกลงไปก็จะถูกเผาจนไม่เหลือซาก


ตอนนี้อี้อวิ๋นดวงตาขนาดยักษ์คู่หนึ่งปรากฏกลางแอ่งลึก


ดวงตานี้ใหญ่ประมาณระฆังและเย็นชามาก อี้อวิ๋นมองแล้วตกใจจนเหงื่อตก


ยังดีที่เขาใส่เสื้อหยกด้ายทองอยู่ ดวงตานี้มองไม่เห็นเขาและหายกลับเข้าไปในแอ่งลึกอย่างเงียบเชียบ


อี้อวิ๋นตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวังและรีบตามหาร่องรอยของเด็กหญิงคนนั้น


เขากวาดตาผ่านแอ่งลึกนี้ก็เห็นเงาร่างๆ เล็กๆ เดินไปทางถ้ำขนาดยักษ์


อี้อวิ๋นรีบตามไปทันที


เมื่อมาถึงทางเข้าถ้ำเขาก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง


ทางเข้าถ้ำนี้เป็นประตูเล็กบานยักษ์สองบาน บนประตูมีกระบี่เหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนปักไว้อยู่


อี้อวิ๋นมองไปก็พบว่ากระบี่เหล่านี้มีคุณภาพไม่ด้อยกันทั้งนั้น แต่กระบี่ส่วนใหญ่ชำรุดหมดแล้ว ไม่อาจนำมาใช้ได้อีก


‘เหตุใดที่นี่จึงมีกระบี่ที่ชำรุดมากขนาดนี้…’


กระบี่เหล็กเหล่านี้มาจากยุคอดีตอันห่างไกล กระบี่ที่เก่าที่สุดกลายเป็นผงเหล็ก ที่ใหม่ที่สุดมีสนิมขึ้นเป็นจุดๆ ระหว่างกระบี่ใหม่กับเก่ามีระยะเวลาห่างกันสองสามร้อยล้านปี


มีตำนานเล่าว่าทะเลทรายกลบอาทิตย์คือจุดที่ดวงอาทิตย์ร่วงหล่นลงมา แต่ตอนนี้อี้อวิ๋นกลับเห็นร่องรอยมนุษย์ที่ใต้ดินลึกนี้


“สถานที่นี้คืออะไรกันแน่” อี้อวิ๋นยืนอยู่หน้าประตู หลังจากที่ลังเลสักพักก็เดินเข้าถ้ำไป


เขาตาลายทันทีเมื่อเข้าสู่ถ้ำ มิติรอบตัวเกิดการเปลี่ยนแปลง อี้อวิ๋นตื่นตัวเต็มที่ มือวางไปที่แหวนมิติ


ชั่วพริบตานี้เท้าอี้อวิ๋นสัมผัสกับแผ่นหินเย็นยะเยือก เมื่อมองไปก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในตำหนักที่ก่อขึ้นจากหินยักษ์


ตำหนักนี้ตั้งอยู่ในถ้ำลึกใต้ดิน ไม่รู้ว่าทิ้งร้างมานานแค่ไหนแล้ว เมื่ออี้อวิ๋นยืนอยู่ที่นี่ก็รู้สึกเหมือนมีพลังอันเปล่าเปลี่ยววนเวียนอยู่ในแผ่นหินใต้เท้า


กลางตำหนักมีรูปแกะสลักรูปหนึ่ง เมื่ออี้อวิ๋นเดินเข้าไปดูก็พบว่าเป็นรูปสลักของเด็กหญิงคนนั้น ด้านใต้มีอักษรสลักไว้


‘บุตรสาวผู้เป็นที่รักของข้า หลิงเซียวเซียว’


อักษรที่สลักดูมีพลังยิ่งใหญ่ ทว่ามันกลับมีความเศร้าโศกที่แม้แต่กาลเวลาก็ยากจะทำลาย


 ‘ที่นี่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ ด้วย เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิงเซียวเซียว เป็นบุตรสาวผู้เป็นที่รักของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง เช่นนั้นเด็กหญิงคนนี้อายุเท่าไรแล้ว’ อี้อวิ๋นมองรูปแกะสลักด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ หรือเมื่อครู่เขาจะเห็นผี?


ทันใดนั้นอี้อวิ๋นก็เงยหน้าขึ้นมองด้านบน


เท้าสีขาวคู่หนึ่งกำลังแกว่งไปมาบนคานไม้


“เจ้าก็คือหลิงเซียวเซียว?” อี้อวิ๋นถาม


เด็กหญิงคนนี้วิ่งไปมาในสถานที่แห่งนี้เพียงลำพัง ตำหนักนี้ก็ถูกทิ้งร้างมานาน เกรงว่าคนที่สร้างรูปสลักในนางคงจากไปนานแล้ว


เด็กหญิงยิ้มบางๆ แล้วกระโดดตัวลงมาเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัววิ่งเข้าไปในตำหนัก


อี้อวิ๋นแปลกใจ เขารู้สึกว่าเด็กหญิงคนนี้เหมือนจงใจล่อให้เขาเข้ามาที่นี่และจงใจชี้ทางให้เขา


อี้อวิ๋นลังเลเล็กน้อยแต่ก็ตามนางไป

 

 

 


ตอนที่ 1110

 

โอสถคืนชีพ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ลึกเข้าไปในตำหนักมืดมิดมาก โลกใต้ดินร้อนระอุเหมือนเตาไฟ แต่ที่นี่กลับเย็นยะเยือก น่าประหลาดยิ่งนัก


อี้อวิ๋นตามเด็กหญิงมาถึงห้องโอสถแห่งหนึ่ง


หม้อโอสถขนาดยักษ์ตั้งอยู่กลางตำหนักศิลาขนาดกว้าง หม้อนี้เย็นเฉียบและมีฝุ่นจับ ข้างหม้อมีม้วนกระดาษสีดำจำนวนหนึ่งวางเอาไว้


ม้วนกระดาษสีดำพวกนี้เก่าแก่มากจนมีฝุ่นหนาเป็นชั้นๆ อี้อวิ๋นใช้พลังปราณมาปัดฝุ่นออกและส่งการรับรู้เข้าสู่ม้วนกระดาษเหล่านี้ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกประหนึ่งว่าการรับรู้ของเขาถูกดูดเข้าไป


นี่คือ…ของวิเศษที่ใช้บันทึกข้อมูลโดยเฉพาะ?


ส่วนใหญ่แล้วโลกของจอมยุทธ์จะใช้แผ่นหยกมาบันทึกข้อมูล แผ่นหยกมีความจุที่ใหญ่มากจึงเพียงพอให้ใช้ แต่ม้วนกระดาษสีดำที่มีไว้บันทึกข้อมูลและกลั่นโดยเฉพาะนี้กลับบันทึกข้อมูลได้เยอะกว่า


อี้อวิ๋นเดินไปพลิกม้วนกระดาษดู ส่วนใหญ่เป็นบันทึกเรื่องการหลอมโอสถและเทียบโอสถต่างๆ


เทียบโอสถส่วนใหญ่ยุ่งยากซับซ้อนมาก ดูจากบันทึกบนม้วนกระดาษสีดำแล้วโอสถที่เทียบโอสถนี้หลอมออกมาเรียกได้ว่ามีสรรพคุณท้าทายสวรรค์ มันสุดยอดถึงขั้นที่ทำให้อี้อวิ๋นไม่ค่อยกล้าเชื่อ


โอสถและธาตุกระดูกบางส่วนสามารถให้เทพราชาที่จะข้ามผ่านระดับใช้ อี้อวิ๋นเห็นแม้กระทั่งเทียบโอสถบางตัวที่ต้องใช้ม้วนกระดาษสีดำทั้งแผ่นมาจดบันทึก ปริมาณความจุของม้วนกระดาษสีดำนี้ใหญ่กว่าแผ่นหยกมากกว่าร้อยเท่าแต่กลับใช้จดเทียบยาชนิดเดียว


และโอสถจากเทียบนี้ก็เตรียมไว้ให้คนที่อยู่เหนือระดับเทพราชาขึ้นไป…


เหนือเทพราชา?


อี้อวิ๋นสูดลมหายใจเย็นๆ จนถึงตอนนี้อี้อวิ๋นก็ยังรู้สึกคลุมเครือต่อระดับที่เหนือเทพราชาขึ้นไป แต่เขาแน่ใจว่าเทพราชาไม่ใช่จุดสิ้นสุดของวิถียุทธ์แน่นอน หญิงชุดดำที่เป็นผู้สร้างโลกไม้ฟ้าพยับหมอกก็อยู่เหนือระดับเทพราชา


ทั้งยังมีคนยักษ์สัมฤทธิ์นั่นอีก ความแข็งแกร่งของมันก็อยู่เหนือเทพราชาไปไกล


อี้อวิ๋นเกิดความเข้าใจเมื่ออ่านถึงตรงนี้ เจ้าของม้วนกระดาษสีดำเหล่านี้คือปรมาจารย์โอสถ หรือไม่ก็เรียกว่าเทพโอสถได้ด้วยซ้ำ


ปรมาจารย์โอสถกับปรมาจารย์อสูรมีเชื้อสายเดียวกัน แต่วัตถุดิบที่ปรมาจารย์อสูรใช้หลอมธาตุกระดูกคือกระดูกอสูรปีศาจ แต่ปรมาจารย์โอสถจะใช้พืชต่างๆ มาหลอม เพราะขอบข่ายของทั้งสองไม่ได้ทับซ้อนกัน พลังที่ได้จากกระดูกปีศาจและพืชพรรณก็ขัดแย้งกันมาก ดังนั้นจึงมีปรมาจารย์โอสถน้อยมากที่จะเลือกขอบข่ายทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน ส่วนใหญ่จะเลือกฝึกวิชาปรมาจารย์อสูรหรือไม่ก็วิชาโอสถอย่างใดอย่างหนึ่ง


เพราะโลกสวรรค์เทพหยางมีกระดูกปีศาจไม่มากเท่าพืชพรรณ ปรมาจารย์โอสถส่วนใหญ่จึงเลือกฝึกวิชาโอสถ มีน้อยมากที่จะฝึกวิชาปรมาจารย์อสูร


แต่ปรมาจารย์โอสถผู้นี้กลับฝึกทั้งสองวิชาพร้อมกัน ความสำเร็จของทั้งสองวิชาก็เรียกได้ว่าบรรลุถึงขั้นสุดยอด


อี้อวิ๋นเองก็นับว่าเชี่ยวชาญวิชาปรมาจารย์อสูรอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับผู้ที่ทิ้งม้วนกระดาษสีดำนี้ก็ต่างราวฟ้ากับเหว


อี้อวิ๋นอ่านต่อไปเรื่อยๆ ม้วนกระดาษสีดำส่วนใหญ่ใช้บันทึกเทียบโอสถ แบ่งเป็นธาตุกระดูกกับโอสถอย่างละครึ่ง วิธีหลอมแต่ละอย่างซับซ้อนมาก อี้อวิ๋นไม่มีเวลามาดูอย่างละเอียดทีละอัน ทำได้แค่หาของที่มีประโยชน์ต่อเขา


จนกระทั่ง…เขาเห็นม้วนกระดาษสีดำแผ่นหนึ่งที่แทบจะว่างเปล่าทั้งแผ่น ม้วนกระดาษที่จุดเนื้อหาได้มากกว่าแผ่นหยกเป็นร้อยเท่ากลับมีคำพูดบันทึกไว้ไม่กี่ย่อหน้า แต่คำพูดไม่กี่ย่อหน้าเหล่านี้กลับทำให้ใจอี้อวิ๋นสั่นสะเทือน


อี้อวิ๋นต้องใช้เวลาสิบกว่าชั่วอึดใจจึงจะอ่านคำพูดไม่กี่ร้อยตัวนี้จบ จากนั้นเขาก็มองไปรอบด้านอย่างตื่นตะลึง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทะเลทรายกลบอาทิตย์เกิดขึ้นได้อย่างไร


ตามประวัติศาสตร์แล้วทะเลทรายกลบอาทิตย์เกิดจากดวงอาทิตย์ที่ตกลงมา ฟังจากการอนุมานจากท่านปู่ของจีสุ่ยเยียน ดินแดนหยางที่อยู่มาร้อยล้านปีทำให้ที่นี่มีวิญญาณหยางถือกำเนิด


แต่เมื่ออ่านม้วนกระดาษนี้อี้อวิ๋นกลับรู้ว่าแท้จริงแล้วทะเลทรายหยางคือที่ฝังเพลิงของเทพโอสถผู้นี้


เพลิงที่เขาฝังก็คือเพลิงเทพในร่างเทพโอสถ!


โลกนี้ยิ่งใหญ่จนมีทุกสิ่งทุกอย่าง สถานที่ลึกลับหลายแห่งจะควบแน่นเป็นเชื้อเพลิงวิญญาณเพลิงจากโอกาสอันบังเอิญต่างๆ เพลิงดวงเล็กๆ เหล่านี้เผามอดได้แม้แต่ฟ้าดิน


วิญญาณเพลิงเชื้อเพลิงเหล่านี้มีคุณภาพต่างกันตามอานุภาพ ปรมาจารย์อสูรและปรมาจารย์โอสถขั้นสูงสุดจะตามหาวิญญาณเพลิงเชื้อเพลิงเหล่านี้มาสกัดเข้าร่างเพื่อใช้เองและหลอมโอสถ


เทพโอสถผู้นี้เองก็เช่นกัน


ทั้งเขายังทำเรื่องนี้ได้ถึงขีดสุด ก่อนที่เขาจะกลายเป็นเทพโอสถก็ได้รับเปลวเพลิงปริศนาที่อยู่นอกบันทึกและไม่รู้ระดับจากร่องสมุทรนอกสิบสองยอดสวรรค์ เปลวเพลิงนี้คือ…เชื้อเพลิงเทพมาร


ด้วยเชื้อเพลิงนี้และพรสวรรค์อันเลิศล้ำ เขาจึงกลายเป็นเทพโอสถ


หลังจากที่กลายเป็นเทพโอสถก็ได้รับเพลิงหนึ่งในสามอันดับแรกของสิบสองยอดสวรรค์…เพลิงบริสุทธิ์จักรพรรดิฟ้า


เมื่อเพลิงทั้งสองประเภทมาเจอกัน เรื่องที่ทำให้เทพโอสถต้องรู้สึกเหลือเชื่อคือ เพลิงทั้งสองเกิดการผสานเข้าด้วยกัน


หลังจากที่เพลิงทั้งสองผสานกันแล้วก็ยังคงมีเชื้อเพลิงเทพมารเป็นแกนหลัก พูดได้ด้วยซ้ำว่าเชื้อเพลิงเทพมารสีดำที่ได้จากร่องสมุทรค่อยๆ กลืนกินเพลิงบริสุทธิ์จักรพรรดิฟ้า


เทพโอสถเริ่มมีความคิดที่จะเลี้ยงดูเชื้อเพลิงเทพมารตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วิชาหลอมโอสถของเขาค่อยๆ ก้าวสู่ระดับที่ไม่อาจจินตนาการ


เทพโอสถเกิดในโลกสวรรค์เทพหยาง ทว่าวันเวลาอันยิ่งใหญ่ในชีวิตเขากลับอยู่ที่ร่องสมุทร


กระทั่งเมื่อจุดจบของเขาใกล้เข้ามาจึงกลับมาที่โลกสวรรค์เทพหยาง จากนั้นก็ฝังเชื้อเพลิงเทพมารลงในทะเลทรายกลบอาทิตย์


การฝังเชื้อเพลิงนี้ทำให้พื้นที่สิบล้านลี้รอบๆ เต็มไปด้วยพลังหยาง พืชพรรณล้มตาย ทะเลสาบแห้งเหือด ขุนเขาผุกร่อน ท้ายที่สุดก็กลายเป็นทะเลทรายผืนใหญ่


นับจากนั้นทะเลทรายกลบอาทิตย์ก็เกิดตำนานว่ามีดวงอาทิตย์ตกลงมายังโลกจึงเกิดเป็นทะเลทราย


เทพโอสถเลือกฝังเพลิงไว้ที่นี่ นอกกจากตัวเขาแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก สถานที่ฝังเพลิงถูกเทพโอสถใช้ค่ายกลปิดบังจึงไม่มีใครหาเจอ กระทั่งเมื่อเวลาผ่านมาหลายร้อยล้านปี พลังของค่ายกลใกล้จะหมดลง ที่ฝังเพลิงแห่งนี้จึงค่อยๆ เผยออกมา


เรื่องนี้ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดิน ปรากฏการณ์นี้แผ่คลุมพื้นที่ล้านลี้เมื่อสองสามเดือนก่อนจนดึงดูดให้อัจฉริยะจากที่ต่างๆ เข้ามาตามหา


แต่ไม่มีใครรู้ว่าทะเลทรายกลบอาทิตย์จะซ่อนความลับอันน่าตื่นตะลึงขนาดนี้ไว้!


ไม่เช่นนั้นยอดฝีมือจากทั้งโลกสวรรค์เทพหยางและโลกสวรรค์อื่นคงพากันมาหาที่ตั้งของเพลิงเทพนี้


เวลาช่างผ่านมานานแสนนานจริงๆ…


กาลเวลาหลายร้อยล้านปี เทพโอสถยังสร้างค่ายกลเพื่อปิดบัง ไม่มีทางที่ใครจะคิดว่าทะเลทรายกลบอาทิตย์มีความเกี่ยวข้องกับเทพโอสถจากเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน


ส่วนสาเหตุที่เทพโอสถฝังเพลิงลงที่นี่ สาเหตุที่สร้างค่ายกลปิดบังทุกอย่าง เขาไม่ได้ทำเช่นนี้เพื่อเลือกผู้สืบทอดของตัวเอง แต่ทำเพื่อลูกสาวของเขา…หลิงเซียวเซียว!


ในช่วงชีวิตสิบล้านปีสุดท้ายของเทพโอสถ เขาใช้เวลามาไล่ตามโอสถขั้นสูงสุดสองชนิด


หนึ่งคือ…โอสถอายุวัฒนะ!


สองคือ…โอสถคืนชีพ!


โอสถแบบแรกทำให้เป็นอมตะ!


แบบที่สองทำให้คนตายกลับมามีชีวิต!


โอสถทั้งสองต่างก็พลิกชะตาท้าทายสวรรค์ ขัดต่อความประสงค์ของเบื้องบน


เทพโอสถสร้างที่ฝังเพลิงแห่งนี้ขึ้นก็เพื่อหลอมโอสถคืนชีพมาคืนชีวิตให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา ซึ่งลูกสาวของเขาก็คือหลิงเซียวเซียวที่ตายไปตั้งแต่เมื่อหลายสิบล้านปีก่อน!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)