True Martial World พิภพเทพยุทธ์ 1092-1100

ตอนที่ 1092

 

หัวใจกระบี่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“สู้กับท่านผู้อาวุโสหรือขอรับ?”


อี้อวิ๋นตกใจชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้า การได้สู้กับเจี้ยนปู๋อี้ในสถานการณ์ที่มีระดับยุทธ์เดียวกันถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับอี้อวิ๋น


ค่ายกลเปิดออก ร่างแยกของเจี้ยนปู๋อี้ปรากฏเบื้องหน้าอี้อวิ๋น ระดับยุทธ์ของเขาถูกระงับลงมาอยู่ที่ระดับรวมวิถีช่วงกลาง แต่ระดับของวิถีกระบี่กลับยังคงลึกล้ำอยู่


“อี้อวิ๋นผู้นี้ทำให้แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดยังประมือด้วย”


“นั่นน่ะสิ ข้าเองก็ไม่เคยเห็นวิชากระบี่ของท่านผู้อาวุโสสูงสุด”


เหล่าศิษย์สำนักกระบี่สระใสบนแท่นคอยกระบี่เพิ่งได้สติจากการตกตะลึงก็เห็นว่าการประมือในค่ายกลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว


“ไม่รู้ว่าครั้งนี้อี้อวิ๋นจะบรรลุวิถีกระบี่ใหม่ๆ อีกหรือเปล่า? เขาจะยืนหยัดอยู่ใต้กระบี่ของผู้อาวุโสสูงสุดได้นานแค่ไหน?” ศิษย์คนหนึ่งคาดเดาอย่างตื่นเต้น


ศิษย์สำนักกระบี่สระใสต่างเป็นผู้หลงใหลในกระบี่ กระบี่เมื่อครู่ของอี้อวิ๋นน่าตกตะลึงเกินไป ทุกคนต่างรอที่จะได้เห็นผลงานของเขา ยิ่งยืนหยัดอยู่ใต้กระบี่ของผู้อาวุโสได้นาน ศักยภาพของอี้อวิ๋นก็ยิ่งอาจถูกกระตุ้นให้ถึงขีดสุด


“การบรรลุกระบี่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นที่ไหนกัน? เมื่อครู่ทำได้ครั้งหนึ่งก็โชคดีแล้ว” เจี้ยนเฟิงหงพูดเสียงทุ้ม


เมื่อครู่เขาแพ้ให้อี้อวิ๋นก็จริง แต่สิ่งที่เขาพูดตอนนี้ไม่ได้เกิดจากความอิจฉา


การบรรลุวิถีกระบี่เป็นสิ่งที่ยากมาก เขาฝึกมานานขนาดนี้ก็บรรลุแค่แนวคิดแข็งอ่อน


บรรดาศิษย์พากันพยักหน้าเห็นด้วย


ตอนนี้อี้อวิ๋นลงกระบี่แล้ว


“ท่านผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ!” กระบี่บรรพชนสระใสในมืออี้อวิ๋นสั่นเบาๆ ลำแสงสีขาวสายหนึ่งสว่างขึ้น ทันใดนั้นก็แทงมาถึงตรงหน้าเจี้ยนปู๋อี้!


อี้อวิ๋นเองก็เพิ่งเคยประมือกับยอดฝีมือกระบี่ที่แท้จริงเป็นครั้งแรก เขาไม่ได้ประมาทแต่อย่างใด โจมตีด้วยอานุภาพรุนแรงตั้งแต่เริ่ม!


ดวงตาเจี้ยนปู๋อี้เป็นประกาย “ดีมาก!”


เขามองลำแสงที่พุ่งมาตรงหน้าและชักกระบี่อย่างฉับพลัน


กระบี่ของเจี้ยนปู๋อี้ดูเหมือนกิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉา ไม่มีความแวววาวแม้แต่น้อย


แต่ในตอนที่เจี้ยนปู๋อี้ลงมือ กิ่งไม้ก้านนี้กลับกลายเป็นไม้ยักษ์ตระหง่านฟ้า


ลำแสงกระบี่ทุกสายเป็นดังกิ่งไม้ที่ขึ้นถี่จนลมไม่อาจพัดผ่าน มันแทงมาที่ลำแสงกระบี่ของอี้อวิ๋น


“อี้อวิ๋น เจ้าลองรับวิชากระบี่ของข้าดู”


ติ๊งติ๊งติ๊ง!


เงากระบี่พันหมื่นสาย เงาคนสาดกระพริบ อี้อวิ๋นกับเจี้ยนปู๋อี้ยืนอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่ฟันกระบี่เร็วขึ้นเรื่อยๆ


ศิษย์บนแท่นคอยกระบี่ค่อยๆ ตามความเร็วของพวกเขาสองคนไม่ทัน


มีเพียงศิษย์ที่ฝึกมาหลายร้อยปีอย่างเจี้ยนเฟิงหงที่พอมองชัดอยู่บ้าง แม้แต่อัจฉริยะอย่างเจี้ยนเสี่ยวซวงก็ยังรู้สึกกินแรง


เจี้ยนเฟิงหงเห็นว่าแม้กระบวนท่ากระบี่ของอี้อวิ๋นจะน่ากลัว แต่ลำแสงกระบี่ของเจี้ยนปู๋อี้ปกคลุมฟ้าดินไปทั่ว ทุกกระบวนท่าเลิศล้ำเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่ต้านล้วนได้ประโยชน์ ไม่มีการเคลื่อนไหวที่สูญเปล่า


กระบวนท่ากระบี่ของอี้อวิ๋นจึงไม่ถึงตัวเจี้ยนปู๋อี้


อี้อวิ๋นที่อยู่กลางค่ายกลในเวลานี้ย่อมรู้ดีมากกว่าคนอื่น


เจี้ยนปู๋อี้ทั้งโจมตีและป้องกันได้อย่างไร้ที่ติจนไม่มีช่องโหว่ อีกฝ่ายต้านกระบวนท่ากระบี่ของเขาได้หมด ในขณะที่ป้องกันยังโจมตีจุดต่างๆ ทั่วร่างอี้อวิ๋นไปด้วยเพื่อบีบให้เขาทำการป้องกัน


หากสู้เช่นนี้ต่อไปอี้อวิ๋นก็รู้สึกว่าเขาต้องแพ้เป็นแน่


อี้อวิ๋นเพิ่งเคยเจอคู่ต่อสู้เช่นนี้เป็นครั้งแรก ทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่อาจจัดการได้อย่างสิ้นเชิง


กิ่งไม้ก้านนั้นเหมือนอยู่ทั่วทุกที่ ประหนึ่งแปลงเป็นเงากระบี่พันหมื่นสาย


“อี้อวิ๋น เจ้าต้านไม่ไหวแล้วหรือ?” เสียงของเจี้ยนอู๋เฟิงส่งเข้ามา


“แม้เจ้าจะมีพรสวรรค์เลิศล้ำ แต่หัวใจกระบี่อ่อนแอเกินไป!”


หัวใจกระบี่?


อี้อวิ๋นมองไปในลำแสงกระบี่ก็เห็นเงาร่างของเจี้ยนปู๋อี้ปรากฏอยู่ในนั้น


ดวงตาเขาเหมือนมีเพียงกระบี่ คุณสมบัติเฉพาะตัวเปลี่ยนไปสิ้นเชิง


ตอนนี้เขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับกิ่งไม้


“แม้กระบวนท่ากระบี่ของเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่เจ้าฝึกยุทธ์มาสั้นเกินไปจึงยังไม่อาจผสานกับกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่อาจควบคุมกระบวนท่าได้ดั่งใจนึก กระบี่แห่งหัวใจกระบี่ฟันแยกขุนเขาได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นดังสายลมพัดผ่านหน้าที่ไม่ทำให้เส้นผมขาดแม้แต่เส้นเดียวเช่นกัน”


ลำแสงกระบี่ของเจี้ยนปู๋อี้แทงมาอีกครั้ง เพียงพริบตาก็ผนึกองศาทั้งหมดของอี้อวิ๋น


อี้อวิ๋นรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าที่ว่างรอบด้านเหมือนถูกบีบอัด พลังปราณถูกเพ่งเล็งอย่างสมบูรณ์


“เพราะความห่างเรื่องหัวใจกระบี่ แม้จะเป็นกระบวนท่าแบบเดียวข้าก็ทำได้ถึงขีดสุดมากกว่าเจ้า นี่คือจุดที่วิถีกระบี่ของข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า” เจี้ยนปู๋อี้พูด


“เจ้าแพ้แล้ว!”


ฉัวะ!


ที่ว่างรอบตัวอี้อวิ๋นมีลำแสงกระบี่นับไม่ถ้วนปรากฏหนาแน่น จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่อี้อวิ๋นที่อยู่ตรงกลางพร้อมกัน!


รูม่านตาอี้อวิ๋นหรี่ลง เขาร้องคำราม กระบี่บรรพชนสระใสสั่นอย่างรุนแรง


หัวใจกระบี่!


หัวใจกระบี่คืออะไร?


ใจที่มุ่งไปทางยุทธ์ มุ่งหาจุดกำเนิดของจักรวาลโดยกระบี่ถือเป็นหัวใจกระบี่หรือไม่?


มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ถอยกลับถือเป็นหัวใจกระบี่หรือไม่?


วิถีกระบี่แบ่งเป็นสี่ระดับ หนึ่งคือบรรลุเจตนากระบี่ สองรวมหัวใจกระบี่ สามหลอมวิญญาณกระบี่ สุดท้ายก็สร้างกระบี่วิถีฟ้า


ตอนนั้นผู้เป็นนายของวังกระบี่หยางบริสุทธิ์กำหนดเงื่อนไขไว้ว่าต้องรวมหัวใจกระบี่ก่อนอายุร้อยปี


อี้อวิ๋นบรรลุเจตนากระบี่มานานแล้ว แต่เหตุใดจึงไม่อาจรวมหัวใจกระบี่? หัวใจกระบี่ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร


ตอนนี้เบื้องหน้าอี้อวิ๋นเหมือนมีรอยกระบี่หยางบริสุทธิ์ที่ฟันโลกให้ขาดและสังหารคนยักษ์สัมฤทธิ์ปรากฏขึ้น


ฆ่า ฆ่า ฆ่า!


หัวใจกระบี่ของอี้อวิ๋นคือการทำลายสิ่งกีดขวางทั้งหมดที่ขวางหน้า!


ชวิ้ง!


กระบี่บรรพชนสระใสร้องเสียงดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน!


วิถีมิติเวลาและหยินหยางถูกใช้พร้อมกัน อี้อวิ๋นฟันกระบี่นี้ออกไปอีกครั้ง!


ชั่วพริบตานี้กระบี่บรรพชนสระใสสั่นอย่างรุนแรง เสียงมังกรคำรามอันก้องกังวานดังขึ้นฟ้า


ขณะเดียวกันบนกระบี่บรรพชนสระใสก็มีลายอักขระเจ็ดตัวสว่างวาบขึ้น อักขระโบราณเหล่านี้เหมือนไหลมาตามแม่น้ำแห่งกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด เจี้ยนอู๋เฟิงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลตาเป็นประกายเมื่อเห็นอักขระเจ็ดตัวนี้สว่างขึ้น


นี่…หรือจะเป็น…


กระบี่บรรพชนสระใสถูกกระตุ้นถึงขีดสุดแล้ว!?


เจี้ยนอู๋เฟิงกลั้นหายใจ เขายังไม่ทันคิดอะไรก็เห็นว่าอี้อวิ๋นกับกระบี่ในมือกลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง ลำแสงกระบี่นับไม่ถ้วนสว่างขึ้น!


แม้จะมีค่ายกลกั้นอยู่ แต่ทุกคนที่นี่ต่างรู้สึกแรงกดดันอันรุนแรง มองคมกระบี่ของอี้อวิ๋นแล้วแสบตา!


ชวิ้งชวิ้งชวิ้ง!


ศิษย์สำนักกระบี่สระใสต่างรู้สึกว่ากระบี่คู่กายของตัวเองสั่นอย่างรุนแรงประหนึ่งถูกพลังกระบี่ของอี้อวิ๋นโน้มนำให้ออกจากฝัก!


กระบี่ควบคุมด้วยหัวใจ หรือที่กระบี่ของทุกคนถูกกระตุ้นจะเป็นเพราะ…อี้อวิ๋นบรรลุหัวใจกระบี่แล้ว?


“นี่คือหัวใจกระบี่! มีหัวใจกระบี่สนับสนุนและใช้กระบี่อันน่าตกตะลึงที่เอาชนะเจี้ยนเฟิงหงอีกครั้ง?”


“หัวใจกระบี่มีวิถีหยินหยางกับมิติเวลาสนับสนุน ไม่รู้ว่าจะมีอานุภาพขนาดไหน!”


ทุกคนเบิกตากว้างอย่างกลัวว่าจะพลาดภาพเหตุการณ์ต่อมา อี้อวิ๋นใช้กระบวนท่ากระบี่ที่รวมไว้ซึ่งมิติเวลาและหยินหยางมาปะทะกับผู้อาวุโสสูงสุดเป็นครั้งสุดท้าย!


ทว่าตอนนี้ทุกคนกลับพบจุดที่ต่างออกไป


กระบวนท่าของอี้อวิ๋นไม่ใช่การผสานของหยินหยาง ทั้งยังไม่มีมิติเวลาอันวุ่นวาย


ตอนที่ลำแสงกระบี่ฟันออก แสงทั้งหมดในฟ้าดินเหมือนถูกกลืนกิน กลางฟ้านี้น้ำวนสีดำลูกหนึ่งปรากฏ กระบี่นี้เหมือนมาจากความโกลาหล


ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่อี้อวิ๋นอยู่แค่ระดับรวมวิถีช่วงกลาง ทว่าทุกคนกลับรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับจักรวาลเมื่อเจอกระบี่นี้


นี่มันกฎอะไรกัน?


ทุกคนอดที่จะตกใจไม่ได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักกฎนี้ รู้แค่ว่ากฎนี้น่ากลัวมาก แม้แต่วิถีหยินหยางกับมิติเวลาที่ใช้ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ทำให้พวกเขาเกิดความรู้ว่าเผชิญกับจักรวาล


ชวิ้งชวิ้งชวิ้ง!


น้ำวนสีดำขนาดยักษ์รวมตัวเข้ามา มันทำลายทุกอย่าง ประหนึ่งกลางน้ำวนมีโลกใบเล็กถือกำเนิดและถูกทำลาย


กำเนิด? ทำลายล้าง?


ใจของเจี้ยนปู๋อี้สั่นสะพรึงอย่างประหลาดเมื่อเห็นภาพนี้


ในที่สุดเขาก็ตระหนักถึงวิถีกระบี่ที่แฝงอยู่ในกระบี่ของอี้อวิ๋น ทำลายล้างกับการกำเนิดอยู่รวมกัน ทั้งคู่เป็นกฎฝั่งตรงข้ามกันแต่มีอานุภาพต่างจากเดิม


ฉัวะ!


ม่านแสงอันแน่นหนาของเจี้ยนปู๋อี้ถูกทำลาย กงล้อสีดำขนาดยักษ์กดอัดลงมาพร้อมทำลายทุกอย่าง!


วิถีกระบี่ของเจี้ยนปู๋อี้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ทว่ามันก็ยังไม่อาจต้านทานแรงกดดันจากกฎวิถีสายใหญ่


กฎแห่งการทำลายล้างแบบใหญ่ที่ทำลายได้แม้กระทั่งจักรวาลจะไม่ทำลายวิถีกระบี่อันสมบูรณ์แบบได้อย่างไร?


ตูม!


แท่นกระบี่เก้าดาราสั่นอย่างรุนแรง ม่านแสงบนแท่นกระบี่แตกออก เจี้ยนปู๋อี้ที่อยู่บนแท่นปรากฏตัวขึ้น เขามองอี้อวิ๋นแล้วทอดถอนใจอย่างหนัก แววตามีความเคารพและสีหน้าซับซ้อน


“คิดไม่ถึงว่าวิถีหยินหยางกับมิติเวลาจะยังไม่ใช่ขีดสูงสุดของเจ้า เจ้ายังมีกฎที่ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนมองภูเขาสูง ทำลายล้าง ก่อกำเนิดคือวิถีสูงสุดของเจ้าหรือ…”

 

 

 


ตอนที่ 1093

 

ภัยคุกคาม

โดย

Ink Stone_Fantasy

มหาวิถีสูงสุดสัมผัสได้ยาก จอมกระบี่ในสำนักกระบี่สระใสส่วนใหญ่ฝึกวิถีกระบี่เป็นหลัก เดิมทีวิถีกระบี่ก็เป็นวิถีสายใหญ่ท่ามกลางทักษะต่างๆ ที่ยากจะบรรลุ เช่นนั้นแม้พวกเขาจะฝึกเพื่อเสริมก็จะศึกษาแค่วิถีสายเล็ก อย่างเช่นแนวคิดแข็งอ่อนของเจี้ยนเฟิงหง


แต่ในขณะที่อี้อวิ๋นฝึกกระบี่ เขายังฝึกวิถีใหญ่อีกสามสาย เรื่องนี้ทำให้ทุกคนตะลึงงัน


ในยุคที่จักรวาลถือกำเนิดมีความโกลาหลเกิดขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ตามด้วยหยินหยางและมิติเวลา วิถีที่อี้อวิ๋นฝึกนับว่าเป็นวิถีใหญ่สามสายในยุคแรกเริ่มของจักรวาลพอดี!


เจี้ยนปู๋อี้ใจสั่นเมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ “อี้อวิ๋น ตอนนั้นเจ้าจงใจเลือกวิถีหยินหยาง มิติเวลา โกลาหลทำลายล้างสามสายนี้หรือ?”


อี้อวิ๋นส่ายหน้า “เรียนท่านผู้อาวุโส วิถีที่ข้าน้อยฝึกเกิดจากความบังเอิญและเหมาะกับตัวข้าทั้งสิ้น ดังนั้นข้าน้อยจึงฝึก”


“วิชาที่ข้าน้อยสัมผัสแรกเริ่มสุดคือวิชาหยางบริสุทธิ์จึงฝึกเป็นหลัก ต่อมาก็ได้สัมผัสวิชาหยินบริสุทธิ์ หยินหยางส่งเสริมซึ่งกันและกัน กฎแห่งมิติเวลาเองก็เช่นกัน ท่านอาจารย์ของข้าน้อยฝึกวิถีมิติเวลา ส่วนโกลาหลทำลายล้างก็เจอโดยบังเอิญ”


อี้อวิ๋นกล่าวอย่างคลุมเครือ ทว่าเมื่อเจี้ยนปู๋อี้ได้ยินคำพูดนี้กลับต้องหายใจเย็นๆ เบาๆ ความจริงเขาก็เดาคำตอบเช่นนี้ได้อยู่ก่อนแล้ว จอมยุทธ์ส่วนใหญ่ไม่อาจเป็นฝ่ายเลือกว่าจะฝึกวิถีอะไร บังเอิญเจอสิ่งไหนก็ฝึกสิ่งนั้น


อี้อวิ๋นค่อยๆ เดินมาถึงจุดนี้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ดูแล้วเหมือนเจตจำนงสวรรค์


“เจ้าฝึกมาถึงจุดนี้ได้ก็เยี่ยมยอดจริงๆ ไม่แปลกที่ตัวข้าที่สู้กับเจ้าด้วยระดับยุทธ์เดียวจะพ่ายแพ้…”


เจี้ยนปู๋อี้ถอนหายใจ ศิษย์สำนักกระบี่สระใสได้ยินคำพูดนี้แล้วรู้สึกเหมือนกำลังฝัน


เจี้ยนปู๋อี้ยอมรับว่าเขาแพ้ให้อี้อวิ๋น!


ตอนแรกเจี้ยนปู๋อี้เป็นฝ่ายเหนือกว่า ทว่ากระบี่สุดท้ายของอี้อวิ๋นได้ทำลายม่านกระบี่ของเจี้ยนปู๋อี้ ไม่ว่าจะพลังกระบี่หรือกฎก็เหนือกว่าทั้งสิ้น เจี้ยนปู๋อี้ยอมรับความพ่ายแพ้!


ทุกคนไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อคิดว่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักกระบี่สระใสแพ้ให้เด็กคนหนึ่ง จะพิลึกพิลั่นเกินไปแล้ว


“แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยอมรับความพ่ายแพ้”


เจี้ยนเฟิงหงมองอี้อวิ๋นด้วยสีหน้าที่ยิ่งซับซ้อน แม้แต่วิถีกระบี่ของท่านอาจารย์ยังสู้อี้อวิ๋นไม่ได้ ระยะห่างระหว่างเขากับอี้อวิ๋นเป็นดังเหวสวรรค์ที่ทำให้ไม่มีแม้แต่ความคิดที่ก้าวข้าม


อัจฉริยะกระบี่เช่นเขาต้องมายืนกับสัตว์ประหลาดที่แท้จริงแบบอี้อวิ๋น เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อใจอย่างหนัก


ตอนนี้เจี้ยนอู๋เฟิงเดินเข้ามาพูดยิ้มๆ ว่า “อี้อวิ๋น เจ้ามีพรสวรรค์เป็นหนึ่ง หากช่วงเวลาระหว่างนี้ประลองกระบี่กับพวกข้าบ่อยๆ ได้ เช่นนั้นวิถีกระบี่ของศิษย์สำนักกระบี่สระใสก็คงพัฒนาขึ้นอีกขั้น”


อี้อวิ๋นรีบพูดว่า “มิกล้าขอรับ การได้ประลองกระบี่กับทุกท่านในสำนักกระบี่สระใสทำให้ข้าน้อยได้ประโยชน์หลายอย่าง ยินดีเป็นอย่างยิ่งขอรับ”


การได้ประมือกับเจี้ยนเฟิงหงทำให้อี้อวิ๋นมีกระบวนท่ากระบี่ที่ผสานไว้ซึ่งกฎตรงข้ามกัน ประมือกับเจี้ยนู๋อี้ก็ทำให้เขาบรรลุหัวใจกระบี่


พัฒนาการเหล่านี้ของอี้อวิ๋นต้องใช้การต่อสู้จำนวนมากมาตีให้มั่น


คำเชิญของเจี้ยนอู๋เฟิงจึงตรงใจอี้อวิ๋นพอดี


“เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย” เจี้ยนอู๋เฟิงพูด


แต่ในตอนนี้เองที่จู่ๆ สีหน้าของเจี้ยนอู๋เฟิงก็เปลี่ยนไป


“มาเร็วจริงๆ!”


อี้อวิ๋นรู้สึกอะไรบางอย่าง เขาเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น


สีหน้าเจี้ยนอู๋เฟิงเคร่งขรึม เขายกมือโจมตีลำแสงกระบี่สายหนึ่งออกไป ลำแสงกระบี่สายนี้พุ่งขึ้นฟ้าจนเกิดลายเหมือนน้ำกระเพื่อม จากนั้นกลางลายเหล่านี้ก็มีภาพอันคลุมเครือปรากฏ


เจี้ยนอู๋เฟิงใช้พลังตัวเองมาสะท้อนภาพภายนอกค่ายกลป้องกันของสำนักกระบี่สระใสเข้ามาในโลกใบเล็กนี้


อี้อวิ๋นเห็นว่าบนท้องฟ้าเหนือภูเขาหิมะสระใสมีเงาร่างคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น


บนเสื้อผ้าของคนเหล่านี้มีดาวสีดำเจ็ดดวงปักไว้อยู่ คนที่อยู่หน้าสุดเป็นหญิงวัยกลางคนที่สวมชุดชาววังสีแดงสด ใบหน้ามีรอยยิ้ม กลิ่นอายแปลกประหลาดและน่ากลัว ด้านหลังนางตามมาด้วยทูตอวี้เหิงผู้นั้น


“วังเจ็ดดาราจริงๆ ด้วย…” แววตาอี้อวิ๋นเคร่งขรึมขึ้นมา


คนจากวังเจ็ดดารามาเร็วกันขนาดนี้!


ทั้งคนที่มาก็พลังน่ากลัวทั้งนั้น


เกรงว่าแม้แต่เจี้ยนปู๋อี้จากสำนักกระบี่สระใสก็อาจสู้คนที่เป็นหัวหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ


“หญิงวัยกลางผู้นั้นคงคือหลิ่วหรูอี้ผู้เป็นรองประมุขของวังเจ็ดดารา อย่าเห็นว่านางเป็นผู้หญิงแล้วจะธรรมดา แต่แง่ของความเหี้ยมโหดแล้วไม่มีใครในแคว้นจงแห่งแดนสวรรค์เทียบได้” เจี้ยนปู๋อี้มองท้องฟ้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “คิดไม่ถึงหญิงผู้นี้จะมาด้วยตัวเอง”


“ไม่เป็นไร พวกเขายังหาทางเข้าสำนักกระบี่สระใสของเราไม่เจอ ดูจากค่ายกลสะท้อนภาพแล้วยังห่างออกไปอีกระยะหนึ่ง” เจี้ยนอู๋เฟิงหันมาพูดกับอี้อวิ๋น


ในฐานะที่สำนักกระบี่สระใสเป็นสำนักซ่อนเร้น ทางเข้าที่แท้จริงของสำนักจึงไม่มีบุคคลภายนอกรู้ ทางเข้าถูกค่ายกลโบราณอำพรางไว้อยู่ตลอด


นอกจากนี้ทางสำนักยังมีค่ายกลป้องกัน


“เปิดค่ายกลป้องกัน!” เจี้ยนปู๋อี้พูดเสียงทุ้ม


แม้จะมีค่ายกลอำพรางก็ไม่อาจกำจัดความเป็นไปได้ที่จะถูกเจอตัว


ตอนนี้ทั้งสำนักกระบี่สระใสอยู่ในสถานการณ์ที่พร้อมรับมือข้าศึก


ในตอนนี้เองที่จู่ๆ อี้อวิ๋นก็ใจเต้นระรัวขึ้นมา รองประมุขหลิ่วผู้นั้นเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน ดวงตาเรียวยาวเหมือนหมาป่ามองมาทางเขา


ทั้งๆ ที่เป็นภาพสะท้อนจากค่ายกล แต่อี้อวิ๋นกลับรู้สึกอย่างรุนแรงว่าหลิ่วหรูอี้รู้สึกถึงสายตาของพวกเขา


“ฮะฮ่าฮ่า!”


จู่ๆ หลิ่วหรูอี้ก็หัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะมีพลังเจาะทะลวงอันรุนแรงที่ส่งเข้าแก้วหู


“เจี้ยนอู๋เฟิง! เจี้ยนปู๋อี้! ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่ รู้ว่าสำนักกระบี่สระใสของพวกเจ้าตั้งอยู่ในโลกใบเล็กอันเก่าแก่ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลาย แต่ไม่มีเรื่องใดที่ข้าหลิ่วหรูอี้อยากทำแล้วไม่สำเร็จ!”


“ข้าแนะนำให้เจ้าส่งตัวเจ้าเด็กนั่นออกมาเสียจะดีกว่า จากนี้บุญคุณความแค้นระหว่างวังวิถีเจ็ดดารากับสำนักกระบี่สระใสจะถือว่าชำระหมดสิ้น ไม่เช่นนั้นต่อให้ข้าต้องทำลายภูเขาหิมะพันลี้ให้ราบก็จะหาตัวพวกเจ้าออกมาให้ได้!”


เสียงของหลิ่วหรูอี้ดังทะลุค่ายกลไปทั่วสำนักกระบี่สระใส


ศิษย์ทุกคนในสำนักถูกเสียงนี้กดดันจนรู้สึกว่าเลือดลมทั่วร่างกระเพื่อมตามเบาๆ


หญิงผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก


เจี้ยนอู๋เฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึมแต่ไม่ตอบอะไร


หลิ่วหรูอี้มีสีหน้าเย็นยะเยือกขึ้นมาหลังจากรออยู่นานก็ไม่เห็นการตอบสนอง


“แสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ใช่ไหม? ข้าให้เวลาพวกเจ้าคิดหนึ่งชั่วยาม หากยังไม่มอบตัวอี้อวิ๋นมาอีก เช่นนั้นวังวิถีเจ็ดดาราของข้าจะเรียกปรมาจารย์ค่ายกลทั้งหมดที่เรียกได้ให้มาทำลายค่ายกลของพวกเจ้า!”


“ข้าสาบานว่าเมื่อทำลายค่ายกลได้แล้วจะสังหารทุกคนในสำนักกระบี่สระใสไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”


คำขู่ของหลิ่วหรูอี้ที่บอกว่าจะทำลายสำนักทำให้ศิษย์หลายคนใจสั่น หลิ่วหรูอี้ผู้นี้ใจคอโหดเหี้ยม ในเมื่อนางบอกว่าจะทำลายสำนักก็ไม่ได้พูดเล่นแน่นอน นางทำตามที่พูดจริงๆ แน่


เพราะจอมยุทธ์ที่ฝึกกระบี่ต้องรวมหัวใจกระบี่ แม้จิตใจจะหนักแน่นแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะนิ่งสงบต่อภัยคุกที่ถึงชีวิต


อี้อวิ๋นพ่นลมหายใจเบาๆ เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นที่ดึงทั้งสำนักกระบี่สระใสให้เดือดร้อนไปด้วยย่อมไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น

 

 

 


ตอนที่ 1094

 

 ปิดล้อม

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีเวลาหนึ่งชั่วยาม อี้อวิ๋นไม่รู้สำนักกระบี่สระใสจะตัดสินใจอย่างไร เพราะอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับชีวิตคนทั้งสำนัก หากพวกเขาตัดสินใจที่จะส่งอี้อวิ๋นออกไป เช่นนั้นอี้อวิ๋นก็ไม่ถือโทษโกรธ สำนักกระบี่สระใสไม่ได้มีหน้าที่ปกป้องเขา ก่อนหน้านี้เจี้ยนอู๋เฟิงก็ช่วยชีวิตเขามาครั้งหนึ่งแล้ว


ตอนนี้ใจอี้อวิ๋นทรมานมาก เขาไม่อยากให้ความอยู่รอดของสำนักกระบี่สระใสตกอยู่ในความเสี่ยงเพราะเขา


ความแข็งแกร่ง ท้ายที่สุดก็เพราะความแข็งแกร่ง หากแข็งแกร่งมากพอแล้วจะถูกผู้อื่นกุมชะตาได้อย่างไร


“ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยไม่ต้องการให้คนจำนวนมากในสำนักกระบี่สระใสต้องมีอันตรายเพราะข้าน้อย” อี้อวิ๋นประสานมือพูดกับเจี้ยนอู๋เฟิง


เจี้ยนอู๋เฟิงตบบ่าอี้อวิ๋นและพูดปลอบใจว่า “อี้อวิ๋น เจ้าวางใจเถอะ ค่ายกลโบราณของสำนักข้าไม่ได้ทำลายง่ายขนาดนั้น”


เจี้ยนอู๋เฟิงมั่นใจในค่ายกลโบราณของสำนักกระบี่สระใสมาก หากไม่ใช่เพราะมีค่ายกลนี้อยู่ เขาก็คงไม่กล้าเสี่ยงอันตรายขนาดนี้เพื่อช่วยอี้อวิ๋น เพราะหากสำนักกระบี่สระใสถูกทำลายเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นเจี้ยนอู๋เฟิงคงเป็นคนบาป


“ขออภัยที่สร้างปัญหาให้นะขอรับ”


ตอนนี้อี้อวิ๋นจะพูดอะไรได้อีก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะรีบเพิ่มความแข็งแกร่งโดยเร็ว


“ฮ่าฮ่า อี้อวิ๋น เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดไป สิ่งที่สำคัญที่สุดของสำนักคือมรดก เจ้ากับศิษย์สำนักสระใสของข้าประลองกันจนต่างฝ่ายต่างพัฒนา เรื่องนี้มีประโยชน์ต่อสำนักข้ามาก อีกอย่าง แม้สำนักกระบี่สระใสจะถูกปิดล้อมแต่ก็มีค่ายกลส่งออกไปด้านนอก หากระมัดระวังมากพอก็ส่งคนออกไปได้อยู่”


เจี้ยนอู๋เฟิงพูดอย่างมองโลกในแง่ดี


สีหน้าเจี้ยนปู๋อี้จริงจังขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


หลังจากนั้นไม่นานเจี้ยนปู๋อี้ก็พูดขึ้นว่า “อี้อวิ๋น เจ้ามากับข้าหน่อย เรามาหารือเรื่องบางอย่างกันเถอะ”


“ได้ขอรับ”


……


ห้องกระบี่ฟ้าคือตำหนักด้านหลังสำนักกระบี่สระใส ปกติแล้วเป็นที่พักส่วนตัวของเจี้ยนปู๋อี้ อี้อวิ๋นคิดไม่ถึงว่าแค่หารือเรื่องบางอย่างจะถึงกับต้องมายังที่พักของเจี้ยนปู๋อี้


เมื่ออี้อวิ๋นมาถึงห้องกระบี่ฟ้าก็พบว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่เจี้ยนปู๋อี้ เจี้ยนอู๋เฟิงกับเจี้ยนเสี่ยวซวงก็อยู่ด้วยเช่นกัน


ตอนนี้เจี้ยนอู๋เฟิงกับเจี้ยนปู๋อี้กำลังคุยอะไรบางอย่าง เมื่อเห็นอี้อวิ๋นเดินเข้ามา เจี้ยนปู๋อี้ที่มีสีหน้าเศร้าหมองเล็กน้อยก็ยิ้มออกมา


“อี้อวิ๋นนั่งสิ เสี่ยวซวง เจ้าไปรินน้ำชาให้ศิษย์พี่อี้”


ศิษย์พี่อี้?


อี้อวิ๋นตกใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ มีบางครั้งที่ในโลกของจอมยุทธ์จะเรียกคนที่ไม่ได้มาจากสำนักเดียวกันว่าศิษย์พี่ หากเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองก็จะเรียกว่าศิษย์พี่เช่นกัน


“คะ?” เจี้ยนเสี่ยวซวงเหมือนงุนงงไปชั่วขณะ จากนั้นนางก็รินชาถ้วนหนึ่งอย่างหน้าแดงและนำมาวางตรงหน้าอี้อวิ๋นอย่างระมัดระวัง


“ศิษย์พี่อี้…เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”


เจี้ยนเสี่ยวซวงเป็นคนหน้าบาง คำว่า ‘ศิษย์พี่อี้’ สามคำนี้ทำให้นางเขินอายมาก


อี้อวิ๋นแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเจี้ยนเสี่ยวซวงแก้มแดงน้อยๆ เขาจำได้ว่าตอนที่เจออีกฝ่ายครั้งแรกนางถือกระบี่ไว้ในมือ เส้นผมมัดเป็นหางม้าอย่างเรียบร้อยสะอาดตา ตอนนี้มาเป็นอะไรไป? เหตุใดจึงเหมือนสาวงามขี้อาย?


“อะแฮ่ม!” เจี้ยนปู๋อี้กระแอมไอแห้งๆ สองครั้งเพื่อหยุดความคิดอี้อวิ๋น เขาพูดขึ้นว่า “นี่คือชาบัวหิมะพันปีที่เก็บจากภูเขาหิมะสระใส นำกลีบบัวไปผึ่งแห้ง จากนั้นก็ใช้น้ำที่ละลายจากน้ำแข็งหมื่นปีมาต้ม ถือว่าไม่เลวเลย”


อี้อวิ๋นงงงวยเล็กน้อยที่จู่ๆ เจี้ยนปู๋อี้ก็แนะนำชา เขาดื่มไปหนึ่งคำก็พบว่าหอมชโลมใจมากจึงพูดชมว่า “ชาดี”


เจี้ยนปู๋อี้พูดด้วยรอยยิ้ม “สหายน้อยอี้อวิ๋น ข้าอยากให้สำนักกระบี่สระใสมีศิษย์อัจฉริยะเช่นเจ้าจริงๆ แต่ก่อนหน้านี้ได้ยินเจ้าบอกว่ามีอาจารย์อยู่แล้ว เรื่องที่จะให้เจ้าเข้าสำนักกระบี่สระใสจึงเป็นไปไม่ได้…”


เจี้ยนปู๋อี้พูดถึงตรงนี้แล้วก็ส่ายหน้าอย่างเสียดาย แต่จากนั้นไม่นานก็เหมือนคิดอะไรขึ้นได้ ดวงตาเขาเป็นประกาย “สหายน้อยอี้อวิ๋น เจ้ารู้สึกว่าเสี่ยวซวงเป็นอย่างไร?”


คำถามที่มาอย่างฉับพลันของเจี้ยนปู๋อี้ทำให้อี้อวิ๋นที่ดื่มชาอยู่เกือบสำลัก


ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ที่แท้เจี้ยนปู๋อี้ให้เขามาหารือในที่พักของตัวเอง ทั้งยังเชิญเจี้ยนอู๋เฟิงกับเจี้ยนเสี่ยวซวงมาด้วยก็เพราะเหตุนี้นี่เอง


มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้เจี้ยนเสี่ยวซวงถึงได้หน้าแดงเหมือนยามพระอาทิตย์ตก เจี้ยนปู๋อี้คงพูดเรื่องนี้กับเจี้ยนเสี่ยวซวงก่อนแล้ว


อี้อวิ๋นได้แต่พูดว่า “ศิษย์น้องเสี่ยวซวงงดงามโดยกำเนิด ทั้งยังเป็นอัจฉริยะด้านวิถีกระบี่ นางย่อมสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ”


“ข้าเป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่ที่ไหนกัน” เจี้ยนเสี่ยวซวงแลบลิ้น หากเป็นคนอื่นที่พูดเช่นนี้นางก็คงยอมรับ แต่เมื่ออี้อวิ๋นเป็นคนพูดนางจึงอายเล็กน้อย


“อี้อวิ๋น ถึงขั้นนี้แล้วข้าจะพูดตามตรงเลยแล้วกัน เสี่ยวซวงเป็นศิษย์ของอู๋เฟิง เป็นเจ้าสำนักรุ่นต่อไปของสำนักกระบี่สระใส กระบี่บรรพชนสระใสเองก็จะตกทอดสู่นาง ข้าจึงคิดว่าจะให้นางหมั้นหมายกับเจ้า…”


เจี้ยนปู้อี้พูดอ้อมค้อมอยู่นาง ในที่สุดก็พูดเรื่องนี้ออกมา ความจริงอี้อวิ๋นก็สังหรณ์ใจเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว


อี้อวิ๋นเข้าใจอย่างสมบูรณ์เมื่อนึกถึงท่าทีเหมือนกำลังคิดอะไรก่อนหน้านี้ของเจี้ยนปู๋อี้ เจี้ยนปู๋อี้เห็นว่าอี้อวิ๋นมีพรสวรรค์โดดเด่น อยากให้เขาช่วยเหลือสำนักกระบี่สระใส แต่หากไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันก็รู้สึกไม่มั่นคง ทว่าหากเจ้าสำนักรุ่นต่อไปแต่งงานกับเขาก็ย่อมมั่นคงแน่นอน


เรื่องนี้ทำให้อี้อวิ๋นไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี วังวิถีเจ็ดดาราบุกมาสังหาร สำนักกระบี่สระใสทุ่มทุนไปไม่น้อย เจี้ยนอู๋เฟิงมีนิสัยซื่อตรงก็ช่างเถอะ แต่นี่เจี้ยนปู๋อี้เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เขาย่อมไม่ยอมทำธุรกิจที่ขาดทุน หากวันหน้าความสัมพันธ์ของสำนักกระบี่สระใสกับอี้อวิ๋นห่างกันไปเรื่อยๆ จะทำอย่างไร?


“คือ ศิษย์พี่เฟิงหงเขา…”


อี้อวิ๋นไม่เข้าใจ ตัวเขาที่เป็นคนนอกยังมองออกว่าเจี้ยนเฟิงหงชอบพอในเจี้ยนเสี่ยวซวง และในฐานะที่เจี้ยนปู๋อี้เป็นอาจารย์ของเจี้ยนเฟิงหงก็ไม่น่าใจร้ายขนาดนี้กระมัง


เจี้ยนปู๋อี้ส่ายหน้าเมื่ออี้อวิ๋นพูดถึงเจี้ยนเฟิงหง “ข้าย่อมอยากเห็นเฟิงหงแต่งงานกับเสี่ยวซวง แต่การแต่งงานต้องยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย เสี่ยวซวงนางไม่ยินยอม…”


เจี้ยนอู๋เฟิงพูดแทรกเข้ามาเมื่อเจี้ยนปู๋อี้พูดถึงตรงนี้ “เสี่ยวซวงเคยสาบานไว้ว่าคนที่นางแต่งงานด้วยจะต้องมีพรสวรรค์เหนือกว่านางหรือไม่ก็กระตุ้นพลังในกระบี่บรรพชนสระใสสำเร็จ เฟิงหงเลิกคิดเรื่องกระตุ้นกระบี่บรรพชนได้เลย เขาล้มเหลวไปนานแล้ว ส่วนเรื่องที่พรสวรรค์เหนือกว่าเสี่ยวซวงก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก ดังนั้น…”


เจี้ยนอู๋เฟิงเป็นคนตรงไปตรงมา เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยที่ต้องพูดเรื่องเหล่านี้


อี้อวิ๋นเผยอปากมองเจี้ยนเสี่ยวซวงแวบหนึ่ง เขารู้สึกว่าเจี้ยนเสี่ยวซวงบริสุทธิ์เหมือนกระดาษ เกรงว่าแม้แต่นางเองก็ยังไม่เข้าใจว่าอะไรคือการชอบพอ


อี้อวิ๋นได้แต่พูดว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสทั้งสองที่หวังดีขอรับ แต่ขอน้อยมีภรรยาแล้ว”


ทว่าเจี้ยนปู๋อี้กลับพูดว่า “ข้าเองก็คิดเรื่องนี้มาก่อน ชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์ไม่จำเป็นต้องมีคู่เพียงคนเดียว ขอเพียงเจ้าไม่ล้มตายเสียก่อนในอนาคตก็จะมีอนาคตไร้จำกัด เป็นโชคดีของเสี่ยวซวงที่ได้แต่งงานกับเจ้า จะเรียกร้องให้เจ้ามีภรรยาแค่คนเดียวได้อย่างไร?”


เจี้ยนปู๋อี้คัดค้านคำตอบของอี้อวิ๋นอย่างง่ายดาย


อี้อวิ๋นพูดอะไรไม่ออกเล็กน้อย เมื่อตอนนี้มามองเจี้ยนปู๋อี้อีกครั้งก็รู้สึกขึ้นมาอย่างฉับพลันว่าชายชราผู้นี้เจ้าเล่ห์มาก เขาเลือกโอกาสที่จะให้เจี้ยนเสี่ยวซวงแต่งงานได้อย่างเหมาะเจาะ เพราะตอนนี้วังวิถีเจ็ดดารารออยู่หน้าประตู!

 

 

 


ตอนที่ 1095

 

หนึ่งชั่วยาม

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทำไม เจ้าไม่ชอบเสี่ยวซวงหรือ? เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป สำนักกระบี่สระใสของข้าไม่ได้จะให้เจ้าเป็นฝ่ายแต่งเข้า เมื่อแต่งงานกับเสี่ยวซวงแล้วเจ้าจะพานางไปด้วยก็ได้ แต่อย่างไรเสี่ยวซวงก็เป็นเจ้าสำนักรุ่นต่อไปของสำนักกระบี่สระใส กลับมาเยี่ยมสำนักบ่อยๆ ก็พอ ข้าให้เวลาเจ้าคิดสักหนึ่งชั่วยามดีไหม? การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ สมควรคิดให้รอบคอบ”


เจี้ยนปู๋อี้พูดอย่าง ‘จริงใจอดทน’


หนึ่งชั่วยาม?


อี้อวิ๋นหัวเราะร้องไห้ไม่ออก รองประมุขวังวิถีเจ็ดดาราที่อยู่ด้านนอกก็ให้เวลาหนึ่งชั่วยามเช่นกัน ตอนนี้เจี้ยนปู๋อี้ยังมาให้เวลาหนึ่งชั่วยามเหมือนกันอีก นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือ?


อี้อวิ๋นรู้สึกว่าเจี้ยนปู๋อี้ก็คือจิ้งจองเฒ่าดั้งเดิมที่แท้จริง แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ข่มขู่อี้อวิ๋นและไม่อยากข่มขู่ แต่เขาพูดเช่นนี้ก็เพื่อเตือนสติว่า…สำนักกระบี่สระใสกำลังเผชิญกับวังวิถีเจ็ดดาราที่ให้เวลาตัดสินใจเพียงหนึ่งชั่วยาม


พูดตามตรงแล้วเงื่อนไขที่เจี้ยนปู๋อี้เสนอก็ไม่ใช่เงื่อนไขด้วยซ้ำ มันคือการมอบประโยชน์ให้อี้อวิ๋นชัดๆ มอบสาวงามน่ารักบริสุทธิ์ให้เป็นภรรยา ทั้งยังไม่มีข้อผูกมัดใดๆ หากเป็นผู้ชายปกติคงตอบตกลงไปแล้ว


อี้อวิ๋นเองก็ไม่ใช่พระใช่เจ้าที่ไม่สนใจผู้หญิง เขาย่อมไม่ต่อต้านสิ่งที่เจี้ยนปู๋อี้พูดมา


ตอนนี้หลินซินถงเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่รู้ อี้อวิ๋นยังไม่เจอเบาะแสเกี่ยวกับหลินซินถงแม้แต่นิดเดียว เขาจะมีใจคิดหาหญิงอื่นในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร


อี้อวิ๋นพูดว่า “มีเรื่องที่ท่านผู้อาวุโสไม่รู้ ตอนที่ข้าน้อยมาถึงสิบสองยอดสวรรค์เป็นครั้งแรกก็ได้พลัดพรากกับภรรยา ตอนนี้นางเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่รู้ แต่ข้าน้อยเชื่อว่านางยังมีชีวิตอยู่ คงกำลังตามหาข้าน้อยอยู่เช่นกัน หากตอนนี้ข้ามีภรรยาอีกคนก็คงผิดต่อนางยิ่งนัก”


อี้อวิ๋นพูดอย่างสมเหตุสมผล เจี้ยนปู๋อี้ได้ยินแล้วก็ตกใจ แม้เขาจะวางแผนไว้ในใจแต่ก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล หากยังกดดันอี้อวิ๋นในสถานการณ์เช่นนี้อีกก็คงไม่ถูกนัก


“อีกอย่าง ข้าคิดว่าศิษย์น้องเสี่ยวซวงใสซื่อบริสุทธิ์ เป็นเด็กสาวที่ขาวสะอาดเหมือนกระดาษ นางคงยังไม่รู้ว่าอะไรคือความชอบพอ ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการเป็นคู่ฝึกยุทธ์…”


เจี้ยนเสี่ยวซวงไม่พอใจเมื่ออี้อวิ๋นพูดถึงตรงนี้ นางกัดฟันจ้องอี้อวิ๋นเขม็งเหมือนลูกแมวที่โมโห


“เอ่อ…” อี้อวิ๋นลูบจมูกอย่างกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรต่อ


เจี้ยนเสี่ยวซวงพูดอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าก็แค่แต่งงานมาครั้งหนึ่งไม่ใช่หรือ พูดอย่างกับว่าอายุมากกว่าข้าอย่างไรอย่างนั้น เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเข้าใจไม่เข้าใจอะไร อีกอย่าง ข้าก็ทำการสาบานไว้แล้ว”


เจี้ยนเสี่ยวซวงพูดประโยคสุดท้ายด้วยเสียงแผ่วเบา นางสาบานไว้ว่าคนที่ชักและกระตุ้นกระบี่บรรพชนสระใสสำเร็จก็คือสามีนาง ไม่เช่นนั้นก็จะไม่แต่งงานตลอดชีวิต การสาบานของจอมยุทธ์เกี่ยวข้องกับหัวใจกระบี่ของตัวเอง สาบานหรือถอนคำอย่างส่งเดชไม่ได้เด็ดขาด


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ ข้าว่าเราล้มเลิกเรื่องนี้ดีกว่า”


เจี้ยนอู๋เฟิงพูดแทรกเข้ามา เดิมทีเขาก็รู้สึกว่าเรื่องที่เจี้ยนปู๋อี้ทำไม่ค่อยมีเกียรตินัก แต่การล้มเลิกก็เหมือนจะทำร้ายศิษย์เขาเอง เขารู้นิสัยเจี้ยนเสี่ยวซวงดี นางไม่ได้จะไม่แต่งงานตลอดชีวิตจริงๆ หรอกใช่ไหม


“หากเป็นไปได้ ให้ข้ารับเป็นเสี่ยวซวงเป็นน้องสาวแทนได้หรือไม่?”


อี้อวิ๋นเอ่ยปากพูด เขารู้ว่าหากเขาปฏิเสธก็ย่อมไม่มีปัญหาอะไร แต่อย่างไรเจี้ยนเสี่ยวซวงก็เป็นเด็กสาว หากเขาปฏิเสธเสียงแข็งก็คงทำให้นางอับอาย


เจี้ยนเสี่ยวซวงหน้าแดงเล็กน้อย นางยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกเจี้ยนปู๋อี้ตอบตกลงไปแล้ว


“เป็นน้องสาวก็ดี น้องสาวก็ดี ฮ่าฮ่าฮ่า”


เจี้ยนปู๋อี้ไม่สนหรอกว่าจะเป็นคู่รักหรือน้องสาว ขอเพียงมีความสัมพันธ์ต่อกันก็พอ เขารู้สึกว่าอี้อวิ๋นเป็นคนรัษาคำพูด หากเขาเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดของสิบสองยอดสวรรค์ในอนาคต เช่นนั้นเจ้าสำนักกระบี่สระใสที่เป็นน้องสาวของเขาจะไม่รักษาความรุ่งโรจน์เป็นร้อยล้านปีได้อย่างง่ายดายหรือ?


อีกอย่าง เดิมทีระหว่างน้องสาวบุญธรรมดากับคนรักก็มีแค่หน้าต่างกระดาษบางๆ กั้นอยู่ อาจจะเป็นรูเมื่อไรก็ได้!


เจี้ยนปู๋อี้คิดสิ่งเหล่านี้ในใจแล้วจึงตอบตกลงทันที


ใบหน้ารูปไข่ของเจี้ยนเสี่ยวซวงยังคงแดงก่ำ เจี้ยนปู๋อี้ตอบตกลงแทนนางไปแล้ว แม้นางจะเคยสาบานแต่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก


“เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าพี่อี้” เจี้ยนเสี่ยวซวงกัดฟันพูด


อี้อวิ๋นยิ้มบางๆ เจี้ยนเสี่ยวซวงใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนหิมะและตรงไปตรงมามาก เขาเองก็ยินดีที่ได้มีน้องสาวเช่นนี้


เจี้ยนปู๋อี้ยิ้มจนหน้าบาน “เช่นนี้ก็เยี่ยมไปเลย เยี่ยมไปเลย”


แต่ในตอนนี้เองที่รอยยิ้มเขาชะงักลงเล็กน้อย จากนั้นก็หันมาพูดกับอี้อวิ๋นว่า “ในเมื่ออี้อวิ๋นเป็นพี่ชายของเสี่ยวซวงแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ออกมาด้วยกันเถอะ”


อี้อวิ๋นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แค่น่าจะเกี่ยวข้องกับวังวิถีเจ็ดดารา


เมื่อออกจากห้องกระบี่ฟ้า อี้อวิ๋นก็เห็นเจี้ยนเฟิงหงและศิษย์สำนักกระบี่สระใสหลายคนรออยู่ด้านหน้า


เมื่อเห็นพวกเจี้ยนปู๋อี้กับเจี้ยนอู๋เฟิงออกมา เจี้ยนเฟิงหงก็รีบเดินเข้ามาพูดว่า “ท่านอาจารย์ ท่านเจ้าสำนัก ไม่ทราบว่ามีการวางแผนรับมือวังวิถีเจ็ดดาราอย่างไรขอรับ?”


เวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว เจี้ยนเฟิงหงและศิษย์หลายคนจิตใจร้อนรนมาก อันตรายที่จะถูกทำลายสำนักใช่สิ่งที่ทุกคนจะรับมืออย่างสงบที่ไหนกัน? ยิ่งไปกว่านั้น คนที่นำภัยนี้มาก็เป็นอี้อวิ๋นที่เป็นคนนอก


เจี้ยนเฟิงหงมองไปที่อี้อวิ๋นแวบหนึ่งเมื่อคิดถึงตรงนี้


อี้อวิ๋นมีพรสวรรค์เลิศล้ำ เขาไปมีเรื่องกับวังวิถีเจ็ดดารา การเติบโตของเขาจึงต้องยากลำบากแน่นอน


เจี้ยนปู๋อี้มองศิษย์ของตัวเองแล้วกวาดตามองศิษย์คนอื่นๆ จากนั้นก็พูดเสียงทุ้มว่า “สำนักกระบี่สระใสของเรามีนิสัยเหมือนกระบี่ เราซื่อตรงและไม่ยอมประจบสอพลอผู้ใด วังวิถีเจ็ดดาราใช้พลังมากดดัน มีหรือที่เราจะยอมศิโรราบ?”


“และตอนนี้อี้อวิ๋นก็เป็นพี่บุญธรรมของเสี่ยวซวง เท่ากับเป็นศิษย์สำนักกระบี่สระใสของเราด้วย สำนักเราจะไม่ทอดทิ้งศิษย์คนใด มีความแค้นก็ร่วมกันล้าง มีความลำบากก็ร่วมกันต้าน จะยอมส่งตัวอี้อวิ๋นในวันนี้ได้อย่างไร?”


เจี้ยนเฟิงหงตกใจและรีบมองไปทางเจี้ยนเสี่ยวซวง


เจี้ยนเสี่ยวซวงเป็นน้องบุญธรรมของอี้อวิ๋น?


เจี้ยนเฟิงหงรู้ว่านี่คงเป็นความต้องการของเจี้ยนปู๋อี้ เจี้ยนอู๋เฟิงและเจี้ยนเสี่ยวซวง เกรงว่าฐานะน้องบุญธรรมนี้คงไม่ได้เรียบง่ายธรรมดา


อี้อวิ๋นมีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่ที่เลิศล้ำจนเขาไม่อาจเทียบเคียง เจี้ยนเฟิงหงรู้สึกขมขื่นในใจเมื่อคิดถึงตรงนี้


เจี้ยนปู๋อี้กวาดตามองบรรดาศิษย์ ศิษย์หลายคนต่างนิ่งเงียบ


อี้อวิ๋นเป็นพี่บุญธรรมของเจี้ยนเสี่ยวซวง ย่อมไม่อาจแยกจากสำนักกระบี่สระใส สำนักพวกเขาจะทำเรื่องไร้สัจจะอย่างการขายพรรคพวกตัวเองได้อย่างไร?


“ค่ายกลของสำนักกระบี่สระใสไม่ได้ทำลายง่ายขนาดนั้น หากวังวิถีเจ็ดดาราคิดจะทำลายสำนักเราก็ต้องจ่ายราคาแสนสาหัส!” เจี้ยนอู๋เฟิงพูดเสีนยงขรึม


กลยุทธ์เดียวที่พวกเขามีในตอนนี้คือปิดตายสำนัก!


ในตอนนี้เองที่เจี้ยนอู๋เฟิงเงยหน้าขึ้นฟ้าอย่างฉับพลัน


เขาขยับความคิดและส่งลำแสงกระบี่ออกไป จากนั้นก็เปิดค่ายกลสะท้อนภาพออก


บนท้องฟ้ามีเงาร่างของพวกหลิ่วหรูอี้จากวังวิถีเจ็ดดาราปรากฏขึ้นทันที ตอนนี้ครบกำหนดเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว


หลิ่วหรูอี้มีรอยยิ้มเย็นยะเยือก นางหมุนเวียนปราณไปที่จุดตันเถียนและพูดเสียงดังว่า “ดูท่าสำนักกระบี่สระใสของพวกเจ้าคงมีความปรารถนาที่จะตายสินะ ได้ เช่นนั้นข้าจะสนองให้เอง!”


 

 

 


ตอนที่ 1096

 

เหตุอันคาดไม่ถึงของทะเลทรายกลบอาทิตย์

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหรูอี้โบกมือ คนเจ็ดคนที่สวมชุดคลุมเจ็ดดาราบินออกจากด้านหลังนาง พวกเขาแต่ละคนถือธงค่ายกลชุดหนึ่งไว้ในมือ ธงแต่ละชุดมีเจ็ดผืน รวมทั้งหมดมีธงค่ายกลสี่สิบเก้าผืน


คนทั้งเจ็ดร่วมมือกันวางค่ายกลทำลายประตูเจ็ดดารา นี่คือกลปิดสังหารของวังวิถีเจ็ดดารา รวมมือกันสร้างโดยปรมาจารย์ค่ายกลเจ็ดคน หลิ่วหรูอี้ไม่เชื่อว่าทางเข้าของสำนักกระบี่สระใสจะซ่อนตัวจากค่ายกลนี้ไปได้ตลอด


ค่ายกลทำลายประตูเจ็ดดาราเพิ่งจะวางเสร็จ ในขณะที่กำลังจะเปิดใช้นี้เองที่มีลูกไฟก้อนหนึ่งสว่างขึ้นตรงหน้าหลิ่วหรูอี้ นี่คือลูกไฟจากยันต์ส่งเสียง


หลิ่วหรูอี้ตาเป็นประกายเมื่อได้รับยันต์ส่งเสียงนี้ หลังจากที่ครุ่นคิดสักพักก็โบกมือส่งเสียงพูดกับทูตอวี้เหิงสองสามประโยค จากนั้นนางก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งที่หายไปในอากาศ


“หืม? ไปแล้วหรือ?”


“เหตุใดหลิ่วหรูอี้จึงจากไป? นางเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในคนกลุ่มนี้ หากไม่มีนางและมีทูตอวี้เหิงแค่คนเดียว เช่นนั้นต่อให้มีค่ายกลทำลายประตูเจ็ดดาราก็ทำอะไรสำนักกระบี่สระใสของเราไม่ได้แน่นอน”


ทุกคนแปลกใจเมื่อเห็นจากค่ายกลสะท้อนภาพว่าหลิ่วหรูอี้หายไป พวกเขาไม่รู้ว่านี่คือกลอุบายอะไรหรือเปล่า


“ยันต์ส่งเสียงนั่นคงนำเรื่องสำคัญบางอย่างมาบอก ไม่เช่นนั้นคนใจคอโหดเหี้ยมเช่นหลิ่วหรูอี้ที่พูดอะไรก็ทำตามนั้นมาโดยตลอดก็ไม่มีทางขู่เฉยๆ แน่ ในเมื่อนางบอกว่าจะทำลายภูเขาหิมะหมื่นลี้ให้พินาศแล้วจะจากไปง่ายๆ ได้อย่างไร?”


เจี้ยนปู๋อี้ครุ่นคิด ในตอนนี้เองที่มีเสียงผู้หญิงเสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณชายอี้ โปรดนำเข็มทิศความลับสวรรค์ตัวลูกออกมาเจ้าค่ะ บางทีอาจมีเบาะแสบางอย่าง”


ทุกคนมองตามเสียงไปก็พบว่าผู้พูดคือจีสุ่ยเยียนที่มาด้วยกันกับอี้อวิ๋น


อี้อวิ๋นขยับความคิด เมื่อนำเข็มทิศความลับสวรรค์ตัวลูกออกมาก็พบว่ามีแสงสว่างจางๆ ที่ส่งคลื่นพลังพิเศษออกมา


เมื่อเห็นภาพนี้จีสุ่ยเยียนก็พูดว่า “คุณชายอี้ หากข้าเดาไม่ผิด ทะเลทรายกลบอาทิตย์คงเกิดเรื่องบางอย่าง เป็นไปได้ว่าจะมีปรากฏการณ์เกิดขึ้นอีกครั้งจนวังวิถีเจ็ดดารามั่นใจในตำแหน่งคร่าวๆ หลิ่วหรูอี้คงไปตามหาสมบัติ”


ทุกคนรู้สึกว่าคำพูดของจีสุ่ยเยียนมีเหตุผล คงมีเพียงสมบัติในทะเลทรายกลบอาทิตย์ที่ทำให้หลิ่วหรูอี้ร้อนใจเช่นนี้จนไม่สนสำนักกระบี่สระใสและจากจากไปได้


“เราปล่อยให้พวกเขาได้สมบัติไปก่อนไม่ได้เด็ดขาด” เจี้ยนปู๋อี้พูด


เดิมทีทุกคนรู้แค่ว่าปรากฏการณ์ในทะเลทรายกลบอาทิตย์หมายถึงการปรากฏของสมบัติ แต่ดูจากปฏิกิริยาในตอนนี้ของวังวิถีเจ็ดดาราและสำนักความลับสวรรค์แล้วคงไม่ใช่สมบัติแน่นอน


“ในสำนักกระบี่สระใสมีค่ายกลส่งผ่านที่ส่งออกไปล้านลี้ได้อยู่ พวกเราส่งศิษย์คนสำคัญในสำนักออกไป แต่วังวิถีเจ็ดดารามียอดฝีมือค่ายกลมากมายดุจมาก การส่งศิษย์ออกไปจะทำให้เกิดคลื่นพลังมิติที่ง่ายต่อการเผยตำแหน่งสำนัก เพื่อจำกัดให้เกิดคลื่นพลังน้อยที่สุดจึงส่งศิษย์ออกไปได้แค่หนึ่งถึงสองคนเท่านั้นและห้ามทำหลายครั้ง หากทำหลายครั้งก็จะถูกวังวิถีเจ็ดดาราเจอเบาะแส”


แม้หลิ่วหรูอี้จะไปแล้ว แต่ทูตของวังวิถีเจ็ดดาราก็มีพลังต่อสู้ไม่ธรรมดาเช่นกัน หากมาแค่คนสองคนก็คงไม่กลัว แต่หากมากันสี่ห้าคน เช่นนั้นสำนักกระบี่สระใสก็อันตรายแล้ว


เจี้ยนปู๋อี้เชื่อว่าวังวิถีเจ็ดดาราไม่มีทางปล่อยค่ายกลทำลายประตูเจ็ดดาราที่วางกำลังเสร็จเรียบร้อยแล้วไปง่ายๆ เมื่อหลิ่วหรูอี้จากไปก็ต้องมีทูตเจ็ดดารามาเพิ่มใหม่ ระยะห่างของเวลาก็น่าจะสั้นมาก สำนักกระบี่สระใสของพวกเขายังคงอันตรายมากอยู่


“ศิษย์น้อง เจ้ากับข้าสองคนอยู่ควบคุมค่ายกลป้องกันของสำนัก”


เจี้ยนปู๋อี้เอ่ยปากขึ้น อย่างไรสำนักกระบี่สระใสก็ฐานที่มั่น พวกเขาไม่อาจเอาไปเสี่ยง หากค่ายกลบรรพชนของสำนักสูญเสียการควบคุมจากเจี้ยนปู๋อี้กับเจี้ยนอู๋เฟิงก็จะอานุภาพลดลงมากและง่ายต่อการทำลาย


เจี้ยนปู๋อี้กับเจี้ยนอู๋เฟิงต้องอยู่คุ้มกันสำนัก ตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะไปทะเลทรายกลบอาทิตย์จึงมีแค่อี้อวิ๋น


ศิษย์คนอื่นๆ ห่างชั้นจากอี้อวิ๋นไปไกล แม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักก็อาจอ่อนแอกว่าอี้อวิ๋นด้วยซ้ำ


แต่แม้จะเป็นอี้อวิ๋นก็ยังอันตรายที่จะไปทะเลทรายกลบอาทิตย์อยู่ดี เพราะพลังของอี้อวิ๋นด้อยกว่าพวกหลิ่วหรูอี้อยู่มาก


“อี้อวิ๋น หากเจ้าจะไปทะเลทรายกลบอาทิตย์เช่นนี้ ถ้าถูกวังวิถีเจ็ดดาราเจอเข้าก็คงต้องตายอย่างไร้ที่กลบ เจ้าเองก็สืบทอดมรดกจากท่านบรรพชน รู้จักตำราเคลื่อนดาราเปลี่ยนสวรรค์หรือไม่?”


อี้อวิ๋นเคยใช้ตำราเคลื่อนดาราเปลี่ยนสวรรค์ของราชาชิงหยางมาก่อน ตอนที่เขาสังหารเสินถูหนานเทียนและสร้างความแค้นกับตระกูลในโลกเทียนหยวนก็ใช้ตำรานี้มาเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวเองจึงออกจากแดนลับจักรพรรดินีได้


แต่ต่อมาเขาก็ไม่ได้แตะต้องตำราเคลื่อนดาราเปลี่ยนสวรรค์นี้อีก ไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว


“รู้จักขอรับ ข้าน้อยเองก็เคยศึกษามาก่อน”


“เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย ข้ามีหน้ากากอยู่ชิ้นหนึ่งชื่อว่าพันพักตร์ จะใช้หน้ากากนี้ได้ก็ต่อเมื่อเคยศึกษาตำราเคลื่อนดาราเปลี่ยนสวรรค์มาก่อน เจ้าใส่มันแล้วก็น่าจะปกปิดตัวตนที่แท้จริงได้”


เจี้ยนอู๋เฟิงพูดแล้วก็นำหน้ากากที่บางเหมือนกระดาษชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ เมื่ออี้อวิ๋นสวมหน้ากากก็หวนนึกถึงวิชาของตำราเคลื่อนดาราเปลี่ยนสวรรค์ จากนั้นหน้ากากนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของผิวอี้อวิ๋น


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่เจี้ยนปู๋อี้กับเจี้ยนอู๋เฟิงที่ใช้จิตมาสัมผัสก็ยังดูรูปลักษณ์จริงของอี้อวิ๋นไม่ออก


“สมบูรณ์แบบมาก ข้าไม่กล้ารับประกันกับประมุขวังวิถีเจ็ดดารา แต่คนระดับทูตเจ็ดดารามองเจ้าไม่ออกแน่นอน อี้อวิ๋น เจ้าตามข้ามา ข้าจะพาไปที่ค่ายกลส่งผ่าน!”


เจี้ยนปู๋อี้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขารู้ว่าสมบัติในทะเลทรายกลบอาทิตย์ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะคว้ามาได้ ต่อให้สำนักกระบี่สระใสของพวกเขาจะส่งพวกเจี้ยนเฟิงหงออกไปก็ไร้ประโยชน์ หากอยากได้สมบัติระดับนี้ก็ต้องมีโชคอยู่กับตัวเป็นอย่างแรก ไม่เช่นนั้นก็ไม่ใช่แค่เรื่องที่จะได้หรือไม่ได้ แต่ต่อให้ได้แล้วก็อาจเป็นหายนะ โลกของจอมยุทธ์มีเรื่องที่ต้องตายเพราะมีโชคไม่มากพอจนต้องตายเพราะสมบัติให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง สมบัติบางชิ้นทำให้คนตายมากเกินไปจนถูกเรียกว่า ‘วัตถุอาถรรพ์’ ด้วยซ้ำ


……


จีสุ่ยเยียนเดาได้ไม่ผิด ทะเลทรายกลบอาทิตย์กำลังเกิดเหตุอันคาดไม่ถึงอยู่จริงๆ


ในส่วนลึกของทะเลทรายกลบอาทิตย์ในเวลานี้มีลำแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าจนท้องฟ้ามีเมฆสีแดงเหมือนเปลวไฟที่ลุกโชนนับไม่ถ้วน เมฆนี้ปกคลุมไปไกลหลายล้านลี้!


ไม่ใช่แค่บริเวณรอบๆ ทะเลทรายกลบอาทิตย์ แม้แต่เมื่อที่ห่างจากทะเลทรายไปไกลยังเห็นเมฆแดงอันจ้าตา


เกิดอะไรขึ้น?


หลายคนยังไม่รู้เรื่องที่เกิดในทะเลทรายกลบอาทิตย์ กระทั่งเมื่อเห็นปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ในวันนี้จึงรู้ว่าทะเลทรายกลบอาทิตย์อาจเรื่องไม่ธรรมดา


ในป่าลับที่ตั้งอยู่ห่างจากทะเลทรายกลบอาทิตย์หลายแสนลี้ในเวลานี้ มิติเกิดการบิดเบี้ยว จากนั้นอี้อวิ๋นก็ถูกพายุมิติห่อหุ้มและดีดออกมา


การส่งผ่านที่มีระยะทางห่างไกลทำให้อี้อวิ๋นวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย


เขามองที่นี่ จดจำตำแหน่งค่ายกลส่งผ่านเงียบๆ แล้วเงยหน้ามองเมฆแดงบนฟ้า


ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียว?


อี้อวิ๋นตกใจเล็กน้อย แม้เขาจะเดาได้ว่าทะเลทรายกลบอาทิตย์เกิดเหตุอันคาดไม่ถึง แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้


ดูท่าการเดินทางในทะเลทรายกลบอาทิตย์ครั้งนี้อาจดึงดูดคนมากขึ้นไปอีก คงจะเกิดพายุแห่งการนองเลือดแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 1097

 

การพบเจอในตลาด

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทะเลทรายกลบอาทิตย์กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยอันตราย กลุ่มพ่อค้าส่วนใหญ่จะไม่อยากเดินทางที่นี่นานนัก ด้วยเหตุนี้จึงมีปรมาจารย์ค่ายกลสร้างค่ายกลส่งผ่านต่างๆ ขึ้นในทะเลทราย


มิติในทะเลทรายกลบอาทิตย์ไม่เสถียร ใช้จุดเชื่อมมิติที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมาสร้างค่ายกลส่งผ่านจึงไม่ใช่เรื่องยากมากนัก


ค่ายกลส่งผ่านเหล่านี้มีกลุ่มอิทธิพลต่างๆ เป็นเจ้าของ หากจะเดินทางผ่านก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายระดับหนึ่ง


อี้อวิ๋นจะไปทะเลทรายกลบอาทิตย์ เขาย่อมไม่พลาดที่จะทางลัดอย่างค่ายกลส่งผ่าน เดิมทีเขาก็มาถึงหลังคนอื่น ใช้ค่ายกลส่งผ่านจึงพอช่วยให้ไล่ทันได้บ้าง


อี้อวิ๋นซื้อแผนที่ค่ายกล จากนั้นก็มาถึงยังค่ายกลส่งผ่านที่อยู่ใกล้เมืองแสงหยกที่สุด เขาเห็นจอมยุทธ์มากหน้าหลายตาอยู่ที่นี่


เพราะหลายวันมานี้มีคนมาทะเลทรายกลบอาทิตย์มากเกินไป คนที่จะเดินทางผ่านค่ายกลต่างรวมตัวกันที่นี่จนกลายเป็นตลาดที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่


จอมยุทธ์และพ่อค้าหลายคนรวมตัวอยู่ที่นี่ พวกเขาพากันขายสินค้าต่างๆ


การเดินทางในทะเลทรายกลบอาทิตย์ย่อมขาดโอสถรักษาชีวิต ยันต์ต่างๆ และค่ายกลไม่ได้จอมยุทธ์อิสระบางคนที่ออกมาจากทะเลทรายกลบอาทิตย์อยากขายวัตถุดิบล้ำค่าที่พวกเขาเก็บมาได้เช่นกัน หลายคนเห็นโอกาสทางการค้าจึงพากันมาหาเงิน


ดังนั้นจอมยุทธ์หลายคนจึงไม่ได้มาเพื่อปรากฏการณ์ในทะเลทรายกลบอาทิตย์ แต่แค่มาทำการค้ารอบๆ ค่ายกลส่งผ่าน


โอสถ ธาตุกระดูกและวัตถุดิบล้ำค่าเป็นของที่มีขายมากที่สุด ตลอดทางที่เดินผ่านมีให้เห็นลานตาไปหมด


วิชายุทธ์ อาวุธ วัตถุโบราณที่ไม่รู้ที่มาและหินแร่ต่างๆ ก็มีขายเช่นกัน หากสายตาดีพอก็มีโอกาสได้ของดี แม้แต่แผงขายคู่นอน ทาสหญิงต่างๆ ก็มีให้อี้อวิ๋นเห็นอยู่ที่หนึ่ง


แผงขายนี้ตั้งอยู่ใจกลางตลาด เมื่อกวาดตามองไปก็เห็นหญิงสาวหน้าตาดีสิบกว่าคนที่สวมเสื้อผ้าชุดบางยืนเรียงอยู่บนแท่นหินทรงกลม บนมือบนเท้าพวกนางมีโซ่โลหะเส้นเล็กรัดพัน โซ่โลหะประเภทนี้มีค่ายกลสลักไว้อยู่ มันระงับการไหลเวียนของพลังปราณในร่างพวกนางอย่างสิ้นเชิงจนพวกนางไร้แรงต่อต้านเหมือนสาวน้อยธรรมดา


อี้อวิ๋นถอนหายใจเบาๆ แม้สาวน้อยแต่ละนางจะหน้าตาน่าดึงดูดแต่กลับมีสีน้าเศร้าโศก แววตาว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าสิ้นหวังต่ออนาคตตัวเอง สาวน้อยสองสามคนในนั้นท่าทางอายุแค่สิบสี่สิบห้าปีด้วยซ้ำ รูปร่างยังไม่เติบโตเต็มที่ดี มีเพียงปลายหน้าอกเล็กๆ เท่านั้น  อี้อวิ๋นส่ายหน้า อายุแค่นี้ก็ต้องเป็นทาสเป็นคู่หลับนอน หากถูกจอมยุทธ์ชายที่นิสัยโหดเหี้ยมซื้อตัวไปก็ไม่รู้จะถูกทรมานขนาดไหน


“มาเลยๆ เชิญดูเชิญเลือกได้ตามสบาย คู่หลับนอนพรหมจรรย์มาใหม่ เต็มไปด้วยน้ำชั้นดี เก็บเกี่ยวได้ตามใจชอบ ซื้อกลับไปแล้วก็เชิญเลือกใช้ตามสบาย จะให้เป็นภรรยาหรือสาวใช้ก็ได้ ตามแต่ใจทุกท่านเลย”


ด้านล่างแท่นหินมีชายชราไว้หนวดสองเส้นพูดตะโกน ด้านข้างเขามีชายฉกรรจ์รูปร่างบึกบึนหกคนยืนอยู่ แต่ละคนหน้าตาดุร้ายทั้งนั้น


ใจอี้อวิ๋นขยับเมื่อเห็นชายชราผู้นี้ นี่…


เขาคิดอะไรได้อย่างฉับพลันและมองไปบนแท่นหินอีกครั้ง สายตาหยุดอยู่ที่สาวน้อยอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปีคนหนึ่ง สาวน้อยนางนี้ยืนก้มหน้า ใบหน้ารูปไข่มีคราบน้ำตา รูปร่างอันบอบบางสั่นเบาๆ


เป็นนาง!


อี้อวิ๋นจำสาวน้อยนางนี้ได้ นางคือสาวใช้คู่กายของจีสุ่ยเยียน ชื่อว่าซินเอ๋อร์ ตอนที่จีสุ่ยเยียนมาห้องอี้อวิ๋นในเวลากลางคืนก่อนหน้านี้และรินเหล้าให้เขาก็มีซินเอ๋อร์เฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างเชื่อฟัน แต่เพราะก่อนหน้านี้ซินเอ๋อร์เอาแต่ก้มหน้าอยู่ตลอด อี้อวิ๋นจึงเห็นไม่ชัด


จากนั้น…อี้อวิ๋นก็เห็นสาวน้อยหน้าตาดีอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี นางมีรูปร่างอรชร สีหน้าหม่นหมอง อี้อวิ๋นจำสาวน้อยนางนี้ได้ยิ่งดี ตอนที่เขาขยับตัวอยู่กลางทะเลทรายกลบอาทิตย์ไม่ได้ก็มีสาวน้อยนางนี้ที่สวมเสื้อผ้าสีเหลืองดึงม่านประตูออกพร้อมบอกว่าคุณหนูของนางอยากพบเขา


สาวใช้ทั้งสองคือสาวใช้ของร้านความลับเทพ!


อี้อวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แววตามีจิตสังหารอันรุนแรงแล่นผ่าน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นฝีมือของร้านขยายฟ้า!


ชายชราไว้หนวดสองเส้นที่กำลังเรียกลูกค้าก็คือกุนซือหยางเหยียนกวงจากร้านขยายฟ้า!


สีหน้าอี้อวิ๋นน่ากลัวเป็นอย่างมากเมื่อตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ ก่อนหน้านี้จีสุ่ยเยียนบอกว่านางเตรียมการไว้แล้ว ในร้านความลับเทพมีทางใต้ดินที่มุ่งออกจากเมืองได้อยู่ เพียงแค่นางออกคำสั่งก็จะส่งคนใกล้ชิดที่ไว้ใจออกจากเมืองแสงหยกผ่านเส้นทางนี้ เพราะเหตุนี้อี้อวิ๋นจคงไม่ค่อยกังวลเรื่องคนของร้านความลับเทพ


แต่ดูจากตอนนี้แล้วร้านความลับเทพคงมีคนทรยศจนเรื่องทางลับแพร่งพรายหรือไม่ก็เหยียนเทียนชงมีการเตรียมการไว้ก่อนแล้วจึงจับคนใกล้ตัวที่จะหนีเหล่านี้ไว้ได้


‘เหยียนเทียนชง!’


เหยียนเทียนชงไม่มีค่าให้พูดถึงแม้แต่น้อยสำหรับอี้อวิ๋น แต่คนชั้นต่ำที่ไม่มีค่านี้กลับทำให้อี้อวิ๋นสะอิดสะเอียนครั้งแล้วครั้งเล่า


ที่ก่อนหน้านี้เขาถูกคนจากวังวิถีเจ็ดดาราไล่ฆ่าก็เพราะเหยียนเทียนชงเช่นกัน


ตอนนี้เหยียนเทียนชงลงมือต่อร้านความลับเทพอย่างไร้ปราณี ร้านความลับเทพต้องมาเดือดร้อนก็เพราะอี้อวิ๋น ดังนั้นตอนนี้อี้อวิ๋นจึงโกรธแค้นมาก


ตอนนี้กุนซือหยางสังเกตเห็นอี้อวิ๋นที่ยืนอยู่หน้าแท่นหิน ตอนนี้อี้อวิ๋นใช้หน้ากากพันพักตร์กับตำราเคลื่อนดาราเปลี่ยนสวรรค์จนไม่เหลือเค้าเด็กหนุ่มคนนั้นอีกต่อไป เขากลายเป็นชายวัยกลางคนมีตอหนวดที่ให้ความรู้สึกเหมือนผ่านโลกมาโชกโชน


ของวิเศษอาวุธบนร่างถูกเก็บไปหมด ตอนนี้เขาสวมเสื้อผ้าธรรมดาที่เก่าและขาดเล็กน้อย ที่เอวมีน้ำเต้าแขวน… ตอนนั้นราชาชิงหยางก็เหน็บน้ำเต้าท่องไปทั่วใต้หล้าเช่นกัน


แต่ตอนนี้อี้อวิ๋นไม่ได้ใช้กระบี่แต่กลับมาใช้ดาบอีกครั้ง ไม่ปิดบังระดับยุทธ์ ยังคงอยู่ระดับรวมวิถีช่วงกลางเหมือนเดิม สำหรับแคว้นจงแห่งแดนสวรรค์ จอมยุทธ์ที่อายุเท่านี้แต่อยู่แค่ระดับรวมวิถีช่วงกลางจะถือเป็นจอมยุทธ์ระดับล่าง ถูกกำหนดว่าไม่มีผลสำเร็จในอนาคต การเดินทางในทะเลทรายกลบอาทิตย์ครั้งนี้จึงไม่เป็นที่สนแม้แต่น้อย


“ว่าอย่างไร น้องชายสนใจทาสหญิงพวกนี้หรือ?” หยางเหยียนกวงลูบหนวดตัวเองพร้อมมองอี้อวิ๋นตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูภายนอกอี้อวิ๋นแล้วก็ไม่มีเหมือนคนมีเงิน ระดับยุทธ์ก็ไม่สูง คงเป็นจอมยุทธ์อิสระที่ไม่เก่งกาจอะไร คนประเภทนี้ไม่มีทางวิ่งเข้าหาปรากฏการณ์ของทะเลทรายกลบอาทิตย์ เพราะนั่นจะเท่ากับรนหาที่ตายเปล่าๆ อย่างมากก็แค่นำโอสถพังๆ ที่เสี่ยงชีวิตได้จากทะเลทรายมาขายในตลาดก็เท่านั้น


แววตาหยางเหยียนกวงมีประกายดูถูกแล่นผ่านเมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาหมดความสนใจในอี้อวิ๋น จอมยุทธ์อิสระที่ยากจนเช่นนี้ก็คิดซื้อคู่นอนไปเสพสมหรือ? ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างเลย สาวน้อยพวกนี้ถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถันจากร้านความลับเทพ พวกนางไม่เพียงหน้าตารูปร่างโดดเด่น แต่ยังมีพรสวรรค์ด้านยุทธ์ระดับหนึ่งด้วย จีสุ่ยเยียนจากร้านความลับเทพก็ดีต่อพวกคนใช้ คอยให้สาวใช้พวกนี้กินวัตถุดิบล้ำค่าไม่น้อย ใช่สิ่งที่เจ้ายาจกนี่จะซื้อได้ที่ไหนกัน?


 

 

 


ตอนที่ 1098

 

“หากเจ้าจะซื้อก็มาคุยราคากัน แต่หากไม่ซื้อก็อย่ายืนขวางที่นี่ พวกข้ายังต้องทำการค้า”


หยางเหยียนกวงพูดอย่างรำคาญ หากเป็นร้านของคนธรรมดาที่เจอลูกค้าที่ไม่ซื้อก็คงพูดจาอย่างสุภาพด้วย เพราะอย่างไรการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขจะนำความร่ำรวยมาให้ แต่ในโลกของจอมยุทธ์กลับไม่ต้องมีมารยาทต่อกัน ขี้เกียจพูดกับลูกค้าที่เห็นชัดว่าไม่ซื้อแม้แต่ครึ่งประโยค


หยางเหยียนกวงคิดไม่ผิด อี้อวิ๋นไม่ใช่ลูกค้าที่มีกำลังซื้อจริงๆ สายตาเขากวาดผ่านซินเอ๋อร์กับสาวน้อยอายุสิบเจ็ดสิบแปดผู้นั้นเบาๆ สาวน้อยทั้งสองรู้สึกกลัวจากใจ พวกนางเป็นเหมือนลูกกวางที่บาดเจ็บอยู่ใต้มีดล่า ทั้งตกใจกลัวทั้งไร้ที่พึ่ง


“พวกเจ้าคนใดเป็นผู้รับผิดชอบ?”


อี้อวิ๋นมองหยางเหยียนกวง น้ำเสียงมีจิตสังหารอันน่าสะพรึงซ่อนอยู่ ทว่าด้วยระดับยุทธ์ของหยางเหยียนกวงแล้วก็ไม่มีทางรู้สึกถึงพลังของอี้อวิ๋น


เขาหัวเราะเยาะ ขณะที่กำลังจะพูดดูถูกก็สายตาเป็นประกายขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขาเลิกสนใจและรีบพุ่งตัวไปอีกด้าน


กุนซือหยางเดินไปด้วยพูดไปด้วยว่า “ฮ่าฮ่า คุณชายหยกโลหิตยินดีต้อนรับ ขออภัยที่ต้อนรับช้า ขออภัยที่ต้อนรับช้า”


กุนซือหยางยิ้มจนหน้าบาน รอยย่นบนหน้าหดเข้าด้วยกันจนแทบจะบี้แมลงวันให้ตายได้แล้ว


คุณชายหยกโลหิตที่เขาเรียกคือศิษย์คนสำคัญของสำนักกระหายโลหิต นับว่ามีชื่อเสียงในทะเลทรายกลบอาทิตย์ แต่ชื่อเสียงนี้เป็นไปทางด้านลบเสียส่วนใหญ่ สำนักกระหายโลหิตฝึกวิชานอกรีต การฝึกวิชาของสำนักกระหายโลหิตจะทำให้ไม่อาจยับยั้งปราณหยินเย็นในร่าง เมื่อเวลาผ่านไปนานก็จะทำให้มีนิสัยชื่นชอบโลหิต ใช้การดื่มเลือดมาปรับสมดุลและหล่อเลี้ยงปราณหยินเย็นในร่าง เรื่องนี้ทำให้สำนักกระหายโลหิตมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ จอมยุทธ์ที่ตายในมือจอมยุทธ์จากสำนักนี้มักจะกลายเป็นซากศพแห้งๆ


แม้สำนักกระหายโลหิตจะมีชื่อเสียงไม่ดีแต่ก็แข็งแกร่ง ร้านขยายฟ้าจะไม่สนใจชื่อเสียงอีกฝ่าย ขอเพียงอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งและนำผลประโยชน์มาให้พวกเขาได้ เช่นนั้นเหยียนเทียนชงก็เลือกที่จะคบหาไว้หมด


คุณชายหยกโลหิตไม่สนใจกุนซือหยางที่เข้ามาเอาใจแม้แต่น้อย สายตาเขาจดจ้องอยู่ที่กลุ่มสาวน้อยด้านหลังกุนซือหยาง


เขามองไปด้วยลูบคางด้วยสีหน้าพึ่งพอใจไปด้วย


“ไม่เลว!” หยกโลหิตพูดพร้อมพยักหน้า


“ฮ่าฮ่า ไม่เลวเลยใช่ไหมขอรับ! ก่อนหน้านี้ข้าส่งเทียบเชิญกระบี่บินให้คุณชายหยกโลหิตมาเลือกคู่หลับนอนที่เมืองแสงหยก จะนำสินค้าคุณภาพด้อยมาหลอกคุณชายได้อย่างไร”


ในตอนนี้เองที่ชายหนุ่มถือพัดผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มเต็มไปหน้า แววตาอี้อวิ๋นเย็นยะเยือกเมื่อเห็นคนผู้นี้


เขาคือเหยียนเทียนชง!


ด้านหลังเหยียนเทียนชงมีชายชราอยู่ผู้นี้ ชายชราผู้นี้มีเส้นผมขาวโพลน สีผิวซีดเทาเล็กน้อย ดวงตาตอบลึก ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนไม่ค่อยมีพลัง


อี้อวิ๋นจำชายชราผู้นี้ได้ เขาคืออาจารย์ของเหยียนเทียนชง ปรมาจารย์ฮว่าอวี่


สำนักของปรมาจารย์ฮว่าอวี่คือที่พึ่งของเหยียนเทียนชง เขาจัดการเรื่องต่างๆ ให้ร้านขยายฟ้าน้อยมาก แต่ร้านขยายฟ้ากลับมอบวัตถุดิบล้ำค่าจำนวนไม่น้อยให้เขาใช้ทุกปี


นอกจากเหยียนเทียนชงกับปรมาจารย์ฮว่าอวี่แล้วก็ยังมีชายชราชุดฟ้าอีกสองคนตามมาด้านหลัง พวกเขาต่างก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักขยายฟ้า แต่ละคนเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างเคารพนบนอบ เทียบกับปรมาจารย์ฮว่าอวี่และคุณชายหยกโลหิตแล้วพวกเขาก็มีฐานะต่ำเกินไป


โลกนี้ช่างกลมจริงๆ


อี้อวิ๋นพึงพอใจมากที่ได้เจอเหยียนเทียนชงที่นี่ แต่ตอนนี้เขาใช้หน้ากากพันพักตร์มาแปลงโฉมตัวเอง หากจะสังหารเหยียนเทียนชงในตลาดค่ายกลส่งข้ามโดยไม่ให้ใครสงสัยในตัวตนของเขาก็เป็นเรื่องยากอยู่บ้าง


หากใช้กระบวนท่าที่อี้อวิ๋นมีเพียงคนเดียวมาจัดการปรมาจารย์ฮว่าอวี่ก็ต้องทำให้วังวิถีเจ็ดดาราสังเกตเห็นแน่นอน


……


“ดี ดีมาก!”


คุณชายหยกโลหิตหัวเราะ เสียงหัวเราะเขาแหลมเล็กน้อยจนให้ความรู้สึกเหมือนขันทีในวัง


เขากระโดดตัวขึ้นแท่นหินไปดูสาวน้อยเหล่านี้


ซินเอ๋อร์หน้าซีด นางก้มศีรษะจนแทบจะมุดเข้าไปในหน้าอกเพราะกลัวว่าจะถูกคุณชายหยกโลหิตเห็นเข้า แต่แม้นางจะทำเช่นนี้ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากหายนะนี้


ในฐานะที่เป็นสาวใช้คู่กายของจีสุ่ยเยียน พรสวรรค์ของซินเอ๋อร์จึงมีความพิเศษอยู่แล้ว


“ฮ่าฮ่า ข้าชอบเด็กสาวคนนี้มาก ข้าเลือกนาง!”


“คนนี้ด้วย!”


คุณชายหยกโลหิตเลือกสาวน้อยทีเดียวสิบสองคน อีกสามสี่คนที่เหลือไม่ถูกเลือก


“สิบสองคนนี้แหละ”


คุณชายหยกโลหิตพูดอย่างไม่ใส่ใจ


“เอ่อ…” เหยียนเทียนชงปวดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินหยกโลหิตเลือกไปมากขนาดนี้ เพราะอย่างไรหลายวันนี้ก็มียอดฝีมือจากสำนักใหญ่ต่างๆ มาที่เมืองแสงหยก เหยียนเทียนชงอย่างผูกมิตรกับคนเหล่านี้ ทว่าในบรรดาสิ่งที่ร้านขยายฟ้ามีก็เหมือนจะมีแต่คู่นอนฝึกยุทธ์ชั้นยอดที่จะทำให้คนเหล่านี้เกิดความสนใจ แต่ตอนนี้กลับต้องมอบให้หยกโลหิตเกือบหมด ทำเช่นนี้จะทำให้เขาต้องไปหาของใหม่อีก


“ทำไม? ให้ไม่ได้หรือ?” คุณชายหยกโลหิตขมวดคิ้วพูดเสียงเบา “นอกจากที่ข้าจะเสพสมพวกนางแล้วยังต้องการใช้เลือดเป็นอาหารด้วยบางครั้ง เลือกของสาวน้อยรสชาติดีมาก สาวน้อยสิบสองคนอาจไม่พอให้ข้าใช้ครบปีด้วยซ้ำ เจ้าไม่เต็มใจหรือ?”


เมื่อคำพูดของคุณชายหยกโลหิตตกสู่คู่บรรดาสาวน้อยจากร้านความลับเทพก็เป็นเหมือนมารปีศาจ คำว่า ‘ใช้’ ที่เขาพูดคือไม่เห็นพวกนางเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ


“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ยอมให้ ต้องยอมให้อยู่แล้ว!”


เหยียนเทียนชงรีบเปลี่ยนคำพูดพร้อมยิ้มกว้าง เขาโบกมือให้กุนซือหยาง “กุนซือหยาง หาหญิงชราสองสามคนมาทำความสะอาดพวกนางให้เรียบร้อยแล้วพาไปที่ห้องคุณชายหยกโลหิต”


“ขอรับนายน้อย” หยางเหยียนกวงยิ้มแย้ม ขณะที่เขากำลังจะถ่ายทอดคำสั่งลงไปก็ต้องขมวดคิ้วอย่างฉับพลัน เขาเห็นว่าอี้อวิ๋นที่เป็นยาจกกลับยังคงยืนอยู่ข้างแท่นหิน


หยางเหยียนกวงโมโห เขาส่งสายตาให้ชายฉกรรจ์สองสามคน ชายฉกรรจ์รับคำสั่งและเดินไปหาอี้อวิ๋น


“นี่ไม่ใช่ที่ที่คนยากจนเช่นเจ้าจะอยู่ได้ รีบไสหัวไปเสีย คุณชายหยกโลหิตจะได้ไม่สะอิดสะเอียนเมื่อเห็น!”


ชายฉกรรจ์คนหนึ่งยื่นมือมาเพื่อจับอี้อวิ๋น ทว่าในชั่วพริบตาที่เขายื่นมืออกก็รู้สึกเย็นที่ข้อมือ จากนั้นความรู้สึกเจ็บปวดก็ส่งเข้ามา เมื่อหันไปมองก็พบว่ามือข้างขวาของตัวเองหายไปแล้ว มันถูกตัดขาดจากข้อมือ!


“อ้า!” ชายฉกรรจ์ร้องโอดครวญพร้อมมองอี้อวิ๋นอย่างตกใจกลัว ใบหน้าที่มีต่อหนวดและผ่านโลกมาอย่างโชกโชนของอีกฝ่ายกำลังมองเขาอย่างเย็นยะเยือก แววตาเหมือนกำลังมองคนตาบ


เมื่อครู่นี้ชายฉกรรจ์ยังไม่ทันเห็นว่าอี้อวิ๋นลงมือก็มือขาดแล้ว!


“ไอ้นี่! เจ้าอยากตายหรือ!” หยางเหยียนกวงโมโห เขาคิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นจะลงมืออย่างฉับพลันและเหี้ยมโหดเช่นนี้ ที่นี่คือค่ายกลส่งข้ามของเมืองแสงหยกเชียวนะ เป็นที่ของร้านขยายฟ้า เขากล้าลงมือกับองครักษ์ขั้นหนึ่งของร้านขยายฟ้าได้อย่างไร


“หืม?”


คุณชายหยกโลหิตหันไปมองอี้อวิ๋น ลูกตาเข้าเป็นสีแดงเข้ม ริมฝีปากก็แดงเป็นพิเศษ เขาเลียริมฝีปากด้วยสีหน้าสนุกสนาน


เขาคิดไม่ถึงว่าคนระดับล่างที่เขาขี้เกียจสนใจก่อนหน้านี้จะลงมืออย่างฉับพลัน “น่าสนใจ โลกนี้ช่างมีคนรนหาที่ตายอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ น่าเสียดายที่โลหิตของชายวัยกลางคนไม่อร่อยสักนิด ให้ข้าดื่มข้าก็ยังไม่อยากจะดื่ม”

 

 

 


ตอนที่ 1099

 

สังหารหมู่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“สังหารไอ้หมอนี่ ดึงเส้นเอ็นลอกหนังมัน!”


เหยียนเทียนชงตะโกนเสียงดัง ตอนนี้เขาโมโหถึงขีดสุด คิดไม่ถึงจะมีคนกล้าทำร้ายคนจากร้านขยายฟ้าของเขาในที่ดินของร้านขยายฟ้า ทั้งยังทำต่อหน้าคุณชายหยกโลหิตอีกต่างหาก นี่ไม่ต่างอะไรกับตบหน้าเขาต่อหน้าสาธารณะชน เขาจะปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?


บรรดาบ่าวรับใช้พากันพุ่งตัวมาจากทุกทิศ ผู้อาวุโสสองคนที่ยืนอยู่หลังเหยียนเทียนชงก็ขนาบข้างอี้อวิ๋นซ้ายขวาเช่นกัน


อี้อวิ๋นมองเหยียนเทียนชง มุมปากที่ผ่านโลกมาโชกโชนยกขึ้นเล็กน้อยจนกลายเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน


เมื่อเหยียนเทียนชงเห็นรอยยิ้มนี้ก็ใจกระตุกอย่างประหลาด ไม่รู้ทำไมรอยยิ้มนี้จึงทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย แต่มองใบหน้าที่ผ่านโลกมาโชกโชนของอีกฝ่ายแล้วก็เห็นชัดว่าเป็นลุงที่ชีวิตไม่สุขสบายนัก เหยียนเทียนชงรู้สึกว่าเขาคงคิดมากไป


เขาพูดยิ้มเยาะว่า “ยังมีอารมณ์ยิ้มอีกหรือ? ลงมือกลางตลาดค่ายกลส่งข้ามถือเป็นการผิดกฎของที่นี่ จับตัวเขาเสีย ตัดมือตัดขา!”


เหยียนเทียนชงเพิ่งพูดจบก็มีบ่าวรับใช้ของร้านขยายฟ้ากลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา ทว่าในชั่วพริบตานี้เองที่บนร่างอี้อวิ๋นมีลำแสงพันสายพุ่งออก!


ฉัวะๆๆ!


ดาบบินเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเล่มพุ่งไปรอบทิศ บรรดาบ่าวรับใช้ที่พุ่งเข้ามาตอบสนองไม่ทันแม้แต่น้อย ร่างกายพวกเขาหยุดชะงักอย่างเฉียบพลันและถูกดาบินแล่นผ่าน ทันใดนั้นทั้งโลหิตทั้งแขนขาที่ขาดก็กระเด็นไปทั่ว เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พื้นที่เล็กๆ แห่งนี้กลายเป็นลานประหารแห่งอสูรอย่างฉับพลัน


ฉากอันน่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้สาวน้อยจากร้านความลับเทพหลายคนหน้าซีด พวกนางไม่รู้ว่าที่นี่มีเทพสังหารเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่ในสายตาพวกนางแล้วแม้เทพสังหารผู้นี้จะน่ากลัว แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าคุณชายหยกโลหิตที่ดื่มเลือดมนุษย์หลายเท่า


“หืม?”


ในที่สุดคุณชายหยกโลหิตก็มองอี้อวิ๋นตรงๆ เมื่อเห็นบ่าวรับใช้ตายลงพร้อมกันมากขนาดนี้ คนผู้นี้เหมือนจะมีความสามารถอยู่บ้าง ไม่ใช่จอมยุทธ์อิสระธรรมดา


แต่ถึงกระนั้นคุณชายหยกโลหิตก็ไม่ใส่ใจอี้อวิ๋น “มีความสามารถไม่น้อยนี่ คนเช่นเจ้าไม่น่าไร้ชื่อเสียงเรียงนาม เจ้าชื่ออะไร?”


คุณชายหยกโลหิตคิดไม่ออกว่าแถวทะเลทรายกลบอาทิตย์มีใครใช้ดาบบิน


“คนตายเช่นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อข้า” อี้อวิ๋นมองหยกโลหิตอย่างเย็นชา


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”


คุณชายหยกโลหิตหัวเราะเสียงดังประหนึ่งได้ยินมุกที่ตลกที่สุดในโลก “ไม่เคยมีใครอวดดีต่อหน้าข้าขนาดนี้มาก่อน อีกอย่างเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าแม้แต่น้อย ต่อให้จะรอดเงื้อมมือข้าก็มียอดฝีมือของสำนักกระหายโลหิตอยู่ใกล้ๆ นี้ พวกเขาใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็มาถึงที่นี่แล้ว เจ้าคิดว่าตัวเองจะรอดไปได้หรือ?”


ปรมาจารย์ฮว่าอวี่ที่อยู่ด้านหลังคุณชายหยกโลหิตหัวเราะออกมาเช่นกัน คนผู้นี้ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ปรมาจารย์ฮว่าอวี่มีสหายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเช่นกัน พวกเขาเองก็จะถึงที่นี่โดยเร็ว ถึงเวลานั้นอี้อวิ๋นก็เป็นสัตว์ในกรงแล้ว ย่อมไม่อาจปิดบังตัวตนได้อีก


“สำนักกระหายโลหิตหรือ?”อี้อวิ๋นหัวเราะอย่างเย็นชา ตอนที่เขาลงมือเมื่อครู่ก็ได้กวาดการรับรู้ออกไปรอบด้าน พวกคนที่น่ากลัวจริงๆ อย่างรองประมุขวังวิถีเจ็ดดาราต่างอยู่ในส่วนลึกของทะเลทรายกลบอาทิตย์กันหมด


แม้รอบค่ายกลส่งข้ามจะมียอดฝีมืออยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้อี้อวิ๋นเกรงกลัว แต่แน่นอนว่าตัวตนของเขาไม่อาจเปิดเผย ไม่เช่นนั้นจะดึงดูดการล้อมสังหารของวังวิถีเจ็ดดาราเข้ามา


อี้อวิ๋นเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างฉับพลัน พลังสีดำเทากลุ่มหนึ่งแผ่ออกจากร่าง


พลังกลุ่มนี้ให้ความรู้สึกกว้างใหญ่ทรงพลังที่ยากจะบรรยาย เมื่อมันแผ่ไปรอบด้านก็ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่อาจหลบเลี่ยง ประหนึ่งว่าพลังนี้ปิดตายฟ้าดินจนพวกเขารู้สึกเหมือนอยู่ในจักรวาลอื่น


“นี่คืออะไร?”


หยกโลหิตกับปรมาจารย์ฮว่าอวี่ตกใจ พลังประหลาดผนึกพื้นที่แห่งนี้จนพวกเขาเหมือนตัดขาดกับโลกภายนอก


“ค่ายกล? เจ้ามีค่ายกลโบราณหรือ?”


ปรมาจารย์ฮว่าอวี่พูดอย่างตื่นตกใจ เขามองว่ามีเพียงแผ่นค่ายกลโบราณที่ผนึกพื้นที่ได้ภายในพริบตา


อี้อวิ๋นหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายศีรษะพูดว่า “นี่คือเขตแดนวิถีของข้า”


แขตแดนวิถีใบนี้คือแขตแดนวิถีแห่งการทำลายล้างของอี้อวิ๋น อี้อวิ๋นใช้เขตแดนมาห่อหุ้มพื้นที่ตรงนี้จนพวกหยกโลหิตกับปรมรจารย์ฮว่าอวี่ถูกห่อไว้ตรงกลาง เช่นนี้แล้วพื้นที่ภายในจึงตัดขาดจากภายใน ไม่ว่าเขาจะใช้กระบวนท่าแบบไหนก็ไม่ถูกคนภายนอกรับรู้ ดังนั้นตัวตนย่อมไม่ถูกเปิดเผยเช่นกัน


นอกเสียจากว่าหยกโลหิตกับปรมาจารย์ฮว่าอวี่จะทำลายเขตแดนใบนี้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะถูกขังอยู่ที่นี่!


“เขตแดนวิถี? เลิกคุยโวเถอะ!” หยกโลหิตเป็นคนมีความรู้เช่นกัน เขตแดนวิถีที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังนี้ทำให้เหมือนเผชิญกับทั้งจักรวาล จะเป็นสิ่งที่เกิดจากคนไม่โดดเด่นได้อย่างไร เกรงว่าแม้แต่ประมุขวังวิถีเจ็ดดาราก็อาจไม่มีเขตแดนวิถีระดับนี้


อี้อวิ๋นขี้เกียจเถียงด้วย เขาพูดต่อว่า “ลืมบอกไปว่าเวลาในเขตแดนวิถีของข้าจะถูกเร่งความเร็ว ข้ามีเวลาจัดการพวกเจ้าได้เหลือเฟือโดยที่คนภายนอกไม่รับรู้แม้แต่น้อย”


ขณะที่อี้อวิ๋นพูดก็โบกมืออย่างฉับพลัน!


ฉัวะๆๆ!


ลำแสงหลายสิบสายพุ่งเข้าใส่กุนซือหยาง!


“อ้า!”


กุนซือหยางตกใจกลัว เขาไม่อาจต้านทานอะไรแม้แต่น้อย ดาบบินหลายสิบเล่มแทงทะลุร่างกาย แขนขาทั้งสี่ถูกลำแสงดาบฟันเป็นชิ้นๆ ดาบบินที่ทะลุผ่านหน้าอกปักเขาเข้าที่แท่นหิน โลหิตไหลนองไปทั่ว


แท่นหินนี้อยู่ใต้เท้าสาวน้อยเหล่านี้ พวกนางตกใจอ้าปากค้าง แววตามีทั้งความกลัวมีทั้งความประหลาดใจ พวกนางไม่อยากจะเชื่อว่ากุนซือหยางผู้มีตำแหน่งสูงส่ง เป็นผู้ควบคุมชะตาชีวิตพวกนาง ทำชั่วในเมืองแสงหยกมาเป็นร้อยปีและมีรากอิทธิพลฝังลึกจะมาตายเช่นนี้ ตายอยู่ใต้เท้าพวกนาง


ดวงตากุนซือหยางพร่ามัว ในปากมีเลือดไหล เขาหายใจออกมาก หายใจเข้าน้อย ดูท่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน


เขาออกแรงดิ้นรน ริมฝีปากพูดคำที่ฟังไม่รู้เรื่องอย่างไม่ยอมใจ จนจะตายแล้วเขาก็เหมือนไม่กล้าเชื่อว่านี่คือจุดจบของตัวเอง


“ตอนนั้นจีสุ่ยเยียนแค่ตัดแขนขาเจ้า ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่อ คิดไม่ถึงว่าสุนัขแก่เช่นเจ้าจะถูกช่วยออกมา ทั้งยังต่อแขนขากลับเข้าไปใหม่ วันนี้ข้าตัดพวกมันออกทั้งหมด ดูซิว่าคราวนี้เจ้าจะรอดอย่างไร?”


ขณะที่อี้อวิ๋นพูดก็โบกมือ ลำแสงดาบโถมลง กุนซือหยางร้องโหยหวน เขาถูกลำแสงนี้กลืนกินอย่างสมบูรณ์ โลหิตสาดกระเซ็นและสิ้นใจลง


ตอนนี้เหยียนเทียนชงไม่มีใจมาสนความตายของกุนซือหยางแล้ว เพราะคำพูดของอี้อวิ๋นทำให้เขาสะดุ้งตกใจ!


“เจ้าว่าอะไรนะ? จีสุ่ยเยียนหรือ!?”


จีสุ่ยเยียนจับตัวกุนซือหยางและตัดแขนขาของเขา เรื่องนี้เป็นแค่เล็กๆ หากเป็นจอมยุทธ์จากภายนอกก็ไม่มีทางสนใจเรื่องนี้


เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้รู้จักจีสุ่ยเยียน พลังที่เขาแสดงออกมาก่อนหน้านี้ก็ทำให้ในหัวเหยียนเทียนชงมีความคิดที่ทำให้ต้องตัวสั่นแล่นผ่าน


“เจ้าคืออี้อวิ๋น!?”


เหยียนเทียนชงถูกอี้อวิ๋นทำให้ตกใจกลัวมานานแล้ว แต่อี้อวิ๋นถูกคนของวังวิถีเจ็ดดาราล้อมโจมตีอยู่ที่สำนักกระบี่สระใสไม่ใช่หรือ? เขาจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?


อี้อวิ๋นไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธเรื่องนี้ เขาไม่คิดจะปิดบังฐานะตัวเองอยู่ วินาทีที่เขาเปิดเขตแดนวิถีแห่งการทำลายล้างออกก็ตัดสินใจแล้วว่าคนจากร้านขยายฟ้าที่อยู่ในเขตแดนต้องตายกันหมด

 

 

 


ตอนที่ 1100

 

มอบให้เจ้าจัดการ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนนี้ใจของเหยียนเทียนชงกำลังปั่นป่วน มิน่าเล่า รอยยิ้มก่อนหน้านี้จึงทำให้ขนลุกไปทั้งตัว ที่แท้คนผู้นี้ก็คืออี้อวิ๋นปลอมตัว


“อี้อวิ๋น เขาคืออี้อวิ๋น!”


เหยียนเทียนชงร้องตะโกน แค่เขามองอี้อวิ๋นก็รู้สึกกลัวแล้ว แต่เมื่อคิดว่ายังมีอาจารย์อยู่ข้างกายก็พอมั่นใจขึ้นมาบ้าง


“เหยียนเทียนชง เจ้าลูบเกล็ดข้าครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้ข้าจะขอส่งเจ้าไปนรกเอง”


อี้อวิ๋นพูดอย่างเกียจคร้าน เขาเป็นผู้กุมชะตาทุกคนในม่านพลังแห่งนี้ จัดการเหยียนเทียนชงได้ตามใจชอบ


“คิดจะฆ่าข้าหรือ จะลองดูก็ได้!”


ขณะที่เหยียนเทียนชงพูดก็ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวเพื่ออยู่หลังปรมาจารย์ฮว่าอสี่ ขณะเดียวกันก็บีบยันต์ส่งเสียงอย่างไร้ร่องรอย


แม้จะรู้สึกว่าปรมาจารย์ฮว่าอวี้ปกป้องเขาจากอี้อวิ๋นได้ แต่เขาก็อยากส่งข่าวนี้ให้ร้านประมูลเจ็ดดาราเพื่อให้ยอมฝีมือของพวกเขามาจับอี้อวิ๋น


อี้อวิ๋นยืนมองทุกอย่างในท่าไขว่หลังอย่างไม่สนใจ


“ส่งเสียงเสร็จแล้วหรือ?” ใบหน้าอี้อวิ๋นมีรอยยิ้ม เขตแดนวิถีแห่งการทำลายล้างของเขาตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง หากแค่ยันต์ส่งเสียงแผ่นหนึ่งของเหยียนเทียนชงก็จัดการไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็คงบรรลุกฎแห่งการทำลายล้างอย่างเปล่าประโยชน์


ใจเหยียนเทียนชงจมลงเมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของอี้อวิ๋น เขารู้ว่าวันนี้คงส่งข่าวออกไปไม่ได้แน่แล้ว วิธีเดียวที่มีคือสังหารอี้อวิ๋น


“ไม่เลวเลย! ดูท่าเจ้าคงมีโชคไม่น้อยถึงได้มีค่ายกลโบราณเช่นนี้” คุณชายหยกโลหิตมองอี้อวิ๋น ในที่สุดประกายดูถูกในสายตาเขาก็หายไป “อี้อวิ๋น ข้าเคยได้ยินเรื่องของเจ้ามาก่อน ใครๆ ก็บอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์เป็นหนึ่งในแคว้นจงแห่งแดนสวรรค์จนวังวิถีเจ็ดดารามองเจ้าเป็นหอกข้างแคร่ ข้าอยากพบเจ้ามานานแล้ว”


มุมปากคุณชายหยกโลหิตยกขึ้น ดวงตามีประกายละโมบ “วิชาที่สำนักกระหายโลหิตของข้าฝึกจึงเป็นต้องดื่มเลือดเป็นอาหาร เลือดของหญิงงามแค่รสชาติดีเท่านั้น แต่ในแง่ของสรรพคุณแล้วกลัวเทียบเลือดของอัจฉริยะผู้เป็นเอกไม่ได้ อี้อวิ๋น ข้าต้องการเลือดเจ้า เจ้าเองก็น่าจะมีโชคกับตัว แหวนมิติของเจ้าจะตกเป็นของข้าเช่นกัน ข้าจะสืบทอดโชคของเจ้าและเขียนตำนานของเจ้าต่อ”


ขณะที่คุณชายหยกโลหิตพูดก็มีพลังปะทุขึ้นทั่วร่าง เสื้อผ้าบนร่างเขาฉีกออก ขนสีแดงเริ่มงอกออกมา ขณะเดียวกันฟันก็แหลมคมขึ้นเหมือนเขี้ยนของสัตว์ป่า


“แม้เจ้าจะเป็นอัจฉริยะแต่ก็เติบโตมาสั้นเกินไป วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ถึงระยะห่างจากเวลาและความต่างของสายเลือด!” พลังของคุณชายหยกโลหิตเพิ่มขึ้นไม่หยุดในขณะที่พูด


เผ่าปีศาจ?


เปลือกตาอี้อวิ๋นยกขึ้น โลกสวรรค์หมื่นปีศาจมีเผ่ามนุษย์ โลกสวรรค์เทพหยางจึงย่อมมีเผ่าปีศาจเช่นกัน สำนักกระหายโลหิตนี้เหมือนจะเป็นสำนักของเผ่าปีศาจ มิน่าถึงได้ชอบเลือดมนุษย์


“ที่แท้ก็ลิงแดงตัวหนึ่ง พูดไร้สาระเยอะชะมัด”


อี้อวิ๋นพูดเหยียดหยาม คุณชายแสงหยกโมโหหนักเมื่อได้ยินคำพูดของอี้อวิ๋น!


“รนหาที่ตายจริงๆ!”


คุณชายหยกโลหิตคำราม ร่างกายปะทุขึ้นอย่างฉับพลัน


ฉัวะๆๆ หลังมือทั้งสองข้างมีกรงเล็บแหลมสามซี่งอกออก กรงเล็บนี้ตะปบมาที่คออี้อวิ๋นเหมือนดาบ!


โฮก!


ตอนนี้ด้านหลังคุณชายหยกโลหิตมีอสูรขนแดงตัวยักษ์ปรากฏขึ้น นี่คือพลังสายเลือดของเผ่าปีศาจ!


อี้อวิ๋นทำแค่โบกมือรับการกระตุ้นสายเลือดของคุณชายหยกโลหิต


ดาบบินเก้าร้อยเก้าสิบเล่มบินออกไปพร้อมส่งเสียงร้อง ท้องฟ้าเหมือนเกิดพายุหิมะ กรงเล็บของคุณชายหยกโลหิตปะทะเข้ากับดาบบิน!


แกร๊ง!


เสียงโลหะที่กระทบกันดังก้องจนเสียวฟัน ทั่วทั้งเขตแดนแห่งการทำลายเต็มไปด้วยลำแสงดาบและเงากรงเล็บ!


หลังจากที่คุณชายหยกโลหิตเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจครึ่งกายก็ไม่มีภาพลักษณ์สุภาพสง่าแบบก่อนหน้านี้อีกต่อไป เขาเหมือนกลายเป็นสัตว์ป่าตัวหนึ่งอย่างสมบูรณ์


ฟิ้วฟิ้วฟิ้วฟิ้ว!


ทันใดนั้นขนแดงทั่วร่างคุณชายหยกโลหิตก็พุ่งออกเหมือนหนวดนับไม่ถ้วนมาพันเข้าที่ดาบบินพันหิมะบนอากาศ


ขนแดงของคุณชายแสงหยกเป็นดังตาข่ายอันเหนียวแน่นที่จับดาบบินเหล่านี้ไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าดาบบินจะสั่นอย่างไร้ก็ไม่อาจดิ้นรน


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าจะฆ่าเจ้า”


คุณชายหยกโลหิตม้วนดาบบินหลายร้อยเล่มให้พุ่งเข้าใส่อี้อวิ๋น!


อี้อวิ๋นพลิกฝ่ามือเมื่อเผชิญกับคุณชายแสงหยกที่บ้าคลั่ง กระบี่หักที่มีสนิมขึ้นเป็นจุดๆ ปรากฏขึ้นในมือ


“คิดจะใช้กระบี่นี้ฟันข้าหรือ?”


ขนแดงบนร่างคุณชายหยกโลหิตพุ่งมาที่มือทั้งสองของอี้อวิ๋น


ทว่าในชั่วพริบตานี้เองที่กระบี่ในมืออี้อวิ๋นเหมือนกลายเป็นความมืด แสงทั้งหมดในฟ้าดินถูกกระบี่นี้กลืนกิน!


มิติและเวลาสูญเสียความหมายไปในกระบี่นี้


เผชิญกับกระบี่นี้ก็เหมือนเผชิญกับทั้งจักรวาล


กระบี่ควบคุมตามใจ หัวใจกระบี่ของอี้อวิ๋นโถมลงในกระบี่ กระบี่พุ่งผ่านยุคโบราณ พุ่งผ่านจักรวาล และพุ่งผ่านหน้าอกของคุณชายหยกโลหิต


จะเร็วเกินไปแล้ว!


ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ยังไม่อาจแม้แต่จะหลบ หนึ่งกระบี่คือฟ้าดิน จะหลบอานุภาพฟ้าดินที่กดดันลงมาได้อย่างไร?


นอกเสียจากว่าระดับยุทธ์กับความเข้าใจด้านกฎจะเหนือกว่าอี้อวิ๋นจนชนะพลังเขาได้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางต้านทานกระบี่ของอี้อวิ๋นได้แน่นอน


อ่อก!


โลหิตสาดกระเซ็น ขนแดงนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่กลางอากาศถูกลำแสงกระบี่ฟันขาด ร่างกายคุณชายหยกโลหิตสั่นอย่างรุนแรง เขาลอยกระเด็นออกไปเหมือนถุงกระสอบ


ตุบ!


คุณชายหยกโลหิตชนเข้าที่ม่านพลังของเขตแดนวิถีแห่งการทำลายล้างแล้วถูกดีดกลับมาตกลงบนพื้นอย่างแรง


กระบี่นี้ไม่ใช่แค่ทะลุผ่านร่างคุณชายหยกโลหิต มันยังทำลายพลังชีวิตเขาด้วยเช่นกัน


อี้อวิ๋นถือกระบี่หักไว้ในมือ คมกระบี่ไม่เปื้อนเลือดแม้แต่หยดเดียว เขาเดินเข้ามาหาคุณชายหยกโลหิตทีละก้าวๆ “ข้าคิดว่าจะมีพลังไม่เลวเสียอีก ที่แท้ก็ไม่เท่าไร”


อี้อวิ๋นส่ายศีรษะ เขาพัฒนาจนแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้


การเดินทางในโลกไม้ฟ้าพยับหมอกทำให้อี้อวิ๋นเปลี่ยนร่างเปลี่ยนกระดูก โดยเฉพาะการข้ามผ่านระดับอีกครั้งที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์ที่ทำให้ความเข้าใจด้านวิถีกระบี่ของอี้อวิ๋นพัฒนาอย่างก้าวกระโดด


ตอนนี้จอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงของทะเลทรายกลบอาทิตย์ไม่มีแรงต้านทานแม้แต่น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าอี้อวิ๋น อัจฉริยะในสำนักใหญ่ก็ยิ่งห่างชั้นจากเขาไปไกล มีเพียงผู้อาวุโสอย่างเจี้ยนอู๋เฟิงกับเจี้ยนปู๋อี้ที่พอกำราบอี้อวิ๋น แต่อี้อวิ๋นก็ห่างชั้นจากพวกเขาไม่ไกลแล้ว


“เจ้า…เจ้า…เป็นไปได้อย่างไร…”


คุณชายหยกโลหิตตัวสั่นไปทั้งร่าง เขาอยู่ระดับวังวิถี ฝึกยุทธ์มาเกือบห้าร้อยปีแต่กลับห่างชั้นจากอี้อวิ๋นที่ฝึกมาไม่ถึงหกสิบปีมากถึงเพียงนี้ เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร


ในตอนนี้เองที่อี้อวิ๋นโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ


ฟิ้ว!


ลำแสงกระบี่ที่ไม่โดดเด่นสายหนึ่งไปยังกลุ่มสาวน้อยที่อยู่บนแท่นหิน มีเสียงเหมือนสายลมพัดผ่านผิวน้ำดังขึ้น จากนั้นโซ่โลหะบนแขนขาพวกซินเอ๋อร์ก็ถูกลำแสงกระบี่ฟันออก


โซ่โลหะอันแข็งแกร่งกลับกลายเป็นขี้เถ้าท่ามกลางแสงกระบี่ เหล่าสายน้อยไม่แม้แต่จะรู้สึกถึงความเจ็บบนข้อมือข้อเท้าด้วยซ้ำ วิถีกระบี่เช่นนี้ช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก


“ข้ามอบคนผู้นี้ให้พวกเจ้าจัดการ”


อี้อวิ๋นเตะคุณชายหยกโลหิตที่พิการไปใต้เท้าพวกซินเอ๋อร์เหมือนเตะสุนัขที่ตายแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)