True Martial World 1061-1081

 บทที่ 1061 ทำลายหนอน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฉึกๆๆ!


หนอนพิษรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในขณะที่ร้องเสียงแหลมไปด้วย พวกมันอยากพาชีวิตจีสุ่ยเยียนออกไปด้วยในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต


ทว่าเพียงชั่วพริบตา ทุกอย่างของหนอนพิษก็ถูกกฎแห่งการทำลายล้างตัดขาด


ฟึ่บ! ฟึ่บ!


มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นสองครั้ง หนอนพิษสองตัวถูกทำลายสลายวับไป!


อี้อวิ๋นมือไวตาไว มือตั้งสองของเขาเคลื่อนไปกดขมับซ้ายขวาของจีสุ่ยเยียน!


ลายวิถีแห่งการทำลายล้างในมืออี้อวิ๋นปะทุอย่างรวดเร็วและกลายเป็นกงล้อหมื่นมารเกิดดับที่รวมกันในสมองจีสุ่ยเยียน


ฟึ่บ!


หนอนทาสตัวสุดท้ายถูกอี้อวิ๋นทำลาย!


กฎแห่งการทำลายล้างน่ากลัวเกินไป มันทำลายได้ทุกอย่าง


สมองคือจุดที่เปราะบางเป็นพิเศษ เดิมทีมันรับกฎแห่งการทำลายล้างไม่ไหว แต่เพราะอี้อวิ๋นเข้าใจกฎนี้ถึงระดับสูง หลังจากที่รวมผลวิถีแห่งการทำลายล้างเก้าใบก็ควบคุมทั้งหมดนี้ง่ายเหมือนกระดิกนิ้ว


เขาควบคุมกฎแห่งการทำลายล้างได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำลายหนอนทาสสามตัวติดกัน ขณะเดียวกันก็ลดความอันตรายที่มีต่อจีสุ่ยเยียนให้ต่ำที่สุด


จีสุ่ยเยียนรู้สึกอย่างฉับพลันว่าความเจ็บที่เหมือนจะฉีกวิญญาณได้หายไปแล้วจนนางตั้งตัวไม่ทัน จากนั้นมือข้างหนึ่งของอี้อวิ๋นก็กดลงที่หน้าท้องนาง พลังปราณหลายสายส่งเข้ามาเพื่อฟื้นฟูพลังชีวิตให้นาง


กระบวนการนี้ใช้เวลาเพียงหนึ่งอึดใจอี้อวิ๋นก็หยุดมือ จากนั้นเขาก็นำเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ เขามอบให้จีสุ่ยเยียนและพูดเรียบๆ ว่า “เรียบร้อยแล้ว ใส่เสียเถอะ”


“เรียบร้อยแล้ว?”


จีสุ่ยเยียนตอบสนองไม่ทันเล็กน้อย อะไรเรียบร้อยแล้ว?


จู่ๆ ความเจ็บปวดบนร่างก็หายไป เรื่องนี้ทำให้ใจนางเกิดความคาดเดารางๆ แต่ความเป็นไปได้นี้กลับทำให้นางไม่อาจเชื่อ นับจากที่อี้อวิ๋นลงมือจนจบก็ใช้เวลาไม่กี่อึดใจ แค่นี้ก็รักษานางหายหรือ?


นางรีบใช้การรับรู้มาตรวจสอบร่างกายก็พบว่าหนอนพิษสามตัวที่เคยอยู่ในจุดตันเถียน หัวใจและสมองได้หายไปแล้วจริงๆ พวกมันไม่ใช่แค่ตาย แม้แต่ซากศพก็ไม่เหลือด้วยซ้ำ ประหนึ่งสลายไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น


จีสุ่ยเยียนตะลึงงัน การรับรู้ไม่มีทางโกหกนางแน่นอน อี้อวิ๋นทำได้อย่างไร?


ปกติแล้วเมื่อหมอรักษาคนไข้ก็ต้องมีกระบวนการให้คนไข้ค่อยๆ ดีขึ้นเป็นอย่างน้อยเพื่อมีความหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ ท้ายที่สุดจึงจะค่อยๆ หายดี สิ่งที่เรียกว่าโรคมาเหมือนภูเขาถล่ม จากไปเหมือนดึงผ้าไหมก็คือหลักการเช่นนี้


วิชาแพทย์อันฉับพลันที่เปลี่ยนแปลงและมหัศจรรย์จนน่าเหลือเชื่อนี้ทำให้จีสุ่ยเยียนรู้สึกเหมือนกำลังฝัน


นางช่วยคนแบบไหนมากันแน่ เหตุใดคนที่เก่งกาจเช่นนี้จึงนอนบาดเจ็บหนักอยู่กลางทะเลทราย?


“ท่านผู้อาวุโส…เป็นวิชาแพทย์ด้วยหรือ?”


จีสุ่ยเยียนย่อมรู้ว่าอี้อวิ๋นไม่ได้ใช้วิชาหนอนพิษมารักษานาง ทั้งเขาก็ไม่ได้ป้อนโอสถให้นางแต่อย่างใด จึงมีแต่วิชาแพทย์เท่านั้นที่ทำได้


“วิชาแพทย์หรือ?” อี้อวิ๋นส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เป็นวิชาแพทย์ แต่หากแค่ฆ่าแมลงอะไรพวกนี้ก็พอทำได้อยู่”


กฎแห่งการทำลายล้างของอี้อวิ๋นใช้ได้แค่ทำลาย มันฆ่าหนอนง่ายแต่หากจะใช้ฟื้นฟูร่างกายก็ไม่ได้แน่นอน


ทว่าจีสุ่ยเยียนกลับหัวเราะร้องไห้ไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา


ฆ่าแมลง?


แม้แต่ปรมาจารย์หนอนพิษก็ยังต้องปวดหัวและรู้สึกรับมือยากเมื่อต้องกำจัดหนอนทาส แต่นี่อี้อวิ๋นฆ่าหนอนทาสสามตัวได้อย่างสบายๆ จนไม่เหลือแม้แต่ซากศพ คำที่เขาพูดก็ดูไม่ใส่ใจถึงเพียงนี้ หากไม่รู้เรื่องราวมาก่อนก็คงคิดว่าอี้อวิ๋นแค่เหยียบแมลงตายไปสองสามตัว


สำหรับจีสุ่ยเยียนแล้ว แรงสั่นสะเทือนที่อี้อวิ๋นสังหารยายเฒ่าชุดแดงไม่รุนแรงเท่าการที่เขาสังหารหนอนทาส


จีสุ่ยเยียนดีใจจนน้ำตาไหลเมื่อนึกถึงยายเฒ่าชุดแดงที่ตายไปแล้ว


ตอนนี้นางไม่ค่อยกล้าเชื่อว่าดาบที่ลอยอยู่เหนือศีรษะนางมาโดยตลอดจนทำให้หายใจไม่ออกจะถูกอี้อวิ๋นทำลายเช่นนี้


ทั้งภัยคุกคาม หนอนทาสและความเจ็บปวดที่ยิ่งกว่าตายหายไปหมดภายในไม่กี่สิบอึดใจ


“ท่านผู้อาวุโส!” จีสุ่ยเยียนนำเสื้อมาคลุมแล้วหมุนตัวมาทำความเคารพให้อี้อวิ๋น “ท่านผู้อาวุโสให้ชีวิตใหม่แก่ข้าถึงสองครั้ง สุ่ยเยียนไม่มีวันลืม สุ่ยเยียนขอสาบานว่านับจากวันนี้หากท่านมีคำสั่งหรือความต้องการอะไรก็จะทำสุดความสามารถแน่นอน ต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็จะไม่อิดออดแม้แต่น้อย”


จีสุ่ยเยียนพูดอย่างจริงจัง


อี้อวิ๋นหัวเราะแล้วพูดว่า “แม่น้ำสุ่ยเยียนพูดเกินไปแล้ว แม้ข้าจะช่วยเจ้า แต่ก่อนหน้านี้เจ้าก็ช่วยข้าเช่นกัน”


จีสุ่ยเยียนส่ายหน้า “เรื่องเล็กน้อยแค่นั้นของสุ่ยเยียนไม่อาจนับเป็นอะไรได้เมื่อเทียบกับท่านผู้อาวุโส อีกอย่าง ต่อให้ท่านผู้อาวุโสจะไม่มีใครช่วยก็เกรงว่าคงตื่นขึ้นเองในไม่นาน”


“หากเป็นเช่นนั้นก็คงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง” อี้อวิ๋นหัวเราะอย่างขมขื่น หากไม่ใช่เพราะจีสุ่ยเยียนก็อาจต้องนอนอยู่แบบนั้นหนึ่งถึงสองปี ใครจะรู้ว่าในระหว่างนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทั้งยังทำให้เขาเสียเวลาฝึกยุทธ์อีก


แต่เมื่อจีสุ่ยเยียนได้ยินเรื่องนี้กลับไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ การต้องรอระยะหนึ่งกับสิ่งที่นางเจอมาทั้งหมดจะนับเป็นอะไรได้?


“อ้อใช่แล้วแม่นางสุ่ยเยียน ก่อนหน้านี้ข้าถามเจ้าว่ายายเฒ่านี่กับตัวเจ้าเกี่ยวข้องอะไรกัน? ร้านเทพยนต์ของเจ้าไม่มีจอมยุทธ์ระดับวังวิถีหรือ?  เหตุใดเจ้าจึงถูกนางควบคุมถึงเพียงนี้?”


จีสุ่ยเยียนมีสีหน้าเจ็บปวดจางๆ เมื่อได้ยินคำถามของอี้อวิ๋น นางส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “เดิมทีร้านเทพยนต์ของข้าก็มีจอมยุทธ์ระดับวังวิถีดูแล ท่านปู่ของสุ่ยเยียนเป็นหัวหน้าของร้านเทพยนต์ ท่านอยู่ระดับวังวิถีห้าชั้น ในร้านเทพยนต์ก็มีผู้อาวุโสและแขกต่างแดน รวมกันแล้วก็มีจอมยุทธ์ระดังวังวิถีมากกว่าสิบคน”


“แต่ต่อมา…ก่อนหน้านี้ข้าบอกกับท่านผู้อาวุโสว่าทะเลทรายกลบมาทิศมีปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา ร้านเทพยนต์ของข้าคือผู้พบปรากฏการณ์นี้เป็นพวกแรก ท่านปู่คิดว่ามีสมบัติลับปรากฏจึงเดินทางไปสำรวจร่วมกับผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดสองสามคน คิดไม่ถึงว่าคลื่นลูกนี้จะใหญ่กว่าที่พวกเขาคิดไว้มากจึงเกิดเรื่องร้ายขึ้น…0


“นั่นคือจุดเปลี่ยนพลิกของร้านเทพยนต์ ท่านปู่กับผู้อาวุโสสองสามคนหายสาบสูญ สำหรับทะเลทรายกลบอาทิตย์แล้วหากมีแค่เงินแต่ไม่มีความแข็งแกร่งก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะที่รอวันตาย ข้าไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้และพยายามปกปิดสุดกำลัง ไม่เช่นนั้นร้านเทพยนต์ก็คงถูกฉีกแบ่งในชั่วข้ามคืนแน่นอน”


“แต่โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นความลับได้ตลอด ร่องรอยเบาะแสบางอย่างถูกคนอื่นพบเข้า ร้านขยายฟ้ารู้ข่าวนี้เข้า พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อจะลงมือแต่ก็ไม่แน่ใจในเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ใช้วิธีค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในร้านเทพยนต์ แขกต่างแดนระดับวังวิถีของร้านเทพยนต์ก็ถูกสำนักขยายฟ้าดึงไปเป็นพวกเมื่อไม่กี่เดือนก่อน”


“ท่านปู่ไม่อยู่ ตัวข้าก็ทำอะไรไม่ได้ ร้านเทพยนต์ตกอยู่ในอันตรายที่ถูกกินได้ทุกเมื่อ นี่คือเวลาที่ยายเฒ่าชุดแดงปรากฏตัว…”


 ………………………………………………………………………………………..


บทที่ 1062 ความลับสวรรค์ ความลับเทพ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ข้าไม่รู้ชื่อของยายเฒ่าผู้นี้ รู้แค่ว่านางสกุลเริ่น มาจากสำนักความลับสวรรค์ สำนักความลับสวรรค์นี้ก็คือสำนักที่ท่านปู่ของข้าร่ำเรียนมา เดิมทีสำนักนี้ก็เป็นสำนักสายหลัก ทว่าศิษย์หลายคนกลับไม่ฝึกวิชาของสำนัก ยายเฒ่าชุดแดงผู้นี้ยิ่งสุดโต่งกว่าใคร นางฝึกวิชาวิถีปีศาจ นางเป็นศิษย์น้องของท่านปู่ข้าแต่กลับมีความแค้นฝังลึกต่อกัน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นความแค้นเรื่องอะไร… ตอนนี้ท่านปู่ไม่อยู่แล้ว นางจึงนำความแค้นทั้งหมดมาลงที่ข้าแทน เรื่องราวต่อจากนั้นท่านผู้อาวุโสก็รับรู้ไปแล้ว”


“ความจริงต่อให้ไม่มีนางก็เกรงว่าข้ายากที่จะได้ตายดีเช่นกัน ร้านขยายฟ้าจับจ้องร้านความลับเทพของข้าตาเป็นมัน หลังจากที่ท่านปู่กับผู้อาวุโสส่วนหนึ่งจากไปก็มาหยั่งเชิงร้านความลับเทพของข้าหลายครั้ง ค่อยๆ ตอดกินหน้าร้านที่เคยเป็นของเรา แต่พวกข้าก็ได้แต่อดทนแล้วอดทนอีก”


“กระทั่งเมื่อหนึ่งเดือนก่อน…เหยียนเทียนชงผู้เป็นนายน้อยของร้านขยายฟ้าได้ส่งเทียบเชิญมาให้ท่านปู่ว่าจะแต่งงานกับฆ่า!”


หน้าอกจีสุ่ยเยียนสั่นกระเพื่อมอย่างรวดเร็วเมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้านางแดงระเรื่อเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัดว่าโมโห นางพูดอย่างเกลียดชังว่า “เดิมทีข้าก็อยากฆ่าเจ้าเหยียนเทียนชงให้จบๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะขอแต่งงานอย่างไร้ยางอาย คิดจะใช้ร้านความลับเทพของข้าเป็นสินสอดทองหมั้นจนไม่ต้องแม้แต่จะแย่งชิงกับใคร เขารับสมบัติทั้งหมดของร้านความลับเทพได้อย่างถูกต้องและตัดส่วนแบ่งที่กลุ่มอิทธิพลจะมาแย่งออก!”


อี้อวิ๋นส่ายศีรษะเมื่อได้ยินคำของจีสุ่ยเยียน โลกของจอมยุทธ์ก็เป็นแบบนี้ ความแข็งแกร่งคือทุกอย่าง หากจีสุ่ยเยียนตอบตกลงก็ต้องมีชะตากรรมน่าอนาถในวันข้างหน้าแน่นอน แต่หากไม่ตกลงก็มีผลลัพธ์คล้ายกันอยู่ดี ร้านความลับเทพถูกคนอื่นยึด หลังจากที่นางไร้ที่พึ่งก็จะถูกจับเป็นและทำให้อับอาย นางเสียจากว่านางจะฆ่าตัวตายก็คงมีผลลัพธ์ร้ายแรงกว่าแบบแรก


“อ้อใช่แล้ว ปรากฏการณ์ที่เจ้าบอกว่าเกิดในทะเลทรายกลบอาทิตย์คืออะไร?”


อี้อวิ๋นค่อนข้างสนใจในเรื่องนี้ ตอนที่จีสุ่ยเยียนพูดเรื่องนี้เป็นครั้งแรกก็เคยถามไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นจีสุ่ยเยียนคิดแต่ว่าจะให้อี้อวิ๋นรีบจากไปจึงไม่ได้ตอบ


“เรียนท่านผู้อาวุโส ท่านปู่ของข้ามีความคาดเดาบางอย่างต่อปรากฏการณ์นี้ เขาสงสัยว่าปรากฏการณ์นี้มาจากเพลิงเทพชนิดหนึ่ง พูดถึงเพลิงเทพแล้วก็มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของทะเลทรายกลบอาทิตย์”


“มีตำนานเล่าว่าทะเลทรายกลบอาทิตย์มีมาตั้งแต่เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน สาเหตุที่ทะเลทรายผืนนี้กำเนิดขึ้นก็เพราะมีอาทิตย์ดวงหนึ่งตกลงมา มันแผดเผาไปทั่วรัศมีสิบล้านลี้จนต้นหญ้าล้มตายและกลายเป็นทะเลทราย”


“ท่านปู่คิดว่าอาทิตย์ที่ตกลงมาอาจเป็นวัตถุธาตุหยางหรือไม่ก็มีพระอาทิตย์ตกลงมาจริงๆ แต่หลังจากที่ทะเลทรายถือกำเนิดได้ไม่กี่ร้อยล้านปี ท้ายที่สุดอาทิตย์ดวงนี้ก็กำเนิดแก่นหยางออกมา ปรากฏการณ์ที่เกิดจึงอาจเป็นการปรากฏของแก่นหยาง”


“โอ้?” อี้อวิ๋นรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อฟังคำของจีสุ่ยเยียน “ท่านปู่ของเจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าปรากฏการณ์นี้ทำให้กลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มมารวมตัวที่ทะเลทราบกลบอาทิตย์ เช่นนั้นพวกเขาก็รู้ว่าที่นี่มีแก่นหยางกำเนิดหรือ?”


จีสุ่ยเยียนส่ายหน้า “น่าจะไม่รู้…”


“ไม่รู้?” อี้อวิ๋นมองจีสุ่ยเยียนอย่างประหลาด เขาเชื่อว่าในบรรดากลุ่มอิทธิพลที่อยู่ที่นี่น่าจะมียอดฝีมืออยู่ไม่น้อย ส่วนท่านปู่ของจีสุ่ยเยียนก็อาจไม่ได้มีฝีมือโดดเด่น


คนอื่นไม่รู้แต่ท่านปู่ของจีสุ่ยเยียนกลับคิดคำนวณออกมาได้ เรื่องนี้ดูผิดปกติ


จีสุ่ยเยียนเหมือนเดาได้ว่าอี้อวิ๋นคิดอะไร นางพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส พลังของท่านปู่ข้าอ่อนแอไปหน่อยก็จริง แต่พรสวรรค์ด้านยุทธ์ของท่านไม่ได้ด้อยเลย เพียงแต่ว่าท่านอุทิศชีวิตเพื่อวิชาพยากรณ์พื้นภูมิ ท่านปู่มาจากสำนักความลับสวรรค์ซึ่งเป็นสำนักที่สืบทอดวิชาพยากรณ์พื้นภูมิ ความลับสวรรค์! ความลับสวรรค์! มันมีความหมายถึงการทำนายความลับสวรรค์”


“ชื่อของร้านความลับเทพที่ท่านปู่ก่อตั้งก็มีสาเหตุความเป็นมาเช่นนี้ ความลับเทพก็คือการวางอุบายต่อความลับเทพ”


“ความจริงการศึกษาวิชาพยากรณ์พื้นภูมิพวกนี้ไม่อาจเพิ่มความแข็งแกร่ง ดังนั้นสำนักความลับสวรรค์จึงค่อยๆ เสื่อมถอยลง ท่านปู่เล่าว่าในอดีตที่ห่างไกลสำนักความลับสวรรค์ก็เคยมีช่วงที่รุ่งโรจน์ เป็นสำนักชั้นยอดที่มี ‘ปรมาจารย์สวรรค์’ หลายคน แต่เพราะต่อมาวิชาพยากรณ์พื้นภูมิศึกษายากเกินไป หลายคนฝึกทั้งชีวิตก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ศิษย์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ล้มเหลว ทั้งวิชาพยากรณ์ก็ไม่อาจเพิ่มความแข็งแกร่งจึงเปลี่ยนวิชาฝึกกลางทาง ดังนั้นเมื่อครู่ข้าจึงพูดว่าศิษย์สำนักความลับสวรรค์หลายคนไม่ฝึกวิชาของสำนัก ก็อย่างเช่นยายเฒ่าคนนั้น สิ่งเหล่านี้ทำให้อัจฉริยะของสำนักความลับสวรรค์ลดลงจนค่อยๆ เสื่อมถอย”


“เมื่อมาถึงรุ่นท่านปู่ก็มีแค่เขาคนเดียวที่ตั้งใจศึกษาวิชาพยากรณ์พื้นภูมิจนกลายเป็นปรมาจารย์และถูกทางสำนักตั้งให้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไป แต่เมื่อสองหมื่นปีก่อนการแย่งชิงอำนาจในสำนักทำให้เกิดเรื่องที่ท่านปู่เสียใจ สุดท้ายท่านจึงออกจากสำนักและสร้างร้านความลับเทพที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์จากความว่างเปล่า”


“ร้านความลับเทพทำการค้าด้านสมุนไพรโอสถ ต้องมีโอสถจำนวนมากจึงจะสร้างกิจการให้ยิ่งใหญ่ได้ ท่านปู่ใช้วิชาพยากรณ์พื้นภูมิที่เขาเชี่ยวชาญมาใช้กับทะเลทรายกลบอาทิตย์เพื่อคำนวณหาตำแหน่งของวัตถุล้ำค่าจำนวนมาก เรื่องนี้ทำให้ร้านความลับเทพกลายเป็นหนึ่งในร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดของทะเลทรายกลบอาทิตย์”


“แบบนี้นี่เอง” อี้อวิ๋นตกตะลึงเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าร้านความลับเทพจะมีประวัติศาสตร์เช่นนี้ หากฝึกวิชาพยากรณ์พื้นภูมิถึงขั้นสูงก็สามารถใช้ตามหาวัตถุล้ำค่า ช่างเป็นวิชาที่มหัศจรรย์โดยแท้


ฟังเช่นนี้แล้วเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแก่นหยางจึงเป็นที่เข้าใจ


กลุ่มอิทธิพลจากที่อื่นทั้งใช้วิชาพยากรณ์พื้นภูมิไม่เป็น ทั้งไม่เข้าใจทะเลทรายกลบอาทิตย์ ดูแค่ปรากฏการณ์อย่างเดียวก็ย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


ท่านปู่ของจีสุ่ยเยียนทำการค้าที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์แห่งนี้มาสองหมื่นปี เขารู้จักทะเลทรายทุกตารางนิ้วเป็นอย่างดีและเชี่ยวชาญวิชาพยากรณ์พื้นภูมิ เกรงว่าคงบรรลุพลังฟ้าดินทั้งหมดในทะเลทรายแล้ว


สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะเทียบได้


จีสุ่ยเยียนลังเลเล็กน้อยแล้วหยิบศิลาที่หน้าตาเหมือนลูกปัดแดงสองสามเม็ดออกมาและมอบให้อี้อวิ๋นด้วยมือทั้งสอง


“เชิญท่านผู้อาวุโสดู นี่คือศิลาเทพหยางบริสุทธิ์ที่ท่านปู่เคยเจอ ท่านปู่บอกว่าในกระบวนการที่แก่นหยางถือกำเนิด ศิลายักษ์ธรรมดาได้ผ่านการแผดเผาของแก่นหยางมาร้อยล้านปีจึงกลายเป็นศิลาเทพประเภทนี้ หากท่านผู้อาวุโสสนใจก็ขอมอบให้ท่าน”


จีสุ่ยเยียนมอบศิลาเทพสองสามเม็ดนี้ลงบนมืออี้อวิ๋น


อี้อวิ๋นรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าพลังในเส้นลมปราณทั่วร่างไหลเวียนอย่างรวดเร็วเมื่อถือศิลาสีแดงนี้ไว้ในมือ


พลังหยางบริสุทธิ์หลายสายไหลเข้าสู่จุดตันเถียนผ่านทางฝ่ามือ รู้สึกสบายอย่างพูดไม่ถูก


ที่สำคัญที่สุดคือเขาพบว่าหลังจากที่เมล็ดพันธุ์ไม้เทพที่อยู่ในจุดตันเถียนดูดซึมพลังหยางบริสุทธิ์เหล่านี้ก็เริ่มเติบโตขึ้นอีกครั้ง


อี้อวิ๋นมีความรู้สึกว่าหากเมล็ดพันธุ์ไม้เทพดูดซึมพลังในศิลาเทพเหล่านี้จนหมด เช่นนั้นพัฒนาการของตัวเมล็ดพันธุ์ไม้เทพก็คงดีกว่าสรรพคุณโอสถและธาตุกระดูกที่เขากินก่อนหน้านี้มาก


หากเมล็ดพันธุ์ไม้เทพเติบโต ตัวอี้อวิ๋นก็จะได้ประโยชน์อันใหญ่หลวงไปด้วย ทั้งระดับยุทธ์ทั้งพลังก็จะเพิ่มขึ้นสูงกันหมด!


อี้อวิ๋นตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อคิดถึงตรงนี้ ทะเลทรายกลบอาทิตย์เป็นโอกาสอย่างหนึ่งของเขา ดูท่าคงต้องอยู่ต่อเสียแล้ว


 …………………………………………………………………………………………………


บทที่ 1063 บีบบังคับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อตัดสินใจแล้วอี้อวิ๋นก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ เขารับศิลาเทพหยางบริสุทธิ์สองสามเม็ดนี้มาและพูดกับจีสุ่ยเยียนว่า “ในเมื่อแม่นางสุ่ยเยียนพูดเช่นนี้ข้าก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ ศิลาเทพเหล่านี้มีประโยชน์กับข้า เช่นนั้นข้าก็ขอรับไว้แล้ว”


“ท่านผู้อาวุโสโปรดรับไว้” จีสุ่ยเยียนฟังคำของอี้อวิ๋นแล้วก็ไม่มีอะไรเสียดายแต่กลับดีใจด้วยซ้ำ นางมองว่าอี้อวิ๋นแข็งแกร่งเกินไป ส่วนตัวนางก็อ่อนแอมาก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หากมีอะไรที่นางช่วยอี้อวิ๋นได้ก็จะดีใจมาก


อี้อวิ๋นพูดต่อว่า “ข้าคิดว่าจะอยู่ที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์สักระยะหนึ่ง ข้าไม่รู้จักใครที่นี่ คงต้องรบกวนแม่นางสุ่ยเยียนสักระยะหนึ่งแล้ว การที่ข้าตามแม่นางสุ่ยเยียนกลับไปที่ร้านความลับเทพอาจช่วยขจัดปัญหาปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้”


อี้อวิ๋นช่วยจีสุ่ยเยียนอย่างไม่คิดอะไร เขาไม่รู้สึกว่าเป็นบุญคุณครั้งใหญ่ ทั้งข้อมูลทั้งสิ่งของที่จีสุ่ยเยียนมอบให้ต่างมีค่าต่อเขามาก ช่วยเหลือจีสุ่ยเยียนจึงเป็นเรื่องเหมาะสม


อี้อวิ๋นรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดสมเหตุสมผลดี แต่เมื่อจีสุ่ยเยียนได้ยินเรื่องนี้กลับดีใจมาก


แน่นอนว่าก่อนหน้านี้นางคาดหวังให้อี้อวิ๋นกลับไปที่ร้านความลับเทพกับนางเป็นที่สุดและช่วยกำราบร้านขยายฟ้า แต่อี้อวิ๋นเป็นถึงคนระดับไหน? คนที่ฆ่ายายเฒ่าสกุลเริ่นภายในเสี้ยววินาทีและกำจัดหนอนทาสได้อย่างง่ายดาย ยอดฝีมือขนาดนี้นางจะเชิญหรือกล้าเอ่ยปากได้อย่างไร?


แม้นางจะสาบานแล้วว่าจะตอบแทนบุญคุณที่อี้อวิ๋นให้ชีวิตใหม่ ยินดีทำทุกอย่างเพื่อเขา เพียงแค่อี้อวิ๋นพยักหน้าก็ยอมเป็นสาวใช้ให้ด้วยซ้ำ แต่ก่อนถึงขั้นนั้นก็ต้องให้อี้อวิ๋นยินยอมก่อน หากเขาไม่ชอบและจากไป เช่นนั้นก็คงไม่เหมาะสมที่นางจะตามเขาหรอกใช่ไหม?


ด้วยเหตุนี้ ตอนจบของจีสุ่ยเยียนที่อยู่เมืองแสงหยกจึงยังคงเป็นการไร้หนทาง มันแค่ดีกว่าตอนที่ยายเฒ่าสกุลเริ่นอยู่เล็กน้อยก็เท่านั้น


“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเจ้าค่ะ…”


จีสุ่ยเยียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เสียงนางสั่นเครือเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น นางรู้ว่าตัวเองได้พบกับบุคคลชั้นสูง การได้เจอกับอี้อวิ๋นทำให้ชะตาชีวิตนางเปลี่ยนไป


“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ที่ข้าอยู่ที่นี่ก็ย่อมมีเป้าหมายเป็นของตัวเอง อีกอย่าง เจ้าก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านผู้อาวุโส ข้าไม่ได้อายุมากกว่าเจ้าเท่าไร”


ก่อนหน้านี้อี้อวิ๋นเคยบอกอายุตัวเองไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อจีสุ่ยเยียนเห็นว่าอี้อวิ๋นเก่งกาจถึงเพียงนี้ก็คิดว่าอายุที่อี้อวิ๋นบอกอาจไม่ใช่เรื่องจริง ทว่าเมื่อตอนนี้อี้อวิ๋นพูดขึ้นอีกครั้งนางก็ตะลึงงัน


อายุมากกว่านางไม่เท่าไรจริงๆ หรือ?


อายุไม่ถึงร้อยปีแต่สังหารจอมยุทธ์ระดับวังวิถีสี่ชั้นได้อย่างง่ายดาย? อี้อวิ๋นต้องอัจฉริยะถึงขั้นไหนกัน?


จีสุ่ยเยียนย่อมไม่คิดว่าอี้อวิ๋นโกหกนางอีก เขาไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้


นางตกอยู่ในความตะลึงงัน รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดของอี้อวิ๋นอยู่เหนือจินตนาการนางอย่างสิ้นเชิง อัจฉริยะที่นางเคยเจอก่อนหนานี้ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้นเมื่อเทียบกับอี้อวิ๋น


“เอาล่ะ ข้าต้องเก็บตัวฝึกฝน ระหว่างนี้อย่ารบกวนข้า ไว้ให้ถึงร้านความลับเทพค่อยเรียกข้าแล้วกัน”


“ดะ…ได้…” จีสุ่ยเยียนพยักหน้าอย่างงุนงงก่อนที่จะถอยออกไป


……


คณะการค้าออกเดินทางอีกครั้ง เหล่าองครักษ์ของร้านความลับเทพไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้แค่ว่าหลังจากที่นักฆ่าปรากฏตัวก็ถูกอี้อวิ๋นจัดการ คุณหนูของพวกเขาปลอดภัยดี


จากนั้นพวกเขาก็ไม่เห็นอี้อวิ๋นออกมาจากเรือทรายอีก จีสุ่ยเยียนมอบห้องพักที่ดีที่สุดในเรือให้อี้อวิ๋น อี้อวิ๋นเก็บตัวฝึกในห้องนี้จนกระทั่งถึงเมืองแสงหยก


เมื่อมาถึงนอกเมืองแสงหยก อี้อวิ๋นก็ใช้การรับรู้มากวาดออกไปและอดที่จะชื่นชมความรุ่งเรืองของเมืองนี้ไม่ได้


เมืองแสงหยกมีพื้นที่เกือบร้อยลี้ ตอนที่อี้อวิ๋นอยู่โลกสวรรค์หมื่นปีศาจก็เคยเห็นเมืองใหญ่หลายเมืองของที่นั่น เมืองของโลกสวรรค์หมื่นปีศาจโอ่อ่ายิ่งใหญ่ มักมีค่ายกลฟ้าดินและเกาะลอยฟ้าต่างๆ นี่เองก็มีความเกี่ยวข้องกับนิสัยที่ใฝ่หาเกียรติยศของเผ่าปีศาจโบราณ แต่ในแง่ของความรุ่งโรจน์ เมืองของโลกสวรรค์หมื่นปีศาจกลับเทียบเมืองแสงหยกที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้


ในฐานะที่เป็นเมืองของเผ่ามนุษย์ ร้านค้าในเมืองแสงหยกจึงมีผู้คนไปมาหนาแน่น


เมืองแสงหยกมีร้านค้าสองร้านใหญ่อันได้แก่ความลับเทพกับขยายฟ้า ทั้งยังมีร้านประมูล ทุกวันจะมีสมบัติจำนวนนับไม่ถ้วนค้าขายในกลุ่มอิทธิพลทั้งสาม


สำนักงานใหญ่ของร้านความลับเทพตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองแสงหยก สำนักงานใหญ่ของร้านกินพื้นที่เจ็ดแปดลี้ ภายในมีวิมานหยกและศาลาริมน้ำ เทียบกับพระราชวังก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย


การจะเข้าสู่เมืองต้องผ่านประตูชั้นในหนึ่งชั้น เมื่อเรือทรายลำใหญ่อยู่ต่อหน้าประตูเมืองบานยักษ์ก็ดูเล็กจ้อยไปเล็กน้อย


เมื่อคณะการค้ามาถึงหน้าประตูเมือง อี้อวิ๋นก็เห็นว่าที่นอกประตูมีคนตั้งแถวต้อนรับ


การต้อนรับนี้ค่อนข้างยิ่งใหญ่ มีคนสามสิบกว่าคนที่สวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน บนพื้นมีน้ำราดทำความสะอาด


อี้อวิ๋นทอดถอนใจ จีสุ่ยเยียนได้การสนับสนุนจากร้านความลับเทพไม่น้อยเลยจริงๆ แค่กลับจวนก็มีคนตั้งแถวต้อนรับถึงหน้าเมือง ทว่าความคิดนี้เพิ่งแล่นหัวอี้อวิ๋นก็รู้ว่าเขาอาจคิดผิด เขาเห็นว่าจีสุ่ยเยียนไม่ใช่แค่ไม่ดีใจแต่มีสีหน้าไม่สู้ดีด้วยซ้ำ


อี้อวิ๋นเลิกคิ้วขึ้น ในใจมีความคาดเดารางๆ จากนั้นก็มีคนที่เป็นผู้นำกลุ่มคนหนึ่งในแถวต้อนรับเดินออกมาพูดว่า “หยางเหยียนกวงจากร้านขยายฟ้ารอรับคุณหนูอยู่ที่นี่มานานแล้ว คุณชายเหยียนให้ข้าบอกว่าได้ทำการจัดงานเลี้ยงที่จวนเพื่อเลี้ยงต้อนรับให้คุณหนู หวังว่าคุณหนูสุ่ยเยียนจะให้เกียรติมาร่วมงาม”


หยางเหยียนกวงมีระดับยุทธ์ไม่สูงและไว้หนวดเหมือนกุนซือ เขาโค้งตัวเคารพให้จีสุ่ยเยียนด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า


อี้อวิ๋นลูบคาง เห็นได้ชัดว่าร้านขยายฟ้ารู้ข่าวตั้งแต่ตอนที่ร้านความลับเทพยังไม่ทันกลับถึงเมืองจึงจัดงานเลี้ยง หากจีสุ่ยเยียนไปร่วมงานด้วยก็เกรงว่าคงเป็นลูกแกะเข้าปากเสือ ได้ไปไม่ได้กลับ


จีสุ่ยเยียนโมโหที่ร้านขยายฟ้าบีบบังคับ หลายวันมานี้ร้านขยายฟ้าเหมือนแน่ใจแล้วว่าท่านปู่ของนางตายและกำเริบเสิบสานขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ยังมาเชิญนางไปจวนร้านขยายฟ้าอีก พวกเขาวางแผนที่จะก้าวขึ้นตำแหน่งในก้าวเดียว!


แม้จะมีอี้อวิ๋นเป็นเสาค้ำทะเลแต่จีสุ่ยเยียนก็คงไม่ฉีกหน้ากับร้านขยายฟ้าอย่างไม่เกรงกลัว แม้นางจะอยากทำเช่นนั้นมากก็ตาม


นางกลัวว่าอี้อวิ๋นจะมีปัญหามากเกินไป อย่างไรร้านขยายฟ้าก็ไม่ใช่จะหาเรื่องง่ายๆ นางอดกลั้นความโมโหในใจและพูดว่า “ลำบากให้ท่านกุนซือหยางต้องมารับสุ่ยเยียนแล้ว แต่สุ่ยเยียนเดินทางมาเหนื่อย บรรดาผู้ติดตามเองก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า กลับเมืองแสงหยกครั้งนี้ก็ต้องพักผ่อน ไว้ค่อยไปเยี่ยมที่จวนวันหลัง”


“คุณหนูสุ่ยเยียนพูดเช่นนี้ข้าน้อยก็ลำบากใจสิขอรับ หากข้าน้อยไม่อาจทำเรื่องที่คุณชายเหยียนสั่งมาให้สำเร็จก็ต้องโดนลงโทษเมื่อกลับไป” หยางเหยียนกวงลูบหนวดตัวเอง แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มแต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนซ่อนความคิดชั่วร้าย


จีสุ่ยเยียนหนักใจ นางรู้ว่าเรื่องวันนี้คงไม่อาจหลุดไปง่ายๆ


 ……………………………………………………………………………………………


บทที่ 1064 การเปลี่ยนแปลงของจวนความลับเทพ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เข้าเมือง กลับจวนพวกเรา!”


จีสุ่ยเยียนไม่อยากพูดไร้สาระกับกุนซือหยางอีก นางผ่านแถวต้อนรับกลับสู่จวนความลับเทพทันที


จีสุ่ยเยียนตัดสินใจแล้วว่าการกลับมาครั้งนี้จะจัดระเบียบร้านความลับเทพใหม่ ให้คนที่ไม่ภักดีต่อร้านออกไปให้หมด จากนั้นก็ใช้สมบัติที่ทางร้านสะสมมาดึงตัวยอดฝีมือใหม่ๆ


หากเป็นเมื่อก่อนนางก็คงไม่กล้าทำเช่นนี้ เพราะหากไม่มียอดฝีมือที่แท้จริงแบบอี้อวิ๋นนั่งบัญชาการ การดึงตัวจอมยุทธ์ระดับวังวิถีมาเป็นพวกก็เท่ากับเชิญหมาป่าเข้าบ้าน ถึงเวลาก็คงถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่ซาก


แม้อี้อวิ๋นจะตอบตกลงว่าจะช่วยเหลือนาง แต่จีสุ่ยเยียนก็อยากพยายามไม่รบกวนอี้อวิ๋นให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นจะทำให้อี้อวิ๋นเสียเวลาฝึกยุทธ์และอาจไม่พอใจ รับสมัครยอดฝีมือใหม่ๆ เองก็จะช่วยคุมสถานการณ์


ขณะที่ขบวนรถของจีสุ่ยเยียนเพิ่งแล่นผ่านกุนซือหยาง จีสุ่ยเยียนก็ได้ยินกุนซือหยางพูดอย่างมีเลศนัยว่า “ดูท่าฐานะของข้าคงไม่เพียงพอให้คุณหนูสุ่ยเยียนให้เกียรติ แต่ไม่เป็นไร คณะเดินทางของคุณหนูเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จะกลับไปพักผ่อนที่จวนก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องกลับไปรายงานคุณชายเหยียนให้ย้ายงานเลี้ยงไปจัดที่จวนความลับเทพ คุณหนูสุ่ยเยียนคงไม่ปฏิเสธอีกใช่ไหม?”


“อะไรนะ!?”


สีหน้าจีสุ่ยเยียนเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำของหยางเหยียนกวง จัดงานเลี้ยงที่จวนนาง!?


มีแต่เจ้าภาพที่เชิญแขก มีหลักการที่จัดงานที่บ้านแขกที่ไหนกัน? นอกจาก…


จีสุ่ยเยียนความรู้สึกไว นางตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่แย่มากอย่างหนึ่ง


“รีบกลับจวน!”


ขบวนรถเร่งความเร็วขึ้นเมื่อนางพูดเช่นนี้ แม้ถนนของเมืองแสงหยกจะคึกคักแต่ก็มีทางสำหรับขบวนพ่อค้าโดยเฉพาะ พวกจีสุ่ยเยียนมาถึงจวนความลับเทพอย่างรวดเร็ว และในระหว่างทางที่มา ขบวนต้อนรับของกุนซือหยางก็ตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่เร็วไม่ช้ามาด้วย


เมื่อจีสุ่ยเยียนมาถึงจวนความลับเทพ ขบวนของกุนซือหยางจึงมาถึงเช่นกัน


จีสุ่ยเยียนไม่สนใจกุนซือหยาง นางมองเข้าไปในจวนความลับเทพด้วยสีหน้าที่เย็นชาอย่างสมบูรณ์


ที่จวนความลับเทพก็มีคนออกมาต้อนรับเช่นกัน ทว่าคนสนิทที่นางให้ดูแลร้านความลับเทพบางส่วนกลับไม่อยู่ในคณะต้อนรับ หัวหน้าพ่อบ้านที่ดูแลจวนและสาวใช้ประจำตัวนางล้วนไม่อยู่


ตามหลักแล้วเมื่อพวกเขารู้ข่าวก็ควรออกมารอรับนางที่หน้าประตู


ขณะเดียวกันคนที่ออกมารับนางกลับเป็นแขกต่างแดนระดับวังวิถีของร้านความลับเทพสองคน


คนที่อยู่ด้านหน้าเป็นชายชราที่ไว้เคราแพะ ในมือถือบ้องยาสูบ เขาชื่อกงหยางเหนี่ยน


ส่วนนักปราชญ์วัยกลางคนท่าทางเหมือนปัญญาชนที่อยู่ด้านหลังชื่อเซี่ยวเค่อหลิน


พวกเขาเห็นว่าจีสุ่ยเยียนกลับมาแต่กลับไม่มีท่าทีเคารพแม้แต่น้อย พวกเขาไม่แม้แต่จะพูดกับจีสุ่ยเยียนก่อนด้วยซ้ำ แต่ประสานมือพูดกับกุนซือหยางที่อยู่ด้านหลังนางแทน “กุนซือหยางมาแล้วหรือ เชิญเข้ามาๆ”


“ฮ่าฮ่า ท่านกงหยางลำบากแล้ว ข้าเองก็จนปัญญา คุณหนูของพวกเจ้าไม่ยอมให้เกียรติ ต้องจัดงานเลี้ยงที่จวนความลับเทพจึงจะยอม ข้าเองจึงได้แต่ตามมา”


กุนซือหยางลูบหนวดพร้อมพูดอย่างไม่พอใจ


“ฮ่าฮ่าฮ่า! กุนซือหยางเอาเรื่องอะไรมาพูดกัน แต่เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ทั้งสองจวนอยู่ห่างกันไม่ไกล ไม่ช้าเร็วก็เป็นครอบครัวเดียวกัน จัดงานเลี้ยงที่ไหนก็เหมือนๆ กันหมด”


กงหยางเหนี่ยนพูดถึงนี้แล้วก็โบกมือพูดกับบ่าวรับใช้อย่างเกียจคร้าน “ทำไมยังไม่ไปเชิญคุณหนูลงเรือทรายอีก?”


“ขอรับ!”


ชายฉกรรจ์สองสามคนขานรับและเดินไปทางเรือทราย


ตอนนี้องครักษ์ที่รับผิดชอบคุ้มกันจีสุ่ยเยียนต่างงุนงง ต่อให้ตอนนี้สมองพวกเขาจะเชื่องช้าเพียงใดก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น


กงหยางเหยี่ยนกับเซี่ยวเค่อหลินที่เป็นแขกต่างแดนระดับวังวิถีเพียงสองคนของร้านความลับเทพย้ายไปอยู่ฝ่ายร้านขยายฟ้าแล้ว!


ในช่วงเวลาที่จีสุ่ยเยียนไม่อยู่ พวกเขาสองคนได้ยึดอำนาจและเกรงว่าจะเป็นผู้ควบคุมร้านความลับเทพไปแล้ว ทั้งคู่เป็นจอมยุทธ์ระดับวังวิถี บริหารจัดการในร้านความลับเทพมานานจนมีเส้นสายระดับหนึ่ง หากพวกเขาร่วมมือกันและได้แรงสนับสนุนจากร้านขยายฟ้า เช่นนั้นใครจะต่อต้านได้?


มาพูดว่าสองตระกูลรวมเป็นหนึ่ง หากไม่รู้เรื่องราวมาก่อนก็คงคิดว่ากงหยางเหนี่ยนเป็นผู้นำที่แท้จริงของร้านความลับเทพ ส่วนจีสุ่ยเยียนก็เป็นหลานสาวที่เขาแต่งออกไปได้ตามใจชอบ


“กงหยางเหนี่ยน!” แม้ก่อนหน้านี้จีสุ่ยเยียนจะบอกกับตัวเองว่าต้องอดทน แต่ตอนนี้นางกลับทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!


จะทำเกินไปแล้ว!


“ตอนนั้นท่านปู่ข้าดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ตอนที่เจ้าบาดเจ็บหนักจากแดนลับเมื่อพันปีก่อนก็เป็นท่านปู่ข้าที่ใช้โอสถล้ำค่ามารักษาชีวิตและวิชายุทธ์ของเจ้า!”


“ข้าจีสุ่ยเยียนพิจารณาตัวเองแล้วก็ไม่เคยปฏิบัติกับเจ้าไม่ได้ มองเจ้าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งมาโดยตลอด เดือนก่อนเจ้าอยากได้โอสถโสมเพื่อเข้าสู่ระดับวังวิถีชั้นสามข้าก็ให้! ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับวังวิถีชั้นสามสำเร็จแล้วแต่กลับตอบแทนข้าเช่นนี้?”


โอสถโสมคือโอสถที่จอมยุทธ์ระดับวังวิถีใช้ แม้แต่ร้านความลับเทพก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำออกมาใช้ แต่จีสุ่ยเยียนก็ได้แต่มอบให้กงหยางเหนี่ยน เพราะหลังจากที่ท่านปู่กับผู้อาวุโสส่วนหนึ่งจากไป แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายมีใจไม่ซื่อก็ไร้ทางเลือก ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายอาจทรยศตั้งแต่เดี๋ยวนั้น


นี่เองก็เป็นเรื่องเศร้าที่เกิดจากความอ่อนแอ รู้ว่าอีกฝ่ายจะฉวยโอกาสบีบบังคับนางแต่ก็ทำอะไรไม่ได้


กงหยางเหนี่ยนไม่สนใจความโมโหของจีสุ่ยเยียน เขาไฟสูบบ้องหนึ่งคำก็พ่นควันออกมาเป็นวงอย่างสบายๆ “แม่นางสุ่ยเยียน เจ้ากำลังตำหนิข้าหรือ? ตอนนั้นท่านปู่เจ้ามอบโอสถให้ข้าเล็กน้อยก็จริง แต่ข้าทำงานรับใช้ร้านความลับเทพมาตั้งหลายปีจนทดแทนบุญคุณหมดไปนานแล้ว อีกอย่าง ตอนที่ข้าเข้าแดนลับก็ไม่ใช่แค่บาดเจ็บ ผลวิถีผลหนึ่งของข้าแตกทลาย ข้าโอสถเชื่อมชีวิตใหม่จากปู่เจ้าแต่เขากลับไม่รับปาก เรื่องนี้ทำให้ข้าสูญเสียผลวิถีและส่งผลต่ออนาคต เจ้าคิดว่าปู่เจ้ามีบุญคุณต่อข้ามากหรือ?”


“ส่วนโอสถโสมที่เจ้าให้จะนับเป็นอะไรได้กัน? จะให้ข้าทุ่มเทชีวิตและสู้กับร้านขยายฟ้าเพื่อโอสถเม็ดเดียวหรือ?”


กงหยายเหยี่ยนส่งเสียงเหยียดหยาม แม้จีสุ่ยเยียนฟังแล้วจะโมโหแต่ก็เศร้าใจมากกว่า


การช่วยเหลือคนครั้งนี้ถือเป็นบุญคุณ แต่หากไม่ช่วยต่ออีกครั้งจะถือเป็นความแค้น กงหยางเหยี่ยนไม่เพียงไม่นึกเรื่องที่ท่านปู่ช่วยชีวิต เอาแต่แค้นว่าท่านปู่ไม่ให้โอสถเชื่อมชีวิตใหม่! โอสถเชื่อมชีวิตใหม่คือโอสถเทพที่แทบจะเป็นตำนาน มันมีราคาแต่ไม่มีที่ไหนขาย มันล้ำค่ามากจนต้องขายร้านความลับเทพถึงเจ็ดแปดส่วนเป็นอย่างน้อยจึงจะซื้อไหว ต่อให้ท่านปู่จะต้องการโอสถระดับนี้ก็ใช้ไม่ลง!


จีสุ่ยเยียนถอนหายใจและมองไปยังนักปราชญ์วัยกลางคนที่อยู่หลังกงหยางเหยี่ยย “ผู้อาวุโสเซี่ยว เจ้าเองก็คิดเช่นนี้หรือ?”


นักปราชญ์วัยกลางคนถือพัดไว้ในมือพร้อมโบกเบาๆ เขาพูดยิ้มๆ ว่า “คุณหนูสุ่ยเยียน เหตุใดเจ้าจึงถามคำถามไร้เดียงสาเช่นนี้ในเวลานี้อยู่อีก? คนฉลาดคือคนที่รู้สถานการณ์ ท่านปู่กับผู้อาวุโสพวกนั้นไม่อยู่แล้ว เหตุใดพวกข้าจึงต้องอยู่ร้านความลับเทพต่อด้วย? อีกอย่างการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็มีประโยชน์ต่อเจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะรักษาสมบัติของตระกูลได้อย่างไร?”


 ……………………………………………………………………………………………………….


บทที่ 1065 ความคิดอยู่ที่ใด กระบี่อยู่ที่นั่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


คำพูดของเซี่ยวเค่อหลินทำให้ทุกคนที่นี่ตกตะลึง ท่านหัวหน้าไม่อยู่แล้ว?


มีข่าวลือว่าท่านหัวหน้ากับผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งหายสาบสูญออกมานานแล้วแต่ก็เป็นแค่ข่าวลือ แม้ต่อมาร้านความลับเทพจะอดทนต่อการหยั่งเชิงและตอดกินร้านจากร้านขยายฟ้า ถึงกระนั้นก็มีคนในร้านความลับฟ้าหลายคนที่เชื่ออย่างหนักแน่นว่าท่านหัวหน้าแค่ไม่อยู่ชั่วคราว สักวันหนึ่งต้องกลับมาแน่


แต่วันนี้หน้าต่างกระดาษที่ไม่เคยฉีกขาดกลับถูกเซี่ยวเค่อหลินทำลาย!


เขาพูดเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน มันช่วยตัดไฟตั้งแต่ต้นลมและทำลายแนวป้องกันสุดท้ายของจีสุ่ยเยียนอย่างสมบูรณ์ เรื่องนี้ทำให้หลายคนที่เดิมภักดีต่อร้านความลับเทพเริ่มหวั่นไหว


ท่านหัวหน้ากับเหล่าผู้อาวุโสตายไปแล้ว!?


เช่นนั้นร้านความลับเทพจะไม่จบสิ้นแล้วหรือ?


พวกเขาเหล่านี้จะต้านทานร้านขยายฟ้าได้อย่างไร? ไม่ใช่แค่ร้านขยายฟ้า แม้แต่เซี่ยวเค่อหลินกับกงหยางเหนี่ยนสองคนที่หักหลังร้านความลับเทพพวกเขาก็สู้ไม่ได้แล้ว!


หลายคนมองมาที่จีสุ่ยเยียนอย่างหวังว่านางจะจอบโต้เซี่ยวเค่อหลิน ทว่าจีสุ่ยเยียนกลับนิ่งเงียบเหมือนยอมรับความจริงเรื่องนี้


ทุกคนตะลึงจริง เป็นเรื่องจริงหรือ?


จีสุ่ยเยียนมองเซี่ยวเค่อหลินอย่างเย็นชา ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่พัดในมือเซี่ยวเค่อหลินเล่มนี้ก็สร้างโดยใช้สมบัติของร้านความลับเทพไปซื้อวัสดุชั้นดีและให้ปรมาจารย์วัตถุสร้างขึ้น ไม่รู้ใช้สมบัติมากขนาดไหน


เซี่ยวเค่อหลินพอใจในพัดนี้มาก มักใช้โอ้อวดความสง่างาม เมื่อเจอศัตรูก็สามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธสังหาร แต่ตอนนี้เซี่ยวเค่อหลินที่ดูสุภาพเรียบร้อยกลับไร้เยื่อใยกว่าใครเมื่อซ้ำเติม


“พวกเจ้าคิดไม่ผิด ร้านความลับเทพจบสิ้นแล้วจริงๆ ในเมื่อถูกกำหนดแล้วว่าต้องจบสิ้นก็ไม่สู้พึ่งพิงร้านขยายฟ้าดีกว่า อย่างน้อยก็ยังเหลืออะไรบ้าง มีประโยชน์ทั้งกับคุณหนูทั้งกับพวกเรา!”


“คุณหนูน่าจะรู้กฎของทะเลทรายกลบอาทิตย์ กลุ่มอิทธิพลที่ไม่มียอดฝีมือนั่งบัญชาการย่อมถูกยึดเอา!”


เซี่ยวเค่อหลินเหมือนมองความคิดทุกคนออก เขาส่ายพัดพูดมีเหตุผลอย่างฉะฉาน ทว่าเขาเพิ่งพูดจบ…


จู่ๆ เซี่ยวเค่อหลินก็ตาลาย แสงสีทองอันจ้าตาหลายสายปกคลุมดวงตาเขา!


แสงสีทองอันจ้าตาเหล่านี้มีจิตสังหารอันน่ากลัวแฝงอยู่!


ลำแสงกระบี่!?


นักปราชญ์วัยกลางคนตื่นตกใจ เขาบินถอยหลังอย่างรวดเร็ว ปราณแท้คุ้มครองร่างหมุนเวียน ขณะเดียวกันพัดในมือก็กางออกมาต้านไว้ที่หน้าอก!


พัดเล่มนี้คือของวิเศษที่เขาภูมิใจที่สุด ผลึกน้ำแข็งสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏบนร่างและกั้นเขาไว้ด้านหลังเมื่อตัวพัดกางออก


กำแพงน้ำแข็ง!


เซี่ยวเค่อหลินฝึกกฎแห่งน้ำแข็ง แรงโจมตีอาจอ่อนแอไปบ้างแต่มีแรงป้องกันเหมือนกำแพงเหล็ก


ต่อมาแสงสีทองเหล่านี้ก็ปะทะลงบนกำแพงน้ำแข็งอย่างไม่ออมแรง เปรี๊ยะ! มีเสียงแตกอย่างต่อเนื่อง กำแพงน้ำแข็งทลายออก!


อานุภาพของแสงสีทองไม่ลดน้อยลง พวกมันรวมตัวเป็นกระบี่เทพสีทองเล่มหนึ่ง


กระบี่แห่งกาลเวลาสามฉื่อ นิจนิรันดรและชั่วพริบตา!


ฉัวะๆๆ!


เซี่ยวเค่อหลินตกใจจนวิญญาณแตกซ่านเมื่อกระบี่เทพแทงลงมา ตอนนี้เขาไม่สนใจตัวพัดและโยนมันไปข้างหน้า ขณะเดียวกันก็ลูบไปที่แหวนมิติเพื่อนำไพ่ตายรักษาชีวิตออกมา


แต่ลำแสงกระบี่นี้เร็วเกินไป กระบี่หยางบริสุทธิ์ที่ผสานเข้ากับกฎแห่งมิติเวลาสามารถมองข้ามระยะห่างของมิติ ความคิดอยู่ที่ใด กระบี่อยู่ที่นั่น!


ตูม!


มีเสียงระเบิดดังขึ้น ปราณคุ้มครองร่างของเซี่ยวเค่อหลินยืนหยัดได้ไม่ถึงหนึ่งอึดใจด้วยซ้ำก็แตกออก กระบี่เทพสีทองแล่นผ่านอากาศจนเกิดรอยแยกสีทองจ้าตา เพียงพริบตาเดียวก็แทงผ่านร่างเซี่ยวเค่อหลินถึงสิบสองครั้งและทำให้ร่างเขามีแผลสิบสองจุด!


ตอนนี้เซี่ยวเค่อหลินเพิ่งหยิบแผ่นยันต์สีม่วงสองแผ่นออกมาจากแหวนมิติได้สำเร็จ แต่เขากระตุ้นแผ่นยันต์นี้ไม่ทันแล้ว ไม่มีแม้แต่เวลาให้คิดที่จะกระตุ้นแผ่นยันต์ก็ส่งเสียงร้องและล้มตัวลง


ตุบ!


เซี่ยวเค่อหลินล้มนอนบนพื้นเหมือนกองเนื้อเละๆ ทั่วร่างมีแต่แผลกระบี่!


กระบี่แทงลงทั้งหมดสิบสองครั้ง สิบเอ็ดครั้งในนี้แทงไปที่แขนขา ท้องส่วนบนและไหล่อย่างจงใจที่จะเลี่ยงจุดสำคัญ


ทว่ากระบี่สุดท้ายกลับแทงเข้าที่จุดตันเถียน กระบี่แทงจุดตันเถียน ทำลายวังวิถี เซี่ยวเค่อหลินหน้าซีดตัวสั่น!


เขามองจุดตันเถียนของตัวเองอย่างไม่เชื่อ ใบหน้ามีความตื่นกลัวและสิ้นหวัง วังวิถีถูกทำลาย พลังยุทธ์ของเขาจบสิ้นแล้ว!


ตอนนี้ลำแสงกระบี่ตีโค้งบนอากาศอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นก็บินกลับไปในเรือทราย


ทุกคนอ้าปากค้างอยู่นานเมื่อเห็นภาพนี้


เหตุการณ์จะเปลี่ยนพลิกเร็วเกินไปแล้ว!


เมื่อกี่อึดใจก่อนเซี่ยวเค่อหลินยังพูดด้วยความฮึกเหิมอยู่เลย ทว่าตอนนี้กลับนอนบนพื้นเหมือนสุนัขที่ตายแล้ว


บุคคลปริศนาในเรือทรายทำให้เซี่ยวเค่อหลินพิการในชั่วพริบตา และตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยเผยโฉมหน้า!


ใครกัน!?


ทุกคนกลั้นหายใจมองเรือทรายอย่างตื่นกลัว เรือทรายหยุดอยู่บนถนนเงียบๆ


สายลมพัดเบาๆ ผ้าม่านหน้าต่างหลายบานของเรือทรายขยับเบาๆ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลำแสงกระบี่บินออกมาจากประตูบานไหน


เมื่อครู่นี้เซี่ยวเค่อหลินพูดว่า ‘กลุ่มอิทธิพลที่ไม่มีผู้ยิ่งใหญ่นั่งบัญชาการย่อมถูกยึดเอา’ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าถูกคนปริศนาในเรือทรายทำให้พิการ!


นี่เป็นถึงจอมยุทธ์ระดับวังวิถีเชียวนะ แค่นี้ก็จบสิ้นแล้วหรือ


“ท่านหัวหน้า ท่านหัวหน้ากลับมาแล้วหรือ?” มีองครักษ์ที่ภักดีต่อร้านความลับเทพพูดอย่างตื่นเต้น


แต่ก็มีคนส่ายหน้าพูดว่า “ท่านหน้าไม่ได้มีพลังขนาดนี้ แม้เซี่ยวเค่อหลินจะไม่เก่งกาจแต่ก็อยู่ระดับวังวิถีชั้นสอง ท่านหัวหน้าจะฆ่าเขาภายในเสี้ยววินาทีได้อย่างไร?”


ผู้คนพากันพูดคุย สถานการณ์ตกอยู่ในความวุ่นวาย


“ผู้สูงศักดิ์ท่านใดอยู่ในนั้น?”


กุนซือหยางกลืนน้ำลายด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรเขาก็มีร้านขยายฟ้าหนุนหลัง น้ำเสียงที่พูดจึงพอมีความมั่นใจอยู่บ้าง


แต่กงหยายเหยี่ยนไม่มีแบบเขา ฝ่ามือกงหยางเหยี่ยนเต็มไปด้วยเหงื่อ เขารู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะเซี่ยวเค่อหลินพูดต่อจากเขาก่อนหน้านี้ เช่นนั้นคนที่ถูกลงมือใส่ก็ต้องเป็นเขาแน่นอน!


แม้ระดับยุทธ์เขาจะสูงกว่าเซี่ยวเค่อหลินเล็กน้อย แต่เพราะผลวิถีถูกทำลายไปผลหนึ่งจึงไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก


พลาดเพียงเสี้ยวเดียวเขาก็ถูกทำให้พิการ!


จอมยุทธ์คุ้นเคยกับตำแหน่งที่สูงศักดิ์ คุ้นเคยกับเงินทองที่ได้มาง่ายๆ หญิงงามและอายุขัยที่ยืนยาว ทว่าทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ความแข็งแกร่งมอบให้พวกเขา หากกลายเป็นคนพิการก็ทรมานยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาเสียอีก


กงหยางเหยี่ยนใจสั่นเมื่อคิดถึงตรงนี้ เขารีบเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและประสานมือพูดกับเรือทรายว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านใดอยู่ที่นี่ เกรงว่าคงมีเรื่องเข้าใจผิด แม้ร้านความลับเทพจะก่อตั้งโดยท่านหัวหน้า แต่ที่มันอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะข้าทุ่มเทกำลังและสติปัญญาไม่น้อย พูดได้ว่าข้าสร้างคุณูปการด้วยซ้ำ ท่านผู้อาวุโสอย่าถูกผู้อื่นหลอก ปรากฏโฉมออกมาได้หรือไม่?”


กงหยางเหยี่ยนรีบอธิบายเพราะกลัวว่าจะไม่มีโอกาสอีก แต่ในตอนนี้เอง…


ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว!


ลำแสงกระบี่สีทองจากบนเรือทรายพุ่งออกมาอีกครั้ง มันปกคลุมฟ้าดินและมีอานุภาพรุนแรงกว่าเมื่อครู่เสียอีก!


กงหยางเหยี่ยนตกใจจนหน้าซีดเมื่อเห็นลำแสงกระบี่ปกคลุมทั่ววิสัยทัศน์ อะไรที่พูดได้เขาก็พูดไปแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะให้โอกาสเจรจา!


ความแข็งแกร่งทำให้ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลก็สังหารหรือทำให้เจ้าพิการได้ง่ายๆ! ทั้งนี่ก็เป็นกฎของทะเลทรายกลบอาทิตย์พอดี!


 ……………………………………………………………………………………………………..


บทที่ 1066 สลายเป็นเถ้าธุลี

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อ้ากกก! เจ้าจะรังแกกันเกินไปแล้ว!”


กงหยางเหนี่ยนคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำรุนแรงถึงเพียงนี้ เขาร้องเสียงดังและเผาแก่นโลหิตอย่างไม่ลังเล!


เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู่ของคนปริศนานี้ เทียบกับถูกทำให้พิการแล้ว การเผาแก่นโลหิตจะนับเป็นอะไรได้?


กงหยางเหนี่ยนชักดาบสีทองเล่มใหญ่ออกมาจากแหวนมิติ ลำแสงดาบนับไม่ถ้วนฟันออกด้วยอานุภาพที่พิชิตภูเขาแม่น้ำ!


ลำแสงดาบเหล่านี้พุ่งเข้ามารับลำแสงกระบี่


เปรี้ยง!


ลำแสงดาบกับลำแสงกระบี่เข้าปะทะกัน!


อย่างไรกงหยางเหยี่ยนก็เป็นจอมยุทธ์ระดับวังวิถีสามชั้น ทั้งเขายังเผาแก่นโลหิต พลังที่ลำแสงดาบส่งออกมาจึงเหนือกว่าลำแสงกระบี่ของอี้อวิ๋นด้วยซ้ำ


แต่ระยะห่างของกฎไม่อาจทดแทนได้


ลำแสงกระบี่ของอี้อวิ๋นเชื่อมโยงกับกฎวิถีใหญ่ ลำพังแค่ความเข้าใจด้านกฎอย่างเดียว กงหยางเหนี่ยนที่เป็นจอมยุทธ์ระดับวังวิถีก็ด้อยกว่าอี้อวิ๋นมาก


ตูม!


ลำแสงดาบลำแสงกระบี่ระเบิดออกพร้อมกัน พลังไหลบ่าออก กงหยางเหนี่ยนถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว เขาใช้พลังเฮือกสุดท้ายมาต้านลำแสงกระบี่ได้สำเร็จ!


ต้านไว้ได้!


กงหยางเหนี่ยนที่รอดพ้นรู้สึกดีใจมาก เขาเชื่อว่าเพียงแค่ถ่วงเวลาไว้ระยะหนึ่ง ร้านขยายฟ้าก็จะส่งคนมาช่วยเขาแน่นอน เพราะอย่างไรเขาก็ยังมีประโยชน์ต่อร้านขยายฟ้าอยู่


ในหัวกงหยางเหนี่ยนเพิ่งมีความคิดนี้แล่นผ่าน จู่ๆ เขาก็พบว่าในบรรดาแสงกระบี่สีทองหลายสายมีลำแสงกระบี่สีเทาสายหนึ่งซ่อนอยู่ มันเคลื่อนที่เร็วมากจนไม่อาจไล่ทัน


“เฮ่อ!”


กงหยางเหนี่ยนระเบิดเสียงร้อง เขาฟันดาบออกไปอีกครั้งด้วยพลังทั้งหมด!


เพราะใช้แก่นโลหิตเกินขีดจำกัด ดาบนี้จึงส่งผลต่อต้นกำเนิดชีวิตเขา แต่ความพยายามของเขาก็ใช่ว่าจะไร้ผล เพราะท้ายที่สุดแล้วลำแสงกระบี่สีเทาสายนี้ก็ถูกกงหยางเหนี่ยนฟันแตก!


ฟู่…


พายุระเบิดหายไป กงหยางเหนี่ยนร่วงลงจากอากาศอย่างโซเซ


เขายังคงถือดาบทองไว้ในมือ เส้นผมหลุดลุ่ย สีหน้าซีดขาว แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่


แม้จะต้องเผาแก่นโลหิต แต่การที่รอดจากกระบวนท่าที่รุนแรงขนาดนี้ได้ก็ทำให้ผู้คนรอบๆ มองด้วยสายตาทึ่งๆ


กงหยางเหนี่ยนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ระดับวังวิถีชั้นสามก็คือระดับวังวิถีชั้นสาม เทียบกับเซี่ยวเค่อหลินแล้วก็แข็งแกร่งกว่ามาก


กงหยางเหนี่ยนเช็ดเลือดที่มุมปาก แม้เขาจะต้องจ่ายราคาไม่น้อยแต่ก็พอใจกับผลงานเมื่อครู่ของตัวเอง เขาตะโกนอย่างเร่งรีบว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร จริงอยู่ว่าเจ้าแข็งแกร่ง แต่เมืองแสงหยกไม่อนุญาตให้ต่อสู้หรือฆ่าแกงกัน หากฝ่าฝืนก็มีโทษสถานเบาเป็นทำลายพลังยุทธ์ สถานหนักคือประหารต่อหน้าสาธารณะชน เจ้าคิดว่าแค่แข็งแกร่งก็มองข้ามกฎของเมืองแสงหยกและเปิดฉากสังหารในเมืองนี้ได้หรือ? ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ต้านทั้งเมืองแสงหยกได้เพียงลำพังหรือ?”


กงหยางเหนี่ยนจงใจนำการบังคับใช้กฎหมายของเมืองแสงหยกออกมาพูด เรื่องที่ว่าจะถูกคณะคุมกฎออกหมายจับเมื่อสังหารคนไม่ใช่เรื่องโกหก แต่คณะคุมกฎที่พูดถึงนี้ก็เป็นเพียงกลุ่มที่ก่อตั้งโดยร้านค้าใหญ่ทั้งสองกับร้านประมูลเจ็ดดารา ตอนนี้ร้านความลับเทพถอนตัวออก แท้จริงแล้วจึงเหลือแค่กลุ่มอิทธิพลอีกสองกลุ่ม


กงหยางเหนี่ยนบอกว่าอี้อวิ๋นต้องสู้กับทั้งเมืองเพื่อให้เขากลัว เขาแน่ใจว่าอี้อวิ๋นเป็นคนนอกที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ของเมืองแสงหยกนักจึงใช้วิธีนี้มาถ่วงเวลา


เป็นดังที่กงหยางเหนี่ยนคิด เรือทรายตกอยู่ในความเงียบเมื่อเขาพูดจบ ลำแสงกระบี่ที่ปลิดชีวิตก็ไม่ปรากฏออกมาอีก


กงหยางเหนี่ยนถอนใจด้วยความโล่งอก เขารู้ว่าคนปริศนานี้น่าจะพะวงเรื่องกฎของเมืองแสงหยก พลังยุทธ์ของเขาถูกรักษาไว้ได้


ผู้คนโดยรอบวิเคราะห์อะไรหลายอย่างจากภาพเหตุการณ์นี้ออก กุนซือหยางลูบหนวดตัวเองในขณะที่ประเมินพลังของบุคคลปริศนาผู้นี้


เขาเดาว่าบุคคลปริศนาคือคนที่จีสุ่ยเยียนพบในขณะเดินทางหรือไม่ก็มีความสัมพันธ์กับร้านความลับเทพแต่ไม่ได้ลึกล้ำมาก นี่ก็หมายความว่าคนผู้นี้ไม่ได้ช่วยร้านความลับเทพแบบถึงขั้นทุ่มเทชีวิต หากเขาเห็นว่าไม่อาจทำอะไรได้ก็จะถอนตัวกลางคัน


บุคคลปริศนาสังหารเซี่ยวเค่อหลินได้ภายในเสี้ยววินาทีแต่กลับทำเช่นนี้กับกงหยางเหนี่ยนไม่สำเร็จ ทั้งอีกฝ่ายยังเกรงกลัวกฎของเมืองแสงหยก เช่นนั้นพลังของเขาก็น่าจะอยู่ราวๆ ระดับวังวิถีชั้นห้า


พลังระดับนี้ย่อมไม่เลวสำหรับเมืองแสงหยกแต่ก็ไม่ถึงขั้นไร้เทียมทาน ไม่พูดถึงร้านประมูลเจ็ดดาราที่ลุ่มลึกจนไม่อาจคาดเดา แค่ร้านขยายฟ้าของพวกเขาก็ต้านทานได้แล้ว


ผู้วางแผนสองสามคนของร้านขยายฟ้ากำลังคิดว่าจะให้บุคคลปริศนานี้จ่ายราคาแสนสาหัสได้อย่างไร แต่ในตอนนี้เองที่มีคนพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ


“พวกเจ้าดูกงหยางเหนี่ยนสิ ท้องของเขาเป็นอะไรไปน่ะ?”


ประโยคที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ทุกคนพากันมองไปที่กงหยางเหนี่ยน พวกเขาเห็นว่าท้องของกงหยางเหนี่ยนมีลายวิถีสีเทาหลายสายสว่างวาบขึ้น ลายวิถีเหล่านี้ลึกล้ำมาก พวกมันสะท้อนลงบนอากาศและหมุนตัวช้าๆ ด้วยซ้ำ


“นี่…นี่…”


กงหยางเหนี่ยนเพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบนท้องตัวเอง เขาพบว่าลายวิถีสีเทาเหล่านี้รวมตัวเป็นกงล้อ ในกงล้อมีเงามารเทพจำนวนหนึ่งให้เห็นรางๆ และใจกลางของกงล้อนี้ก็ตรงกับจุดตันเถียนของเขาพอดี!


อีกฝ่ายสร้างตราประทับลงบนจุดตันเถียน ทว่าตัวเขากลับไม่รู้?


“ชะ…ช้าก่อน! ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิต อ้า…”


กงหยางเหนี่ยนร้องโหยหวนอย่างฉับพลัน ทุกคนเห็นกับตาว่าจู่ๆ กงล้อสีดำนั่นก็เปล่งแสงจ้าตา จากนั้นเลือดเนื้อบริเวณท้องของกงหยางเหนี่ยนก็ถูกกงล้อนี้ปั่นละเอียด!


ไม่ว่าคนหรือปีศาจ เมื่อร่างกายถูกปั่นแหลกก็จะมีโลหิตไหลเป็นจำนวนมาก ภาพที่โลหิตกับเนื้อเละๆ อยู่รวมกันเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนมาก


แต่ตอนนี้ท้องของกงหยางเหนี่ยนกลับไม่มีเลือดไหลสักหยด ควรพูดว่าในเสี้ยวพริบตาที่โลหิตและเศษเนื้อเหล่านั้นปรากฏก็ถูกกงล้อสีดำทำลายทิ้งจะถูกต้องกว่า


นี่คือการสลายเป็นเถ้าอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรเหลือทั้งนั้น!


กงหยางเหนี่ยนเห็นภาพที่เกิดบนร่างเขากับตาตัวเอง ไม่มีอะไรบรรยายความน่ากลัวและสิ้นหวังนี้ได้จริงๆ


“ท่านผู้อาวุโส! ท่านผู้อาวุโส!”


เขาร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่ทั้งท้อง จุดตันเถียนและวังวิถีของเขาล้วนถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ในพายุที่ทำลายล้างทุกอย่างนี้จนไม่เหลืออะไร


จากนั้นร่างทั้งร่างของกงหยางเหนี่ยนก็ถูกปั่นเข้าสู่น้ำวนที่เกิดจากกงล้อสีดำ ร่างเขาถูกกลืนกินอย่างสมบูรณ์


น้ำวนคงอยู่เป็นเวลาไม่กี่อึดใจก็ค่อยๆ สลายไป เมื่อทุกอย่างสงบลงก็ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


ทุกคนเห็นว่าจุดที่กงหยางเหนี่ยนเคยอยู่ไม่มีแม้แต่เลือดสักหยดหรือเศษผ้าสักชิ้น คนคนนี้เป็นสลายเป็นไอต่อหน้าทุกคน


จอมยุทธ์ที่ฝึกยุทธ์ทุกคนล้วนรู้ดีว่าอาจตายกลางทาง แต่ไม่ว่าจะตายอนาถเพียงใดก็ต้องเหลือเศษเนื้ออยู่บ้าง ถูกปีศาจโบราณกินก็เหลือกระดูก วิธีการตายนี้ลบร่องรองของคนคนหนึ่งออกจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิงจนทุกคนขนลุก นี่มันกฎอะไรกัน?


ตอนแรกทุกคนคิดว่าเซี่ยวเค่อหลินอนาถมากพอแล้ว เขาถูกทำลายพลังยุทธ์จนทรมานยิ่งกว่าตาย แต่เมื่อเทียบกับกงหยางเหนี่ยนแล้วเขากลับโชคดี อย่างน้อยต่อให้ฆ่าตัวตายก็ยังเหลือศพทั้งร่าง


ทุกคนมองไปทางเรือทรายที่จอดอยู่นิ่งๆ อีกครั้งด้วยความกลัว ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น คนจากร้านขยายฟ้าพากันรู้สึกไม่ปลอดภัย ใบหน้าของกุนซือหยางที่เป็นหัวหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว


ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองที่อยู่ที่นี่คือคนโง่


แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่กล้าจากไป คนในเรือทรายคือดาวเคราะห์ร้ายชัดๆ หากอีกฝ่ายรู้ว่าเขาคิดหนีก็คงลงมือกำจัดเขาได้ง่ายไม่ต่างอะไรกับบี้แมลงตัวหนึ่ง


 …………………………………………………………………………………………………………


1067 ไม่จำเป็นต้องปราณี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทำให้เซี่ยวเค่อหลินพิการ จากนั้นก็สังหารกงหยางเหนี่ยน บุคคลปริศนาที่เป็นผู้ลงมือผู้นั้นไม่เคยเผยโฉมหน้าสักครั้ง


เมื่อตอนนี้คนจากร้านขยายฟ้ามองไปที่เรือทรายอีกครั้งก็รู้สึกว่าผ้าม่านที่ถูกลมพัดเป็นดั่งมือที่โบกเรียกของเทพแห่งความตาย


ในตอนนี้เองที่จู่ๆ ท่านประตูใหญ่ก็ถูกเลิกออกประหนึ่งว่าบุคคลปริศนาจะออกมาแล้ว


กุนซื่อหยางตกใจจนขวัญกระเจิงเมื่อเห็นภาพนี้ เขาแทบจะคุกเข่าลงบนพื้นและพูดอย่างรีบร้อนว่า “ท่านผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิต ท่านผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิต ข้าน้อยเป็นแค่คนส่งข่าว ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อคุณหนูสุ่ยเยียนจริงๆ ขอรับ”


กุนซือหยางถือเป็นบุคคลชั้นหนึ่งของร้านขยายฟ้า แม้จะไม่มีระดับยุทธ์สูงอะไร แต่เพราะคิดคำนวณผลกำไรได้เก่งจึงมีตำแหน่งสูง


แต่ตอนนี้เขากลับตกใจจนแทบปัสสาวะอุจจาระราดเพราะมีคนเลิกม่านประตู ภาพนี้ทำให้ทุกคนทอดถอนใจ ตำแหน่งและทรัพย์สมบัติเป็นแค่เรื่องน่าขันเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่แข็งแกร่งโดยแท้จริง


กุนซือหยางคุกเข่าบนพื้นเป็นเวลานานอย่างไม่กล้าเงยศีรษะ เขารู้ดีว่าคนผู้นั้นฆ่าเขาได้โดยไม่กระพริบตา เทียบกับชีวิตแล้วเกียรติยศจะนับเป็นอะไรได้?


แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็กลับไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เขารวบรวมความกล้ามาเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ต้องตะลึงงัน


เขาเห็นว่าคนที่เลิกม่านประตูเรือทรายคือสาวใช้ชุดเหลืองท่าทางอายุแค่สิบหกสิบเจ็ดปี ใบหน้ามีความอ่อนเยาว์ นางกำลังมองเขาอย่างตื่นตกใจ


ก่อนหน้านี้ตัวสาวใช้ที่อยู่ในเรือทรายรู้แค่ว่าด้านนอกเกิดความวุ่นวายและคุณหนูตกอยู่ในอันตราย จากนั้นการต่อสู้ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยระดับยุทธ์ของสาวใช้แล้วหากไม่มองด้วยตาก็คงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสถานการณ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ นางคิดไม่ถึงว่ากุนซือหยางผู้มีตำแหน่งสูงจากร้านขยายฟ้าจะทำความเคารพให้นางที่เป็นสาวใช้คนหนึ่งมากถึงเพียงนี้ ท่าทีที่เขาคุกเข่าดูเหมือนสุนัขพันธุ์ปักกิ่งที่เชื่องด้วยซ้ำ เรื่องนี้ทำให้สาวใช้ตื่นตะลึงอย่างสมบูรณ์


ตอนนี้กุนซือหยางมีสีหน้าเหมือนกลืนอุจจาระอย่างไรอย่างนั้น ดูไม่ได้แล้วดูไม่ได้อีก


เขามีความคิดว่าอยากตายด้วยซ้ำ แม้การตกใจจนปัสสาวะอุจจาระราดต่อหน้าอี้อวิ๋นจะไม่มีเกียรติ แต่มันก็ยังพอผ่านพ้นไปได้


แต่ตอนนี้เขากลับคุกเข่ากราบต่อหน้าสาวใช้คนหนึ่ง นี่ไม่เท่ากับฉีกหน้าเขาหรือ?


เขาไม่เคยอับอายเท่านี้มาก่อนในชีวิต!


ตอนนี้อี้อวิ๋นยังไม่ปรากฏตัว กุนซือหยางไม่มีความกล้าที่จะลุกขึ้น แต่จะให้คุกเข่าต่อก็ไม่ใช่ เขาอยากกลายเป็นมูลสุนัขเสียจริงๆ เช่นนี้จะได้ไม่มีใครสนใจ


“คะ…คือ…คุณหนูขะ…ข้ามาแจ้งข่าว…”


สาวใช้ชุดเหลืองกระพริบตาพร้อมพูดอย่างยากลำบาก มีคนมองนางมากถึงเพียงนี้ คนที่มีตำแหน่งในร้านขยายฟ้ายังคุกเข่าทำความเคารพให้นางอีก นางเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ที่ไหนกัน เป็นธรรมดาที่จะพูดตะกุกตะกัก


“อื้ม เหอเอ๋อร์พูดมาเถอะ”


จีสุ่ยเยียนพูด ตอนนี้ใจนางสงบที่ไหนกัน? ตอนแรกร้านความลับเทพกำลังจะถึงคราวจบสิ้นแล้ว เซี่ยวเค่อหลินกับกงหยางเหนี่ยนเนรคุณไปอยู่ฝ่ายศัตรูจนจีสุ่ยเยียนโมโหจนเกือบกระอักเลือด แต่เพียงพริบตา อี้อวิ๋นก็ใช้พลังอันแข็งแกร่งมากำจัดสองคนนี้และกอบกู้สถานการณ์ไว้ได้ ความรู้สึกที่ได้ชำระบุญคุณความแค้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้จีสุ่ยเยียนมีความสุขมาก ถูกกดอัดมานาน ในที่สุดก็ได้เงยหน้าอ้าปาก! ตอนที่ท่านปู่ยังอยู่ก็ไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกที่มีพลังควบคุมสถานการณ์แบบนี้ด้วยซ้ำ


นางรู้สึกขอบคุณอี้อวิ๋นมากจริงๆ ควรจะพูดว่าอิจฉาอี้อวิ๋นมากกว่า คนเราก็ควรเป็นเช่นนี้ แม้ทรัพย์สมบัติมากมายเทียบเท่าอาณาจักรที่การทำการค้านำมาให้จะเป็นประสบการณ์ที่ดีแต่ก็เป็นเหมือนภาพลวงตาที่พังลงได้ทุกเมื่อ สะใจเท่าการได้ควบคุมฟ้าดินด้วยพลังอันแข็งแกร่งที่ไหนกัน?


“คุณชายอี้บอกว่าส่วนที่เหลือให้คุณหนูเป็นคนจัดการ คุณชายบอกว่าจัดการได้ตามต้องการ ไม่จำเป็นต้องปราณีเจ้าค่ะ”


อี้อวิ๋นลงมือจัดการคนที่แข็งแกร่งที่สุดสองคนให้แล้ว แม้เขาจะดูเหมือนลงมืออย่างไม่ลังเล แต่แท้จริงแล้วก็สังหารแค่คนของร้านความลับเทพ


คนทรยศของร้านความลับเทพย่อมต้องมีร้านความลับเทพเป็นคนจัดการ ร้านขยายฟ้าไม่อาจตำหนิอะไรในเรื่องนี้


แต่ที่อี้อวิ๋นไม่แตะต้องคนจากร้านขยายฟ้าก็ไม่ใช่เพราะกลัว เขาแค่ไม่รู้ว่าจีสุ่ยเยียนคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้ อย่างไรเสียสถานการณ์ระหว่างร้านความลับเทพกับร้านขยายฟ้าก็ต้องมีจีสุ่ยเยียนเป็นผู้ตัดสิน อี้อวิ๋นเป็นแค่คนนอก ไม่อยากยื่นมือไปยุ่งมากเกินไป


ขณะเดียวกันเขาก็อยากดูความสามารถและท่าทีของจีสุ่ยเยียนจากวิธีการที่นางใช้จัดการเรื่องนี้


กุนซือหยางดีใจมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขารู้ว่าตัวเองรอดแล้ว


ขอแค่ไม่เกี่ยวข้องกับเทพสังหารผู้นั้นก็ไม่เป็นไร


ส่วนเรื่องจีสุ่ยเยียนเขาก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย นางจะมีความสามารถแค่ไหนกันเชียว? บุคคลปริศนาผู้นั้นแข็งแกร่ง ทำอะไรได้อย่างไม่เกรงกลัว อยากฆ่าใครก็ฆ่า


แต่จีสุ่ยเยียนล่ะ นางยังต้องอยู่ที่เมืองแสงหยกต่อไป ตอนนี้ทุกอย่างของร้านความลับเทพยังคงถูกร้านขยายฟ้ากดอัด ต่อให้มีบุคคลปริศนาหนุนหลังจนพอหายใจได้แต่ต้องคำนึงทุกด้าน โดยเฉพาะร้านประมูลเจ็ดดาราที่ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมืองแสงหยก นางกล้ามีเรื่องด้วยหรือ?


หากคิดแต่จะเอาสะใจ เช่นนั้นไม่กลัวว่าเมื่อบุคคลปริศนาจากไปแล้วตัวเองจะถูกร้านขยายฟ้าเอาคืนจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกหรือ?


กุนซือหยางลุกขึ้นจากพื้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ เขามีความมั่นใจที่จะเผชิญกับจีสุ่ยเยียน จำเป็นต้องคุกเข่าที่ไหนกัน?


เขายืนตัวตรง จัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ดีดฝุ่นที่เกาะบนเสื้อคลุมออกและพูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าว่า “คือแบบนี้นะสุ่ยเยียน… เมื่อครู่ลุงหยางบุ่มบ่ามไปหน่อย ตัวเจ้าเหนื่อยแล้วก็ย่อมต้องพักผ่อน ลุงหยางจะให้เจ้าไปเป็นแขกที่ร้านขยายฟ้าให้ได้ ตัวลุงเป็นฝ่ายผิดเอง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ สุ่ยเยียนก็ใจเย็นๆ พักผ่อนที่จวนให้สบายเถอะ ข้าจะอธิบายกับคุณชายเหยียนเอง ต่อให้นี้ร้านความลับเทพก็ทำให้ดี หากร้านขยายฟ้าได้ประโยชน์ เช่นนั้นร้านความลับเทพก็ย่อมได้ด้วยเช่นกัน”


กุนซือหยางราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ประหนึ่งว่าคนที่ตกใจจนปัสสาวะอุจจาระราดและดูไม่ได้เมื่อครู่นี้ไม่ใช่เขาอย่างไรอย่างนั้น


จีสุ่ยเยียนนิ่งเงียบ นางมองการเปลี่ยนแปลงก่อนหลังของกุนซือหยางอยู่เงียบๆ ในใจยิ่งตระหนักถึงความสำคัญของความแข็งแกร่ง มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะควบคุมทุกอย่างได้โดยแท้จริง สิ่งอื่นเป็นแค่ภาพลวงตา


แม้จะยืมพลังจากอี้อวิ๋น แต่การปฏิบัติที่กุนซือหยางมีต่ออี้อวิ๋นกับนางก็ต่างราวฟ้ากับดิน กุนซือหยางไม่เห็นนางในสายตา คำที่พูดเมื่อครู่ก็มีความหมายว่าร้านขยายฟ้าดูแลร้านความลับเทพซ่อนอยู่รางๆ


แม้ในใจจะรู้ว่าเป็นเช่นนี้แต่จีสุ่ยเยียนก็ไม่อาจสังหารกุนซือหยาง อย่างน้อยที่สุดก็ยังทำไม่ได้ในตอนนี้ เพราะทันทีที่ฉีกหน้ากับร้านขยายฟ้าอย่างสมบูรณ์ เมื่อนั้นก็จะเกิดสงครามที่ไม่อาจเลี่ยง


ยังไม่ต้องพูดเรื่องที่จีสุ่ยเยียนไม่รู้ว่าอี้อวิ๋นจะยอมเข้าสู่ศึกนี้หรือเปล่า สิ่งสำคัญคือต่อให้สู้ชนะ ร้านความลับเทพก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากมายอยู่ดี


นกกับหอยทะเลาะกัน แต่คนตกปลาได้ประโยชน์ ภายใต้สถานการณ์ที่ร้านความลับเทพไม่ได้วางแผน สมบัติของร้านขยายฟ้าอย่างหน้าร้านหรือดินแดนก็จะถูกร้านขยายฟ้าได้มาไม่เท่าไร พวกมันส่วนใหญ่จะถูกร้านประมูลเจ็ดดาราเข้ายึด หรือจะให้ร้านความลับเทพทำลายร้านขยายฟ้าแล้วไปสู้กับร้านประมูลเจ็ดดาราต่อหรือ?


จีสุ่ยเยียนคิดเรื่องเหล่านี้ได้ กุนซือหยางก็ย่อมคิดได้เช่นกัน เขามั่นใจว่าตัวเองไม่เป็นอะไรแน่นอน ร้านประมูลเจ็ดดาราเป็นถึงกลุ่มอิทธิพลระดับไหน ปกคลุมทั่วเมืองทั้งเจ็ดของทะเลทรายกลบอาทิตย์ แม้แต่บุคคลปริศนาผู้นั้นก็ต้องเจียมตัวเมื่ออยู่ต่อหน้า ไม่เช่นนั้นอาจถูกสังหารก็เป็นได้


“คือ…สุ่ยเยียน ลุงหยางไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้า ข้าขอตัวก่อนล่ะ”


กุนซือหยางเพิ่งพูดประโยคนี้จบ จู่ๆ จีสุ่ยเยียนก็โบกมือ!


ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว!


ลำแสงสีขาวแล่นผ่าน กระบี่บินขนาดพกพาสิบสองเล่มพุ่งออกจากแขนเสื้อจีสุ่ยเยียน!


ระดับยุทธ์ของจีสุ่ยเยียนอยู่ต่ำกว่าอี้อวิ๋นเพียงระดับเดียว ตอนที่นางฝึกฝนก็เป็นอันดับหนึ่งในหมู่เด็กรุ่นเยาว์ของร้านความลับเทพ ส่วนหยางเหยียนกวงเป็นแค่กุนซือคนหนึ่ง เขาไม่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์แต่อย่างใด อยู่ระดับเปิดฐานได้ก็เพราะใช้โอสถต่างๆ  พลังต่อสู้อ่อนแอจนใช้ไม่ได้ พลังของทั้งสองจึงไม่อาจนำมาเทียบ


“เจ้า…”


หยางเหยียนกวงตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าจีสุ่ยเยียนจะลงมืออย่างฉับพลัน!


และแม้ตอนนี้ข้างกายเขาจะมียอดฝีมือคนอื่นๆ ที่ต้านกระบี่ของจีสุ่ยเยียนได้อย่างสบายๆ แต่กลับไม่มีใครกล้าขยับเพราะมีอี้อวิ๋นอยู่!


ผลลัพธ์ก็คือ…


ฉึกฉึกฉึก!


กระบี่ขนาดพกพาสิบสองเล่มแทงทะลุร่างหยางเหยียนกวง กระบี่สี่เล่มในนี้ฟันเข้าที่แขนขาทั้งสี่ของหยางเหยียนกวง!


“อ้า!”


หยางเหยียนกวงร้องโหยหวน ร่างกายกระเด็นออกไป เขาเจ็บจนปัสสาวะราด เขามองจีสุ่ยเยียนอย่างไม่เชื่อ ร่างกายกระตุกไม่หยุด โลหิตนองเต็มพื้น


“นังนี่ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”


จีสุ่ยเยียนมีสีหน้าเย็นชา นางเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กระบี่ทั้งสิบสองเล่มล้อมรอบหยางเหยียนกวงภายใต้การควบคุมของนาง คมกระบี่ชี้ไปยังจุดสำคัญต่างๆ นางพูดเสียงเย็นว่า “ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่ก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเช่นกัน ข้าตัดแขนขาเจ้าก็เพื่อเก็บดอกเบี้ย อีกเรื่องคือ!”


จีสุ่ยเยียนมองคนจากร้านขยายฟ้าที่อยู่โดยรอบเมื่อพูดถึงตรงนี้ “คนที่มาร้านความลับเทพในวันนี้เลิกคิดเรื่องที่จะได้กลับไปได้เลย จับตัวไว้ทั้งหมด! เด็กๆ มาจับพวกเขาไว้ให้หมด!”


1068 ราชินีเลือดเย็น

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“จับ…ทั้งหมด?” เหล่าองครักษ์ของร้านความลับต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินคำสั่งของจีสุ่ยเยียน


พวกเขาเองก็รู้ว่าไม่นานมานี้ร้านความลับเทพมีการสู้กับร้านขยายฟ้า ร้านความลับเทพแทบจะต้องอดทนกับทุกอย่าง พวกเขาไม่กล้าปะทะกับร้านขยายฟ้า แต่วันนี้กลับจะให้จับกุมคนจากร้านขยายฟ้าทีเดียวหลายสิบคน ในนั้นยังมีคนสำคัญอยู่จำนวนหนึ่ง


เหยียนเทียนชงไม่ได้ส่งใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเชิญจีสุ่ยเยียน นอกจากกุนซือหยางที่ถูกตัดแขนขาแล้วยังมีน้องชายต่างแม่ของเหยียนเทียนชงอยู่ด้วย


“จีสุ่ยเยียน! เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ? ข้าคือเหยียนหยางผิง น้องชายแท้ๆ ของเหยียนเทียนชง เจ้าคิดจะมีเรื่องกับร้านขยายฟ้าหรือ?”


หากเหยียนหยางผิงไม่พูดถึงเหยียนเทียนชงก็ยังดีหน่อย แต่เมื่อเขาพูดชื่อนี้ขึ้นมาก็ยิ่งทำให้จีสุ่ยเยียนโมโห


นางรู้ว่าเหยียนหยางผิงเทียบเหยียนเทียนชงไม่ติด เขาเป็นแค่คุณชายไร้ความสามารถ แต่เหยียนหยางผิงกลับใช้ฐานะตัวเองมาใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปทั่วเมืองแสงหยก กลั่นแกล้งรังแกผู้คน ไม่รู้ว่าย่ำยีสาวน้อยไปมากเท่าไร บางคนถึงขั้นโดนย่ำยีถึงตายด้วยซ้ำ


จีสุ่ยเยียนมีจิตสังหารอย่างรุนแรงเมื่อคิดถึงตรงนี้


นางโบกมืออย่างฉับพลัน กระบี่ขนาดพกพาสิบสองเล่มที่ชี้ไปยังกุนซือหยางบินกลับมาแทงไปที่เหยียนหยางผิง!


“อ้า!”


เหยียนหยางผิงเห็นลำแสงสิบสองสายพุ่งเข้ามา เขาตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่างและรีบลงมือเพื่อต้านการโจมตีของจีสุ่ยเยียน แต่เหยียนหยางผิงที่ใช้ความคิดแต่กับเรื่องผู้หญิงจะเป็นคู่ต่อสู้ของจีสุ่ยเยียนได้อย่างไร?


ปราณคุ้มครองของเขาถูกกระบี่ฉีดขาดทันที จากนั้นก็มีเสียงร้องโอดครวญดังขึ้น มือเท้าเขาถูกกระบี่สี่เล่มตัดขาด! มือเท้าเพิ่งจะร่วงลง โลหิตยังไม่ทันไหลก็ถูกกระบี่อีกสี่เล่มตัดข้อศอกและหัวเข่า! จากนั้นกระบี่อีกสี่เล่มที่เหลือก็ตัดต้นแขนกับต้นขา!


จีสุ่ยเยียนไม่เพียงแค่ตัดแขนขาของเหยียนหยางผิง นางยังหั่นแขนขาเขาเป็นสามท่อน!


ทุกคนตะลึงงันเมื่อเห็นภาพนี้


กุนซือหยางก็ช่างมันเถอะ แม้ตำแหน่งเขาจะสูงแต่ก็เป็นคนนอกสำหรับร้านขยายฟ้า แต่เหยียนหยางผิงเป็นหลานแท้ๆ ของผู้เฒ่าเหยียนเชียวนะ!


หลานแท้ๆ ถูกทำให้มีสภาพเช่นนี้ เขาจะยอมได้อย่างไร?


พลังของผู้เฒ่าเหยียนไม่ใช่สิ่งที่พวกกงหยางเหนี่ยนกับเซี่ยวเค่อหลินจะเทียบได้ เขาเป็นยอดฝีมือโดยแท้จริง เป็นคนที่สั่นสะเทือนทั้งร้านขยายฟ้า


ในความเป็นจริง แม้ร้านความลับเทพจะเป็นร้านใหญ่สองร้านของเมืองแสงหยกด้วยกันกับร้านขยายฟ้า แต่ประวัติศาสตร์ของร้านขยายฟ้ายาวนานกว่าร้านความลับเทพมาก มรดกก็เยอะกว่า!


“จับเอาไว้!”


จีสุ่ยเยียนโบกมือ ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนราชินีเลือดเย็นผู้สูงส่ง


เมื่อหลายคนมองจีสุ่ยเยียนอีกครั้งก็สูดลมหายใจเย็นๆ ความจริงแล้วจีสุ่ยเยียนมีอำนาจหลังจากผู้เฒ่าจีหายตัวไป


ตลอดเวลาที่ผ่านมานางประพฤติตนอ่อนแอ อดทนได้ก็อดทน นี่เองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้กุนซือหยางไม่กลัวจีสุ่ยเยียนก่อนหน้านี้ นางเป็นแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมในสายตาทุกคน จะมีความเด็ดเดี่ยวอะไรได้


แต่ความเด็ดขาดโหดเหี้ยมของนางในวันนี้กลับอยู่เหนือจินตนาการทุกคน กุนซือหยางกับเหยียนหยางผิงกลายเป็นคนแขนขาด้วน นี่คือราคาของการดูถูกจีสุ่ยเยียน!


เสียงฝีเท้าอันวุ่นวายดังขึ้น คนของร้านขยายฟ้าถูกจับกุมทั้งหมด ภายในมีคนที่ฝีมือไม่เลวอยู่จำนวนหนึ่งแต่ก็ไม่กล้าต่อต้านเช่นกัน อานุภาพสยบจากอี้อวิ๋นรุนแรงเกินไป


“ส่งสารให้ร้านขยายฟ้านำโอสถเข้าสวรรค์สามเม็ดมาไถ่ตัวคนที่ข้าจับ! ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่รับประกันว่าพวกเขาจะรอดกลับไป!”


จีสุ่ยเยียนพูดเงื่อนไขเช่นนี้ก็เพื่อทำเรื่องที่อี้อวิ๋นสั่งมาให้สำเร็จ นางจะพยายามรวบรวมวัตถุล้ำค่าและโอสถชั้นยอดต่างๆ เพื่อช่วยอี้อวิ๋นหาที่ตั้งของแก่นหยางบริสุทธิ์ในทะเลทรายกลบอาทิตย์


ตอนนี้ร้านความลับเทพมีทั้งปัญหาภายในและภัยคุกคามจากภายนอกจึงยากจนเล็กน้อย ใช้คนเหล่านี้มาแลกโอสถเข้าสวรรค์สามเม็ดให้อี้อวิ๋นเพิ่มความแข็งแกร่ง นับว่าใช้ประโยชน์จากคนไร้ค่า


โอสถเข้าสวรรค์มีมูลค่าไม่น้อย แม้แต่ร้านขยายฟ้าก็ยังปวดใจที่ต้องให้ถึงสามเม็ด แต่อย่างไรการยอมมอบให้ก็ดีกว่า เพราะหากไม่ยอมมอบให้ก็จะทำให้คนในร้านขยายฟ้าเกิดความสงสัย พวกเขาจะรู้ว่าการทุ่มเทให้ร้านขยายฟ้าไม่ได้มีจุดจบดีเสมอไป


อี้อวิ๋นย่อมรู้ว่าจีสุ่ยเยียนคิดอะไรเช่นกัน ความจริงนางดูเหมือนโหดเหี้ยมแต่ก็เหลือทางหนีทีไล่


หากเป็นอี้อวิ๋นที่ลงมือก็คงไม่ใช่แค่ตัดแขนตัดขาแต่คงทำลายจุดตันเถียนหรือไม่ก็เอาชีวิตไปเลย


แขนขาขาดก็ยังต่อกลับไปได้ แต่หากจุดตันเถียนถูกทำลายก็จะถือว่าพิการ


จีสุ่ยเยียนใช้วิธีเช่นนี้ก็เพื่อ หนึ่ง เพิ่มความแข็งแกร่งให้อี้อวิ๋น


สอง ลองวัดขีดจำกัดของตระกูลเหยียน นางอยากรู้ว่าภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เปิดศึกอย่างเต็มขั้น พวกเขาจะทนได้ถึงขั้นไหน


และแน่นอนว่าสิ่งพึ่งพิงของการกระทำทั้งหมดนี้คืออี้อวิ๋น!


อี้อวิ๋นพยักหน้าเงียบๆ เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ วิธีการของจีสุ่ยเยียนทำให้เขาสบายใจมาก นางไม่ลืมคำสั่งของเขา ไม่ทำเกินเหตุจนลืมตัว นางดูโหดเหี้ยมเด็ดขาดก็จริง แต่แท้จริงแล้วผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ


อี้อวิ๋นมีหรือที่จะพิจารณามากถึงเพียงนี้ เขาคงสังหารให้จบไปนานแล้ว แต่จีสุ่ยเยียนกลับคิดให้เกิดประโยชน์สูงสุด


“นำคนพวกนี้ไปขังในคุกใต้ดิน พวกเรากลับจวนไปจัดงานเลี้ยง!”


จีสุ่ยเยียนย่อมไม่ได้จัดงานเลี้ยงเพื่อตัวเอง นางจัดเพื่อเลี้ยงต้อนรับอี้อวิ๋น


นางเองก็รู้ว่าอี้อวิ๋นทุ่มเทจิตใจไปกับการฝึกยุทธ์ คงไม่ชอบงานรื่นเริง ดังนั้นแม้ด้านนอกจะมีโต๊ะจัดเลี้ยงที่คึกครื้นอยู่หลายสิบโต๊ะ แต่จุดที่อี้อวิ๋นอยู่กลับเป็นห้องรับรองอันเงียบเชียบและกว้างขวาง ภายในมีโต๊ะเพียงตัวเดียว ทว่าสิ่งที่วางเป็นโต๊ะกลับเป็นอาหารชั้นยอดที่มีมูลค่าสูงทั้งสิ้น


จีสุ่ยเยียนรู้ว่าอี้อวิ๋นชอบวัตถุล้ำค่า นางจึงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้อี้อวิ๋นอย่างไม่เสียดาย


นอกจากอี้อวิ๋นแล้ว ภายในห้องรับรองนี้ก็มีแค่จีสุ่ยเยียนกับสาวใช้ประจำกายที่นางเชื่อใจมากที่สุด


ตอนที่จีสุ่ยเยียนกลับมาที่จวนก่อนหน้านี้ นางได้กวาดล้างคนสนิททั้งหมดของกงหยางเหนี่ยนกับเซี่ยวเค่อหลิน จากนั้นก็ช่วยคนของนางเองออกมาจากคุกใต้ดิน จีสุ่ยเยียนใช้วิธีที่เด็ดขาดและรวดเร็ว เพียงชั่วยามเดียวก็กลับมาเป็นผู้ควบคุมร้านความลับเทพ!


นางไม่ออมมือต่อคนที่ทรยศร้านความลับเทพ ทั้งเนรเทศ ทำลายพลังยุทธ์ ประหาร! ลงโทษทุกอย่างตามกฎของร้านความลับเทพ


กวาดล้างหนึ่งชั่วยาม ตัดสินหนึ่งชั่วยาม ขณะเดียวกันก็ยังจัดงานเลี้ยงไปด้วยอีก งานเฉลิมฉลองกับการนองเลือดอยู่เคียงคู่กัน เพียงสองชั่วยาม จีสุ่ยเยียนที่คนอื่นมองเป็นลูกแกะก็กลายเป็นราชินีเลือดเย็น


ตอนนี้ไม่ใช่แค่พวกคนที่เดิมทีก็ไม่ภักดีกับจีสุ่ยเยียนอยู่แล้วที่กลัวนาง แม้แต่คนที่เดิมทีภักดีกับนางก็ยังเคารพยำเกรงไปด้วย


อย่างเช่นตาเฒ่าจั่งซุนที่ก่อนหน้านี้ ‘รักษา’ ให้อี้อวิ๋น เดิมทีเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสเมื่ออยู่ต่อหน้าจีสุ่ยเยียน ทว่าตอนนี้กลับเคารพนบนอบมาก


แต่ตอนนี้สาวน้อยที่ถูกทุกคนในร้านความลับเทพมองเป็นราชินีเลือดเย็นกลับกำลังคุกเข่าอยู่ข้างอี้อวิ๋นอย่างเชื่อฟัง นางถือสุราวิญญาณกาหนึ่งไว้ในมือ หลังจากที่อี้อวิ๋นเพิ่งดื่มสุราเสร็จก็ค่อยๆ รินเติมให้อย่างระมัดระวัง


1069 หญิงบริสุทธิ์ใต้ดวงจันทร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้อี้อวิ๋นจะบอกไปแล้วว่าไม่ต้องการให้จีสุ่ยเยียนรินสุรารินน้ำชาให้เขาแต่นางก็ยังยืนกรานว่าจะรับใช้อยู่ข้างกายอี้อวิ๋น ส่วนสาวใช้ประจำกายนางก็ถูกส่งไปเฝ้าหน้าประตู


เพราะก่อนหน้านี้ในจวนมีการกวาดล้าง ตอนนี้จึงเป็นเวลาดึกแล้ว พระจันทร์ดวงหนึ่งลอยอยู่เหนือยอดไม้ แสงจันทร์ส่องลงมาในห้องและสะท้อนเข้าที่ศิลาจันทราสองสามเม็ดจนทั้งห้องสว่างไปหมด


ทุกอย่างในห้องเหมือนมีทรายเงินชั้นหนึ่งปกคลุม สุราในกาที่รินออกมาก็ดูลึกล้ำเหมือนเงิน


จีสุ่ยเยียนที่นั่งเงียบอยู่ใต้แสงจันทร์สวมเสื้อผ้าชุดบาง ใบหน้างดงาม มองแล้วให้ความรู้สึกเหมือนหญิงบริสุทธิ์ใต้ดวงจันทร์ เกรงว่าคนในร้านความลับเทพคงคิดไม่ถึงว่าราชินีของพวกเขาจะมีด้านที่งดงามเงียบสงบเช่นนี้


“ข้ากินเสร็จแล้ว ต่อไปนี้อาหารที่เตรียมไม่ต้องสิ้นเปลืองขนาดนี้อีก”


อี้อวิ๋นรู้สึกจริงๆ ว่าอาหารเช่นนี้น่าเสียดายเกินไป หากนำวัตถุดิบล้ำค่ามาหลอมเป็นโอสถก็จะมีสรรพคุณดีกว่าทำเป็นอาหารมากนัก เพราะการทำอาหารต้องคำนึกถึงปัญหาด้านรสชาติ จะเทียบโอสถได้อย่างไร?


ยิ่งเป็นอาหารที่ล้ำค่า สรรพคุณโอสถที่เสียไปก็ยิ่งมาก


“อื้ม”


จีสุ่ยเยียนตอบเบาๆ นางยังคงคุกเข่าอยู่ข้างอี้อวิ๋น


นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน คอเสื้อเปิดไม่สูงจึงเห็นลำคอสีขาวและร่องหน้าอกที่ปรากฏให้เห็นรางๆ รูปร่างของจีสุ่ยเยียนเอิบอิ่มมาก กระโปรงชุดนี้ถูกหน้าอกนางขับดุนอย่างสมบูรณ์ เพราะนางกำลังนั่งคุกเข่า กระโปรงที่อยู่ใต้ขาจึงถูกดึงให้ตึงจนเผยให้เห็นบั้นท้ายอันโค้งมน


ขณะที่อี้อวิ๋นกำลังกินข้าวก็รู้สึกถึงกลิ่นหอมจางๆ ที่วนเวียนอยู่รอบจมูก เมื่อตอนนี้มาเห็นจีสุ่ยเยียนก็นับว่าเป็นภาพน่าชม


“โอ้? ใบหน้าเจ้าหายดีแล้วนี่”


อี้อวิ้นค้นพบอย่างฉับพลันว่าแม้จีสุ่ยเยียนจะใช้ผ้าคลุมมาปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง แต่รอยแผลเป็นจางๆ บนใบหน้าก็หายไปแล้ว


“อื้ม…เพราะคุณชายช่วยข้ากำจัดหนอนทาสในร่าง เมื่อพิษจากตัวหนอนหายไป การรักษาแผลบนใบหน้าจึงทำได้ง่ายขึ้น… อีกอย่าง ก่อนหน้านี้สุ่ยเยียนมีแผลเป็นบนใบหน้าก็เพราะถูกทำร้ายบ่อยๆ เมื่อโดนซ้ำหลายครั้งก็ไม่อยากรักษาอีก แต่แน่นอนว่าตอนนี้ต่างออกไป…”


ขณะที่จีสุ่ยเยียนพูดก็ดึงผ้าคลุมหน้าออกจนเผยให้เห็นใบหน้าอันงดงาม ค่ำคืนนี้นางเป็นดังดอกกล้วยไม้ชุ่มน้ำค้างที่เบ่งบานใต้ดวงจันทร์เงียบๆ


อี้อวิ๋นอดที่จะชื่นชมความงามของจีสุ่ยเยียนไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้เขานึกถึงหลินซินถงอย่างไม่ตั้งใจ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องหาหลินซินถงให้เจอก่อน แต่สิบสองยอดสวรรค์กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ การจะหาคนคนหนึ่งจึงยากเกินไป


เขาจำเป็นต้องแข็งแกร่งก่อนจึงจะท่องไปในโลกอันกว้างใหญ่นี้ได้


อี้อวิ๋นดื่มสุราในมือจนหมดเมื่อคิดถึงตรงนี้และพูดขึ้นว่า “ข้าจะพักผ่อนแล้ว”


ห้องที่เขาพักในร้านความลับเทพย่อมมีจีสุ่ยเยียนเป็นคนจัดการ จีสุ่ยเยียนพยักหน้าและพาอี้อวิ๋นไปยังห้องนอนห้องหนึ่ง


ห้องนอนนี้มีขนาดกว้างขวางมาก ตรงกลางมีเตียงที่นอนได้ถึงสี่ห้าคน หน้าเตียงมีพรมที่ทอขึ้นจากขนนกวิญญาณ รอบเตียงมีผ้าม่านล้อมรอบ ห้องนี้ตกแต่งอย่างประณีตหรูหรา


ตัวเตียงถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว มีหมอนผ้าห่มที่ทำจากไหมสวรรค์และมีค่ายกลรวมวิญญาณติดตั้ง เตียงนี้ทั้งใช้ฝึกทั้งใช้พักผ่อนได้


สาวใช้ประจำกายจีสุ่ยเยียนยืนอยู่หน้าประตูอีกครั้ง จีสุ่ยเยียนกางผ้าห่มให้อี้อวิ๋นด้วยตัวเอง หลังจากที่กางเสร็จก็ไม่ได้ออกจากห้องแต่อย่างใด นางมองอี้อวิ๋นพร้อมกัดริมฝีปากเบาๆ ดูท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูด


“มีอะไรหรือ?” อี้อวิ๋นถาม


“คุณชายอี้…สุ่ยเยียนอยากถามว่าคุณชายจะอยู่เมืองแสงหยกนานแค่ไหนหรือเจ้าคะ?”


จีสุ่ยเยียนถามคำถามที่เก็บในใจมาโดยตลอด นางรู้ดีว่าวิธีการรวดเร็วเด็ดขาดและเหี้ยมโหดก่อนหน้านี้เกิดได้เพราะปัจจัยแรกคือ…อี้อวิ๋นอยู่ที่ร้านความลับเทพ


ตอนนี้ผู้คนเกรงกลัวนางเพราะความเด็ดขาดเหี้ยมโหด ไม่มีใครกล้าดูถูกจีสุ่ยเยียนอีก แต่เมื่ออี้อวิ๋นจากไป ความเลือดเย็นและเด็ดขาดนี้ของนางก็จะกลับกลายเป็นเรื่องน่าขัน คนที่เคยถูกนางกำราบจะเอาคืนอย่างบ้าคลั่ง จีสุ่ยเยียนไม่กล้านึกถึงจุดจบของตัวเองเลยจริงๆ มันต้องเป็นความอัปยศและเจ็บปวดอันไร้สิ้นสุดแน่นอน คิดจะตายยังยาก


แม้จีสุ่ยเยียนจะอยากให้อี้อวิ๋นอยู่ต่อที่ร้านความลับเทพเป็นอย่างมาก แต่นางก็รู้ว่าอี้อวิ๋นเป็นคนที่ใจใฝ่ทางยุทธ์ สิ่งที่เขาไล่ตามคือวิถียุทธ์ขั้นสูงสุด ไม่มีทางสนใจเรื่องเล็กๆ อย่างร้านความลับเทพ


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากอี้อวิ๋นอยู่เมืองแสงหยกได้สักระยะหนึ่งก็เป็นพระคุณครั้งใหญ่สำหรับจีสุ่ยเยียนแล้ว นางจะหวังให้อี้อวิ๋นช่วยเหลืออย่างไม่หวังสิ่งตอบแทนได้อย่างไร?


“ตอนนี้ยังไม่แน่นอน อย่างนานก็เป็นปี อย่างสั้นก็สองสามเดือนกระมัง…”


มีหรือที่อี้อวิ๋นจะไม่รู้ว่าจีสุ่ยเยียนคิดอะไร แต่เขาไม่อาจอยู่เมืองแสงหยกไปตลอด ที่นี่เล็กเกินไป ที่อี้อวิ๋นยังอยู่ก็เพราะแก่นหยางกับวัตถุดิบล้ำค่า แต่วัตถุอย่างแก่นหยางเป็นสิ่งที่จะเจอหรือไม่ก็ขึ้นกับวาสนา หากผ่านไปปีหนึ่งแล้วยังหาไม่เจอ เช่นนั้นอี้อวิ๋นจะอยู่ที่นี่ต่อได้อย่างไร?


“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องร้านขยายฟ้า ข้าจะช่วยเจ้าจัดการปัญหาเรื่องนี้ให้ก่อนไป”


“ขอบคุณคุณชายอี้เจ้าค่ะ…” จีสุ่ยเยียนพูดเสียงเบา นางรู้ว่าหากไม่มีพลังรักษาสมบัติของตัวเองในทะเลทรายกลบอาทิตย์แห่งนี้ เช่นนั้นต่อให้ไม่มีร้านขยายฟ้า ยังไงร้านความลับเทพก็ถูกกลุ่มอิทธิพลอื่นยึดครองอยู่ดี


 ตอนนี้นางมีเวลาเพียงไม่กี่เดือน ยากที่จะเสาะหายอดฝีมือที่ภักดีต่อนางภายในเวลาแค่นี้


จีสุ่ยเยียนไม่ได้พูดคำเหล่านี้ออกมา นางรู้ว่าอี้อวิ๋นทำอะไรเพื่อร้านความลับเทพมากพอแล้ว


“แม่นางสุ่ยเยียนยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่?”


อี้อวิ๋นเตรียมตัวที่จะพักผ่อนแล้ว จีสุ่ยเยียนปูผ้าห่มให้เขาแต่กลับไม่ออกจากห้อง เพราะจีสุ่ยเยียนเอาแต่ก้มหน้าอยู่ตลอด เมื่อมองจากด้านบนลงไปจึงเห็นหน้าอกที่ทำจินตนาการไปไกล


อี้อวิ๋นมองเพียงแวบเดียวก็ไม่มองอีก


จีสุ่ยเยียนหน้าแดงเล็กน้อย นางอยากพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่พูด


หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงพูดขึ้นว่า “คุณชายอี้มีบุญคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้สุ่ยเยียน สุ่ยเยียนไม่รู้จะตอบแทนคุณชายอย่างไร น่าเสียดายที่สิ่งที่สุ่ยเยียนมองว่าสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณชายพอใจ แต่สุ่ยเยียนมีเข็มทิศความลับสวรรค์อยู่ชิ้นหนึ่ง มันน่าจะช่วยคุณชายได้”


จีสุ่ยเยียนพูดแล้วก็หยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ เมื่อเปิดออกก็เห็นแผ่นโลหะสีเทา


กลางแผ่นโลหะมีลายปลาไท่จี๋หยินหยาง รอบๆ มีลายค่ายกลซับซ้อน ดูแล้วโบราณและลึกล้ำ


“นี่คือ…”


เมื่ออี้อวิ๋นรับเข็มทิศความลับสวรรค์มาไว้ในมือก็รู้สึกหนัก ไม่รู้ว่าทำจากวัสดุอะไร


จีสุ่ยเยียนพูดว่า “ตอนที่ท่านปู่ออกจากสำนักความลับสวรรค์ได้นำเข็มทิศแม่ลูกออกมาด้วยคู่หนึ่ง เข็มทิศนี้สามารถใช้ตามหาสมบัติ เมื่อทะเลทรายกลบอาทิตย์เกิดปรากฏการณ์ในเวลาต่อมา ท่านปู่ก็ได้นำเข็มทิศตัวแม่ไปตามหาแก่นหยางแต่ก็ไม่ได้หวนกลับมาอีก เข็มทิศความลับสวรรค์ตัวแม่จึงหายสาบสูญไปในทะเลทรายกลบอาทิตย์ด้วยกันกับท่านปู่ เข็มทิศที่อยู่กับสุ่ยเยียนคือตัวลูก”


“แม้คุณชายอี้จะไม่ใช้เข็มทิศนี้ก็ไม่เป็นไร เพียงแค่เข้าใกล้เข็มทิศตัวแม่ ตัวทิศตัวลูกนี้ก็จะเกิดการตอบสนองขึ้นเอง เช่นนี้แล้วคุณชายอี้ก็จะได้เจอตำแหน่งที่ท่านปู่ของข้าเกิดเรื่อง สุ่ยเยียนเชื่อว่าที่นั่นต้องอยู่ไม่ไกลจากแก่นหยางแน่นอน”


1070 ความคิดของสาวน้อย

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“เช่นนี้นี่เอง ขอบคุณแม่นางสุ่ยเยียนจริงๆ”


เข็มทิศความลับสวรรค์ตัวลูกนี้มีประโยชน์ต่ออี้อวิ๋นมาก เขาใช้วิชาพยากรณ์พื้นภูมิไม่เป็น การตามหาแก่นหยางในทะเลทรายกลบอาทิตย์จึงไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร แต่หากมีเข็มทิศความสวรรค์ก็จะต่างออกไปโดยสิ้นเชิง


สมบัติชิ้นนี้ช่วยอี้อวิ๋นครั้งใหญ่


“อื้ม…ยังมีสิ่งนี้ด้วย… นี่คือศิลาเทพหยางบริสุทธิ์ทั้งหมดที่ท่านปู่ทิ้งไว้ให้ ข้าขอบมอบให้คุณชายอี้เช่นกัน”


ขณะที่จีสุ่ยเยียนพูดก็หยิบถุงหนังสัตว์อันประณีตใบหนึ่งออกมาจากแหวนมิติอีกครั้ง จากนั้นก็เทศิลาเทพทั้งหมดภายในออกมา ศิลาเทพมีทั้งหมดแปดเม็ด แต่ละเม็ดมีขนาดแตกต่างกันไป


ทั่วทั้งห้องอบอวลไปด้วยปราณหยางบริสุทธิ์อันเข้มข้นทันที


อี้อวิ๋นดีใจเมื่อเห็นวัตถุชิ้นนี้ ไม่พูดถึงแก่นหยาง ลำพังแค่ศิลาเทพหยางบริสุทธิ์ก็มีประโยชน์ต่อเขาอย่างใหญ่หลวงแล้ว


เขารู้ว่าศิลาเทพหยางบริสุทธิ์กับเข็มทิศความลับสวรรค์ตัวลูกมีความหมายต่อจีสุ่ยเยียนเป็นพิเศษ เพราะพวกมันเป็นสิ่งที่ท่านปู่ของนางทิ้งไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมูลค่า


“ขอบคุณแม่นางสุ่ยเยียน ข้าจำบุญคุณนี้ไว้แล้ว”


อี้อวิ๋นเป็นคนรู้บุญคุณ เขาจะช่วยจัดการปัญหาของร้านความลับเทพให้หมดจดแน่นอน


“เช่นนั้น…สุ่ยเยียนก็ขอขอบคุณคุณชายเช่นกัน”


จีสุ่ยเยียนทำความเคารพ ก่อนหน้าที่นางจะหมุนตัวจากไปก็เห็นว่าอี้อวิ๋นนั่งขัดสมาธิบนเตียงและเริ่มหลอมศิลาเทพหยางบริสุทธิ์


นางหยุดชะงักเบาๆ พร้อมมองอี้อวิ๋นอย่างใช้ความคิด แววตามีความซาบซึ้ง อ่อนโยน ทั้งยังเหมือนมีความเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์


จากนั้นนางก็ถอนหายใจเบาๆ ในใจ ถอยตัวออกจากห้องเงียบๆ และปิดประตูลง…


อี้อวิ๋นมีเมล็ดพันธุ์ไม้เทพกับศิลาเทพหยางบริสุทธิ์ ใช้คำว่าพุ่งทะยานมาอธิบายการฝึกได้เลย


มีผลวิถีเก้าใบสี่ผลเป็นรากฐาน ตัวพวกมันเองก็เป็นวัตถุวิเศษอยู่แล้ว สามารถดูดซึมชิ้นส่วนกฎบนโลก อี้อวิ๋นไม่จำเป็นต้องคิดว่าการบรรลุด้านกฎจะมั่นคงหรือไม่


แม้การข้ามผ่านระดับของอี้อวิ๋นจะใช้ทรัพยากรมากกว่าจอมยุทธ์คนอื่นๆ หลายเท่า แต่เพียงแค่เขามีวัตถุดิบล้ำค่าก็จะข้ามผ่านระดับได้เลย นี่ก็คือการท้าทายสวรรค์ของผลวิถีเก้าใบสี่ผล!


ความเร็วในการฝึกเช่นนี้คงอยู่ได้นาน นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการสำหรับจอมยุทธ์ระดับรวมวิถีคนอื่นๆ


ภายใต้การหล่อเลี้ยงจากพลังปราณของศิลาเทพหยางบริสุทธิ์ เมล็ดพันธุ์ไม้เทพก็เริ่มเติบโตอีกครั้ง


ใบอ่อนหลายใบบานงอกออกมา หน่ออ่อนของไม้เทพเติบโตด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เดิมทีสูงเพียงไม่กี่นิ้วก็ค่อยๆ โตจนเกือบถึงหนึ่งฉื่อ


ขณะเดียวกันปราณหยางบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งสกปรกปนเปื้อนก็ส่งกลับไปทั่วร่างอี้อวิ๋น อี้อวิ๋นรู้สึกได้เลยว่าระดับยุทธ์เขากำลังพุ่งทะยาน


เดิมทีเขาอยู่ขั้นสูงสุดของระดับรวมวิถีช่วงต้น ตอนนี้เขาเข้าสู่ช่วงกลางภายในคราเดียวและยังคงพัฒนาต่อจนเข้าใกล้ขั้นสูงสุดของระดับรวมวิถีช่วงกลาง


ความรู้สึกที่ได้สัมผัสถึงพลังที่เพิ่มขึ้นโดยตรงทำให้อี้อวิ๋นอดที่จะดีใจไม่ได้


ขณะที่อี้อวิ๋นกำลังฝึกฝน ทั่วร่างเขาก็มีแสงสีทองจางๆ แผ่ออกมา ไม่ใช่แค่ร่างเขาที่ส่องแสง แม้แต่ห้องที่เขาอยู่ก็มีแสงทองปกคลุม มองดูประหนึ่งมีเทพเสด็จลงมา


แต่ตำแหน่งที่อี้อวิ๋นอยู่คือลานด้านหลังของร้านความลับเทพ ที่นี่มีการป้องกันหลายชั้นจึงไม่มีใครเข้ามา นี่จึงทำให้ไม่มีใครเห็นปรากฏการณ์นี้เช่นกัน


แน่นอนว่ายกเว้นจีสุ่ยเยียน…


หากไม่นับตัวสาวใช้ ทั้งลานด้านหลังนี้ก็มีแค่อี้อวิ๋นกับจีสุ่ยเยียนสองคน


ในค่ำคืนอันเงียบสงัดมีห้องห้องหนึ่งที่ไม่ได้จุดไฟ จีสุ่ยเยียนมองผ่านหน้าต่างไปยังห้องของอี้อวิ๋นที่มีแสงทองจางๆ ส่องสว่างอย่างใจลอย


“คุณหนู ได้เวลาอาบน้ำนอนแล้วเจ้าค่ะ”


สาวใช้ประจำกายจีสุ่ยเยียนพูดเตือนเสียงเบา นางเห็นว่าคุณหนูหยุดชะงักที่หน้าต่างอยู่นานมากแล้ว


“อื้ม…”


จีสุ่ยเยียนพยักหน้าแล้วค่อยๆ ถอดสายรัดเอวออก เสื้อผ้าร่วงลงพื้นเบาๆ ทีละตัวจนเผยให้เห็นผิวพรรณที่ละเอียดเหมือนผ้าแพรและรูปร่างอันสมบูรณ์แบบ


แสงจันทร์สาดลงบนผิวนางจนดูเหมือนเงินที่กระจัดกระจาย จีสุ่ยเยียนยกขาอันเรียวยาวเพื่อก้าวเข้าสู่สระอาบน้ำเบาๆ


สระอาบน้ำนี้มีขนาดใหญ่แต่น้ำกลับเย็น นี่เป็นสิ่งที่นางจงใจสั่งเอาไว้ ความเย็นแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรสำหรับจอมยุทธ์


ในน้ำมีกลีบดอกไม้โปรยปรายจึงได้กลิ่นหอมจางๆ จีสุ่ยเยียนเดินไปในสระเบาๆ เพื่อสัมผัสถึงความเย็นที่แล่นผ่านขาอ่อน


หลังจากที่ผ่านไปสักพักก็ค่อยๆ นั่งตัวลง ปล่อยให้น้ำเย็นจมผ่านผิวอันแวววาวไปทีละน้อย จมไปถึงเอวอันโค้งมนและหน้าอกเอิบอิ่ม จากนั้นก็ถึงแก้มและเส้นผม…


ท้ายที่สุดนางก็หลับตาลง ปล่อยให้น้ำจมไปถึงหน้าผาก


แขนทั้งสองของนางดกอดหัวเข่าทั้งสองไว้แน่น ขาที่พับขึ้นมากดเข้าที่หน้าอกอันอ่อนนุ่มจนเกิดรูปร่างที่งดงาม นางนั่งอยู่ในน้ำเงียบๆ เช่นนี้ ปล่อยให้ผิวน้ำบิดเบือนรูปลักษณ์อันงดงามของนาง


แม้จะได้ควบคุมร้านความลับเทพอีกครั้ง แต่ไม่รู้เหตุใดนางจึงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย


บางทีในวันที่นางได้เจออี้อวิ๋น ในขณะที่นางกำลังสิ้นหวังถึงขีดสุดจากการทรมานของยายเฒ่าชุดแดง การปรากฏตัวของเขาได้สร้างตราประทับที่ยากจะทำลายลงในใจนาง


นางเองก็เคยคิดว่าหากอี้อวิ๋นไม่ได้อยู่สูงถึงเพียงนั้น เช่นนั้นนางคงใช้สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของตัวเองมาตอบแทนเขาได้ แม้จะบอกว่าตอบแทนบุญคุณ แต่แท้จริงแล้วก็เป็นความปรารถนาในใจนาง


นางหยิ่งทะนงมาตรฐานสูงมาโดยตลอด ไม่สนใจบุรุษ ทว่าวันนี้…นางกลับรู้ว่าตัวเองกับเขาห่างไกลกันมากเกินไปจนนางไม่มีความกล้าที่จะพูด นี่อาจเป็นที่มาของความหดหู่และสับสนกระมัง…


หากนางมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นกัน มีพรสวรรค์ที่อยู่เหนือทุกอย่าง เช่นนั้นร้านความลับเทพแล้วอย่างไร เพียงแค่ทำความปรารถนาของท่านปู่ให้สำเร็จก็จะได้ท่องไปในใต้หล้า ไปทำตามความต้องการทั้งหมดของตัวเอง


“คุณหนู…”


ข้างหูมีเสียงเรียกของสาวใช้ดังขึ้น จีสุ่ยเยียนไม่ลุกตัวขึ้นแต่อย่างใด โลกใต้น้ำนี้เงียบสงัดจนนางรู้สึกสงบลงอย่างประหลาด


……


ที่ร้านขยายฟ้าในเวลานี้ ชายชราที่สวมเสื้อผ้าหรูหราผู้หนึ่งกำลังตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าน่ากลัว


ชายชราผู้นี้คือผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของร้านขยายฟ้า…เหยียนผิงชวน ความเปลี่ยนแปลงของร้านความลับเทพในค่ำคืนนี้ทำให้แม้แต่เหยียงผิงชวนยังตกใจ


“ระดับวังวิถีห้าชั้น สังหารกงหยางเหนี่ยวภายในเสี้ยววินาที ไม่เคยปรากฏโฉมหน้า ไม่รู้หน้าตา…”


เหยียนผิงชวนรู้เพียงข้อมูลเหล่านี้


“แค่ระดับวังวิถีห้าชั้น แม้พลังจะไม่เลว แต่หากคิดจะกำราบร้านขยายฟ้าของเราด้วยตัวคนเดียวก็จะไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”


มีลูกหลานสายตรงของตระกูลเหยียนพูดอย่างโมโห


“ใช่ ทั้งยังนังแพศยาจีสุ่ยเยียนนั่นเอง กล้าดีอย่างไรมาจับคนของพวกเรา ทั้งยังตัดแขนขากุนซือหยาง นายน้อยชอบพอนางก็เป็นบุญของนางแล้ว ยังไม่เห็นคุณค่าอีก หาเรื่องตายชัดๆ!”


“นายท่านสั่งมาเถอะ ครั้งนี้ร้านความลับเทพเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ต่อให้พวกเราจะทำลายร้านความลับเทพให้พินาศ ร้านประมูลเจ็ดดาราก็พูดอะไรไม่ได้! ครั้งนี้ให้ยอดฝีมือทั้งหมดของเราลงมือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครเหลือรอด!”


คนของร้านขยายฟ้าเป็นพวกอารมณ์ฮึกเหิม ทว่าเหยียนผิงชวนกลับขมวดคิ้ว เขารู้สึกรางๆ ว่าคนผู้นี้ไม่ได้จัดการง่ายถึงเพียงนั้น


1071 เหยียนเทียนชง

โดย

Ink Stone_Fantasy

คนจากร้านขยายฟ้ายิ่งคุยยิ่งฮึกเหิม พวกเขาอยากตัดหัวอี้อวิ๋นเสียบประจาน


แต่เหยียนผิงชวนที่เป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของร้านขยายฟ้ากลับส่งเสียงเย็นอย่างฉับพลัน “พอได้แล้ว! หากโจมตีในขณะที่ไม่รู้ว่าศัตรูแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า ไม่ว่าใครในร้านขยายฟ้าก็ห้ามหาเรื่องคนผู้นี้ ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษตามกฎของตระกูล!”


คำพูดอันฉับพลันของเหยียนผิงชวนทำให้ทุกคนในร้านขยายฟ้าตะลึงงัน


พวกเขาถูกเหยียบย่ำอย่างรุนแรงแต่กลับไม่ให้ตอบโต้?


“แต่…พวกกุนซือหยางกับหยางผิงถูกตัดแขนตัดขา หากไม่ช่วยพวกเขาออกมา เช่นนั้นพวกเราก็ไม่เพียงแต่จะถูกคนในเมืองแสงหยกหัวเราะเยาะ แต่ยังจะทำให้หลายคนเสื่อมศรัทธา คนในร้านจะคิดว่าต่อให้ทุ่มเทชีวิตให้ร้านขยายฟ้าก็ใช่ว่าจะได้ดี…”


ผู้อาวุโสคนหนึ่งของร้านขยายฟ้าพูดขึ้น สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่ไม่มีเหตุผล


เหยียนผิงชวนไม่ตอบอะไร หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นานก็มองไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่งในห้อง ชายผู้นี้สวมเสื้อผ้าสีม่วง รูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาลุ่มลึก ผิวเขาไม่ได้ขาวเหมือนพวกคุณชายจากตระกูลร่ำรวยแต่เป็นสีน้ำตาลที่ให้ความรู้สึกเต็มไปด้วยพลัง


ชายผู้นี้ก็คือเหยียนเทียนชงผู้เป็นนายน้อยของร้านขยายฟ้า


“เทียนชง เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” เหยียนผิงชวนถาม


“ข้าเห็นด้วยกับความคิดของท่านปู่ ข้าแนะนพว่าเราอย่าเพิ่งบุ่มบ่าม เราถอยอย่างเหมาะสมด้วยก็ได้ ใช้โอสถจำนวนหนึ่งเพื่อเชื่อมแขนขาให้กุนซือหยางกับหยางผิงจะได้ไม่พิการ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็วางแผนก่อนค่อยลงมือ ท่านอาจารย์ของข้ากำลังจะมาเมืองแสงหยกแล้ว…”


เหยียนผิงชวนดีใจเมื่อเหยียนเทียนชงพูดถึงตรงนี้ “ท่านฮว่าอวี่จะมาเมืองแสงหยกแล้วหรือ?”


“ขอรับ!”


“ดี!” เหยียนผิงชวนพยักหน้า เขาพอใจในคำตอบของหลานคนนี้มาก การอดทนใช่ว่าจะเป็นการกระทำที่อ่อนแอ พิจารณาให้ดีก่อนแล้วค่อยลงมือทำต่างหากที่เป็นคุณสมบัติที่ผู้กุมอำนาจพึงมี โดยเฉพาะการมาของท่านฮว่าอวี่ที่ทำให้เหยียนผิงชวนเห็นโอกาสพลิกผัน เขาพูดว่า “ท่านฮว่าอวี่คงจะมาเพราะปรากฏการณ์ของทะเลทรายกลบอาทิตย์สินะ…”


“ขอรับ! เพื่อมอบข้อมูลให้ท่านอาจารย์ได้มากขึ้น ก่อนหน้านี้ข้าจึงได้รวบรวมข้อมูลหลายอย่างเกี่ยวกับทะเลทรายกลบอาทิตย์ แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดปรากฏการณ์นี้ แต่…ข้าได้ตรวจสอบปริศนาการหายตัวไปของผู้เฒ่าจีจากร้านความลับเทพ ตอนที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นก็มีบันทึกว่าเขาออกจากเมืองแสงหยก ข้าสงสัยว่าการหายตัวไปของผู้เฒ่าจีจะมีความเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ อาจเป็นไปได้ว่าร้านความลับเทพมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้”


“โอ้? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” ดวงตาเหยียนผิงชวนเป็นประกายขึ้น นี่เป็นข้อมูลที่มีมูลค่ามาก เพราะมันไม่ได้เกี่ยวแค่เรื่องที่ร้านขยายฟ้าจะยึดเอาร้านความลับเทพได้ราบรื่นหรือไม่ แต่ยังเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ในทะเลทรายกลบอาทิตย์


ปรากฏการณ์นี้ดึงดูดความสนใจจากกลุ่มอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าจะเป็นวัตถุขั้นสุดยอด หากร้านขยายฟ้าได้ประโยชน์บางส่วนจากสิ่งนี้ แม้จะเป็นแค่น้ำแกงก็มีประโยชน์มากแน่นอน


เหยียนผิงชวนพอใจในหลานคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เขายังไม่ทันพูดอะไรอีกฝ่ายก็พูดต่อว่า “ท่านปู่ หลานรู้มาว่าเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักความลับสวรรค์ก็มาที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์เช่นกัน สำนักนี้ฝึกวิชาลับพยากรณ์พื้นภูมิ สามารถศึกษาพลังฟ้าดินในทะเลทราย หลานรู้มาอีกว่าสำนักความลับสวรรค์นี้มีความแค้นกับผู้เฒ่าจี ตอนนั้นผู้เฒ่าจีน่าจะเป็นคนทรยศของสำนัก!”


ในเมื่อเหยียนเทียนชงมองร้านความลับเทพเป็นคู่ต่อสู้และอยากยึดเอา หลายปีมานี้เขาจึงไม่เคยหยุดค้นคว้าข้อมูลของร้านความลับเทพ


แม้ผู้เฒ่าจีจะปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสำนักความลับสวรรค์ แต่เมื่อร้านความลับเทพมีกิจการใหญ่ การจะปิดบังตัวตนจึงยากมาก ในเมื่อยายเฒ่าชุดแดงยังหาที่ซ่อนของตระกูลจีเจอ เหยียนเทียนชงก็ย่อมเจอเช่นกัน


“ดี ดีมาก! เช่นนั้นข้าขอมอบหมายเรื่องนี้ให้ชงเอ๋อร์จัดการ!” เหยียนผิงชวนหัวเราะเสียงดังด้วยใจที่เบิกบาน ร้านขยายฟ้ามีผู้สืบทอดเช่นนี้เขาก็วางใจแล้ว


“ขอรับท่านปู่” เหยียนเทียนชงตอบ สีหน้าเขานิ่งเรียบ ทว่าดวงตากลับมีประกายเย็นๆ แล่นผ่าน


แม้จีสุ่ยเยียนจะไม่ใช่ผู้หญิงของเขา แต่เขาก็ไม่อาจยอมรับการทรยศจากนาง…เขาไม่ยอมให้ใครทรยศเขาทั้งนั้น


เหยียนเทียนชงมีความทะเยอทะยานสูงมาก ร้านขยายฟ้าเป็นแค่จุดเริ่มต้นในสายตาเขา กระทั่งทั้งทะเลทรายกลบอาทิตย์ก็กำราบความทะเยอทะยานนี้ไว้ไม่อยู่


……


ที่จวนร้านความลับเทพในเวลานี้ การฝึกเพื่อเข้าสู่ระดับรวมวิถีช่วงกลางของอี้อวิ๋นใช้เวลาถึงสามวัน เขาข้ามผ่านระดับภายในคืนเดียว ส่วนเวลาที่เหลือก็ใช้หลอมระดับให้แน่น


อี้อวิ๋นใช้ศิลาเทพหยางบริสุทธิ์ที่จีสุ่ยเยียนมอบให้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว มองศิลาที่กลายเป็นธุลีแล้วก็เสียดาย


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าศิลาเทพหยางบริสุทธิ์เป็นวัตถุดิบล้ำค่า มันน่าจะเป็นหินรอบแก่นหยางที่ผ่านการหล่อหลอมนับร้อยล้านปีจนค่อยๆ กลายเป็นศิลาเทพที่มีมูลค่ามาก


น่าเสียดาย หากนำศิลาเทพหยางบริสุทธิ์ไปหลอมเป็นธาตุกระดูกด้วยกันกับกระดูกปีศาจ เช่นนั้นสรรพคุณก็จะเพิ่มอีกหลายเท่า


อี้อวิ๋นเข้าใจวิชาปรมาจารย์อสูร และเพราะมีผลึกม่วงอยู่ การฝึกวิชาปรมาจารย์อสูรของเขาจึงเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์มากเป็นพิเศษ แต่หลายปีมานี้เขาจดจ่อกับการฝึกยุทธ์ พยายามเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง วิชาปรมาจารย์อสูรจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ชั่วคราว


แต่ถึงกระนั้นวิชาปรมาจารย์อสูรของอี้อวิ๋นก็โดดเด่นมากอยู่ดี เพียงแค่เขาใช้เวลามายกระดับก็จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว


เพราะต้องเลี้ยงดูผลวิถีใหญ่เก้าใบถึงสี่ผล ทั้งยังมีเมล็ดพันธุ์ไม้เทพที่เป็นตัวเขมือบโอสถ การพัฒนาระดับของอี้อวิ๋นจึงจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบล้ำค่ามากกว่าจอมยุทธ์ทั่วไป แม้ตอนนี้เขาจะอยู่ระดับรวมวิถีช่วงกลาง ทว่าแม้แต่จอมยุทธ์ระดับวังวิถีแปดเก้าชั้นก็ยังย่อยวัตถุดิบล้ำค่ามากเท่าอี้อวิ๋นไม่ไหว


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อี้อวิ๋นจึงสงสัยว่าเขาควรฝึกวิชาปรมาจารย์อสูรได้แล้วหรือยัง


เพียงแค่มีธาตุกระดูกและโอสถ การฝึกของเขาก็จะพุ่งทะยานวันละพันลี้


แต่การรวบรวมสิ่งเหล่านี้กลับไม่ง่าย ตอนนี้อี้อวิ๋นอยู่ระดับรวมวิถี ตัวเขาอยู่ทะเลทรายกลบอาทิตย์ที่เป็นแหล่งกำเนิดวัตถุดิบล้ำค่า หากจะรวบรวมจึงนับว่าพอง่าย แต่หากถึงระดับวังวิถีก็จะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อัตราการใช้วัตถุดิบล้ำค่าให้เกิดประโยชน์จึงสำคัญมาก


แม้การฝึกวิชาปรมาจารย์อสูรจะทำให้เสียเวลาไปเล็กน้อย แต่เตรียมตัวไว้ก่อนก็จะได้ไม่กลัวพลาด


หากจอมยุทธ์คนอื่นรู้ความคิดของอี้อวิ๋นเข้าก็คงด่าว่าเสียของ หากใครมีเงื่อนไขฝึกวิชาปรมาจารย์อสูรที่สะดวกแบบเขาก็คงคิดหาวิธีเข้าสำนักวิชาปรมาจารย์อสูร เพราะไม่ว่าจะโลกใดในสิบสองยอดสวรรค์ ผู้ที่เป็นปรมาจารย์อสูรหรือปรมาจารย์โอสถขั้นบรมครูล้วนแต่เป็นคนที่มีตำแหน่งน่านับถือและมั่งคั่ง


ขณะที่อี้อวิ๋นกำลังคิดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ เมื่อกวาดการรับรู้ออกไปก็เห็นสาวน้อยท่าทางอายุสิบหกสิบเจ็ดชุดเหลืองผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู


นางเหมือนกระต่ายที่ระมัดระวัง เคาะประตูอย่างเบามือและพูดว่า “คุณชายอี้ คุณหนูต้องการพบเจ้าค่ะ นางมีเรื่องจะปรึกษา”


1072 งานประชุมตามหาสมบัติ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เพราะสองสามวันมานี้อี้อวิ๋นปิดด่านฝึกตน หากจีสุ่ยเยียนไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่มีทางรบกวนอี้อวิ๋นแน่นอน หากจะพบอี้อวิ๋นก็จะส่งสาวใช้มาถามก่อนจึงค่อยมา


วันนี้จีสุ่ยเยียนสวมชุดกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลอันงดงาม มองแล้วรูปร่างสูงเพรียวสะโอดสะอง


“คุณชายอี้ ร้านขยายฟ้าส่งโอสถเข้าสวรรค์มาแล้วเจ้าค่ะ…”


“โอสถเข้าสวรรค์?” อี้อวิ๋นตกใจ “ร้านขยายฟ้าใช้โอสถเข้าสวรรค์มาแลกคนของพวกเขาจริงๆ?”


แม้อี้อวิ๋นจะรู้สึกว่าตัวเองไม่กลัวร้านขยายฟ้า แต่การกระทำเช่นนี้ของพวกเขาดูขี้ขลาดเกินไปหน่อย


“เจ้าค่ะ แต่ว่า…” จีสุ่ยเยียนขมวดคิ้วเบาๆ เมื่อพูดถึงตรงนี้ “ร้านขยายฟ้าส่งเทียบเชิญมาให้คุณชายอี้เข้าร่วมงานประชุมตามหาสมบัติในอีกสองวัน พวกเขาบอกว่าจะร่วมหารือเรื่องเบาะแสของปรากฏการณ์ที่เกิดในทะเลทรายกลบอาทิตย์ก่อนหน้านี้ ร่วมกันตามหาสมบัติและแบ่งผลประโยชน์”


“งานประชุมตามหาสมบัติ?” อี้อวิ๋นฟังแล้วก็รู้สึกน่าขัน “พวกเขาป่วยหรือ เหตุใดข้าต้องเข้าร่วมด้วย?”


อี้อวิ๋นมีเข็มทิศความลับสวรรค์ตัวลูก ทั้งยังมีการอนุมานจากปู่ของจีสุ่ยเยียน ไม่สนใจในงานประชุมตามหาสมบัตินี้แม้แต่น้อย


จีสุ่ยเยียนพูดว่า “งานประชุมตามหาสมบัติจัดโดยร้านขยายฟ้ากับร้านประมูลเจ็ดดารา มีคนมากมายเข้าร่วม คนเหล่านี้ต่างมาเพื่อแก่นหยาง”


“ในงานประชุมจะมีการซื้อขายวัตถุดิบล้ำค่าหลายอย่างและข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์ แต่สุ่ยเยียนได้ข่าวมาว่าครั้งนี้ท่านฮว่าอวี่ผู้เป็นอาจารย์ของเหยียนเทียงชงจากร้านขยายฟ้าก็มาที่เมืองแสงหยกเช่นกัน เขาเป็นหนึ่งในที่พึ่งของร้านขยายฟ้า ไม่มีทางพลาดงานประชุมนี้แน่นอน หากคุณชายอี้ไปร่วมงามก็อาจปะทะกับคนผู้นี้…”


จีสุ่ยเยียนกังวลเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ นางไม่รู้ว่าอี้อวิ๋นแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่ การสังหารกงหยางเหนี่ยนกับยายเฒ่าชุดแดงก็ยังไม่อาจแสดงขีดจำกัดของเขา


เกรงว่าหากเจอยอดฝีมืออย่างท่านฮว่าอวี่ก็คงไม่ได้เปรียบนัก


“งานซื้อขายหรือ…”


อี้อวิ๋นลังเลเล็กน้อย เขาเริ่มสนใจงานประชุมตามหาสมบัติขึ้นมา หากได้ซื้อวัตถุดิบล้ำค่าที่เหมาะสมก็จะเลี้ยงดูเมล็ดพันธุ์ไม้เทพได้อีกขั้น ระดับยุทธ์ของเขาในตอนนี้ยังต่ำเกินไปจริงๆ


การเข้าร่วมงานประชุมตามหาสมบัติยังช่วยให้รู้ว่าคนที่มาทะเลทรายกลบอาทิตย์ครั้งนี้เพื่อตามหาแก่นหยางมีใครบ้างได้ล่วงหน้า เรื่องนี้มีประโยชน์ต่อแผนการในอนาคตของอี้อวิ๋นมากเช่นกัน


จีสุ่ยเยียนไม่พูดอะไรเมื่อเห็นว่าอี้อวิ๋นนิ่งเงียบ นางรู้ว่าที่อี้อวิ๋นยังอยู่ที่นี่ก็เพื่อตามหาแก่นหยางกับวัตถิบล้ำค่า นางไม่อาจปกปิดเรื่องงานซื้อขายกับอี้อวิ๋น


“ถ้าเช่นนั้นข้าจะลองไปดู” อี้อวิ๋นพูด


แม้ร้านขยายฟ้าจะมีท่านฮว่าอวี่ แต่งานซื้อขายก็ใช่ว่าจะมีร้านขยายฟ้าเพียงร้านเดียว แม้อี้อวิ๋นจะระมัดระวังแต่ก็ไม่ถึงขั้นกลัวหัวหด


อีกอย่าง หากร้านขยายฟ้าต้องการลงมือกับเขาจริงๆ เช่นนั้นเขาจะไปร่วมงานหรือไม่ก็ไม่มีอะไรต่าง หลบที่ร้านความลับเทพไปไม่ปลอดภัย


“เช่นนั้นข้าจะไปกับคุณชายด้วย” จีสุ่ยเยียนพูด


ร้านความลับเทพอดทนมาแล้วพักหนึ่ง ตอนนี้จีสุ่ยเยียนจะฟื้นฟูร้านความลับเทพขึ้นใหม่ นางย่อมไม่พลาดงานซื้อขายนี้เช่นกัน


“ได้” อี้อวิ๋นพยักหน้า


ทะเลทรายกลบอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดวัตถุดิบล้ำค่า อี้อวิ๋นตั้งตาคอยงานซื้อขายนี้เล็กน้อย


อี้อวิ๋นเก็บตัวฝึกเงียบๆ ในลานด้านหลังร้านความลับเทพไปอีกสองวัน วันนี้อี้อวิ๋นอนอยู่บนเตียง ในมือถือกระดาษทองแผ่นหนึ่ง นี่คือ ‘คัมภีร์สุดยอดวิชาหมื่นปีศาจ’ ที่ไม่สมบูรณ์ที่ราชาสายฝนมอบไว้ให้


‘คัมภีร์สุดยอดวิชาหมื่นปีศาจ’ ที่ไม่สมบูรณ์เป็นวิชาฝึกร่างขั้นสูง เป็นคัมภีร์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากกฎแห่งฟ้าดินในโลกสวรรค์หมื่นปีศาจ บันทึกในคัมภีร์นี้บอกไว้ว่าเมื่อฝึกถึงขั้นสูงสุดก็จะมีร่างที่เป็นอมตะ


น่าเสียดายที่อี้อวิ๋นพบว่าด้วยระดับของเขาในตอนนี้แล้วยังไม่อาจครอบครองความลึกล้ำภายใน เขาคาดการณ์ว่าคงต้องถึงระดับวังวิถีครึ่งก้าวเป็นอย่างน้อยจึงจะลองฝึก ‘คัมภีร์สุดยอดวิชาหมื่นปีศาจ’ ได้


เรื่องนี้ทำให้อี้อวิ๋นเสียดาย


หากมีร่างที่เป็นอมตะได้จริงๆ เขาก็ตั้งตารอคอยมาก เพราะตั้งแต่ที่เขาฝึกยุทธ์มาจนถึงตอนนี้ ร่างกายและการป้องกันก็เป็นจุดอ่อนของเขามาโดยตลอด


ในตอนนี้เองที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น จีสุ่ยเยียนเตรียมรถม้าพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว


“คุณชายอี้ ได้ว่าไปงานประชุมแล้วเจ้าค่ะ” วันนี้จีสุ่ยเยียนสวมชุดหรูหราสีแดงสดที่รัดแน่น เส้นผมม้วนขึ้นสูงอย่างงดงามหรูหรา ดูแล้วให้ความรู้สึกของนายหญิงแห่งร้านมาก


อี้อวิ๋นเก็บคัมภีร์ที่ไม่สมบูรณ์ เขาลุกขึ้นพูดว่า “ไปกันเถอะ”


แววตาจีสุ่ยเยียนมีประกายจางๆ เมื่อเห็นอี้อวิ๋นออกจากห้อง


การฝึกสองสามวันนี้ทำให้ดวงตาอี้อวิ๋นยิ่งลึกล้ำเหมือนยามราตรี กลิ่นอายลี้ลับ มีคุณสมบัติของคุณชายสูงศักดิ์ทั้งยังเหมือนกระบี่ในฝักที่ซ่อนคม


หลังจากที่ขึ้นรถม้าของร้านความลับเทพก็เดินทางสู่ร้านประมูลเจ็ดดารา


“งานประชุมตามหาสมบัติมีร้านประมูลเจ็ดดาราเป็นเจ้าภาพ ร้านประมูลเจ็ดดารานี้มีอิทธิพลทั่วเมืองทั้งเจ็ดของทะเลทรายกลบอาทิตย์ เป็นหินยักษ์ที่ยากจะสั่นไหว”


“นอกจากร้านในท้องที่ สองสามวันมานี้ยังมีกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ ที่รู้ข่าวเดินทางมาเช่นกัน ตอนนี้เมืองแสงหยกจึงคึกคักมาก” จีสุ่ยเยียนสรุปข้อมูลที่ร้านความลับเทพรู้มาให้อี้อวิ๋นฟังบนรถม้า


กลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มมารวมตัว นี่หมายความว่าวัตถุล้ำค่าที่ปรากฏในงานซื้อขายจะยิ่งมีมากและยิ่งล้ำค่า


“ร้านความลับเทพมาถึงแล้ว!”


รถม้าหยุดลง อี้อวิ๋นลงจากรถม้าแล้วก็มองร้านประมูลเจ็ดดาราที่อยู่ตรงหน้า


สิ่งปลูกสร้างของร้านประมูลเจ็ดดาราโอ่อ่ายิ่งใหญ่มาก ศาลานั่งเล่นสูงทะลุชั้นเมฆ บนหอคอยสูงแห่งหนึ่งมีเงาร่างอันงดงามร่ายร่ำอยู่ ด้านข้างสองฝั่งมีนักดนตรีกว่าร้อยคนบรรเลงเพลง


ในศาลารอบหอคอยมีผู้คนนั่งอยู่เต็ม


คนรับใช้คนหนึ่งพาอี้อวิ๋นกับจีสุ่ยเยียนมาที่ศาลาหลังหนึ่ง จีสุ่ยเยียนที่เพิ่งจะนั่งลงต้องขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงข้าม


“คุณชายอี้ ฝั่งตรงข้ามคือคนจากร้านขยายฟ้า” จีสุ่ยเยียนพูด


อี้อวิ๋นมองตามสายตานางไป ตรงกลางระหว่างศาลาทั้งสองฝั่งมีสระบัวกั้นอยู่ ในศาลาที่อยู่ฟากโน้นของสระบัวมีคนนั่งจำนวนหนึ่ง ชายชรากับเด็กหนุ่มสองคนในนั้นแต่งกายหรูหรานั่งอยู่ในตำแหน่งรองตรงกลางอย่างเคารพนบนอบ


“นั่นคงจะเป็นท่านฮว่าอวี่” จีสุ่ยเยียนมองชายที่นั่งอยู่ตรงกลางแล้วพูด


ชายผู้นี้หน้าตาสามสี่สิบปีแต่เส้นผมกลับขาวโพลน สีผิวก็เทา ดวงตาเว้าตอบลึก ให้ความรู้สึกเหมือนพลังไม่พอ


ในตอนนี้เองที่จู่ๆ ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างท่านฮว่าอวี่ก็หันมามองอี้อวิ๋นเหมือนรู้สึกอะไรบางอย่าง


อี้อวิ๋นเห็นว่าชายวัยกลางคนชุดดำที่โบกพัดขนผู้นี้ส่งยิ้มให้เขา


“คนผู้นี้เป็นใคร?” อี้อวิ๋นถาม


จีสุ่ยเยียนส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่เคยพบคนผู้นี้”


แต่เมื่อนางเห็นรอยยิ้มของชายผู้นี้ก็รู้สึกประหนึ่งงูพิษที่มองเหยื่อ มองแล้วรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก


แต่ที่นี่คืองานประชุมตามหาสมบัติที่จัดโดยร้านประมูลเจ็ดดารา กลุ่มอิทธิพลมากมายมาร่วมงาน ต่อให้ร้านขยายเทพจะมีความคิดชั่วร้ายแค่ไหนก็ไม่กล้าทำอะไร


1073 นักกระบี่วัยกลางคน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชายวัยกลางคนผู้นั้นหันไปพูดกับชายชราและชายหนุ่ม จากนั้นชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าหรูหราผู้นั้นก็ลุกขึ้นเดินมาทางศาลาของร้านความลับเทพ


“เขาคือเหยียนเทียนชง พี่ชายต่างมารดาของเหยียนหยางผิง เขาเป็นนายน้อยของร้านขยายฟ้า” จีสุ่ยเยียนขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นว่าเหยียนเทียนชงเดินเข้ามา แววตามีประกายรังเกียจ


เหยียนเทียนชงถือถ้วยชาถ้วยหนึ่งเข้ามาในศาลา เขาพูดด้วยท่าทีสุภาพและน้ำเสียงถ่อมตนว่า “คุณหนูสุ่ยเยียน ท่านสบายดีหรือ”


“นายน้อยเหยียนมาทำอะไรหรือ?” จีสุ่ยเยียนถามอย่างเย็นชา เหยียนเทียนชงผู้นี้เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ ภายนอกดูสุภาพภูมิฐานแต่กลับทำสิ่งต่างๆ อย่างไม่เลือกวิธี หากตกอยู่ในมือเขาก็จะถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก


“คุณหนูสุ่ยเยียนไม่เห็นต้องปฏิเสธกันขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ร้านขยายของฟ้าของข้ากับร้านความลับเทพของคุณหนูสุ่ยเยียนเกิดเรื่องเข้าใจผิดอันน่าไม่ภิรมย์ต่อกัน เทียนชงจึงตั้งใจมาขอโทษโดยเฉพาะ” เหยียนเทียนชงพูดพร้อมรอยยิ้ม


“เข้าใจผิด?” จีสุ่ยเยียนส่งเสียงเย็นๆ


เหยียนเทียนชงเพิกเฉยต่อท่าทีของจีสุ่ยเยียน เขายกถ้วยชาพร้อมพูดว่า “เทียนชงขอใช้ชาแทนเหล้าเพื่อแสดงความเคารพและขอโทษ หวังว่าคุณหนูสุ่ยเยียนจะให้อภัย”


จีสุ่ยเยียนมองเหยียนเทียนชงดื่มน้ำชาด้วยสีหน้านิ่งเฉย


หลังจากที่เหยียนเทียนชงวางถ้วยชาลง อี้อวิ๋นก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาที่เขา


“ท่านผู้นี้ดูแปลกตา ร้านขยายฟ้ากับร้านความลับเทพสนิทสนมกันมานาน ข้ารู้จักคนในร้านความลับเทพทั้งหมด โปรดอภัยที่เทียนชงละลาบละล้วง ท่านผู้นี้คือท่านผู้สูงศักดิ์ที่กลับมาจากทะเลทรายกลบอาทิตย์ด้วยกันกับคุณหนูสุ่ยเยียนใช่หรือไม่? ไม่ทราบว่ารู้จักกับคุณหนูสุ่ยเยียนได้อย่างไรหรือ?” เหยียนเทียนชงพูด


แววตาจีสุ่ยเยียนเย็นยะเยือก เห็นได้ชัดว่าเหยียนเทียนชงมาสืบข่าว


แต่ในเมื่อวันนี้อี้อวิ๋นตัดสินใจที่จะมาร่วมงานประชุมตามหาสมบัติก็ไม่คิดที่จะปิดบังตัวตนอยู่แล้ว คนจากร้านขยายฟ้าย่อมเดาได้ว่าเขาก็คือบุคคลปริศนา


เหยียนเทียนชงถามเรื่องการรู้จักของพวกเขาตั้งแต่เริ่ม ย่อมไม่มีเจตนาดีแน่นอน หากเขาแน่ใจว่าอี้อวิ๋นเป็นแค่แขกต่างแดนที่จีสุ่ยเยียนเชิญมา เช่นนั้นเขาก็ใช้ผลประโยชน์ที่มากกว่ามาดึงตัวได้


เพียงแค่ร้านขยายฟ้าเสนอเงื่อนไขที่ดีกว่า…


“เหยียนเทียนชง ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า” จีสุ่ยเยียนพูด


เหยียนเทียนชงพูดอย่างไม่หยี่ระว่า “ดูท่าคุณหนูสุ่ยเยียนจะไม่ต้องการรับการขอโทษอย่างจริงใจของเทียนชง ตอนนี้ข้าแค่อยากทำความรู้จักท่านผู้สูงศักดิ์ท่านนี้เท่านั้น เจ้าไม่ควรขัดขวางกระมัง?”


จีสุ่ยเยียนมองสีหน้าเหยียนเทียนชงแล้วก็รู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างหนัก แต่นางยังไม่ทันพูดอะไร อี้อวิ๋นก็เหลือบมองเหยียนเทียนชงนิ่งๆ พร้อมพูดว่า “เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่?”


เหยียนเทียนชงพูดด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “ข้าน้อยเหยียนเทียนชงมาจากร้านขยายฟ้า แม้ก่อนหน้านี้ร้านขยายฟ้าจะมีความขัดแย้งกับท่าน แต่มีสุภาษิตที่ว่าไม่ทะเลาะก็ไม่รู้จัก ร้านขยายฟ้าจะไม่ถือสากับเรื่องก่อนหน้านี้ ร้านเรามีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ในเมืองแสงหยก หากท่านต้องการสิ่งใดก็บอกพวกข้าได้ พวกข้าหวังเพียงว่าท่านจะเป็นสหายกับร้านขยายฟ้า ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าท่านผู้สูงศักดิ์มีนามว่าอะไรหรือขอรับ?”


ขณะที่เหยียนเทียนชงพูดก็ขุดกำแพงอย่างโจ่งแจ้ง จะไม่ให้จีสุ่ยเยียนโมโหได้อย่างไร


“เจ้าไม่มีคุณสมบัติ ไสหัวไปเสียเถอะ” อี้อวิ๋นโบกมือเหมือนไล่แมลงวันที่น่ารำคาญ


รอยยิ้มบนหน้าเหยียนเทียนชงแข็งชะงักทันที อี้อวิ๋นพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังไม่เบา แม้แต่คนในศาลารอบๆ ก็ได้ยินไปด้วย


ในฐานะที่เขาเป็นนายน้อยของร้านขยายฟ้า เขาตั้งใจเข้ามาทักทาย เรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโสผู้สูงศักดิ์ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าอี้อวิ๋นไม่เพียงไม่สนใจ เขายังไล่เขาต่อให้ผู้อื่นอีก!


แม้เหยียนเทียนชงจะฉลาดสุขุมแต่ก็ไม่อดไม่ได้ที่จะหนังหนากระตุก เขาเคยอับอายขนาดนี้ที่ไหนกัน


“เจ้าไม่ได้ยินหรือ? คุณชายบอกให้เจ้าไสหัวไปซะ” จีสุ่ยเยียนพูดเช่นกัน


สีหน้าเหยียนเทียนชงไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก เขาหมุนตัวเดินออกจากศาลา ถ้วยชาในมือสลายเป็นผุยผง


“คุณชายอี้” จีสุ่ยเยียนมองแผ่นหลังของเหยียนเทียนชงแล้วหันมาพูดกับอี้อวิ๋น “เหยียนเทียนชงเป็นคนโฉดชั่ว ท่านพูดไม่ไว้หน้าเขาถึงเพียงนี้ เขาต้องไม่พอใจแน่นอน”


อี้อวิ๋นพูดอย่างเมินเฉยว่า “บาดหมางกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว คนที่คนประเภทนี้ไม่อาจใช้งานก็เป็นศัตรูของเขาทั้งหมด ต่อให้ข้าพูดดีด้วยแล้วอย่างไร?”


“คุณชายพูดถูกแล้ว” จีสุ่ยเยียนอดที่จะยิ้มไม่ได้ ความจริงนางรู้สึกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าอี้อวิ๋นล่วงเกินเหยียนเทียนชงมากเกินไป แต่พูดจากใจแล้วนางก็รื่นรมย์มากที่เห็นอีกฝ่ายเสียหน้า


ที่นี่คืองานประชุมตามหาสมบัติ ต่อให้เหยียนเทียนชงจะไม่พอใจแต่จะทำอะไรได้?


“ผู้อาวุโสเฟิงสิงจากร้านประมูลเจ็ดดารามาถึงแล้ว!”


ในตอนนี้เองที่จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นกลบเสียงพูดคุยในศาลาทั้งหมด แม้แต่การร่ายรำและดนตรีก็หยุดลง


เงาร่างร่างหนึ่งปรากฏบนหอคอย


นี่คือชายชราชุดดำที่มีแววตาเหมือนเหยี่ยว บนนิ้วมือสวมแหวนสีดำวงใหญ่ เขานั่งลงบนเก้าอี้โบราณในห้องโถงใหญ่ มือข้างหนึ่งหมุนแหวนช้าๆ ในขณะที่มองลงมาเบื้องล่าง


“คิดไม่ถึงว่างามประชุมตามหาสมบัติครั้งนี้จะจัดโดยผู้อาวุโสเฟิงสิง…”


อี้อวิ๋นสังเกตเห็นว่าใครหลายคนในศาลาหลังอื่นมีสีหน้าเคารพยำเกรง


“ผู้อาวุโสเฟิงสิงเป็นผู้แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันก็เป็นผู้อาวุโสคนแรกของร้านประมูลเจ็ดดาราที่อยู่เมืองแสงหยกนานที่สุด เรียกได้ว่าเป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของเมืองนี้ บอกว่าอำนาจครอบคลุมเมืองแห่งนี้ก็ไม่เกินไปเลย” จีสุ่ยเยียนพูดเสียงเบา นางมองผู้อาวุโสเฟิงสิงด้วยแววตาหวาดกลัว ตอนที่ท่านปู่ยังอยู่ก็เคยกำชับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าห้ามมีเรื่องกับร้านประมูลเจ็ดดาราเด็ดขาด หากมีเรื่องกับร้านประมูลเจ็ดดาราในทะเลทราบกลบอาทิตย์แห่งนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตาย


ร้านประมูลเจ็ดดารามีอำนาจน่าเกรงขามถึงเพียงนี้ ผู้อาวุโสเฟิงสิงที่เป็นผู้กุมอำนาจจึงย่อมน่าเกรงขามมากเช่นกัน เพียงแค่นั่งตัวลงก็ทำให้ร้านในเมืองแสงหยกเหล่านี้ตกอยู่ในความเงียบ


แต่แน่นอนว่าก็มีคนที่สีหน้านิ่งเฉยเช่นกัน คนเหล่านี้คนกลุ่มอิทธิพลอื่นจากนอกเมืองแสงหยก


อี้อวิ๋นพยักหน้า เขามองผู้อาวุโสเฟิงสิงแล้วรู้สึกว่ายากที่จะจับจุดพลังของอีกฝ่าย ชายชราผู้นี้ไม่ธรรมดาแน่นอน


ถัดจากผู้อาวุโสเฟิงสิงก็มีเหล่าผู้แข็งแกร่งจากนอกทะเลทรายกลบอาทิตย์พากันมาถึง อี้อวิ๋นรู้สึกได้ชัดเจนว่าสองสามคนในนี้มีระดับยุทธ์สูงมาก จิตของพวกเขากวาดไปในงานเบาๆ ก็รู้สึกกดดันอย่างรุนแรง


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในนั้นดึงดูดความสนใจอี้อวิ๋นเป็นพิเศษ


ชายผู้นี้สวมเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อน ด้านหลังสะพายกระบี่ไว้เล่มหนึ่ง กลิ่นอายทั่วร่างเก็บงำจนดูไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา แต่อี้อวิ๋นรู้ว่าคนผู้นี้ฝึกวิถีกระบี่จนสำเร็จถึงขั้นสูง สำเร็จถึงขั้นที่กลับสู่ธรรมชาติอันเรียบง่ายจึงเป็นเช่นนี้


นี่เป็นยอดฝีมือที่ใช้กระบี่แน่นอน


ข้างชายวัยกลางคนผู้นี้ยังมีสาวน้อยชุดฟ้าอยู่อีกหนึ่งคน สาวน้อยนางนี้รวบผมหางม้าไว้ด้านหลังให้ดูเรียบร้อยสะอาดตา รูปร่างนางกระชับแน่น ขาทั้งสองเรียวยาวมีพลัง แววตาแหลมคมเหมือนกระบี่ สาวน้อยอายุไม่มากแต่กลับอยู่ระดับรวมวิถี อี้อวิ๋นแน่ใจว่านางเป็นอัจฉริยะผู้เป็นเอก


อี้อวิ๋นอยู่ที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์มาก็นาน เจอคนที่จะถูกเขาเรียกว่าเป็นอัจฉริยะน้อยมาก


ก่อนหน้านี้สังหารจอมยุทธ์ระดับวังวิถีไปสองสามคน นอกจากจะเพราะอี้อวิ๋นแข็งแกร่งเกินไปแล้วก็เพราะคู่ต่อสู้อ่อนแอ


ตอนที่จอมยุทธ์ระดับวังวิถีหลายคนรวมวิถีก็มีแค่ผลวิถีสองใบสามใบ จะเทียบอี้อวิ๋นได้อย่างไร


แต่เกรงว่าสาวน้อยชุดฟ้านางนี้จะไปถึงระดับอัจฉริยะของสำนักซ่อนเร้น เป็นผู้แข็งแกร่งเหนือคนอื่นในทะเลทรายกลบอาทิตย์!


และสาเหตุที่ทำให้อี้อวิ๋นสนใจสองคนนี้เป็นพิเศษคือ เขารู้สึกถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากพวกเขา


เขาเพิ่งเคยมาโลกสวรรค์เทพหยางเป็นครั้งแรก ไม่มีทางรู้จักสองคนนี้แน่นอน ที่เกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้ก็เพราะพลังปราณที่พวกเขาฝึกและพลังกระบี่ที่กระตุ้นแต่ไม่ปล่อยออกมามีแหล่งที่มาเดียวกันกับอี้อวิ๋น


เมื่อคิดถึงชื่อดินแดนแห่งนี้อี้อวิ๋นก็เกิดความคาดเดาบางอย่าง เขาแค่ไม่กล้าแน่ใจเท่านั้น


ในขณะที่อี้อวิ๋นกำลังสังเกตชายวัยกลางคนกับสาวน้อยชุดฟ้า สายตาของชายวัยกลางก็มองมาทางอี้อวิ๋นเช่นกัน แววตาเขามีประกายประหลาด


1074 สำนักกระบี่สระใส

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ท่านอาจารย์ เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?” สาวน้อยชุดฟ้าสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของชายวัยกลางคน ขณะที่ถามก็มองตามสายตาชายวัยกลางคนไปด้วย


ทว่าสายตาของสาวน้อยชุดฟ้ากับคนถูกผู้หนึ่งบดบัง คนผู้นี้เดินเข้ามาพูดว่า “ทั้งสองท่านคือผู้อาวุโสเจี้ยนอู๋เฟิงกับเทพธิดาเจี้ยนเสี่ยวซวงจากสำนักกระบี่สระใสใช่ไหมขอรับ? ได้ยินชื่อเสียงของสำนักกระบี่สระใสและท่านทั้งสองมานาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบ”


เจี้ยนเสี่ยวซวงมีสีหน้าเย็นชา “เจ้าเป็นใคร?”


“ข้าน้อยมีนามว่าเหยียนเทียนชง มาจากร้านขยายฟ้าของเมืองแสงหยกขอรับ” เหยียนเทียนชงประสานมือพูดพร้อมทำความเคารพด้วยแววตาเคารพเลื่อมใส


เขาเงยหน้ามองศิษย์อาจารย์คู่นี้ด้วยรอยยิ้มบางๆ


แม้เมื่อครู่จะอับอายจากร้านความลับเทพ แต่เหยียนเทียนชงจะยอมให้ผลกระทบจากจีสุ่ยเยียนกับอี้อวิ๋นทำให้แผนการใหญ่ของเขาเสียหายได้อย่างไร


งานประชุมตามหาสมบัติครั้งนี้ดึงดูดกลุ่มอิทธิพลจำนวนมากเข้ามา เป็นโอกาสอันดีที่ร้านขยายฟ้าจะได้บุกเบิกเส้นสายและดึงกลุ่มอิทธิพลเหล่านี้มาเป็นพวกพอดี หากสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มอิทธิพลใดสำเร็จ เช่นนั้นเรื่องที่ร้านขยายฟ้าจะขยายอำนาจก็นับวันรอได้เลย


จู่ๆ ร้านความลับเทพฟื้นฟูจากสภาพโอนเอนง่อนแง่นได้อย่างไร นั่นก็เพราะเจอที่พึ่งแบบอี้อวิ๋นไม่ใช่หรือ?


แต่อี้อวิ๋นก็นับเป็นอะไรไม่ได้เมื่อเทียบกับสำนักลึกลับอย่างสำนักกระบี่สระใส


อี้อวิ๋นคงเป็นจอมยุทธ์อิสระที่อาจเจอแดนลับอะไรเข้าจึงมีพลังแบบในตอนนี้ เทียบกับกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่มาร้านประมูลเจ็ดดาราในวันนี้ก็ไม่มีค่าให้พูดถึง


สำนักกระบี่สระใสมีชื่อเสียงโด่งดัง แม้ตัวสำนักจะไม่มีเขตอิทธิพลกว้างใหญ่นักแต่กลับเป็นสำนักที่พิเศษมาก สำนักนี้มีสมาชิกน้อยมาก ว่ากันว่ารวมศิษย์กับผู้อาวุโสเข้าด้วยกันแล้วก็มีแค่คน แต่มาตรฐานในการรับศิษย์ของพวกเขาเข้มงวดมาก คนธรรมดาไม่มีทางเข้าตาสำนักกระบี่สระใส


สำนักกระบี่สระใสมีมรดกไม่ธรรมดา ทั้งศิษย์ในสำนักก็พรสวรรค์โดดเด่น นี่จึงทำให้ทุกคนในสำนักเป็นมังกรหงส์ท่ามกลางหมู่คน


น้อยมากที่ศิษย์ของพวกเขาจะมีสิทธิออกนอกสำนัก แต่หากมีใครออกมาก็มักพุ่งทะยานอย่างฉับพลัน เพียงไม่นานก็มีชื่อเสียงเกรียงไกร


สำนักกระบี่สระใสยังสามัคคีกันมาก กฎของสำนักก็เข้มงวดชัดเจน เมื่อศิษย์ในสำนักถูกฆ่า หากศิษย์ผู้นั้นมีความผิดจริง เช่นนั้นทางสำนักก็ไม่เพียงแต่จะไม่แก้แค้นคืน แต่ยังจะไล่ศิษย์ที่ตายไปแล้วออกจากสำนักอีกด้วย


แต่หากศิษย์ถูกผู้อื่นสังหารอย่างไม่ถูกต้อง เช่นนั้นสำนักกระบี่สระใสก็ไม่ยอมนิ่งเฉยแน่นอน ต้องมีศิษย์จากสำนักบุกไปแก้แค้นเป็นแน่


ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยมีกลุ่มอิทธิพลอยากมีเรื่องกับสำนักกระบี่สระใสนัก


ชายวัยกลางคนตรงหน้านี้ก็คือเจ้าสำนักของสำนักกระบี่สระใสมีนามว่า…เจี้ยนอู๋เฟิง เขามีชื่อเสียงมานาน กระบี่ลิ้มเลือดมานับไม่ถ้วนและน่าสะพรึงขวัญ


เหยียนเทียนชงรู้ข่าวสารไว เขาย่อมรู้ข้อมูลของกลุ่มอิทธิพลเช่นนี้เป็นอย่างดี


ส่วนเจี้ยนเสี่ยวซวงก็เป็นผู้สืบทอดของสำนักกระบี่สระใสที่ปรากฏตัวในปัจจุบัน นางอายุไม่มากแต่กลับมีชื่อเสียงแผ่ไปไกลในทะเลทรายกลบอาทิตย์


เมื่อวันนี้ได้มาพบด้วยตัวเอง เจี้ยนเสี่ยวซวงก็ไม่เพียงแต่พรสวรรค์โดดเด่น หน้าตานางยังงดงาม ท่าทีเย็นชา ดูแล้วน่าหลงใหลมาก


“ร้านขยายฟ้า?” เจี้ยนเสี่ยวซวงมองเหยียนเทียนชงแวบหนึ่ง นางไม่เคยได้ยินทั้งชื่อร้านขยายฟ้ากับเหยียนเทียนชง


“ขอรับ ข้าน้อยกับร้านขยายฟ้าพอมีหน้ามีตาในเมืองแสงหยกอยู่บ้าง หากช่วงเวลาระหว่างนี้เทพธิดาเสี่ยวซวงกับผู้อาวุโสอู๋เฟิงต้องการอะไรในเมืองแสงหยก เช่นนั้นข้าน้อยก็จะพยายามสุดกำลังแน่นอน หวังว่าเทพธิดาเสี่ยวซวงกับผู้อาวุโสอู๋เฟิงจะให้เกียรติข้าน้อยแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้าน” เหยียนเทียนชงพูดอย่างเร่งรีบ


“ไม่จำเป็น” เจี้ยนเสี่ยวซวงขี้เกียจแม้แต่จะบ่ายเบี่ยง นางไม่รู้จักคนผู้นี้ มิตรภาพของเจ้าบ้านอะไรกัน…เกี่ยวอะไรกับนางด้วย?


แววตาเหยียนเทียนชงมีประกายผิดหวังแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่เขาเข้ามาทักทายก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว ได้ยินมานานว่าคนจากสำนักกระบี่สระใสเย็นชามากและยากที่จะสนิทสนม แต่ก็เพราะเหตุนี้เอง เมื่อพวกเขาสร้างความสัมพันธ์สำเร็จจึงจะน่าสั่นสะพรึง


ยิ่งไปกว่านั้น การลองดูก็ไม่ใช่เรื่องผิดสำหรับเหยียนเทียนชง ให้อีกฝ่ายเห็นหน้าคร่าตาบ้างก็ยังดี


“ในเมื่อเทพธิดาเสี่ยวซวงไม่ชอบถูกรบกวน เช่นนั้นข้าน้อยก็ขออภัยที่ล่วงเกิน แต่ร้านขยายฟ้าของข้าน้อยพอรู้ข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์ในทะเลทรายกลบอาทิตย์ครั้งนี้อยู่บ้าง แบ่งบันให้ทั้งสองท่านได้” ไม่ว่าท่าทีของเจี้ยนเสี่ยวซวงจะเย็นชาเพียงใด ไม่ว่าเจี้ยนอู๋เฟิงจะไม่สนใจเขา แต่เหยียนเทียนชงก็ไม่กระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย เขาใช้เรื่องปรากฏการณ์ในทะเลทรายกลบอาทิตย์มาพูดต่อ


แต่แม้จะพูดเรื่องเหล่านี้ก็เห็นได้ชัดว่าเจี้ยนเสี่ยวซวงไม่สนใจ ทำแค่ฟังอย่างไม่เข้าหู ตอนนี้นางค้นพบอย่างฉับพลันว่าเจี้ยนอู๋เฟิวมองไปยังทิศทางเมื่อครู่อีกครั้ง


“ท่านอาจารย์?” เจี้ยนเสี่ยวซวงถาม


เหยียนเทียนชงกำลังหาเรื่องคุย เมื่อได้ยินเจี้ยนเสี่ยวซวงพูดตัดบทอย่างฉับพลันก็ยิ้มบางๆ และเงียบปากลงทันที


หากเป็นคนอื่นเขาก็คงไม่สบอารมณ์ไปนานแล้ว แต่เมื่อเป็นคนจากสำนักกระบี่สระใสที่ทำเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ


พวกเขาปฏบัติต่อเขาเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อคนอื่น


“อาจารย์จะไปทักทายคนผู้นั้น” เจี้ยนอู๋เฟิงพูดขึ้นอย่างฉับพลัน


“ท่านอาจารย์มีสหายอยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ?” เจี้ยนเสี่ยวซวงตกใจเล็กน้อย


พวกเขาเพิ่งมาเมืองแสงหยก จำไม่ได้ว่ามีคนรู้จัก


หากเป็นศัตรูก็ว่าไปอย่าง แต่หากเป็นศัตรูของท่านอาจารย์จริงๆ แล้วจะทักทายทำไม


เหยียนเทียยชงงุนงงเช่นกัน เจี้ยนอู๋เฟิงมีคนรู้จักที่นี่?


“เช่นนั้นข้าจะไปด้วย” เจี้ยนเสี่ยวซวงสงสัยจริงๆ แม้นางจะถูกคนภายนอกเรียกว่าเทพธิดา เย็นชาต่อคนไม่รู้จัก แต่แท้จริงแล้วก็มีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมามาก


ขณะที่พูด เจี้ยนอู๋เฟิงก็ก้าวเท้าออกจากศาลาไปแล้ว


เจี้ยนเสี่ยวซวงเดินตามออกไปก็แต่นึกอะไรได้ฉับพลัน นางมองเหยียนเทียนชงและพูดเรียบๆ ว่า “ท่านอาจารย์เจอคนรู้จัก ไม่อาจพูดคุยกับเจ้าได้ กลับไปเสียเถอะ”


“ในเมื่อเป็นคนรู้จักของผู้อาวุโสอู๋เฟิง เช่นนั้นก็คงเป็นผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน ข้าน้อยไม่กล้ารบกวน อีกเดี๋ยวค่อยมาแนะนำอาหารรสเลิศของเมืองแสงหยกให้เทพธิดาเสี่ยวซวงฟัง” เหยียนเทียนชงพูดอย่างนอบน้อม


เขาหลบตัวไปด้านข้าง มองเจี้ยนเสี่ยวซวงเดินผ่านข้างกายแล้วมองแผ่นหลังของพวกเขา


เหยียนเทียนชงอยากรู้ว่าคนที่ทำให้เจี้ยนอู๋เฟิงเข้าไปทักทายด้วยตัวเองได้เป็นใคร เขาต้องผูกมิตรกับคนระดับนี้ให้ดี


ตอนนี้เขาเห็นว่าเจี้ยนอู๋เฟิงกับเจี้ยนเสี่ยวซวงสองคนเดินผ่านสระบัวไปยังศาลาฟากตรงข้าม


จากนั้น…ก็เดินเข้าสู่ศาลาของร้านความลับเทพ


เหยียนเทียนชงตะลึงงัน


คนรู้จักของเจี้ยนอู๋เฟิงมาจากร้านความลับเทพ?


ใจของเหยียนเทียนชงเย็นยะเยือกขึ้นมาทันทีเหมือนจมลงสู่เหวลึก เขาจ้องศาลาหลังนั้นอย่างไม่กระพริบตา อยากให้ตัวเองอยู่ที่นั่นในเวลานี้


ตอนนี้เจี้ยนเสี่ยวซวงสงสัยเล็กน้อย นางตามท่านอาจารย์มาถึงศาลาหลังนี้ ชายหญิงในศาลาดูธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น ระดับยุทธ์ของฝ่ายหญิงอ่อนแอ ท่านอาจารย์น่าจะไม่รู้จัก ส่วนอีกคน…เจี้ยนเสี่ยวซวงมองไปที่อี้อวิ๋น นางมองระดับยุทธ์ของชายผู้นี้ไม่ออกแต่ก็ดูไม่เหมือนว่าแข็งแกร่ง เรื่องนี้ทำให้นางแปลกใจเล็กน้อย


แต่ชายผู้นี้อายุไม่มาก คงใช้วิชาซ่อนระดับยุทธ์อะไร ท่านอาจารย์รู้จักจอมยุทธ์หนุ่มเช่นนี้ด้วยหรือ?


“สหายน้อยทั้งสองที่ว่างหรือไม่? ข้ากับศิษย์มาเพื่อดื่มชา” เจี้ยนเสี่ยวซวงมีสีหน้าประหลาดมากทันทีเมื่อได้ยินคำของเจี้ยนอู๋เฟิง


ฟังจากคำทักทายของท่านอาจารย์แล้วก็เหมือนไม่รู้จักสองคนนี้? ด้วยนิสัยของท่านอาจารย์ เหตุใดเขาจึงเป็นฝ่ายเข้ามาผูกมิตรกับคนที่ไม่รู้จักทั้งสอง?


จีสุ่ยเยียนมองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึง นางรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของสาวน้อยผู้นี้ทรงพลังมาก ส่วนชายวัยกลางคนตรงหน้าก็มองระดับยุทธ์ไม่ออกแม้แต่น้อย รู้สึกแค่ว่าคำพูดและการกระทำของเขาผสานเป็นหนึ่งเดียวกับทุกอย่างรอบด้าน ลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดา


ดูท่าทางแล้วอีกฝ่ายก็ไม่มีเจตนาไม่ดี จีสุ่ยเยียนไม่พูดอะไร ปล่อยให้อี้อวิ๋นเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด


อี้อวิ๋นลุกขึ้นประสานมือพูดว่า “เชิญทั้งสองท่านนั่ง”


เจี้ยนอู๋เฟิงนั่งลงข้างโต๊ะ เขามองอี้อวิ๋นแวบหนึ่งและพูดว่า “ยังไม่ได้แนะนำตัว ข้ามีนามว่าเจี้ยนอู๋เฟิง มาจากสำนักกระบี่สระใส”


เจี้ยนเสี่ยวซวงมีสีหน้าประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ นางพูดเช่นกันว่า “ข้ามีนามว่าเจี้ยนเสี่ยวซวง มาจากสำนักกระบี่สระใส”


“อี้อวิ๋น” อี้อวิ๋นพูด


  อี้อวิ๋นมีท่าทีนิ่งสงบ ทว่าใจของจีสุ่ยเยียนกลับมีคลื่นโหมซัดอย่างบ้าคลั่ง


คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสำนักกระบี่สระใส! สำนักนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง นางเองก็เคยได้ยินชื่อเช่นกัน ร้านความลับเทพมีอิทธิพลน้อยนิด เจ้าสำนักกับศิษย์จากสำนักกระบี่สระใสจะเข้ามาดื่มชาพูดคุยกับพวกเขาได้อย่างไร?


เหยียนเทียนชงที่อยู่อีกฟากของสระบัวจ้องเขม็งจนปวดตา เขาเพิ่งพยายามผูกมิตรอย่างต่ำต้อย ยังไม่ทันได้ผลลัพธ์อะไรก็เห็นเจี้ยนอู๋เฟิงเดินไปที่ศาลาของร้านความลับเทพและนั่งลง


แววตาเจี้ยนอู๋เฟิงมีประกายแล่นผ่านเบาๆ อี้อวิ๋น…เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน


“สหายน้อยอี้อวิ๋นมาจากสำนักใด?” เจี้ยนอู๋เฟิงถามต่อ


“ไม่มีสำนัก มีเพียงอาจารย์” อี้อวิ๋นตอบ


แม้ราชาสายฝนจะอยู่ที่โลกสวรรค์หมื่นปีศาจอันห่างไกลแต่ก็ยังคงเป็นอาจารย์ของอี้อวิ๋น ทั้งตัวราชาสายฝนก็ไม่ได้ก่อตั้งสำนัก


เจี้ยนเสี่ยวซวงมองอี้อวิ๋นสลับกับมองอาจารย์ตัวเองเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา


นี่มันเรื่องอะไรกัน? หรือท่านอาจารย์จะเห็นว่าจอมยุทธ์คนนี้น่าประทับจึงอยากรับเป็นศิษย์? ไม่น่าใช่กระมัง หลายหมื่นปีมานี้เขารับนางเป็นศิษย์แค่คนเดียว…


เจี้ยนอู๋เฟิงครุ่นคิดชั่วครู่ เขานั่งอยู่ตรงข้ามอี้อวิ๋น รู้สึกถึงกลิ่นอายบนร่างอี้อวิ๋นชัดขึ้นเรื่อยๆ


ไฟหยางบริสุทธิ์เหมือนลุกโชนอยู่ในร่างอี้อวิ๋น ยิ่งเขารู้สึกถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยนี้ก็ยิ่งสงสัย…


เจี้ยนอู๋เฟิงพูดว่า “ไม่ทราบว่าอาจารย์ของสหายน้อยเป็นใคร บอกได้หรือไม่?”


1075 อายุต่างกันเท่าไร

โดย

Ink Stone_Fantasy

เจี้ยนอู๋เฟิงมองอี้อวิ๋นอย่างรอคำตอบ


อี้อวิ๋นมีความประทับใจแรกต่อเจี้ยนอู๋เฟิงไม่เลว แต่เมื่ออีกฝ่ายถามว่าอาจารย์เขาเป็นใครก็ลังเลเล็กน้อย แม้ระยะทางระหว่างทั้งสิบสองยอดสวรรค์จะห่างกันไกล แต่ในฐานะที่ราชาสายฝนเป็นเทพราชาของโลกสวรรค์หมื่นปีศาจจึงน่าจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง หากพูดชื่อราชาสายฝนก็อาจมีคนรู้จัก


เช่นนั้นในฐานะที่เขาเป็นศิษย์ของราชาสายฝนแต่กลับเดินทางระยะไกลจากโลกสวรรค์หมื่นปีศาจมาที่โลกสวรรค์เทพหยางก็คงอธิบายไม่ได้แน่ อาจทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็น


เจี้ยนอู๋เฟิงเกิดความเข้าใจเมื่อเห็นอี้อวิ๋นลังเล เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเสียมารยาทนักที่เจอกันครั้งแรกก็ถามเรื่องอาจารย์ของสหายน้อยเลย ข้าเห็นว่าสหายน้อยอายุไม่มาก เจี้ยนเสี่ยวซวงผู้เป็นศิษย์ของข้าก็ฝึกยุทธ์มาไม่นานเช่นกัน ถือว่าพอมีผลงานใช้ได้ ลองแลกเปลี่ยนกับสหายน้อยดูได้”


เจี้ยนอู๋เฟิงพูดแล้วก็มองเจี้ยนเสี่ยวซวง “เสี่ยวซวง ทำความรู้จักกับคุณชายอี้เสียสิ”


เจี้ยนเสี่ยวซวงอึดอัดใจเล็กน้อยเมื่อเจี้ยนอู๋เฟิงพูดเช่นนี้ นางเป็นคนหยิ่งทะนง หากไม่ใช่เพราะทะเลทรายกลบอาทิตย์มีปรากฏการณ์ปรากฏก็ไม่อยากรู้จักกับจอมยุทธ์พื้นเมืองของที่นี้แม้แต่น้อย


นางมีพรสวรรค์ด้านยุทธ์ที่โดดเด่น แม้จะอยู่ในสำนักกระบี่สระใสที่เต็มไปด้วยอัจฉริยะก็เป็นอัจฉริยะในรอบหมื่นปี เพราะนางมีชื่อเลื่องลือ ก่อนหน้านี้จึงมีสำนักไม่น้อยมาสู่ขอ คนที่สู่ขอนางต่างก็เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากสำนักมีชื่อเสียงและพรสวรรค์โดดเด่น แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่สนใจคนเหล่านี้แม้แต่น้อย ให้ท่านอาจารย์ช่วยนางปฏิเสธไปให้หมด เจี้ยนอู๋เฟิงเองก็ยินดีให้เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีสินสอดมากแค่ไหนก็ปฏิเสธหมด


แต่ตอนนี้เจี้ยนอู๋เฟิงกลับให้นางเป็นฝ่ายผูกมิตรกับคนแปลกหน้า ในคำพูดยังมีความหมายที่ประทับใจชายหนุ่มผู้นี้เป็นพิเศษ ใจของเจี้ยนเสี่ยวซวงจึงไม่เต็มใจนัก


คนผู้นี้ก็แค่จอมยุทธ์พื้นเมืองของทะเลทรายกลบอาทิตย์ไม่ใช่หรือ มีอาจารย์ที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไร้สำนักนิกาย พูดตามตรงแล้วก็มีฐานะต่ำสุดในโลกของจอมยุทธ์ เป็นจอมยุทธ์อิสระที่ไม่มีที่พึ่ง


แต่แน่นอนว่าเพราะท่านอาจารย์ออกคำสั่ง เจี้ยนเสี่ยวซวงจึงทำความเคารพ อี้อวิ๋นเองก็ทำความเคารพตอบเช่นกัน


ขณะที่อี้อวิ๋นกำลังทำความเคารพตอบ ข้างหูเขาก็มีปราณเสียงของจีสุ่ยเยียนส่งเข้ามา จีสุ่ยเยียนพูดเรื่องสถานการณ์ของสำนักกระบี่สระใสและฐานะของเจี้ยนเสี่ยวซวงกับเจี้ยนอู๋เฟิงให้อี้อวิ๋นฟังอย่างรวดเร็ว ทั้งสองไม่ใช่คนธรรมดา จีสุ่ยเยียนไม่รู้ว่าทั้งคู่มาด้วยเจตนาอันใด นางกังวลว่าอี้อวิ๋นจะต้อนรับพวกเขาไม่ดี


อี้อวิ๋นยิ้ม จีสุ่ยเยียนอยู่เมืองแสงหยกมาหลายปีจนมีนิสัยระวังตัวกับทุกเรื่อง


เจี้ยนอู๋เฟิงพยักหน้าอย่างพอใจต่อการทำความเคารพของเจี้ยนเสี่ยวเฟิง เขาพูดว่า “เสี่ยวซวงฝึกยุทธ์มาหกสิบปี ไม่ทราบว่าอายุต่างจากสหายน้อยแค่ไหน?”


ทุกคนยิ่งตกตะลึงเมื่อเจี้ยนอู๋เฟิงพูดเช่นนี้ หลายคนในงาน รวมไปถึงกลุ่มอิทธิพลท้องที่ของทะเลทรายกลบอาทิตย์และกลุ่มอิทธิพลภายนอกต่างอดที่จะสนใจที่ไม่ได้


คำถามของเจี้ยนอู๋เฟิงฟังดูแปลกๆ ให้เจี้ยนเสี่ยวซวงเป็นฝ่ายผูกมิตรกับอี้อวิ๋นก็ผิดปกติแล้ว นี่เขายังเป็นฝ่ายบอกอายุของเจี้ยนเสี่ยวซวงและถามอีกฝ่ายว่าอายุต่างกันเท่าไร…ปกติแล้วคงมีแค่คนที่เป็นพ่อสื่อแม่สื่อที่จะถามเช่นนี้กระมัง?


แต่แน่นอนว่าเจี้ยนอู๋เฟิงเป็นคนเยือกเย็นสุขุม แม้คำถามจะดูประหลาดแต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเขาอยากให้ศิษย์ตัวเองแต่งงานกับอี้อวิ๋น เจี้ยนเสี่ยวซวงมีพรสวรรค์สูงส่งเกินไป ชาติกำเนิดก็ดี ฐานะต่างกันเกินไป


อี้อวิ๋นลังเลเล็กน้อย เขาปิดบังเรื่องที่ราชาสายฝนเป็นอาจารย์ไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังเรื่องอายุอีก เขาพูดอย่างคลุมเครือว่า “ข้าน้อยฝึกยุทธ์มาไม่ถึงร้อยปี”


ไม่ถึงร้อยปีก็ถือว่ามากเกินจริงแล้ว


ทว่าคำพูดนี้ของอี้อวิ๋นกลับทำให้คนส่วนใหญ่ตกตะลึง


แม้อี้อวิ๋นจะเพิ่งมาเมืองแสงหยกได้ไม่นาน แต่ก่อนหน้านี้เขามีเรื่องกับร้านขยายฟ้า กลุ่มอิทธิพลจากภายนอกยังไม่รู้จักอี้อวิ๋นดี แต่กลุ่มอิทธิพลท้องที่ในเมืองแสงหยกที่รู้ข่าวสารไวต่างรู้ว่าร้านความลับเทพเชิญแขกต่างแดนที่แข็งแกร่งมากมาอยู่ด้วย


คนผู้นี้ไม่เพียงแต่พลังแข็งแกร่ง นิสัยยังดุร้ายเจ้าอารมณ์ สังหารอย่างเด็ดขาด ยากที่จะรู้ระดับยุทธ์ ในความคิดของทุกคนแล้วอี้อวิ๋นน่าจะเป็นชายชราที่ฝึกฝนมานาน แต่เขาใช้วิชาลับหยุดหน้าตาบางอย่างจึงยังดูหนุ่ม นี่เองก็เป็นสาเหตุที่หลายคนรู้สึกว่าฐานะของอี้อวิ๋นกับเจี้ยนเสี่ยวซวงต่างกัน


แต่ตอนนี้อี้อวิ๋นกลับบอกว่าตัวเองฝึกยุทธ์ไม่ถึงร้อยปี?


ล้อกันเล่นหรือไร


ไม่ถึงร้อยปีก็เป็นเด็กรุ่นเยาว์ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมีพลังขนาดนี้?


หลายคนไม่เชื่อคำพูดของอี้อวิ๋น เหยียนเทียนชงยิ่งพ่นจมูกเหยียดหยาม ตัวเขาอายุสามร้อยปี หากอี้อวิ๋นอายุไม่ถึงร้อยปีแต่มีพลังขนาดนี้จริง เช่นนั้นตัวเขาที่อายุสามร้อยปีก็ไม่เท่ากับใช้ชีวิตมาอย่างเปล่าประโยชน์หรือ


“คนผู้นี้จะไร้ยางอายเกินไปแล้ว เขาจงใจลดอายุตัวเองเพื่อผูกสัมพันธ์กับเทพธิดาเสี่ยวซวง”


เหยียนเทียนชงพูดเหยียดหยาม หลายคนเห็นด้วยกับคำพูดของเขา


ความจริงระดับยุทธ์และอายุกระดูกของใครหลายคนก็พอรู้ได้คร่าวๆ จากประสบการณ์และการรับรู้ แต่หากฝึกวิชาลับบางอย่างและจงใจปิดบังก็ยากที่จะมองออก


พวกเขาเชื่อว่าอี้อวิ๋นเป็นสถานการณ์เช่นนี้


“ไม่ถึงร้อยปี ดีเลย” เจี้ยนอู๋เฟิงไม่สงสัยคำพูดอี้อวิ๋นแม้แต่น้อย “ในเมื่ออายุใกล้เคียงกับเสี่ยวซวง เช่นนั้นพวกเจ้าก็แลกเปลี่ยนฝีมือกันได้ ไม่ทราบว่าสหายน้อยคิดเห็นอย่างไร”


เจี้ยนอู๋เฟิงพูดขึ้นอย่างฉับพลัน เป้าหมายที่เขาถามก่อนหน้าก็เพราะอยากให้อี้อวิ๋นกับเจี้ยนเสี่ยวซวงประมือกัน อี้อวิ๋นไม่บอกชื่ออาจารย์ตัวเอง แต่เขากลับรู้สึกถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยจากร่างอี้อวิ๋น เขาอยากรู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้จากกระบวนท่าของอี้อวิ๋น


ตอนนี้อี้อวิ๋นก็มีความคิดแบบเดียวกัน ความจริงในใจเขาก็มีความคาดเดาบางอย่าง


เขาสงสัยว่าสำนักกระบี่สระใสอาจเป็นทายาทของราชาชิงหยาง อาจถึงขั้นเป็นทายาทสายตรงด้วยซ้ำ!


เมื่อหลายสิบล้านปีก่อน ราชาชิงหยางได้สร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ขึ้นในแคว้นจงของดินแดนสวรรค์ ทว่าท้ายที่สุดก็ถูกคนทำร้ายจนพลังยุทธ์ถดถอยเสียหาย เดินทางจากโลกสวรรค์เทพหยางมาที่โลกเทียนหยวน ได้รู้จักกับจักรพรรดินีโบราณ ร่วมมือกันผนึกเทพมารทั้งเจ็ดกับจักรพรรดินี สร้างแดนลับจักรพรรดินีและจบชีวิตลง


เมื่ออี้อวิ๋นกับหลินซินถงเข้าสู่แดนลับจักรพรรดินีก็ได้รับมรดกส่วนหนึ่งของราชาชิงหยาง มรดกนี้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตต่ออี้อวิ๋น ไม่เช่นนั้นเสินถูหนานเทียนก็คงเอาชีวิตเขาไปได้


ต่อมาเจดีย์เทพจุติที่ราชาชิงหยางทิ้งไว้ก็ไม่รู้ช่วยอี้อวิ๋นมาตั้งกี่ครั้ง อี้อวิ๋นรู้สึกขอบคุณราชาชิงหยางอย่างสุดซึ้ง


เขาเคยตัดสินใจไว้ว่าหากได้มาสิบสองยอดสวรรค์ก็จะช่วยแก้แค้นให้ราชาสายฝนให้ได้ ตรวจหาโฉมหน้าที่แท้จริงที่ทำร้ายราชาชิงหยางเมื่อตอนนั้น


ตอนนี้อี้อวิ๋นได้เจอทายาทของราชาชิงหยาง เขาย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะได้ทำความรู้จัก


ทายาทของราชาชิงหยางมีความเป็นอยู่ดีกว่าที่อี้อวิ๋นคิดไว้ แต่หากเทียบกับตอนที่ราชาชิงหยางก่อตั้งอาณาจักรก็ย่อมด้อยกว่ามาก


สำหรับตัวอี้อวิ๋นที่มีความรู้กว้างไกล สำนักกระบี่สระใสก็เป็นแค่สำนักที่ไม่เลวและมีโอกาสพัฒนาก็เท่านั้น


แต่เขาไม่อาจถามตัวตนของอีกฝ่ายได้ตรงๆ


ชื่อของราชาชิงหยางยังค่อนข้างอ่อนไหวสำหรับที่นี่ เขาถูกไล่สังหารเมื่อหลายสิบล้านปีก่อน ตอนนี้เหตุการณ์เปลี่ยนไปตามกาลเวลา เกรงว่าสถานการณ์ของแคว้นจงแห่งดินแดนสวรรค์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย ศัตรูของราชาชิงหยางยังปกครองที่นี่อยู่หรือไม่ก็ไม่อาจรู้ อี้อวิ๋นเองก็ไม่อาจถามอีกฝ่ายตรงๆ ว่ามีความเกี่ยวข้องกับราชาชิงหยางหรือเปล่า


หากไม่เกี่ยวข้องกันล่ะ? เช่นนั้นหากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปเขาก็อาจเจอความยุ่งยาก


ต้องค่อยๆ สืบเสาะจึงจะดีที่สุด


คิดถึงเรื่องเหล่านี้แล้วอี้อวิ๋นก็พูดว่า “ได้รับความกรุณาจากผู้อาวุโสอู๋เฟิง ข้าน้อยยินดีประมือกับเทพธิดาเสี่ยวซวง”


“เยี่ยมมาก!” เจี้ยนอู๋เฟิงดีใจ เขาพูดทันทีว่า “ยังมีเวลาก่อนที่งานซื้อขายนี้จะเริ่มขึ้นอีกระยะหนึ่ง เริ่มสู้ตอนนี้เลยดีไหม?”


อี้อวิ๋นตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำของเจี้ยนอู๋เฟิง อีกฝ่ายเป็นคนนิสัยเฉียบขาดรวดเร็วจริงๆ บอกว่าจะทำอะไรก็ทำตั้งแต่เดี๋ยวนั้น


อี้อวิ๋นถามอย่างอดไม่ได้ว่า “สู้ที่นี่หรือ?”


อี้อวิ๋นพะวงเล็กน้อยที่ต้องประมือต่อหน้าฝูงชน เขาไม่รู้ว่าหากใช้กระบวนท่ากระบี่ของราชาชิงหยางแล้วจะมีคนมองออกหรือไม่และนำความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นเข้ามา


1076 แท่นประตูมังกร

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ใช่แล้ว ที่นี่แหละ” เจี้ยนอู๋เฟิงพยักหน้าตอบอย่างสั้นกระชับเป็นอย่างยิ่ง


“นี่…” อี้อวิ๋นครุ่นคิดเล็กน้อย เขาไม่ถือสาที่ประมือที่นี่ แต่เจี้ยนอู๋เฟิงไม่กังวลว่ามรดกของราชาชิงหยางจะแพร่งพรายแม้แต่น้อยเลยหรือ?


ตอนนี้อี้อวิ๋นสงสัยขึ้นมาว่าสำนักกระบี่สระใสมีความเกี่ยวข้องกับราชาชิงหยางจริงหรือเปล่า


อี้อวิ๋นมาถึงยังแคว้นจงแห่งดินแดนสวรรค์ เขาย่อมหวังที่จะได้พบทายาทของราชาชิงหยางและช่วยอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง หากหาไม่เจอก็คงผิดหวังมาก


“ก็ได้”


อี้อวิ๋นพยักหน้า หากอีกฝ่ายไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชาชิงหยาง เช่นนั้นเขาก็จะไม่ใช้มรดกของราชาชิงหยาง จะได้ไม่ถูกเปิดเผยตัวตน


หลายคนให้ความสนใจกับการต่อสู้นี้เป็นพิเศษเมื่อได้ยินว่าอี้อวิ๋นกับเจี้ยนเสี่ยวซวงจะประมือกัน


กลุ่มอิทธิพลท้องที่ของเมืองแสงหยกย่อมไม่พลาดเรื่องสนุกเช่นนี้


พวกเขาได้ยินชื่อเสียงของเจี้ยนเสี่ยวซวงมานาน ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของสำนักกระบี่สระใสที่ท่องไปในโลก เจี้ยนเสี่ยวซวงจึงถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะในรอบหมื่นปีของสำนัก ยากจะมีคนในวัยเดียวกันเป็นคู่ต่อสู้ได้ เจี้ยนเสี่ยวซวงไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงในทะเลทรายกลบอาทิตย์ ในพื้นที่อันกว้างใหญ่รอบๆ ก็มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นกัน


คนในเมืองแสงหยกอยากเห็นว่าเจี้ยนเสี่ยวซวงที่เป็นที่กล่าวขานนี้แข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่


แต่กลุ่มอิทธิพลที่มาจากนอกเมืองแสงหยกกลับไม่ค่อยสนใจการประลองนี้นัก พวกเขามองเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องฆ่าเวลาก่อนที่งานซื้อขายจะเริ่มขึ้น


สำหรับสำนักใหญ่ที่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่เห็นเมืองแสงหยกอยู่ในสายตา จอมยุทธ์ท้องที่ในเมืองเป็นแค่จอมยุทธ์อิสระที่เดินทางไปทั่วสำหรับพวกเขา ไม่มีมรดกที่สืบทอดกันมา ไม่มีขุมกำลังที่ลึกล้ำและประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ เช่นนี้จอมยุทธ์จากเมืองแสงหยกจะแข็งแกร่งได้แค่ไหนกันเชียว? ส่วนใหญ่มีแค่ผลวิถีสองสามใบ


“เจี้ยนอู๋เฟิงเป็นอะไรไปน่ะ เหตุใดจอมยุทธ์ไร้ชื่อเสียงในเมืองแสงหยกจึงทำให้เขาสนใจขนาดนี้ได้? คิดไม่ถึงว่าจะให้ศิษย์ประจำกายตัวเองประมือกับอีกฝ่าย ไม่เข้าใจจริงๆ”


นักพรตที่สวมชุดนักบวชและเครายาวถึงหน้าอกคนหนึ่งพูดอย่างไม่เข้าใจ อี้อวิ๋นเพิ่งมามีชื่อเสียงในเมืองแสงหยกเมื่อไม่กี่วันมานี้ หากออกจากเมืองแสงหยกไปก็คงไม่มีใครรู้จัก


ในสายตาของสำนักใหญ่ อัจฉริยะในสำนักกับจอมยุทธ์ที่ท่องไปในใต้หล้าก็อยู่คนละโลกโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่เพราะปรากฏการณ์ในทะเลทรายอาทิตย์ก็ยากที่จะปะปนกัน


“ท่านนักพรตสวีสุ่ย สหายอู๋เฟิงน่าจะมีความคิดเป็นของตัวเอง พวกเราดูกันไปก่อนเถอะ”


สตรีรูปงามที่สวมเสื้อผ้าตัวบางพูดยิ้มๆ นางมาจากสำนักคว้าจันทร์ เป็นคนมีชื่อเสียงเช่นกัน


ความจริงคนที่ถูกร้านประมูลเจ็ดดาราเชิญมาที่นี่ล้วนแต่ก็ไม่ธรรมดาทั้งนั้น ทว่าท่ามกลางคนเหล่านี้เจี้ยนอู๋เฟิงก็มีฐานะโดดเด่น ได้ความเคารพจากหลายคน สาเหตุสำคัญเป็นเพราะพลังอันแข็งแกร่งของเขา


“ทุกท่าน ห้องโถงนี้ไม่เหมาะกับการต่อสู้ หากสนใจที่จะดูการต่อสู้ก็ไปสนามฝึกกับข้าเถิด” เจี้ยนอู๋เฟิงเอ่ยปากพูด ในขณะที่เจี้ยนอู๋เฟิงเพิ่งพูดจบ เหยียนเทียนชงก็ลุกออกมาพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสอู๋เฟิง ข้าน้อยมีข้อเสนอแนะ ไม่ทราบว่าควรพูดหรือไม่”


จีสุ่ยเยียนขมวดคิ้วเมื่อเห็นเหยียนเทียนชงปรากฏตัวอย่างฉับพลัน นางสังหรณ์ใจว่าเหยียนเทียนชงคงไม่เสนอเรื่องดีแน่นอน แต่ตอนนี้นางอยู่ในงาน ด้วยฐานะของจีสุ่ยเยียนแล้วก็ไม่อาจพูดอะไรได้


“เจ้าพูดมาเถอะ” เจี้ยนอู๋เฟิงมองเหยียนเทียนชงอย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่ได้รู้สึกเกลียดคนที่ชอบหาช่องทางแบบเหยียนเทียนชง เพราะผ่านไปไม่กี่วันเขาก็คงลืมอีกฝ่ายแล้ว ความคิดของเจี้ยนอู๋เฟิงจดจ่ออยู่ที่เส้นทางแห่งยุทธ์เท่านั้น เรื่องอื่นเป็นแค่เมฆที่ลอยในอากาศ


กว่าจะหาโอกาสพูดแทรกได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เหยียนเทียนชงตั้งใจกับการแสดงครั้งนี้ของตัวเองมาก เขากระแอมไอและพูดว่า “เป็นเกียรติของข้าน้อยที่จะได้เห็นความแข็งแกร่งของเทพธิดาเสี่ยวซวงกับตา ข้าน้อยรู้สึกว่าหากการประมือครั้งนี้ใช้สนามฝึกธรรมดาจะทำให้เทพธิดาเสี่ยวซวงเสื่อมเสียเกินไป ข้าน้อยขอแนะนำให้ใช้แท่นประตูมังกรของร้านประมูลเจ็ดดารา ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเฟิงสิงจะอนุญาตหรือไม่?”


แท่นประตูมังกร?


บรรดาคนจากสำนักภายนอกย่อมไม่รู้จักเมื่อพูดถึงแท่นประตูมังกร ทว่าจอมยุทธ์ท้องที่ของเมืองแสงหยกกลับรู้จักเป็นอย่างดี


แท่นประตูมังกรมีชื่อเสียงโด่งดัง มันคือสถานที่ประลองที่มีมาตรฐานสูงสุดในเมืองแสงหยก การคัดเลือกอัจฉริยะของร้านประมูลเจ็ดดาราที่มีทุกๆ สิบปีก็จัดที่นี่เช่นกัน


เจี้ยนอู๋เฟิงไม่สนใจว่าจะเป็นแท่นประตูมังกรหรือสนามฝึก เขาตอบตกลงทันที


ผู้อาวุโสเฟิงสิงพูดว่า “ในเมื่อทุกท่านให้ความสนใจกับการประลองครั้งนี้ เช่นนั้นข้าจะพาทุกท่านไปที่แท่นประตูมังกร ข้าขอแนะนำแท่นประตูมังกรนี้ให้ทุกคนทราบก่อน หากจะขึ้นประลองก็ต้องผ่านประตู ประตูมังกรนี้ย่อมไม่มีความยากต่อเทพธิดาเสี่ยวซวง แต่มันมีข้อจำกัดอยู่เล็กน้อย… เนื่องจากการคัดเลือกอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของร้านประมูลเจ็ดดาราจำเป็นต้องกำหนดอายุกระดูก ดังนั้นจอมยุทธ์ที่อายุเกินข้อจำกัดจึงไม่อาจข้ามผ่านประตู”


ทุกคนเข้าใจทันทีเมื่อผู้อาวุโสเฟิงสิงพูดเช่นนี้


ที่แท้เหยียนเทียนชงก็พูดเรื่องข้อจำกัดอายุเพื่อพิสูจน์อายุของอี้อวิ๋น!


เขาไม่เชื่อว่าอี้อวิ๋นอายุพอๆ กับเจี้ยนเสี่ยวซวงจึงจงใจเปิดโปงคำโกหกให้อี้อวิ๋นอับอาย


จีสุ่ยเยียนหวั่นใจเมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ แม้นางจะโน้มเอียงไปทางเชื่อคำพูดอี้อวิ๋น ทว่าสติปัญญาก็บอกนางว่าเป็นไปไม่ได้ที่จอมยุทธ์อายุไม่ถึงร้อยปีจะมีพลังเช่นนี้ ต่อให้อี้อวิ๋นจะยังเด็กแต่ก็ไม่น่าเด็กขนาดนี้กระมัง!


ไม่ใช่แค่จีสุ่ยเยียน กลุ่มอิทธิพลท้องที่ของเมืองแสงหยกก็มีความคิดแบบเดียวกัน ความจริงพวกเขาคิดว่าอี้อวิ๋นอายุเยอะกว่าจีสุ่ยเยียนมาก บอกว่าแปดร้อยปีก็ไม่น้อยเกินไป สามพันปีก็ไม่มากเกินไป


ทุกคนรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ของเหยียนเทียนชงหักหน้ากันเกินไป แต่เดิมทีอี้อวิ๋นก็มีความแค้นกับเหยียนเทียนชงอยู่แล้ว ต่อให้ซ้ำเติมกันก็ไม่มีอะไรให้ตำหนิ


เหยียนเทียนชงไม่สนใจความคิดของทุกคน เขามองอี้อวิ๋นด้วยรอยยิ้มเหมือนแสดงพลัง สีหน้ามีความได้ใจอย่างเห็นได้ชัด


เขารู้ว่าอี้อวิ๋นแข็งแกร่ง แต่หากคิดจะโดดเด่นในงานซื้อขายก็ต้องผ่านด่านเขาไปก่อน เขาอยากให้เจี้ยนอู๋เฟิงรู้ว่าอี้อวิ๋นเป็นคนอย่างไร รู้ว่าอี้อวิ๋นจงใจโกหกอายุเพื่อเข้าใกล้เจี้ยนเสี่ยวซวง


เดิมทีเจี้ยนอู๋เฟิงก็ตอบตกลงแล้ว แต่เมื่อรู้ถึงความคิดของเหยียนเทียนชงก็มองไปที่อี้อวิ๋นอีกครั้ง เขาชื่นชมเด็กหนุ่มคนนี้มาก ย่อมไม่หวังว่าอีกฝ่ายจะพูดโกหก เขาถามอีกครั้งว่า “สหายน้อยอี้ เจ้าคิดเห็นอย่างไรต่อการประลองที่แท่นประตูมังกร”


“ได้หมด”


อี้อวิ๋นตอบตกลงอย่างไม่ใส่ใจ นี่ทำให้เหยียนเทียนชงที่กำลังได้ใจตะลึงงันทันที


เกิดอะไรขึ้น หรืออี้อวิ๋นจะอายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ?


ความสงบของอี้อวิ๋นทำให้เหยียนเทียนชงไม่มั่นใจ แต่เมื่อคิดถึงพลังอันน่ากลัวของอี้อวิ๋นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอายุน้อยขนาดนั้น


“ดี!”


เจี้ยนอู๋เฟิงหัวเราะ เขาพอใจในคำตอบของอี้อวิ๋นมาก


“ไปที่แท่นประตูมังกรกันเถอะ!”


เจี้ยนอู๋เฟิงสาวเท้ายาวๆ นำอยู่ด้านหน้า คนทั้งกลุ่มตามเจี้ยนอู๋เฟิงไปที่แท่นประตูมังกร


หลังจากที่ผ่านอาคารต่างๆ ของร้านประมูลเจ็ดดารา ทุกคนก็เห็นประตูมังกรขนาดยักษ์บานหนึ่งตั้งอยู่กลางสนามฝึกผืนกว้างจากที่ไกลๆ นี่ก็คือแท่นประตูมังกร


1077 ประตูเจ็ดชั้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

แท่นประตูมังกรยิ่งใหญ่ตระการตามาก มันกินพื้นที่สิบลี้ เมื่อทุกคนมาถึงหน้าแท่นประตูมังกรก็เห็นประตูมังกรที่ทับซ้อนกันเจ็ดชั้น บานที่อยู่ใกล้เป็นบานใหญ่ อยู่ไกลเป็นบานเล็ก ประตูมังกรที่อยู่ใกล้ทุกคนที่สุดสูงถึงร้อยจั้ง ประตูที่ไกลที่สุดสูงประมาณสิบจั้ง


ด้านหลังประตูเจ็ดทั้งเจ็ดชั้นมีแท่นสูง มีทั้งหมดเจ็ดแท่น


เมื่อยืนอยู่หน้าประตูมังกรก็รู้สึกถึงคลื่นพลังที่ส่งออกมา สัมผัสแล้วให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ทรงพลัง


“คิดไม่ถึงว่าเมืองเล็กๆ อย่างเมืองแสงหยกจะมีแท่นประลองเช่นนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ”


แม้แต่หลายคนที่มาจากสำนักภายนอกก็อดที่จะชื่นชมแท่นประตูมังกรไม่ได้ ผู้อาวุโสเฟิงสิงได้ยินแล้วก็ลูบเคราอย่างพึงใจ


ร้านประมูลเจ็ดดาราไม่ใช่กลุ่มอิทธิพลธรรมดา หลายคนไม่เข้าใจความยิ่งใหญ่ของมัน ร้านประมูลเจ็ดดารานี้จึงเป็นแค่เมล็ดข้าวเม็ดหนึ่งในมหานทีสำหรับกลุ่มอิทธิพลใหญ่เหล่านั้น


‘แท่นประตูมังกรมีค่ายกลอยู่ไม่น้อย’


อี้อวิ๋นมองแท่นประตูมังกรอย่างใช้ความคิด


เหยียนเทียนชงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลคอยมองอี้อวิ๋นอยู่ตลอด เขาไม่เชื่อว่าอี้อวิ๋นจะอายุน้อยถึงเพียงนั้น ตัวเขาเองอายุสามร้อยปีแล้ว ฝึกจนถึงตอนนี้ก็ยังสู้อี้อวิ๋นไม่ได้สักหมัด หากอี้อวิ๋นอายุไม่ถึงร้อยปีจริง เช่นนั้นตัวเขาจะนับเป็นอะไรกัน?


‘ฮ่าฮ่า คุณชายเหยียนไม่ต้องกังวลไป ข้ามองว่าอี้อวิ๋นอาจมีวิชาซ่อนอายุกระดูกบางอย่างที่ช่วยให้ผ่านได้จึงมีท่าทีสงบเช่นนี้ แต่แท่นประตูมังกรของข้าใช้ค่ายกลโบราณ ใช้สิ่งที่วิชาซ่อนอายุกระดูกจะหลบได้ที่ไหนกัน?’


ผู้อาวุโสเฟิงหลิงส่งเสียงพูด เขาเองก็ไม่ค่อยชอบอี้อวิ๋นนัก แม้คนที่ร้านความลับเทพลงมือด้วยจะเป็นร้านขยายฟ้า แต่ผู้อาวุโสเฟิงสิงก็คอยดูแลเหยียนเทียนชงอยู่ลับๆ หากเหยียนเทียนชงทำลายร้านความลับเทพแล้วมีหรือจะไม่ตอบแทนเขา?


แต่ตอนนี้เขากลับไม่ได้อะไรเลยเพราะมีอี้อวิ๋นเป็นสาเหตุ


‘โอ้? ผู้อาวุโสเฟิงสิงมั่นใจขนาดนี้เชียวหรือขอรับ?’ เหยียนเทียนชงฟังแล้วก็ดีใจ รู้สึกว่าคำพูดของผู้อาวุโสเฟิงสิงมีเหตุผลมาก


‘แน่นอน แท่นประตูมังกรตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่มาหลายแสนปี หากใช้เล่ห์เหลี่ยมก็ผ่านไปได้เช่นนั้นก็คงพังไปนานแล้ว’


ขณะที่ผู้อาวุโสเฟิงสิงส่งเสียงก็มองอี้อวิ๋นอย่างยิ้มเยาะ เขาพูดกับอี้อวิ๋นและเจี้ยนเสี่ยวซวงว่า “เทพธิดาเสี่ยวซวง คุณชายอี้ ประตูเจ็ดชั้นของแท่นประตูมังกรมีความยากมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละชั้น แม้จะเป็นอัจฉริยะผู้เป็นเอกก็ผ่านได้ถึงบานที่ห้าที่หก ประตูที่เจ็ดยากเป็นพิเศษ เพราะประตูมังกรเจ็ดชั้นนี้กำหนดอายุชั้นละเจ็ดสิบปี ดังนั้น…”


ผู้อาวุโสเฟิงสิงยังไม่ทันพูดจบ เจี้ยนเสี่ยวซวงก็ขี้เกียจฟังเขาพูด ตัวนางที่สวมชุดสีฟ้าทะยานตัวออกไป ผมม้าด้านหลังศีรษะลอยปลิว นางพุ่งเข้าสู่แท่นประตูมังกรดังแสงสีฟ้า!


นางพุ่งผ่านประตูชั้นที่หนึ่งได้อย่างง่ายดาย บนบานประตูมีม่านแสงบางๆ สว่างขึ้นเพื่อสกัดเจี้ยนเสี่ยวซวง ทว่าเจี้ยนเสี่ยวซวงกลับไม่แม้แต่จะมอง นางฟันกระบี่ออกไปตรงๆ


ฉัวะ!


ม่านแสงฉีกขาด เจี้ยนเสี่ยวซวงพุ่งผ่านม่านแสง ร่างกายไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย


อย่างไรนี่ก็เป็นแท่นประลองที่ร้านประมูลเจ็ดดาราใช้คัดเลือกอัจฉริยะรุ่นเยาว์ ไม่มีความยากสำหรับอัจฉริยะผู้เป็นเอกอย่างเจี้ยนเสี่ยวซวงแม้แต่น้อย


หลังจากที่เจี้ยนเสี่ยวซวงพุ่งผ่านม่านแสงชั้นแรกก็พุ่งต่อไปไม่หยุด กระบี่ฟันออกเป็นครั้งที่สองเพื่อทำลายม่านแสงชั้นที่สอง!


จากนั้นก็ม่านที่สามที่สี่!


เจี้ยนเสี่ยวซวงพุ่งไปข้างหน้าอย่างง่ายดาย ไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย


เพียงไม่กี่อึดใจก็ทำลายม่านแสงสายที่หกและพุ่งเข้าสู่บานที่เจ็ด!


ผู้อาวุโสเฟิงสิงตะลึงงันเมื่อเห็นภาพนี้ เขายังพูดไม่ทันจบเจี้ยนเสี่ยวซวงก็ถึงชั้นสุดท้ายแล้ว


เจี้ยนเสี่ยวซวงพุ่งเข้าใส่ม่านแสงชั้นที่เจ็ด ลำแสงกระบี่สีฟ้าโถมลงมาเหมือนน้ำตก


แคว๊ก!


เสียงเหมือนผ้าขาดดังขึ้น ในที่สุดร่างของเจี้ยนเสี่ยวซวงก็ชะงักเล็กน้อย ขณะเดียวกันม่านแสงชั้นที่เจ็ดก็ฉีกออก!


ตุบ!


เจี้ยนเสี่ยวซวงยืนบนแท่นชั้นที่เจ็ดอย่างมั่นคง นางสูดลมหายใจสองสามครั้งแล้วสงบลง


“แท่นประตูมังกรก็แค่นี้เอง”


เจี้ยนเสี่ยวซวงพูดเรียบๆ นี่ไม่ใช่ความหยิ่งทะนง แต่เป็นการที่นางไม่เห็นแท่นประตูมังกรอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย นี่ก็เหมือนอินทรีสยายปีกเก้าหมื่นจั้งที่ไม่เห็นว่าภูเขาสูงกีดขวางตา


กลุ่มอิทธิพลท้องที่ของเมืองแสงหยกพูดไม่ออกเมื่อเห็นผลงานของเจี้ยนเสี่ยวซวง เร็วขนาดนี้เชียว?


หลายปีมานี้พวกเขาเองก็เคยเห็นการคัดเลือกบนแท่นประตูมังกรของร้านประมูลเจ็ดดารา คนที่ถูกใครหลายคนมองว่าเป็นอัจฉริยะผู้เป็นเอกก็ยังพ่ายแพ้ต่อแท่นประตูมังกรนี้ ทว่าเจี้ยนเสี่ยวซวงกลับผ่านภายในไม่กี่อึดใจ


จะเกินไปแล้ว!


แม้จะได้ยินชื่อเสียงเจี้ยนเสี่ยวซวงมานาน แต่ตอนนี้ทุกคนเพิ่งรู้อย่างแท้จริงว่าเจี้ยนเสี่ยวซวงมีพรสวรรค์ด้านยุทธ์มากขนาดไหนกัน จะมีคนวัยเดียวกันชนะนางได้อย่างไร?


ผู้อาวุโสเฟิงสิงหัวเราะขมขื่น แท่นประตูมังกรที่เขาภูมิใจกลับกลายเป็นเรื่องน่าขันต่อหน้าทุกคน ก่อนหน้านี้เขาพูดอย่างมั่นใจ ตอนนี้จึงรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย


แต่โชคดีที่หลังจากนี้ยังมีอี้อวิ๋น เขาคงกู้หน้าคืนจากอี้อวิ๋นได้บ้าง


ผู้อาวุโสเฟิงสิงกระแอมไอ เขามองอี้อวิ๋นอย่างดูถูกและพูดเรียบๆ ว่า “เมื่อครู่ข้ายังพูดไม่จบ เทพธิดาเสี่ยวซวงก็พุ่งเข้าไปเสียแล้ว ข้าจะพูดใหม่อีกครั้ง ประตูมังกรเจ็ดชั้นนี้จำกัดอายุชั้นละเจ็ดสิบปี ประตูชั้นแรกที่ใหญ่ที่สุดจึงต้องมีอายุต่ำกว่าสี่ร้อยเก้าสิบปีจึงจะผ่านไปได้ ชั้นที่สองสี่ร้อยยี่สิบปี ชั้นที่สามสามร้อยห้าสิบปี…”


ผู้อาวุโสเฟิงสิงพูดถึงตรงนี้อย่างไม่เร็วไม่ช้าก็หยุดชะงักลง เขาพบว่าอี้อวิ๋นไม่สนใจคำพูดเขาแม้แต่น้อย อี้อวิ๋นพุ่งตัวไปที่แท่นประตูมังกร ทิ้งให้เขาที่พูดอยู่ด้านหลังรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง


ผู้อาวุโสเฟิงสิงโกรธจัด เจี้ยนเสี่ยวซวงก็ว่าไปอย่าง ยังไงนางก็เป็นศิษย์อัจฉริยะของสำนักกระบี่สระใส เขาไม่กล้าตำหนิอะไร แต่อี้อวิ๋นที่เป็นจอมยุทธ์อิสระกลับตบหน้าเขาเช่นกัน


เจ้าเด็กนี่!


ผู้อาวุโสเฟิงสิงกัดฟัน ในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในผู้ดูแลร้านประมูลเจ็ดดาราของเมืองแสงหยก ตัวเขาจึงเหมือนมีตำแหน่งเทียบเท่าเจ้าเมือง จะให้กล้ำกลืนความโกรธนี้ได้อย่างไร เขาตัดสินใจแล้วว่าจะมอบบทเรียนให้อี้อวิ๋น


ในหัวเพิ่งมีความคิดนี้แล่นผ่าน อี้อวิ๋นก็มาถึงตรงหน้าม่านแสงชั้นที่หนึ่งแล้ว


ม่านแสงชั้นที่หนึ่งคือชั้นที่ง่ายที่สุด ไม่มีใครสงสัยในพลังของอี้อวิ๋น แต่ม่านแสงชั้นนี้ต้องมีอายุน้อยกว่าสี่ร้อยเก้าสิบปีจึงจะผ่านไปได้!


อี้อวิ๋นไม่แม้แต่จะมอง เขาไม่ใช้กระบี่ด้วยซ้ำ บนร่างเขามีลำแสงกระบี่สีทองบางๆ ชั้นหนึ่งห่อหุ้ม เขาเดินเข้าสู่ม่านแสงโดยตรง


ร่างกายเขาไม่โดยสกักแม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกเหมือนปลาที่ว่ายผ่านเยื่อน้ำ


ผ่านแล้ว!


เหยียนเทียนชงกลั้นหาย อี้อวิ๋นผ่านม่านแสงนี้ได้ง่ายมาก ง่ายประหนึ่งเดินผ่านประตู


เดิมทีเขาสงสัยว่าอี้อวิ๋นใช้วิชาซ้อนเร้นเพื่อโกง ทว่านอกจากลำแสงกระบี่บนร่างอี้อวิ๋นแล้วก็ไม่มีคลื่นพลังอะไรอื่นอีก ไม่พูดถึงค่ายกลของแท่นประตูมังกร แค่จอมยุทธ์ที่อยู่ที่นี่ก็มีชื่อเสียงกันทั้งนั้น หากใช้วิชากลโกงจริงๆ แล้วมีหรือที่พวกเขาจะมองไม่ออก?


นี่หมายความว่าอี้อวิ๋นอายุต่ำกว่าสี่ร้อยเก้าสิบปีเป็นอย่างน้อย!


1078 คู่ต่อสู้ฝีมือพอๆ กัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เดิมทีทุกคนเดาว่าอี้อวิ๋นมีอายุพันปีเป็นอย่างน้อย แค่นี้ก็นับว่าหนุ่มแล้ว ตอนนี้ยังมาอายุน้อยกว่าสี่ร้อยเก้าสิบปีลงไปอีก ถือว่าโตกว่าเหยียนเทียนชงไม่เท่าไร


ทว่าพลังของทั้งคู่กลับมีฝ่ายหนึ่งเป็นฟ้า ฝ่ายหนึ่งเป็นเหว ตอนนี้เหยียนเทียนชงอายุสามร้อยปี ไม่ต้องพูดเรื่องที่จะให้เวลาเขาอีกหนึ่งร้อยเก้าสิบปี ต่อให้มีเวลาอีกพันเก้าร้อยปีก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไปถึงระดับของอี้อวิ๋น!


ใจของเหยียนเทียนชงรู้สึกพ่ายแพ้อย่างรุนแรงเมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เจี้ยนเสี่ยวซวงเป็นอัจฉิยะผู้เป็นเอกของสำนักกระบี่สระใส ตัวเขาไม่รู้สึกอะไรที่เทียบอีกฝ่ายไม่ได้ แต่กับอี้อวิ๋นที่เป็นจอมยุทธ์อิสระก็ห่างชั้นขนาดนี้เชียวหรือ?


ในหัวเหยียนเทียนชงเพิ่งมีความคิดนี้แล่นผ่าน ตอนนี้อี้อวิ๋นก็มาถึงหน้าม่านแสงชั้นที่สองเรียบร้อยแล้ว ม่านแสงพลังชั้นบางยังคงกีดขวางทางของอี้อวิ๋น ท่าทีอี้อวิ๋นไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทั่วร่างมีลำแสงกระบี่รายล้อมและเดินผ่านได้โดยตรง!


ม่านแสงชั้นที่สอง สี่ร้อยยี่สิบปี!


เหยียนเทียนชงสับสนมาก


ชั้นที่สองก็ผ่านหรือ? เขาอายุเท่าไรกันแน่?


ภาพเหตุการณ์ต่อมาก็ทำให้เหยียนเทียนชงแทบหยุดหายใจ…


ชั้นที่สาม สามร้อยห้าสิบปี


อี้อวิ๋นยังคงเดินผ่านเหมือนเดิม การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้เร็ว ไม่แม้แต่จะชักกระบี่


ดูแล้วอี้อวิ๋นเชื่องช้ากว่าเจี้ยนเสี่ยวซวงมาก ทว่าเขากลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินเล่น นี่คือการผ่านด่านแท่นประตูมังกรจริงๆ หรือ?


จากนั้นก็ชั้นที่สี่…


ทุกคนมองอี้อวิ๋นอย่างตะลึงงันและริมฝีปากอ้าออก ประตูแต่ละชั้นจำกัดอายุเจ็ดสิบปี ทุกชั้นที่ผ่านจะลดอายุอี้อวิ๋นลงไปเจ็ดสิบปี


หรือที่อี้อวิ๋นบอกว่าฝึกยุทธ์มาไม่ถึงร้อยปีก่อนหน้านี้จะเป็นเรื่องจริง?


อายุไม่ถึงร้อยปีแต่สังหารจอมยุทธ์ระดับวังวิถีได้อย่างง่ายดาย ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?


ชั้นที่ห้า!


ชั้นที่หก!


ข้อจำกัดด้านอายุลดลงมาอยู่ที่หนึ่งร้อยสี่สิบปี!


อี้อวิ๋นเดินผ่านประตูอย่างไร้กังวล ร่างกายไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย ยังคงก้าวย่างอย่างมีพลัง นี่แทบจะพิสูจน์ได้แล้วว่าสิ่งที่อี้อวิ๋นพูดเป็นความจริง


เขาเป็นเด็กรุ่นเยาว์จริงๆ!


อัจฉริยะผู้เป็นเอก!


สมองของเหล่าจอมยุทธ์ท้องที่ในเมืองแสงหยกต่างมีความคิดนี้แล่นผ่าน อายุแค่นี้ก็มีพลังระดับนี้ อยู่เหนือจินตนาการพวกเขาโดยสิ้นเชิง


เจี้ยนเสี่ยวซวงยังมาจากสำนักใหญ่ อี้อวิ๋นเป็นแค่จอมยุทธ์อิสระที่ท่องไปทั่ว เขาบอกเองว่าไม่มีสำนัก มีเพียงอาจารย์ นับเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ ที่เดินมาถึงจุดนี้ได้


ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจก็เห็นว่าอี้อวิ๋นไม่ได้หยุดฝีเท้าตัวเอง


หากจะผ่านประตูมังกรชั้นที่เจ็ดก็ต้องอายุน้อยกว่าเจ็ดสิบปี ประตูชั้นที่เจ็ดคือชั้นที่ยากที่สุด ก่อนหน้านี้อี้อวิ๋นบอกว่าตัวเองอายุไม่ถึงร้อยปี โดยปกติแล้วก็มีแต่อายุเก้าสิบกว่าปีจึงจะใช้คำว่าไม่ถึงร้อยปีมาบรรยายตัวเอง


เช่นนี้อี้อวิ๋นจึงย่อมไม่ผ่านประตูชั้นที่เจ็ด


เพราะก่อนหน้านี้เจี้ยนเสี่ยวซวงไม่ฟังกฎของแท่นประตูมังกรให้จบก็พุ่งเข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุด ตอนนี้นางคงต้องเดินออกมาที่แท่นของประตูชั้นที่หกเพื่อสู้กับอี้อวิ๋น


เดิมทีทุกคนเตรียมที่จะแจ้งให้เจี้ยนเสี่ยวซวงออกมา ทว่าตอนนี้อี้อวิ๋นกลับมาถึงตรงหน้าม่านแสงชั้นที่เจ็ดแล้ว


ภาพเหตุการณ์ที่เกิดในวินาทีถัดมาทำให้ทุกคนรู้สึกประหนึ่งเวลาเดินช้าลง


อี้อวิ๋นเดินผ่านม่านแสงไปอย่างเงียบเชียบ…


ขาข้างหนึ่งก้าวนำ อีกก้าวเดินตามเหมือนผ่านผิวน้ำ เขาเหยียบลงบนแท่นประลองของประตูชั้นเจ็ดเบาๆ


เป็นไปได้อย่างไร?


ทุกคนในที่นี้โดยเฉพาะเหล่าจอมยุทธ์ท้องที่ของเมืองแสงหยกเหมือนกลายเป็นหิน พวกเขาจ้องอี้อวิ๋นอย่างตะลึง


ประตูชั้นที่เจ็ดต้องอายุต่ำกว่าเจ็ดสิบปี!


อี้อวิ๋นอายุไม่ถึงเจ็ดสิบปีหรือ?


ล้อกันเล่นหรือเปล่า เขาพูดเองว่าฝึกยุทธ์มาไม่ถึงร้อยปี เขาพูดเช่นนี้เพื่อถ่อมตัวหรือนี่!?


อายุไม่ถึงเจ็ดสิบปี เมื่อตัดช่วงเวลาแรกเกิดสองสามปีแรกที่ไม่อาจฝึกยุทธ์ออกไปก็เป็นไปได้ว่าเพิ่งฝึกยุทธ์มาแค่หกสิบปี!


เช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่แค่อายุต่างกับเจี้ยนเสี่ยวซวงไม่มาก แต่อายุเท่ากัน!


ฝึกยุทธ์แค่หกสิบปีก็สังหารจอมยุทธ์ระดับวังวิถีได้ ต้องขนาดไหนกัน?


เหยียนเทียนชงแทบทรุดตัวลงกับพื้น เขาหาเรื่องกับดาวเคราะห์ร้ายเช่นนี้หรือเนี่ย!


ต้องบอกก่อนว่าแค่พลังของอี้อวิ๋นในตอนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ร้านขยายฟ้าจะรับมือได้ ต่อให้อี้อวิ๋นจะอ่อนแอกว่านี้เล็กน้อยก็ไม่กล้าลงมือด้วยง่ายๆ เพราะหากสังหารอัจฉริยะเช่นนี้ไม่สำเร็จ ความเร็วในการเติบโตอันน่ากลัวของอีกฝ่ายก็ทำให้พวกเขาสิ้นหวัง


ไม่ต้องถึงร้อยปีสิบปี เพียงสามถึงห้าปีก็อาจพัฒนาขึ้นถึงสองสามขั้นเล็กๆ พลังแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า เป็นไปได้มากกว่าจะสังหารร้านขยายฟ้าของพวกเขาจนไม่รอดแม้แต่คนเดียว!


ถึงเวลานั้นร้านประมูลเจ็ดดาราก็ได้แต่ตัวใครตัวมัน แม้เบื้องหลังร้านประมูลเจ็ดดาราแห่งเมืองแสงหยกจะพอมีกลุ่มอิทธิพลอยู่บ้าง แต่กลุ่มอิทธิพลใหญ่นี้จะสนใจที่อย่างเมืองแสงหยกได้อย่างไร?


เหยียนเทียนชงใจหายวาบเมื่อคิดถึงตอนที่จีสุ่ยเยียนจับตัวคนของร้านขยายฟ้าไว้และร้านขยายฟ้าเกือบบุกเข้าไปสังหาร โชคดีที่ตอนนั้นพวกเขายอมโอนอ่อน ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจนึกถึงผลลัพธ์จริงๆ


จอมยุทธ์ในเมืองแสงหยกต่างรู้สึกกลัวเพราะความแข็งแกร่งของอี้อวิ๋น ทว่าจอมยุทธ์ที่มาจากเมืองอื่นกลับต่างออกไป พวกเขาไม่รู้ชื่อเสียงที่อี้อวิ๋นมีในเมืองแสงหยก ไม่รู้ว่าอี้อวิ๋นทำอะไรมา ความจริงต่อให้พวกเขารู้ก็คงไม่ใส่ใจอะไรนัก อย่างไรเมืองแสงหยกก็เป็นแค่เมืองเล็กๆ ในสายตาพวกเขา ต่อให้เป็นผู้อาวุโสจากร้านค้าใหญ่ก็อ่อนแอ


หลังจากที่ถึงระดับรวมวิถี เพราะคุณภาพของผลวิถีหนึ่งถึงเก้าใบแตกต่างกันมาก ดังนั้นพลังของจอมยุทธ์ระดับเดียวกันจึงต่างราวฟ้ากับเหว


เป็นไปได้ที่จอมยุทธ์ระดับวังวิถีช่วงปลายจากสำนักใหญ่จะสังหารจอมยุทธ์ระดับวังวิถีที่รากฐานอ่อนแอ


‘เสี่ยวซวง เดิมทีอาจารย์แค่คิดจะใช้การประมือของพวกเจ้ามายืนยันเรื่องบางอย่าง คิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นจะเป็นอัจฉริยะเช่นนี้ แบบนี้ก็ดีเลย เจ้ากับเขามีฝีมือพอๆ กันและสู้สุดกำลังได้ เรื่องนี้มีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของเจ้าเช่นกัน’


ขณะที่เจี้ยนเสี่ยวซวงกำลังยืนอยู่บนแท่นประตูมังกรก็มีเสียงปราณของเจี้ยนอู๋เฟิงดังขึ้น


‘ท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าข้ากับเขามีฝีมือพอๆ กันหรือเจ้าคะ?’ เจี้ยนเสี่ยวซวงมองอี้อวิ๋นแล้วพ่นลมเย็นๆ เหมือนไม่ยอมรับ


ตลอดเวลาที่นางฝึกยุทธ์มาก็สู้ชนะอย่างง่ายดายมาโดยตลอด นอกจากพวกคนที่เป็นรุ่นพี่แล้วก็ไม่ใช่แค่ไม่มีใครในเด็กรุ่นเยาว์คุกคามนางได้ นางมักประลองแบบข้ามขั้นด้วยซ้ำ


พวกศิษย์พี่ในสำนักกระบี่สระใสเกรงกลัวเจี้ยนเสี่ยวซวงกันหมด


อายุมากกว่าเจี้ยนเสี่ยวซวง ระดับยุทธ์ก็สูงกว่าหนึ่งถึงสองขั้น ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชาย จะรู้สึกยังไงที่แพ้ให้สาวน้อย?


ตอนนี้ไม่มีศิษย์วัยเดียวกันคนใดกล้าประมือกับเจี้ยนเสี่ยวซวง แต่ละคนวิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเมื่อเจอนาง นี่จึงทำให้ไม่มีใครในสำนักกระบี่สระใสกล้าหาเรื่องเจี้ยนเสี่ยวซวง เป็นสาเหตุที่นางมีนิสัยเย่อหยิ่งเย็นชาเช่นกัน


แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เจี้ยนเสี่ยวซวงกลับได้ยินอาจารย์พูดว่านางจะได้เจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ทั้งในคำพูดยังมีความหมายให้นางเรียนรู้จากอีกฝ่ายเพื่อก้าวหน้าด้วยกัน จะไม่ให้เกิดจิตกระหายการต่อสู้ได้อย่างไร?


นางจะพิสูจน์ว่านางต่างหากที่แข็งแกร่งที่สุด


เจี้ยนเสี่ยวซวงสะบัดกระบี่ในมือ ปลายกระบี่ชี้ไปที่อี้อวิ๋นและพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ลงมือเถอะ”


1079 หนึ่งกระบี่ตื่นตะลึง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เสียงของเจี้ยนเสี่ยวซวงดังชัดไปทั่วพื้นที่แห่งนี้ กระบี่ในมือนางมีเจตนากระบี่อันแหลมคมวนเวียน เมื่อผู้ฝึกกระบี่บรรลุกระบี่ถึงขั้นสูงสุด เช่นนั้นต่อให้ไม่ฟันกระบี่ออกไป แค่เจตนากระบี่ก็สังหารคนได้แล้ว


นางแทงกระบี่ไปข้างหน้า ระหว่างฟ้าดินเหมือนมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ทันใดนั้นสายฟ้าเส้นหนึ่งก็พุ่งผ่านท้องฟ้ามาที่อี้อวิ๋น


ด้วยนิสัยของเจี้ยนเสี่ยวซวงแล้วนางย่อมใช้พลังที่รุนแรงดุจอัสนีบาตรเมื่อเจอคู่ต่อสู้แบบอี้อวิ๋น นางจะทำให้อี้อวิ๋นเข้าใจถึงความต่างระหว่างเขากับนางด้วยกระบี่นี้


ทุกคนในที่นี้รู้สึกถึงเจตนาอันแหลมคมในลำแสงกระบี่สายนี้ จอมยุทธ์ที่พลังอ่อนแออย่างเหยียนเทียนชงยิ่งรู้สึกขนลุกทั้งตัวและรู้สึกอันตรายถึงชีวิต


นี่ก็คือเจตนากระบี่ ขนาดไม่ได้เผชิญหน้าตรงๆ ก็รู้สึกเหมือนมีกระบี่จ่ออยู่กลางหว่างคิ้ว


‘ข้ากับเจี้ยนเสี่ยวซวงห่างชั้นกันขนาดนี้เชียวหรือ…’


เหยียนเทียนชงรู้สึกพ่ายแพ้ในใจ ปราณคุ้มครองร่างของเขาถูกกระตุ้นออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่ออยู่ภายใต้เจตนากระบี่อันทรงพลังนี้


“เทพธิดากระบี่ช่างสมคำล่ำลือจริงๆ แม้แต่ข้าก็ต้องบังคับใช้พลังส่วนหนึ่งเมื่อเจอกระบี่นี้” ปรมาจารย์ฮว่าอวี่พูดเรียบๆ


ขณะที่เหยียนเทียนชงรู้สึกพ่ายแพ้ในใจก็มีสีหน้าชั่วร้ายไปด้วย เขาอยากเห็นว่าอี้อวิ๋นจะรับมืออย่างไร


อี้อวิ๋นตกใจเล็กน้อยเมื่อเผชิญกระบี่นี้


เขาคุ้นเคยกับลำแสงกระบี่นี้อยู่บ้าง ตอนที่อยู่ในแดนลับจักรพรรดินีที่โลกเทียนหยวน เขาเคยเห็นการต่อสู้ระหว่างราชาชิงหยางกับเทพปีศาจเกราะดำจากแผ่นกลที่ราชาชิงหยางทิ้งไว้


ตอนนั้นกระบี่ของราชาชิงหยางฟันแยกฟ้าดิน เจตนากระบี่ที่แฝงอยู่ภายในก็คลายคลึงกับกระบี่ของเจี้ยนเสี่ยวซวงมาก


‘ดูแล้วต่อให้พวกเขาจะไม่ใช่ทายาทสายตรงของราชาชิงหยางก็น่าจะสืบทอดมรดกของราชาชิงหยาง’ อี้อวิ๋นคิด


แท้จริงแล้วกระบี่ของราชาชิงหยางที่บันทึกในแผ่นกลสืบทอดมาจากผู้เป็นนายแห่งวังกระบี่หยางบริสุทธิ์ แต่ในเจตนากระบี่ของผู้เป็นนายแห่งวังกระบี่หยางบริสุทธิ์ก็มีความเข้าใจด้านวิถีกระบี่ของราชาชิงหยางแฝงอยู่เช่นกัน


ราชาชิงหยางได้สัมผัสกับวังกระบี่หยางบริสุทธิ์หลังจากที่มาโลกเทียนหยวน ใช้สิ่งที่ได้จากที่นั่นมาพัฒนาวิชากระบี่ของตัวเองและทำให้เจตนากระบี่เปลี่ยนแปลง


เช่นนี้แล้วกระบี่ของเจี้ยนเสี่ยวซวงจึงขาดเจตนากระบี่ของผู้เป็นนายแห่งวังกระบี่หยางบริสุทธิ์อย่างเห็นได้ชัด


นอกจากนี้สำนักกระบี่สระใสยังเพิ่มความเข้าใจของพวกเขาเองลงในมรดกดั้งเดิมของราชาชิงหยาง


ทว่าความเข้าใจเหล่านี้กลับห่างชั้นจากแนวคิดวิถีกระบี่ของผู้เป็นนายแห่งวังกระบี่หยางบริสุทธิ์ไกลเกินไป


ต่อให้สำนักกระบี่สระใสจะเก่งกาจ แต่ความเข้าใจต่อวิถีกระบี่ที่พวกเขาเพิ่มเข้ามามีหรือจะเทียบได้?


“อี้อวิ๋นกำลังเหม่ออะไรน่ะ?” ทุกคนเห็นว่าอี้อวิ๋นยืนปล่อยมือไว้ข้างตัวอย่างไม่ขยับในขณะที่เผชิญกับกระบี่ของเจี้ยนเสี่ยวซวง เขามีสีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง


“คงกำลังเค้นสมองว่าควรรับมืออย่างไรจึงจะไม่ขายหน้ากระมัง แต่หากเขายังไม่ลงมืออีกก็ไม่เพียงแต่จะขายหน้า แต่ยังจะจบชีวิตด้วย” เหยียนเทียนชงพูดเย็นๆ


เขาเพิ่งพูดจบอี้อวิ๋นก็เงยหน้าขึ้น


สีหน้าอี้อวิ๋นนิ่งสงบประหนึ่งสิ่งที่ฟันเข้ามาไม่ใช่กระบี่ที่ทรงพลังแต่เป็นแค่สายลมเย็นๆ


อี้อวิ๋นพลิกมือ กลางฝ่ามือมีกระบี่ธรรมดาเล่มหนึ่งปรากฏ ทันใดนั้นสายฟ้าสีฟ้าสายหนึ่งก็พุ่งผ่านอากาศ ลำแสงกระบี่ประหนึ่งทะลุมิติเวลามาจากยุคดึกดำบรรพ์!


‘แสงฟ้าทะลุอาทิตย์ทำลายจันทร์โลหิต วิญญาณน้ำแข็งโดดเดี่ยวผนึกเหวเทพ!’


“กระบี่ควรเป็นเช่นนี้” ลำแสงกระบี่ของอี้อวิ๋นส่งออกมาทีหลังแต่กลับถึงก่อน ในชั่วพริบตาที่ส่งออกมา สายฟ้าสีฟ้าขนาดยักษ์นี้ก็เข้าปะทะกับลำแสงกระบี่ของเจี้ยนเสี่ยวซวง!


กระบี่นี้มีเจตนากระบี่ของราชาชิงหยาง ทั้งยังมีมรดกจากผู้เป็นนายแห่งวังกระบี่หยางบริสุทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นวิถีกระบี่ของอี้อวิ๋นเอง!


ฟิ้ว!


ลำแสงกระบี่พุ่งผ่านฟ้าดิน มันกลายเป็นสิ่งเดียวในโลกนี้ ประตูมังกรทั้งเจ็ดเหมือนจะถูกทะลวงผ่านทั้งหมด


ใบหน้าอันเย็นชาของเจี้ยนเสี่ยวซวงเกิดความเปลี่ยนแปลงเมื่อเห็นลำแสงกระบี่ของอี้อวิ๋นที่พุ่งเข้ามา!


ฉัวะ!


สายฟ้าฟาดลงพื้นจนเกิดเสียงระเบิด ไฟหยางบริสุทธิ์กับสายฟ้าหยางบริสุทธิ์กลืนกินลำแสงกระบี่ของเจี้ยนเสี่ยวซวง


เจี้ยนเสี่ยวซวงถอยตัวออกไป อานุภาพของพลังหยางบริสุทธิ์ไม่ลดลง ม่านแสงแต่ละชั้นของประตูมังกรพากันแตกออก!


เจี้ยนเสี่ยวซวงถูกกระบี่นี้ทำให้ถอยออกมาถึงสามแท่นประลองจึงจะร่อนลงบนพื้น


ตั้งแต่แท่นประลองที่สี่ที่เจี้ยนเสี่ยวซวงอยู่ไปถึงแท่นประลองที่เจ็ดมีรอยกระบี่อันแหลมคมทอดตัวออกมา รอยกระบี่นี้ตรงเหมือนไม้บรรทัดและขยายไปข้างหน้า


รอยกระบี่กว้างแค่นิ้วมือ กลางรอยมีไฟหยางบริสุทธิ์เผาไหม้ พลังเปลวไฟลุกโชน มองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกถึงความร้อนอันน่ากลัว


หางตาผู้อาวุโสเฟิงสิงกระตุกอย่างรุนแรงเมื่อเห็นภาพนี้


ก่อนหน้านี้เขาคุยโวถึงความแข็งแกร่งของค่ายกลในแท่นประตูมังกร ค่ายกลโบราณในแท่นประตูมังกรมาจากยุคโบราณก็จริง แต่ตัวแท่นประลองกลับถูกสร้างโดยพวกเขา


แต่ถึงกระนั้น ด้วยทรัพย์สมบัติอันมากมายของร้านประมูลเจ็ดดาราแล้ววัสดุที่ใช้สร้างแท่นประลองก็ล้วนแต่ล้ำค่าทั้งสิ้น ทุกตารางนิ้วมีค่ายกลป้องกันและฟื้นฟูความเสียหายได้เอง


แต่ภายใต้ลำแสงกระบี่สีฟ้า รอยกระบี่ทอดตัวยาวถึงสี่แท่นประลอง รอยกระบี่ถูกไฟหยางบริสุทธิ์แผดเผาและถูกเจตนากระบี่ยับยั้ง ความเร็วในการฟื้นฟูของมันจึงช้าจนดูเหมือนไม่ขยับ


อี้อวิ๋นโจมตีไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้น


“นะ…นี่คือพลังที่แท้จริงของเขา?”


เหยียนเทียนชงหน้าซีดใจสั่น ปราณคุ้มครองร่างของเหยียนเทียนชงถูกกระตุ้นถึงขีดสุดท่ามกลางพลังกระบี่อันน่ากลัวเมื่อครู่นี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกแสบผิว โลหิตทั้งร่างไหลอย่างบ้าคลั่ง!


ปรมาจารย์ฮว่าอวี่ที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนักเช่นกัน


ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าต้องบังคับใช้พลังส่วนหนึ่งเพื่อรับมือกับลำแสงกระบี่ของเจี้ยนเสี่ยวซวง แต่แท้จริงแล้วก็พูดเพื่อโอ้อวดพลังต่อสู้ของตัวเองก็เท่านั้น


เมื่อตอนนี้มาเผชิญกับกระบี่ของอี้อวิ๋นก็เกิดความรู้สึกที่ยากจะสู้ด้วยซ้ำ เพราะใจเขารู้ดีว่ากระบี่เมื่อครู่ของอี้อวิ๋นยังไม่โถมพลังทั้งหมด หากเขาต้องต้านกระบี่ที่อี้อวิ๋นทุ่มกำลังทั้งหมดจะเป็นอย่างไร?


นี่ใช้เด็กรุ่นเยาว์ที่ฝึกมาไม่ถึงหกสิบปีจริงๆ หรือ? ตัวเขาอยู่มาหลายหมื่นปีแล้วนะ!


ตอนนี้เจี้ยนเสี่ยวซวงร่อนตัวลงพื้นเบาๆ เส้นผมปลิวสะบัด ดวงตาที่เป็นดังกระบี่จ้องมาที่อี้อวิ๋น “กระบี่ของเจ้าคืออะไรกัน?”


ตอนที่ลำแสงกระบี่ของเจี้ยนเสี่ยวซวงปะทะกับอี้อวิ๋น นางก็รู้สึกได้ชัดเจนว่ากระบี่ของอี้อวิ๋นมีเจตนากระบี่บางส่วนที่คล้ายคลึงกับนางแต่อานุภาพรุนแรงกว่ามาก กฎแห่งวิถีกระบี่ที่แฝงอยู่ภายในก็ลึกล้ำกว่า


คำพูดของเจี้ยนเสี่ยวซวงทำให้ทุกคนตกใจ เมื่อหวนนึกถึงกระบวนท่ากระบี่เมื่อครู่ก็พบว่าเป็นความจริง


“หรือการครุ่นคิดเมื่อครู่ของอี้อวิ๋นจะทำขึ้นเพื่อศึกษากระบี่นี้ของเจี้ยนเสี่ยวซวง?”


ศึกษากระบวนท่าของศัตรูได้ภายในชั่วพริบตา ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน เป็นเพียงความคิดชั่วขณะของผู้คนเท่านั้น


“อี้อวิ๋นคงเคยศึกษากระบวนท่าที่คล้ายคลึงกันมาก่อนกระมัง มรดกโบราณบางอย่างไม่ได้มีฉบับเดียว เป็นเรื่องปกติ”


แม้ทุกคนจะพูดเช่นนี้แต่เจี้ยนเสี่ยวซวงกลับรู้ว่าลำแสงกระบี่นี้เป็นวิชาแก่นหลังของสำนักกระบี่สระใส ไม่มีทางที่คนนอกจะล่วงรู้ นางมองอี้อวิ๋นด้วยแววตาที่ทั้งสงสัยทั้งตกตะลึง


ทันใดนั้นนางก็คิดอะไรขึ้นได้และหันไปมองเจี้ยนอู๋เฟิงผู้เป็นอาจารย์


1080 หยางบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์แบบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เจี้ยนเสี่ยวซวงตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของเจี้ยนอู๋เฟิง


นางเห็นชัดว่าแววตาเจี้ยนอู๋เฟิงมีประกายตื่นเต้นที่ยากจะปิดบัง


ท่านอาจารย์เป็นที่นิ่งสงบต่อทุกสิ่งมาโดยตลอดในสายตานาง น้อยครั้งมากที่จะเสียท่าทีเช่นนี้


แท้จริงแล้วตอนนี้ใจของเจี้ยนอู๋เฟิงตื่นเต้นกว่าภาพที่เขาแสดงออกมาเสียอีก


เขาเดาไว้ไม่ผิด อี้อวิ๋นกับราชาชิงหยางมีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ ด้วย!


วิชาที่อี้อวิ๋นใช้ไม่ใช่มรดกทั้งหมดของราชาชิงหยาง กระบวนท่ากระบี่ของเขามีเจตนากระบี่ของราชาชิงหยางอยู่ก็จริง แต่ภายในก็มีสิ่งอื่นมากกว่า


พลังกระบี่และเจตนากระบี่ของอี้อวิ๋นทำให้เจี้ยนอู๋เฟิงชื่นชมในความเลิศล้ำ!


เดิมทีเจี้ยนอู๋เฟิงก็เป็นคนที่หลงใหลในกระบี่ ตลอดชีวิตที่ฝึกยุทธ์มาก็มีเพียงกระบี่ในสายตา มรดกของราชาชิงหยางยิ่งใหญ่ลึกล้ำสำหรับเขาแล้วและน่าหลงใหล แต่กระบี่ที่เขาเห็นอี้อวิ๋นแสดงในวันนี้กลับมีพื้นฐานที่สูงขึ้นไปอีกขั้น จะไม่ให้เขาแปลกใจได้อย่างไร?


เส้นทางแห่งยุทธ์ไม่มีจุดสิ้นสุด เหนือยอดเขาสูงก็ยังมียอดเขาที่สูงขึ้นไปอีก!


เจี้ยนอู๋เฟิงเพิ่งสังเกตเห็นเจี้ยนเสี่ยวซวงหลังจากที่อีกฝ่ายมองเขาอยู่สักพัก เขาเห็นว่าแววตานางมีความไม่เข้าใจและความพ่ายแพ้


เจี้ยนเสี่ยวซวงมีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยมีคู่ต่อสู้วัยเดียวกัน วันนี้มาพ่ายแพ้ให้กระบี่ของอี้อวิ๋นแล้วจะรู้สึกดีได้อย่างไร


แต่ตอนนี้เจี้ยนอู๋เฟิงไม่อาจปลอบใจศิษย์ของตัวเอง เขากระแอมไอแห้งๆ และพูดว่า “เสี่ยวซวง ลองกระบวนท่ากระบี่อื่นดูอีกครั้ง นี่คือโอกาสที่เจ้าจะได้พัฒนา”


“ท่านอาจารย์…”


 เจี้ยนเสี่ยวซวงเจ็บปวดเล็กน้อย นางหวังให้อาจารย์มอบคำอธิบายแก่นาง แต่นี่ท่านอาจารย์ไม่เพียงไม่อธิบาย เขายังให้นางประมือต่ออีก นางแพ้ตั้งแต่กระบวนท่าเมื่อครู่แล้ว อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่การต่อสู้ที่ตัดสินเป็นตาย แม้จะแพ้แค่ครึ่งกระบวนท่าก็ถือว่าแพ้


แพ้แล้วแต่ยังสู้ต่อ เรื่องนี้จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเจี้ยนเสี่ยวซวงเป็นคนที่แพ้ไม่เป็น


เจี้ยนเสี่ยวซวงกัดฟันแน่นเมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ นางพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “เจ้าลองรับกระบี่นี้ดู!”


หนึ่งคือนางรู้สึกเจ็บใจ สองคือรู้สึกไม่จำยอม เจี้ยนเสี่ยวซวงไม่เชื่อว่าตัวเองจะห่างชั้นกับอี้อวิ๋นมากขนาดนั้น


กระบี่นี้เจี้ยนเสี่ยวซวงทุ่มสุดกำลัง!


เจตนากระบี่ทรงพลังดังอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศบูรพา มันพาไฟหยางบริสุทธิ์อันเลิศล้ำให้โถมมาที่อี้อวิ๋น


กระบี่มีไฟลุกโชน ดวงตาของเจี้ยนเสี่ยวซวงที่อยู่กลางไฟนี้มีแสงไฟส่องสะท้อน ร่างกายนางถูกห่อหุ้มไว้กลางเปลวไฟ


“รับกระบี่!”


เจี้ยนเสี่ยวซวงพร้อมด้วยกระบี่ในมือนางกลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง ลำแสงนี้พุ่งไปตรงหน้าอี้อวิ๋นเหมือนพญาหงส์ที่บินออกจากเปลวเพลิง!


กระบี่นี้มีอานุภาพรุนแรงกว่ากระบี่เมื่อครู่


ทุกคนตกตะลึงมากเมื่อเห็นกระบี่นี้ พวกเขาไม่ได้ตกใจในความแข็งแกร่งของกระบวนท่า แต่ตกใจที่เจี้ยนเสี่ยวซวงฝึกทั้งสายฟ้าทั้งเพลิง!


กระบี่เมื่อครู่เป็นสายฟ้า กระบี่นี้เป็นเปลวเพลิง เด็กรุ่นเยาว์ส่วนใหญ่ฝึกกฎแค่ประเภทเดียวก็ไม่ง่ายแล้ว แต่นี่เจี้ยนเสี่ยวซวงกลับฝึกกฎถึงสองประเภทไปพร้อมๆ กัน นี่หมายความว่านางมีผลวิถีคุณภาพสูงเกือบสองใบ


‘ราชาชิงหยาง กระบี่หยางบริสุทธิ์…’


อี้อวิ๋นสังเกตกระบวนท่าของเจี้ยนเสี่ยวซวง วิชาของราชาชิงหยางมีจากคัมภีร์เทพหยาง เป็นวิชาหยางบริสุทธิ์


วิชาหยางบริสุทธิ์ของเจี้ยนเสี่ยวซวงมีส่วนที่เหมือนราชาชิงหยาง


อี้อวิ๋นไม่ได้ฝึกคัมภีร์เทพหยางแต่เคยฝึกคัมภีร์หทัยจักรพรรดินี ส่วนที่เป็นหยางบริสุทธิ์ในคัมภีร์หทัยจักรพรรดินีเกิดจาการที่จักรพรรดินีศึกษาคัมภีร์เทพหยางแล้วจัดระเบียบออกมา


แต่อย่างไรจักรพรรดินีโบราณก็เจอข้อจำกัดของโลกเทียนหยวนและจบชีวิตเร็วเกินไป ระดับยุทธ์ของนางจึงไม่สูง คัมภีร์หทัยจักรพรรดินีที่นางคิดค้นจึงค่อยๆ ไม่อาจสนับสนุนการฝึกของอี้อวิ๋น


เมื่ออี้อวิ๋นรวมผลวิถีหยางบริสุทธิ์ในเวลาต่อมาจนมีวิถีหยางบริสุทธิ์เป็นของตัวเอง เมื่อเขากลับไปทำความเข้าใจคัมภีร์หทัยจักรพรรดินีอีกครั้งก็เข้าใจลึกล้ำและทะลุปรุโปร่งมากขึ้น


ทั้งวิชาทั้งกระบวนท่าของเจี้ยนเสี่ยวซวงชัดเจนในดวงตาอี้อวิ๋นขึ้นมา


เมื่อเห็นอี้อวิ๋นไม่ขยับตัวและมีสีหน้าครุ่นคิดอีกครั้ง ในหัวบางคนก็มีความคิดนี้แล่นผ่าน


“อี้อวิ๋นคงไม่ได้จะใช้กระบวนท่าแบบเดียวกับเทพธิดากระบี่อีกกระมัง?”


แต่คนผู้นี้ก็ส่ายหัวพร้อมหัวเราะให้ความคิดตัวเองเมื่อพูดจบ


ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องบังเอิญ เรื่องบังเอิญเช่นนี้ไม่มีทางเกิดเป็นครั้งที่สอง


เจี้ยนเสี่ยวซวงไม่เชื่อเช่นกันว่าวิชามรดกของราชาชิงหยางจะถูกอี้อวิ๋นทำลายด้วยวิธีที่แข็งแกร่งกว่า!


เปลวไฟอันร้อนระอุห่อหุ้มอี้อวิ๋นในชั่วพริบตา


ในที่สุดอี้อวิ๋นที่อยู่กลางเปลวไฟก็ยกกระบี่ขึ้น


“กระบี่ของเจ้ามีการปนเปมากเกินไป กระบี่หยางบริสุทธิ์คือไฟหยางบริสุทธิ์ที่เผามอดทุกอย่าง หากต้องการเพิ่มเสริมก็ต้องเสริมด้วยหยินบริสุทธิ์ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าหยางอย่างเดียวไม่โต หยินอย่างเดียวไม่เกิด…”


อี้อวิ๋นพูดแล้วก็ตวัดกระบี่


กระบี่นี้เรียบง่ายธรรมดาและไม่มีคลื่นพลังแต่อย่างใด เป็นดังกระบี่ที่ตวัดอย่างไม่ใส่ใจ


ทว่าเจี้ยนเสี่ยวซวงกลับรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าวิชาหยางบริสุทธิ์ของตัวเองเหมือนเข้าสู่เมล็ดพันธุ์เมื่อกระบี่นี้ตวัดออกมา


เมล็ดพันธุ์นี้เข้าสู่ปราณกระบี่หยางบริสุทธิ์ มันแตกหน่อและเติบโตอย่างรวดเร็ว!


ปราณกระบี่หยางบริสุทธิ์ทั้งหมดเหมือนกลายเป็นอาหารของเมล็ดพันธุ์นี้


ปราณกระบี่เหล่านี้ถูกดูดซึมเป็นเปลวไฟสีฟ้าก้อนเล็กๆ


เปลวไฟสีฟ้าที่อี้อวิ๋นรวบรวมพวกนี้มีพลังที่เกิดขึ้นไม่หยุดและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


เจี้ยนเสี่ยวซวงรู้สึกว่าปราณกระบี่ของนางถูกอี้อวิ๋นดูดซึมมากจนกลายเป็นปราณกระบี่ของอี้อวิ๋น!


ไม่ว่าจะความเข้าใจด้านวิถีกระบี่หรือการควบคุมวิถีหยางบริสุทธิ์อี้อวิ๋นก็เหนือชั้นกว่านางไปไกล!


เจี้ยนเสี่ยวซวงไม่อยากจะเชื่อว่าเหตุใดปราณกระบี่หยางบริสุทธ์ของนางจึงถูกอี้อวิ๋นดึงไปใช้ส่วนหนึ่ง ห่างชั้นขนาดนี้เชียวหรือ?


อี้อวิ๋นเหมือนรู้ว่าเจี้ยนเสี่ยวซวงคิดอะไร เขาพูดว่า “วิถีใหญ่ไม่อยู่อย่างโดดเดี่ยว หยินหยางบริสุทธิ์ เวลาและมิติ ทำลายล้างและความโกลาหล… หากควบคุมกฎที่ตรงกันข้ามสองอย่างได้พร้อมกัน เช่นนั้นพลังของเจ้าก็จะพัฒนาไปอีกขั้น ที่พลังหยางบริสุทธิ์ของเจ้าถูกข้าดึงมาใช้ก็เพราะในหยางบริสุทธิ์ของข้ามีหยินบริสุทธิ์ หยินหยางเสริมบำรุงซึ่งกันและกันจึงกำเนิดไม่หยุด”


อี้อวิ๋นพูดจบก็ฟันกระบี่ลง เปลวไฟกลุ่มนี้กลายเป็นเพลิงพระอาทิตย์อันร้อนระอุทันที!


เจี้ยนเสี่ยวรีบเหวี่ยงกระบี่เพื่อป้องกันอีกครั้ง!


เปลวเพลิงสีฟ้ากับเปลวเพลิงที่ปกคลุมทั่วฟ้าดินของเจี้ยนเสี่ยวซวงปะทะเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ถูกเพลิงสีฟ้ากลืนกิน!


ไฟหยางบริสุทธิ์อันสมบูรณ์แบบของอี้อวิ๋นทำลายเปลวเพลิงทั้งหมดจนราบ!


เจี้ยนเสี่ยวซวงยอมแล้วจริงๆ เมื่อเห็นภาพนี้ นางรู้ดีว่าที่วิถีหยางบริสุทธิ์ของอี้อวิ๋นเหนือกว่านางมากขนาดนี้ก็ไม่ใช่แค่เพราะวิถีหยางของอี้อวิ๋นมีการผสานระหว่างหยินหยาง แต่ที่เข้าใจง่ายกว่านั้นคือเพราะผลวิถีหยางบริสุทธิ์ที่อี้อวิ๋นรวมต้องมีคุณภาพสูงกว่านาง!


นางมีผลวิถีแปดใบ เช่นนั้นอี้อวิ๋น…


ใจของเจี้ยนเสี่ยวซวงสั่นเบาๆ เมื่อคิดถึงผลวิถีเก้าใบ สำนักกระบี่สระใสก่อตั้งมานานขนาดนี้ก็ยังไม่เคยมีใครรวมผลวิถีเก้าใบสำเร็จ สำหรับสำนักที่ทรงพลังแล้วก็ยังไม่มีในรอบล้านปี


ฟู่! ฟู่!


ปราณกระบี่หยางบริสุทธิ์หลบออกไปทางด้านข้างทั้งสองฝั่งของเจี้ยนเสี่ยวซวง!


เปลวเพลิงสีฟ้าเผาไหม้ไม่หยุดจนพื้นละลาย


ค่ายกลของแท่นประตูมังกรผันผวนไม่หยุดและยากที่ฟื้นฟูในเวลาอันสั้น นี่จึงทำให้พื้นที่ที่ละลายมีมากขึ้นเรื่อยๆ


ผู้อาวุโสเฟิงสิงหมุนแหวนบนนิ้วหัวแม่มือของตัวเองด้วยสีหน้าปวดใจ เปลวไฟนี้ขยายไปเรื่อยๆ จนแท่นประลองกลายเป็นสีแดง หากจะฟื้นฟูก็ต้องใช้ธาตุกระดูกจำนวนมหาศาล


เขาเห็นด้วยกับข้อเสนอเหยียนเทียนชง คิดจะใช้แท่นประตูมังกรมาเผยธาตุแท้ของอี้อวิ๋น แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าแท่นประตูมังกรที่เขาคุยโวก่อนหน้านี้ไว้ดิบดีไม่เพียงแต่พิสูจน์ว่าอี้อวิ๋นฝึกมาแค่หกสิบปี แต่ตอนนี้ยังถูกอี้อวิ๋นทำลายด้วย!


ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสเฟิงสิงจึงโทษเหยียนเทียนชงไปด้วย วันนี้เขาอับอายขายหน้ามากจริงๆ


1081 น้ำค้างบำรุงวัตถุ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ข้ายอมแพ้”


ประมือจนถึงขั้นนี้ก็เห็นความต่างชัดเจนแล้ว หากไม่ใช่เพราะอี้อวิ๋นจงใจยอมในกระบี่เมื่อครู่ เช่นนั้นต่อให้นางจะพอรับไหวก็คงลำบากมาก ไม่จำเป็นต้องสู้ต่ออีก


นางรู้แล้วว่าตัวเองห่างชั้นกับชายหนุ่มผู้นี้ไกลเกินไป เมื่อครู่พวกนางแลกกระบี่กันแค่สองครั้ง อีกฝ่ายไม่เพียงแค่ใช้กระบวนท่ากระบี่ที่คล้ายคลึงกับนางมากแต่ยังมีแนวคิดเหนือกว่า นี่ทำให้ดูเหมือนว่าจงใจให้คำชี้แนะแก่นาง


เจี้ยนเสี่ยวซวงเองก็นับว่ามีชื่อเสียงแต่กลับถูกคนวัยเดียวกันชี้แนะ ทั้งกระบวนท่ากระบี่ของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะเทียบได้ เรื่องนี้ทำให้เจี้ยนเสี่ยวซวงสับสน นางคิดมาโดยตลอดว่าตัวเองอยู่ระดับสูงสุดของเด็กรุ่นเยาว์ เทียบกับอัจฉริยะจากสำนักชั้นยอดก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันมาก เหตุใดเมื่อสู้กับอี้อวิ๋นแล้วจึงห่างชั้นเพียงนี้?


“ยินดี หากเทพธิดาเสี่ยวซวงสนใจก็ประมือกันใหม่ในวันหน้าได้” อี้อวิ๋นประสานมือพูด


เขารู้สึกว่ามรดกของราชาชิงหยางไม่ครบสมบูรณ์ เกรงว่าคงตกหล่นไม่น้อย หลายปีมานี้สำนักกระบี่สระใสคงมีอัจฉริยะไม่น้อยที่นำความเข้าใจของตัวเองมาเพิ่มเข้าในมรดกของสำนัก แต่สิ่งที่เพิ่มเข้าไปเหล่านี้ล้วนไม่เพียงพอและบกพร่อง


อี้อวิ๋นมีมรดกสุดท้ายที่ราชาชิงหยางทิ้งไว้ ทั้งยังเก็บเอาความเข้าใจต่อวิถีกระบี่และวิถีหยางบริสุทธิ์ของคนอื่นมาพัฒนาตนเอง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำนักกระบี่สระใสจะเทียบได้


ราชาชิงหยางมีบุญคุณต่ออี้อวิ๋น หากได้เจอทายาทของราชาชิงหยางก็อยากช่วยพวกเขา


ตอนนี้เขาได้ประมือกับเจี้ยนเสี่ยวซวง ความจริงคือเขาลองเสริมให้วิชาและกระบวนท่าของนางสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น


“เยี่ยมยอด! การต่อสู้ในวันนี้ทำให้ข้าได้เปิดโลกกว้าง คุณชายอี้ช่างเป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะโดยแท้!”


เจี้ยนอู๋เฟิงลุกออกมาพูด เขาชื่นชมในตัวอี้อวิ๋นมาก อี้อวิ๋นมีพรสวรรค์เกินกว่าที่เขาจินตนาการ เขาอยากผูกมิตรกับอี้อวิ๋นแต่ถามเรื่องที่มาของมรดกจากราชาชิงหยาง แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา


“คุณชายอี้ทิ้งตราส่งเสียงไว้ได้หรือไม่?”


เจี้ยนอู๋เฟิงเป็นฝ่ายพูด ท่ามกลางคนในที่แห่งนี้เจี้ยนอู๋เฟิงก็นับว่ามีตำแหน่งไม่ธรรมดา ทว่าเมื่อเจอกับอี้อวิ๋นที่เป็นเด็กรุ่นเยาว์ก็ไม่เพียงแต่เป็นฝ่ายผูกมิตร น้ำเสียงที่พูดยังจริงใจและเป็นมิตร เรื่องนี้ทำให้หลายคนทอดถอนใจ อี้อวิ๋นมีอนาคตไร้ขีดจำกัดจริงๆ


สำหรับคนอื่นๆ แล้วการทำความรู้จักอี้อวิ๋นก็ไม่มีผลเสีย นี่จึงทำให้ตอนนี้หลายคนยอมเป็นฝ่ายเข้าหาอี้อวิ๋นและทิ้งตราส่งเสียงเอาไว้


แม้อี้อวิ๋นจะไม่สนใจที่จะทำความรู้จักกับกลุ่มอิทธิพลภายนอกเหล่านี้แต่ก็ไม่เสียมารยาทกับอีกฝ่าย เขารับตราส่งเสียงเอาไว้ทั้งหมด


เหยียนเทียนชงดูอยู่ด้านข้างอย่างไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร เขามาร่วมงานซื้อขายนี้ก็เพื่อรู้จักกับบุคคลสำคัญจากภายนอกเหล่านี้ ทว่าตอนนี้เขากลับไม่แม้แต่จะแทรกตัวได้


เทียบกับอัจฉริยะผู้เป็นเอกอย่างอี้อวิ๋น ฐานะของเหยียนเทียนชงที่เป็นผู้สืบทอดของร้านขยายฟ้าจึงไม่มีค่าให้พูดถึง


“ทุกท่าน งานซื้อขายครั้งนี้ของพวกเราควรเริ่มได้แล้วหรือไม่”


ในที่สุดผู้อาวุโสเฟิงสิงก็พูดด้วยสีหน้าขมขื่นเมื่อเห็นว่ามีคนเข้าไปผูกมิตรกับอี้อวิ๋นมากขึ้นเรื่อยๆ


เดิมทีงานรวมตัวที่ร้านประมูลเจ็ดดาราจัดในครั้งนี้ก็มีขึ้นเพื่อหารือและซื้อขายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ในทะเลทรายกลบอาทิตย์ แต่เพราะมีอี้อวิ๋นเข้ามา แก่นหลักของงานนี้จึงเปลี่ยนไป หลายคนสนใจแต่จะคุยกับอี้อวิ๋น ตัวเขาที่เป็นเจ้าภาพถูกปัดไปด้านข้าง


“แน่นอน งานซื้อขายควรเริ่มได้แล้ว ก่อนที่เราจะไปทะเลทรายกลบอาทิตย์ก็ควรหารือซึ่งกันและกัน”


นักพรตซวีสุ่ยพูดขึ้น พวกเขาเหล่านี้มาที่นี่ก็เพื่อทำการซื้อขาย วัตถุล้ำค่าหลายอย่างจะมีให้เห็นในงาน


คนทั้งกลุ่มออกจากแท่นประตูมังกรโดยมีผู้อาวุโสเฟิงสิงเป็นผู้นำทางและมาถึงยังศาลาที่ตั้งอยู่กลางสระบัว


ผู้อาวุโสเฟิงสิงกระแอมไอ “ทุกท่านเดินทางมาจากแดนไกล ร้านประมูลเจ็ดดาราของข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก งานซื้อขายครั้งนี้จะเริ่มโดยร้านประมูลเจ็ดดารา นับว่าใช้อิฐมาล่อหยก” ผู้อาวุโสเฟิงสิงพูด


เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสเฟิงสิงไม่พูดไร้สาระแม้แต่น้อย เขาเข้าหัวข้อตั้งแต่เริ่ม


“ยกขึ้นมา” ผู้อาวุโสเฟิงสิงโบกมือ


แขกจากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ พากันมองไปที่ผู้อาวุโสเฟิงสิงทันที


สาวน้อยวัยแรกแย้มสองนางยกกล่องไม้ใบหนึ่งมายืนข้างผู้อาวุโสเฟิงสิง ทั้งสองยิ้มอย่างอ่อนหวานและทำความเคารพให้ผู้ชมล่างเวทีก่อนที่จะวางกล่องไม้ลง


ตุบ!


เสียงอันหนักทุ้มดังขึ้น สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที พวกนางสองคนยกกล่องไม้เหมือนกำลังยกผืนผ้าอันเบานุ่ม ทว่าเมื่อวางลงพื้นกลับเกิดเสียงหนักทุ้มเช่นนี้


“นี่คือไม้หยินล้านปี เกิดในดินแดนที่ผู้แข็งแกร่งในยุคโบราณจบชีวิต เติบโตจากการดูดซึมแก่นหยิน ร้านประมูลเจ็ดดาราของข้าได้มาและสร้างเป็นกล่องไม้ใบนี้ หากผู้ใดไม่ใช่ผู้ฝึกหยินบริสุทธิ์และสัมผัสกับกล่องไม้นี้ก็จะถูกปราณหยินเข้าร่าง อย่างเบาก็แค่รู้สึกไม่สบายตัว อย่างหนักก็ถึงชีวิต” ในที่สุดผู้อาวุโสเฟิงสิงก็หาความมั่นใจคืนมาได้เล็กน้อย เขาพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า


แม้ร้านประมูลเจ็ดดาราของพวกเขาจะมีพลังด้านยุทธ์สู้จอมยุทธ์จากสำนักเหล่านี้ไม่ได้ แต่วัตถุชิ้นนี้มาจากร้านประมูลเจ็ดดาราสาขาใหญ่ในทะเลทรายกลบอาทิตย์ ย่อมไม่ด้อยแน่นอน


“เปิดมันออก” ผู้อาวุโสเฟิงสิงพูดกับสาวน้อยสองคนนั้น


กลุ่มอิทธิพลต่างๆ พากันมองกล่องไม้นี้ แต่ละคนต่างมีสายตาเฉียบแหลม ลำพังแค่กล่องไม้นี้ก็เป็นสมบัติแล้ว


‘หืม? นี่คือ…’ ใจอี้อวิ๋นสั่นไหว เขารู้สึกถึงปราณเย็นที่ยากจะบรรยายจากในกล่องไม้นี้


เขาเห็นว่าในกล่องไม้มีหยกที่แกะสลักเป็นรูปดอกบัวสีเขียวอยู่หนึ่งดอก บนใบของบัวก็มีของเหลวสีเขียวเดียวกันหนึ่งประคองรองเอาไว้


ของเหลวนี้ใสสะอาดแวววาว เห็นแล้วเกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ประหนึ่งกำลังเผชิญกับละอองฝนที่พัดเข้าหน้า


“น้ำค้างบำรุงวัตถุ?”


เจี้ยนอู๋เฟิงตาเป็นประกายและพูดขึ้น


“ถูกต้อง เจ้าสำนักสระใสสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก นี่ก็คือน้ำค้างบำรุงวัตถุจำนวนหนึ่งประคอง น้ำค้างนี้หายากมาก มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากแก่นฟ้าดิน วัตถุล้ำค่าที่เกิดขึ้นเองต้องมีวัตถุธาตุหยางบริสุทธิ์มาบรรจุจึงจะรับประกันได้ว่าแก่นพลังจะไม่หลุดรั่ว”


“แต่เทียบกับความหายากแล้วสรรพคุณของมันกลับไม่ท้าทายสวรรค์นัก ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลต่อมูลค่าของมันเล็กน้อย ประโยชน์ของน้ำค้างบำรุงวัตถุก็คือ…ฟื้นฟูของวิเศษที่ได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นของวิเศษระดับใด เมื่อใช้น้ำค้างบำรุงวัตถุมาฟื้นฟูหลังจากที่เสียหายก็อาจไม่ถึงขั้นว่าฟื้นคืนดังเดิม แต่อย่างน้อยก็ทำให้อานุภาพเพิ่มขึ้นมาก”


ผู้อาวุโสเฟิงสิงพูดจบก็มองมาที่ทุกคน


ยอดฝีมือจากภายนอกหลายคนสนใจในน้ำค้างบำรุงวัตถุ แต่วัตถุที่ใช้ฟื้นฟูของวิเศษไม่มีค่าเท่าวัตถุที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้โดยตรง หลายคนก็ไม่มีของวิเศษที่เสียหาย ต่อให้มี ของวิเศษที่เสียหายนี้ก็ใช่ว่าจะมีค่าเท่าน้ำค้างบำรุงวัตถุ เช่นนั้นก็สู้ไม่ซ่อมแซมจะดีกว่า


ทว่าท่ามกลางกลุ่มคน อี้อวิ๋นที่เห็นวัตถุเช่นนี้กลับใจสั่น กระบี่หักหยางบริสุทธิ์ที่เขาใช้มาโดยตลอดก็เป็นของวิเศษที่ได้รับความเสียหายไม่ใช่หรือ?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)