The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า 765-774
ตอนที่ 765
บันทึกมังกรหงส์
“ผู้ใต้บังคับบัญชาขอคารวะแม่ทัพหก!”
บนท้องฟ้าระลอกคลื่นบางจางโชนขึ้นในหัวใจสงบนิ่ง ขณะที่มู่เฉินมองหน่วยรบกงเวทสวรรค์ที่กำลังคำนับลงด้วยความเคารพ ไม่ว่าอย่างไรเบื้องหน้าเขาก็คือหน่วยรบกงเวทสวรรค์ ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ถึงแม้หน่วยรบวิหคโลกันตร์จะมีศักยภาพไม่น้อย แต่หากสองทัพนี้ปะทะกันในตอนนี้ คงอยู่ได้เพียงไม่กี่นาที เนื่องจากนักรบกงเวทสวรรค์มีขุมพลังจื้อจุนทั้งหมดแล้ว
ถ้าอำนาจของหน่วยรบนี้ถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมดละก็ บางทีนอกจากสามจอมพลแล้ว ก็ไม่มีผู้บัญชาการคนไหนสามารถต่อกรกับพวกเขาได้
เนื่องจากหน่วยรบกงเวทสวรรค์ทรงพลังอย่างยิ่ง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำรงตำแหน่งแม่ทัพ กระทั่งตอนนี้แม้เขาสามารถฝ่าค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงมาได้ แต่เขาก็รู้ว่าหน่วยรบกงเวทสวรรค์ยังไม่ยอมรับเขาอย่างเต็มหัวใจ พลังของเขายังอ่อนแอกว่าแม่ทัพคนอื่นๆ นัก
แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องนี้ แม้จะมีช่องว่างพลังระหว่างเขากับแม่ทัพทั้งห้า แต่ตราบใดที่มีเวลาพอเพียง จะต้องมีสักวันหนึ่งที่จะไม่มีใครกล้ามองอย่างดูถูก
มู่เฉินพลิ้วลงจากท้องฟ้าช้าๆ ลงมาตรงที่มั่นถัวหลัวกับคนอื่นยืนอยู่ เขาโบกมือขวดหยกก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงสองสีแตกต่างกันไหลเวียนอยู่ภายใน สิ่งที่ห่อหุ้มอยู่ภายในคลื่นหลิงทั้งสองก็คือหยดเลือดมังกรไฟโบราณเก้าหยดที่ดูราวกับลาวา ส่งคลื่นพลังแผดเผาร้อนแรงอย่างยิ่งออกมา
เลือดมังกรไฟโบราณ
“ทั้งหมดนี่ของข้าหมดเลยเหรอ?” มู่เฉินยิ้มขณะมองมั่นถัวหลัว
มู่เฉินตาลุกวาวกับเลือดมังกรไฟโบราณ เนื่องจากมังกรไฟโบราณจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของเทพอสูรที่ทรงพลัง ซึ่งพลังไม่ด้อยกว่ามังกรทะเลเหนือเลย
ย้อนไปที่สำนักศึกษาเป่ยชาง มู่เฉินต้องเค้นความพยายามทุกหยาดหยดเพื่อให้ได้เลือดมังกรทะเลเหนือเพียงหยดเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาได้เลือดมังกรไฟโบราณมาตั้งเก้าหยด เขาจึงรู้สึกมีความสุขมากเป็นพิเศษ
มั่นถัวหลัวพยักหน้าเฉยๆ แม้เลือดมังกรไฟโบราณจะมีค่ามาก แต่ไม่มีค่ามากนักในสายตานาง
“ในเมื่อเจ้าผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงได้ สิทธิ์ที่จะประลองศึกมังกรหงส์หนึ่งเดียวก็จะเป็นของเจ้า”
มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินก่อนพูดขึ้น “ศึกมังกรหส์เป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่สำคัญของจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ ทุกคนที่เข้าร่วมเป็นปีศาจมากพรสรรค์ยิ่งบวกกับภูมิหลังที่ทรงพลัง ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ใช่คนที่เจ้าเคยเผชิญมาก่อนจะเทียบได้”
มู่เฉินพยักหน้า เขาไม่คิดสบประมาทอัจฉริยะฟ้าประทานที่ถูกเลี้ยงดูด้วยทรัพยากรจากขั้วอำนาจหลากหลาย แม้จะยังไม่เคยเจอใครอื่นอีก แต่แค่หลิ่วเหยียนจากตำหนักสุดนภาก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามแล้ว
“มีข้อห้ามในศึกมังกรหงส์และไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ ดังนั้นเมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้าพึ่งพาได้แค่ตัวเอง ถ้าประมาทจนถูกฆ่าตายที่นั่น ก็จงโทษตัวเองที่มีความสามารถไม่มากพอ”
“เคยมีคนจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์เข้าร่วมศึกมังกรหงส์ในอดีตหรือไม่?” มู่เฉินถามหลังจากครุ่นคิดชั่วครู่
“ก็เคยมี แต่พวกเขาทั้งหมดถูกตัวแทนจวนยมโลกสังหารสิ้นตั้งแต่เข้าไปไม่นาน” สีหน้าของมั่นถัวหลัวน่าเกลียดไป อาณาเขตกงเวทสวรรค์ถูกเยาะเย้ยเพราะเรื่องนี้มาไม่น้อย
“ในอดีตมีความแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างจอมยุทธ์รุ่นใหม่อาณาเขตกงเวทสวรรค์กับขั้วอำนาจชั้นยอดอื่นๆ ฮ่า ๆ ท่านประมุขเหมือนจะไม่ใคร่จะสนใจด้วย” เทียนจิ้วเอ่ย
“ใครจะมีเวลามากชุบเลี้ยงคนหนุ่มสาวกันเล่า? ข้าสามารถจัดการอัจฉริยะเหล่านั้นให้ตายคาที่ด้วยตบครั้งเดียว ทำไมจะต้องพะเน้าพะนอขนาดนั้น? ตราบใดที่ข้ายังอยู่ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะยังอยู่ แต่ถ้าไม่อยู่แล้ว ก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะมีอัจฉริยะฟ้าประทานมากเท่าไรก็ตาม” มั่นถัวหลัวถลึงดวงตาสีทองใส่เทียนจิ้ว
มู่เฉินอดอมยิ้มไม่ได้ แม้นางจะพูดแบบนี้ แต่เห็นชัดว่าก็ไม่ได้หมายความอย่างที่พูด นางใช่ว่าจะไม่เคยชุบเลี้ยงจอมยุทธ์รุ่นใหม่ แต่เหมือนมักจะไม่ถึงระดับที่นางพึงพอใจ
แต่ที่นางพูดก็ถูกต้อง เหตุผลที่ว่าทำไมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังคงยืนยงเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดอยู่ได้ก็เป็นเพราะนาง จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่ทรงพลัง ตราบใดที่นางยังอยู่ ก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้ามายึดครองอาณาเขตกงเวทสวรรค์ และถ้านางไม่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะมีจอมยุทธ์รุ่นใหม่ฝีมือน่าสะพรึงเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถปกป้องอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้
“ฮ่าๆ ข้าหวังว่ามู่เฉินจะฉายศักยภาพน่าทึ่งในศึกมังกรหงส์ครั้งนี้ ทำให้คนอื่นๆ ในภูมิภาคทางเหนือรู้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราก็มีจอมยุทธ์รุ่นใหม่นี่น่าสะพรึงเหมือนกัน” เทียนจิ้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
มู่เฉินพยักหน้า “ข้าจะทำให้ดีที่สุดขอรับ”
แม้เขาจะรู้ว่าทุกคนที่เข้าร่วมศึกมังกรหงส์ต่างเป็นอัจฉริยชน คนอย่างเขาก็ไม่รู้สึกกลัว พวกเขาอาจทรงพลัง แต่ตัวเขาก็ไม่ใช่ธรรมดาเช่นกัน
ถ้าเขาไม่มีความมั่นใจในตัวเองสักเล็กน้อย ก็คงไม่ได้มาไกลถึงขนาดนี้
“เป็นเรื่องดีที่เจ้าจะมีผลงานที่ดี แต่อย่าถูกพวกไร้ชื่อฆ่ากลายเป็นบันไดให้คนอื่น สร้างความอับอายให้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ล่ะ” มั่นถัวหลัวเอ่ยขณะสาดน้ำเย็นใส่ความภาคภูมิของมู่เฉิน
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเถียงกลับพลางขบฟัน “มีประมุขคนไหนทำตัวแบบเจ้ากัน?!”
หัวใจของทุกคนสั่นไหวเมื่อได้ยินคำพูดนั่น ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์มั่นถัวหลัวคือประมุขผู้ทรงอิทธิพลไม่มีใครกล้าขัดคำพูดของนาง แม้นางจะมีรูปร่างเป็นสาวน้อยน่ารักในตอนนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าไม่เคารพเพียงเพราะรูปลักษณ์ ดังนั้นเมื่อทุกคนได้ยินมู่เฉินพูดกับมั่นถัวหลัวแบบนี้ พวกเขาก็ได้แต่ผงะไป
ขณะที่ทุกคนรู้สึกประสาทจะกิน มั่นถัวหลัวกลับไม่โกรธเคือง ริมฝีปากจ้อยร่อยโค้งเป็นรอยยิ้มเยาะ จากนั้นก็หันหลังกลับเดินทอดหุ่ยออกจากไปพลางเอามือไพล่หลัง เสียงอ่อนวัยดังขึ้น
“ตามข้ามาเถอะ ยังมีเวลาเหลืออีกห้าวันกว่าศึกมังกรหงส์จะเริ่ม ข้าจะให้อะไรบางอย่างกับเจ้า อย่าหาว่าข้าไม่ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา”
มู่เฉินอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของนาง ก่อนที่เขาจะโบกมือให้จิ่วโยวและตามหลังมั่นถัวหลัวไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ทั้งสองไปแล้ว คนที่เหลือก็มองหน้ากันพลางยิ้มขื่น พวกเขาไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างมู่เฉินกับมั่นถัวหลัว จากที่สนทนากันทั้งสองดูไม่เหมือนเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยเย็นชาเป็นนิจของมั่นถัวหลัว มู่เฉินก็คงจะกลายเป็นผุยผงจากการดีดนิ้ววูบเดียวใส่ หากเขากล้าพูดกับนางแบบนี้
จิ่วโยวยักไหล่พร้อมกับคลี่ยิ้ม นางรู้สึกสุขใจที่มั่นถัวหลัวดูแลมู่เฉินอย่างดี เหตุผลว่าทำไมนางถึงพามู่เฉินมายังอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็เพื่อให้เขามีสภาพในการฝึกยุทธ์ที่ดีที่สุด แม้นางจะไม่รู้ว่ามู่เฉินมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมั่นถัวหลัวได้ยังไง แต่นี่ก็เป็นเรื่องดี
ทะยานผ่านเขตต้าหลัวเทียน
มู่เฉินติดตามมั่นถัวหลัวไปก่อนจะพลิ้วตัวลงบนยอดเขาลูกหนึ่งในส่วนลึกของเทือกเขา ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงตระหง่านเป็นหอคัมภีร์ที่ออกแบบไว้เรียบง่าย
เมื่อลงมาเบื้องหน้าหอคัมภีร์ มู่เฉินก็เกร็งร่างจากปฏิกิริยาตอบสนอง ขณะที่กวาดสายตาออกไป เนื่องจากในบริเวณนี้เขาสัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นอันตรายที่แทรกซึมเข้ามาถึงกระดูก
“นี่คือหอคัมภีร์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ วิทยายุทธเทพ ค่ายกลและมรดกมากมายที่เรายึดมาจากสำนักและตระกูลต่างๆ จะถูกเก็บไว้ที่นี่ สถานที่นี้เป็นสถานที่สำคัญของสำนัก นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่ที่เสี่ยวเมิ่งใช้ปลีกวิเวกอีกด้วย” มั่นถัวหลัวเอ่ยเรียบๆ
“เสี่ยวเมิ่ง?”
มู่เฉินอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนที่จะตระหนักได้ว่านางพูดถึงจอมพลซุ่ยนอน ทันใดนั้นมุมปากก็กระตุกอย่างไม่รู้ตัว หัวหน้าจอมพลผู้ยิ่งใหญ่กลับถูกมั่นถัวหลัวเรียกด้วยชื่อเล่นน่าขันขนาดนี้
“ที่นี่ก็คือสถานที่ที่จอมพลซุ่ยนอนปกป้องหรือ” มู่เฉินค่อยๆ ผ่อนร่างกายลง ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงสัมผัสถึงอันตรายแรงกล้าก่อนหน้า มีจอมยุทธ์ระดับนี้คอยปกป้องสถานที่แห่งนี้ คนธรรมดาไม่กล้าจะเข้ามาใกล้หรอก
“ถึงตอนนี้เจ้าจะบรรลุขุมพลังตามต้องการ เจ้าก็ยังเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม มีช่องว่างระหว่างเจ้ากับอัจฉริยชนพวกนั้น ว่ากันว่าหลิ่วเหยียนแห่งตำหนักสุดนภาก้าวสู่ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่มานานแล้ว เทียบกับฉิงเปยที่เจ้าเอาชนะได้ ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่ามากเท่าไร” เสียงนุ่มนวลของมั่นถัวหลัวดังก้องตรงหน้าหอคัมภีร์
“นอกจากนี้เจ้ายังทำให้หลิ่วหมิงหมดสมรรถภาพ มิหนำซ้ำหลิ่วเหยียนก็ประกาศชัดว่าจะจัดการเจ้าในศึกมังกรหงส์ด้วย”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ หลิ่วเหยียนเป็นคนน่าสะพรึงที่คนอย่างฉิงเปยไม่อาจเทียบติดจริงๆ
มั่นถัวหลัวโบกมือประตูของหอคัมภีร์ก็ค่อยๆ เปิดออก ชั่วขณะนั้นความผันผวนที่น่าตกใจก็กวาดออกแต่พวกมันก็ไม่อาจทำให้แม้แต่ชายกระโปรงของมั่นถัวหลัวที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูจะขยับได้
มั่นถัวหลัวเดินเข้าไปโดยมีมู่เฉินตามมาข้างหลัง เมื่อเข้ามาในหอประกายแสงสีสันหลากหลายก็พุ่งเข้ามาในดวงตา แท่นหินจำนวนมากเต็มไปด้วยวงแสงที่มีม้วนคัมภีร์ลอยอยู่ภายใน
ม้วนคัมภีร์แต่ละม้วนกำจายคลื่นหลิงทรงพลัง เห็นชัดว่าพวกมันไม่ใช่ของธรรมดาเลย
การรวมตัวของแสงเจิดจ้าทำให้มู่เฉินอ้าปากตาค้าง จากนั้นเขาก็อดเบ้ปากไม่ได้ นี่คือความมั่งคั่งของขั้วอำนาจชั้นยอด ไม่รู้ว่ามีสำนักโชคร้ายจำนวนมากเท่าใดที่ถูกยึดครองในหลายปีที่ผ่านมานี้
มั่นถัวหลัวไม่ได้ให้มู่เฉินเลือก นางกวักมือ ลำแสงหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอยู่ในมือนางก่อนที่จะโยนให้มู่เฉิน
“ในเมื่อเจ้าจะเข้าร่วมศึกมังกรหงส์ก็ควรจะรู้จักบรรดาคู่แข่งเอาไว้ อัจฉริยชนในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ภูมิภาคทางเหนือต่างถูกบันทึกไว้ในนี้ เจ้าเอาไปดูซะจะได้รู้ว่าควรเตรียมตัวอย่างไรหากต้องปะทะกับพวกเขา”
ได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว หัวใจของมู่เฉินก็กระตุกรีบรับลำแสงทันที เมื่อแสงจางหาย ม้วนกระดาษก็ปรากฏที่เบื้องหน้า ขอบทั้งสองเป็นมังกรหงส์ไขว้พันกัน เสียงมังกรและหงส์ฟ้าดังแว่วออกมาได้ยินชัดเจน
เขาคลี่เปิดออก แสงสีทองก็ไหลเวียนทันที สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเป็นคืออักษรสีทองเรืองรอง
“บันทึกมังกรหงส์”
ตอนที่ 766
แสงบุปผาทำลายฟ้า
ขณะที่เปิดบันทึก
แสงสีทองก็พุ่งเข้าสู่ดวงตาของมู่เฉิน คำโบราณวิบวับด้วยแสงราวกับมีชีวิต สร้างความฉงนในสายตา
“บันทึกมังกรหงส์ อันดับเก้า ชื่อเสี่ยจากตำหนักเจ้าอสรพิษ มีร่างอสรพิษโลหิตแดงที่มีสายเลือดเทพอสูรอยู่ นิสัยป่าเถื่อน กระหายเลือด มิหนำซ้ำยังสร้างสงครามนองเลือดนับร้อยเมืองแล้ว”
“…”
“บันทึกมังกรหงส์ อันดับเจ็ด ติงเซวียนจากตระกูลจู้หลิง เกิดมาพร้อมกับพลังมหาศาลสามารถยกภูเขาได้ เคยผ่านการสู้รบนับร้อย เอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนมาได้ร้อยคน”
“บันทึกมังกรหงส์ อันดับห้า หงหยูจากแดนปีศาจ นางเจิดจรัสและทรงเสน่ห์ รู้จักกันในฉายาโฉมงามภูมิภาคทางเหนือ อัจฉริยะนับไม่ถ้วนต้องมนตร์สะกดของนาง มากจนอัจฉริยะคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูมาหลายปีโดยขั้วอำนาจชั้นยอดยอมทรยศต่อสำนักของตนเอง”
“…”
อ่านถึงตรงนี้ มู่เฉินถึงกับอ้าปากตาค้าง หงหยูจะงามขนาดไหนกัน? ถึงทำให้ผู้คนยอมทรยศต่อสำนักของตัวเอง
“น่ากลัวจริง” มู่เฉินเอ่ยชมขณะเดาะลิ้น แม้จะไม่มีบันทึกถึงความสำเร็จด้านการต่อสู้ของหงหยู แต่มู่เฉินก็ไม่โง่พอที่จะคิดว่าที่นางได้อันดับห้ามาเป็นเพราะความงามอย่างเดียวหรอก
“แล้วหลิ่วเหยียนล่ะ?”
หัวใจของเขาเริ่มสั่นเทาเบาบางขณะเริ่มอ่านข้อมูลต่อ ด้วยพรสวรรค์และพลังของหลิ่วเหยียน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่อยู่ในบันทึกเล่มนี้ อย่างที่มู่เฉินคาด พอเลื่อนสายตาไปก็พบชื่อคุ้นเคยอยู่ในอันดับสี่
“บันทึกมังกรหงส์ อันดับสี่ หลิ่วเหยียนจากตำหนักสุดนภา ฝึกร่างมหาเพลิงนภา ด้วยความครอบงำจากเพลิงสวรรค์ไม่มีใครเทียบก็สามารถเผาผลาญทุกสรรพสิ่งได้ มิหนำซ้ำยังเคยถอยหนีได้ปลอดภัยเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า”
“ร่างมหาเพลิงนภา…” ดวงตามู่เฉินหดเกร็งลง แม้จะมีความแตกต่างระหว่างคำของร่างมหาเพลิงนภากับร่างนภาเพลิง แต่ร่างมหาเพลิงนภาก็ทรงพลังมากกว่าร่างนภาเพลิง เพราะในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์ทั้งเก้าสิบเก้าร่าง ร่างมหาเพลิงนภาอยู่ในอันดับหกสิบเก้า ว่ากันว่าการฝึกร่างเทห์สวรรค์นี้ ผู้ฝึกจะต้องสะสมเพลิงแปลกประหลาดหลายร้อยชนิดเพื่อเผาคลื่นหลิงเป็นการชำระร่างมหาเพลิงนภา เมื่อชำระสำเร็จแล้วก็จะได้ร่างที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
เทียบกับหลิ่วหมิง หลิ่วเหยียนทรงพลังมากกว่าหลายขุม แต่ที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจก็คือความจริงที่หลิ่วเหยียนสามารถสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า ซ้ำยังหนีไปได้อย่างปลอดภัย
ดูเหมือนว่าความสามารถในการต่อสู้กับศัตรูที่มีขุมพลังเหนือกว่าจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว อัจฉริยะคนอื่นๆ ก็มีวิธีการที่จะทำให้ประสบผลสำเร็จเช่นกัน
“ดูท่าเขาจะเป็นตัวปัญหาจริงๆ”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนเขาต้องระวังตัวมากกว่านี้ในศึกมังกรหงส์ การมีศัตรูเช่นนี้หมายหัวในมุมมืด ทำให้เขาต้องระวังทุกฝีก้าว
เมื่อความคิดวาบขึ้นในใจ สายตาของมู่เฉินก็เลื่อนขึ้นไปด้านบน ตอนนี้เขารู้สึกอยากรู้เกี่ยวกับบันทึกมังกรหงส์มากขึ้นไปอีก แม้แต่หลิ่วเหยียนยังถูกจัดอยู่อันดับสี่ แล้วจอมยุทธ์ที่มีความสะพรึงสามอันดับแรกจะเป็นอย่างไร?
แสงสีทองเรืองรองขณะที่อักษรสีทองสะท้อนในนัยน์ตาของมู่เฉินที่หยุดอยู่ตรงสามอันดับแรก
“บันทึกมังกรหงส์ อันดับสาม ซูปี้เยี่ยจากยอดเขาหมื่นเทพ หญิงสาวบริสุทธิ์และสูงศักดิ์ที่มีความงามไม่แพ้หงหยูจากแดนปีศาจ ในภูมิภาคทางเหนือนับจำนวนครั้งที่นางลงมือได้ด้วยมือข้างเดียว แต่ทุกครั้งที่ออกโรง นางจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในสิบกระบวนท่า ครั้งหนึ่งนางเคยสู้กับหงหยูจากแดนปีศาจ จบลงแบบได้รับชัยชนะอย่างฉิวเฉียด”
“เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในสิบกระบวนท่างั้นหรือ?”
ดวงตาของมู่เฉินเผยแววตื่นตะลึง พวกคาบช้อนเงินช้อนทองในบันทึกมังกรหงส์นี้สูงส่งกันจริง ทุกคนแข็งแกร่งอย่างไม่มีเหตุผล สำหรับการเอาชนะศัตรูในสิบกระบวนท่าได้ แค่คิดก็ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกหวาดกลัวจนขึ้นสมองแล้ว
“บันทึกมังกรหงส์ อันดับสอง องค์ชายโยวหมิงจากจวนยมโลก ทางจวนยมโลกใช้วิธีการคัดสรรแบบแมลงพิษในการชุบเลี้ยงอัจฉริยะ ในบรรดาอัจฉริยะหมื่นคน จะมีเพียงคนเดียวที่สามารถเดินออกมาได้ ซึ่งก็คือองค์ชายโยวหมิง”
กวาดมองตัวอักษรแผ่แสงสีทอง มู่เฉินก็รู้สึกหนาวเยือกในหัวใจ ไม่มีบันทึกเรื่องความสำเร็จในการต่อสู้ของโยวหมิง แต่คำพูดไม่กี่คำก็ทำให้คนคนหนึ่งสั่นสะท้านวิญญาณได้แล้ว
การเลี้ยงดูอัจฉริยะด้วยวิธีการคัดสรรแมลงพิษเรียกได้ว่าโหดเหี้ยมทารุณ มิหนำซ้ำโยวหมิงยังสามารถรอดมาได้ เขาจะต้องได้รับประสบการณ์การสังหารหมู่ในนรกเป็นแน่
ไม่กี่เดือนก่อน มู่เฉินจำได้ว่าหลิ่วเทียนเต้าได้พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับจวนยมโลก ที่นั่นเป็นขั้วอำนาจเก่าแก่ของภูมิภาคทางเหนือและเหมือนจะไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขา
จ้องมองชื่อโยวหมิง มู่เฉินก็จดชื่อของอีกฝ่ายในบัญชีบุคคลอันตรายอย่างเงียบๆ แม้เขาจะไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน แต่จากความจริงที่สำนักทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาระวังตัวมากขึ้น
“แล้วอันดับหนึ่งล่ะ?”
หัวใจของมู่เฉินเต้นรัว แม้แต่โยวหมิงยังอยู่อันดับสอง แล้วพวกเทพแบบไหนเป็นอันดับหนึ่งกัน?
ขณะที่มู่เฉินเลื่อนสายตา ตัวอักษรโบราณแถวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเงียบๆ ด้านบนสุด
“บันทึกมังกรหงส์ อันดับหนึ่ง ฟังยี่จากหมู่ตึกเทวะ”
ประโยคแนะนำตัวมีไม่กี่ตัวอักษร แต่การแนะนำแค่ไม่กี่ตัวอักษรนี้อย่างเดียวก็ทำให้มู่เฉินมีสายตาเคร่งขรึมลง จอมยุทธ์ที่ได้รับการแนะนำตัวแสนธรรมดาเช่นนี้ แต่ยังรั้งตำแหน่งสูงสุดบนบันทึกมังกรหงส์ได้อย่างมั่นคง สามารถอธิบายได้ว่าน่ากลัวอย่างไร
“หมู่ตึกเทวะหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นยอดที่มีรากฐานมายาวนานที่สุดของภูมิภาคทางเหนือ พวกเขาเคยเข้าร่วมสงครามล่าถึงห้าครั้ง สามารถยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่ล่มสลาย ฟังยี่เป็นอัจฉริยชนชั้นยอด เขาได้รับการเลี้ยงดูโดยหมู่ตึกเทวะแบบไม่อั้นทรัพยากรตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขามีความตั้งใจที่จะปลุกปั้นอีกฝ่ายให้เป็นประมุขคนต่อไปของหมู่ตึกเทวะด้วย” เสียงนุ่มนวลของมั่นถัวหลัวดังขึ้นช้าๆ
มู่เฉินแอบเดาะลิ้น การเลี้ยงดูแบบไม่อั้นจากหมู่ตึกเทวะที่มีประวัติอันยาวนาน ไม่แปลกเลยว่าทำไมถึงน่าเกรงขามนัก
“ภูมิภาคทางเหนือเต็มไปด้วยมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบจริงๆ” มู่เฉินเอ่ยจากใจ แน่นอนว่าการท่องยุทธภพในมหาพันภพทำให้คนคนหนึ่งได้รู้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของโลกนี้ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้โลกนี้น่าสนใจ เส้นทางของการเป็นหนึ่งคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย มีเพียงก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวเท่านั้น คนคนนั้นถึงจะมีความสามารถในการมองข้ามผู้อื่นไปได้
“ตอนนี้เจ้ารู้แล้วสินะว่าจอมยุทธ์ทรงพลังที่เข้าร่วมศึกมังกรหงส์เป็นอย่างไรกันบ้าง อย่าคิดว่าเจ้าจะลำพองและผยองได้เมื่อเอาชนะพวกกระจอกงอกงอ่ย” มั่นถัวหลัวเริ่มเทศน์ ทว่าวิธีการที่มากอายุและเปี่ยมประสบการณ์ ไม่เข้ากับน้ำเสียงอ่อนเยาว์เลย
“ใครบอกว่าข้าลำพองและผยอง?” มู่เฉินกลอกตาใส่นาง แม้เขาจะมีความมั่นใจในตัวเอง แต่เขาก็ไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่นที่คิดโง่ๆ ว่าเขาไร้เทียมทานในโลกหล้านี่หรอก
“ไม่มีเหรอ?” มั่นถัวหลัวยกยิ้มพูดต่อ “ยังกล้าไปเข้าร่วมงานประลองหรือเปล่าล่ะ?”
มู่เฉินมองบันทึกมังกรหงส์ในมือก็ยิ้มบางและเก็บไว้ก่อนตอบว่า “เมื่อไรที่จบศึกมังกรหงส์ ข้าจะต้องติดอันดับหนึ่งในสิบอย่างแน่นอน”
เหล่าอัจฉริยชนในบันทึกนี้นับว่าเป็นมังกรและหงส์ฟ้าในหมู่คน หากเขาต้องการสู้กับพวกเขา ก็จะเป็นโอกาสในการเจียระไนตัวเองที่หายากยิ่ง ตัวเขาไม่เคยกลัวการเจียระไนด้วยวิธีแบบนี้เลย
ตอนที่อยู่ในสำนักศึกษาเป่ยชาง เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นก็เป็นจอมยุทธ์ที่ยากจะโค่นลงในสายตาของเขาในครั้งแรก แต่เมื่อเขาจบการศึกษาออกจากสำนักมาแล้ว เขากลับเป็นจอมยุทธ์ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด
บางทีเขาไม่ได้มีพื้นหลังทรงเกียรติอย่างอัจฉริยชนเหล่านั้น แต่เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นเลย เนื่องจากเขาก็มีวิถีทางเป็นของตัวเอง เขาสัญญากับบิดาว่าจะพามารดากลับไป
และคำมั่นที่ให้ไว้กับคนรักที่เขาเฝ้าฝันถึงทั้งยามหลับยามตื่น วันหนึ่งเขาจะเป็นยอดยุทธ์ที่ป้องลมต้านฝนให้กับนาง
ดังนั้นเขาไม่กลัวบนเส้นทางนี้ สายตาของเขาจะมองขึ้นไปด้านบนตั้งแต่เริ่มจนถึงสิ้นสุด
มองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้ามู่เฉิน ม่านตาทองคำของมั่นถัวหลัวก็ฉายแววอัศจรรย์ใจวูบหนึ่ง ก่อนที่นางจะปรบมือด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ “ใช้ได้ อย่างน้อยเจ้าก็มีความกล้า แม้ว่าจะแข็งนอกอ่อนใน แต่ก็ไม่ได้นำความเสื่อมเสียมาให้กับชื่อของผู้สืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว”
“แล้วไหนของที่เจ้าจะให้กับข้า?” มู่เฉินไม่สนใจนาง เขายื่นมือกระดิกออกไปเป็นเชิงขอพร้อมกับยิ้มตาหยี จากสถานะของมั่นถัวหลัว ของที่นางจะให้กับเขาย่อมไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน
เมื่อรู้ว่าเหล่าผู้เข้าร่วมศึกมังกรหงส์เป็นสัตว์ประหลาด มู่เฉินก็อยากหาทักษะต่างๆ ให้ตัวเองมากขึ้น เพราะแม้แต่คนที่มั่นใจในตัวเองอย่างเขา หลังจากรู้ตำแหน่งสามอันดับแรกแล้ว เขาก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ฝีมือน่ากลัวอย่างยิ่ง
มั่นถัวหลัวกลอกตาใส่มู่เฉิน ก่อนจะหันหลังและมุ่งตรงไปที่ส่วนลึกของหอคัมภีร์ พอเห็นท่าทางนั่นมู่เฉินก็รีบตามนางไปทันที
พวกเขาเดินผ่านแท่นหินจำนวนมากที่ปล่อยแสงแรงกล้าออกมา แม้ความผันผวนเหล่านั้นจะทรงพลัง แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่หยุดเดิน จากนั้นสิบนาทีนางก็เริ่มชะลอฝีเท้า ก่อนที่จุดสิ้นสุดของหอคัมภีร์จะปรากฏเบื้องหน้าสายตา
ตอนนี้มั่นถัวหลัวหยุดเดินแล้ว
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นรูปปั้นหินเลือนรางตรงปลายหอคัมภีร์ รูปปั้นหินมีสีเทาหม่นวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียวที่กำลังหงายยกขึ้น ในฝ่ามือของรูปปั้นหินมีดอกไม้ประหลาดลอยอยู่ด้านบน
ดอกไม้ประหลาดมีสีม่วงกลีบดอกงดงาม ราวกับมีแสงน่าหลงใหลลอยอยู่บนนั้น ขณะเดียวก็มีการปลดปล่อยคลื่นอันแปลกประหลาดออกมา ซึ่งทำให้สายตาของมู่เฉินพร่าเลือนไป จังหวะนั้นแม้แต่จิตของเขาก็เกือบถูกดูดเข้าไปภายใน
ครืน!
สายฟ้าฤทัยปีศาจดำดังสะท้อนออกจากหัวใจของมู่เฉิน ทำให้เขารู้สึกหัวโล่งทันที เขาก้าวเท้าถอยจ้องมองดอกไม้ประหลาดสีม่วงด้วยความหวาดกลัวในดวงตา นี่เป็นวัตถุที่ทำให้จิตใจถูกมอมเมาได้
มั่นถัวหลัวสะบัดมือเรียก ดอกไม้สีม่วงก็ลอยลงมาพลิ้วลงบนมือเล็ก นางมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพลิกนิ้วส่งไปให้มู่เฉิน
มู่เฉินรับไว้อย่างระมัดระวัง เมื่อดอกไม้วางลงบนฝ่ามือ เขาก็พบว่ามีข้อความโบราณสลักบนกลีบดอกไม้
“นี่คือวิทยายุทธเทพโบราณที่มีชื่อว่าแสงบุปผาทำลายฟ้า เมื่อถูกใช้ผืนฟ้าผืนดินจะมืดมิดทั่วบริเวณจะถูกทำลายสิ้นซาก เป็นพลังที่เทียบกับการล้างโลกอย่างแท้จริง”
มั่นถัวหลัวเอ่ยเบาๆ “แต่ถ้าเจ้าอยากจะฝึกฝน ก็ต้องยืมพลังของดอกแมนดาลาโบราณ”
มู่เฉินอึ้งไป ดอกแมนดาลาโบราณนับว่าเป็นวัตถุลึกลับระหว่างสวรรค์และโลกที่มีสติปัญญา ทุกดอกต่างเทียบได้กับจอมยุทธ์ทรงพลังคนหนึ่ง เขาจะยืมพลังมาได้อย่างไร?
มั่นถัวหลัวดูเหมือนจะเห็นความสงสัยในใจของมู่เฉิน นางยื่นมือจิ้มที่ท้องของมู่เฉินเบาๆ ซึ่งเป็นจุดที่ตั้งของจุดจื้อจุนไห่ และในนั้นก็มีกระดาษสีดำซ่อนอยู่….
เมื่อมู่เฉินเข้าใจว่านางหมายถึงอะไรก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา เพราะมีลวดลายของดอกแมนดาลาโบราณประทับอยู่บนหน้ารายการนิรันดร์ ซึ่งบ่งบอกว่าวิชาแสงบุปผาทำลายฟ้านี้สร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ!
คนอื่นอาจไม่สามารฝึกได้ แต่นี่คือความสมบูรณ์แบบสำหรับเขา!
ตอนนี้กระทั่งคนอย่างมู่เฉินยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ของขวัญชิ้นนี้จากมั่นถัวหลัวเหมาะเจาะกับเขายิ่งนัก!
ตอนที่ 767
ออกเดินทางได้
หลายวันถัดมา
มู่เฉินใช้เวลาเต็มที่ในการเก็บตัวที่หอวิหคโลกันตร์ จุดประสงค์หลักก็คือการเรียนรู้วิชาแสงบุปผาทำลายฟ้า
หลังจากศึกษาแล้ว มู่เฉินก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นวิชาเทพที่ซับซ้อนยากหยั่งถึงวิชาหนึ่งเลยทีเดียว แม้มั่นถัวหลัวจะไม่ได้บอกเขาว่าแสงบุปผาทำลายฟ้านี้เป็นวิทยายุทธระดับใด แต่จากการประเมินของเขามีโอกาสสูงมากที่จะเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม
นี่ถือว่าเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่วิชาที่มู่เฉินมีเลยทีเดียว กระทั่งวิชาเก้ามังกรคชสารยังไม่อยู่ในขั้นเต็มเลย
แน่นอนว่าวิชาเทพขั้นสูงก็หมายความว่ายากที่จะฝึกฝนเช่นกัน และความยากของวิชาแสงบุปผาทำลายฟ้าก็ทำให้แม้แต่มู่เฉินที่มีพรสวรรค์ต้องเดาะลิ้นไม่รู้จบ
ในเวลาหลายวัน แม้จะได้รับการชี้แนะลับๆ จากมั่นถัวหลัว แต่มู่เฉินก็แตะต้องได้เพียงแค่ผิวเผิน ทว่าโชคดีที่เขามีลวดลายของดอกแมนดาลาโบราณในหน้ารายการนิรันดร์ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยเหลือที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขาในการฝึกวิชาแสงบุปผาทำลายฟ้านี้ เขาเชื่อว่าเป็นเรื่องของเวลาที่เขาจะฝึกวิชานี้สำเร็จ
นอกจากนี้เขายังมีความคาดหวังมากกับพลังของวิชาแสงบุปผาทำลายฟ้าเมื่อฝึกสำเร็จ
ในเวลาไม่กี่วันสุดท้ายนอกจากการศึกษาวิชาแสงบุปผาทำลายฟ้า มู่เฉินยังแบ่งความสนใจมาที่ค่ายกลด้วย แม้ตอนนี้เขาจะไม่ค่อยได้ใช้ค่ายกลในตอนต่อสู้ แต่นี่ก็เป็นไพ่ตายที่ได้เปรียบอย่างหนึ่งสำหรับเขา นอกจากนี้พูดตามตรงก็คือพรสวรรค์ด้านค่ายกลของเขาเหนือกว่าการฝึกคลื่นหลิงเสียอีก
ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะมารดาของเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือที่มีพลังขนาดที่มั่นถัวหลัวยังไม่สามารถเผชิญหน้าได้
บางครั้งมู่เฉินก็คิดว่าหากคนอื่นรู้ว่ามารดาของเขาเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังอันน่ากลัวที่เทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนละก็ คงจะไม่มีหน้าไหนในทวีปเทียนหลัวที่กล้าท้าทายเขา…
แต่ความคิดนี้ก็หายวับไปจากใจของมู่เฉิน ไม่ต้องพูดถึงว่ามารดาที่ถูกขุมขังในตอนนี้เลย คนนิสัยอย่างเขาไม่คิดที่จะข่มขู่คนอื่นด้วยเส้นสายที่มีหรอก
เรื่องนี้ทำให้มู่เฉินแอบถอนหายใจ ดูเหมือน ‘ผู้สืบทอดยอดยุทธ์’ ก็ใช่ว่าอยากเป็นก็เป็นได้ การพึ่งพาตัวเองน่าเชื่อถือมากสุด ดังนั้นมู่เฉินจึงไปที่หอคัมภีร์ในช่วงเวลาว่างเพื่อฝึกค่ายกล เขาคาดการณ์ล่วงหน้าว่าศึกมังกรหงส์จะต้องมีการต่อสู้น่าตื่นตะลึงเกิดขึ้นแน่ ด้วยการเพิ่มเติมทักษะความรู้ เขาจะมีโอกาสเพิ่มเติมระดับการปกป้องตัวเอง
เผชิญหน้ากับตัวโหดในศึกมังกรหงส์ แม้แต่มู่เฉินยังต้องตั้งสติไม่กล้าดูถูกใครเลย
ส่วนมั่นถัวหลัวก็ให้การสนับสนุนมู่เฉินอย่างสุดความสามารถ อนุญาตให้เขาเข้าหอคัมภีร์ได้ตามที่ต้องการและปล่อยให้ฝึกยุทธ์อยู่ในนั้นได้ การปฏิบัติแบบพิเศษนี้ทำให้ผู้บัญชาการบางคนตาเขียวปั๊ดด้วยความอิจฉา ทุกคนรู้ว่ามีสมบัติอะไรเก็บอยู่ในหอคัมภีร์ ปกติแล้วแม้แต่ระดับพวกเขายังไม่มีสิทธิ์ได้เข้าไป เว้นแต่ว่าจะทำคุณประโยชน์มากมาย แต่มู่เฉินกลับได้เข้าออกตามอำเภอใจ ซึ่งทำให้พวกเขาถึงกับตาลุกวาว
แต่พวกเขาก็ได้แต่ตาลุกวาว ไม่มีใครกล้าอ้าปากพูดอะไรสักคำ ถึงตอนนี้แม้แต่คนตาบอดยังบอกได้ว่ามู่เฉินกับประมุขมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ด้วยการสนับสนุนจากประมุขแล้ว ก็ไม่มีใครในอาณาเขตกงเวทสวรรค์กล้าท้าทายมู่เฉิน เช่นเสี่ยยิงที่ไม่กล้าใช้ลูกไม้อะไรกับมู่เฉินอีก เพราะหากเขาทำให้ประมุขไม่พอใจละก็ คงเป็นตัวเขาเองที่จะหลุดออกจากตำแหน่ง
หลังจากมั่นถัวหลัวเปิดคลังทรัพยากรที่มีให้มู่เฉิน เวลาก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว…
วันที่ห้า
วันนี้หอวิหคโลกันตร์คึกคักเป็นพิเศษ คนจำนวนมากจากหลายกลุ่มมารวมตัวกันที่นี่ ซึ่งตอนนี้มู่เฉินกำลังยิ้มประสานมือคำนับต่อพวกเขา
“ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วก็รีบออกไป พวกเราจะไม่ไปส่งเจ้า เขตหลงเฟิ่งตั้งอยู่ในเทือกเขาหลงเฟิ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เจ้าไปเองแล้วกัน” มั่นถัวหลัวเอ่ยพลางปัดมือให้มู่เฉิน
“ข้าไปคนเดียวเหรอ?” พอได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็ผงะไป ถึงเขาจะมาอยู่ภูมิภาคทางเหนือช่วงเวลาหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่เคยออกไปไกลจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์เลย ตอนแรกเขาคิดว่าคนจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะไปส่งด้วย อย่างน้อยก็แสดงแสนยานุภาพว่าเป็นขั้วอำนาจชั้นยอด ข่มขวัญพวกปลาซิวปลาสร้อยสักหน่อย
“เจ้าไม่ใช่เด็ก ต้องการผู้ปกครองไปด้วยงั้นหรือ?” มั่นถัวหลัวเบ้ปากเอ่ยต่อ “ถ้าทำไม่ได้กระทั่งเดินทางไปยังเทือกเขาหลงเฟิ่งด้วยตัวเอง ก็อย่าไปร่วมงานประลองให้ต้องอับอายเลย”
มู่เฉินโกรธจนอยากจะขบหัวคนตัวเล็กสักคน หากไม่ใช่เพราะความจริงที่คนตัวเล็กตรงหน้าสามารถสยบเขาได้เพียงการสะบัดมือครั้งเดียว เขาก็คงอดรนทนไม่ไหวที่จะสั่งสอนนางสักครั้ง
“ท่านประมุขพูดเล่นน่ะ เนื่องจากเขตหลงเฟิ่งจะมีเพียงผู้เข้าร่วมงานประลองเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ นอกจากนี้จอมยุทธ์ที่ทรงพลังก็เข้าไปไม่ได้ ตัวแทนของสำนักอื่นก็ไปเองเช่นกัน ไม่มีจอมยุทธ์ในสำนักติดตามไป”
จิ่วโยวยิ้มอยู่ด้านข้างเอ่ยต่อ “ดังนั้นในศึกครั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองในการจัดการเท่านั้น”
มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ดูท่าครั้งนี้จะต้องฉายเดี่ยวแล้ว
“รับนี่ไว้”
ขณะที่มู่เฉินรู้สึกหดหู่กำลังจะออกเดินทาง มั่นถัวหลัวก็พลิกนิ้วส่งลำแสงพุ่งไปหามู่เฉิน เขารับไว้ในมือ นี่เป็นชิ้นหยกโบราณที่แผ่ความผันผวนประหลาดออกมา
“ถ้าเจ้าเผชิญกับอันตรายแบบใกล้ตายก็ทำลายมันซะ” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเรียบ
มู่เฉินอึ้งไป เขาได้ยินจากจิ่วโยวว่ามีข้อห้ามสำหรับศึกมังกรหงส์ คนที่มีพลังระดับมั่นถัวหลัวจะไม่สามารถเข้าไปได้ หากพวกเขาทำเช่นนั้นก็จะเป็นการสร้างปัญหาใหญ่หลวง แต่ตอนนี้มั่นถัวหลัวกลับมอบหยกโบราณกับเขา ซึ่งเมื่อเขาทำลายมัน นางก็จะอาศัยคลื่นพลังนั้นในการเดินทางผ่านมิติ
หากเป็นเช่นนั้น นางก็จะต้องจ่ายราคาแพงระยับอย่างแน่นอน
มู่เฉินรู้สึกตื้นตันใจกำหยกโบราณไว้ เขาไม่เอ่ยอะไรสักคำเก็บหยกไว้ในกำไลเจี้ยจื่อ ดูเหมือนเขาจะต้องระวังตัวให้มากขึ้นในเขตหลงเฟิ่งแล้ว
“ฮ่าๆ มู่เฉิน ต่อให้เราไม่สามารถตามเข้าไปในเขตเทือกเขาหลงเฟิ่งได้ เราก็จะคอยตามดูสถานการณ์ตลอดเวลานะ ทุกคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะรอคอยให้เจ้าออกมา” เทียนจิ้วยิ้มจากด้านข้าง
“ครั้งนี้ชื่อเสียงอาณาเขตกงเวทสวรรค์เราฝากไว้กับเจ้าแล้ว!”
มู่เฉินประสานมือคำนับเทียนจิ้ว “จอมพลเทียนจิ้ว วางใจเถอะข้าจะทำให้ดีที่สุด!”
จบคำพูด เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไปเคลื่อนกายเตรียมทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า
“ถ้าเจ้ากลับมาได้ ตำแหน่งผู้บัญชาการคนที่สิบของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นของเจ้า” มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินและเอ่ยขึ้น
“ฮ่าๆ งั้นก็ขอบคุณประมุขที่เก็บตำแหน่งไว้ให้ข้านะ!” มู่เฉินหัวเราะเคลื่อนตัวออกไป ร่างกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งผ่านขอบฟ้า ไม่กี่อึดใจก็หายไปจากครรลองสายตาของทุกคน
มองเงาร่างที่จากไป ทุกคนก็ถอนหายใจ
“ประมุข ศึกมังกรหงส์ครั้งนี้ลือกันว่าดุเดือดมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ขั้วอำนาจชั้นยอดอื่นๆ ก็ส่งจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่ชุบเลี้ยงเข้าร่วมงานประลองกันหมด”
หลิงถงมองทางทิศที่มู่เฉินไปก่อนจะหันมาหามั่นถัวหลัว “หลายปีที่ผ่านมาอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ของเราอยู่ตำแหน่งเสียเปรียบในศึกมังกรหงส์มาตลอด สูญเสียชื่อเสียงที่มี แม้มู่เฉินจะไม่ธรรมดา แต่ข้าเกรงว่า…”
คนอื่นๆ พยักหน้ากันเงียบๆ พวกเขาไม่เคยขาดอัจฉริยะจอมยุทธ์รุ่นใหม่เข้าร่วมศึกมังกรหงส์ แต่ทันทีที่ย่างเท้าเข้าไป ก็จะถูกสังหารโดยผู้แข่งขันจากจวนยมโลก ซึ่งสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของพวกเขาใหญ่หลวง ดังนั้นจากนั้นเป็นต้นมาอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ยกเลิกการส่งคนเข้าร่วมศึกมังกรหงส์ แต่ครั้งนี้มั่นถัวหลัวกลับตัดสินใจส่งคนเข้าร่วม แม้ว่าฝีมือของมู่เฉินจะนับว่าดี แต่อัจฉริยชนที่เข้าร่วมศึกมังกรหงส์ก็ต่างมีฝีมือเหนือเขา พวกเขากลัวว่าหากมู่เฉินล้มเหลว อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะสูญเสียชื่อเสียงอีกครั้ง
“หดหัวเป็นเต่าในกระดองมาหลายปี ยังไงก็ควรส่งคนออกไปบ้าง” มั่นถัวหลัวยิ้มบางขณะจ้องมองหลิงถง “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่มีความมั่นใจในตัวมู่เฉินมาก แต่ข้ามี สำหรับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็รอดูแล้วกัน”
พอได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว หลิงถงก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ทำเพียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขื่น เขาไม่ได้เหน็บมู่เฉิน แต่สิ่งที่พูดเป็นความจริง เทียบกับเหล่าอัจฉริยะสิบอันดับแรกในศึกครั้งนี้ ก็มีช่องว่างระหว่างพวกเขาอย่างชัดเจน
แต่ในเมื่อมั่นถัวหลัวบอกว่ามั่นใจในตัวเขา พวกเขาก็ทำได้เพียงเลือกที่จะเชื่อเช่นกัน หวังว่าในครั้งนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะไม่เหมือนกับในอดีต ที่ส่งคนไปแล้วท้ายที่สุดก็ไม่มีแม้แต่เงากลับออกมา…
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศเหนือ พวกเขาจินตนาการได้เลยว่าช่วงเวลาที่กำลังมาถึง สถานที่แห่งนั้นจะได้รับความสนใจมากที่สุดในภูมิภาคทางเหนือ
อัจฉริยะนับไม่ถ้วนจะลงชิงชัยกันที่นั่น บางคนผงาดขึ้น บางคนล้มลง…
แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อศึกมังกรหงส์จบลง บันทึกมังกรหงส์ก็คงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ตอนที่ 768
มุ่งหน้าเข้าไปในภูเขาลึก
เทือกเขาหลงเฟิ่ง
ที่นี่เป็นดินแดนโบราณที่มีชื่อเสียงในภูมิภาคทางเหนือ เหตุผลที่โด่งดังก็เพราะศึกมังกรหงส์ที่จัดขึ้นในเทือกเขาแห่งนี้
ตำนานเล่าว่าในสมัยโบราณมีมังกรและหงส์ฟ้าแท้จริงระเบิดการต่อสู้สะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นที่นี่ การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้เทือกเขาหลายแสนลี้ยุบตัวลงกลายเป็นพื้นราบ แม้แต่ท้องฟ้าก็แตกสลายไป
ในเผ่ามังกรและเผ่าหงส์ฟ้าทรงพลัง มังกรแท้จริงกับหงส์ฟ้าแท้จริงเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด ความทรงพลังนั้นเทียบเท่ากับจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนเลยทีเดียว
การต่อสู้น่าตกตะลึงจบลงที่เทพอสูรทั้งสองหมดสิ้นลมหายใจ จุดที่ฝังร่างก็กลายเป็นเขตหลงเฟิ่ง ว่ากันว่าเขตหลงเฟิ่งนี้ถูกย้อมด้วยเลือดแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้า ทำให้มีความพิเศษเป็นอย่างยิ่ง สมบัติมากมายที่ไม่สามารถหาได้จากภายนอกกลับพบในทุกที่ของเขตหลงเฟิ่ง
มากจนถ้าได้รับแก่นเลือดแท้จริงมา ก็จะสามารถชำระร่างมังกรแท้จริงและร่างหงส์ฟ้าแท้จริงได้จากการกลั่นนี้ หากทำสำเร็จละก็ ความอยู่ยงคงกระพันของร่างกายก็จะใกล้เคียงกับเผ่ามังกรและเผ่าหงส์ฟ้าเลยทีเดียว
ประเด็นสำคัญก็คือเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงยังมีพลังชีวิตทรงพลัง ซึ่งเป็นที่รู้ทั่วไปว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเทพอสูรก็คือพวกมันมีพลังชีวิตที่มนุษย์ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ หากมนุษย์สามารถรับพลังชีวิตที่เหมือนกับพวกมันมา ก็จะเป็นประโยชน์ในการฝึกยุทธ์มหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกเหนือจากนี้ยังลือว่าในเขตหลงเฟิ่งมีมรดกที่มังกรแท้จริงกับหงส์ฟ้าแท้จริงซ่อนเอาไว้ภายใน หากได้ครอบครอง ก็เท่ากับกระโดดข้ามประตูสวรรค์ในก้าวเดียว
แต่หลายปีผ่านมา เขตหลงเฟิ่งเปิดไปแล้วหลายครั้ง ก็ไม่มีใครได้ยินชื่อคนที่ได้รับมรดกที่มังกรแท้จริงกับหงส์ฟ้าแท้จริงทิ้งเอาไว้เลย ดังนั้นจึงไม่อาจสรุปได้ว่าข่าวลือนั้นเป็นการกุขึ้นมาหรือเปล่า
แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกครั้งที่เขตหลงเฟิ่งเปิดตัว ไม่เพียงแต่อัจฉริยชนในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือจะลุกฮือ แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นยอดนอกเขตภูมิภาคทางเหนือยังตาโต ส่งตัวแทนมาลงชิงชัยเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ศึกมังกรหงส์จึงกลายเป็นมาตรฐานทองคำที่ใช้ทดสอบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ สิ่งที่เรียกว่าบันทึกมังกรหงส์จึงได้เกิดขึ้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การเปิดศึกมังกรหงส์ทุกครั้ง ก็จะเป็นจุดสนใจของภูมิภาคทางเหนือ
มู่เฉินมุ่งหน้าสู่เทือกเขาหลงเฟิ่ง
เมื่อออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้ เขาก็มุ่งหน้าตรง แต่เนื่องจากที่นั่นตั้งอยู่ทางทิศเหนือของภูมิภาคทางเหนือ ด้วยระยะทางยาวไกล ไม่รู้ว่าต้องผ่านเขตแดนของขั้วอำนาจทรงพลังไปเท่าไร
แต่โดยทั่วไปการเดินทางครั้งนี้นับว่าราบรื่น บวกกับมู่เฉินใช้ความเร็วสูงสุด เขาจึงมาถึงพื้นที่ทางทิศเหนือในเวลาเพียงสองวัน
เมื่อใกล้เข้าไป มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน เห็นชัดว่าพวกเขามุ่งหน้าไปยังเขตหลงเฟิ่ง
เจ้าของคลื่นหลิงพวกนั้นยังมีอายุค่อนข้างน้อยและแข็งแกร่งพอตัว ทว่าพวกเขาก็ไม่ทำให้มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ เพราะคนที่เขาเจอมาจนถึงตอนนี้อย่างมากก็แค่มีพลังสูสีกับสูชิงกับโจวเยี่ยเท่านั้น
มู่เฉินไม่คิดจะทำความรู้จักกับคนเหล่านั้น เขาเลือกหลบเลี่ยงแทน โดยเลือกเส้นทางภูเขาลึกสำหรับการเดินทางนี้ แม้ความเร็วจะถูกรบกวนโดยสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ในภูเขา แต่ก็ดีกว่าการมีเรื่องกับคน ทั้งยังสงบและสันตินัก จุดประสงค์หลักก็คือเขาต้องการความสงบสุขเพื่อที่จะศึกษาวิชาแสงบุปผาทำลายฟ้า
ราตรีปกคลุมผืนดิน
เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังครั้งคราวจากส่วนลึกของภูเขาสะท้อนออกมาในยามค่ำคืน
ประกายไฟลุกโชนในป่าทึบขณะที่ร่างสูงโปร่งนั่งหลับตาเงียบๆ บนฝ่ามือมีดอกไม้สีม่วงกำลังหมุนคว้างปล่อยแสงสีม่วงเข้มออกมา
ภายในดอกไม้สีม่วงเข้มราวกับมีข้อความโบราณผ่านทางฝ่ามือเข้าไปในร่างกาย มองเหมือนกับอักขระซับซ้อนเลือนราง
ร่างนี้ก็คือมู่เฉินที่เดินทางตัวคนเดียว ระหว่างสองวันนี้เขามุ่งหน้าเข้าไปในภูเขาลึก การทำความเข้าใจด้วยตัวเองก็ทำให้เขาได้รับประโยชน์บางอย่างมากขึ้นเช่นกัน
วงแสงสีม่วงคงอยู่เป็นเวลาสองชั่วโมงก่อนจะค่อยๆ จางหาย จากนั้นมู่เฉินก็เปิดเปลือกตาขึ้น เขามองดอกไม้สีม่วงในมือพร้อมกับพลิกฝ่ามือเก็บลงไป
“ช่างซับซ้อนอะไรแบบนี้… ต่อให้ข้าทำความเข้าใจความลึกซึ้งในอักขระเทพของดอกแมนดาลาโบราณในหน้ารายการนิรันดร์ได้ แต่ข้าก็สัมผัสได้เพียงผิวเผินบางจุดเท่านั้นเอง” มู่เฉินทอดถอนหายใจ วิชาแสงบุปผาทำลายฟ้าสมกับเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มยิ่งนัก ความยากในการฝึกฝนทำให้แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกปวดกะโหลกไปหมด
มู่เฉินพรูลมหายใจออกมาเบาๆ ข่มความคิดในใจไว้และตัดสินใจเข้าสู่สภาวะฝึกยุทธ์
“หือ?”
ทว่าขณะที่กำลังจะเข้าสมาธิ สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป เขาสะบัดมือดับกองไฟตรงหน้าพลางเคลื่อนตัวเข้าไปในความมืดราวกับแมวกระโจนผ่านป่าไปอย่างว่องไว
ผืนป่าปรากฏตรงหน้าจากนั้นครู่ใหญ่ มู่เฉินก็ร่อนกายลงบนต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่ม จากนั้นก็แหวกพุ่มไม้ออกมองไปข้างหน้า
เมื่อมองออกไป สีหน้าเขาก็อดชะงักค้างไม่ได้
ด้านนอกป่าเป็นทะเลสาบใสกระจ่างมีดวงจันทร์กลมโตแขวนอยู่บนฟ้า แสงจันทร์ส่องลงมาราวกับม่านสีเงินบนทะเลสาบ แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตะลึงไปไม่ใช่ทัศนียภาพนี้
ในทะเลสาบ ร่างขาวหิมะเปลือยเปล่ากำลังอาบน้ำด้วยท่วงท่าชดช้อย เรือนผมของนางราวกับม่านน้ำตกแผ่สยายบนผิวน้ำ จากมุมดังกล่าวมู่เฉินสามารถเห็นเสี้ยวหน้าของนาง ซึ่งเป็นเสี้ยวหน้าที่ทำให้มู่เฉินซึ่งคุ้นเคยกับการเห็นสาวงามต้องกลั้นหายใจ
นางมีคิ้วโค้งเรียว จมูกโด่ง ริมฝีปากสีแดงชาด ดวงตาดูราวกับหินแกรนิตเนื้อแก้วภายใต้แพขนตายาว นอกจากนี้บนผิวกายยังเปล่งประกายแวววาวอีกด้วย
มู่เฉินอดมองต่ำลงไปไม่ได้ เขาเห็นลำคอขาวผ่องสง่างามราวคอหงส์ ลาดไหล่เพรียวบางชวนน่าหลงใหล ส่วนที่อยู่ต่ำลงไปถูกน้ำในทะเลสาบบดบังไว้ แต่ก็เห็นส่วนโค้งเว้าได้เลือนราง
ในแง่ความสะคราญโฉม สตรีผู้นี้ติดสามอันดับแรกของสตรีที่มู่เฉินเคยเห็น ตามความคิดของเขาแม้แต่หงหยูจากแดนปีศาจที่มีความงามไม่เป็นสองรองใครในภูมิภาคทางเหนือก็คงแซงหน้านางไม่ได้
ซ่า!
ขณะที่มู่เฉินกำลังจ้องมองนาง น้ำในทะเลสาบเบื้องหลังนางก็เกิดเสียงซัดสาด ริ้วสีเจ็ดสีเคลื่อนตัวผ่าน ชั่วขณะต่อมาน้ำก็ระเบิดออก งูยักษ์เจ็ดสีพุ่งเข้าใส่หญิงสาวผู้นั้นทันที
เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปขณะที่กำลังจะพุ่งตัวออกไปโดยปฏิกิริยาตอบสนอง วินาทีต่อมาร่างเขาก็หยุดนิ่งลง
เพราะเขาเห็นหญิงสาวในทะเลสาบหัวเราะคิกคักเบาๆ เสียงหัวเราะของนางฟังดูราวกับไข่มุกกระทบบนถาดเงิน ทั้งใสและกังวาน นางโบกมือ งูยักษ์เจ็ดสีก็หดขนาดลงอย่างรวดเร็วจนมีขนาดเท่าฝ่ามือ จากนั้นก็ขดตัวอยู่รอบไหล่บอบบาง
ที่แท้งูเจ็ดสีตัวนี้คือสัตว์เลี้ยงของนางนี่เอง
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจลึกๆ ขณะที่กำลังจะจากไปเงียบๆ ดวงตาราวกับหินแกรนิตเนื้อแก้วดำสนิทก็ช้อนขึ้นมาจากทะเลสาบ
“เวร ถูกจับได้แล้ว”
หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวรีบกระโจนตัวหนีทันที
แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะมีความงามล้ำเลิศ แต่มู่เฉินรู้ว่านางไม่ใช่ธรรมดา ดังนั้นเขาไม่อยากท้าทายนาง
วาบ!
ความเร็วของมู่เฉินรวดเร็วมาก เขาทะยานออกไปพันจั้งในเวลาเพียงพริบตา แต่ทันใดนั้นร่างเขาก็แข็งทื่อเมื่อร่อนลงบนต้นไม้ใหญ่ เมื่อมองไปเขาก็เห็นเงาร่างในชุดดำอยู่บนกิ่งไม้ มองมาที่เขาพลางยิ้มตาหยี
นี่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าบอบบางและงดงาม รอยยิ้มบนใบหน้าอบอุ่นไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าทำไม ร่างกายของมู่เฉินกลับเกร็งขึ้นทันทีที่เห็น เนื่องจากเขารู้สึกถึงอันตรายน่าอึดอัดแผ่มาจากชายหนุ่มชุดดำ
“สหาย…ถ้าเจ้าหนีไปแบบนี้ ข้าจะถูกอัดเอานะ” ชายหนุ่มชุดดำเกาศีรษะส่งยิ้มจนใจให้มู่เฉิน ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
ม่านตามู่เฉินหดเกร็งรีบถอยหนีฉับพลัน
วาบ!
ทว่าทันทีที่เขาถอยหนี ชายหนุ่มชุดดำก็มาปรากฏตัวตรงหน้าวางมือลงบนไหล่ของเขาเบาๆ ทันใดนั้นคลื่นหลิงในร่างของเขาก็หยุดเคลื่อนไหว
ดวงตาของมู่เฉินเผยความตกตะลึง พลังของชายหนุ่มชุดดำน่ากลัวอะไรเช่นนี้ คนคนนี่ไม่ใช่ชายหนุ่มอย่างที่เขาเห็นภายนอกแน่นอน
ชายหนุ่มชุดดำคว้าไหล่มู่เฉินไว้และเคลื่อนกาย เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ที่ริมทะเลสาบก่อนจะปล่อยตัวมู่เฉินลง
มู่เฉินตกใจก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ขณะที่กำลังจะพูด หญิงสาวชุดสีอ่อนก็เดินเท้าเปล่าบนผิวทะเลสาบมาหยุดอยู่ตรงหน้ามู่เฉิน
มู่เฉินได้เห็นเด็กสาวเต็มตา ไม่ นางควรเป็นหญิงสาวมากกว่า นางอายุยังน้อยแต่กลับมีเสน่ห์ตามธรรมชาติแผ่ออกมาจากหว่างคิ้ว ความไร้เดียงสาบวกกับเสน่ห์ทำให้นางดูน่าหลงใหลอย่างยิ่ง
ขณะที่หญิงสาวเดินเข้ามา ชายหนุ่มชุดดำที่เผยพลังน่ากลัวก็ยิ้มประจบขณะที่วิ่งเข้าไปเสนอหน้า “พี่ใหญ่ ข้าช่วยเจ้าไล่สัตว์อสูรที่อยู่ใกล้ๆ ออกไปตอนที่เจ้านี่เข้ามา เจ้าอย่าตำหนิข้าเรื่องที่ไม่คุ้มกันให้ดีล่ะ!”
มู่เฉินอึ้งไป หญิงสาวที่ดูเยาว์วัยเป็นพี่สาวของชายหนุ่มที่มีพลังน่ากลัวคนนั้นน่ะหรือ? แต่คลื่นหลิงรอบตัวหญิงสาวคนนี้ ดูเหมือนจะไม่แข็งแกร่งไปกว่าตัวเขาเท่าไรเลย
หญิงสาวถลึงตามองชายหนุ่มชุดดำด้วยแววเย็นชาในดวงตาเย้ายวน ก่อนจะมองมู่เฉิน งูเจ็ดสีเลื้อยอยู่บนไหลขณะที่แลบลิ้นใส่มู่เฉิน
“เอ่อ…”
มู่เฉินไอแห้ง ขณะที่กำลังจะพูด หญิงสาวก็ยื่นมือออกมาเสียงใสกังวานที่ดังก้องในยามค่ำคืน กลับทำให้มู่เฉินแข็งค้างเป็นหินเลยทีเดียว
“เจ้ามีกลิ่นเลือดมังกรไฟโบราณอยู่กับตัว เอามาชดเชยให้ข้าห้าหยด”
ตอนที่ 769
หญิงสาวและชายหนุ่ม
“เจ้ามีกลิ่นเลือดมังกรไฟโบราณอยู่กับตัว เอามาชดเชยให้ข้าห้าหยด”
เสียงใสกังวานของหญิงสาวสะท้อนไปมาในทะเลสาบ ส่วนมู่เฉินก็อึ้งไปเมื่อมองมือขาวละเอียดที่ยื่นออกมาหา จากนั้นครู่หนึ่งเขาก็คืนสติส่งยิ้มแห้ง “ข้าไม่มี”
ล้อเล่นหรือไง? เลือดมังกรไฟโบราณเป็นสิ่งที่เขาได้มาจากการทุ่มสุดตัว มิหนำซ้ำยังได้มาเก้าหยดเท่านั้น นอกจากนี้เขาก็ให้จิ่วโยวไปสี่หยด เนื่องจากสิ่งนี้เป็นผลดีต่อพลังยุทธ์ของนางมหาศาล ดังนั้นตอนนี้มู่เฉินจึงมีแค่ห้าหยดอยู่กับตัว แต่หญิงสาวที่ดูเยาว์วัยกลับมีความอยากอาหารโหดเหี้ยมนัก
“ไม่มีเหรอ?” หญิงสาวยิ้มบางให้มู่เฉินม่านตาหินแกรนิตเนื้อแก้วเปล่งประกาย ความงามชวนตะลึงทำให้แม้แต่ดวงจันทร์ยังหม่นแสงลง
มู่เฉินมองไปที่ความงาม จิตใจก็ว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง ราวกับว่ามีเสียงหนึ่งพล่านในหัวใจสั่งให้เขาหยิบเลือดมังกรไฟโบราณออกมาเอง
ครืน!
แต่ความว่างเปล่าคงอยู่วูบเดียว ก่อนที่สายฟ้าฤทัยปีศาจดำจะดังขึ้นในหัวใจเขา ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ ทันใดนั้นหัวใจเขาก็หวั่นกลัวขึ้น หญิงสาวคนนี้มีเสน่ห์ตามธรรมชาติไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหนก็ตาม
วาบ!
เมื่อมู่เฉินได้สติ ก็รีบผงะถอยเกือบจะในทันที ทิ้งไว้เพียงภาพเงาบนท้องฟ้าขณะที่เขาพุ่งตรงไปที่ผืนป่าราวกับสายฟ้าฟาด
“เสี่ยวหลิน” เมื่อเห็นว่าเสน่ห์ของตนใช้ไม่ได้ผลกับมู่เฉิน ก็เกิดริ้วความประหลาดใจบนใบหน้าหญิงสาว ก่อนที่นางจะเหยียดนิ้วกระดิกเบาๆ
เมื่อชายชุดดำได้ยินเสียงนั่น เขาก็พยักหน้าอย่างจนใจวาบหายไป
ขณะที่เขาหายตัว มู่เฉินก็ทะยานเข้าไปในป่า แต่ครู่เดียวมู่เฉินก็กลับมาปรากฏตัวตรงที่เดิมที่เขาเคยอยู่แล้วอีกครั้ง
“สหาย เจ้าล้มเลิกแผนหนีซะเถอะ นี่เป็นปัญหาใหญ่แน่ถ้าเจ้าทำให้พี่สาวข้าเกรี้ยวกราด” ชายหนุ่มชุดดำปรากฏตัวข้างมู่เฉินพลางยักไหล่
สายตาจ้องมองชายหนุ่มชุดดำลึกลับ มู่เฉินก็รู้สึกหนาวเยือกขึ้นในใจครู่ใหญ่ พลังที่ชายคนนี้แสดงออกมาน่ากลัวเกินไปแล้ว ความแตกต่างด้านพลังของพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
ทว่าในเมื่อไม่อาจหลบหนีไปได้ มู่เฉินก็สงบใจลง เขาเบนสายตาไปยังหญิงสาวประสานมือขึ้น “ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าได้ยินเสียงผิดปกติบางอย่างก็เลยมาที่นี่ ข้าไม่ได้มีเจตนาอะไรเลย…”
“ข้ารู้” หญิงสาวลูบงูเจ็ดสีบนบ่าเบาๆ เอ่ยต่อ “ไม่งั้นข้าไม่ขอแค่เลือดมังกรไฟโบราณของเจ้าหรอก”
“เอาอะไรมาคิด?” มู่เฉินขบฟัน แค่มองไปโดยไม่ตั้งใจก็ต้องแลกกับเลือดมังกรไฟโบราณห้าหยด มากเกินไปหน่อยมั้ง!
“จากความจริงที่เจ้าไม่สามารถหนีไปได้ไง” หญิงสาวยิ้ม
มุมปากของมู่เฉินกระตุก สุดท้ายเขาก็ต้องยอม ทว่าเขาก็เป็นคนเถรตรงจึงหยิบขวดหยกขว้างไปทางหญิงสาว
หญิงสาวไม่ได้ยื่นมือออกมารับ งูเจ็ดสีที่พันอยู่รอบบ่านางพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าแลบ มันระเบิดขวดหยกแตกด้วยการกวาดหางครั้งเดียว เลือดมังกรไฟโบราณห้าหยดลอยออกมา จากนั้นเจ้างูก็อ้าปากกว้างเขมือบทั้งหมดในคำเดียว
มู่เฉินอึ้งไปกับภาพนี้ จากนั้นก็มองงูเจ็ดสีด้วยสายตาพิลึกกึกกือ เขามองพลาดก่อนหน้า ปรากฏว่างูเจ็ดสีตัวนี้น่าสะพรึงใช่ย่อย ภายในเลือดมังกรไฟโบราณมีจิตของมังกรไฟโบราณอยู่ แต่ตอนนี้กลับถูกกลืนไปในคำเดียว แล้วดูท่าทางระริกระรี้ของมันตอนนี้สิ เห็นชัดว่าไม่มีผลอะไรกับมันเลย
“แม้เสี่ยวไฉ่จะไม่ใช่เทพอสูรในมหาพันภพ แต่ถ้ามันวิวัฒนาการสำเร็จ ก็มีพลังไม่ด้อยกว่าเทพอสูรชั้นยอด” หญิงสาวลูบร่างเรียบลื่นของเจ้างูเจ็ดสีขณะเอ่ยขึ้น
มู่เฉินประหลาดใจไป งูเจ็ดสีตัวนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในมหาพันภพงั้นหรือ? ก็หมายความว่ามันมาจากพิภพเขตล่างน่ะสิ? งั้นสองคนตรงหน้าเขาก็มาจากพิภพเขตล่างเช่นเดียวกันใช่ไหม?
หลังจากกินเลือดมังกรไฟโบราณเรียบร้อย งูเจ็ดสีก็รีบมุดเข้าไปในแขนเสื้อของหญิงสาวเข้าสู่สภาวะจำศีลทันที ดูเหมือนต้องการชำระพลังงาน เมื่อเห็นดังนี้หญิงสาวก็คลี่ยิ้มหวานหยดชวนตะลึงออกมา
“ดูเหมือนเลือดมังกรไฟโบราณจะช่วยเสี่ยวไฉ่ได้เยอะเลย” หญิงสาวกลั้วหัวเราะขณะมองมู่เฉิน “ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้นะ”
มู่เฉินเบะปากไม่สามารถพูดอะไรต่อไปได้อีก การเสียเลือดมังกรไฟโบราณห้าหยดช่วงกลางดึกแบบนี้เป็นเรื่องปวดหัวใจสำหรับเขานัก เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ตอนนี้ข้าไปได้หรือยัง?”
สองคนตรงหน้านี้ลึกลับเกินไปแล้ว พวกเขาจะต้องไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาแน่ ดังนั้นเขาไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนประเภทนี้มาก เวลาเดินทางควรจะระวังตัวให้มากเข้าไว้
“ฮ่าๆ สหายอย่าโกรธไปเลย ในเมื่อเราเจอกันก็หมายความว่ามีชะตาร่วมกัน ในเมื่อเจ้าให้อาหารกับเสี่ยวไฉ่ พวกข้าก็จะปฏิบัติกับเจ้าดีๆ เช่นกัน” ชายหนุ่มชุดดำยิ้มตาหยีโอบบ่ามู่เฉินทำท่าว่าสนิทสนมกันมาก
พอได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็อยากกระอักเลือด อะไรเรียกเขาให้อาหารกับงูตัวนั้น? ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าบังคับ ข้าจะเสียเลือดมังกรไฟโบราณไว้ที่นี่ได้อย่างไร!
นั่นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะใช้ชำระพลังกายนะ!
“ไม่ต้อง” มู่เฉินปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว แต่เขาดูถูกความเป็นกันเองของชายหนุ่มชุดดำมากเกินไป อีกฝ่ายลากเขาโดยไม่สนใจ ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งมีเนื้อย่างปักบนกองไฟ น้ำมันสีทองหยดลงบนกองไฟเกิดประกายไฟออกมา
“มากินกัน!”
ก่อนที่มู่เฉินจะปฏิเสธ ชายหนุ่มชุดดำก็ยัดเนื้อย่างใส่มือมู่เฉินและเริ่มกินอย่างหิวโหย ความรวดเร็วนั้นทำให้มู่เฉินอึ้งไปขณะมองดู ตอนกลางดึกแบบนี้เขาดันมาจ๊ะเอ๋กับคนประหลาดแบบไหนเนี่ย?
มู่เฉินไร้ซึ่งคำพูดพลางเหม่อมองบนท้องฟ้า จากนั้นไม่นานเขาก็ไม่อยากคิดวุ่นวาย หากอีกฝ่ายต้องการจัดการเขา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีสกปรก ดังนั้นเขาจึงเริ่มกินโดยไม่เกรงใจแล้วเช่นกัน
ชายหนุ่มสองคนกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย หญิงสาวก็นั่งข้างๆ พร้อมกับมือสองเท้าแก้ม ม่านตาสีดำสนิทราวกับหินแกรนิตเนื้อแก้วจ้องมองทั้งสองเงียบๆ
ดวงจันทร์ลอยเด่นบนท้องฟ้า ข้างกองไฟก็เละเทะอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินพิงต้นไม้ลูบท้อง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้กินเยอะขนาดนี้ เมื่อผู้ฝึกเพาะบ่มพลังจนสูงในระดับหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะงดเว้นอาหารไปบ้าง
“ฮ่าๆ เจ้าตรงไปตรงมาดี ข้ากู่หลิน นี่คือพี่สาวข้า…” ชายชุดดำปาดริมฝีปากมองมู่เฉิน เขารู้สึกพอใจมากจึงเอ่ยแนะนำตัวขึ้น
“ไฉ่เซียว” นางเหลือบมองกู่หลินก็เอ่ยขึ้น
มู่เฉินกลอกตา คิดชื่อปลอมยังไม่นัดแนะกันอีก เขาถอนหายใจเอ่ยตอบ “ข้าชื่อมู่เฉิน ตอนนี้กำลังเตรียมตัวมุ่งหน้าไปที่เขตหลงเฟิ่ง”
“เขตหลงเฟิ่งเหรอ? ข้าได้ยินชื่อมาหลายครั้งแล้วในช่วงนี้” กู่หลินเกาหัวเอ่ยด้วยความฉงนสนเท่ห์
“พวกเจ้าไม่ได้มาจากภูมิภาคทางเหนือเหรอ?” มู่เฉินอึ้งไป หากเป็นจอมยุทธ์จากภูมิภาคทางเหนือ ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้เกี่ยวกับเขตหลงเฟิ่งเลย
“อืม พวกข้าไม่ใช่คนทวีปเทียนหลัวด้วยซ้ำ เรามาที่นี่เพราะมีภารกิจน่ะ” กู่หลินยิ้ม
มู่เฉินพยักหน้า จากนั้นเขาก็มองกู่หลินครู่ใหญ่อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “เจ้าฝึกวรยุทธมากี่ปีแล้ว?”
แม้กู่หลินจะดูไม่แก่กว่าเขามากนัก แต่กลับมีพลังน่ากลัวจนทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าตนอ่อนด้อย ถ้าอายุของกู่หลินตรงกับรูปลักษณ์ภายนอก เขาคงคิดอยากเอาหัวชนผนังตายไปซะเลย
พอได้ยินคำถาม กู่หลินก็ยิ้มฝืดก่อนจะเอ่ยเบาๆ “อย่าเทียบกับข้าเลย… ข้าฝึกยุทธ์มานานกว่าเจ้ามาก”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มู่เฉินก็โล่งใจ ยังดี หากรูปลักษณ์ของกู่หลินตรงกับอายุจริง ก็นับว่าเป็นพวกสัตว์ประหลาดเลยทีเดียว
จากนั้นมู่เฉินก็เบนสายตาไปยังหญิงสาวด้วยสายตาที่แปลกไป นางน่าจะเป็นพี่สาวของกู่หลิน ในเมื่อกู่หลินฝึกยุทธ์มานานหลายปี ดังนั้นอายุของนางก็น่าจะ…
เมื่อคิดว่าอายุจริงของหญิงสาวมากกว่ารูปลักษณ์ที่ปรากฏหลายขุม มู่เฉินก็รู้สึกขนลุกซู่
เนื่องจากไฉ่เซียวสัมผัสได้ถึงความคิดเบื้องหลังสายตานั่น ก็อดไม่ได้ที่จะมุ่นคิ้วพลางขบฟัน “ข้าไม่ใช่แม่มดแก่สักหน่อย!”
กู่หลินหัวเราะอยู่ด้านข้างนาง ก่อนจะเคลื่อนมาใกล้มู่เฉิน “พี่สาวข้ามีร่างกายประหลาดที่มักจะเข้าสู่สภาวะนิทรา ดังนั้นนางจึงมีอายุเท่ากับรูปลักษณ์ที่ปรากฏ”
มู่เฉินยิ้มฝืด แม้เขาจะสงสัยว่าทำไมนางถึงมีร่างกายผิดปกติเช่นนี้ แต่เนื่องจากเพิ่งรู้จักกัน ถ้าเอ่ยถามเรื่องส่วนตัวคงไร้มารยาทไปหน่อย
ไฉ่เซียวมองมู่เฉินก็ถามขึ้น “ว่ากันว่ามีเลือดของมังกรแท้จริงในเขตหลงเฟิ่งใช่ไหม?”
พอได้ยินคำถามของนาง มู่เฉินก็เข้าใจในทันทีว่าทั้งสองไม่มีความรู้เกี่ยวกับเขตหลงเฟิ่งเลย ดังนั้นเขาจึงบอกข้อมูลเกี่ยวกับเขตนี้ตามที่รู้ให้ทั้งสองทราบ
“สรุปก็คือมีเลือดมังกรแท้จริงอยู่” ได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ม่านตาของไฉ่เซียวก็เปล่งประกาย
พอเห็นปฏิกิริยาของนาง หัวใจของกู่หลินก็กระตุกพร้อมกับเอ่ยขึ้น “พี่ ครั้งนี้เราไม่ได้มาเพื่อเขตหลงเฟิ่งนะ เรายังทำภารกิจที่ท่านพ่อมอบหมายไม่สำเร็จเลย”
“งั้นเจ้าก็ไปทำภารกิจ ส่วนข้าจะไปที่เขตหลงเฟิ่ง ถ้าข้าได้เลือดมังกรแท้จริงมา เสี่ยวไฉ่จะเข้าสู่วิวัฒนาการอย่างสมบูรณ์ ข้าจะได้ไม่ต้องเข้าสู่สภาวะนิทราอีก” ไฉ่เซียวเอ่ยเสียงเรียบ
“อ้า?!” กู่หลินร้องลั่น “เจ้าจะไปที่นั่นคนเดียวเหรอ?! ไม่ได้หรอก ท่านพ่อบอกว่าเจ้าไม่สามารถไปไหนตามลำพังได้นะ! ถ้าเขาจับได้…”
“เขาจับไม่ได้หรอก ถ้าเจ้าไม่พูดถึง” ไฉ่เซียวยิ้มบางให้กู่หลินก่อนจะยกหมัดขึ้นใส่ “เจ้ารู้ผลในการทรยศข้าสินะ?”
“พี่ อย่าทำแบบนี้สิ!” กู่หลินครางเสียงเศร้า จากนั้นก็ถลึงตาใส่มู่เฉินที่อยู่ข้างๆ ถ้าเขารู้ก่อนขะไม่ชวนมู่เฉินมากินข้าวด้วยหรอก
มู่เฉินไม่ใส่ใจกับบทสนทนาของสองพี่น้อง เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น จากนั้นก็ถูจมูกเตรียมตัวจากไป เขารู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าจากไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
“เฮ้”
แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากบอกลา ไฉ่เซียวก็มองมาด้วยดวงตาเปี่ยมเสน่ห์พลางคลี่ยิ้ม “ถ้างั้นข้าต้องรบกวนเจ้าให้พาข้าไปยังเขตหลงเฟิ่งด้วยแล้ว”
มู่เฉินตัวแข็งค้างทันที เขาค่อยๆ มองกู่หลินที่อยู่ใกล้ๆ ที่กำลังพ่นไฟออกจากตา ในที่สุดเขาก็เข้าใจในความหมายของการยกหินขึ้นทับเท้าตัวเองแล้ว
ตอนที่ 770
ไปด้วยกัน
ภายใต้แสงจันทร์
มู่เฉินมองหญิงสาวที่ใช้ม่านตาสีดำเนื้อแก้วสะท้อนประกายแสงจนราวกับสามารถพูดออกมาได้ ใบหน้าของเขาอดไม่ได้ที่จะแข็งค้างไปเล็กน้อย เพราะเขาไม่คิดเลยว่าจะหาปัญหาใส่หัวตัวเองแบบนี้
แม้หญิงสาวตรงหน้าจะดูงดงามและคนอื่นคงอาจฝันอยากร่วมทางกับนาง แต่มู่เฉินกลับสัมผัสได้ถึงความลึกลับของทั้งสองคนตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงไม่มีความสนใจที่จะสานสัมพันธ์ต่อมากนัก
ทว่าก่อนที่มู่เฉินจะพูดเพื่อตัวเอง กู่หลินที่อยู่ข้างไฉ่เซียวก็คัดค้านขึ้นทันที “ไม่ได้!”
หากบิดามารดารู้ว่าเขาปล่อยไฉ่เซียวเข้าไปเขตหลงเฟิ่งตามลำพังกับชายหนุ่มแปลกหน้า เขาคงถูกถลกหนังแน่
พอได้ยินคำค้านของกู่หลิน มู่เฉินก็โล่งใจ เขาพยักหน้าเอ่ยตามตรง “ขอโทษด้วย แต่เราไม่คุ้นเคยกัน ไม่เพียงแต่พวกเจ้าจะไม่วางใจ ตัวข้าเองก็ไม่วางใจเหมือนกัน”
พอได้ยินคำพูดนั่น กู่หลินก็มองมู่เฉินบอกว่าอย่างน้อยเจ้าก็มีไหวพริบนี่ ซึ่งมู่เฉินทำเป็นไม่เห็น
ไฉ่เซียวงอขาเอาคางเกยเข่าขณะกวาดมองกู่หลินกับมู่เฉิน “คำคัดค้านไร้ผล ข้าตัดสินใจแล้ว ต่อให้เจ้าไม่พาข้าไป ข้าก็จะมองหาคนอื่นแทน ในเมื่อมีหลายคนจะไปที่เขตหลงเฟิ่งตอนนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เจอคนนำไปหรอก”
ทว่ามู่เฉินยักไหล่อย่างไม่แยแส ตราบใดที่นางไม่ไปกับเขา นางจะหาใครก็ได้ที่ต้องการ แต่กู่หลินที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับมีสีหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำพลางทำหน้ายื่น “พี่ เจ้าจะทำให้บางคนต้องตายนะ!”
น้ำเสียงของเขาฟังดูน่าสงสารอย่างยิ่ง ทำให้มู่เฉินอมยิ้ม แม้พลังของกู่หลินจะน่ากลัว แต่เขาเหมือนยอมโดยสมบูรณ์กับหญิงสาวผู้นี้
ไฉ่เซียวยิ้มเอ่ย “ตอนนี้มีทางเลือกสองทาง ให้เขาพาข้าไปหรือไม่ข้าก็มองหาคนอื่นที่จะพาข้าไป”
ใบหน้าเรียวบางของกู่หลินกระตุก เนื่องจากรู้จักนิสัยของพี่สาวคนนี้ดี ตราบใดที่นางตัดสินใจทำอะไร ไม่ว่าเขาพยายามอ้อนวอนจนปากฉีกเท่าไรก็ไร้ผล
“ข้าไปก่อนล่ะ”
มู่เฉินสัมผัสได้ถึงปัญหาเลือนราง ก็ยิ้มแห้งรีบคิดหลบฉากทันที แต่ก่อนที่จะทันขยับตัว มือหนึ่งก็ตะครุบบ่าของเขาไว้
มู่เฉินหันหน้ามามองกู่หลินที่ดวงตาคลอด้วยหยาดน้ำใสพลางขบฟัน “พี่ชาย เห็นแก่ข้าที่ต้องสละเลือดมังกรไฟโบราณตั้งห้าหยดให้กับพวกเจ้าหน่อยเถอะ อย่าให้ข้าต้องเจอปัญหาเลย”
คำพูดของเขาไม่ได้เป็นการเสแสร้งแม้แต่น้อย ไฉ่เซียวมีความงามระดับเดียวกับลั่วหลี เพียงแต่ละคนมีรูปลักษณ์ในแบบของตัวเอง คนหนึ่งเยือกเย็นคนหนึ่งน่าหลงใหล พูดง่ายๆ ก็คือหญิงสาวประเภทนี้เป็นตัวอันตราย การหนีบพวกนางไปกวักแต่ปัญหามาเข้าตัว
“ซ้ายก็ซวย ขวาก็ซวย” กู่หลินตบบ่ามู่เฉินด้วยสีหน้าเจ็บปวด
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะกลอกตา “เจ้าวางใจจริงเหรอ?”
ปล่อยพี่สาวคนสวยไว้กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกัน มู่เฉินไม่รู้เลยว่าเจ้านี่คิดอะไรอยู่ในหัว นอกจากนี้ดูจากคลื่นหลิงของไฉ่เซียวแล้ว นางไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับกู่หลินเลย
“วางใจเถอะ คนที่จะฉวยโอกาสกับพี่สาวข้ายังไม่เกิดหรอก” กู่หลินยิ้มเผล่เอ่ยซ่อนนัย “ถ้าดูถูกนาง ระวังที่จะเจ็บตัวซะเอง”
มู่เฉินอึ้งไปและอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไฉ่เซียวอีกครั้ง
“สหาย ถือว่าช่วยข้าสักครั้งเถอะ แม้เราจะรู้จักกันไม่นาน แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นคนเชื่อถือได้มากกว่าคนอื่นน่ะ” กู่หลินยิ้มเอ่ยต่อ “คนที่ถูกพวกข้าชิงเลือดมังกรไฟโบราณห้าหยดแล้วยังมีอารมณ์สนทนาและกินอาหารร่วมกัน คนที่สามารถทนต่ออะไรเช่นนี้ได้นับว่าไม่ธรรมดา”
“แต่ แน่นอนว่าสิ่งสำคัญก็คือ…” กู่หลินชี้ไปที่ไฉ่เซียวเอ่ยต่อ “พี่สาวข้ามีประสาทสัมผัสดีนัก ในเมื่อนางไม่ปฏิเสธเจ้า ดังนั้นก็ไม่น่ามีปัญหา”
มู่เฉินเบ้ปาก เห็นชัดว่าเขาไม่ยอมรับกับเหตุผลสุดท้าย
“ข้าปฏิเสธได้ไหม?” มู่เฉินนวดหว่างคิ้วเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้
ไฉ่เซียวกลั้วหัวเราะ “ถ้าเป็นกรณีนั้น พวกข้าคงต้องขังเจ้าไว้ที่นี่จนกว่างานประลองเขตหลงเฟิ่งจะจบลงน่ะ”
“ข้าตกลง” มู่เฉินพยักหน้า น้ำเสียงตรงไปตรงมา บุรุษจะไม่เสียผลประโยชน์ตรงหน้า เขาไม่สงสัยในคำพูดของไฉ่เซียวเลย ยิ่งกว่านั้นด้วยพลังของทั้งสองคน ชัดว่าทำได้แน่นอน
“ฉลาด” ไฉ่เซียวยิ้มบาง ทุกอารมณ์ของนางล้วนมีเสน่ห์ดึงดูดจนทำให้ดวงตาผู้คนพร่ามัว โชคดีที่มู่เฉินควบคุมตัวเองได้มาก เขาจึงไม่สูญเสียตัวตนต่อหน้านาง
“วางใจเถอะ การเดินทางไปกับข้าไม่ได้ให้เจ้าเสียประโยชน์อะไรหรอก แม้ว่าด้วยเหตุผลทางร่างกายและพลังที่ถูกจำกัด แต่ข้าไม่เป็นตัวถ่วงของเจ้าแน่นอน ยิ่งกว่านั้นเจ้าบอกว่าจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมศึกมังกรหงส์ต่างเป็นอัจฉริยะแห่งภูมิภาคทางเหนือที่มีพลังไม่ธรรมดา ใครจะรู้ล่ะว่าบางทีข้าอาจช่วยเจ้าได้นะ”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ นางก็ปัดมือเบาๆ พร้อมกับแววเจ้าเล่ห์วาบขึ้นในนัยน์ตา “สรุปเหตุผลที่บอกไปเมื่อก่อนหน้านี้ เจ้าจะได้รับประโยชน์มากหากพาข้าไปด้วย ดังนั้นเจ้าไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธหรอก”
มู่เฉินใบ้กินขณะที่กู่หลินตบบ่าปุๆ จากด้านข้างด้วยความเห็นใจ “เห็นมะ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าเอาชนะพี่สาวข้าไม่ได้หรอก ยอมรับชะตากรรมซะเถอะ”
มู่เฉินกลอกตาใส่อีกฝ่าย ในเมื่อเขารู้ว่าสถานการณ์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก เขาก็ขี้เกียจคิดมากอีกพลางเอ่ยถามขึ้น “เราจะไปกันเมื่อไร?”
“พักก่อนหนึ่งคืนเถอะ แล้วค่อยไปพรุ่งนี้เช้า” กู่หลินรีบเอ่ยขึ้น เห็นชัดว่าเขากลัวว่าไฉ่เซียวจะไปพร้อมกับมู่เฉินเดี๋ยวนี้เลย
ครั้งนี้ไฉ่เซียวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนที่นางจะโจนตัวขึ้นไปบนต้นไม้เบียดเข้าไปในพุ่มไม้หนา
พอเห็นท่าทางของนาง กู่หลินก็เบนสายตาไปที่มู่เฉินประสานมือให้ “สหายมู่เฉิน ครั้งนี้ต้องรบกวนเจ้าแล้ว ข้าจะจดจำบุญคุณนี้ไว้ หากวันหลังมีอะไรให้ช่วย เจ้าบอกข้าได้เลยะ”
มู่เฉินยักไหล่ “คนเราต้องยืดได้หดได้ ถ้าข้าปฏิเสธนางไปเรื่อยๆ ข้าคงจะเป็นตัวร้ายแน่”
โดยทั่วไปหากเป็นจอมยุทธ์อย่างกู่หลิน พวกเขาไม่สนใจตัวเลือกแบบมู่เฉินหรอก เนื่องจากพลังของพวกเขาเหนือกว่าและมู่เฉินก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ นอกจากนี้กู่หลินและไฉ่เซียวก็ไม่ได้ฉวยโอกาสใช้ความเหนือกว่ากลั่นแกล้งเขา ดังนั้นนี่ทำให้มู่เฉินรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยในใจ
“ฮ่าๆ เราไม่ทำอะไรเจ้าหรอกต่อให้ไม่ตกลง ไม่งั้นถ้าท่านแม่ข้ารู้เรื่องนี้ คงไม่ได้อยู่เป็นสุขแน่” กู่หลินยิ้ม
มู่เฉินหัวเราะขณะที่ความรู้สึกฉันมิตรเพิ่มขึ้นในใจ ทั้งคู่นั่งหน้ากองไฟพูดคุยกัน ขณะที่ไฉ่เซียวเอนตัวพิงต้นไม้เบาๆ พอได้ยินเสียงหัวเราะจากข้างล่างแล้วนางก็ค่อยๆ หลับตาลงพร้อมกับริมฝีปากเผยอ
“หืม… มู่เฉิน…”
เช้าตรู่วันต่อมา
เหนือทะเลป่าในเทือกเขา มู่เฉินมองไฉ่เซียวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะมองกู่หลินที่ยืนอยู่ตรงหน้าที่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน
เห็นชัดว่าชายหนุ่มสองคนทำอะไรนางไม่ได้เลย
“สหายมู่เฉิน ข้าฝากพี่สาวไว้ด้วยนะ ถ้าเห็นพวกเลวคนไหน ก็ลงมือได้เลยแล้วข้าจะตามไปเก็บผลที่เกิดขึ้นเอง” กู่หลินประสานมือคำนับต่อมู่เฉินด้วยรอยยิ้ม
กู่หลินที่สวมชุดดำมีใบหน้าหล่อเหลานัก ตัดสินจากสถานะขณะที่พูด พื้นเพของพี่น้องคู่นี้เหนือกว่าคำว่าธรรมดาไปไกลแน่
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า “ใกล้ได้เวลาแล้ว เดินทางกันเถอะ ถ้าพี่กู่เสร็จสิ้นภารกิจก็มารอรับนางได้ที่นอกเขตหลงเฟิ่งนะ”
“ลาก่อน”
มู่เฉินประสานมือแล้วมองไฉ่เซียวก่อนหันหลังออกไป
กู่หลินมองเงามู่เฉินก่อนจะมองไฉ่เซียวด้วยสีหน้าขมขื่น “พี่ อย่าทำตัวให้วุ่นวายนะ ถ้าท่านพ่อท่านแม่รู้เรื่องนี้เข้า ข้าถูกด่าอีกรอบแน่”
“โอ้เอาน่า ในเมื่อเจ้าเชื่อฟังที่จะช่วยปิดเรื่องนี้ให้ เรื่องนี้เจ้าไม่ขาดผลประโยชน์ที่จะได้รับแน่” ไฉ่เซียวหัวเราะโบกมือให้ “ข้าไปก่อนนะ”
นางช่างรักอิสระ เมื่อนางโบกมือก็เปลี่ยนร่างเป็นลำแสงพุ่งไปที่ขอบฟ้าก่อนที่กู่หลินจะพูดอะไรออกมา ไล่ตามหลังมู่เฉินที่นำไปไกลแล้ว
กู่หลินมองเงาร่างทั้งสองจากไปก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“นายน้อย เราจะปล่อยให้คุณหนูไปกับคนผู้นั้นหรือขอรับ?” มิติบิดเบี้ยวเบื้องหลังกู่หลินขณะที่เงาสลัวรางร่างหนึ่งจะปรากฏตัวพร้อมกับเสียงสั่นพร่าดังก้อง
กู่หลินพยักหน้าพลางเกาหัวด้วยสีหน้าจนปัญญา แม้เลือดมังกรแท้จริงจะหายาก แต่พี่สาวของเขาไม่ใช่ไม่เคยเห็นสมบัติมาก่อน นางไม่น่าสนอกสนใจกับเลือดมังกรแท้จริงมากนัก แต่ทำไมนางจู่ๆ ถึงตัดสินใจที่จะไปยังเขตหลงเฟิ่งล่ะ?
“วางใจเถอะ แม้พลังของพี่สาวจะถูกผนึกไว้ตอนนี้ แต่ข้าไม่คิดว่าจะมีจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือคนไหนทำอันตรายนางได้หรอก ส่วนจอมยุทธ์ทรงพลังคนอื่นๆ หากพวกเขาตาบอดก็คงบอกไว้ว่าโทษตัวเองว่าโชคร้ายเพียงใด ท่านพ่อทิ้งตราประทับไว้บนตัวของพี่สาวไว้แล้ว”
“ไปกันเถอะ เราต้องรีบไปเช่นกัน”
กู่หลินโบกมือ ก่อนจะหันหลังก้าวไปข้างหน้า มิติบิดเบี้ยวตรงหน้าร่างเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว เงาร่างสีดำก็ติดตามหายไป
ความสงบสุขกลับคืนสู่ป่าผืนอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง มู่เฉินเหาะผ่านขอบฟ้าด้วยความเร็วสูงสุด ไม่กี่นาทีก็พุ่งออกจากเทือกเขา เขาเหลือบมองทางหางตาเห็นหญิงสาวตามมาด้วยท่าทางผ่อนคลายด้วยสองมือไพล่หลัง
เขาสลัดนางไม่หลุดจริงๆ
มู่เฉินเบ้ปากชะลอความเร็วลงเล็กน้อย
“เจ้าคงไม่ซื่อจนคิดว่าจะสามารถสลัดข้าได้ใช่ไหม?” ไฉ่เซียวตีคู่ขึ้นมาขณะหันมามองหน้ามู่เฉินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเยาะ
มู่เฉินถูจมูกแก้เก้อ “ข้าขออะไรบางอย่างได้ไหม?”
“พูดมา”
“เจ้าสวมผ้าคลุมหน้าได้ไหม? เจ้ายิ้มไปทั่วแบบนี้ เป็นปัญหาได้ง่ายนะ” มู่เฉินแนะนำด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ม่านตากระจ่างตรงหน้าปรายมามอง ไม่ใส่ใจกับข้อแนะนำของมู่เฉิน เท้าขาวราวหิมะก้าวเบาๆ พุ่งตรงไปพร้อมกับเสียงกระจ่างดังก้อง
“ไม่ได้!”
ตอนที่ 771
หอหลงเฟิ่ง
เทือกเขาหลงเฟิ่ง
นับตั้งแต่การมีอยู่ของภูมิภาคทางเหนือ ดินแดนแห่งนี้ก็เป็นดินแดนโบราณที่มีชื่อเสียงอย่างมากของภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะเมื่อเขตหลงเฟิ่งถูกค้นพบ ผืนดินกว้างใหญ่แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมมากที่สุดไปเลย
ในตอนนี้เขตหลงเฟิ่งก็กำลังเปิด จำนวนผู้คนที่มีจึงมาถึงจุดสูงสุดจนน่ากลัว มีเสียงเหาะแหวกอากาศไม่สิ้นสุดบนท้องฟ้าภายในรัศมีหลายแสนลี้ เงาร่างพุ่งผ่านขอบฟ้าจากทุกทิศทางราวกับฝูงตั๊กแตนมุ่งเข้าสู่เทือกเขาหลงเฟิ่ง
ชื่อของเขตหลงเฟิ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างมากในภูมิภาคทางเหนือ ใครก็ตามที่ถือว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่จะไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไปโดยง่าย แน่นอนว่าจุดสำคัญก็คือความน่าดึงดูดในของเขตหลงเฟิ่งเอง
เมื่อมู่เฉินกับไฉ่เซียวมาถึงเขตหลงเฟิ่ง ก็ทันเวลาที่ได้เห็นภาพยิ่งใหญ่ตระการตาของฝูงคนที่ดูราวฝูงตั๊กแตน จำนวนน่าตกใจทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย
คนเหล่านี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา พวกเขามาจากขั้วอำนาจหลากหลายและแน่นอนว่าเป็นยอดฝีมือในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของขั้วอำนาจที่พวกเขาสังกัด แต่เมื่อมาถึงที่นี่ ไม่ว่าจะเจิดจรัสแค่ไหน พวกเขาต่างก็ถูกบดบังไว้ด้วยจำนวนคนที่มากมายขนาดนี้
มู่เฉินอุทานอย่างตกใจ เขาเคยได้พบกับจอมยุทธ์อัจฉริยะรุ่นใหม่บางคนจากทวีปเป่ยชาง แต่ไม่ว่าจะด้วยปริมาณหรือคุณภาพ ก็ช่างห่างไกลเมื่อเทียบกับทวีปเทียนหลัวภูมิภาคทางเหนือ
สถานที่แห่งนี้คือการรวมตัวของวีรบุรุษแห่งมหาพันภพแท้จริง
หลังจากมาถึงที่นี่ มู่เฉินก็เข้าใจว่าภูมิภาคทางเหนือกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน กระทั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ยังเป็นแค่มุมเล็กๆ นอกจากนี้ภูมิภาคทางเหนือยังเป็นส่วนหนึ่งของทวีปเทียนหลัวเท่านั้น ทวีปนี้สมกับเป็นมหาทวีปจริงๆ
“มุ่งหน้าไปที่เมืองหลงเฟิ่งกันก่อนเถอะ ที่นั่นเป็นที่ที่ใกล้ที่สุดของทางเข้าเขตหลงเฟิ่งน่ะ” มู่เฉินชี้ไปที่ส่วนลึกของเทือกเขาหลงเฟิ่ง ในสถานที่ห่างไกลเขาสามารถมองเห็นโครงร่างน่าอัศจรรย์ของเมืองยิ่งใหญ่ได้อย่างเลือนราง
ไฉ่เซียวมองไปรอบๆ อย่างสนใจ ก่อนที่จะพยักหน้า
เมื่อเห็นท่าทางเห็นด้วยนั่น มู่เฉินก็ออกตัวเป็นคนแรก ราวสิบนาทีต่อมาเขาก็ชะลอความเร็วลงมองตรงไป ความตะลึงใจเล็กน้อยตีกวน ที่เบื้องหน้าเขาเห็นภูเขาสูงตระหง่านจำนวนมากที่ดูเหมือนจะถูกบีบอัดเข้ากันอย่างรุนแรงด้วยแรงอันทรงพลัง สามารถมองเห็นรอยมือขนาดยักษ์บนภูเขาเหล่านั้น
บนยอดเขาเหล่านั้นเป็นเมืองโบราณตั้งอยู่จนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด เมืองนี้เต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทิ้งร้างไปตามกาลเวลา กำจายรัศมีโบราณและอ้างว้างออกมาปกคลุมทั่วบริเวณ
ชายขอบของเมืองมีเจดีย์หินจำนวนมากที่มีความสูงประมาณหมื่นจั้ง สะเก็ดความผันผวนของคลื่นหลิงที่หลงเหลือบางจางยังสามารถสัมผัสได้จากเจดีย์เหล่านั้น ความผันผวนนั้นมู่เฉินคุ้นเคยดี เพราะนั่นคือคลื่นพลังงานของค่ายกล
ในสมัยโบราณที่นี่จะต้องมีค่ายกลทรงพลังชวนตะลึงแน่นอน แต่เมื่อเวลาผ่านไปค่ายกลทรงพลังที่เคยเย้ยฟ้าก็ลบหายไปตามเวลา
กลิ่นอายเกรียงไกรของเมืองทำให้ผู้คนรู้สึกทึ่ง แม้แต่บนท้องฟ้ายังมีร่างแสงเหาะทะยานเข้าไปในเมืองโบราณอยู่เรื่อยๆ ราวกับฝูงตั๊กแตน ทว่าเมืองก็ไม่ได้แออัดอะไร
มู่เฉินกับไฉ่เซียวเข้าไปในเมืองก่อนจะพลิ้วลงบนถนนหินปูนโบราณที่เต็มไปด้วยผู้คน ทันทีที่ทั้งสองปรากฏตัว สายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วนก็พุ่งมาจากรอบด้าน
แน่นอนว่าเป้าหมายของสายตาเหล่านั้นก็คือไฉ่เซียวที่มากับมู่เฉิน
ไฉ่เซียวคุ้นเคยกับสายตาแบบนี้อยู่แล้ว นางจึงไม่ใส่ใจ ทว่ามู่เฉินกลับมีท่าทางจนปัญญา เพราะเมื่อสายตาเหล่านั้นมองไฉ่เซียวก็สาดใส่เขาด้วย อย่างที่คิดไว้ความเป็นศัตรูในดวงตาของพวกเขาเปล่งออกมาอย่างไม่อาจปกปิด
“ต้นตอหายนะ”
มู่เฉินทำได้แต่ทอดถอนหายใจ
ไฉ่เซียวถลึงตามองมู่เฉิน ร่องรอยทรงเสน่ห์ทำให้แม้แต่มู่เฉินยังใจกระตุก ไม่ต้องพูดถึงสายตาที่มาจากรอบด้านซึ่งดูเหม่อลอยไปเลยทีเดียว
ดังนั้นก่อนที่สายตาเหล่านั้นจะทวีความร้อนแรงขึ้น มู่เฉินก็หนีบไฉ่เซียวรีบออกไป
แม้การมีไฉ่เซียวอยู่ด้วยจะกลายเป็นจุดสนใจมากเกินไป แต่ก็เป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะได้ข้อมูลจากรอบตัวนาง นางทำเพียงถามคนส่งๆ ด้วยรอยยิ้ม จากนั้นอีกฝ่ายหนึ่งก็จะพรั่งพรูข้อมูลที่รู้ออกมาไม่หยุดราวกับตกอยู่ในมนตร์สะกด
“ไปดูที่หอหลงเฟิ่งกันเถอะ”
เมื่อเห็นคนโชคร้ายอีกคนที่ตกอยู่ในมนตร์สะกดของไฉ่เซียว เขาก็มองไปทางทิศเหนือ จากข้อมูลที่ไฉ่เซียวได้มาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะมีหอหลงเฟิ่งอยู่ในเมืองโบราณแห่งนี้
ข้อมูลล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับเขตหลงเฟิ่งล้วนมาจากที่นั่น
ทั้งสองคนเดินไปในเมืองโบราณที่คึกคักก่อนที่จะหยุดก้าวเดินที่ด้านเหนือของเมืองโบราณ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหอสีเหลืองตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าสายตา
หอนี้มีโครงสร้างเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งถูกตกแต่งด้วยภาพมังกรและหงส์ฟ้า รัศมีกดขี่แท้จริงที่มีจากมังกรและหงส์ฟ้าแผ่ออกมาเบาบาง แม้แต่ในตอนนี้ยังมีผู้คนจำนวนมากเหาะตรงมายังสถานที่แห่งนี้
จากประสาทสัมผัสที่มี มู่เฉินรู้สึกได้ว่าถึงคนที่มาทางนี้แข็งแกร่งกว่าคนอื่นในเมืองโบราณแห่งนี้ เห็นได้ว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ที่มีสิทธิ์มาที่นี่เป็นหัวกะทิในจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ ส่วนคนที่ไม่เข้มแข็งพอก็ไม่กล้าย่างกรายมาเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความอับอายให้กับตัวเอง
แต่มู่เฉินไม่หยุดฝีเท้าเนื่องจากเหตุผลแค่นี้ เขามองหอหลงเฟิ่งนิ่งมุ่งหน้าตรงเข้าไป
เมื่อเข้ามาแล้ว ทิวทัศน์ก็ขยายกว้างขึ้นพร้อมกับเสียงเซ็งแซ่ลอยเข้ามาในโสตประสาท เมื่อยกสายตาขึ้นมอง ก็เห็นชั้นลดหลั่นจัดว่างไม่สม่ำเสมอ ทุกชั้นเต็มไปด้วยจอมยุทธ์ที่เปี่ยมล้นด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง สำหรับชั้นสูงขึ้นไปก็ยิ่งมีแรงกดดันคลื่นหลิงน่ากลัวแผ่ออกมา
เมื่อมู่เฉินกับไฉ่เซียวเข้าไปในหอหลงเฟิ่ง เสียงเซ็งแซ่ที่อยู่ตามชั้นต่างๆ ก็เบาบางลง สายตาตกตะลึงจำนวนมากพุ่งตรงมาที่ไฉ่เซียวข้างกายมู่เฉิน
มู่เฉินคงสีหน้าสงบนิ่ง มองหามุมนั่งลงกับไฉ่เซียวอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลที่พวกเขาได้มาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะมีใครบางคนกระจายข้อมูลในหอหลงเฟิ่งนี้และสิ่งที่พวกเขาต้องทำทั้งหมดก็คือรอ
ตอนแรกมู่เฉินต้องการแค่หาข้อมูลแบบเงียบๆ แต่เมื่อมีดาวฤกษ์อย่างไฉ่เซียวส่องทาง เขาก็รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกลายเป็นเป้าความสนใจจากเหล่าจอมยุทธ์แล้ว บางทีอาจมีคนเริ่มสืบค้นหาตัวตนของเขาแล้วก็ได้
และเป็นอย่างที่มู่เฉินคาดไว้ สายตาคุ้นเคยคู่หนึ่งพุ่งลงมาจากชั้นบนพร้อมกับไอเย็นเยือกทันทีที่เขาก้าวย่างเข้ามาในหอหลงเฟิ่งนี้
หลิ่วเหยียนนั่งที่ชั้นบนมองมู่เฉินด้วยสายตานิ่งสงบ ก่อนจะกวาดสายตาไปที่ไฉ่เซียวที่ด้านข้าง
บริเวณที่หลิ่วเหยียนอยู่รายล้อมไปด้วยคนจำนวนมากราวกับวงกลมขนาดใหญ่ ทุกคนในส่วนนี้ต่างไม่ใช่จอมยุทธ์ไร้ชื่อของภูมิภาคทางเหนือ แต่ละคนชื่อเสียงขจรขจายเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้วงล้อมได้ล้อมรอบร่างคนสองคน คนหนึ่งก็คือหลิ่วเหยียน ทว่าเขายังไม่ใช่จอมยุทธ์เป็นจุดสนใจที่สุด เนื่องจากด้านข้างเขาเป็นร่างระหงงดงามที่ดึงดูดสายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วนในหอหลงเฟิ่ง
หญิงสาวผู้นี้สวมชุดกระโปรงยาวสีแดงเพลิง ผิวนางขาวราวกับหิมะ ภายใต้ชุดคือส่วนโค้งเว้าสมบูรณ์ที่ทำให้เลือดในกายเหล่าชายหนุ่มเดือนพล่าน
นางมีดวงหน้าสะคราญโฉม เรียวคิ้วกับดวงตารียาวฉ่ำน้ำอัดแน่นด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล แค่การกะพริบตาก็ทำให้หัวใจของผู้คนเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว โดยรอบนั้นไม่รู้ว่ามีจอมยุทธ์กี่คนที่ดูเหมือนสุภาพบุรุษภายนอกแต่ในดวงตากลับร้อนรุ่มด้วยเพลิงปรารถนาา สายตาของพวกเขาราวกับอยากจะกลืนกินนางลงท้อง
ปีศาจสาวคนนี้ทำให้ผู้อื่นไม่อาจหยุดความปรารถนาที่จะได้ครอบครองนาง
“โฮ่ๆ เป็นสาวน้อยที่เลอโฉมยิ่งนัก”
สตรีชุดแดงสังเกตเห็นไฉ่เซียวที่โดดเด่นยิ่งนัก ก่อนจะเหลือบมองมู่เฉินที่ดูไม่คุ้นตาที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็ป้องปากหัวเราะด้วยจริตจะก้าน “แต่น้องชายคนนั้นไม่ค่อยคุ้นตาเลยแฮะ เมื่อไรกันที่ภูมิภาคทางเหนือมีผู้เปี่ยมพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้อยู่โดยที่ข้าไม่ทันสังเกต?”
“มันเป็นแม่ทัพคนใหม่ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ฝีมือใช้ได้ แม้แต่หลิ่วหมิงก็สูญสิ้นวรยุทธเพราะมัน”
หลิ่วเหยียนหัวเราะเบาๆ “ตอนแรกข้ายังตั้งใจเตือนมันว่าอย่าเข้าร่วมศึกมังกรหงส์ แต่ดูเหมือนมันไม่ได้เก็บคำเตือนของข้าไปใส่ใจเลยสักนิด”
เมื่อคนรอบด้านที่มีชื่อเสียงได้ยินคำพูดของหลิ่วเหยียน พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์อิหลักอิเหลื่อระหว่างทั้งสอง หลายคนที่มีความสัมพันธ์ที่อันดีกับหลิ่วเหยียนก็กระตุกยิ้มขณะมองลงไปที่มู่เฉินด้วยแววเยาะเย้ย
“จอมยุทธ์ชั้นสูงจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์นี่เอง” หญิงสาวชุดแดงยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉิน “ดูเหมือนอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมีจอมยุทธ์ใหม่ที่ทรงพลังไม่น้อยในครั้งนี้แล้ว”
“ฮ่าๆ แม้อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดในภูมิภาคทางเหนือ แต่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่พวกเขาดูแลไม่สมกับคำยกย่องเลย ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้พวกเขาไม่ได้เข้ามายุ่งกับศึกมังกรหงส์แล้วทำไมครั้งนี้ถึงมาซะกะทันหันล่ะ? หรือเป็นเพราะยังไม่อับอายมากพอ?” จอมยุทธ์คนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหลิ่วเหยียนยิ้ม ในน้ำเสียงอัดแน่นด้วยความก้าวร้าว
เขาไม่คิดจะปกปิดเสียง ตรงข้ามกลับอัดคลื่นหลิงไปอย่างจงใจแล้วส่งไปทั่ว ทันใดนั้นก็ทำให้หอหลงเฟิ่งเงียบลงไปหลายส่วน ผู้ชมจำนวนมากมองไปที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องชั้นล่าง
ร่างนั้นชะงักไปเล็กน้อยแต่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวอะไร ใบหน้าหล่อเหลาค่อนข้างสงบลงในตอนนี้
หลิ่วเหยียนเล่นถ้วยชาไม่มองไปที่มู่เฉินเลย เขาเพียงแค่เผยรอยยิ้มบางก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้กับคนที่พูดออกไป
พอเห็นการส่งสัญญาณ จอมยุทธ์ผู้นั้นก็แสยะยิ้มตบเท้า ร่างพุ่งออกไป เขาดูราวกับหอคอยทิ้งตัวลงเบื้องหน้ามู่เฉิน เหยียดมือคว้าไหล่ของมู่เฉินไว้
“พี่หลิ่วเหยียนอยากเชิญเจ้าไปนั่งด้วย ไอ้หนูตามข้ามา”
มือของเขาตะปบลงที่ไหล่มู่เฉิน ทว่าร่างมู่เฉินราวกับศิลาไม่ขยับเขยี้อนเลยสักกระผีก
ร่างมู่เฉินนิ่งไม่ขยับ แต่เสียงสงบพร้อมไอเย็นเยือกกลับดังก้องไปทั่วหอหลงเฟิ่ง
“ถ้าแกอยากลงมือก็มาเอง อย่าโยนสวะมาส่งๆ ไม่กลัวว่าจะดึงให้ชื่อเสียงประมุขน้อยแห่งตำหนักสุดนภาต่ำตมลงเรอะ?”
ตอนที่ 772
กลยุทธ์ว่องไว
เสียงมู่เฉินที่บรรจุไอเย็นเยือกสะท้อนในหอหลงเฟิ่ง
ทำให้หอที่ครื้นเครงเงียบสงัดลง ทันใดนั้นสายตาทุกคนก็เริ่มฉายแววสนุกสนาน
สายตาบางส่วนเหลือบมองร่างท่าทีไม่แยแสที่ชั้นบน หลิ่วเหยียนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ มิหนำซ้ำยังอยู่ในอันดับสี่ของบันทึกมังกรหงส์ที่พิสูจน์สถานะได้
แม้ว่าจอมยุทธ์ที่มารวมตัวกันในหอหลงเฟิ่งจะนับว่าเป็นชนชั้นสูงในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลิ่วเหยียน
คนประเภทนี้เป็นคู่แข่งที่ทรงพลังที่สุดในศึกมังกรหงส์แน่นอน ไม่มีใครกล้าดูถูกเขาแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อผู้คนเห็นคนกล้าเอ่ยชื่อของหลิ่วเหยียนแบบนี้ แต่ละคนก็มีท่าทางสนอกสนใจทันที
ที่ชั้นบน เมื่อหลิ่วเหยียนได้ยิน บนใบหน้าก็ยังไม่เกิดระลอกคลื่นอะไร เขาทำเพียงหัวเราะเบาๆ ด้วยท่าทีเหนือกว่า ในสถานที่แห่งนี้เขาไม่ใช่คนที่จอมยุทธ์ไร้ชื่ออย่างมู่เฉินจะมาเทียบได้
หากเขาไปทุกข์ร้อนกับเรื่องมู่เฉินมากนัก ก็จะทำให้สถานะของเขาตกต่ำลง
รอบกายหลิ่วเหยียน จอมยุทธ์ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาก็แค่นเสียงต่ำ สายตาแค้นเคืองบางส่วนก็เริ่มเบนไปยังชายหนุ่มด้านล่าง
หญิงสาวชุดแดงที่เป็นจุดสนใจก็หัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความสนใจเช่นกัน
เมื่อทุกสายตาในหอหลงเฟิ่งพุ่งตรงมา จอมยุทธ์หนุ่มที่คว้าไหล่มู่เฉินไม้ก็มีใบหน้ามืดครึ้มลง เขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามจะกล้าเมินใส่กันได้
แต่เขาก็มีไหวพริบไม่ดันทุรังต่อ เขาก้าวถอยหลังประสานมือด้วยรอยยิ้มบาง “ข้าชื่อหลู่หยางแห่งภูเขามังกรหิมะ สหายผู้นี้ชื่ออะไรหรือ?”
ภูเขามังกรหิมะนับว่าเป็นขั้วอำนาจใหญ่ในภูมิภาคทางเหนือ เทียบได้กับแดนร้อยสงครามเลยทีเดียว หลู่หยางเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่โดดเด่นของภูเขามังกรหิมะ มิหนำซ้ำยังมีพลังไม่ได้ด้อยกว่าฉิงเปยแห่งแดนร้อยสงครามอีกด้วย
แม้จะมีช่องว่างพลังระหว่างหลู่หยางกับหลิ่วเหยียน แต่เขาก็มีอิทธิพลอยู่บ้างในหอหลงเฟิ่ง ดังนั้นคนจำนวนมากจึงเคยได้ยินชื่อเสียงของเขาเช่นกัน
มู่เฉินหันหลังให้หลู่หยาง ใบหน้าหล่อเหล่าเย็นเยือกลงหลายส่วน เขาไม่คิดว่าจะพบกับหลิ่วเหยียนที่นี่ ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่คาดคิดด้วยว่าหลิ่วเหยียนจะใจร้อนต้องการลงมือกับเขาก่อนที่ที่นั่งจะอุ่นเสียอีก
แต่ชายคนนั้นเหมือนจะโอหังไม่น้อย เขาไม่ได้ลงมือกับมู่เฉินด้วยตัวเอง คงคิดว่ามู่เฉินไม่มีคุณสมบัติพอที่จะให้ทำเช่นนั้น ดังนั้นภายใต้คำใบ้ สหายอันธพาลของเขาจึงเป็นฝ่ายออกรับหน้าแทน
ไฉ่เซียวที่นั่งข้างมู่เฉินก็เท้าคางมองภาพเบื้องหน้าก่อนจะยิ้มบาง “ดูเหมือนความสามารถในการดึงดูดปัญหาของเจ้าจะไม่ด้อยไปกว่าข้าเลยเนอะ พวกเขาเข้ามาตบหน้าเจ้าถึงที่เลยเนี่ย”
สีหน้าของมู่เฉินไม่เปลี่ยนแปลง เขาไม่ได้หันไปมองหลู่หยางแห่งภูเขามังกรหิมะเลยสักนิด ไม่ว่าอย่างไรอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เป็นขั้วอำนาจชั้นยอดของภูมิภาคทางเหนือ หากเป็นยามปกติภูเขามังกรหิมะไม่กล้าแม้แต่จะผายลมด้วยซ้ำ ตอนนี้หลู่หยางมาทำตัวกร่างต่อหน้าเขา หากเขาตอบสนองคนประเภทนี้ก็จะไม่สมสถานะของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
หลิ่วเหยียนหยิ่งผยองจองขนจริงๆ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าศักดิ์ศรีของชายหนุ่มหล่อเหลาและอ่อนโยนคนนี้สูงกว่าเขามากเท่าไร
เมื่อเอ่ยชื่อออกไปแต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากมู่เฉิน หางตาของหลู่หยางก็กระตุกอย่างหยุดไม่ได้ ขณะที่ความเกลียดชังวูบไหวในดวงตา ตั้งแต่เมื่อไรกันที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามกล้าทำตัวแบบนี้ต่อหน้าเขา? มันคิดว่าที่นี่คืออาณาเขตกงเวทสวรรค์รึไง?
“ดูเหมือนสหายคนนี้จะดูถูกภูเขามังกรหิมะของข้าที่ไม่ยิ่งใหญ่พอสินะ… ฮ่าๆ ด้วยพลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ” หลู่หยางยิ้มพร้อมกับแววเยาะเย้ยฉายในดวงตาขณะเอ่ยต่อ “แต่เจ้าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ทำเช่นนี้หรือ?”
ตู้ม!
เมื่อหลู่หยางพูดจบ ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยือกลงหลายส่วนขณะที่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดจากร่างของเขาราวกับพายุ ความแข็งแกร่งของคลื่นหลิงนั้นทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากในหอหลงเฟิ่งถึงกับเลิกคิ้ว
พลังของหลู่หยางใกล้จะแตะระดับจื้อจุนขั้นสี่แล้ว ด้วยพลังเช่นนี้ต่อให้ไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือในจอมยุทธ์รุ่นใหม่ ก็อยู่ในระดับรองลงมา
“ตึง!”
ใบหน้าของหลู่หยางเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขากระทืบเท้า ร่างก็พุ่งออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตราวมหาสมุทรก็รวมตัวกัน ความผันผวนพล่านในฝ่ามือ จากนั้นก็ซัดไปที่มู่เฉินอย่างเกรี้ยวกราดโดยไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย
เขาตั้งใจใช้พลังสั่งสอนไอ้หนูจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ให้มันรู้ว่าแม้แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ไม่สามารถปกป้องเกียรติน่าขันของมันที่นี่ได้
ในสถานที่แห่งนี้ ไม่มีใครสนใจว่าเจ้าจะมาจากไหน ตราบใดที่พลังไม่พอ ก็ทำได้เพียงไสหัวออกจากหอหลงเฟิ่ง!
“ฝ่ามือมังกรหิมะ!”
เขาตะเบ็งเสียงต่ำลึกพร้อมกับอากาศเย็นเยือกราวกับธารน้ำแข็งกวาดออกจากฝ่ามือของหลู่หยาง มังกรหิมะขนาดใหญ่บินฉวัดเฉวียนออกมา จุดที่มู่เฉินนั่งอยู่มีแต่เกล็ดหิมะ
ในหอหลงเฟิ่ง ดวงตาจำนวนมากหดลงกับภาพนี้ หลู่หยางดุดันจริงๆ เขาปลดปล่อยไพ่ตายในการโจมตีตั้งแต่เริ่ม หากใครโดนไอเย็นเยือกของภูเขามังกรหิมะที่รวมตัวกันในฝ่ามือมังกรหิมะซัดเข้า แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายก็จะถูกแช่แข็ง ต่อให้สามารถขับออกมาได้ เส้นสายลมปราณก็จะเสียหาย ซึ่งหมายความว่าชายหนุ่มจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะไม่สามารถเข้าร่วมศึกมังกรหงส์ได้อีกต่อไป…
ขณะที่เกล็ดหิมะกวาดตัวทางด้านหลัง มู่เฉินก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ทว่าไฉ่เซียวที่นั่งตรงข้ามเขากลับดวงตาหดเกร็งลงทันที
เพราะนางเห็นว่าม่านตาสีดำของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท พริบตาสีหน้าก็เรียบเฉยลง ไม่มีความแจ่มใสเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
นอกจากนี้หากคลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินก่อนหน้าแสดงสัญญาณพลุ่งพล่าน ตอนนี้คลื่นหลิงรอบกายเขากลับหดหายอย่างรวดเร็ว
นั่นไม่ได้หมายความว่าคลื่นหลิงของมู่เฉินอ่อนกำลังลง แต่หมายความว่าตอนนี้เขาเข้าควบคุมคลื่นหลิงได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
มือเรียวของมู่เฉินยกถ้วยชาขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ขณะที่ไอเย็นเยือกน่ากลัวกวาดทางด้านหลัง แม้แต่บนเส้นผมยังมีเกล็ดหิมะเกาะอยู่
ในหอหลงเฟิ่ง จอมยุทธ์จำนวนมากมีสายตาประหลาดใจเมื่อเห็นว่าตอนนี้มู่เฉินสงบนิ่งเพียงใด เขาไม่รู้หรือว่าการโจมตีถึงชีวิตที่มาจากทางด้านหลังกำลังจะถึงตัวอยู่แล้ว?
แต่ดูจากคลื่นหลิงรอบกายมู่เฉิน ดูเหมือนเขาจะไม่มีเจตนาป้องกันตัวเองเลย
“เจ้านั่นคิดทำอะไรน่ะ? เรียกร้องความตายงั้นหรือ?” บางคนถึงกับพึมพำอย่างงุนงง
ฉากผิดปกตินี้ดึงดูดเสียงซุบซิบน่าสงสัย มากจนแม้แต่ได้ยินเสียงอุทานเบาบางมาจากคนจำนวนหนึ่งที่อยู่มุมมืดบนชั้นสูงขึ้นไป
“ในเมื่อรนหาที่ตายเอง แกก็โทษข้าไม่ได้!”
การโจมตีของหลู่หยางมาถึงราวกับสายฟ้าแลบขณะที่แสยะยิ้มน่าขนลุกที่มุมปาก ตอนนี้สายไปแล้วที่มู่เฉินจะปกป้องตัวเอง
ไม่คิดว่าจอมยุทธ์หนุ่มตัวแทนอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะโง่เง่าเช่นนี้! ดูเหมือนครั้งนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะกลายเป็นตัวตลกอีกรอบแล้ว
ตู้ม!
ทว่าจังหวะที่เส้นโค้งผุดบนมุมปากของหลู่หยาง มิติตรงหน้าเขาก็บิดเบี้ยว เสียงฟ้าร้องเขย่าประสาทฉีกผ่านปราการป้องกันไปอย่างน่าประหลาด ระเบิดขึ้นที่ส่วนลึกของหัวใจ
การปรากฏของเสียงฟ้าคำรนที่ดังขึ้นช่างผิดแผก หลู่หยางไม่ทันได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาก็สูญเสียการควบคุมคลื่นหลิงในร่าง ไร้การควบคุมสติก็พลันว่างเปล่า
พรูด!
เลือดคำหนึ่งพ่นออกจากปากหลู่หยางโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ขณะฝ่ามือมังกรหิมะแตกสลายกลายเป็นเกล็ดหิมะกระจายในอากาศ ทวารทั้งเจ็ดยังปรากฏรอยเลือดไหลซึม
ในที่สุดมู่เฉินก็หันหน้ามาเผชิญกับเกล็ดหิมะที่พัดใส่ เขาก้าวไปก้าวหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าหลู่หยางราวกับภูตผี ก่อนจะตบฝ่ามือบนหน้าอกอีกฝ่ายเบาๆ
บึ้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออก ร่างหลู่หยางก็ลอยละลิ่ว เลือดสดพุ่งออกมาอย่างรุนแรงเป็นทางยาวบนพื้นหอ ก่อนที่ตัวเขาจะทะลุหน้าต่างกระเด็นออกไปนอกหอด้วยเสียงดังสนั่น
ทั้งหอเงียบกริบทันที
สายตาตกตะลึงพุ่งตรงมาที่ร่างสูงโปร่ง ภาพเมื่อครู่ช่างผิดปกตินัก มู่เฉินเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรเลยแต่การโจมตีของหลู่หยางกลับทำลายด้วยตัวเอง มิหนำซ้ำเขายังมีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดอีกด้วย
“เขาทำอะไรไปน่ะ?” จอมยุทธ์จำนวนมากอึ้งตะลึงไปพร้อมกับสีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลง การเอาชนะหลู่หยางได้ในกระบวนท่าเดียวเป็นสิ่งที่มีคนไม่มากนักในหอหลงเฟิ่งทำได้
จอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่มาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์คนนี้ ไม่ใช่ท้าได้ง่ายๆ
บางคนแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นดวงตาที่มองไปยังร่างนั้นก็มีแววหวาดกลัวเพิ่มเข้ามา
ชั้นบนก็เงียบกริบลงเช่นกัน ขณะที่หลิ่วเหยียนสายตามืดครึ้ม หญิงสาวชุดแดงกลับมีดวงตาเป็นประกายก่อนจะมองมู่เฉินด้วยแววครุ่นคิด มิหนำซ้ำยังมีสายตาประหลาดใจหลายคู่จากชั้นบนมองลงมาอีกด้วย
“น่าสนใจ” บางคนเอ่ยความเห็นเบาๆ
ขณะที่หอหลงเฟิ่งตกอยู่ในความเงียบ ดวงตาสีดำประหลาดของมู่เฉินก็ค่อยๆ กลับสู่สภาพปกติ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่หลิ่วเหยียนด้วยแววเย็นเยือก เสียงเรียบเฉยกระจายออกมา
“ตอนนี้ แกจะลงมือเองได้หรือยัง?”
รอยร้าวพล่านบนถ้วยชาในมือของหลิ่วเหยียนเงียบๆ ก่อนจะแตกกระจายเป็นผุยผงร่วงกราวลงมา เขาสะบัดมือไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
เมื่อร่างเขาลุกขึ้น บรรยากาศในหอหลงเฟิ่งก็ตึงเครียดลงทันที
จอมยุทธ์น่าสะพรึงอันดับสี่ของบันทึกมังกรหงส์กำลังจะลงมือเองแล้วหรือ?
ตอนที่ 773
ซูปี้เยี่ยและหงหยู
ที่ชั้นบนของหอหลงเฟิ่งหลิ่วเหยียนยืนขึ้น
ร่างเขาไม่ได้ใหญ่โต แต่กลับทำให้บรรยากาศในหอหลงเฟิ่งบีบกดอย่างรุนแรง
รัศมีกดดันไร้รูปลักษณ์กระจายออกไปบางจาง นี่คือแรงกดดันที่มาจากหลิ่วเหยียน
ในฐานะจอมยุทธ์อันดับสี่ของบันทึกมังกรหงส์ เกียรติยศของหลิ่วเหยียนในภูมิภาคทางเหนือก็ล้ำเลิศกว่ามู่เฉินหลายเท่า ในสายตาของคนจำนวนมาก ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
แม้มู่เฉินจะใช้กลยุทธ์ฉับไวในการเอาชนะหลู่หยาง แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเขาคือคู่ต่อสู้ของหลิ่วเหยียน
หลิ่วเหยียนยืนอยู่บนที่สูงมองลงมาที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส ไอเย็นเยือกรวมตัวกันในดวงตา แรงกดดันที่มาจากเขาพุ่งซัดไปที่มู่เฉินทั้งหมด
บรรยากาศรอบกายมู่เฉินราวกับแข็งค้างฉับพลัน แรงกดดันคลื่นหลิงที่กดทับลงมาจากด้านบนราวกับจะครอบงำเขาเอาไว้
ด้วยพลังของหลิ่วเหยียน หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามธรรมดา คงมีสภาพน่าอนาถจากแรงกดดันคลื่นหลิงไปแล้ว แต่เห็นชัดว่ามู่เฉินไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนพวกนั้น
สายฟ้าแล่นแปลบปลาบบนร่างมู่เฉิน ขณะเสียงฟ้าคำรามดังแว่วออกมาจากร่างกาย เมื่อแรงกดดันคลื่นหลิงปกคลุมลงมา ก็ไม่ได้สร้างแรงกดดันให้เขาแม้แต่น้อย
ทั้งคู่ประสานสายตากันกลางอากาศ ไอเย็นเยือกแผ่ซ่านทำให้อุณหภูมิในหอหลงเฟิ่งลดต่ำลง
“ดูเหมือนแกจะพัฒนาขึ้นจากครั้งล่าสุดนะ มิน่าล่ะถึงกล้าอวดเบ่งเช่นนี้!” หลิ่วเหยียนพูดเสียงเย็นชา น้ำเสียงอัดแน่นด้วยรังสีสังหาร จากนั้นสายตาเขาก็เปลี่ยนเป็นคมกริบพร้อมกับงอนิ้วทั้งสองชี้ลง
“แต่แค่ระดับจื้อจุนขั้นสามของแก ยังไม่มีสิทธิ์มาโอหังต่อหน้าข้า”
ตู้ม!
ทันทีที่หลิ่วเหยียนชี้นิ้วลง วงคลื่นที่มองเห็นได้ก็ก่อตัวขึ้นในมิติ จากนั้นแสงสีแดงก็กวาดตัวออกมาราวกับเปลวไฟลุกโชน
“ดัชนีปีศาจผลาญ”
เมื่อเสียงเย็นเยือกของหลิ่วเหยียนดังขึ้น ดัชนีใหญ่หนาก็ก่อตัวจากแสงสีแดงแล้วกวาดออก เปลวไฟลุกโชนพร้อมกับอุณหภูมิสูง ทำให้ทั้งหอหลงเฟิ่งแห้งร้อนไปหมด
ตู้ม!
เมื่อดัชนีขนาดใหญ่ควบแน่นก็ทะลวงผ่านมิติบดขยี้ลงมาหามู่เฉิน
จอมยุทธ์ที่อยู่ใกล้มู่เฉินถอยกรูด เนื่องจากกลัวโดนลูกหลงจากการโจมตีทรงพลังของหลิ่วเหยียน ทว่าไฉ่เซียวกลับไม่เคลื่อนไหวใดๆ
นางยิ้มมองการปะทะพลัง แต่ไม่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือ ดวงตากระจ่างใสเปี่ยมไปด้วยความสนใจ
ครืน!
มองดัชนีเพลิงขนาดใหญ่ที่กดลงมา ม่านตาสีดำของมู่เฉินก็สงบนิ่ง อึดใจก็กำหมัดทั้งคู่ คลื่นหลิงแตกต่างกันสองสายปะทุออกจากฝ่ามือ
โฮก!
เสียงมังกรและคชสารคำรามลั่นในเวลาเดียวกัน ขณะที่ลำแสงทั้งสองพุ่งออกจากฝ่ามือของมู่เฉิน ก่อร่างเป็นมังกรและคชสารไขว้ที่เบื้องบน ควบแน่นจนกลายเป็นจานแสงมังกรคชสารปะทะกับดัชนีเพลิง
ปัง!
เสียงปะทะดังสนั่นขณะคลื่นหลิงรุนแรงกวาดออก ทำให้เกิดระลอกคลื่นในมิติ ก่อนที่จานแสงมังกรคชสารจะระเบิดออกด้วยแสงเจิดจ้าสลายลงไปพร้อมกับดัชนีเพลิง
ระลอกคลื่นหลิงกวาดเข้าใส่ทั้งสอง แต่ก็สลายลงในพริบตา
ความผันผวนของคลื่นหลิงกลางอากาศค่อยๆ จางหายไป สายตาของหลิ่วเหยียนก็เปลี่ยนเป็นคมกริบ แม้ว่านี่จะเป็นการโจมตีแบบปกติ แต่พลังนั่นก็เพียงพอที่จะสยบจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามทุกคน แต่ว่ากลับถูกมู่เฉินสลายลงได้อย่างง่ายดาย เห็นชัดว่าเขาไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้
ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นกระแทกที่น่าตกใจและไอเย็นเยือกจากหลิ่วเหยียน ทำให้สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที
หญิงสาวชุดแดงที่ด้านข้างมีดวงตาวูบไหว แต่นางเลือกที่จะไม่ทำอะไรรับบทผู้สังเกตการณ์อย่างเดียว นางไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหลิ่วเหยียนมาก แม้ว่าชายหนุ่มอ่อนวัยที่ชื่อมู่เฉินจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น แต่คนที่คิดรอบคอบแบบนางย่อมไม่ประมาทเขา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่สุดที่นางจะไม่ลงไปในน้ำที่ไม่รู้ความลึกชัดเจน
สายตามู่เฉินมองหลิ่วเหยียนด้วยประกายเย็นเยือกแล่นพล่าน เขารู้ว่าไม่ใช่เรื่องฉลาดหากต่อสู้กันที่นี่ แต่ถ้าหลิ่วเหยียนต้องการจริงๆ ละก็ เขาก็ไม่ขัดที่จะทำให้รู้ว่าคนอ่อนแอในสายตาของหลิ่วเหยียนไม่ได้เขี้ยวง่ายอย่างที่คิด
“ถ้าแกไม่อยากโดนโยนออกจากหอหลงเฟิ่งก็รีบไปด้วยตัวเองซะ” หลิ่วเหยียนมองมู่เฉินจากที่สูงพลางชี้ไปที่ประตูเอ่ยเสียงเบา
มู่เฉินยิ้มอ่อนตอบ “ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนประมุขน้อยหลิ่วเหยียนทำเองแล้ว”
“อวดดี!”
ดวงตาของหลิ่วเหยียนเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกสุดขีด เขาเคลื่อนไหว คลื่นหลิงน่ากลัวก็กวาดออกจากร่างราวกับพายุ พร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ร่างของเขาก็เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งใส่มู่เฉิน
เขาลงมือจริงแล้ว
มู่เฉินหรี่ตาลงขณะที่มิติเบื้องหลังผันผวนพร้อมกับจุดจื้อจุนไห่ปรากฏเลือนราง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ซ่านในมือ คลื่นหลิงแตกต่างกันสองชนิดรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เสียงมังกรกับคชสารคำรามดังก้องในจุดจื้อจุนไห่
ร่างของมู่เฉินเร้ากระแสไฟฟ้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระทืบเท้าทะยานตัวขึ้นพุ่งตรงไปที่หลิ่วเหยียนแบบไม่ยั้ง
ภายในหอหลงเฟิ่ง จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนอกสั่นขวัญแขวนกับภาพนี้ หรือว่าก่อนจะเปิดศึกมังกรหงส์ การต่อสู้ระดับสูงจะระเบิดขึ้นที่นี่ก่อนแล้ว?
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนในหอหลงเฟิ่ง ร่างคนทั้งสองก็โรมรันพันตูกัน ทว่าขณะที่ทั้งคู่กำลังจะฟาดกัน เสียงนุ่มนวลก็ดังก้อง
“จอมยุทธ์ทั้งสอง หอหลงเฟิ่งไม่ใช่สถานที่ต่อสู้ หยุดซะเถอะ”
ขณะที่เสียงนุ่มนวลดังสะท้อน แสงสีขาวก็พลิ้วลงมาจากฟ้า ยืนอยู่ระหว่างมู่เฉินกับหลิ่วเหยียน แสงสีขาวอ่อนโยนกระจายออกมาหยุดการเคลื่อนไหวของทั้งสองเอาไว้
แม้พลังนี้ไม่อาจหยุดทั้งสองได้จริง แต่ดวงตาของหลิ่วเหยียนก็หดลงเมื่อเสียงนั้นดังขึ้น เขาหยุดกระบวนท่าทะยานถอยกลับขึ้นไปยังชั้นบน
มู่เฉินก็พลิ้วตัวลงบนพื้น คลื่นหลิงรอบตัวสลายไป สายตามองไปทางด้านซ้ายมือเบื้องบน ก็เห็นโฉมสะคราญคนหนึ่งยืนอยู่
นางสวมชุดขาว มีรูปลักษณ์ทรงเสน่ห์ไม่แพ้สาวชุดแดง หว่างคิ้วของนางมีลวดลายสีแดงวาดเอาไว้ทำให้นางดูราวกับเทพธิดาจำแลงลงมา
เมื่อนางปรากฏตัว มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนภายในหอหลงเฟิ่ง สายตามากมายอัดแน่นด้วยความชื่นชอบลึกซึ้ง
“ทั้งสอง หอหลงเฟิ่งกำลังจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเขตหลงเฟิ่งครั้งนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะหยุดลงมือกันก่อน” หญิงสาวชุดขาวยิ้มบางขณะมองทั้งสองคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ฮ่าๆ เทพธิดาซูปี้เยี่ยนี่เอง” หลิ่วเหยียนมองหญิงสาวชุดขาวก็เผยรอยยิ้มสง่างามบนใบหน้าพร้อมกับพยักหน้า “ในเมื่อเทพธิดาเอ่ยปากเช่นนี้ ข้าก็จะปล่อยมันไปก่อนแล้วกัน”
ที่เบื้องล่าง มู่เฉินหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว พอได้ยินเสียงหัวเราะ สายตาของหลิ่วเหยียนก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยือก แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ลงมือใดๆ ทว่ารังสีสังหารที่มีต่อมู่เฉินกลับแรงกล้าขึ้นในหัวใจ
มู่เฉินไม่สนใจหลิ่วเหยียน เพราะเขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายก็แค่หาทางลงให้ตัวเองเท่านั้น หอหลงเฟิ่งเต็มไปด้วยพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน อย่างน้อยก็มีรัศมีสิบสายที่มู่เฉินรู้สึกว่าเป็นอันตราย ซึ่งหลิ่วเหยียนก็น่าจะสัมผัสได้เช่นกัน
หากเขาต้องปะทะกับมู่เฉินที่นี่จริง ไม่ว่าใครจะชนะก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ เมื่อถึงตอนนั้นอาจถูกคนอื่นคว้าผลประโยชน์ซะอีก เพราะพวกเขารู้ดีว่าทุกคนเป็นคู่แข่งทันทีที่เข้าไปในเขตหลงเฟิ่ง ยิ่งคู่แข่งทรงพลังอย่างหลิ่วเหยียนจะกลายเป็นเป้าให้ทุกคนเลือกที่กำจัดก่อนหากมีโอกาส
แต่สิ่งที่มู่เฉินไม่คาดฝันก็คือสตรีชุดขาวผู้นี้คือจอมยุทธ์อันดับสามของบันทึกมังกรหงส์ เทพธิดาจากยอดเขาหมื่นเทพ—ซูปี้เยี่ย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางถึงมีพลังน่าตกใจขนาดนี้
“คิกๆ พี่สาวซู ทำไมถึงหยุดการแสดงดีๆ แบบนี้ซะล่ะ น่าผิดหวังนัก” เสียงหัวเราะอ่อนโยนดังออกมา สตรีชุดแดงมองซูปี้เยี่ยด้วยดวงตาหรี่แคบลง เรียวคิ้วที่มีเสน่ห์ทำให้คนอื่นๆ ถึงกับกลืนน้ำลายอย่างควบคุมไม่อยู่
“ถ้าเจ้าต้องการละครดี ๆ ก็มีไม่ขาดในเขตหลงเฟิ่ง ถึงตอนนั้นน้องหงหยูก็น่าจะสนุกได้สบาย” ซูปี้เยี่ยเอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้มบาง
“นั่นก็ดี แต่ครั้งนี้พี่สาวต้องระวังไว้ด้วยนะ ถ้ายังใช้ลูกไม้ตื้นๆ เหมือนครั้งก่อนเจ้าไม่สามารถเอาชนะได้แล้วนะ” หงหยูหัวเราะเบา
“ข้าก็หวังว่าอย่างนั้น” ซูปี้เยี่ยพยักหน้า
เมื่อหญิงสาวทั้งสองพูดคุยกัน ก็ทำเอาหอหลงเฟิ่งเงียบกริบยิ่งกว่าเดิม ทุกคนรู้สึกว่ามีใบมีดที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของพวกนาง แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายนัก เรื่องกินแหนงระหว่างซูปี้เยี่ยกับหงหยูเป็นที่รู้กันดีในภูมิภาคทางเหนือ ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากสนใจการต่อสู้ระหว่างสตรีทรงเสน่ห์ทั้งสองมากกว่ามู่เฉินกับหลิ่วเหยียน
มู่เฉินไม่สนใจความขัดแย้งของพวกนาง หลังจากเห็นว่าหลิ่วเหยียนไม่คิดจะสู้ต่อ เขาก็ตัดสินใจกลับไปนั่งที่
“สหายจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ถ้าเจ้าสนใจ ข้าใคร่เชิญเจ้าขึ้นไปที่ชั้นบนได้หรือไม่?” ขณะที่มู่เฉินกำลังหันหลังกลับ สายตาของซูปี้เยี่ยก็พุ่งตรงมาหาพร้อมกับรอยยิ้มบาง
ดูจากท่าทางของนางแล้ว ดูเหมือนจะสนใจในตัวของมู่เฉินไม่น้อย
“คิกๆ น้องชายสุดหล่อ มานั่งกับพี่สาวคนนี้ไหม?” หงหยูพุ่งสายตาทรงเสน่ห์ไปยังมู่เฉิน เรียวคิ้วที่ยกขึ้นทำให้กระดูกของคนมองอ่อนลงได้เลยทีเดียว
ควับ!
ในหอหลงเฟิ่ง สายตานับไม่ถ้วนยิงตรงมาที่มู่เฉิน แววริษยาในตาไม่อาจปกปิดได้เลย
มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมุมปากกระตุก พวกเจ้าสองคนทะเลาะกันแล้วเอาข้าเข้าไปเกี่ยวด้วยทำไม ถ้าไม่ดีขึ้นมาอาจทำให้เขากลายเป็นศัตรูทุกคนเลยนะ
เวลาแบบนี้ไม่ว่าเขาจะเลือกใครก็จะท้าทายบางคนเข้าให้
มู่เฉินเลือกที่จะท้าทายหลิ่วเหยียนมากกว่าโฉมงามปานล่มเมืองที่มีทั้งพลังและเล่ห์กล… ความอันตรายของพวกนางมากกว่าหลิ่วเหยียนสักโยชน์หนึ่งได้
แต่ขณะที่มู่เฉินกำลังรู้สึกปวดหัวกับสถานการณ์ ไฉ่เซียวที่นั่งดูอยู่จากด้านข้างก็ยิ้มบาง รอยยิ้มนั้นทำให้สายตานับไม่ถ้วนในหอหลงเฟิ่งเปล่งประกายขึ้นมาทันที มากจนแม้แต่ดวงตาของซูปี้เยี่ยกับหงหยูยังต้องเบิกกว้างเพราะรอยยิ้มของหญิงสาว
จากนั้นเสียงกังวานใสของหญิงสาวก็กำจายไปทั่วหอหลงเฟิ่ง
“พี่สาวทั้งสอง พวกเจ้าคิดจะแย่งเขาไปจากข้าหรือ?”
ตอนที่ 774
สระมังกรหงส์
ภายในหอหลงเฟิ่ง
เมื่อเสียงกระจ่างใสของไฉ่เซียวดังขึ้น สายตานับไม่ถ้วนก็พุ่งตรงไปที่มู่เฉินราวกับลูกศร ท่าทางราวกับจะยิงร่างเขาให้พรุนไปเลยทีเดียว
หญิงสาวทั้งสามคนจัดว่าเป็นหญิงงามปานล่มเมือง พวกนางพูดเรื่องเกี่ยวกับเขา การปฏิบัติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ชายทุกคนล้วนรู้สึกอิจฉาอยู่ในใจ
มู่เฉินรู้สึกหนาวเยือกขึ้นในหัวใจเมื่อสายตานับไม่ถ้วนประหนึ่งห่าศรซัดเข้าใส่ เขามองไฉ่เซียวอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ประสานมือให้ซูปี้เยี่ยและหงหยู “ข้าขอบคุณสำหรับข้อเสนอ แต่บนนั้นสูงเกินไปนัก ข้ากลัวว่าจะมีบางคนรับเรื่องนี้ไม่ได้ ดังนั้นข้าขอปฏิเสธ”
ในประโยคของเขาแฝงแววเย้ยหยันเบาๆ ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าเขากระแทกใส่ใคร ทันใดนั้นสายตาบางส่วนก็มองไปที่หลิ่วเหยียนที่มีท่าทางไม่แยแส
พอเห็นการปฏิเสธของมู่เฉิน ซูปี้เยี่ยและหงหยูก็ยิ้ม ไม่ได้ยืนกรานอะไร ทว่าสายตาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไฉ่เซียวอีกครั้ง หญิงสาวมักมีสัมผัสที่ไวต่อกัน เมื่อมองหญิงสาวคนนี้แล้ว พวกนางก็รู้สึกได้ถึงอันตรายเบาบาง
สัมผัสอันตรายนี้ทำให้หญิงสาวทั้งสองประหลาดบางเบา ด้วยพลังของพวกนาง คนที่ทำให้พวกนางรู้สึกเป็นอันตรายได้ในภูมิภาคทางเหนือมีจำนวนนับได้ในมือเดียว แล้วโฉมงามอ่อนวัยคนนี้มาจากไหนกัน?
ดวงตาของทั้งสองวูบไหวบางจาง จากนั้นพวกนางก็หันหลังกลับไปยังที่นั่งของตน
มู่เฉินกลับไปยังที่นั่งเช่นเดียวกัน เขายกถ้วยชาขึ้นอดไม่ได้ที่จะปรายตามองไฉ่เซียวที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เจ้าอยากให้ข้าตายเรอะ?”
ไฉ่เซียวเท้าคางด้วยสองมือคลี่ยิ้มบาง “ผู้หญิงสองคนนั่นทั้งสวยและอันตรายเกินไป ข้าช่วยเจ้าอยู่นะเนี่ย เผื่อว่าความหื่นจะนำความคิดของเจ้า”
“คนที่อันตรายที่สุดคือเจ้าต่างหาก”
มู่เฉินเหน็บแรง เขาพูดไม่ผิด แม้ซูปี้เยี่ยกับหงหยูจะไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ แต่คนตรงหน้าเขาคือคนที่อันตรายมากกว่าในทุกทางแน่นอน
“เพื่อนเนรคุณ” ไฉ่เซียวส่ายหน้าไปมาพลางเหลือบมองไปยังชั้นบนของหอหลงเฟิ่ง “จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ มีบางคนใช้ได้อยู่นะเนี่ย”
ดวงตามู่เฉินหดเกร็งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของนาง สายตาพุ่งตรงไปที่ชั้นบน นอกจากซูปี้เยี่ย หงหยูและหลิ่วเหยียนแล้ว เขายังสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงซ่อนเร้นจำนวนหนึ่ง หนึ่งในคลื่นเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาราวกับมีชิ้นส่วนน้ำแข็งพันปีซ่อนอยู่ในใต้พิภพ
เมื่อมู่เฉินสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงเย็นเยือกนั้น อีกฝ่ายก็เหมือนจะสังเกตเห็นเขาด้วยเช่นกัน ไอเย็นสุดขั้วใต้พิภพพุ่งเข้ามาราวกับอสรพิษร้ายกัดกร่อน ไอเย็นนั้นหากสัมผัสแม้เพียงนิดเดียวก็ทำให้เขาถูกกัดได้
เห็นชัดว่ามู่เฉินไม่คิดว่าคนคนนี้จะก้าวร้าวขนาดนี้ เขาทำแค่ตรวจสอบก็ถูกโจมตีกลับ ทันใดนั้นเขาจึงขมวดคิ้วถอนคลื่นหลิงกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อคลื่นหลิงถอยกลับ ก็นำพาไอหนาวเหน็บถึงกระดูกตามมา
เปลวเพลิงปะทุในนัยน์ตาของมู่เฉินขณะที่เพลิงอมตะพวยพุ่ง เผาไหม้รัศมีเยือกเย็นก่อนจะดึงคลื่นหลิงเข้ามาในร่างกาย ภายใต้การปกป้องของเพลิงอมตะ
“เย็นเยือกสุดขั้วอะไรแบบนี้” มู่เฉินมองมุมมืดของชั้นบน น้ำเสียงก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ตอนที่พวกเขาปะคลื่นพลังเงียบๆ เขาก็เดาตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว
ชายคนนี้คงเป็นอันดับสองของบันทึกมังกรหงส์องค์ชายโยวหมิงจากจวนยมโลก
“อันดับหนึ่งฟังยี่ยังไม่แสดงตัวรึ?” มู่เฉินพึมพำในใจเนื่องจากสัมผัสไม่ได้ถึงคลื่นหลิงอีกกลุ่มที่ทรงพลังมากกว่าโยวหมิงเลย มีสองเหตุผลในเรื่องนี้เท่านั้น หนึ่งฟังยี่ยังมาไม่ถึง หรือสองเขาก็เก็บคลื่นหลิงไว้หมดจดกับตัวจนถึงจุดที่มู่เฉินสัมผัสเขาไม่ได้
ถ้าเป็นข้อหลัง ฟังยี่จะต้องมีฝีมือน่าสะพรึงมากแน่นอน
สายตาของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน จอมยุทธ์ที่มีอันดับในบันทึกมังกรหงส์ไม่อาจประมาทได้จริง นอกจากนี้การจัดอันดับก็เป็นเรื่องสร้างขึ้น จึงไม่น่าเชื่อถือมากนัก ใครจะรู้ว่าจอมยุทธ์ที่มีนอันดับต่ำกว่าหลิ่วเหยียนอาจเป็นคู่ต่อสู้ที่โค่นยากยิ่งกว่าก็ได้
ดูท่าแม้แต่เขายังไม่มั่นใจว่าจะสามารถยกตัวขึ้นให้โดดเด่นในศึกครั้งนี้ได้หรือไม่แล้ว
บรรยากาศในหอหลงเฟิ่งกลับคืนสู่ปกติ แต่ครั้งนี้สายตาที่พุ่งมาทางมู่เฉินด้วยแววดูถูกในตอนแรกกลับปรากฏแววหวาดกลัวเล็กน้อย จากการปะทะพลังสั้นๆ ระหว่างมู่เฉินกับหลิ่วเหยียนเมื่อสักครู่ก็ทำให้พวกเขารู้แล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่จะสามารถท้าทายได้
สายตาเหล่านั้นทำให้มู่เฉินรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แม้เขาจะเผยพลังส่วนหนึ่งตอนที่สู้กับหลิ่วเหยียน แต่ก็คุ้มค่ากับราคาหากสามารถช่วยป้องกันปัญหาไม่จำเป็นที่จะเข้ามาหาเขาได้
ขณะที่มู่เฉินกำลังประเมินว่าจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมศึกมังกรหงส์ครั้งนี้แข็งแกร่งเพียงใด เสียงระฆังดังกังวานก็สะท้อนในหอ ทันใดนั้นบรรยากาศในหอหลงเฟิ่งก็เงียบไป
สายตาร้อนใจจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งไปที่ชั้นบน ร่างชราร่างหนึ่งเดินออกมา เมื่อเขาปรากฏตัว ทุกสายตาก็พุล่งพล่าน
“ฮ่าๆ ดูเหมือนศึกมังกรหงส์ครั้งนี้คึกคักน่าดูนะนี่…”
ชายชรามองคนรุ่นเยาว์ที่มีท่าทางดุดันก็คลี่ยิ้ม “ทุกคน ตาแก่คนนี้คือประมุขหอหลงเฟิ่ง—มู่ฉิว”
“คารวะประมุขมู่”
แม้ว่าจอมยุทธ์ที่มาที่นี่เป็นชนชั้นสูงในภูมิภาคทางเหนือ พวกเขาก็ยังแสดงความเคารพด้วยมารยาทสูง มู่ฉิวไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาในภูมิภาคทางเหนือ แม้หอหลงเฟิ่งจะเป็นแค่ขั้วอำนาจชั้นรองเนื่องจากมีสมาชิกน้อย แต่ระยะเวลาการมีอยู่ของหอหลงเฟิ่งก็เป็นสิ่งที่สำนักไม่กี่แห่งจะสามารถเทียบได้
หอหลงเฟิ่งปกป้องเมืองหลงเฟิ่งเท่านั้น ไม่มีความคิดที่จะขยายอาณาเขต พวกเขาจึงมีศัตรูไม่มาก ดังนั้นจึงมีคนไม่มากนักที่คิดจะรุกรานพวกเขาง่ายๆ
“ผู้อาวุโสมู่ โปรดให้คำแนะนำเกี่ยวกับสถานการณ์ในเขตหลงเฟิ่งตอนนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ” ซูปี้เยี่ยแห่งยอดเขาหมื่นเทพถาม
จากที่ร่ำลือวิยายุทธของหอหลงเฟิ่งมีต้นกำเนิดมาจากเขตหลงเฟิ่ง ดังนั้นพวกเขาสามารถตรวจสอบได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายใน ทุกครั้งที่เขตหลงเฟิ่งเปิดออก พวกเขาก็จะให้ข้อมูลว่าพบเจออะไรบ้าง
“ฮ่าๆ นั่นก็แน่นอน”
มู่ฉิวยิ้มอบอุ่นเอ่ยต่อ “ทุกคนเข้าไปในเขตหลงเฟิ่งคงเพื่อตามหาเลือดมังกรแท้จริงกับหงส์ฟ้าแท้จริงสินะ แต่สถานการณ์ภายในสุสานมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นทุกครั้งที่เปิดตัว สถานการณ์ภายในก็จะแตกต่างจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง”
“ข้ามีข่าวไม่ดีนักมาจะบอกกับพวกเจ้า นั่นก็คือมีสระมังกรหงส์ห้าบ่อในเขตหลงเฟิ่งครั้งนี้เท่านั้น”
“อะไร? สระมังกรหงส์ปรากฏแค่ห้าบ่อเรอะ?” เสียงอุทานดังขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว สีหน้าทุกคนดูน่าเกลียดไป
“อะไรคือสระมังกรหงส์?” ไฉ่เซียวมองมู่เฉินกระซิบถามเสียงต่ำ
“ตามตำนานเล่าว่าในยุคโบราณ กระดูกของมังกรแท้จริงกับหงส์ฟ้าแท้จริงกระจัดกระจายไปทั่วเขตหลงเฟิ่งตอนที่พวกมันตาย เพราะสาเหตุนี้กระดูกบางส่วนของเทพอสูรทั้งสองจึงเกิดการปะทะกัน ก่อตัวเป็นสระมังกรหงส์ที่แปลกประหลาดขึ้น สัตว์อสูรทุกชนิดอยู่ในเขตหลงเฟิ่งล้วนมีเลือดของมังกรแท้จริงกับหงส์ฟ้าแท้จริงผสมอยู่น้อยนิด เมื่อเทเลือดของพวกมันลงในสระมังกรหงส์ และยืมพลังที่อยู่ในกระดูกของมังกรแท้จริงกับหงส์ฟ้าแท้จริง คนคนนั้นก็จะสามารถชำระกายามังกรพรางหรือกายาหงส์ฟ้าพรางได้” มู่เฉินอธิบาย
“กายามังกรพรางและกายาหงส์ฟ้าพราง?” แพขนตายาวของไฉ่เซียวกะพริบวิบวับ
“ใช่ เพราะสถานที่สำคัญของเขตหลงเฟิ่งคือจัตุรัสมังกรหงส์ที่อยู่ลึกลงไป คนที่มีคุณสมบัติขึ้นสู่จัตุรัสมังกรหงส์ได้จะต้องครอบครองกายามังกรพรางหรือกายาหงส์ฟ้าพราง… นั่นก็หมายความว่าหากคนคนนั้นต้องการได้รับสมบัติที่แท้จริง พวกเขาก็จะต้องชำระร่างในสระมังกรหงส์วิธีเดียวเท่านั้น” มู่เฉินพยักหน้า
“ว่ากันว่าครั้งที่แล้วมีสระมังกรหงส์เก้าสระ ไม่คิดว่าครั้งนี้จะมีจำนวนน้อยลงเหลือแค่ห้าสระ” มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นี่เท่ากับว่าเป็นการราดน้ำมันบนกองไฟ ดูเหมือนการแข่งขันในเขตหลงเฟิ่งครั้งนี้จะโหดร้ายยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว
ไฉ่เซียวพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน มู่ฉิวก็โบกมือสยบความวุ่นวายภายในหอหลงเฟิ่งไว้ จากนั้นก็สะบัดมือเหี่ยวย่นเบาๆ หน้าจอแสงเผยออกมาตรงหน้า เค้าร่างดูเหมือนจะเป็นแผนที่ที่มีจุดแสงห้าจุดปรากฏอยู่เลือนราง
“นี่คือตำแหน่งของสระมังกรหงส์ทั้งห้าที่ทางเราสำรวจเจอ” มู่ฉิวเอ่ย สายตาทุกคนก็หดเกร็ง แสงหลิงเปล่งประกายในดวงตา ทุกคนรีบสลักภาพแผนที่ไว้ในใจ
มู่เฉินจ้องไปที่หน้าจอแสงเช่นเดียวกันและรีบจดจำเอาไว้ แม้ว่าแผนที่นี้จะเลือนรางมาก แต่ก็ยังดีกว่าตาบอดคลำทางไปทั่ว
ไฉ่เซียวมองแผนที่พลางครุ่นคิด จากนั้นก็ถามขึ้น “พวกเขาใช้วิธีไหนสำรวจตำแหน่งของสระมังกรหงส์กันน่ะ?”
มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “ว่ากันว่าทักษะที่หอหลงเฟิ่งได้มาจากเขตหลงเฟิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถสำรวจคร่าวๆ ผ่านมิติได้”
“นั่นหมายความว่าอาจจะไม่ได้มีสระมังกรหงส์แค่ห้าสระถูกไหม? หากข้าเดาถูก ระหว่างสระมังกรหงส์พวกนั้นยังมีระดับพลังแตกต่างกันด้วย…” ไฉ่เซียวยิ้มบาง
มู่เฉินตะลึงไปเมื่อได้ยินคำพูดของนางจากนั้นพยักหน้าอย่างจริงจัง “ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่อันตรายมีอยู่ทั่วเขตหลงเฟิ่ง มีสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนที่ทรงพลังเนื่องจากได้มรดกจากมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง พวกมันอาจมีสติปัญญาไม่สูง แต่พลังน่ากลัวอย่างยิ่ง การเดินไปดุ่มโดยไม่ระมัดระวังเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายมาก ดังนั้นโดยทั่วไปจึงไม่มีใครกล้าออกสำรวจมากกว่านั้น”
ไฉ่เซียวจับปอยผมเบาๆ รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ผุดบนใบหน้าน่าหลงใหล นางจ้องมองมู่เฉินพลางเอ่ย “ข้ามีวิธีที่จะมองหาสระมังกรหงส์ที่ทรงพลังมากกว่านี้ เจ้าอยากลองดูไหม?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น