The Great Ruler 757-764

 ตอนที่ 757

 

 หั่วเม่ยเอ๋อ

ตู้ม!


ในส่วนลึกของทะเลลาวา ลาวาแหวกออกจากกันอย่างรุนแรงด้วยความรวดเร็วขณะเสียงกึกก้องดังออกมา ภายในนั้นร่างคนคนหนึ่งที่ปกคลุมด้วยเพลิงสีม่วงเข้มก็พุ่งผ่านอย่างรวดเร็ว


ไม่ไกลจากร่างที่กำลังหนีตาย ลาวาก็แหวกออกยามสัตว์ครึ่งแมงป่องครึ่งอสรพิษไล่ตามมาด้วยความเร็วน่าตกใจ


แม้สัตว์ตัวนี้จะมีขนาดใหญ่ แต่ความเร็วราวกับวิญญาณสร้างความรู้สึกหนาวเยือกในใจของผู้คนนัก


ฝ่ายหนึ่งวิ่งหนีฝ่ายหนึ่งไล่ตาม นี่ก็คือมู่เฉินและแมงป่องอสรพิษลึกลับนั่นเอง


ตอนนี้มู่เฉินมีสีหน้าน่าเกลียดมาก เนื่องจากเขาไม่คิดว่าตนเองจะดวงจู๋ขนาดนี้ เขาเพิ่งจะลงไปในส่วนลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้า ดันเหยียบเข้าไปในเขตแดนของแมงป่องอสรพิษได้


ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงการล่าอสรพิษเพลิงวิญญาณเลย แค่ไม่ถูกฆ่าด้วยแมงป่องอสรพิษตัวนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว


“หนีก่อน!”


มู่เฉินขบฟันเร่งความเร็วขึ้นอีก เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แผ่มาจากด้านหลัง ทำให้เขารู้ซึ้งว่าแมงป่องอสรพิษลึกลับนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสู้ได้ด้วยพลังที่มีในตอนนี้


กีด!


เมื่อเห็นมู่เฉินเร่งความเร็วหลบหนี แมงป่องอสรพิษก็ไม่ได้เร่งรีบ กลับส่งเสียงร้องที่เหมือนผ่อนคลายออกมา ดูจากท่าทางมันเห็นมู่เฉินเป็นอาหารพร้อมกินวางบนจานแน่แล้ว


หนึ่งมนุษย์กับหนึ่งแมงป่องอสรพิษพุ่งผ่านส่วนลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้าอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางก็ปะหน้ากับอสรพิษเพลิงวิญญาณไม่น้อย แต่เมื่อพวกมันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากแมงป่องอสรพิษเบื้องหลังมู่เฉิน แต่ละตัวก็หนีกันกระเจิดกระเจิง ภาพนี้ที่ยิ่งทำให้หัวใจของมู่เฉินหนาวเยือกขึ้นอีก เนื่องจากนี่แสดงให้เห็นว่าแมงป่องอสรพิษตัวนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน


ทำไมเขาถึงได้มาแหย่เจ้าถิ่นเข้าให้แล้ว…


มู่เฉินอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ทว่าก่อนที่เขาจะคร่ำครวญถึงความโชคร้ายของตัวเองก็มีเสียงลมคมกริบวูบหนึ่งดังจากด้านหลังทำเอาเขาขนลุกชัน


เขาเหลือบมองทางหางตาก็เห็นแสงสีแดงพุ่งตรงมาทางทิศของตัวเอง หางแหลมคมของแมงป่องที่ทำให้คนได้เห็นขนพองสยองเกล้าส่องประกายวาบวับเย็นเยือก


มู่เฉินกำมือเสาปีศาจพุ่งออกมา จากนั้นมือเขาก็พลิกมือกลับฟาดใส่หางแมงป่องเต็มแรง


เคร้ง!


เสียงโลหะระเบิดออกพร้อมกับพลังงานน่าสะพรึงกลัวกวาดออก ทำให้เลือดไหลออกจากง่ามมือของมู่เฉินทันที ริ้วเลือดสายหนึ่งก็ไหลออกจากมุมปาก มิหนำซ้ำร่างของเขายังกระเด็นออกไปด้วยพลังรุนแรงเกินต้าน


“ไอ้ตัวนี้เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเป็นอย่างน้อยเลยนะ!” มู่เฉินรู้สึกตกตะลึงในหัวใจ การโจมตีธรรมดายังทำให้เขาบาดเจ็บได้ขนาดนี้ แม้แต่กับหมู่ผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็นับได้ว่าแมงป่องอสรพิษลึกลับตัวนี้มีพลังที่น่าสะพรึง


การปะทะกันนี้ ทำให้มู่เฉินรู้ชัดว่าแมงป่องอสรพิษตัวนี้ทรงพลังเพียงใด เขาไม่กล้าปะทะกับมันอีก ด้วยการยืมแรงผลักนั้นก็พุ่งตัวออกไปอีกครั้ง


ส่วนแมงป่องอสรพิษก็ยังตามมาติดๆ แบบไม่เร็วไม่ช้า ไม่ว่ามู่เฉินจะเร่งความเร็วเพียงใดก็ไม่สามารถหลุดลอดจากรัศมีไปได้


เมื่อเวลาผ่านไปสีหน้าของมู่เฉินก็น่าเกลียดมากขึ้น เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าแมงป่องอสรพิษมองเขาเป็นเหยื่อที่มารังควาน มันต้องการทำให้เขาหมดแรงก่อนที่จะจับตัวเขาไว้


สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงวูบไหวขณะแสงเกรี้ยวกรารวมตัวกัน แม้ว่าแมงป่องอสรพิษจะมีพลังน่าสะพรึง แต่มันก็ไม่มีสติปัญญา ดังนั้นหากมู่เฉินสู้เต็มที่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสรอดเลย


ทว่าเขาจะต้องแลกกับราคาไม่น้อยเช่นกัน แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ไม่อาจมาสนเรื่องหยุมหยิมหรอก


มู่เฉินกัดฟันตัดสินใจลองเสี่ยงสักตั้ง ทว่าขณะที่เขากำลังจะระเบิดคลื่นหลิงออกมานั้น ลาวาเบื้องหน้าเขาก็ฉีกออกพร้อมกับร่างแสงทะยานมาทางเขาอย่างรวดเร็ว


ร่างที่เคลื่อนเข้ามาทำให้มู่เฉินอึ้งไปและยิ่งเมื่อเพ่งมองไปก็อึ้งอย่างสมบูรณ์


เพราะร่างแสงนั้นเป็นสตรีสวมชุดบางเบาเผยให้เห็นผิวขาว นางมีผมสีแดงร้อนแรงรูปร่างเย้ายวน แม้สถานการณ์ตอนนี้จะไม่ปกติ แต่เลือดในกายก็ยังคงสูบฉีดเพียงมองเห็นนางเท่านั้น


มิหนำซ้ำนางยังมีดวงหน้าที่น่าหลงใหล มีไฝเม็ดหนึ่งตรงมุมปากทำให้หญิงสาวผู้นี้มีเสน่ห์ชวนหลงใหลมากขึ้นอีกหลายส่วน


การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของโฉมงามในส่วนลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้า ทำให้มู่เฉินอึ้งไป แม้แต่ความเร็วก็ลดลงไปเช่นกัน


เมื่อความสนใจของมู่เฉินอยู่ที่สาวงามผมแดง อีกฝ่ายก็เห็นเขาเช่นกัน แววตะลึงใจปรากฏบนใบหน้างดงาม ทว่าขณะเดียวกันนางก็เห็นแมงป่องอสรพิษที่ไล่ตามข้างหลังมู่เฉิน


“เร็ว หนี!”


มู่เฉินตะโกนบอกนางทันที


ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงตะโกนเขาก็ชะงัก ดวงตาแข็งค้างมองไปที่เบื้องหลังของสาวงามผมแดง เพราะบริเวณนั้นมีอสรพิษยักษ์สามหัวกำลังแผ่รังสีดุร้ายเชี่ยวกรากไล่ตามหลังมา


มันคืออสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัว!


นอกจากนี้คลื่นหลิงที่แผ่ออกมาจากอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวก็ไม่ด้อยไปกว่าแมงป่องอสรพิษเบื้องหลังมู่เฉินเลยสักนิด


เมื่อเห็นดังนี้ มู่เฉินก็เข้าใจในทันทีว่าสาวงามผมแดงก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขาที่ถูกไล่ล่ามา


“ซวยแล้ว”


มู่เฉินอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา เขาซวยซับซวยซ้อนพร้อมกันในวันนี้เลยจริงๆ หากมีแค่แมงป่องอสรพิษตัวเดียว เขายังพอเสี่ยงชีวิตหลบหนีได้ แต่ตอนนี้มีอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวที่มีพลังไม่ด้อยกว่ากันเพิ่มเข้ามาอีก ทำให้เขาอับจนปัญญาอย่างแท้จริง


สาวงามผมแดงไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเหมือนมู่เฉิน สายตาเปี่ยมเสน่ห์ของนางเหลือบมองแมงป่องอสรพิษที่เบื้องหลังมู่เฉิน นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งตัวมาปรากฏตรงหน้ามู่เฉิน


กลิ่นหอมลอยอ้อยอิ่ง ก่อนที่มู่เฉินจะรู้สึกมึนเมา สาวงามก็ยื่นมือออกมากระชากเอวมู่เฉินไว้ ลากกันหายไปในพริบตา


ทั้งสองคนโผล่ออกมาในพื้นที่ไกลหลายร้อยจั้ง สาวงามผมแดงสะบัดมือรวมลาวาเข้าด้วยกันกลายเป็นรูปทรงกลมลาวาห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้ เหลือไว้เพียงช่องมองเล็กๆ ให้พวกเขาได้สังเกตสถานการณ์ภายนอก


ภายในสภาพแวดล้อมสีแดงคับแคบ มู่เฉินไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย เนื่องจากหญิงสาวในอ้อมแขนดูราวกับอสรพิษขดอยู่ภายในอ้อม ความนุ่มเนียนและอ่อนโยนทำให้ร่างกายของเขาแข็งเกร็งไปหมด


เพราะจากคลื่นหลิงที่แผ่ออกมาเมื่อสักครู่ เขารู้ว่าหญิงสาวผมแดงคนนี้มีพลังไม่ธรรมดา


แต่ตอนนี้ชัดว่าหญิงสาวผมแดงไม่ได้สนใจอะไรมู่เฉิน ดวงตาของนางเหลือบมองขึ้นไปด้านบน เมื่อทั้งคู่หายตัวไป แมงป่องอสรพิษกับอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวก็คลาดเป้า พวกมันหยุดจ้องมองกันและกันด้วยสายตาดุร้าย


“เกิดอะไรขึ้น?”


มู่เฉินมองภาพนี้อยู่ก็อดถามไม่ได้


“ตัวที่ไล่ตามเจ้ามาคือแมงป่องมังกรเพลิงเป็นราชาบ่อเพลิงข่ายฟ้าแห่งนี้ มันกินอสรพิษเพลิงวิญญาณโดยเฉพาะ และอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวนั่นก็เป็นราชาอสรพิษเพลิงวิญญาณ ดังนั้นพวกมันจึงเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ ทันทีที่เผชิญหน้ากัน ก็จะไม่หยุดสู้จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง”


หญิงสาวผมแดงพูดต่อโดยไม่หันหน้ามา “ดูเหมือนเราจะโชคดีที่ล่อพวกมันมาเจอกัน รอจนกว่าพวกมันได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนก็ค่อยเก็บเกี่ยว ฮ่าๆ ข้าเล็งแก่นเพลิงวิญญาณของพวกมันมานานแล้ว ตอนนี้โอกาสลอยใส่มือแล้ว”


มู่เฉินมีเหงื่อไหลชุ่มโชกจากคำพูดของนาง พี่สาวคนนี้ใจถึงนักที่มีความคิดปล่อยให้พวกมันสู้กันจนตาย ขณะที่พวกเขารอรับประโยชน์จากมัน


“เราจะไม่ถูกจับได้ใช่ไหม?” มู่เฉินถามอย่างเป็นกังวล หากปีศาจสองตัวนี่หมายตาพวกเขาละก็ งานนี้แย่แน่


“ตอนนี้พวกมันกำลังประจันหน้ากับศัตรูคู่แค้น ไม่มาสนใจเราหรอก” หญิงสาวผมแดงเอ่ย


พอได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าหญิงสาวในอ้อมแขนเหมือนจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้น เขาหดตัวพลางเอ่ยขึ้นว่า “ข้าควรออกไปก่อนไหม?”


“ถ้าออกไป พวกมันก็จะเห็น ถึงตอนนั้นอาจเกิดปัญหาอีก” หญิงสาวผมแดงขมวดคิ้วก่อนจะหันหน้ามามองมู่เฉินพลางเลิกคิ้วขึ้น “เจ้ามาจากหน่วยรบกงเวทสวรรค์หรือ? ทำไมข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนล่ะ?”


“ประมุขปล่อยข้ามาที่นี่เพื่อฝึกวรยุทธน่ะ” มู่เฉินตอบตรงๆ ดูแล้วหญิงสาวผมแดงคนนี้น่าจะเป็นสมาชิกหน่วยรบกงเวทสวรรค์


“เจ้าคือ?” มู่เฉินถามอย่างระมัดระวัง


“ข้าคือหั่วเม่ยเอ๋อ” นางหยุดพูดก่อนจะเผยรอยยิ้มยั่วยวนให้มู่เฉิน “นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของหน่วยรบกงเวทสวรรค์ด้วย”


พอได้ยินประโยคหลังของนาง มู่เฉินก็อ้าปากตาค้างไป ไม่คิดเลยว่าแม่ทัพใหญ่หน่วยรบกงเวทสวรรค์จะเป็นสตรีที่งดงามเช่นนี้


“น้องชายซื่อตรงดีนี่ ข้าจะปล่อยให้เจ้าเอาเปรียบไปก่อน แต่ถ้าเรื่องนี้มีคนที่สามรู้ ก็อย่าโทษว่าพี่สาวคนนี้ฆ่าเพื่อปิดปากล่ะ” หั่วเม่ยเอ๋อหัวเราะพลางยื่นมือออกมาแตะหน้ามู่เฉินเบาๆ ทว่าประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยออกมา กลับสร้างความหวาดกกลัวให้กับมู่เฉินจนเหงื่อเย็นไหลท่วมกาย


หั่วเม่ยเอ๋อดูน่าหลงใหลและเข้าถึงง่าย แต่ระดับอันตรายที่นางมีแรงกล้ายิ่งกว่าปิงซินเสียอีก


พูดจบหั่วเม่ยเอ๋อก็ไม่สนใจมู่เฉินอีกต่อไป สายตามองยักษ์ใหญ่สองที่ด้านนอก ส่วนร่างนางก็ขยับเข้ามาใกล้มู่เฉินมากขึ้น


มู่เฉินฉีกมุมปากอย่างเจ็บปวด สุดท้ายเมื่อแขนตึงเกร็งจนทนไม่ไหว เขาก็ไม่สนใจอะไรอีก แขนตกลงมาบนเอวบางของหั่วเม่ยเอ๋อ ความรู้สึกนุ่มนวลทำให้รู้สึกไม่อยากละมือไป


ทว่ามู่เฉินไม่กล้าขยับมือ วางมันไว้บนเอวของนาง เขาผ่อนคลายลงขณะมองออกไปข้างนอก


หั่วเม่ยเอ๋อตัวแข็งค้างอย่างไม่ทันสังเกต เมื่อมู่เฉินวางมือบนเอวนาง หางตาของนางเหลือบมองมู่เฉิน แต่ดวงตาสีดำของชายหนุ่มที่ดูใสกระจ่าง ทำให้นางคลายใจลงขณะที่ร่างแนบชิดไปกับร่างมู่เฉินยิ่งขึ้น


ในสภาพแวดล้อมคับแคบ อันตรายสลายไปเงียบๆ พร้อมกับความอภิรมย์ก่อตัวขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 758

 

สองฝ่ายสู้กันจะตาย สุดท้ายฝ่ายที่สามกลับได้ประโยชน์

ตู้ม!


พายุโหมกระหน่ำกวาดออกมาจากส่วนลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้า ลาวาที่อยู่ในรัศมีหลายพันจั้งถูกกวาดออก ราวกับจะฉีกทึ้งทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในบริเวณนี้


เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากแมงป่องมังกรเพลิงกับอสรพิษเพลิงวิญญาณพุ่งเข้าห้ำหั่นกัน


อย่างที่หั่วเม่ยเอ๋อบอกไว้แมงป่องมังกรเพลิงและอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวเป็นศัตรูคู่แค้นกัน เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน ก็จะเหลือเพียงฝ่ายเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ เทียบกับการไล่ล่ามู่เฉินกับหั่วเม่ยเอ๋อ การกำจัดศัตรูคู่อาฆาตสำคัญยิ่งกว่า


ขณะที่คลื่นหลิงกวาดอาละวาด ลูกทรงกลมแสงที่ควบแน่นจากลาวาก็ยังคงอยู่ได้ มันลอยอย่างมั่นคงภายใต้แรงปะทะของคลื่นหลิง ซึ่งนี่ทำให้มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ เห็นชัดว่าแม่ทัพใหญ่หน่วยรบกงเวทสวรรค์ ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา


“ด้วยพลังของเจ้า น่าจะไม่กลัวที่จะเผชิญกับหนึ่งในพวกมันไม่ใช่หรือ?” มู่เฉินหันหน้าไปมองหั่วเม่ยเอ๋อที่มองการต่อสู้ระหว่างยักษ์ใหญ่ด้วยสายตาเคร่งขรึมพลางเอ่ยออกมาด้วยเสียงต่ำ


กระทั่งปิงซินยังมีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า ดังนั้นหั่วเม่ยเอ๋อที่เป็นแม่ทัพใหญ่ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน


“ก็ยากอยู่สักหน่อย แต่เรื่องที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือตอนที่พวกมันร่อแร่ใกล้ตาย พวกมันจะทำลายแก่นเพลิงวิญญาณในร่างไปด้วย ดังนั้นหากต้องการสยบพวกมัน ข้าจะต้องจัดการอย่างรวดเร็ว” หั่วเม่ยเอ๋อเหลือบมองมู่เฉินพลางหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่อยากทุ่มเทมาก แล้วกลับมามือเปล่าน่ะ”


มู่เฉินเข้าใจสิ่งที่นางอธิบาย ที่แท้แมงป่องมังกรเพลิงกับอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวยังมีวิธีเช่นนี้อยู่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหั่วเม่ยเอ๋อถึงไม่อยากสู้กับพวกมันด้วยชีวิต


“พวกมันจะสู้กันนานเท่าไร?”


มู่เฉินมองออกไปยังพายุทอร์นาโดคลื่นหลิงด้านนอก สัตว์ยักษ์ทั้งสองกำลังปล่อยพลังโจมตีใส่กันอย่างบ้าคลั่ง เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวของพวกมันทำให้ลาวาเดือดพล่าน


“ต้องใช้เวลาพอสมควรแหละ พวกมันกำลังใช้ภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์พร้อมกับคลื่นหลิงหนาแน่น นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ตัวผู้ชนะ” หั่วเม่ยเอ๋อพูดด้วยความสงบนิ่ง


มู่เฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก เขาข่มหัวใจให้สงบ มองการโรมรันพันตูระหว่างยักษ์ใหญ่สองตัวต่อ


เป็นอย่างที่หั่วเม่ยเอ๋อคาดการณ์ไว้ ศึกนี้กินเวลายาวนาน พายุคลื่นหลิงกวนตัวอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ความผันผวนจะค่อยๆ อ่อนกำลังลง


มู่เฉินกับหั่วเม่ยเอ๋อจ้องเขม็งไปที่นั่น จากนั้นมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก


ในลาวาร่างยักษ์ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน แต่ว่าตอนนี้บนตัวของพวกมันมีแต่บาดแผล สองหัวของอสรพิษเพลิงวิญญาณถูกตัดขาด ส่วนแมงป่องมังกรเพลิงก็มีแต่บาดแผลเต็มตัวได้รับบาดเจ็บไม่ต่างกัน


พวกมันอ่อนกำลังลงอย่างสิ้นเชิง แสงดุร้ายในดวงตาลดลงหลายส่วน แต่ก็ยังหวาดระแวงอีกฝ่ายอยู่


แม้พวกมันจะไม่มีสติปัญญา แต่สัญชาตญาณบอกว่าไม่มีประโยชน์อะไรหากยังคงสู้กันต่อ


ดังนั้นทั้งสองตัวจึงแสดงสัญญาณว่าเตรียมล่าถอย


“พวกมันจะถอยแล้ว!” ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปเมื่อเห็นภาพนี้ หากพวกมันถอยหนี ก็เท่ากับพวกเขาเสียเวลาไปครึ่งวันเปล่าๆ เลย


หั่วเม่ยเอ๋อมุ่นคิ้ว ก่อนที่นิ้วเรียวจะเหยียดออกดีดเบาๆ


ฮึ่ม!


พร้อมกับการดีดนิ้วของหั่วเม่ยเอ๋อ ลำแสงคลื่นหลิงสีแดงก็ยิงออก ขณะที่พุ่งก็หมุนคว้างฝ่าลาวาเกรี้ยวกราดยิงจากด้านหลังของอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวตรงไปยังแมงป่องมังกรเพลิง


ตึง!


ลาวาระเบิดบนร่างแมงป่องมังกรเพลิง เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น ก่อนที่มันจะเบนสายตาแดงฉานไปยังอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัว จากนั้นก็พุ่งตัวไปข้างหน้า


เพราะสมองมีน้อยนิด มันจึงคิดว่านี่เป็นการโจมตีจากอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัว


เมื่อเห็นแมงป่องมังกรเพลิงพุ่งมาข้างหน้า อสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวก็ส่งเสียงคำรามเตือน แต่เมื่อเห็นว่าไร้ผล แสงดุร้ายก็พวยพุ่งในดวงตาพร้อมกับพุ่งตัวออกไปโดยไม่เกรงกลัว


สองยักษ์ใหญ่ปะทะกันอีกครั้ง


เมื่อเห็นภาพนี้มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วโป้งให้หั่วเม่ยเอ๋อพลางยิ้มออกมา “เบี่ยงความสนใจได้ยอดเยี่ยม”


หั่วเม่ยเอ๋อยิ้มตอบอย่างยั่วยวน รอยยิ้มทรงเสน่ห์นัก ทว่ากลับทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าโฉมงามตรงหน้าเป็นกุหลาบที่เต็มไปด้วยหนามแหลม


แม่ทัพใหญ่หน่วยรบกงเวทสวรรค์ จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?


“เจ้าชื่ออะไรน่ะ?” มองการต่อสู้ดุเดือดที่เกิดขึ้นอีกครั้ง หั่วเม่ยเอ๋อก็ถามขึ้นมา


“มู่เฉินจากหอวิหคโลกันตร์” มู่เฉินยิ้ม


“อ้อ แม่ทัพคนใหม่ที่จิ่วโยวพากลับมางั้นหรือ?” พอได้ยินชื่อ หั่วเม่ยเอ๋อที่กำลังมองการต่อสู้ก็ช้อนดวงตามองมู่เฉินด้วยสายตาประหลาดเบาบาง


มู่เฉินพยักหน้า “เจ้ารู้จักจิ่วโยวด้วยเหรอ?”


“ฮ่าๆ เราเป็นเพื่อนรักกันเลยนะ พวกเราเข้ามาอาณาเขตกงเวทสวรรค์พร้อมกันน่ะ”


หั่วเม่ยเอ๋อหัวเราะคิกคักขณะที่ดวงตากวาดมองรอบตัวมู่เฉิน หลังจากนั้นก็เขยิบเข้ามาใกล้อีกหลายส่วนพลางหัวเราะชอบใจ “พูดมาสิ บอกพี่สาวว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ยังไงกับนาง”


มู่เฉินหัวเราะเสียงแห้งกลอกตาไปมา เขาไม่ค่อยเชื่อคำพูดของหั่วเม่ยเอ๋อ หากนางกับจิ่วโยวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันทำไมเขาถึงไม่ได้ยินชื่อนางจากปากของจิ่วโยวเลย? ยิ่งกว่านั้นคำพูดของหั่วเม่ยเอ๋อยังมีนัยชิงดีชิงเด่นอยู่ในที


“ช่างเป็นหนุ่มน้อยขี้ระแวงจริงนะ”


หั่วเม่ยเอ๋อแตะหน้ามู่เฉินเบาๆ นางจือปากไม่พูดอะไรอีก หันหน้าไปมองสนามรบด้านนอก “อีกประเดี๋ยวเมื่อพวกมันบาดเจ็บหนัก ข้าจัดการได้แค่ตัวหนึ่ง หากเจ้าต้องการแก่นเพลิงวิญญาณ ก็ต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อฆ่าอีกตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”


มู่เฉินอึ้งไปพร้อมกับขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะเป็นอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวหรือแมงป่องมังกรเพลิงก็แข็งแกร่งกว่าเขามาก ต่อให้พวกมันบาดเจ็บหนัก ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลย ไม่ต้องพูดถึงจัดการพวกมันด้วยความเร็วสูงสุด


ทว่าแม้จะเป็นเรื่องยากสักหน่อย แต่มู่เฉินก็ไม่ท้วงสักคำ เนื่องจากเขาบอกได้ว่าน้ำเสียงของหั่วเม่ยเอ๋อไม่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือ เหตุผลที่นางเปลี่ยนใจฉับพลันคงเป็นเพราะจิ่วโยว


ท่าทางจะมีเรื่องไม่กินเส้นระหว่างหั่วเม่ยเอ๋อกับจิ่วโยวแน่


ทว่ามู่เฉินก็ไม่มีอารมณ์จะมาสืบเสาะความสัมพันธ์อะไร แม้เขาอาจจะดูอ่อนโยนภายนอก แต่คนที่รู้จักเขาจะตระหนักดีว่าชายหนุ่มคนนี้มีความทระนงลึกถึงกระดูก ในเมื่อหั่วเม่ยเอ๋อไม่คิดจะช่วยเหลือ เขาก็จะไม่คุกเข่าขอร้องให้เหนื่อย


ดังนั้นมู่เฉินจึงพยักหน้าเบาๆ กับคำพูดของหั่วเม่ยเอ๋อ


แม้ว่าดวงตาหั่วเม่ยเอ๋อจะมองการต่อสู้ด้านนอก แต่หางตาก็แอบเหลือบมองมู่เฉินอยู่ตลอด เมื่อนางเห็นมู่เฉินขมวดก่อนจะคลายลง นางก็อดเลิกคิ้วไม่ได้


นางมีความสัมพันธ์อิรุงตุงนังกับจิ่วโยวจริงๆ ในอดีตตอนที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เลือกผู้บัญชาการใหม่ นางกับจิ่วโยวเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่สุดท้ายจิ่วโยวก็ได้ตำแหน่งผู้บัญชาการ ส่วนนางเลือกเข้าหน่วยรบกงเวทสวรรค์ไต่เต้าขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทีละก้าว…ละก้าว


แต่เมื่อนางคุมหน่วยรบกงเวทสวรรค์ได้ จิ่วโยวกลับหายตัวไป ทำให้กำปั้นของนางราวกับชกลงบนสำลี ความพยายามหลายปีเหมือนไร้ซึ่งความหมาย ความรู้สึกนั้นซับซ้อนจนทำให้นางแยกแยะไม่ออก


ตอนนี้เมื่อจิ่วโยวกลับมา ไฟแห่งการต่อสู้ก็ถูกจุดขึ้นใหม่ นางต้องการให้จิ่วโยวรับรู้ว่านางหั่วเม่ยเอ๋อแข็งแกร่งกว่า!


จากความสัมพันธ์แบบคู่แข่งนี้ เมื่อนางได้ยินว่ามู่เฉินเป็นแม่ทัพคนใหม่ของหอวิหคโลกันตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างรวดเร็ว นางก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งเขาบ้างเล็กน้อย


ที่จริงนางก็ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ ตราบใดที่มู่เฉินมีท่าทียอมก้มหัวห้สักเล็กน้อย นางก็ไม่เกี่ยงที่จะช่วยเหลือ แต่ใครจะคิดว่าชายหนุ่มที่เหมือนจะอ่อนโยนคนนี้ กลับมีความทะนงตนแรงกล้าถึงแกนกระดูกปานนี้


“งั้นเจ้าก็ดื้อไปแบบนี้แหละ”


หั่วเม่ยเอ๋อเบ้ปากสีกุหลาบอย่างไม่รู้ตัว ในสายตาของนางความภาคภูมิใจที่ไร้เหตุผลของมู่เฉินเป็นเพียงความดื้อรั้นที่ไร้ประโยชน์ เขาไม่เข้าใจสถานการณ์และอดทน สุดท้ายเขาก็จะยังอ่อนต่อโลกเกินไป ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจว่าจิ่วโยวเห็นอะไรในตัวเขาถึงได้พากลับมาที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์


หรือเขาจะเป็นขยะอีกคนเหมือนอย่างเฉาเฟิง?


ไอเย็นเยือกวาบขึ้นในดวงตาของหั่วเม่ยเอ๋อ หากเป็นเช่นนั้นก็ตายไปซะดีกว่า จะได้ไม่ต้องสร้างความอับอายให้จิ่วโยวอีก


ขณะที่ความคิดเหล่านั้นแล่นอยู่ในใจของหั่วเม่ยเอ๋อ มู่เฉินก็จับจ้องไปที่การต่อสู้ ความคิดที่ควรทำอย่างไรถึงจะได้รับความสำเร็จแล่นอยู่ในใจไม่รู้จบ


เพราะเขารู้ดีว่าการฆ่าแมงป่องมังกรเพลิงและอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวที่ได้รับบาดเจ็บอาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับหั่วเม่ยเอ๋อ แต่เป็นเรื่องยากราวกับขึ้นสู่สวรรค์สำหรับเขาเลย


การโจมตีเบาๆ จากยักษ์พวกนี้ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหนักได้เลยทีเดียว


โฮก!


ขณะที่ดวงตาของมู่เฉินวูบไหว เสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นในลาวา จากการปะทะกันอย่างโหดร้ายชุดใหญ่ สัตว์ทั้งสองก็มีแต่บาดแผลฉกรรจ์ แม้แต่คลื่นหลิงแก่กล้าลุกโชนก็อ่อนกำลังลงจนถึงขีดสุด


พวกมันสาดสายตาก่อนที่แสงดุร้ายในดวงตาจะหายไป การเสียพลังไปเก้าส่วนทำให้พวกมันสูญเสียความดุร้ายไปจนหมดสิ้น ดังนั้นแต่ละตัวจึงหันหลังกลับหลบหนีไป


“ลงมือ!”


ทันทีที่พวกมันเคลื่อนไหว หั่วเม่ยเอ๋อก็ตะโกนเสียงเย็นพร้อมกับลูกทรงกลมที่เกิดจากลาวาระเบิดตัวออก ร่างนางพุ่งตรงไปที่อสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวที่กำลังหลบหนี


มู่เฉินกัดฟันไม่ลังเลที่จะทะยานไปหาแมงป่องมังกรเพลิงที่ได้รับบาดเจ็บหนัก


ไม่ว่าอย่างไรเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะถอยหนี!


เมื่อใดที่เขาได้แก่นเพลิงวิญญาณจากแมงป่องมังกรเพลิง เขาก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสามได้อย่างแท้จริง!

 

 

 


ตอนที่ 759

 

ความเด็ดขาด

ฟิ้ว!


ทันทีที่หั่วเม่ยเอ๋อลงมือ มู่เฉินก็ทะยานตัวไปหาแมงป่องมังกรเพลิงที่กำลังหลบหนีพร้อมกับคลื่นหลิงมหาศาลพล่านออกมาจากร่าง เขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าหั่วเม่ยเอ๋อ แม้แมงป่องมังกรเพลิงจะได้รับบาดเจ็บและอ่อนกำลังอย่างมาก มันก็ยังเป็นสิ่งที่จัดการได้ยากอยู่


ความเร็วของมู่เฉินรวดเร็วมาก บวกกับแมงป่องมังกรเพลิงได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นเพียงไม่กี่อึดใจเขาก็ไล่ตามจนทัน


โฮก!


รับรู้ว่ามู่เฉินไล่ตามมา แมงป่องมังกรเพลิงก็เปล่งเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว แววดุร้ายพวยพุ่งในดวงตาอีกครั้ง มันจำได้ว่ามู่เฉินเป็นวายร้ายที่ล่อมันมาที่นี่


ทว่าความโกรธก็คือความโกรธ แต่แมงป่องมังกรเพลิงก็ตระหนักถึงสภาพของตนตอนนี้ มันจึงทำเพียงส่งเสียงเตือนไม่ได้ปล่อยพลังโจมตีใดๆ ใส่มู่เฉินพร้อมกับรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว


มู่เฉินติดตามกระชั้นชิดที่ด้านหลังราวกับแมลง ดวงตาเปล่งประกาย สุดท้ายก็ทำท่ากอด เสาปีศาจ ปรากฏขึ้นพร้อมกับเงาขนาดใหญ่ พุ่งเป้าไปที่แมงป่องมังกรเพลิงอย่างไร้ปรานี


ตู้ม!


เสาแสงลาวาขนาดยักษ์พุ่งออกมาจากปากน่ากลัวของแมงป่องมังกรเพลิงปะทะกับเสาปีศาจ ความผันผวนน่าสะพรึงกวาดอาละวาดออกมา


เสาปีศาจกระเด็นออกไป แม้แต่มู่เฉินยังถูกซัดออกเป็นพันจั้ง แววหวาดผวาอย่างควบคุมไม่อยู่ฉายบนใบหน้า ได้ประสบกับด้วยตัวเองแบบนี้เขาก็ตระหนักได้ว่าแมงป่องมังกรเพลิงน่ากลัวขนาดไหน ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่มันบาดเจ็บหนักอยู่เลย ถ้ามันอยู่ในสภาพเต็มร้อย มู่เฉินคงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปะทะครั้งแรกไปแล้ว


โฮก!


แสงดุร้ายวาบขึ้นในดวงตาของแมงป่องมังกรเพลิงเมื่อจับจ้องไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะหลบหนีต่อ เห็นชัดว่ามันไม่อยากอยู่ในสถานที่อันตราย เพราะสิ่งมีชีวิตที่เป็นเหมือนมดอย่างมู่เฉิน


มู่เฉินมองแมงป่องมังกรเพลิงที่หนีไปก็ขบฟันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แสงเหี้ยมหาญจะลุกโชนในดวงตา


วาบ!


เขากระทืบเท้าทะยานตัวออกไป ครั้งนี้เขาพุ่งตรงไปที่หัวของแมงป่องมังกรเพลิง


โฮกกก!


เผชิญกับการตอแยซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากมู่เฉิน ในที่สุดแมงป่องมังกรเพลิงก็ไม่สามารถยับยั้งความดุร้ายโดยธรรมชาติไว้ได้ มันส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราด ลาวาไหลภายในปาก จากนั้นก็กัดไปทางมู่เฉิน


เมื่อมองปากขนาดใหญ่ที่มี่แต่ลาวาปกคลุม ดวงตาของมู่เฉินก็เป็นประกาย จากนั้นกระทืบเท้า ไม่เพียงแต่เขาไม่ถอยหนี เขายังพุ่งตรงไปที่ปากของแมงป่องมังกรเพลิงอีกด้วย


เวลาเดียวกันอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวก็ปล่อยเสียงกรีดร้องโหยหวนจากอีกจุดหนึ่ง ลำแสงสีแดงวาบผ่านราวกับใบมีดเพลิงที่สามารถเฉือนทุกสิ่ง จากนั้นก็วาบผ่านลำคอที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัว


เลือดลาวาสดพวยพุ่งไปบนท้องฟ้า เสียงกรีดร้องโหยหวนเงียบหายไป


หั่วเม่ยเอ๋อปรากฏตัวบนท้องฟ้าพลางพลิกนิ้ว นางทำลายหัวอสรพิษที่ลอยขึ้นมา ลำแสงสีแดงที่มีขนาดราวหนึ่งจั้งเคลื่อนลงมาลอยอยู่ตรงหน้านาง


นี่คือแก่นเพลิงวิญญาณของอสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัว ภายในแสงดูราวกับลาวาสีแดงสดไหลเวียน คลื่นหลิงเพลิงบริสุทธิ์บรรจุอยู่


หั่วเม่ยเอ๋อสะบัดมือเรียกเก็บแก่นเพลิงวิญญาณ จากนั้นใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป นางรีบหันหน้าไปก็เห็นฉากที่มู่เฉินถูกกิน


เห็นภาพนี้ แม้แต่คนอย่างหั่วเม่ยเอ๋อยังอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความร้อนใจ แม้นางจะมีความสัมพันธ์อิหลักอิเหลื่อกับจิ่วโยว แต่ระหว่างพวกนางก็ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน มีเพียงความคิดแข่งขันกันและความรู้สึกประทับต่อกัน ถ้ามู่เฉินตายที่นี่เพราะนาง ด้วยนิสัยของจิ่วโยวคงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่


เหตุผลที่นางทำท่าทางเย็นชาใส่ เพราะนางอยากรู้ว่าคนที่จิ่วโยวพากลับมาด้วยจะมีความสามารถเพียงใด แต่นางจะไปคิดได้อย่างไรว่ามู่เฉินโง่ที่จะถูกกินเข้าไป!


“เจ้าโง่นั่น!”


หั่วเม่ยเอ๋อขบฟัน จากนั้นก็กระโจนใส่แมงป่องมังกรเพลิงอย่างรวดเร็ว ในมือคลื่นหลิงเชี่ยวกรากรวมตัวกัน


แต่ขณะที่หั่วเม่ยเอ๋อกำลังจะลงมือ ร่างใหญ่โตของแมงป่องมังกรเพลิงก็สั่นเทิ้มรุนแรง ก่อนที่เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดจะดังมาจากลำคอของมัน


หั่วเม่ยเอ๋อชะงักไป ก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปที่ปากของแมงป่องมังกรเพลิง ตรงนั้นแสงสีทองโชติช่วงปะทุขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงรุนแรงระเบิดออก


ก้อนลาวาคล้ายกับเลือดพ่นออกจากปากของแมงป่องมังกรเพลิง มากจนกระทั่งเกล็ดแข็งแรงแตกออก


เห็นได้ชัดว่ามีพลังงานรุนแรงระเบิดจากภายในร่างกายมัน


หากแมงป่องมังกรเพลิงอยู่ในสภาพเต็มร้อย ก็สามารถยับยั้งพลังโจมตีจากภายในได้ แต่ตอนนี้มันได้รับบาดเจ็บหนัก จึงทำได้เพียงส่งเสียงร้องโหยหวน ลาวาคล้ายกับเลือดสดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง


สีหน้าของหั่วเม่ยเอ๋อตะลึงไปเมื่อมองภาพนี้ จากนั้นนางก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นพร้อมกับคิ้วเลิกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน


“เจ้านี่โหดเหี้ยมจริงๆ”


หั่วเม่ยเอ๋อดำรงตำแหน่งแม่ทัพกงเวทสวรรค์ นางจึงบอกได้ถึงเจตนาของมู่เฉินเพียงเหลือบมองครั้งเดียว เขารู้ว่าตัวเองเสี่ยงฆ่าแมงป่องมังกรเพลิงไม่ได้ ยิ่งถ้าเขาบีบแมงป่องมังกรเพลิงจนใกล้ตาย มันก็อาจทำลายแก่นเพลิงวิญญาณไปด้วย ทำให้เขาคว้าน้ำเหลวไป ดังนั้นเขาจึงใช้ความจริงที่แมงป่องมังกรเพลิงประมาทพุ่งเข้าไปในร่างมันเพื่อปล่อยพลังโจมตีถึงชีวิต


ในบางมุมมอง วิธีนี้ได้ผลดีที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่อันตรายที่สุดเช่นกัน ภายในร่างของแมงป่องมังกรเพลิงไม่ต่างจากเตาเผา ถ้าพุ่งตัวเข้าไปไม่ระวังก็อาจจะถูกหลอมละลายด้วยอุณหภูมิสูงได้ ยิ่งหากมันอยู่ในสภาพเต็มร้อย แม้แต่หั่วเม่ยเอ๋อยังไม่กล้าเข้าในตัวมันเลย


แต่ตอนนี้จุดสำคัญก็คือแมงป่องมังกรเพลิงได้รับบาดเจ็บหนัก มีพลังเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งส่วน ภายในร่างกายของมันจึงไม่ใช่เขตต้องห้ามอีกต่อไป และมู่เฉินก็ใช้โอกาสจุดนี้เข้าไปในร่างมันและทำลายจากภายใน


แม้วิธีนี้อาจจะดูง่ายดาย แต่ก็ต้องใช้ความเด็ดขาดและเหี้ยมหาญที่คนธรรมดาทั่วไปไม่ตัดสินได้ในเวลาอันสั้น


ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่แววตาของหั่วเม่ยเอ๋อเคร่งเครียดลง


นางไม่ได้ตกใจกับพลังของมู่เฉิน แต่ความเด็ดเดี่ยวของเขาน่าทึ่งนัก ตอนนี้นางรู้แล้วว่าทำไมจิ่วโยวถึงปล่อยให้ชายหนุ่มคนนี้สั่งการหน่วยรบวิหคโลกันตร์ได้


ตู้ม!


ขณะที่สายตาของหั่วเม่ยเอ๋อเปลี่ยนไป แสงสีทองโชติช่วงก็ทะลุออกจากลำคอของแมงป่องมังกรเพลิง ลาวาพ่นออกมา แมงป่องมังกรเพลิงก็ส่งเสียงร้องโหยหวนก่อนที่ร่างจะฟุบลง


ปัง!


หัวแมงป่องมังกรเพลิงระเบิดกระจุยพร้อมกับแสงสีทองพุ่งออกมา ก่อเป็นเงาร่างแสงขนาดใหญ่ นี่ก็คือร่างเทพสุริยะนั่นเอง


แต่ตอนนี้ร่างเทพสุริยะมีสีแดงเจือปน ราวกับว่าเพิ่งเดินออกมาจากเตาเผา แสดงสัญญาณละลายอีกด้วย


ร่างเทพสุริยะหม่นแสงลงอย่างรวดเร็วก่อนจะสลายไป ร่างสูงโปร่งก็เผยออกมาให้เห็น


อ็อก!


เมื่อออกมาได้ มู่เฉินก็กระอักเลือดเต็มปาก เสื้อผ้ากลายเป็นเถ้าถ่าน ผิวหนังแดงก่ำไปหมดส่งสัญญาณเผาไหม้ กล้ามเนื้อเหลวจนเห็นกระดูกขาวน่าขนลุก


เห็นได้ชัดว่าแม้จะมีร่างเทพสุริยะป้องกันอยู่ มู่เฉินก็ยังต้องจ่ายราคาแพงระยับจากการเข้าไปในร่างของแมงป่องมังกรเพลิง โชคดีที่เขาสังหารมันได้ทันท่วงที ก่อนที่ร่างจะละลายอย่างสมบูรณ์


มู่เฉินปาดคราบเลือดตรงมุมปาก สะบัดมือเรียกที่ศพแมงป่องมังกรเพลิง แสงสีแดงที่ไม่ด้อยไปกว่าของหั่วเม่ยเอ๋อที่ได้รับก่อนหน้าลอยมาอยู่ตรงหน้าเขา


ภายในแสงสีแดงมีผลึกลาวาไหลอยู่ช้าๆ ปล่อยคลื่นหลิงบริสุทธ์ที่ทำให้มู่เฉินถึงกับต้องเลียริมฝีปากอย่างกระหาย


ความบริสุทธิ์ของแก่นเพลิงวิญญาณนี้ทรงพลังมากกว่าที่เขาเคยได้รับหลายเท่า


มู่เฉินค่อยๆ กำหมัด เขาน่าจะสามารถบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสามได้ด้วยแก่นเพลิงวิญญาณนี้


“จุ๊ๆ รุนแรงใช่ย่อย” เสียงปรบมือดังถัดไป หั่วเม่ยเอ๋อทะยานเข้ามาพร้อมกับหัวเราะเสียงพลิ้ว นางเอียงศีรษะเล็กน้อย มองมู่เฉินด้วยท่าทางก๋ากั่น


“ยังดีที่ไม่ตาย” มู่เฉินบ่น แต่ในน้ำเสียงไม่ปรากฏการกล่าวโทษใดๆ เนื่องจากเขารู้ว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับหั่วเม่ยเอ๋อ ดังนั้นนางจึงไม่มีหน้าที่มาช่วยเขา


“ฮ่าๆ โกรธหรือ?”


หั่วเม่ยเอ๋อยิ้มตาหยีวางมือนุ่มบนแผ่นอกเปลือยของมู่เฉินพร้อมกับเขยิบเข้ามาใกล้ “ดูเหมือนข้าจะดูถูกเจ้าเกินไป ครั้งนี้จิ่วโยวพาคนที่เหมาะสมกลับมาด้วยแล้ว”


หั่วเม่ยเอ๋อทั้งงดงามและเย้ายวน ไม่ต้องพูดถึงที่นางมีนิสัยเป็นกันเอง กลิ่นหอมที่โชยออกมายิ่งทำให้มู่เฉินหน้าแดง ขณะที่กำลังจะเบี่ยงตัวหลบ เขาก็เห็นแววหยอกเย้าในดวงตานาง เขาเบ้ปากแกล้งเหยียดแขนพยายามจับเอวนุ่มนิ่มของนาง


ชี่! ชี่!


แต่ก่อนที่มู่เฉินจะโอบแขนรอบกายนาง หั่วเม่ยเอ๋อก็หันขวับพร้อมกับผมสีแดงเพลิงพันรอบแขนของมู่เฉินราวกับอสรพิษ นางแตะบนอกมู่เฉินเบาๆ ก่อนจะพลิ้วตัวกลับอย่างงดงามพลางหัวเราะร่วน


“เจ้าหนู เจ้ายังอ่อนหัดที่คิดจะฉวยโอกาสกับพี่สาวคนนี้ จะคิดแกล้งข้าก็รอให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกให้ได้ก่อนเถอะ!” หั่วเม่ยเอ๋อถอยกลับพร้อมกับหัวเราะ ทิ้งไว้เพียงเสียงสะท้อนก้องขณะที่นางหายไปอย่างรวดเร็วในลาวา


“จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกใช่ไหม เจ้ารอไว้เลย!”


มู่เฉินอดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้เมื่อมองไปทางหั่วเม่ยเอ๋อที่ออกไป ถ้าวันนั้นมาถึง เขาจะตีสาวงดงามคนนั้นให้หนำใจแน่นอน!


แต่นี่ก็เป็นเพียงความคิดชั่ววูบหนึ่งเท่านั้น เขากำแก่นเพลิงวิญญาณ ตอนนี้เขาต้องบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสามให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้!


ไม่อย่างนั้นเป็นเรื่องหน้าแตกแน่ หากสิทธิ์การเข้าร่วมศึกมังกรหงส์ถูกมั่นถัวหลัวระงับ

 

 

 


ตอนที่ 760

 

ฝึกฝนสำเร็จ

หลังแยกจากหั่วเม่ยเอ๋อแล้ว


มู่เฉินก็กลับไปยังสถานที่ที่เขาเคยเพาะบ่มพลังมาก่อน เนื่องจากการสังหารหมู่ที่เขาได้ทำก่อนหน้านี้ ทำให้จำนวนของอสรพิษเพลิงวิญญาณที่นี่ลดน้อยลงมาก ดังนั้นที่นี่จึงเหมาะสมที่จะใช้เป็นจุดเก็บตัวเพื่อเข้าสมาธิ


มู่เฉินเปิดช่องในถ้ำเข้าไป จากนั้นก็นั่งลงหลับตาเข้าสู่สภาวะการฝึกฝน


เขาไม่ได้เร่งรีบชำระแก่นเพลิงวิญญาณที่ได้จากแมงป่องมังกรเพลิง ลำดับแรกเขาเลือกฟื้นพลังอย่างเงียบๆ เพื่อปรับสภาพ


เพราะเขารู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงบริสุทธิ์ในแก่นเพลิงวิญญาณ นี่ไม่ใช่งานง่ายที่จะชำระคลื่นหลิงเพลิงนี้ ดังนั้นเขาต้องเตรียมพร้อมก่อนที่จะชำระมัน


เขาต้องปรับสภาพให้อยู่ในจุดสูงสุด


กระบวนการนี้ใช้เวลาสิบวันเต็ม ภายในสิบวันมู่เฉินราวกับก้อนหินที่ปล่อยให้เวลาเคลื่อนผ่านไปตามความพอใจ ไม่มีความร้อนรนเกิดขึ้นแม้แต่น้อย เขาหลับตาดำดิ่งลงไปในจุดจื้อจุนไห่ ปล่อยให้คลื่นหลิงไหลไปกับคลื่น


เมื่อถึงวันที่สิบ ในที่สุดดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็ค่อยๆ เปิดขึ้น แสงหลิงบางจางไหลวนอยู่ในนัยน์ตา แม้แต่ผิวหนังก็มันวาวขึ้นเป็นชั้นๆ


นี่คือสัญญาณบอกว่าคลื่นหลิงในร่างกายได้ถึงขีดจำกัดแล้ว


หลังจากเข้าสมาธิลึกสิบวัน มู่เฉินก็รับรู้ได้ว่าจุดจื้อจุนไห่ถูกเติมเต็มเรียบร้อย เนื่องจากความจริงที่ว่าคลื่นหลิงของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนกว้างใหญ่เกินไปจึงสามารถบรรจุไว้ในจุดจื้อจุนไห่เท่านั้น แต่จุดจื้อจุนไห่ก็ใช่ว่าจะไม่ไร้ขอบเขต แต่จะขยายออกไปด้วยการเพิ่มขึ้นของพลังผู้ฝึก


ดังนั้นหากมู่เฉินต้องการบรรลุขุมพลัง เขาก็ต้องเลือกเข้าสู่ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามให้สำเร็จเท่านั้น


“ประมาณนี้แหละ”


มู่เฉินกำหมัดช้าๆ สัมผัสถึงความกว้างใหญ่และไร้ขอบเขตของคลื่นหลิงที่ราวกับมหาสมุทรในร่างของตนเอง เขาอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจอย่างพึงพอใจ ความปีติที่มาพร้อมกับพลังทำให้มึนเมาแท้จริง


เพียงพลิกนิ้ว แสงสีแดงขนาดหนึ่งจั้งก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับลาวาที่เหมือนผลึกอัญมณีไหลเอื่อยอยู่ภายใน ความบริสุทธิ์ของคลื่นหลิงทำให้แม้แต่ถ้ำนี้ยังดูสลัวรางลง


เมื่อเรียกแก่นเพลิงวิญญาณออกมา มู่เฉินก็สะบัดมืออีกครั้ง กระแสธารเป็นประกายและโปร่งใส่ไหลออกลอยอยู่บนอากาศช้าๆ พร้อมกับส่งเสียงซัดสาดออกมา


กระแสธารนี้ก่อตัวจากของเหลวจื้อจุนนับหมื่นหยด เนื่องจากความจริงที่คลื่นหลิงในแก่นเพลิงวิญญาณรุนแรงเกินไป จึงต้องอาศัยคลื่นหลิงที่อ่อนโยนและบริสุทธิ์มาช่วยทำให้เป็นกลาง เพื่อจะให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ


มู่เฉินมองสมบัติล้ำค่าทั้งสองก็อดเบ้ปากไม่ได้ นอกจากพรสวรรค์ ทรัพยากรก็นับว่าเป็นสิ่งสำคัญในเส้นทางการเพาะบ่มคลื่นหลิง ปริมาณของเหลวจื้อจุนที่จำเป็นในการบรรลุ เพียงพอที่จะทำให้คนที่ไม่มีแรงสนับสนุนใดๆ ต้องถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้


มิน่าล่ะอัจฉริยชนส่วนใหญ่ถึงเป็นพวกที่มีเบื้องหลังดีเยี่ยม ฝึกด้วยทรัพยาการตั้งแต่เด็ก ก็เป็นธรรมดาที่คนทั่วไปไม่อาจเทียบได้


มู่เฉินสูดหายใจลึกพร้อมกับหลับตาลงอีกครั้ง ด้วยความคิดในหัวใจ ลาวาก็เทลงมาจากแก่นเพลิงวิญญาณที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา


ชี่! ชี่!


เมื่อลาวาเดือดราดรดลงบนศีรษะ ก็เกิดเป็นเสียงน้ำซัดสาด ใบหน้าของมู่เฉินบิดเบี้ยวจากความปวดแสบปวดร้อน


ลาวาไหลลงมาตามร่างกายครึ่งหนึ่ง ปกคลุมไปทีละชั้น ไม่กี่อึดใจครึ่งหนึ่งของร่างกายมู่เฉินก็ถูกปกคลุมอยู่ในชั้นหนาของลาวา


ฟิ้ว!


เวลาเดียวกันสายธารของเหลวจื้อจุนก็เทลงมา เปลี่ยนเป็นแก้วผลึกปกคลุมร่างอีกครี่งหนึ่งของมู่เฉิน


ตอนนี้มู่เฉินนั่งเงียบๆ อยู่บนก้อนหิน ร่างกายครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยลาวา อีกครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยของเหลวเป็นประกาย ของวิเศษทั้งสองชนิดเลื่อนไหลลงช้าๆ กลายเป็นภาพที่ประหลาดอย่างยิ่ง


เมื่อผิวกายของมู่เฉินเข้าสู่สภาวะที่ประหลาดนี้ ภายในร่างก็เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงเช่นกัน


จิตดำดิ่งลง ก็เห็นภายในร่างเปลี่ยนเป็นสีแดง ของเหลวที่ราวกับว่าลาวาแทรกซึมเข้าในร่างจากรูขุมขน จากนั้นก็ปกคลุมทั่วทั้งสรรพางค์กายราวกับคลื่นยักษ์


ชี่! ชี่!


ในเส้นทางของลาวา เลือดเนื้อราวกับกำลังจะละลายขณะที่ความเจ็บปวดที่ทนทานไม่ไหวกระจายออก ทำให้เส้นสายภายในสั่นกระตุกไปหมด


ความครอบงำของแก่นเพลิงวิญญาณแมงป่องมังกรเพลิงแข็งแกร่งกว่าแก่นเพลิงวิญญาณอสรพิษเพลิงวิญญาณที่มีอายุร้อยปีไม่รู้กี่เท่า!


แต่โชคดีที่มู่เฉินเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว เมื่อความครอบงำของคลื่นหลิงลาวาบ่าเข้าไปในร่างกาย ของเหลวจื้อจุนอ่อนโยนและเย็นเยือกก็พรั่งพรูเข้ามาอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าปะทะกับลาวา


ชี่! ชี่!


พูดโดยทั่วไปเมื่อคลื่นหลิงที่แตกต่างกันสองชนิดปะทะกัน ก็ย่อมเกิดการแข่งขันด้านความแข็งแกร่ง แต่จากความจริงที่ของเหลวจื้อจุนอ่อนโยนอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำยังเป็นพลังงานที่ง่ายต่อการชำระและดูดซึม ดังนั้นเมื่อคลื่นหลิงทั้งสองเจอกัน มันก็หลอมรวมเข้ากับคลื่นหลิงลาวาสลายความรุนแรงภายในนั้นไปได้


มู่เฉินก็เล็งเห็นโอกาสเร้าวิชามหาเจดีย์ในทันที เขาชำระคลื่นหลิงในเส้นสายแล้วเทลงในจุดจื้อจุนไห่


ท้องฟ้าฉีกออกในจุดจื้อจุนไห่ ลาวาไหลบ่าลงมา ทำให้ระดับทะเลพลังเพิ่มขึ้นจากการไหลลงมาอย่างไม่มีสิ้นสุด


การเพาะบ่มของมู่เฉินเริ่มเข้าสู่กระบวนการทีละขั้นแล้ว


ภายใต้การฝึกฝนของมู่เฉิน หนึ่งเดือนก็ผ่านไป


บนแท่นหินเหนือบ่อเพลิงข่ายฟ้า ร่างหลายคนนั่งอยู่เงียบๆ หายใจเอาคลื่นหลิงลาวาร้อนแรงเข้าไปเพื่อใช้ชำระร่างกายและเส้นสายของพวกเขา


บนแท่นหินแท่นหนึ่ง หั่วเม่ยเอ๋อยืนเงียบๆ ขณะปิงซินกับเหล่าแม่ทัพรวมตัวกันอยู่เบื้องหลังนาง


“เจ้านั่นยังฝึกไม่เสร็จอีกเหรอ?” หั่วเม่ยเอ๋อยืดเอวบิดขี้เกียจเผยส่วนโค้งเว้างดงาม เสียงของนางนุ่มนวลและสะกดใจอย่างยิ่ง


ทว่าที่เบื้องหลัง นอกจากสายตาปิงซินที่มองส่วนโค้งเว้าตรงหน้า สามแม่ทัพต่างหลุบตาลง ส่วนนักรบกงเวทสวรรค์ ที่อยู่รอบด้านก็หรี่ตาลงไม่กล้าหันมองเลยสักนิด เห็นชัดว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้เป็นที่เคารพนับถือในหน่วยรบกงเวทสวรรค์


ปิงซินพยักหน้าอย่างเย็นชา “เขาน่าจะพยายามบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสามอยู่ แต่แค่ไม่รู้ว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่เท่านั้นเอง”


“เขาค่อนข้างบุ่มบ่ามไปสักหน่อย” ที่ด้านข้างปิงซิน แม่ทัพคนหนึ่งส่ายหน้า มู่เฉินฝึกฝนอยู่ที่นั่นแค่สองเดือน โอกาสที่เขาจะบรรลุขุมพลังจึงมีไม่สูงนัก


“เขาได้แก่นเพลิงวิญญาณแมงป่องมังกรเพลิงไป ถ้าเขาชำระและดูดซับได้ก็น่าจะบรรลุขุมพลังได้” หั่วเม่ยเอ๋อพูดพร้อมเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์


พอได้ยินคำพูดดังกล่าว สีหน้าของแม่ทัพทั้งสี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องเพราะพวกเขารู้ว่าแมงป่องมังกรเพลิงน่ากลัวขนาดไหน แม้แต่พวกเขายังไม่สามารถล่ามันได้ แล้วมู่เฉินทำสำเร็จได้อย่างไร?


“ก่อนหน้าพี่ใหญ่บอกว่าได้อสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวเพราะมันสู้กับแมงป่องมังกรเพลิงใช่ไหม?” สายตาของปิงซินสั่นไหว นางหวนนึกถึงคำพูดที่หั่วเม่ยเอ๋อพูดกับนางมาก่อนหน้า


“ใช่ แก่นเพลิงวิญญาณของมู่เฉินเป็นของแมงป่องมังกรเพลิง” หั่วเม่ยเอ๋อพยักหน้า


“พี่ใหญ่ช่วยเหลือเขาแบบนี้ถือว่าแหกกฎนะ ประมุขบอกว่าเขาต้องพึ่งพาตัวเองในการฝึก” ปิงซินเอ่ยพลางขมวดคิ้ว


“ข้าเปล่าช่วยเขานะ” หั่วเม่ยเอ๋อจือปากเบาๆ เอ่ยต่อ “เขาทำเอง”


พอได้ยินคำพูดของนาง ปิงซินก็อึ้งไป เพราะหั่วเม่ยเอ๋อไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหก แต่มู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสองเท่านั้น ต่อให้แมงป่องมังกรเพลิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็ไม่น่าจะฆ่ามันได้


“ประมุขบอกว่าเขาจะต้องผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงให้ได้ใช่ไหม?” หั่วเม่ยเอ๋อเบนสายตามาถามขึ้นในทันที


ปิงซินพยักหน้าก่อนถามกลับ “พี่ใหญ่คิดว่าเขามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จไหม?”


“ยาก”


หั่วเม่ยเอ๋อครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าพูดเบาๆ “ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงเป็นบททดสอบสำหรับผู้ต้องการเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพในหน่วยรบกงเวทสวรรค์ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ที่ไม่คุ้นเคยยังไม่อาจผ่านไปได้ ต่อให้ตอนนี้เขาบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสามได้ก็ยากที่จะทำลายค่ายกล”


“แต่ว่า…”


เมื่อพูดถึงตอนนี้ หั่วเม่ยเอ๋อก็หยุดชะงัก นางนึกถึงตอนที่ชายหนุ่มเหี้ยมหาญเพียงใดขณะที่เผชิญหน้ากับแมงป่องมังกรเพลิง นางก็เม้มปาก “อย่าดูถูกหนุ่มน้อยคนนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสามารถของเขาว่าจะผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงไปได้หรือไม่”


ปิงซินและคนอื่นอึ้งไปเล็กน้อย เพราะไม่มีใครมองโลกสวยเกี่ยวกับเรื่องของมู่เฉิน แต่ก็ไม่คิดว่าหั่วเม่ยเอ๋อจะมีร่องรอยความไม่แน่ใจปะปนอยู่ด้วย


“อย่างไรก็ตามที่ทำได้ก็คือตามดูล่ะนะ มีเวลาเหลือเพียงครึ่งเดือนกว่าจะถึงเส้นตายของกำหนดเวลา” หั่วเม่ยเอ๋อยิ้มก้มมองลงไปที่บ่อเพลิงข่ายฟ้าด้วยดวงตาเป็นประกาย


อีกสิบวันผ่านไปเงียบๆ ภายใต้การรอคอยของหั่วเม่ยเอ๋อและคนอื่นๆ


เหลือเพียงห้าวันก็จะถึงเส้นตายของเวลาสามเดือนแล้ว


นักรบกงเวทสวรรค์ทุกคนลืมตาขึ้น เห็นชัดว่าเมื่อมีคนนอกกำลังจะท้าทายค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง พวกเขาก็ต้องการเป็นพยานกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้


แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ชายหนุ่มที่ชื่อมู่เฉินคิดจะหลบเลี่ยงรึ?


บางคนอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะกับความคิดเช่นนั้น


การรอคอยกินเวลาไปอีกสามวัน


หั่วเม่ยเอ๋อนั่งบนก้อนหินใหญ่ขณะเรือนผมสีแดงเพลิงสยายไปตามแรงลม ทันใดนั้นนางก็ฉายสีหน้าเปลี่ยนไปพลางเงยหน้ามองร่างแสงที่พุ่งตรงมาหาก่อนจะลอยอยู่บนอากาศ


คนที่นำหน้ามีรูปร่างเล็กแต่กลับแผ่แรงกดดันน่ากลัวออกมา ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์นอกจากมั่นถัวหลัวแล้ว ก็ไม่มีใครที่มีแรงกดดันน่ากลัวเช่นนี้อีก


ที่เบื้องหลังมั่นถัวหลัว ไม่เพียงจิ่วโยวจะตามด้วย แม้แต่เหล่าจอมพลและผู้บัญชาการก็ติดตามมาเช่นกัน การรวมตัวนี้ที่ทำให้นักรบกงเวทสวรรค์พากันเผยสีหน้าตะลึงใจ


“เป็นการรวมตัวที่สุดยอดสำหรับเจ้าหนุ่มนั่นเลยทีเดียว” หั่วเม่ยเอ๋อมองเห็นคนที่มาก็คลี่ยิ้มหวานก่อนจะลดศีรษะลง ทันใดนั้นหลุมวนขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นในทะเลลาวาเบื้องล่าง


ตู้ม!


ลาวาพวยพุ่งไปบนเส้นขอบฟ้า ขณะที่ดันตัวขึ้นก็มีร่างคนคนหนึ่งยืนอยู่บนลาวา ค่อยๆ เผยตัวภายใต้สายตานับไม่ถ้วน


ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งมีใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสีดำฉายแววสงบนิ่ง เห็นชัดว่ามู่เฉินบรรลุผลสำเร็จตอนนี้เรียบร้อยแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 761

 

ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง

เหนือบ่อเพลิงข่ายฟ้า


เมื่อร่างของมู่เฉินปรากฏตัวขึ้น สายตานับไม่ถ้วนก็จับจ้องไปยังเขาพลางหดเกร็งลงเล็กน้อย


ตอนนี้รอบกายของมู่เฉินผันผวนไปด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง ม่านตาสีดำของเขาล้ำลึกราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว ความปรวนแปรของคลื่นหลิงอัศจรรย์เปล่งออกมาจากทุกการเคลื่อนไหวของเขา


เห็นได้ชัดว่าเขาแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อเทียบกับสามเดือนที่ผ่านมา


ขุมพลังจื้อจุนทั้งเก้าขั้นของมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างแต่ละขั้น ปกติเมื่อใดที่ผู้ฝึกต้องการบรรลุขุมพลังสักขั้น พวกเขาจะต้องแยกออกฝึกฝนอย่างขมขื่นถึงที่สุด ทว่ามู่เฉินกลับสามารถบรรลุได้ภายในไม่กี่เดือน แม้จะมีความช่วยเหลือจากพลังงานพิเศษของบ่อเพลิงข่ายฟ้า แต่ก็ยังอดทำให้ผู้อื่นรู้สึกตกใจไม่ได้


“เขาทำสำเร็จจริงด้วย” ปิงซินกับแม่ทัพคนอื่นของหน่วยรบกงเวทสวรรค์มองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง เห็นได้ชัดพวกเขารู้สึกน่าเหลือเชื่อที่มู่เฉินสามารถบรรลุขุมพลังได้ภายในเวลาเพียงสามเดือน


แม้ว่าบ่อเพลิงข่ายฟ้าจะให้ประโยชน์ต่อการเพาะบ่ม แต่ก็ไม่ไวขนาดนี้


บนท้องฟ้าเมื่อจิ่วโยวเห็นภาพนี้ รอยยิ้มสายหนึ่งก็แย้มบนมุมปาก นางไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร นั่นเพราะคุ้นกับปาฏิหาริย์มากมายที่มู่เฉินสร้างขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา


ในดวงตาของมั่นถัวหลัวก็ไม่ปรากฏริ้วคลื่นใดๆ นางสะบัดมือนำทุกคนไปบนแท่นหินที่หน่วยรบกงเวทสวรรค์อยู่ เหล่านักรบโค้งคำนับลงทันที


“คารวะท่านประมุข” หั่วเม่ยเอ๋อโค้งคำนับเช่นกัน


มั่นถัวหลัวโบกมือ แม้จะมีรูปลักษณ์เป็นเด็กสาว แต่ก็ไม่มีใครกล้าแสดงอาการกระด้างกระเดื่องจากภายนอกที่เห็นนี้ แรงกดดันอันบีบเค้นที่กำจายออกมาจากการเคลื่อนไหวเรียบง่ายของจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนน่ากลัวในสายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนธรรมดานัก


“ฮ่าๆ ครั้งนี้เจ้าพาต้นกล้าชั้นยอดกลับมาแล้วจิ่วโยว”


หั่วเม่ยเอ๋อหัวเราะขณะมองจิ่วโยวที่ยืนด้านหลังมั่นถัวหลัวด้วยน้ำเสียงชดช้อย “ข้าชักรู้สึกสนใจมู่เฉินซะแล้ว เจ้าให้เขามาอยู่หน่วยรบกงเวทสวรรค์ของข้าเถอะ ข้ายอมรับเงื่อนไขได้หมดเลยนะ”


จิ่วโยวมองหั่วเม่ยเอ๋อแล้วก็นึกถึงอดีต แต่เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาฉับพลัน ทว่าก่อนที่จะได้ตอกกลับอะไรออกไป หั่วเม่ยเอ๋อก็เคลื่อนกายเข้ามาใกล้พร้อมกับหัวเราะเสียงพลิ้ว “ดูเหมือนเจ้าจะไม่เต็มใจนะ แต่เจ้าหนุ่มนั่นไม่เลวจริงๆ”


จิ่วโยวกลอกตาใส่ไม่สนใจที่จะคุยด้วย


ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวจ้องมู่เฉินก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “เส้นตายสามเดือนจบลงแล้ว หากเจ้าต้องการเป็นตัวแทนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์และเข้าร่วมในงานประลองเขตหลงเฟิ่งก็ต้องผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงให้ได้”


ได้ยินชื่อค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง คิ้วของจิ่วโยวก็พันกันยุ่งวูบหนึ่งขณะที่มองมู่เฉินด้วยแววตาเป็นกังวล ชื่อนี้นางคุ้นเคยดี ขณะเดียวกันนางก็รู้ซึ้งถึงพลังของมันดี


“ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงทรงพลังจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ยังผ่านได้แบบยากเย็นเข็ญใจ ดังนั้น…เจ้ายังกล้าที่จะรับหรือไม่?” มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินและเอ่ยช้าๆ


ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินที่ยืนบนลาวาก็ยกดวงตาขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเผยบนใบหน้าหล่อเหลาก่อนจะประสานมือเอ่ยเสียงเรียบ “ตั้งค่ายกลได้เลย ท่านประมุข”


รอยยิ้มของชายหนุ่มดูสงบนิ่งและสบาย ไม่มีความกลัวใดๆ แม้จะรู้ดีถึงอันตรายใหญ่หลวง สภาพจิตใจของเขาดึงดูดจอมยุทธ์ที่นี่ให้รู้สึกชื่นชมขึ้นมาไม่น้อย


การที่ชื่อเสียงของเขาร่ำลือกว้างไกลในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้ในเวลาอันสั้น ชายหนุ่มคนนี้สมกับคำยกย่องแท้จริงแล้ว


แน่นอนว่าก็มีบางคนลอบเบ้ปาก ส่วนใหญ่เป็นนักรบกงเวทสวรรค์ กระทั่งปิงซินกับแม่ทัพคนอื่นก็ไม่มีความเห็นใดๆ ต่อความมั่นใจของมู่เฉิน พวกเขาไม่ได้ดูถูกมู่เฉิน แต่เป็นเพียงความเข้าใจที่มีต่อค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงที่มากกว่าคนอื่นเท่านั้น


ตอนนั้นที่พวกเขาฝ่าค่ายกล ทุกคนประสบกับความล้มเหลวนับไม่ถ้วนก่อนจะทำสำเร็จแบบรากเลือด นอกจากนี้ตอนได้รับบททดสอบพลังของพวกเขายังแข็งแกร่งกว่ามู่เฉินอีกด้วย


พวกเขาผ่านความล้มเหลวหลายครั้ง การอยากให้มู่เฉินผ่านไปได้ในครั้งเดียวเป็นเรื่องผิดแผกเกินไปหน่อย


มั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจกับสายตารอบด้าน นางพยักหน้าเบาๆ เมื่อเห็นว่ามู่เฉินตัดสินใจได้แล้ว “ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะถอย งั้นก็ตามความขอเลย เมื่อใดที่เจ้าผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงได้ ข้าจะให้เจ้าเป็นแม่ทัพลำดับหกของหน่วยรบกงเวทสวรรค์”


เมื่อคำพูดประโยคนี้เปล่งออกจากปากนาง ก็สร้างเสียงฮือฮาขึ้นทันที หน่วยรบกงเวทสวรรค์เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ขึ้นตรงต่อการบัญชาการของประมุข นับว่าเป็นหนึ่งในไพ่ตายของสำนัก แม้แต่เหล่าผู้บัญชาการก็เข้ามายุ่งเกี่ยวไม่ได้ ไม่คิดว่าประมุขจะให้มู่เฉินขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพลำดับหก


แสงวูบไหวในดวงตาของเหล่าผู้บัญชาการ ก่อนจะมองมู่เฉินด้วยความอิจฉาและสงสัยว่าทำไมประมุขถึงปฏิบัติต่อมู่เฉินดีมากนักในใจ ก่อนหน้านางก็ปกป้องเขาจากตำหนักสุดนภา ตอนนี้ยังตั้งใจให้เขาขึ้นเป็นฐานะแม่ทัพหน่วยรบกงเวทสวรรค์อีก…


หั่วเม่ยเอ๋อกับคนอื่นประหลาดใจไปเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของมั่นถัวหลัว เพราะหากมู่เฉินสามารถผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงไปได้จริง เขาก็จะมีคุณสมบัติเป็นแม่ทัพหน่วยรบกงเวทสวรรค์


จิ่วโยวไม่ได้พูดอะไร เพราะแม้ว่ามู่เฉินจะเป็นแม่ทัพหน่วยรบกงเวทสวรรค์ เขาก็ยังสามารถควบคุมหน่วยรบวิหคโลกันตร์ ดังนั้นนางจึงหวังให้มู่เฉินประสบความสำเร็จ ไม่ว่าอย่างไรหน่วยรบกงเวทสวรรค์ก็แข็งแกร่งมากจริงๆ


เมื่อมั่นถัวหลัวพูดจบก็โบกมือ ทุกคนรู้สึกได้ถึงคลื่นน่าสะพรึงกระเพื่อมออกมาจากส่วนลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้า จากนั้นพวกเขาก็เห็นทะเลลาวาในบ่อเพลิงข่ายฟ้ายกตัวสูงขึ้นด้วยความเร็วน่าตกใจ


ครืน!


ลาวากลิ้งตัวราวกับคลื่นนับหมื่นถั่งโถมอยู่ในหุบเหว แม้แต่ภูเขาไฟทั้งลูกยังสั่นสะเทือนจากแรงมหาศาลนี้


ปัง! ปัง!


ขณะที่บ่อเพลิงข่ายฟ้ากำลังยกตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสาลาวาสูงพันจ้งก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวเป็นแม่น้ำลาวาขนาดใหญ่


แม่น้ำเหล่านั้นม้วนตัวแล้วแหวกออกจากกัน ก่อตัวเป็นทะเลลาวาบนท้องฟ้า ลวดลายลาวาสีแดงก่ำเพิ่มขึ้นในทะเลอย่างต่อเนื่อง


โฮก!


ลวดลายเหล่านี้รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เหมือนจะมีเสียงมังกรคำรามรุนแรงออกมา แสงสีแดงลุกโชนขึ้น มังกรยักษ์เก้าตัวที่ไม่สามารถมองเห็นได้ทั้งหมดก็ก่อตัวขึ้น


มังกรทั้งเก้าตัวมีสีแดงขดตัวอยู่ในทะเลลาวาพร้อมกับลาวาไหลบนร่างใหญ่โต แรงกดดันบีบคั้นน่าสะพรึงแผ่ออกมาจากร่างของพวกมัน ทำให้สีหน้าจอมยุทธ์จำนวนมากเปลี่ยนไป


เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ว่ามังกรพวกนี้ทรงพลังมากเพียงใด นอกจากนี้จุดสำคัญที่สุดก็คือมังกรเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ภาพลวงตา มีแรงกดดันแท้จริงของเผ่ามังกรแผ่ออกมาจากร่างพวกมัน


“มังกรพวกนั้นไม่ใช่ภาพลวงตา แต่ละตัวเกิดจากหยดเลือดมังกรไฟโบราณที่ไหลอยู่ในส่วนลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้า ตราบใดที่ลาวาไม่สิ้น มันก็จะไม่ตาย” ดวงตาสีทองของมั่นถัวหลัวมองมู่เฉิน เสียงอ่อนโยนดังก้องด้วยความเรียบเฉยบนท้องฟ้า


มู่เฉินเผยสายตาเคร่งเครียด มังกรลาวายักษ์ทุกตัวมีความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงเล็ดลอดออกมา ด้วยจำนวนถึงเก้าตัว แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ยังไม่กล้าปะทะพวกมันซึ่งหน้า พลังดังกล่าวไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงกลายเป็นบททดสอบของแม่ทัพหน่วยรบกงเวทสวรรค์


“ค่ายกลจัดเตรียมแล้ว ถ้าเจ้าเตรียมตัวพร้อมก็ก้าวเข้าไปได้ แต่เมื่อเข้าไปแล้ว ก็ต้องพึ่งพาพลังของตน แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปช่วยเจ้าได้ หลายปีที่ผ่านมาจำนวนคนตายในนั้นไม่เคยขาด”


มั่นถัวหลัวพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ดังนั้นตอนนี้เจ้ายังมีโอกาสถอย”


ฮา


มู่เฉินสูดหายใจลึก เขาสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายที่แผ่ออกมาจากค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวยังไม่อาจทำให้เขารู้สึกกลัวได้หรอก


แววตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคมกล้า เขาไม่พูดอะไรอีกตบฝ่าเท้าเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในค่ายกลขนาดใหญ่ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน


ขณะที่เข้าใกล้ ลมแผดเผาก็พัดปะทะใบหน้า ราวกับว่าต้องการให้เขามอดไหม้ อุณหภูมินี้เพียงพอที่จะหลอมทองคำได้ จากจุดนี้บอกได้ว่าค่ายกลนี้อันตรายเพียงใด


ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ลดความเร็วลง คลื่นหลิงมหาศาลพวยพุ่งออกมาปกคลุมร่าง ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในทะเลลาวาที่กำจายอุณหภูมิสูงน่ากลัวออกมา


ตู้ม!


ทันทีที่มู่เฉินพุ่งเข้าไปในค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง อุณหภูมิที่น่าสะพรึงก็กวาดออก คลื่นเชี่ยวกรากโถมเข้าใส่ ราวกับภูเขาที่ต้องการบดขยี้เขาให้เป็นผุยผง


นี่เป็นการโจมตีที่คาดไม่ถึง แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ตื่นตระหนก เขากระทืบฝ่าเท้า แสงสีทองพวยพุ่งในดวงตาขณะที่ร่างเทพสุริยะถูกเรียกออกมาในทันที


ตึง!


คลื่นกระแทกเข้ากับร่างเทพสุริยะก่อนที่ลาวาจะไหลลงมาจากร่างทองคำ ทว่าอุณหภูมินี้กลับทำให้ร่างเทพสุริยะเปล่งแสงสีทองเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม


มู่เฉินปรากฏตัวอยู่บนหัวร่างเทพสุริยะที่ยืนอยู่บนทะเลสีแดงเพลิง สายตาคมกริบของเขามองไปที่ทั้งแปดทิศของค่ายกลที่มีมังกรแปดตัวมหึมาขดตัวอยู่ ดวงตาสีแดงฉานของพวกมันจ้องมองร่างสีทองเขม็ง ความผันผวนที่แผ่ออกมาจากร่างพวกมันก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น


“ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง… ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้าทรงพลังขนาดไหนกัน!”


มู่เฉินสูดหายใจเอาอากาศร้อนระอุเข้าไปลึก สายตาคมกริบราวกับใบมีด อึดใจเขาก็กระทืบเท้า ร่างเทพสุริยะทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะกำมือเรียกเสาปีศาจราชันพระสุเมรุออกมาในพริบตา เสาปีศาจกวาดลง ทำให้เกิดเงาขนาดใหญ่ปกคลุมมังกรลาวาตัวหนึ่ง


เผชิญกับค่ายกลทรงพลัง มู่เฉินไม่รอสังเกตการณ์อะไรทั้งนั้น กลับปล่อยการโจมตีก่อน


ภาพนี้ทำเอาหนังตาของจอมยุทธ์หลายคนกระตุกขึ้นเลยทีเดียว

 

 

 


ตอนที่ 762

 

อักขระชนวนสวรรค์

ตู้ม!


เสาปีศาจฟาดลงมาพร้อมกับรังสีชั่วร้ายมหาศาลขณะที่เงาใหญ่โตและคลื่นหลิงเชี่ยวกรากทะยานลงมาจากท้องฟ้า ปกคลุมมังกรลาวาสีแดงไว้ตัวหนึ่ง


การโจมตีแรกของมู่เฉินเร้าคลื่นหลิงในร่างกายจนถึงขีดสุด เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนอันตรายอันเย็นเยือกที่กำจายออกมาจากค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง พลังที่บรรจุอยู่ในค่ายกลเหนือจินตนาการนัก หากเขาออมมือเอาไว้ ก็รังแต่จะสร้างความอับอายให้ตัวเอง


ขณะที่เงาใหญ่ปกคลุมลงมา มังกรลาวายักษ์ก็ไม่มีท่าว่าจะหลบหลีก แต่กลับปะทุด้วยแววดูถูกในดวงตา จากนั้นมังกรก็อ้าปากยิงแสงสีแดงออกมา ก่อร่างเป็นโล่เกล็ดมังกรสีแดงขนาดร้อยจั้งเหนือร่างมัน


โล่เกล็ดมังกรเปล่งประกายแสงเจิดจ้า แม้จะไม่หนา แต่ก็กระจายระลอกคลื่นที่ไม่อาจทำลายได้ขณะลอยตัวอยู่เงียบๆ ปล่อยให้เสาปีศาจกระแทกลงมา


เคร้ง!


เสียงโลหะคมชัดดังก้องกังวานเมื่อพลังสองสายชนกัน ชั่วอึดใจนั้นพายุคลื่นหลิงน่าตกใจก็กวาดอาละวาดออกมา


สีหน้ามู่เฉินอดเปลี่ยนไปไม่ได้กับการปะทะฉับพลันนี้ เพราะเขารู้สึกได้ถึงพลังสะท้อนกลับที่แข็งแกร่งจนน่าตกใจแผ่มาจากโล่เกล็ดมังกร ถึงขนาดเกือบจะซัดเสาปีศาจให้กระเด็นออกไปเลยทีเดียว


เพียงมังกรตัวเดียวก็ยากมากที่จะจัดการ ถ้าทั้งเก้าตัวโจมตีพร้อมกันละก็ เขาคงตกที่นั่งลำบากแน่


โฮก!


เมื่อความคิดนี้วาบขึ้นในใจของมู่เฉิน เสียงมังกรคำรามจำนวนมากก็ดังขึ้น มู่เฉินยกสายตาขึ้นก็หดเกร็งทันที ในทะเลลาวาสีแดง มังกรทั้งเก้าจ้องเขม็งมองมา เกล็ดบนร่างใหญ่โตตั้งชันขึ้นซึ่งอัดแน่นด้วยความต้องการโจมตีที่น่าขนพองสยองเกล้า


ปัง!


ร่างใหญ่โตทั้งเก้าสั่นเทิ้มทันที แสงสีแดงสาดออกมาขณะที่เกล็ดพุ่งออกมาจากทุกทิศทาง ราวกับพายุซัดกระหน่ำใส่มู่เฉิน


เกล็ดมังกรทุกเกล็ดเปล่งประกายคมกริบพุ่งผ่านท้องฟ้าจนเกิดรอยจางขึ้น ปริมาณมหาศาลเช่นนี้ที่มารวมกัน แม้แต่มู่เฉินก็ใบหน้าอดกระตุกไม่ได้


ฮา


เขาสูดหายใจลึกสุดปอด แสงสีทองวูบไหวในส่วนลึกของม่านตาสีดำ จากนั้นร่างสีทองกำยำก็ปรากฏขึ้นครอบร่างกายเขาไว้ ดูจากระยะไกลเหมือนกับพระพุทธรูปทองคำที่ไม่มีสิ่งใดบนโลกสามารถโยกคลอนได้


ปัง! ปัง! ปัง!


เกล็ดสีแดงเข้มพุ่งเข้าหาร่างสีทองไม่จบสิ้น แต่เมื่อพวกมันอยู่ห่างออกไปจั้งกว่า ก็ระเบิดออกภายใต้แสงสีทองที่ลุกโชติช่วง เมื่อพลังที่เหลือซัดใส่ร่างเทพสุริยะก็ไม่ได้แสดงภัยคุกคามมากมายนัก


“ร่างเทห์สวรรค์ของเจ้านี่ดูพิเศษไม่น้อย” เมื่อเหล่านักรบกงเวทสวรรค์เห็นภาพนี้ ริ้วความประหลาดใจก็พล่านในดวงตา พวกเขารู้สึกได้ว่าร่างเทพสุริยะนี้ไม่ธรรมดา


“พลังของค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงเพิ่งจะเริ่มต้น ของจริงกำลังจะมาแล้ว” ปิงซินกอดอกด้วยสีหน้าสงบนิ่ง นางรู้ว่ามู่เฉินไม่ได้โง่ ในเมื่อเขากล้าที่จะฝ่าค่ายกล ก็ต้องมีไพ่ตายอยู่กับตัว ดังนั้นนางจึงไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกที่มู่เฉินสามารถต้านทานการโจมตีกระบวนแรกได้อย่างง่ายดาย


แต่เช่นเดียวกัน ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงก็ไม่ได้มีพลังเพียงเท่านี้


ทุกสายตาพุ่งตรงไปที่ทะเลลาวาที่กำลังม้วนตัว ซึ่งร่างสีทองกำลังยืนนิ่งแผ่แรงกดดันน่าตกใจออกมา


โฮก!


เสียงมังกรคำรามลึกต่ำดังออกพร้อมกับแรงกดดันอันแข็งแกร่ง เมื่อมังกรทั้งเก้าขดตัวลง แสงสีแดงก็แล่นแปลบปลาบบนร่างกาย เกล็ดที่ปล่อยออกไปก่อนหน้างอกขึ้นมาใหม่ แสงสีแดงพล่านในดวงตาขณะที่พวกมันอ้าปากน่ากลัวในเวลาเดียวกัน


ฟิ้ว!


ทะเลลาวาพลุ่งพล่านทันทีในเวลานี้ เสาลาวาขนาดใหญ่พุ่งขึ้นสู่ฟ้า แสงสีแดงลุกโชนจากเสาลาวาขณะพุ่งผ่านผิวทะเลไป จากนั้นก็ก่อตัวเป็นอักขระโบราณเก้าชิ้นลุกโชนด้วยเปลวเพลิง โดยมีลาวาไหลปกคลุม


ทันทีที่อักขระทั้งเก้าปรากฏขึ้น อุณหภูมิโดยรอบก็พุ่งขึ้นสูง แม้แต่มิติยังเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน มองไกลๆ ดูราวกับกลุ่มเพลิงขนาดใหญ่กำลังลุกไหม้บนท้องฟ้า


“นี่คือเก้ามังกรอักขระชนวนสวรรค์” ดวงตาของปิงซินและคนที่เหลือหดเกร็ง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลง พวกเขาไม่ได้แปลกประหลาดกับการโจมตีชุดใหญ่ของค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง ตอนที่พวกเขาเข้าไปในค่ายกล มีแต่เทพเซียนที่รู้ว่าพวกเขาล้มเหลวกี่ครั้งกับกระบวนท่านี้


ตู้ม!


เมื่ออักขระทั้งเก้าปรากฏขึ้น แสงแพรวพราวก็ปกคลุมท้องฟ้า ก่อร่างเป็นลำแสงเก้าสายที่พวยพุ่งด้วยเปลวเพลิง ลำแสงพุ่งผ่านท้องฟ้าราวกับอุกกาบาต หมุนรอบมู่เฉินในระยะพันจั้ง ขณะที่ลำแสงสีแดงทั้งเก้าโคจรพื้นที่ที่มู่เฉินอยู่ มิติบริเวณนี้ก็เริ่มบิดเบี้ยวด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ พร้อมกับอุณหภูมิสูงน่ากลัวราวกับต้องการจะเผาไหม้ทั่วทั้งบริเวณ


สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขารู้สึกได้ถึงอุณหภูมิน่ากลัวที่กวาดมาหา กระทั่งร่างข่ายฟ้าทองคำที่ผนวกเข้ากับผิวร่างเทพสุริยะยังหม่นแสงลง


“ข้าปล่อยให้อักขระพวกนี้หมุนต่อไปไม่ได้แล้ว” มู่เฉินขมวดคิ้ว อุณหภูมิที่ปลดปล่อยออกมาจากการหมุนตัวของอักขระทวีความน่ากลัวมากขึ้น ถ้านี่ยังดำเนินต่อไป แม้แต่ร่างเทพสุริยะก็ไม่อาจทนได้


ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงไม่ใช่สิ่งที่จะรับมือได้ง่ายจริงๆ


มู่เฉินเม้มปากแน่นขณะยืนอยู่บนหัวของร่างเทพสุริยะ จากนั้นก็เหยียดมือทั้งคู่ออกไป เมื่อพลิกมือ เพลิงสีม่วงกับสายฟ้าไร้ตัวตนก็ปรากฏบนมือแต่ละข้าง


“หืม นี่มันคลื่นหลิงที่มีองค์ประกอบแตกต่างกันสองชนิด” ทันทีที่มู่เฉินเผยสิ่งนี้ ก็ทำให้พวกปิงซินอุทานออกมา ด้วยสายตาพวกเขาบอกได้ว่าคลื่นหลิงที่อยู่บนฝ่ามือของมู่เฉินหลอมรวมด้วยพลังงานทรงพลังไม่น้อย


ตู้ม!


อักขระลาวาทั้งเก้าสั่นไหว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอุกกาบาตเก้าดวงข้ามผ่านขอบฟ้ามาหามู่เฉิน


คลื่นความร้อนโถมซัด อุณหภูมิร้อนเดือดทำให้แสงสีทองรอบร่างเทพสุริยะหดกลับไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนแววตาของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นคมกริบ อักขระลาวาทั้งเก้าทรงพลังมาก หากถูกซัดเข้าพร้อมกัน แม้แต่ร่างเทพสุริยะก็รับไม่ไหว


ดังนั้นเขาต้องหาทางตัดกำลังก่อน


มู่เฉินกระทืบเท้าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ซัดฝ่ามือที่สามารถเคลื่อนภูเขาม้วนทะเลออกไป คลื่นหลิงสองสาย หนึ่งพล่านเพลิงสีม่วงหนึ่งแฝงเสียงสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ ตอนนี้มู่เฉินยังไม่สามารถรวมคลื่นหลิงทั้งสองอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อให้พลังเหล่านี้แยกกัน ก็เหนือกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามธรรมดาหลายขุมแล้ว


สองเสียงอื้ออึงที่บรรจุด้วยคลื่นหลิงทั้งหมดของมู่เฉินกวาดออกปะทะกับอักขระสองชิ้นที่ดูราวกับอุกกาบาต


ตู้ม!


ท้องฟ้าเหมือนจะสั่นสะเทือนในขณะนี้ คลื่นเชี่ยวกรากยกตัวขึ้นในทะเลลาวาแล้วบ่าลงมาทุกทิศทาง


จอมยุทธ์จำนวนมากต่างหรี่ตาลงมองจุดปะทะ เมื่อลาวาล้นทะลัก อุกกาบาตทั้งสองที่เกิดจากอักขระชนวนสวรรค์ก็ระเบิดออก


“เขาสามารถทำลายอักขระชนวนสวรรค์ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นสามงั้นเหรอ?” จอมยุทธ์บางคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ อักขระชนวนสวรรค์ชิ้นหนึ่งก็สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามจนปัญญา เมื่อทั้งเก้าชิ้นพุ่งออกมา แม้จะทุ่มพลังทั้งหมดก็ไม่อาจทำลายพวกมันได้ แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะทำลายไปได้ถึงสองชิ้น?!


“คลื่นหลิงของเขาได้รวมกับพลังงานธรรมชาติน่ากลัว” หั่วเม่ยเอ๋อกะพริบตา นางรู้เหตุผลว่าทำไมคลื่นหลิงของมู่เฉินจึงทรงพลังนักเพียงแค่มองแวบเดียว


“แต่กลัวว่าการทำลายอักขระชนวนสวรรค์สองชิ้นก็ยังไม่พอน่ะสิ”


ภายในค่ายกลมู่เฉินก็เหมือนจะรู้ว่าคนอื่นคิดอะไรอยู่ในใจ เขามองลาวาที่บ่าลงมาจากท้องฟ้า มือวาดกระบวนท่าทันที จากนั้นความผันผวนแปลกประหลาดก็กระเพื่อมออกมา


สายตาของจิ่วโยว หั่วเม่ยเอ๋อและเหล่าผู้บัญชาการเปลี่ยนไป เห็นชัดว่าแต่ละคนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง


“นั่นมัน?” ปิงซินกับคนอื่นอุทานออกมาขณะที่เห็นมิติเหนือร่างมู่เฉินบิดเบี้ยวรุนแรง ดอกบัวดำสามดอกปรากฏขึ้นจากที่ไหนไม่ทราบ ความแปรปรวนที่เกิดขึ้นของพวกมันแตกต่างจากการโจมตีจากคลื่นหลิงโดยทั่วไป


“นั่นคือค่ายกล!”


ในที่สุดก็มีคนอุทานออกมา แถวแสงซับซ้อนและคลื่นหลิงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบนี้เป็นของค่ายกลอย่างไม่ต้องสงสัย


“เจ้านั่นเป็นหลิงเจิ้นซือด้วยงั้นหรือ?” ปิงซินกับคนที่เหลืออ้าปากค้าง ไพ่ตายที่มู่เฉินซ่อนไว้ช่างเหนือความคาดหมายของพวกเขาไปไกล เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นมู่เฉินใช้ค่ายกลมาก่อน


ค่ายกลดอกบัวสีดำทั้งสามนี่ก็คือค่ายกลบัวยมทูต ด้วยพลังปัจจุบันและความเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล ทำให้ค่ายกลบัวยมทูตที่มู่เฉินสร้างขึ้นทรงพลังยิ่งกว่าในอดีต


ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!


ดอกบัวสีดำสามดอกระเบิดเปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำสามสายปะทะกับอักขระชนวนสวรรค์อีกสามชิ้น ขณะที่คลื่นหลิงเกี้ยวกราด อักขระชนวนสวรรค์สามชิ้นก็ระเบิดออก


แต่ยังมีอักขระชนวนสวรรค์เหลือสี่ชิ้นที่พุ่งผ่านการโจมตีหลายกระบวนท่ามาได้ อึดใจก็ปรากฏตรงหน้ามู่เฉินประมาณหนึ่งร้อยจั้ง ทันใดนั้นมิติบริเวณนั้นก็บิดเบี้ยวรุนแรงราวกับว่าถูกแผดเผา


ตอนนี้สายเกินไปที่จะสกัดพวกมันแล้ว


คนจำนวนมากจ้องมู่เฉินเขม็ง ตอนนี้เขาจะทำอะไรได้อีก?


ฮา


ภายใต้สายตาผู้คน มู่เฉินก็พ่นลมหายใจออกมา จากนั้นนิ้วมือประสานเข้าด้วยกันช้าๆ ขณะเดียวกันร่างเทพสุริยะก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ไอคมกริบพล่านขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของมู่เฉิน


ในเมื่อหลบไม่ได้ ก็เผชิญหน้ากันตรงๆ ไปเลย!


ร่างเทพสุริยะของข้า ไม่ได้อ่อนอย่างที่พวกเจ้าคิด!


แสงสีทองโชติช่วงปะทุออกจากหว่างคิ้วของร่างเทพสุริยะ ราวกับดวงอาทิตย์ร้อนแรงลุกโชน สุดท้ายแสงที่ดูราวกับทำจากทองคำก็ปกคลุมไปทั่วร่างเทพสุริยะ


อักขระชนวนสวรรค์ทั้งสี่ราวกับอุกกาบาตกระแทกลงบนร่างเทพสุริยะขนาดใหญ่


ตึง! ตึง!


มิติโยกคลอน รอยร้าวขนาดใหญ่กระจายราวกับใยแมงมุมขณะที่แสงสีแดงกวาดไปทั่วบริเวณนี้


คนนับไม่ถ้วนจ้องมองตรงไปที่นั่น


“อักขระชนวนสวรรค์ห้าชิ้นสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ได้รับบาดเจ็บหนักเลยนะ!” เหล่านักรบกงเวทสวรรค์ บางคนพูดออกมาด้วยเสียงต่ำพร้อมกับส่ายหน้าในใจ ฝีมือของมู่เฉินนับว่าดีไม่น้อย แต่จะต้านทานอักขระชนวนสวรรค์ได้ง่ายๆ อย่างไรกัน?


“เดี๋ยวก่อน!”


ทว่าขณะที่พวกเขาเอ่ยออกมา ดวงตาของบางคนก็หดเกร็ง


ทุกคนเบนสายตาตรงไปยังจุดที่ลาวาไหลบ่าลงมา ตรงนั้นร่างใหญ่สีทองที่มีดวงตะวันเจิดจ้าหลังศีรษะก้าวเท้าออกมา แสงกระจายไปทุกทิศทางดูราวกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ไม่สามารถทำลายได้ ความน่าทึ่งที่เกิดขึ้นทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากต้องแอบสูดอากาศสุดปอด


นั่นเพราะร่างสีทองไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย!

 

 

 


ตอนที่ 763

 

 หยดเลือดมังกรไฟโบราณ

แสงสีทองพร่างพราวระเบิดบนท้องฟ้า


ร่างสีทองขนาดใหญ่ก็ทะยานผ่านคลื่นความร้อนสีแดงฉานออกมาราวกับพระพุทธรูปทองคำ ท่าทีดุดันทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากอดมีสีหน้าเปลี่ยนไปไม่ได้ สายตาก็ขรึมลง


นั่นเพราะมู่เฉินไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ จากอักขระชนวนสวรรค์ทั้งห้าชิ้นเลย!


นี่เป็นการโจมตีที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ยังต้องถอย!


“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?” ปิงซินกับแม่ทัพคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะอุทาน เห็นชัดว่าผลลัพธ์ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคาดไว้ ชายหนุ่มที่ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามสามารถต้านทานอักขระชนวนสวรรค์ทั้งห้าได้อย่างไร?


“ฮ่าๆ ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้านี่ไม่ธรรมดา” หั่วเม่ยเอ๋อหัวเราะพร้อมกับแววอัศจรรย์ใจฉายในดวงตา เพราะนางสัมผัสได้ว่าร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินฝึกฝนทรงพลังอย่างยิ่ง


ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ร่างมู่เฉินก็ปรากฏอยู่บนหัวของร่างเทพสุริยะอีกครั้งก่อนที่เขาจะกระทืบเท้า ดวงอาทิตย์โชติช่วงตรงหว่างคิ้วของร่างเทห์สวรรค์เจิดจรัสมากขึ้น ประกายระยิบระยับพล่านบนพื้นผิวของมัน


ตู้ม!


ร่างเทพสุริยะพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง ปรากฏเหนือหัวมังกรลาวาในพริบตา อึดใจฝ่ามือระยิบระยับก็ฟาดลงบนหัวมังกรราวกับสายฟ้าฟาด แสงสีทองน่ากลัวกระจายออก


ตึง!


เมื่อแสงสีทองปะทุออก มังกรลาวาก็ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับรอยร้าวสีทองแผ่กระจายบนหัวของมัน ก่อนที่จะระเบิดเสียงดังตูมใหญ่ ลาวาสาดกระเซ็นไปทุกทิศทาง


มู่เฉินยืมพลังทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะ คลื่นหนึ่งตะวันโจมตีสังหารมังกรลาวาหนึ่งตัวในพริบตา


เหตุการณ์ฉับพลันนี้ทำให้ดวงตาจอมยุทธ์จำนวนมากต้องหดเกร็ง พวกเขารู้สึกตะลึงใจกับความเด็ดขาดและเหี้ยมหาญของมู่เฉินนัก ดูเหมือนเขาเองก็รู้ว่าไม่สามารถปล่อยให้มังกรทั้งเก้าปลดปล่อยการโจมตีอย่างไม่มีสิ้นสุดได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เขามีร่างเทห์สวรรค์ทรงพลัง ก็ยากที่จะยืนหยัดอยู่จนถึงจุดสุดท้าย


วาบ!


มู่เฉินไม่หยุดเคลื่อนไหวหลังจากสังหารมังกรลาวาได้ตัวหนึ่งด้วยความรวดเร็ว เขาหันหลังกลับพุ่งเข้าใส่มังกรลาวาอีกตัวหนึ่ง


โฮก!


แต่มังกรลาวาที่เหลือก็ฟื้นคืนจากความตะลึงก่อนหน้า แต่ละตัวส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น ขณะกรงเล็บมังกรที่มีลาวาไหลพล่านฉีกผ่านมิติ พุ่งไปที่ร่างใหญ่สีทอง


กรงเล็บมังกรแปดตัวฉีกขาดมิติซัดเข้ามา ความผันผวนของพลังที่น่ากลัว ล้อมกรอบพื้นที่รอบตัวมู่เฉินทำให้หนีไปไหนไม่ได้เลย ทว่ามู่เฉินก็ยังคงมีสีหน้านิ่งสงบ เขาเปลี่ยนตราประทับในมือวูบไหว ดวงอาทิตย์โชติช่วงบนหว่างคิ้วร่างเทพสุริยะก็กระจายแสงเข้มข้นมากกว่าเดิม


เห็นชัดว่าเขาเร้าคลื่นหนึ่งตะวันของทักษะเทห์สวรรค์จนถึงขีดสุดแล้ว


ร่างเทพสุริยะยืนตระหง่านบนท้องฟ้าขณะที่เสาปีศาจปรากฏขึ้นในมือที่กำแน่น รังสีชั่วร้ายและแสงสีทองพวยพุ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน เมื่อเสาปีศาจกวัดแกว่ง ลำแสงมากมายก็ระเบิดออก ชนเข้ากับกรงเล็บมังกรทั้งแปด


ตู้ม! ตู้ม!


ความปรวนแปรน่ากลัวราวกับดงพายุพัดอาละวาด ทุกคนอ้าปากค้างมองบนท้องฟ้า แสงสีทองพวยพุ่ง มู่เฉินควบคุมร่างเทพสุริยะเข้าห้ำหั่นกับมังกรทั้งแปดไม่มีกลัวเกรง ยิ่งกว่านั้นพลังโจมตีของเขายังดุดัน เขาไม่ได้สนใจกับการป้องกัน พุ่งเข้าโจมตีจังๆ เท่านั้น


ด้วยวิธีการเช่นนี้ เพียงไม่กี่สิบกระบวนท่า ร่างเทพสุริยะก็ปกคลุมไปด้วยรอยเล็บ ทว่าเมื่อใดที่แสงสีทองส่องประกายผ่าน รอยเล็บก็จะจางหายไป ร่างเทพสุริยะมีพลังป้องกันสูงยิ่งบวกกับการมีร่างข่ายฟ้าทองคำด้วยแล้ว มู่เฉินก็ไม่กลัวการต่อสู้ท้ามฤตยูเช่นนี้


บนท้องฟ้าร่างเทห์สวรรค์กับมังกรลาวาแปดตัวโรมรันพันตู การต่อสู้ท้ามฤตยูนี้ทำให้หนังตาของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนที่มองอยู่ถึงกับกระตุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวิธีการต่อสู้ดุดันของมู่เฉิน ทำเอาริมฝีปากของพวกเขากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ แม้ชายคนนี้จะอ่อนวัย แต่เขาก็ดุดันยิ่งกว่าใครในที่นี้


การต่อสู้บ้าคลั่งบนท้องฟ้าดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาเพียงสิบนาที ทว่าก็มีมังกรลาวาสี่ตัวถูกทำลายด้วยเสาปีศาจแล้ว แน่นอนว่ามู่เฉินก็ได้จ่ายราคาแพงระยับกับการดวลนี้ รอยเล็บข่วนลึกอยู่บนอกของร่างเทพสุริยะโดยมีลาวาแผดเผาไหลเวียน ซึ่งทำให้ร่างเทพสุริยะที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษายังยากที่จะฟื้นตัวได้ในเวลาสั้นๆ


ตอนนี้เหลือมังกรลาวาสามตัวอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น


“น่าเกรงขามจริงๆ” จอมยุทธ์จำนวนมากอุทานด้วยความชื่นชม


หั่วเม่ยเอ๋อ ปิงซินและคนอื่นต่างส่ายหน้าเบาๆ


“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาจะไม่มีโอกาสฝ่าค่ายกลออกมาได้แน่” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเรียบขณะมองภาพนี้ด้วยอาการสงบ


พอได้ยินคำพูดของนาง ใบหน้าของจิ่วโยวก็เปลี่ยนไป นางไม่คุ้นเคยกับค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง ดังนั้นจึงไม่อาจเข้าใจในคำพูดของมั่นถัวหลัวได้


มั่นถัวหลัวไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ เพราะตอนนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในค่ายกล ลาวาม้วนตัวขณะที่เสาลาวาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าตามด้วยเสียงมังกรคำราม กรงเล็บแหลมคมพุ่งออกมาจากลาวา เผยให้เห็นร่างดุร้าย มังกรลาวาอีกหกตัวปรากฏขึ้นแล้ว!


เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้มังกรกลับมาเป็นเก้าตัวเช่นเดิม การต่อสู้หนักหน่วงก่อนหน้าของมู่เฉินเท่ากับเป็นเรื่องเสียเปล่าซะแล้ว!


เมื่อเห็นภาพนี้แล้ว ไม่เพียงมู่เฉินจะมีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้แต่เหล่าจอมยุทธ์ที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงก็ยังต้องดวงตาหดเกร็งลง


จอมยุทธ์หลายคนถึงกับงงงวย แต่พวกเขาก็เห็นว่าค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงมีพลังน่าสะพรึงเพียงใด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนี่จึงเป็นบททดสอบของการเป็นแม่ทัพหน่วยรบกงเวทสวรรค์


“มันไม่สามารถทำลายค่ายกลได้ด้วยกำลังหรอก” หั่วเม่ยเอ๋อพึมพำกับตัวเอง


ในลาวา มู่เฉินถึงกับขมวดคิ้วกับภาพตรงหน้า ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกายวูบวาบ ดูเหมือนค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงจะไม่ง่ายอย่างที่เขาคิดเสียแล้ว แม้ว่ามังกรเก้าตัวจะน่าสะพรึง ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำลายค่ายกลได้โดยการกำจัดพวกมัน ท่าทางพวกมันจะกลับคืนมาทบจำนวนไม่ว่าเขาจะทำลายพวกมันกี่ครั้งก็ตาม


ดังนั้นเท่ากับว่าเขาเสียพลังเปล่าประโยชน์


“เป็นอย่างนี้ได้ยังไง?” มู่เฉินหรี่ตาลงมองลาวาสีแดงเบื้องล่าง ความคิดหนึ่งวาบหนึ่งเข้ามา เขาคิดทบทวนคำพูดของมั่นถัวหลัว


‘ตราบใดที่ยังมีลาวาอยู่ มังกรลาวาก็ไม่ตาย’


ตอนแรกมู่เฉินก็นึกสงสัยคำพูดอยู่ในใจ แต่หลังจากลงมือแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่มั่นถัวหลัวพูดนั้นไม่ผิด แต่เขาจะต้องทำลายลาวาทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จริงหรือ? แต่นั่นก็ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะที่นี่เชื่อมโยงกับแหล่งกำเนิดไฟที่อยู่ใต้ดิน


มู่เฉินจ้องมองทะเลลาวาสีแดงพร้อมกับแสงสีทองวาบขึ้นในนัยน์ตา เมื่อสักครู่เขาเหมือนจะสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังผิดปกติในส่วนลึกของลาวา


วาบ!


ดวงตาของมู่เฉินเป็นประกาย อึดใจต่อมาก็แตะฝ่าเท้าพุ่งลงไป เขาทะยานเข้าไปหากลุ่มลาวา


โฮก!


เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเขา มังกรลาวาทั้งเก้าก็ส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดหมายจะขัดขวาง ทว่าแสงสีทองก็ระเบิดออกจากร่างเทพสุริยะพร้อมกับเสาปีศาจกวาดออกมาสกัดพวกมันไว้


วุบ!


ร่างของมู่เฉินพุ่งตรงเข้าสู่ลาวา ทำเอาดวงตาจำนวนมากถึงกับตะลึงงัน ทว่าดวงตาของมั่นถัวหลัว หั่วเม่ยเอ๋อและเหล่าแม่ทัพกลับมีแสงวาบผ่านไป


เมื่อเข้าไปในลาวา มู่เฉินก็มุ่งหน้าไปยังจุดลึกอย่างรวดเร็วขณะที่เพลิงสีม่วงก่อร่างเป็นชั้นป้องกันร่างกายสกัดอุณหภูมิสูงเอาไว้ ส่วนประสาทสัมผัสของเขาก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว สิบกว่าอึดใจร่างของเขาก็ชะงักแล้วมองลงไป


ในส่วนลึกมีกลุ่มแสงสีแดงอยู่เก้ากลุ่ม ทุกกลุ่มมีเลือดคล้ายลาวาอยู่หนึ่งหยดราวกับมังกรขดตัวอยู่ภายใน ปล่อยคลื่นพลังแผดเผาน่าตกใจออกมา


นอกจากนี้มังกรไฟพวกนั้นเหมือนจะขดตัวอยู่บนเกล็ดที่ปกคลุมด้วยไฟ มู่เฉินสัมผัสได้ถึงรัศมีสะท้านหัวใจแผ่ออกมาจากเกล็ดพวกนั้นด้วย


“เลือดมังกรไฟโบราณ!”


มองหยดเลือดเก้าหยด ในที่สุดมู่เฉินก็เข้าใจปรุโปร่ง ที่แท้พวกมันได้สร้างมังกรลาวาออกมาไม่หยุดนี่เอง หากเขาไม่ทำลายพวกมัน ก็ไม่สามารถฝ่าค่ายกลนี้ไปได้


แต่ต่อให้เขาหาแหล่งเจอ ก็ไม่ใช่งานง่ายที่จะทะลวงได้ แม้ว่าพวกมันจะเป็นแค่เลือด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าเจ้าของเลือดเหล่านี้น่าสะพรึงขนาดไหนตอนมีชีวิต สิ่งมีชีวิตระดับนั้นคงเป็นที่รู้จักดีในโลกเลยทีเดียว


แต่ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน เขาก็ต้องลองดู


มู่เฉินสูดหายใจลึกขณะที่ค่อยๆ หลับตาลง


ด้านนอกมั่นถัวหลัวโบกมือ หน้าจอแสงก็แสดงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในลาวา ภาพของมู่เฉินกับเลือดมังกรไฟโบราณทั้งเก้าหยดฉายอยู่บนนั้น


“ในที่สุดเขาก็หาเจอ” รอยยิ้มสายหนึ่งเผยบนใบหน้าของมั่นถัวหลัวขณะที่เอ่ยต่อ “แต่หยดเลือดถูกปกป้องโดยเกล็ดมังกรไฟโบราณ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายชั้นเกล็ดมังกรหรอกนะ”


จิ่วโยวมีสีหน้าเป็นกังวล มังกรไฟโบราณคือเทพอสูรอันดับต้นๆ และเจ้าตัวนี้จะต้องมีพลังสูงจนน่ากลัวตอนที่มีชีวิต ไม่อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ที่หยดเลือดเก้าหยดและเกล็ดมังกรจะทรงพลังอำนาจมากขนาดนี้


“วางใจเถอะ ตราบใดที่เขาสามารถคว้าหยดเลือดมังกรไฟโบราณมาได้หยดเดียวก็ถือว่าผ่านบททดสอบ ยิ่งกว่านั้นหยดเลือดนั้นก็ยังเป็นรางวัลสำหรับเขาด้วย” มั่นถัวหลัวยิ้มเอ่ยต่อ “ไม่ง่ายที่จะฝ่าปราการป้องกันของเก้าเกล็ดมังกรไปได้ แม้แต่พวกเจ้ายังยากที่จะประสบความสำเร็จ ย้อนไปตอนที่หั่วเม่ยเอ๋อชิงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ นางก็คว้าหยดเลือดมังกรไฟโบราณมาได้สี่หยดเท่านั้น”


“หือ?”


ทันทีที่จบประโยค มั่นถัวหลัวก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจขณะจ้องมองหน้าจอแสงพร้อมกับม่านตาทองคำฉายแววประหลาดใจ บนจอแสงมู่เฉินที่หลับตาก็ลืมตาโพลง นอกจากนี้ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทโดยไม่มีสีขาวแทรกอยู่ในนั้นเลยสักริ้ว ช่างดูราวกับหลุมดำไร้ก้น ทำให้เขาดูพิลึกเป็นอย่างยิ่ง


นอกจากนี้เมื่อดวงตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว คลื่นพลังหลิงที่ผันผวนออกมาก็แปลกประหลาดไปสุดขีด


เมื่อเห็นภาพนี้ ดวงตาจิ่วโยวก็หดเกร็งทันที อดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง


“นี่มัน…สภาวะฤทัยปีศาจ—คัมภีร์หวูซังซินหมัว?”

 

 

 


ตอนที่ 764

 

สภาวะฤทัยปีศาจขั้นต้น

ร่างของมู่เฉินยืนนิ่งอยู่ในส่วนลึกของลาวา


ตอนนี้ม่านตาสีดำราวกับหลุมดำ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าถูกดูดเข้าไป นอกจากนี้ผมสีดำของเขายังงอกยาวอย่างรวดเร็ว ปลิวไสวไปกับสายลม


การเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดนี้ดึงดูดความสนใจของจอมยุทธ์จำนวนมาก กระทั่งมั่นถัวหลัวยังมีแววสงสัยวาบผ่านนันย์ตา เนื่องจากนางยังไม่เคยเห็นมู่เฉินใช้วิธีการแปลกประหลาดนี้มาก่อน


“แต่คลื่นหลิงรอบตัวเขาไม่ได้แข็งแกร่งขึ้น” เบื้องหลังมั่นถัวหลัว เทียนจิ้วหนึ่งในสามจอมพลก็ขมวดคิ้ว ความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินไม่ได้แข็งแกร่งขึ้น มิหนำซ้ำยังดูอ่อนกำลังลง


แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้มู่เฉินถึงดูอันตรายมากกว่าเดิม ความเปลี่ยนแปลงประหลาดนี้ทำให้แม้แต่เทียนจิ้วกับคนอื่นก็ยังงุนงงไป


คนที่เข้าใจเรื่องนี้มีเพียงคนเดียวก็คือจิ่วโยว นั่นเป็นเพราะนางพบคัมภีร์หวูซังซินหมัวพร้อมกับมู่เฉิน ทว่าที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือความจริงที่มู่เฉินสามารถทำความเข้าใจวิธีฝึกฝนคัมภีร์หวูซังซินหมัวในแวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น


ดูจากภาพที่เห็นตอนนี้แล้ว ท่าทางเขาจะก้าวสู่ขั้นต้นได้แล้ว


พรสวรรค์เช่นนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จิ่วโยวก็อดชื่นชมในหัวใจไม่ได้ เจ้านี่ศักยภาพไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ


เสียงอุทานจากภายนอกไม่สร้างแรงรบกวนกับมู่เฉินแม้แต่น้อย ดวงตาสีดำเมื่อมของเขาจ้องมองหยดเลือดที่ห่อหุ้มด้วยกลุ่มแสงเงียบๆ สีหน้าสงบนิ่งไม่อาจอธิบายได้ ความสงบนิ่งดูราวกับว่าไม่มีอะไรในโลกนี้สามารถรบกวนเขาได้ แม้ชั้นฟ้าจะถล่มชั้นดินจะทลายก็ตาม


ความสงบนิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงสมาธิลึกซึ้งที่ไม่สามารถสั่นคลอนจากการรบกวนใดๆ


นี่คือสภาวะฤทัยปีศาจ!


มู่เฉินแนบฝ่ามือบนอก ไข่มุกสีดำขนาดเท่าเมล็ดถั่วก่อตัวช้าๆ อยู่ในหัวใจที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้


นี่คือเมล็ดฤทัยปีศาจ!


หลังจากหลายเดือนในการฟาดหัวใจตนเองด้วยสายฟ้าฤทัยปีศาจดำนับครั้งไม่ถ้วน พลังของสายฟ้าฤทัยปีศาจที่พล่านเข้าสู่หัวใจก็กลั่นเป็นเมล็ดฤทัยปีศาจได้ในที่สุด!


เมล็ดฤทัยปีศาจไม่ได้ทำให้พลังของมู่เฉินเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทำให้มู่เฉินมีสมาธิสมบูรณ์แบบ ภายใต้สมาธิ ทำให้พลังงานในร่างของเขาเข้าสู่สภาวะเกือบสมบูรณ์


นอกจากนี้จิตใจของเขาก็ยังไม่ถูกรบกวนด้วยสิ่งใดภายใต้สภาวะนี้ บวกกับเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เป็นตาย เขายังสามารถมองหาหนทางเอาชีวิตรอดด้วยสภาพสมาธิสมบูรณ์


ตอนนี้มู่เฉินเพิ่งสร้างเมล็ดฤทัยปีศาจได้ เรียกว่าเกือบเข้าสู่สภาวะแรกจากหนึ่งในสามขั้น ซึ่งก็คือสภาวะฤทัยปีศาจขั้นต้น ไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองจะทรงพลังขนาดไหนหากสามารถเข้าสู่สภาวะฤทัยปีศาจขั้นปลายในวันหนึ่ง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าตำหนักเทพสายฟ้าถึงต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ด้วยสภาวะฤทัยปีศาจขั้นเต็ม


มู่เฉินเหยียดนิ้วมือทั้งห้าออกก่อนจะกำลงช้าๆ ความรู้สึกของการควบคุมพลังทั่วสรรพางค์กาย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมึนเมา


ตู้ม!


ทันใดนั้นความผันแปรของคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็พุ่งมาจากด้านนอกลาวา ขณะที่มังกรเก้าตัวบินตรงมาพยายามทำลายการขัดขวางของร่างเทพสุริยะและผลักดันมู่เฉินออกไป


“พวกเจ้าก็รู้สึกถึงอันตรายงั้นหรือ?” รอยยิ้มเผยบนใบหน้านิ่งสงบของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วทั้งห้าไปยังหยดเลือดมังกรไฟโบราณทั้งเก้า


โฮก!


ทันทีที่มู่เฉินเหยียดนิ้วออกไป หยดเลือดมังกรไฟโบราณทั้งเก้าก็เปล่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราด เลือดกลั่นหมุนคว้าง มีร่างมังกรไฟโบราณตัวจิ๋วเก้าตัวเลือนราง แม้แต่เกล็ดมังกรสีแดงก็ปล่อยแสงสีแดงออกมา


ครืน!


ลาวาในบริเวณนี้เริ่มปั่นป่วน แสดงสัญญาณเบาบางว่ามังกรลาวาควบแน่นขึ้นอีกครั้ง…


ที่ด้านนอกค่ายกล ทุกสายตาจ้องมองภาพนี้อย่างใกล้ชิด พวกเขาอยากรู้ว่ามู่เฉินจะคว้าหยดเลือดที่มีการปกป้องของเกล็ดมังกรมาได้โดยที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามได้หรือไม่?


ภายใต้สายตาจำนวนมาก มู่เฉินก็พลิกนิ้วทั้งห้าเบาๆ


มิติเหมือนจะกระเพื่อมพร้อมกับบางสิ่งไร้รูปร่างไหลออกมา จากนั้นเสียงฟ้าคำรามกึกก้องก็ตามมา


รอยฉีกขาดทั้งเก้าปรากฏขึ้นในลาวาเกิดจากพลังงานที่มองไม่เห็นพุ่งใส่หยดเลือดมังกรไฟโบราณทั้งหมดราวกับสายฟ้าแลบ


ฮึ่ม! ฮึ่ม!


เกล็ดมังกรที่ปกป้องหยดเลือดส่งเสียงครางกระหึ่ม พลางระเบิดแสงสีแดงออกมา อักขระมังกรพล่านในแสง กลายเป็นปราการป้องกันแข็งแกร่งที่สุดปกป้องหยดเลือดภายในไว้


วาบ!


ทว่าเสียงสายฟ้าไร้รูปลักษณ์เก้าสายก็ยังคงซัดเข้ากับแสงเกล็ดมังกรทันทีท่ามกลางสายตาของทุกคน


ปัง!


ทั้งสองปะทะกัน ทว่าที่ทำให้ทุกคนตะลึงใจคือไม่มีระลอกคลื่นใดๆ บนปราการแสงเกล็ดมังกร กลับเป็นเลือดมังกรไฟโบราณภายในกระเพื่อมไหวรุนแรง เหมือนจะมีเสียงร้องโหยหวนอันเจ็บปวดดังก้อง


แสงสีแดงพวยพุ่งบ้าคลั่งจากเลือดมังกรไฟโบราณทั้งเก้าหยด ราวกับว่ากำลังต่อต้านการโจมตีบางอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนงวยงงก็คือไม่มีการโจมตีใดผ่านปราการป้องกันจากเกล็ดมังกรไปได้เลย


ม่านตาสีดำสนิทของมู่เฉินมองเงียบๆ ที่เลือดมังกรไฟโบราณที่สั่นสะท้านรุนแรง จากนั้นก็เหยียดนิ้วออกสะบัดอีกครั้ง


เสียงฟ้าคำรามลั่นดังกึกก้อง


ปัง!


หยดเลือดมังกรไฟโบราณเก้าหยดไม่สามารถทนได้ไหวอีกต่อไป พวกมันก็กระเด็นออกจากปราการป้องกันของเกล็ดมังกร ภายใต้สายตาไม่อยากเชื่อจำนวนมาก


วาบ!


ร่างของมู่เฉินหายจากจุดเดิมไปปรากฏที่เบื้องหลังหยดเลือดมังกรไฟโบราณทั้งเก้า อึดใจเขาก็งอฝ่ามือ แรงดึงดูดระเบิดออก หยดเลือดมังกรไฟโบราณทั้งเก้าหยดก็ถูกดูดเข้ามาในมือของเขา


โฮก!


หยดเลือดส่งเสียงคำรามต่อเนื่องราวกับกำลังพยายามดิ้นรนให้หลุดออกไป ทว่าคลื่นหลิงสองสายก็ไหลออกจากฝ่ามือของมู่เฉินอย่างรวดเร็ว หนึ่งลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วง หนึ่งร้อนระอุด้วยสายฟ้าล่องหน


พลังหลิงแตกต่างกันสองสายเข้าสู่สภาวะสมดุลที่สุดในตอนนี้ มันส่งเสริมซึ่งกันและกันขณะที่ก่อเป็นม่านแสงขังเลือดมังกรไฟโบราณเก้าหยดไว้ภายใน


การควบคุมคลื่นหลิงทั้งสองสมบูรณ์ขึ้นมากชัดเจนเทียบกับตอนที่มู่เฉินควบคุมมาก่อนหน้า อย่างน้อยตอนนี้มู่เฉินยังไม่สามารถหลอมรวมคลื่นหลิงทั้งสองเข้าด้วยกันในสภาวะปกติได้


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


ขณะที่หยดเลือดถูกคว้าไว้ เกล็ดมังกรทั้งเก้าก็ระเบิดออกด้วยแสงสีแดงหมื่นจั้งพุ่งใส่มู่เฉินด้วยความเร็วปานสายฟ้า ทิ้งรอยฉีกบางจางไว้บนมิติ


ความเร็วของเกล็ดมังกรเร็วเสียจนยากที่จะหลบทัน


ครืน!


แต่เมื่อเกล็ดมังกรเหล่านั้นกำลังจะกระแทกร่างมู่เฉิน ลาวาก็แหวกตัวออกจากกัน มือสีทองยื่นออกมาคว้ามู่เฉินไว้


ปัง! ปัง!


เกล็ดมังกรพุ่งใส่มือสีทองก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ในทันทีที่มือแตกสลาย ร่างหนึ่งก็ทะยานออกจากทะเลลาวาในไม่กี่อึดใจ


ขณะนี้สถานการณ์บนพื้นผิวลาวาโกลาหลไปหมด หลังจากสูญเสียหยดเลือดไป มังกรลาวาทั้งเก้าก็เสียพลังงานสนับสนุนเปลี่ยนเป็นลาวาไหลลงเบื้องล่าง


การสูญเสียพลังงานหลัก ทำให้ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงแสดงสัญญาณยุบลงและทำทีจะแตกสลายทุกเมื่อ


มู่เฉินยืนบนอากาศเรือนผมสีดำพลิ้วไหวไปกับสายลม ม่านตาสีดำประหลาดเบนมองไปทางกลุ่มของมั่นถัวหลัว แม้แต่ตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาก็ไม่มีอารมณ์ใดๆ


“เป็นไปได้ยังไง…” จอมยุทธ์จำนวนมากอึ้งทึ่งไปเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหั่วเม่ยเอ๋อ ปิงซินและแม่ทัพคนอื่นๆ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าอัดแน่นด้วยความตกตะลึง


มู่เฉินคว้าเลือดมังกรไฟโบราณได้หมดทั้งเก้าหยดเลยหรือ? แม้แต่หั่วเม่ยเอ๋อยังคว้ามาได้แค่สี่หยดตอนที่จะเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่… หรือว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าหั่วเม่ยเอ๋อ?


แต่ชัดว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!


“นั่น…” มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินขณะที่เอ่ยออกมาช้าๆ “นั่นมันสายฟ้าฤทัยปีศาจดำงั้นหรือ? มิน่าล่ะถึงสามารถฝ่าปราการป้องกันเกล็ดมังกรและโจมตีเลือดที่อัดแน่นด้วยรัศมีมังกรไฟได้”


“สายฟ้าฤทัยปีศาจดำ?”


ทุกคนที่ด้านหลังอึ้งไปหมดแล้ว ก่อนจะเข้าใจว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น สายฟ้าฤทัยปีศาจดำเป็นวัตถุที่สามารถทะลวงผ่านปราการป้องกันทางร่างกาย โจมตีส่วนลึกของหัวใจจอมยุทธ์โดยตรง วิธีการเล่นงานนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะใช้มันต่อกรกับเลือดมังกรไฟโบราณ


“เลือดมังกรไฟโบราณมีเศษเสี้ยววิญญาณของมังกรไฟโบราณอยู่ จิตวิญญาณนี้หวาดกลัวเสียงฟ้าร้องมากที่สุด ครั้งนี้ใช้กลอุบายใหญ่แล้ว” มั่นถัวหลัวเอ่ยเบาๆ


ถึงตรงนี้ทุกคนก็รู้สึกโล่งใจ โชคดีที่เป็นเพียงกลอุบาย ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงรู้สึกอับอายจนตาย นี่เป็นบางสิ่งที่แม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามกลับทำสำเร็จ นี่เป็นการตบหน้ากันชัดๆ


“แล้วนี่จะถือเป็นยังไง?” จิ่วโยวถาม


รอยยิ้มเผยบนใบหน้างดงามของมั่นถัวหลัวขณะที่เอ่ยขึ้น “เขาชนะแน่นอน ไม่มีกลอุบายใดต้องพูดตราบเท่าที่ชนะ ไม่ว่าวิธีใดกระทั่งโชคดีก็นับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพลังเจ้า”


“เขาหาวิธีทำลายค่ายกลได้ในเวลาสั้นๆ และยังสามารถควบคุมสายฟ้าฤทัยปีศาจดำถึงระดับนี้ นั่นไม่นับว่าเป็นอุบายหรอก”


ครืน!


เมื่อมั่นถัวหลัวพูดจบ ทะเลลาวาขนาดใหญ่ก็แตกตัวออก น้ำตกลาวาไหลบ่าลงไปในบ่อเพลิงข่ายฟ้า


บนท้องฟ้า ร่างของมู่เฉินสั่นเทิ้มขณะที่ม่านตาดำมืดหดกลับอย่างรวดเร็ว ผมยาวก็หดกลับเช่นกัน เขากลับเข้าสู่สภาพปกติภายในเวลาไม่กี่อึดใจ


เมื่อสภาวะฤทัยปีศาจหายไป ใบหน้าของมู่เฉินก็มีสีเลือด ตอนนี้เขาดูสดชื่นอย่างที่ควรเป็นแล้ว


“จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือแม่ทัพลำดับหกของหน่วยรบกงเวทสวรรค์”


เมื่อความมีชีวิตชีวากลับคืนในนัยน์ตามู่เฉิน เสียงอ่อนวัยของมั่นถัวหลัวก็ดังก้องอย่างไม่รีบร้อน


เบื้องล่าง นักรบกงเวทสวรรค์ก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนจะประสานมือคำนับด้วยความเคารพ เสียงทุ้มต่ำดังออกมาอย่างพร้อมเพรียง


“ผู้ใต้บังคับบัญชาขอคารวะแม่ทัพหก!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)