The Great Ruler 751-756

 ตอนที่ 751  

หน่วยรบกงเวทสวรรค์

มั่นถัวหลัวไม่ได้พูดลอยๆ เกี่ยวกับการฝึกวรยุทธ


ดังนั้นในวันต่อมาขณะที่มู่เฉินกำลังตรวจตราเตรียมการกองทัพ เด็กสาวชุดดำก็เยื้องย่างมาบนอากาศแล้วยืนจังก้าบนก้อนหินพลางกอดอก ม่านตาสีทองคำจ้องมองมู่เฉินอย่างไร้อารมณ์ใดๆ


“คารวะท่านประมุข!”


การปรากฏตัวกะทันหันของมั่นถัวหลัวทำให้เหล่านักรบชั้นสูงของกองทัพวิหคโลกันตร์รีบทำความเคารพทันที แม้แต่จิ่วโยวก็โค้งคำนับให้


มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ จากนั้นม่านตาทองคำก็มองมู่เฉินเขม็ง “ตามข้ามา”


มู่เฉินฉายสีหน้าขมขื่น เพราะเขาไม่คิดว่ามั่นถัวหลัวจะทำอะไรรวดเร็วว่องไวขนาดนี้ นางเพิ่งพูดเรื่องนี้เมื่อวานวันนี้ก็มาเลยเหรอ


แต่ในเมื่อนางมาที่นี่เป็นการส่วนตัว เขาก็ต้องไว้หน้านางบ้างและอธิบายเรื่องนี้ให้จิ่วโยวฟัง เมื่อได้ยินว่ามั่นถัวหลัวจะฝึกมู่เฉินด้วยตัวเอง แววอัศจรรย์ใจที่ปิดไม่มิดก็วาบขึ้นในดวงตาของจิ่วโยว นางอยู่อาณาเขตกงเวทสวรรค์มาระยะหนึ่งแล้ว ย่อมรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เข้าใกล้ประมุขสำนัก เนื่องจากประมุขคนนี้ไม่ค่อยจะใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชาสักเท่าไร ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฝึกวรยุทธเป็นการส่วนตัวเลย ซึ่งนั่นเป็นการสละเวลาของตนให้…


ในอดีตตอนที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ส่งตัวแทนเข้าร่วมศึกมังกรหงส์ ประมุขก็ไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็น อย่างมากก็ให้เหล่าจอมพลส่งทรัพยากรไปให้


ดังนั้นเทียบกับอดีตแล้ว การที่ประมุขใส่ใจกับมู่เฉินขนาดนี้ถือเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก


“อย่าทำตัวได้ดีแล้วยังแกล้งซื่ออีก ในเมื่อประมุขคิดจะดูแลเจ้า เจ้าก็อย่าทำให้ท่านผิดหวัง” จิ่วโยวมองมู่เฉินด้วยดวงตาเปี่ยมเสน่ห์ เมื่อเห็นสีหน้าขมขื่นของเขา นางจึงอดไม่ได้ที่จะว่ากล่าวขึ้นมา


การได้รับคำชี้แนะจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนถือว่าเป็นโชคใหญ่หลวงที่คนนับไม่ถ้วนต้องการ ทว่ามู่เฉินกลับทำสีหน้าแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่สวรรค์ก็ทนไม่ได้


มู่เฉินยิ้มช่วยไม่ได้ เขารู้ว่าการชี้แนะจากมั่นถัวหลัวมีค่าเพียงใด ทว่าเขาแค่ยังไม่คุ้นเคยกับตัวตนสูงส่งของนางมากนัก


มั่นถัวหลัวไม่พูดอะไร ทำเพียงเหลือบม่านตาทองคำมองไปที่มู่เฉิน ก่อนจะหันหลังกลับ พอเห็นนางทำเช่นนี้ มู่เฉินก็ล่ำลาทุกคนก่อนจะรีบตามไป ทิ้งสายตาอิจฉาจำนวนมากไว้เบื้องหลัง


ฟิ้ว!


บนท้องฟ้าเขตต้าหลัวเทียน มั่นถัวหลัวก้าวย่างผ่านแผ่วเบาก็ปรากฏตัวห่างออกไปพันจั้ง เบื้องหลังมู่เฉินเปลี่ยนเป็นร่างแสงตามหลังมาติดๆ แต่ไม่ว่าเขาจะเร่งความเร็วขนาดไหน ก็ไม่สามารถแซงหน้าร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้าได้


มั่นถัวหลัวสังเกตเรื่องนี้ได้เช่นกันจึงชะลอฝีเท้าลง แล้วเคลื่อนไปโดยมีมู่เฉินอยู่ข้างๆ ในความเร็วเท่ากัน บนท้องฟ้ามีจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์บินฉวัดเฉวียนอยู่เป็นระยะ เมื่อพวกเขาเห็นทั้งสอง ก็รีบโค้งคำนับ เมื่อทั้งคู่ไปแล้ว ดวงตาแต่ละคู่ก็มองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ เห็นชัดว่าพวกเขารู้สึกตะลึงใจกับการที่มู่เฉินสามารถเหาะไปเคียงข้างกับท่านประมุขได้


“เราจะไปไหนกัน?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถามออกมาเมื่อมองไปที่มั่นถัวหลัว


ม่านตาทองคำของมั่นถัวหลัวจ้องมองตรงไปข้างหน้า ไม่ได้ตอบคำถามของมู่เฉิน นางกลับถามย้อนออกมา “ด้วยพลังของหลิ่วเหยียน สามารถยืนอยู่ในห้าอันดับแรกของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ภูมิภาคทางเหนือ จากการประเมินของข้า ขุมพลังของเขาในตอนนี้น่าจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสี่”


เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็เหลือบมองมู่เฉินเอ่ยต่อว่า “อย่าเอาระดับจื้อจุนขั้นสี่ของฉิงเปยมาเทียบกับหลิ่วเหยียนเด็ดขาด ฉิงเปยแค่ยืมพลังจากยามาช่วยให้บรรลุพลังชั่วคราว หากเขาสู้กับหลิ่วเหยียนละก็ อยู่ได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่าแน่”


สีหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน ตัวเขาต่อสู้กับฉิงเปยจึงรู้ว่าศัตรูเช่นนี้เป็นอย่างไร กระทั่งเขากางไพ่ตายทั้งหมดออกมา ก็ทำได้เพียงเอาชนะฉิงเปยโดยแลกกับการได้รับบาดเจ็บสาหัสที่จะได้รับ และตอนนี้มั่นถัวหลัวกลับบอกว่าฉิงเปยทนได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่าเมื่อสู้กับหลิ่วเหยียน…


แม้เขาจะรู้ว่าหลิ่วเหยียนไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาตั้งแต่แวบแรกที่เห็น แต่ก็ไม่คิดว่าจะทรงพลังขนาดนี้


ชื่อเสียงของประมุขน้อยตำหนักสุดนภาไม่ใช่เรื่องโม้จริงๆ


“ถ้าเจ้าสู้กับหลิ่วเหยียนตอนนี้ โอกาสที่จะชนะต่ำเตี้ยเรี่ยดินนัก”


มั่นถัวหลัวพูดแบบไม่ไว้หน้ามู่เฉินแม้แต่น้อย มู่เฉินก็ทำได้เพียงยิ้มแหยรับ แม้เขาจะไม่กลัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนโง่ พลังของเขาอยู่ระดับจื้อจุนขั้นสอง เหตุผลที่ว่าทำไมเขาสามารถเอาชนะฉิงเปยได้ก็เป็นเพราะร่างเทพสุริยะบวกกับวิชาเก้ามังกรคชสาร แม้พลังนับว่าแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ทำให้เขาหลุดพ้นขีดจำกัดได้ นี่เป็นความสำเร็จที่ไม่น่าเชื่อที่เขาสามารถเอาชนะฉิงเปยได้ แต่ถ้าเขาจะเอาชนะหลิ่วเหยียนที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อบเทียบกัน ก็ไม่มีใครเห็นเขาเป็นมนุษย์แล้ว


“ผู้เข้าแข่งขันศึกมังกรหงส์ต่างเป็นอัจฉริยชนที่มีฝีมือโดดเด่นในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ อายุของพวกเขามากกว่าเจ้า ดังนั้นเจ้าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเมื่อต้องเผชิญหน้ากัน” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเบา


มู่เฉินพยักหน้า ในการแข่งขันเช่นนี้ ตราบใดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ก็ไม่มีใครสนเรื่องอายุ ทุกคนสนใจแค่ผลลัพธ์สุดท้าย ไม่มีใครมองความโดดเด่นระหว่างการประลองหรอก


“ดังนั้นอีกสามเดือนข้างหน้า เจ้าต้องบรรลุระดับจื้อจุนขั้นสาม มิฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจะมีกลยุทธ์มากเท่าไรก็ไม่สามารถไปได้ไกลในศึกมังกรหงส์หรอก”


มุมปากของมู่เฉินกระตุก เขาเพิ่งจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสองมาได้ การจะให้ไปสู่อีกขั้นภายในสามเดือนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


แต่เขารู้ว่าที่มั่นถัวหลัวพูดมีเหตุผล ไม่ว่าเขาจะมีไพ่ตายอยู่ในมือมากเพียงใด แต่ความหนาแน่นของคลื่นหลิงสำหรับผู้ฝึกถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เมื่อปราศจากการสนับสนุนจากคลื่นหลิงหนาแน่นแล้ว แม้ว่าเขาจะมีร่างเทพสุริยะ ก็เป็นเพียงความแข็งแกร่งภายนอกที่มีความอ่อนแอซ่อนภายในเท่านั้น ไม่มีความสามารถในการต่อสู้มากนัก


“ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” มู่เฉินเกาศีรษะเอ่ยปากตรงๆ


“มีข้าอยู่ ไม่มีอะไรยากเกินไปหรอก” มั่นถัวหลัวเอียงหัวคลี่รอยยิ้มบนใบหน้าผุดผาด แต่รอยยิ้มนั่นดูเย็นเยือกน่าขนลุกในสายตาของมู่เฉินนัก ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น


ขณะที่สนทนากัน มั่นถัวหลัวก็ลดความเร็วลง มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองออกไปก็เห็นเทือกเขาสีดำกว้างใหญ่ ส่วนมั่นถัวหลัวก็พาเขาไปยังยอดเขาที่สูงตระหง่านที่สุด


เมื่อเท้าของมู่เฉินแตะบนยอดเขา เขาก็รู้สึกถึงไอร้อนไหลเข้าไปในร่างกายผ่านฝ่าเท้า ความรู้สึกนั้นราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่บนลาวาเดือด


แต่เมื่อความร้อนไหลบ่าเข้าไปในร่างกาย มู่เฉินก็ตระหนักถึงความประหลาดใจว่าความร้อนนี้แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นหลิงกระจายเข้าในร่างกายเมื่อถูกชำระก็กลายเป็นคลื่นหลิงไหลเวียนอยู่ในเส้นลมปราณของเขา


“ที่นี่ที่ไหนกัน?” มู่เฉินถามอย่างตกตะลึง


มั่นถัวหลัวไม่ตอบแต่เดินไปที่ใจกลางยอดเขาแล้วหยุดลง มู่เฉินรีบตามไปก็เห็นโพรงขนาดใหญ่อยู่ตรงยอดเขา ดูจากรูปร่างแล้ว นี่น่าจะเป็นปากปล่องภูเขาไฟ


มู่เฉินยืนอยู่ตรงขอบปากปล่องภูเขาไฟมองลงไป จากนั้นก็สูดหายใจลึกสุดปอด


ลาวาสีแดงฉานมองเห็นอยู่ในจุดลึกของภูเขาไฟ แผ่อุณหภูมิสูงออกมา ภายใต้อุณหภูมิแผดเผา แม้แต่อวัยวะทั้งหมดของเขายังรู้สึกราวกับกำลังลุกไหม้เมื่อสูดเอาอากาศที่นี่เข้าไป


มู่เฉินขมวดคิ้ว ลาวาที่นี่ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา เพราะเมื่อสูดหายใจเข้าไป เขาก็รู้สึกว่าคลื่นหลิงในร่างกายแผดร้อนขึ้นมา


ลาวาทั่วไปไม่สามารถทำให้คลื่นหลิงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้


ภูเขาไฟลูกนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา


ขณะที่แสงวูบไหวในดวงตามู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็จับแขนของเขาแล้วกระโดดเข้าไปในปากปล่องภูเขาไฟ เพียงชั่ววูบก็มาปรากฏที่จุดลึกของภูเขาไฟ


ที่นี่ห่างจากลาวาเพียงหนึ่งพันจั้ง คลื่นความร้อนน่ากลัวที่พัดออกมาทำให้มู่เฉินรู้สึกถึงความเจ็บปวดเสียดแทงบนผิวหนัง ทำเอาต้องรีบเร้าคลื่นหลิงออกมาปกป้องตัวเองทันที


วาบ!


เมื่อมู่เฉินกับมั่นถัวหลัวปรากฏตัวตรงจุดลึกสุดของภูเขาไฟ ทันใดนั้นมู่เฉินก็ได้ยินเสียงดังออกมาพร้อมเพรียงกัน เขารีบหันหน้าไปมอง ม่านตาก็หดลง


มีแท่นหินสีดำอยู่บนกำแพงโดยรอบ มีคนชุดดำจำนวนมากอยู่บนแท่นหิน ตอนนี้คนชุดดำเหล่านั้นกำลังคุกเข่าลงข้างหนึ่งมาทางทิศพวกเขาด้วยใบหน้าเคารพ


มู่เฉินรู้สึกตกตะลึงขณะจ้องมองเหล่าคนชุดดำลึกลับทั้งหลาย เพราะเขาสัมผัสได้ว่าแต่ละคนมีคลื่นหลิงทรงพลัง พวกเขาทุกคนได้บรรลุขุมพลังเข้าสู่ขุมพลังจื้อจุนแล้ว!


“พวกเขาคือสุดยอดหน่วยรบของกองทัพอาณาเขตสวรรค์—หน่วยรบกงเวทสวรรค์” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเบา


มู่เฉินสูดหายใจเอาอากาศร้อนผ่าวเข้าไป นี่คือหน่วยรบที่ทรงพลังและลึกลับที่สุดของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้ว่าจำนวนนักรบจะน้อยกว่านักรบวิหคโลกันตร์ แต่มู่เฉินรู้ว่าหากพวกเขาตั้งกระบวนทัพขึ้นมา เพียงแค่รัศมีจั้นยี่กวาดใส่ก็สามารถกำจัดหน่วยรบวิหคโลกันตร์ได้แล้ว


เพราะนักรบทุกคนมีขุมพลังจื้อจุน!


เผชิญกับกองทัพที่จัดตั้งจากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุน บางทีแม้แต่จอมยุทธ์ทรงพลังอย่างจอมพลเทียนจิ้วกับจอมพลหลิงถงก็ไม่กล้าประมาท


วาบ!


บนแท่นหินสีดำ ร่างคนทั้งสี่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าปรากฏตัวต่อหน้ามั่นถัวหลัว จากนั้นก็ทำความเคารพด้วยมารยาทสูงสุด “คารวะท่านประมุข!”


ทั้งสี่สวมชุดสีดำมีความนอบน้อมฉายบนใบหน้า แต่คลื่นหลิงของพวกเขาที่กำจายออกมากลับทำให้มู่เฉินตะลึงอีกครั้ง ขุมพลังของทั้งสี่คนน่าจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นห้าแล้ว


อาณาเขตกงเวทสวรรค์สมกับที่เป็นขั้วอำนาจชั้นยอดแห่งภูมิภาคทางเหนือจริงๆ!


“มีแม่ทัพห้าคนในหน่วยรบกงเวทสวรรค์ ตอนนี้อยู่ที่นี่สี่คน อีกคนกำลังเก็บตัวฝึกยุทธ์” มั่นถัวหลัวส่งยิ้มให้มู่เฉิน


มู่เฉินเดาะลิ้นพลางพยักหน้า ในที่สุดเขาก็ได้เห็นพลังของหน่วยรบชั้นยอดแล้ว


“สำหรับอีกสามเดือนจากนี้ ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่เจ้าฝึกวรยุทธ”


รอยยิ้มบนใบหน้าของมั่นถัวหลัวดูล้ำลึกขณะชี้นิ้วลงไป ซึ่งจุดนั้นก็คือลาวาสีแดงผิดปกติที่ทำให้มู่เฉินหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความหวาดกลัว


เมื่อได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว เขาก็รู้สึกขนลุกเกรียวเลยทีเดียว

 

 

 


ตอนที่ 752

 

แก่นเพลิงวิญญาณ

ลาวาเดือดพล่านรุนแรงอยู่ในภูเขาไฟ


ขณะที่อุณหภูมิน่ากลัวถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เกิดรอยร้าวในมิติเนื่องจากอุณหภูมิสูง


มู่เฉินมองทะเลลาวาไร้ที่สิ้นสุด ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง ลาวาทั่วไปไม่มีทางน่ากลัวขนาดนี้แน่นอน


“บ่อเพลิงข่ายฟ้านี้เชื่อมโยงกับแหล่งคลื่นหลิงเพลิงที่อยู่ลึกลงไป ดังนั้นจึงมีคลื่นหลิงปริมาณมหาศาลรวมตัวอยู่ในลาวา อุณหภูมิสูงเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยการเผาผลาญคลื่นหลิงน่ะ”


มู่เฉินตระหนักได้ถึงคำพูดมั่นถัวหลัว จากนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง ที่แท้ลาวาก็กำลังแผดเผาคลื่นหลิงมหาศาลนี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีอุณหภูมิสูงจนน่ากลัวเช่นนี้


“เจ้าคงไม่ได้ไห้ข้าฝึกในลาวานี่ใช่ไหม?” มู่เฉินเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างฉับพลัน มุมปากก็กระตุกพลางเอ่ย


มั่นถัวหลัวยกยิ้มหวานพยักหน้าให้ ทำเอามู่เฉินหนาวนะเยือกไปทั้งหัวใจ ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นสองที่มีตอนนี้ หากเขาเข้าไปในลาวาคงต้องทรมานไม่น้อยแน่


“ลาวาที่นี่หลอมรวมกับคลื่นหลิง ซึ่งส่งผลในการชำระเส้นสาย ตราบใดที่เจ้าสามารถชำระลาวาได้ การดูดซับคลื่นหลิงของเจ้าก็จะเร็วขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับการฝึกด้านนอก” มั่นถัวหลัวชี้ไปที่นักรบกงเวทสวรรค์บนแท่นหินรอบๆ “เห็นพวกเขาไหม? แต่ละคนอดทนฝึกฝนภายใต้ความเจ็บปวดของการถูกเผาทุกวัน นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงเป็นหน่วยรบที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพอาณาเขตสวรรค์”


มู่เฉินกวาดสายตาไปรอบๆ แม้หลายคนจะมีใบหน้าแดงซ่านจากอุณหภูมิสูงและเหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด แต่ก็ไม่มีใครสักคนยอมแพ้ พวกเขานั่งนิ่งเงียบราวกับก้อนหิน


ในดวงตาพวกเขา มู่เฉินไม่เห็นแววยอมแพ้สักริ้วเลย


หากปราศจากความสามารถและความอุตสาหะคง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะได้รับเลือกกลายเป็นหนึ่งในหน่วยรบลึกลับของอาณาเขตกงเวทสวรรค์


มู่เฉินถอนหายใจพลางพยักหน้า หากหน่วยรบทรงพลังเช่นนั้นเข้าร่วมสงครามสำนักระหว่างแดนร้อยสงคราม พวกเขาจะต้องอยู่ยงคงกระพันแน่นอน แต่เห็นชัดว่าแดนร้อยสงครามยังไม่มีคุณสมบัติพอที่หน่วยรบกงเวทสวรรค์จะเคลื่อนทัพได้ เนื่องจากนี่เป็นหนึ่งในไพ่ตายของอาณาเขตกงเวทสวรรค์


“เวลาปกติหน่วยรบกงเวทสวรรค์จะเพาะบ่มพลังบนแท่นหินที่นี่ มีเพียงคนที่มีฝืมือเยี่ยมยอดเท่านั้นถึงสามารถเข้าไปในบ่อเพลิงข่ายฟ้าเพื่อล่าอสรพิษเพลิงวิญญาณได้” หนึ่งในสี่แม่ทัพกงเวทสวรรค์เอ่ยขึ้น จากนั้นมู่เฉินก็ต้องมองไปอย่างประหลาดใจ เพราะคนที่พูดขึ้นเป็นสตรี


หญิงสาวคนนี้สวมชุดดำรูปร่างระหงเย้ายวนตา รูปลักษณ์งดงามนัก แต่ใบหน้าปกคุลมด้วยชั้นน้ำแข็ง นางไม่เหมือนกับถังปิงตรงที่ถังปิงเย็นนอกแต่ร้อนใน แต่หญิงสาวผู้นี้เย็นเยือกทั้งนอกในเลยทีเดียว…


“นางเป็นแม่ทัพอันดับสามของหน่วยรบกงเวทสวรรค์—ปิงซิน” มั่นถัวหลัวยิ้มบาง


มู่เฉินประสานมือให้แม่ทัพหญิงผู้เย็นชา ด้วยพลังของนางสามารถดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการในเขตต้าหลัวเทียนได้เลย แต่นางกลับเต็มใจอยู่ในหน่วยรบกงเวทสวรรค์ ยอมรับตำแหน่งแม่ทัพคนหนึ่งเท่านั้น…


“อสรพิษเพลิงวิญญาณ? คืออะไรหรือ?” มู่เฉินได้ยินคำไม่คุ้นหูจากในคำพูดของปิงซิน จึงรีบถามทันที


พอได้ยินคำถามของเขา ปิงซินก็มองมู่เฉินด้วยสายตาประหลาดใจ ก่อนจะมองมั่นถัวหลัวเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้านางก็เอ่ยตอบ “อสรพิษเพลิงวิญญาณเป็นสัตว์พิเศษในบ่อเพลิงข่ายฟ้า แต่พวกมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆ หรอก… พวกมันเป็นสิ่งที่เกิดจากการรวมตัวของคลื่นหลิงและลาวา จึงไม่มีสติปัญญาใดๆ”


ปิงซินยื่นมือขาวออกจากแขนเสื้อแล้วดีดนิ้ว ลำแสงคลื่นหลิงยิงออกไปในลาวา


ปัง!


คลื่นใหญ่ยกตัวขึ้นจากลาวาขณะที่อสรพิษลาวาขนาดราวร้อยจั้งปรากฏขึ้น ช่างมองดูดุร้ายอย่างยิ่ง ลาวาหยดแหมะจากร่างอสรพิษ ม่านตาเต็มไปด้วยการทำลายล้างและเกรี้ยวกราด


อสรพิษกวาดหางเสาลาวาพวยพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้า ก่อนจะกวาดใส่มาที่กลุ่มมู่เฉิน


ปิงซินสะบัดมือ คลื่นหลิงกวาดตัวออกตรงเข้าทำลายเสาลาวา พลังซัดลงมาอย่างต่อเนื่องก่อนจะพันรอบตัวอสรพิษดึงตัวมันแยกออกจากผิวลาวา


อสรพิษถูกลากมายังเบื้องหน้าไม่ไกลจากมู่เฉิน เมื่อปิงซินกำมือ มันก็ระเบิดตัว ลาวากระจายไปในทุกทิศทาง จากนั้นแสงสีแดงก็ลอยออกมาตรงหน้าปิงซิน


ราวกับมีลาวาไหลวนอยู่ภายในแสงสีแดง แต่มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากมัน


“นี่คือแก่นเพลิงวิญญาณ” ปิงซินจับก้อนแสงสีแดงพลางเอ่ยเบาๆ “มันมีประโยชน์ใหญ่หลวงต่อการเพาะบ่ม แต่ระหว่างการดูดซับเข้าไปก็สร้างความเจ็บปวดไม่น้อย”


“ให้เจ้ายืมไปลอง” ปิงซินพลิกนิ้วส่งแก่นเพลิงวิญญาณไปให้ มู่เฉินรับไว้แล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนเข้าไปในปาก


ทันทีที่แก่นเพลิงวิญญาณเข้าไปในปากก็ไหลลงมาราวกับลาวา ทำให้ใบหน้ามู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขารู้สึกราวกับว่าได้กลิ่นเหม็นไหม้ฟุ้งออกมาเมื่อลาวาไหลไปตามเส้นสายของเขา…


มู่เฉินรีบหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายอย่างรวดเร็ว ห่อหุ้มคลื่นหลิงเพลิงบริสุทธิ์ไว้ จากนั้นก็เร้าวิชามหาเจดีย์ชำระคลื่นลาวาลงไป


การชำระกินเวลาสิบนาทีก่อนที่มู่เฉินจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นพ่นควันขาวออกจากปาก ทันทีที่ควันขาวสัมผัสกับอากาศก็เผาไหม้เลยทีเดียว


“แก่นเพลิงวิญญาณนี่มหัศจรรย์จริงๆ” ดวงตาของมู่เฉินเป็นประกายวิบวับด้วยความประหลาดใจแกมยินดี หลังจากชำระแก่นเพลิงวิญญาณ เขารู้สึกว่าคลื่นหลิงในร่างเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อดูดซับแก่นเพลิงวิญญาณเข้าไปเส้นสายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นตาม


ถ้าสามารถใช้สิ่งนี้ในการฝึกพร้อมของเหลวจื้อจุน ผลจะต้องเท่ากับการเดินทางพันลี้ในหนึ่งวัน


“แน่นอนว่ามันมหัศจรรย์ อสรพิษเพลิงวิญญาณรับมือได้ยาก ตัวเมื่อกี้อายุประมาณแค่ร้อยปี แต่พลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม มีไม่กี่คนในหน่วยรบกงเวทสวรรค์ที่มีคุณสมบัติพอจะล่าพวกมัน” ปิงซินเอ่ยเสียงเรียบ


มู่เฉินแอบเดาะลิ้นเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ไม่คิดเลยว่าอสรพิษเพลิงวิญญาณที่ปิงซินจัดการลงอย่างง่ายดายจะมีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม


“เจ้าเป็นหนี้แก่นเพลิงวิญญาณข้าหนึ่งชิ้น” ปิงซินถลึงตามองมู่เฉินเอ่ยเสียงจริงจัง “ข้าบอกแล้วแค่ให้ยืมลอง”


มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีจึงได้แต่พยักหน้า เขาไม่คิดว่าแม่ทัพเย็นชาคนนี้จะพูดขวานผ่าซากได้ขนาดนี้


“ในเมื่อท่านประมุขพาเจ้ามาฝึกที่นี่ ก็น่าจะให้เจ้าเข้าล่าอสรพิษเพลิงวิญญาณในบ่อเพลิงข่ายฟ้า แต่ในหน่วยรบกงเวทสวรรค์มีเพียงนักรบที่มีขุมพลังเหนือกว่าระดับจื้อจุนขั้นสามเท่านั้นถึงมีสิทธิ์ลงไปได้ ส่วนคนที่เหลือต้องฝึกรออยู่ที่นี่เท่านั้น ขุมพลังของเจ้าอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสอง… นับว่ายังขาดอยู่เล็กน้อย”


ปิงซินมองมู่เฉินชี้ไปรอบด้าน คำพูดของนางไม่มีความสุภาพใดๆ “ถ้าเจ้าตั้งใจจะฝึกที่นี่ ข้าแนะนำว่าลองฝึกบนแท่นหินก่อน การล่าอสรพิษเพลิงวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะทำได้ในตอนนี้”


สายตาจำนวนมากจากนักรบกงเวทสวรรค์พุ่งตรงมาจากแท่นหินรอบด้านพร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ยวิบวับในดวงตา พวกเขารู้ดีเกี่ยวกับนิสัยของปิงซิน ชายหนุ่มที่ประมุขพามาคงจะถูกนางสั่งสอนอย่างไม่เกรงใจแน่…


“ต่อให้ข้าเป็นประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ข้าได้ส่งมอบหน้าที่สั่งการบ่อเพลิงข่ายฟ้าให้กับพวกเขาแล้ว ถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วย ข้าก็ทำอะไรไม่ได้” มั่นถัวหลัวยืนอยู่ข้างๆ ส่งยิ้มบาง


จากท่าทางที่ปรากฏ ชัดว่านางอยากให้มู่เฉินคว้าสิทธิ์ในการฝึกที่นี่ด้วยความสามารถของตัวเอง


มู่เฉินเดินหน้าชนจนจมูกเปื้อนฝุ่น เมื่อตกเป็นเป้าสายตาของปิงซิน เขายิ้มอย่างจนใจ จากนั้นเมื่อมองลงไปในทะเลลาวาก็หรี่ตาลง


วาบ!


ร่างเขาพุ่งลงไปทันทีพลางตบฝ่ามือไปข้างหน้า ลำแสงแหวกผ่านลาวาเกิดเป็นลอนคลื่น ท่ามกลางเสียงคำรามก้อง อสรพิษเพลิงวิญญาณที่มีพลังไม่ด้อยกว่าตัวแรกก็พุ่งออกมาปะทะกับมู่เฉินบนท้องฟ้า


บนแท่นหินรอบด้านสายตาตกตะลึงจำนวนมากจ้องมองภาพนี้ แต่ละคนรู้สึกตกใจกับการที่มู่เฉินเป็นฝ่ายยั่วยุอสรพิษเพลิงวิญญาณดุร้ายก่อน


“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” ปิงซินมุ่นคิ้ว นางมองว่ามู่เฉินกระทำเกินความสามารถของตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง


มั่นถัวหลัวกอดอกยกยิ้มบางเมื่อมองภาพนี้


ตู้ม!


ภายใต้สายตาจำนวนมาก แสงสีทองเปล่งปลั่งก็ระเบิดออกจากร่างของมู่เฉิน ร่างทองคำก่อตัวขึ้นเบื้องหลังเขา ก่อนจะซัดฝ่ามือออกไปเต็มแรง


ทันใดนั้นพายุลมน่าตกใจก็กวาดออก


ปัง!


ฝ่ามือทองคำคว้าร่างอสรพิษเพลิงวิญญาณไว้ในทันที จากนั้นก็บีบอย่างแรงจนเกิดเสียงสนั่นหวั่นไหว อสรพิษเพลิงวิญญาณระเบิดออกกลายเป็นลาวา


สายตาของนักรบกงเวทสวรรค์ที่จับตาดูอยู่ก็เปลี่ยนไปขณะมองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง ใครจะคิดว่าชายหนุ่มที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสองจะมีความสามารถในการต่อสู้น่าตกใจขนาดนี้?


ฝ่ามือทองคำยกขึ้น ก้อนแสงสีแดงก็ลอยขึ้นมา


มู่เฉินยืนอยู่ตรงหัวของร่างเทพสุริยะพลางกวักมือเรียก แก่นเพลิงวิญญาณลอยเข้ามาในมือ เขาเงยหน้ามองปิงซินที่เย็นชาที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก็พลิกนิ้วส่งแก่นเพลิงวิญญาณไปให้นาง


“แม่ทัพปิงซินนี่คืนให้เจ้า”


มู่เฉินยืนอยู่บนหัวร่างเทพสุริยะ เผยเสน่ห์ชวนใจสั่นบนใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แสงลาวาสีแดงสด


“ทีนี้ข้ามีคุณสมบัติพอที่จะฝึกในบ่อเพลิงข่ายฟ้าหรือยัง?”


 


**เดินหน้าชนจนจมูกเปื้อนฝุ่น หมายความประมาณว่าโดนขวางทาง

 

 

 


ตอนที่ 753

 

ระดับนรก

ลาวาสีแดงเดือดปุดภายในภูเขาไฟสีแดง


แผ่อุณหภูมิสูงออกมาจนน่ากลัว เหล่าหน่วยรบกงเวทสวรรค์บนแท่นหินรอบด้านจ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาประหลาดใจ


ขุมพลังจื้อจุนขั้นสองไม่ถือว่าสูงในหน่วยรบกงเวทสวรรค์ แต่นักรบกงเวทสวรรค์ อย่าว่าแต่จอมยุทธ์ในระดับนี้เลย ต่อให้นักรบขุมพลังจื้อจุนขั้นสามก็ไม่สามารถล่าอสรพิษเพลิงวิญญาณร้อยปีได้อย่างง่ายดายนัก


ชายหนุ่มคนนี้ที่ประมุขพามาที่นี่ด้วยตัวเองมีความสามารถไม่น้อยเลยจริงๆ


สายตาจำนวนมากวูบไหวขณะที่แววเยาะเย้ยในดวงตาลดลง หน่วยรบกงเวทสวรรค์เป็นกองกำลังทรงพลังมากที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทุกคนที่เข้ามาต่างผ่านการคัดเลือกแบบโหดหิน ดังนั้นพวกเขาจึงมีความภาคภูมิใจในตัวเอง กระทั่งมั่นถัวหลัวที่เป็นประมุขก็ไม่สามารถบีบให้พวกเขายอมรับคนไม่เอาถ่านได้อย่างเต็มใจ


แต่ตอนนี้มู่เฉินใช้พลังของตนบอกให้พวกเขารู้แล้วว่าควรมีทัศนคติอย่างไรกับเขา


“ฮ่าๆ ฝีมือดีใช้ได้” ในหมู่แม่ทัพทั้งสี่ ชายหนุ่มร่างกำยำจ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาอัศจรรย์ใจ จากนั้นรอยยิ้มก็ฉาบบนใบหน้า


เขาเป็นแม่ทัพลำดับสองในหมู่แม่ทัพทั้งห้าของหน่วยรบกงเวทสวรรค์ ชื่อว่าเถี่ยซัน มีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าระยะปลายสุด เมื่อเขาพูดออกมา แม้แต่ปิงซินที่เย็นชาก็ไม่อาจพูดอะไรอีก เพราะพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้นางตะลึงงันไปด้วยเช่นกัน


“พวกเจ้าอย่าดูถูกเขาเชียว เขาเอาชนะฉิงเปยแห่งพิลาลสสวรรค์ในสงครามสำนักได้นะ” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเบาจากด้านข้าง


“โอ้?”


สี่แม่ทัพอึ้งไป พวกเขาเคยได้ยินชื่อของฉิงเปย แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา


“ดูเหมือนว่าในหมู่แม่ทัพรุ่นใหม่แห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในที่สุดก็มีคนมีฝีมือบ้างแล้ว” ปิงซินมองมู่เฉินเอ่ยขึ้น จากคำพูดของนางดูเหมือนจะดูถูกสี่สุดยอดแม่ทัพของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่น้อย


แต่นางก็มีสิทธิ์ที่จะดูหมิ่น เพราะพลังของพวกสูชิงที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสามไม่มากพอเมื่อเทียบกับปิงซินที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นห้าจริงๆ


นั่นเป็นเพราะหน่วยรบกงเวทสวรรค์คือไพ่ตายที่แท้จริงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์


ม่านตาทองคำของมั่นถัวหลัวจดจ้องที่มู่เฉิน “เจ้าจะอยู่ที่นี่เพื่อฝึกสามเดือน ถ้าเจ้าต้องการออกไป เจ้าต้องผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงที่ข้าวางไว้ให้ได้ ถ้าเจ้าไม่สามารถผ่านได้ก็อย่าคิดที่จะออกไป ข้าจะส่งคนอื่นเข้าร่วมศึกมังกรหงส์แทน”


“ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง?” มู่เฉินอึ้งไป เขามองแม่ทัพทั้งสี่ที่ยืนอยู่รอบด้าน ก็เห็นพวกเขาอยู่ในอาการตะลึงลานไป ก่อนจะมองมาที่เขาด้วยสายตาเห็นใจ


“มันคืออะไรน่ะ?” มู่เฉินรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบกล แต่ก็ทำได้เพียงรั้งตัวเองถามออกไป


“มันเป็นด่านที่ประมุขวางไว้ด้วยตัวเอง พูดโดยทั่วไปก็คือใครก็ตามที่สามารถฝ่าออกไปได้ด้วยตัวเองก็มีสิทธิ์เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพ ทว่าหลายปีผ่านมานี้จำนวนคนที่สามารถฝ่าออกไปได้มีเพียงหยิบมือเดียว” ริมฝีปากสีกุหลาบของปิงซินโค้งขึ้น ขนาดคนนิสัยเย็นชาอย่างนางยังอดไม่ได้ที่จะมีความสุขบนหายนะของคนอื่นในเวลานี้


มุมปากของมู่เฉินกระตุก มันเป็นด่านการคัดเลือกแม่ทัพของหน่วยรบกงเวทสวรรค์เชียวนะ จากการคาดการณ์ของเขา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ยังยากที่จะฝ่าสิ่งที่เรียกว่าค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงออกมา แล้วมั่นถัวหลัวใช้สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขแลกกับการออกไปของเขาเนี่ยนะ โหดเกินไปแล้ว…


หากไม่ใช่เพราะเขากับมั่นถัวหลัวไม่มีความแค้นต่อกัน เขาอาจคิดว่ามั่นถัวหลัวจงใจกลั่นแกล้งกัน


“อะไร? ไม่กล้าเหรอ?” ดวงตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวมองมู่เฉินพลางเอ่ยอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ถ้าเจ้าไม่มีแม้กระทั่งความมั่นใจและความกล้า ก็เป็นเรื่องยากที่ข้าจะเชื่อว่าเจ้ามีโอกาสชนะคู่แข่งขันเหล่านั้นในอนาคต”


มู่เฉินอึ้งไปขณะมองมั่นถัวหลัว เขาเข้าใจชัดเจนถึงความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนาง นางเคยบอกว่าในโลกนี้อาจมีอัจฉริยะโดดเด่นคนอื่นๆ ได้รับโอกาสใหญ่ในการชำระร่างเทพสุริยะ แต่ร่างมหาเทพนิรันดร์มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น หากเขาต้องการประสบความสำเร็จ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะต้องเผชิญกับศัตรูที่ได้รับโอกาสแบบเดียวกัน…


มู่เฉินจินตนาการได้ว่าศัตรูเหล่านั้นน่ากลัวเพียงใด พวกเขาไม่ใช่คู่แข่งที่เขาพบในตอนนี้จะเทียบได้


ดังนั้นภายใต้การจ้องมองด้วยม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัว มู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ ไม่มีพลังในโลกนี้ที่ได้มาโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน หากเขาต้องการครอบครอง เขาก็ต้องจ่ายเป็นการแลกเปลี่ยน


คนทั่วไปได้เห็นเพียงความสำเร็จเจิดจรัสและทะยานขึ้นสูงของเขา แต่ไม่ได้เห็นการฝึกฝนอันขมขื่นที่เขาต้องจ่ายเพื่อความสำเร็จนั่น


เมื่อเถี่ยซัน ปิงซินและแม่ทัพคนอื่นเห็นมู่เฉินยอมตอบตกลง สายตาของพวกเขาก็ประหลาดไป แต่ในส่วนลึกของดวงตากลับโอนอ่อนมากขึ้น คิดว่าความกล้าหาญที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้พวกเขารู้สึกประทับใจ เพราะมีไม่กี่คนหรอกที่กล้าย่างเท้าเข้าไปในค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง


มั่นถัวหลัวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ รอยยิ้มที่หาดูได้ยากผุดบนใบหน้า “งั้นข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้านะ เหล่าแม่ทัพที่นี่จะให้คำแนะนำเรื่องการฝึกฝนกับเจ้าเอง”


จบคำพูดร่างนางก็วาบแสงหายไป ความเร็วสุดยอดนี้ทำให้มู่เฉินกับเหล่าแม่ทัพมองด้วยความอิจฉา เมื่ออยู่ตรงหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน พวกเขาก็อ่อนหัดราวกับเด็กทารก


เมื่อเห็นมั่นถัวหลัวไปแล้ว มู่เฉินก็เบนสายตามาหาแม่ทัพทั้งสี่ประสานมือคำนับ “รบกวนแม่ทัพทั้งสี่ในอีกสามเดือนข้างหน้าด้วย”


เถี่ยซันหัวเราะพลางโบกมือ แม้เขาเหมือนหอคอยเหล็กแต่ก็ไม่ได้โง่ ฟังจากน้ำเสียงของมั่นถัวหลัวที่พูดกับมู่เฉิน ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่เหมือนแค่ประมุขกับแม่ทัพเลย ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทำตัวเป็นกันเองกับมู่เฉินมากเกินไป


“เดี๋ยวให้ปิงซินแนะนำเรื่องการเพาะบ่มพลังในบ่อเพลิงข่ายฟ้าให้นะ หากมีปัญหาก็ขอความช่วยเหลือจากพวกเราได้” เถี่ยซันยิ้มให้มู่เฉิน จากนั้นก็เหลือเพียงปิงซินที่ยังยืนอยู่ แม่ทัพทั้งสามกลับคืนสู่แท่นหินรอบด้านเพื่อตรวจตราการฝึกของหน่วยรบกงเวทสวรรค์


ปิงซินมองมู่เฉินด้วยสายตาเย็นชาเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับประมุข แต่ในเมื่อท่านทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ ข้าจะใช้วิธีฝึกเข้มงวดที่สุดกับหน่วยรบกงเวทสวรรค์ให้ก็แล้วกัน”


มู่เฉินยิ้มและพยักหน้า


“ข้าจะเริ่มเพาะบ่มกันยังไงหรือ?” มู่เฉินถามอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่พูดมากความกับสาวงามเย็นเยือกผู้นี้


“ตอนแรกข้าตั้งใจจะฝึกเจ้าเหมือนนักรบคนอื่นๆ โดยเริ่มฝึกบนแท่นหินพวกนั้น แต่ในเมื่อเจ้ามีความสามารถในการจัดการอสรพิษเพลิงวิญญาณ งั้นข้าจะพาเจ้าไปยังจุดลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้า ต่อไปเจ้าจะได้ล่าอสรพิษเพลิงวิญญาณดึงเอาแก่นเพลิงวิญญาณเพื่อมาใช้เร่งการฝึกได้” ปิงซินเอ่ย


“นอกจากนี้ภายในบ่อเพลิงข่ายฟ้ามีอุณหภูมิสูงมาก ด้วยขุมพลังของเจ้าที่มี สามารถดำลงไปได้หนึ่งพันจั้งซึ่งถือเป็นขีดจำกัดของเจ้าแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังมีอสรพิษเพลิงวิญญาณที่ทรงพลังอย่างยิ่งในส่วนลึกลงไปที่เจ้าไม่สามารถรับมือได้ด้วยพลังในตอนนี้”


“ยังมีตัวที่ทรงพลังมากกว่านี้อีกเหรอ?” มู่เฉินผงะไป บ่อเพลิงข่ายฟ้าไม่ใช่สถานที่สบายเลยจริงๆ


“อสรพิษเพลิงวิญญาณตัวเมื่อครู่อายุประมาณร้อยปีเท่านั้น ยิ่งมันอายุมากเท่าไร ก็จะยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น จุดนี้สามารถตัดสินได้จากขนาดของมัน แต่อสรพิษเพลิงวิญญาณที่ทรงพลังมักอยู่ในส่วนลึก ตราบใดที่เจ้าไม่เงอะงะเข้าไปในส่วนลึก ก็น่าจะไม่เจอกับพวกมัน” แม้ปิงซินจะมีนิสัยเย็นชา แต่ก็ให้คำอธิบายอย่างละเอียดไขข้องสงสัยมู่เฉิน


“ยิ่งอสรพิษเพลิงวิญญาณทรงพลัง แก่นเพลิงวิญญาณก็ยิ่งบริสุทธิ์และทรงพลังใช่ไหม?” มู่เฉินเบะปาก ก่อนหน้าเขาชำระแค่แก่นเพลิงวิญญาณอายุร้อยปีไป หากได้แก่นเพลิงวิญญาณอายุมากกว่านี้ ก็คงจะให้ผลดีกว่านั้นสินะ


ปิงซินอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่มู่เฉิน ชายหนุ่มคนนี้อายุนิดเดียวแต่กลับโอหังนัก ใครบ้างที่ไม่อยากได้แก่นเพลิงวิญญาณที่มีอายุเกินห้าร้อยหรือแม้กระทั่งหนึ่งพันปีกันล่ะ? แต่ก็ต้องมีความสามารถนั้นให้ได้ก่อน


มู่เฉินทำได้เพียงยิ้มแห้งเป็นการตอบรับปฏิกิริยาของปิงซิน


“ตามข้ามา ในเมื่อเจ้ามั่นใจนัก งั้นข้าก็จะพาเจ้าไปยังสถานที่ที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ดี” ริมฝีปากสีกุหลาบของปิงซินเผยอขึ้น จากนั้นนางก็ทะยานลงไปยังจุดลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้า เมื่อห็นนางนำไปแล้ว มู่เฉินก็รีบตามไปในทันที


ร่างแสงสองร่างพุ่งผ่านหุบเหว เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้บ่อเพลิงข่ายฟ้า อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้นจนน่ากลัว มากจนกระทั่งมู่เฉินยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดเสียดแทงร่างกายทรงพลังของเขา ซึ่งทำให้เขารู้สึกแอบตกตะลึง นี่ยังไม่ได้เข้าไปในส่วนบ่อเพลิงข่ายฟ้าเลยสักนิดนะ…


ขณะที่พวกเขาเคลื่อนตัวเข้าไปยังจุดลึก มู่เฉินก็เห็นถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของบ่อเพลิงข่ายฟ้า ที่นี่แทบจะเป็นทะเลลาวาใต้พิภพ นอกจากนี้ภูมิประเทศยังสลับซับซ้อนก่อตัวขึ้นจากการละลายของหินหนืดในหุบเหวโดยรอบ เกิดเป็นถ้ำใหญ่ทุกรูปทรง ราวกับเขาวงกตเลยทีเดียว


มู่เฉินตามปิงซินเคลื่อนผ่านถ้ำทั้งหลาย ราวสิบนาทีต่อมาปิงซินก็ชะลอความเร็วลง


มู่เฉินชะเง้อมองจากด้านหลังปิงซินไปข้างหน้า จากนั้นม่านตาก็อดหดเกร็งลงไม่ได้


ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นทะเลลาวาสีแดงฉาน แต่ขณะนี้มีอสรพิษเพลิงวิญญาณเต้นระบำไปมาอยู่บนพื้นผิวทะเล ทำให้เกิดเป็นหลุมวนลาวาขนาดใหญ่


เสียงขู่แหลมดังก้องตลอดเวลา


กวาดมองผ่านๆ ก็เห็นอสรพิษเพลิงวิญญาณอย่างน้อยหลายร้อยตัว


แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกขนหัวลุกชันกับจำนวนนั่น


รอยยิ้มแย้มปรากฏบนใบหน้าเย็นชาของปิงซิน นางมองไปที่มู่เฉิน เหยียดแขนทำท่าเชิญพลางเม้มปากยิ้มและพูดขึ้น “ขอต้อนรับสู่บ่อเพลิงข่ายฟ้าระดับนรก”

 

 

 


ตอนที่ 754

 

การฝึกฝนในลาวาอันทรมาน

ในลาวาสีแดงฉาน


อสรพิษเพลิงวิญญาณจำนวนมากแหวกว่ายอย่างรวดเร็วขณะที่กวนกระแสหลุมวนลาวาจำนวนมากขึ้น เสียงขู่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำเอาคนฟังหนังหัวลุกชูชัน


เมื่อมองภาพนี้ แม้แต่คนที่มีสภาพจิตใจแบบมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะตัวเกร็ง แม้ดูจากขนาดตัวของอสรพิษเพลิงวิญญาณที่นี่ ส่วนใหญ่น่าจะมีอายุไม่ถึงหนึ่งศตวรรษ แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถประมาทได้


แม้ก่อนหน้าจะดูเป็นเรื่องง่ายสำหรับมู่เฉินในการล่าอสรพิษเพลิงวิญญาณอายุร้อยปี แต่นั่นเป็นเพราะเขาใช้พลังทั้งหมดของร่างเทพสุริยะโดยไม่ยั้ง


แต่ตอนนี้คงเป็นเรื่องยากหากเขาต้องเผชิญกับอสรพิษเพลิงวิญญาณจำนวนมากขนาดนี้ แม้จะมีร่างเทพสุริยะก็ตาม


“นี่ไม่ยากไปหน่อยเหรอ จู่ๆ ก็มาระดับนี้เลยเนี่ย?!” มู่เฉินยิ้มเกร็ง ถึงเขาจะมีความมั่นใจแต่ก็ไม่ได้อวดเก่ง เขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถจัดการกับอสรพิษเพลิงวิญญาณมากขนาดนี้ได้เหมือนปอกกล้วยด้วยพลังที่มี


ปีศาจเหล่านี้ไม่ได้ทำมาจากดินน้ำมันนะ


“ตามที่ประมุขบอก เจ้ามีเวลาอยู่สามเดือนเท่านั้น หากเจ้าต้องการเผชิญหน้ากับค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงนับจากนี้อีกสามเดือน เจ้าก็ต้องฝึกด้วยวิธีนี้แหละ” ปิงซินกอดอก ผ้านุ่มลื่นเผยให้เห็นส่วนโค้งเว้า รอยยิ้มเยาะผุดบนมุมปากขณะจ้องมองมู่เฉิน


“แน่นอนว่าข้าก็แค่แนะนำ เจ้าเป็นคนตัดสินเลือกเอง”


มุมปากของมู่เฉินกระตุก ในเมื่อพูดกันขนาดนี้เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร?


เมื่อปิงซินเห็นสีหน้าจนใจของมู่เฉินก็ยิ้มออกมา “เอาล่ะ ต่อไปเจ้าก็ฝึกอยู่ที่นี่เถอะ ถ้ามีอะไรปัญหาอะไรก็มาหาข้าได้”


พูดจบนางก็หันหลังเดินออกไปทันที ชั่วไม่กี่อึดใจร่างนางก็หายไปจากสายตา ทิ้งให้มู่เฉินยืนอึ้งอยู่ตามลำพัง ขณะที่สายตามองทะเลลาวาแผดเผาอย่างไร้คำพูด


มู่เฉินยิ้มบื้ออยู่นาน ก่อนจะตั้งสติได้ การเอาแต่กล่าวโทษสวรรค์ไม่ใช่นิสัยของเขา ในเมื่อมาถึงที่แล้ว ไม่ว่าหนทางจะยากลำบากแค่ไหน เขาก็ต้องอดทน


ซู้ด


มู่เฉินสูดลมร้อนผ่าวลงไปลึก เมื่ออากาศผ่านปอด เขาก็รู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในกายกำลังแผดเผา ความเจ็บปวดทำให้ดวงตาสีดำเป็นประกายคมกล้า


มู่เฉินมองลาวาสีแดงฉานนิ่ง หลังจากสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็บอกได้ว่าแม้จะมีอสรพิษเพลิงวิญญาณอยู่จำนวนไม่น้อยในลาวา แต่ก็ไม่ได้กระจายไปทั่ว มีเพียงบางจุดที่อสรพิษเพลิงวิญญาณมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น ขณะที่จุดอื่นเห็นอยู่บางตา


ด้วยพลังของมู่เฉินในตอนนี้ เขาสามารถจัดการกับอสรพิษเพลิงวิญญาณที่มีอายุมากกว่าร้อยปีได้สองสามตัว แต่ถ้าจำนวนมากขึ้น เขาก็ต้องเสี่ยงชีวิต ดังนั้นก่อนที่เขาจะคุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้ เขาควรจะเริ่มจากตื้นไปหาลึก…


พอคิดได้ดังนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลแตะเท้าส่งแรงก่อนที่ร่างจะไปปรากฏที่ขอบทะเลลาวาอย่างลึกลับ เขาลอยอยู่บนอากาศสิบกว่าจั้งเหนือทะเลลาวา จากนั้นก็ก้าวย่างไปบนอากาศอย่างระมัดระวัง


ฟ่อ!


ทันทีที่มู่เฉินเข้าไปในเขตทะเลลาวา อสรพิษเพลิงวิญญาณสิบกว่าตัวที่ว่ายวนอยู่ก็สัมผัสได้ถึงการมาของเขา ทันใดนั้นลาวาก็แหวกออกพร้อมกับร่างอสรพิษเปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงพุ่งใส่มู่เฉินพร้อมกับแยกเขี้ยวดุร้ายที่มีลาวาแผดเผาไหลอยู่ภายใน ช่างอันตรายถึงชีวิต


สีหน้ามู่เฉินไม่มีเปลี่ยนแปลงใดๆ ขณะร่างเปลี่ยนเป็นสายฟ้าอย่างรวดเร็ว ลวดลายสายฟ้าเก้าโคจรแล่นแปลบปลาบอยู่บนอก จากนั้นก็ซัดกำปั้นออกไปพร้อมกับเสียงฟ้าคำรามระเบิดออก พายุสายฟ้าสิบกว่าลูกกวาดตัวออก ปะทะกับอสรพิษเพลิงวิญญาณสิบกว่าตัวที่พุ่งเข้ามาอย่างจัง


ปัง!


อสรพิษเพลิงวิญญาณเหล่านี้เทียบไม่ได้กับตัวที่มู่เฉินล่าไปก่อนหน้าเลย แต่ละตัวน่าจะมีอายุเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น ดังนั้นการโจมตีของพวกมันจึงไม่เป็นอันตรายในสายตามู่เฉิน เมื่อสายฟ้ากวาดออก อสรพิษเพลิงวิญญาณสิบกว่าตัวก็เปลี่ยนเป็นลาวาระเบิดตัวออก


มู่เฉินกวักมือ แก่นเพลิงวิญญาณสิบกว่าชิ้นก็ลอยเข้ามาและถูกเขาเก็บไว้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเนื่องจากความผันผวนเบื้องหน้ากวาดตัวออกไป ตอนนี้มีกระแสลาวาเชี่ยวกรากจำนวนมากกระเพื่อมบนพื้นผิวทะเล ภายใต้กระแสเหล่านั้นก็คืออสรพิษเพลิงวิญญาณที่ดุร้าย


นอกจากนี้ยังมีหลายตัวที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เห็นชัดว่าพวกมันต้องมีอายุถึงหนึ่งร้อยปีแล้ว


ตู้ม!


คลื่นลาวาขนาดใหญ่ถาโถมเข้ามาพร้อมกับเสียงขู่บาดแก้วหู ลำแสงมากมายที่อัดแน่นไปด้วยลาวาร้อนแรงก็เจาะผ่านมิติพุ่งใส่มู่เฉินจากทุกทิศทาง


เผชิญกับการโจมตีระดับนี้ มู่เฉินก็ไม่กล้าลังเล ความคิดวาบผ่านในใจ ร่างเทพสุริยะก็ก่อตัวขึ้น แสงสีทองหมุนวน ปล่อยให้ลำแสงลาวาโจมตีร่างใหญ่โตไป


ชี่! ชี่!


แม้ว่าการโจมตีของอสรพิษเพลิงวิญญาณเหล่านี้จะรุนแรง แต่การป้องกันของร่างเทพสุริยะไม่เพียงแต่น่าทึ่งมิหนำซ้ำยังได้รับการเสริมพลังจากบ่อทองข่ายฟ้ามาด้วย ดังนั้นการโจมตีเหล่านั้นจึงทำได้แค่ทิ้งรอยไหม้ไว้บนผิวกายเท่านั้น


ภายใต้การควบคุมของมู่เฉิน ร่างเทพสุริยะก็ปล่อยพลังทำลายล้างออกมา ฝ่ามือมหึมาสีทองที่กระแทกลงก็ทะลวงผ่านลาวาคว้าร่างอสรพิษเพลิงวิญญาณดุร้ายไว้ตัวแล้วตัวเล่าก่อนจะบดขยี้พวกมัน


ตู้ม!


ภายใต้การเคลื่อนไหวของร่างเทพสุริยะ ทะเลลาวานี้ก็ปะทุขึ้นมาเต็มรูปแบบ คลื่นม้วนตัวอย่างต่อเนื่อง เสียงแหลมบาดหูดังไม่หยุด


หลังจากที่มู่เฉินเปิดใช้งานร่างเทพสุริยะ อสรพิษเพลิงวิญญาณธรรมดาที่มีอายุเป็นทศวรรษก็ถูกเขาสังหารในพริบตา มีเพียงตัวที่มีขนาดใหญ่ อายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีที่พลังเทียบเท่าระดับจื้อจุนขั้นสามเท่านั้นที่สามารถต้านทานพลังการของมู่เฉินได้


แม้ว่าอสรพิษเพลิงวิญญาณจะไม่มีสติปัญญา แต่ก็ได้เปรียบด้านจำนวนที่มากกว่า ดังนั้นเมื่อพวกมันเลื้อยเข้ามาหาร่างเทพสุริยะไม่สิ้นสุด มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงในร่างที่ลดลงอย่างรวดเร็ว


มากเสียจนแม้แต่แสงสีทองเปล่งปลั่งบนร่างเทพสุริยะหม่นแสงลง


ตู้มมม!


ฝ่ามือขนาดใหญ่ของร่างเทพสุริยะทะลุผ่านลาวาคว้าร่างอสรพิษเพลิงวิญญาณอายุหนึ่งร้อยปีก่อนจะกระชากมันจนขาดจากกัน


แก่นเพลิงวิญญาณสีแดงลอยออกมาและถูกมู่เฉินที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างเทพสุริยะเก็บไว้


เพียงสี่ชั่วโมงเขาก็สังหารอสรพิษเพลิงวิญญาณที่มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีไปได้ห้าตัว ส่วนตัวที่อายุต่ำกว่าหนึ่งร้อยปีมีหลายสิบตัวเลยทีเดียว


แน่นอนว่าราคาที่ต้องแลกกับความสำเร็จนี้ก็คือแสงสีทองบนร่างเทพสุริยะที่หม่นลงเนื่องจากคลื่นหลิงถูกใช้ไปมหาศาล การต่อสู้ไม่รู้จบทำให้คลื่นหลิงของเขาอ่อนล้ามากกว่าการต่อสู้กับฉิงเปยเสียอีก


เนื่องจากในเวลานี้มู่เฉินไม่กล้าที่จะผ่อนคลายแม้แต่น้อย เขาต้องหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างโดยไม่ยั้ง มิฉะนั้นหากเขาปล่อยให้อสรพิษเพลิงวิญญาณพวกนั้นพบช่องโหว่เข้าละก็ งานนี้เขาซี้แหงแก๋แน่


เมื่อถึงเวลาแบบนี้อสรพิษเพลิงวิญญาณที่มีพลังอ่อนแอก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้อีก ดังนั้นอสรพิษเพลิงวิญญาณส่วนใหญ่ที่โจมตีมู่เฉินจึงเป็นตัวที่มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีทั้งหมด บางครั้งมู่เฉินถึงขนาดต้องตั้งรับการโจมตีน่าสะพรึงจากอสรพิษเพลิงวิญญาณที่มีอายุมากกว่าศตวรรษถึงแปดตัวในคราเดียว


การต่อสู้ที่หนักหนาเช่นนี้ส่งผลให้คลื่นหลิงลดลงอย่างรวดเร็ว มู่เฉินก็เริ่มอ่อนล้าลงเรื่อยๆ


ภายในร่างเทพสุริยะ ใบหน้าของมู่เฉินซีดลง ความเร็วในการสูญเสียคลื่นหลิงเช่นนี้ บางทีอีกหนึ่งชั่วโมง คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ก็จะเริ่มเหี่ยวแห้ง


ในสถานการณ์ทั่วไปเมื่อคลื่นหลิงสูญเสียไปมาก ก็ควรถอนตัวออกจากการต่อสู้อย่างรวดเร็ว จากนั้นหาสถานที่สงบเงียบฟื้นคืนพลังกลับมา


ทว่าดวงตาสีดำของมู่เฉินที่ร้อนแรงมากยิ่งขึ้น กลับไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนีแต่อย่างใด เพราะเขาสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงในร่างกายทำงานมากกว่าปกติ


การต่อสู้อย่างต่อเนื่องและคลื่นหลิงที่สูญเสียไปเรื่อยเป็นสัญญาณที่กระตุ้นคลื่นหลิงได้มากที่สุด


ยิ่งเข้าใกล้ขีดจำกัด ก็ยิ่งห้ามถอย!


มู่เฉินกำหมัด ก้อนแสงสีแดงจำนวนมากก็ปรากฏตรงหน้า นี่คือแก่นเพลิงวิญญาณที่เขาได้มาก่อนหน้า สายตาเขาจดจ้องที่กลุ่มแสงสีแดง จากนั้นก็โยนพวกมันเข้าปากโดยไม่ลังเล


การชำระแก่นเพลิงวิญญาณจะนำมาความปวดแสบปวดร้อนแสนสาหัสมาสู่ร่างกาย โดยปกติแล้วหากมีใครต้องการชำระ พวกเขาจะมองหาสถานที่สงบเงียบ ส่วนคนที่เหมือนกับมู่เฉินที่กล้าชำระระหว่างการต่อสู้มีน้อยนัก


ตู้ม!


เมื่อแก่นเพลิงวิญญาณเข้าไปในร่าง หน้าตาหัวหูของมู่เฉินก็แดงก่ำไปหมด ราวกับทั่วสรรพางค์กายจะลุกเป็นไฟ


คลื่นหลิงที่ราวกับลาวาหมุนเวียนในร่างกายอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดเกินบรรยายแผดเผาเส้นสาย ซึ่งทำให้ใบหน้าของมู่เฉินบิดเบี้ยวไปหมด ทว่าเขาก็กัดฟันข่มความเจ็บปวด เลือดไหลซึมออกมาจากร่องฟัน แต่เขาก็ดูเหมือนไม่คิดจะหยุดเลย


เขาหมุนเวียนวิชามหาเจดีย์ชำระคลื่นหลิงในร่าง จากนั้นก็ควบคุมร่างเทพสุริยะให้หลบหลีกการโจมตีที่ดุดัน


เลือดไหลออกจากปากมู่เฉิน แต่แววตาพลางพล่านมากกว่าเดิม จากนั้นมุมปากก็ค่อยๆ โค้งขึ้น


ทระนงตนและดื้อดึง


เพราะเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงลูกใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นในร่างกายแล้ว


 


ขณะที่มู่เฉินจมอยู่ในการต่อสู้ไร้ที่สิ้นสุดอันขมขื่น


บนแท่นหินหนึ่งก็มีหน้าจอแสงวูบไหว ภาพในนั้นคือร่างเทพสุริยะที่หม่นแสงลงกำลังติดอยู่ในศึกเหน็ดเหนื่อย


ปิงซิน เถี่ยซัน เหล่าแม่ทัพหน่วยรบกงเวทสวรรค์และนักรบอีกหลายคนต่างเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินที่อยู่ในการต่อสู้ยากลำบากพลางเม้มปาก


“เจ้านี่บ้าบิ่นใช้ได้ ดูจากท่าทางเดี๋ยวข้าคงต้องไปช่วยเหลือเขาแล้ว ช่างไม่รู้จักขีดจำกัดของตัวเองจริงๆ ยังไม่ยอมถอยในเวลานี้อีก” ปิงซินเอ่ยอย่างไม่พอใจ ก่อนหน้ามู่เฉินมีคลื่นหลิงปริมาณเพียงพอที่จะฝ่าวงล้อมออกมา แต่เขาก็ไม่ยอมถอย ตอนนี้เขาถูกอสรพิษเพลิงวิญญาณล้อมวงเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสถานการณ์นี้ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์สุดท้ายของมู่เฉินจะมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือคลื่นหลิงของเขาหมดเกลี้ยงและถูกอสรพิษเพลิงวิญญาณรุมล้อมฉีกเป็นชิ้นๆ


แม่ทัพอีกสามคนพยักหน้าเช่นกัน มู่เฉินดูไม่เหมือนคนบ้าบิ่น แล้วทำไมถึงทำเช่นนี้


ปิงซินเหลือบมองหน้าจอแสงแวบหนึ่งก่อนจะส่ายหน้าอย่างผิดหวัง แต่ขณะที่ฝ่าเท้าของนางกำลังจะขยับ เสียงอื้ออึงก็ดังไปทั่วทั้งแท่นหิน


นางรีบเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นดวงตาเย็นชาก็หดเกร็งลงฉับพลัน


ภายใต้วงล้อมหนาแน่นของอสรพิษเพลิงวิญญาณ ร่างเทห์สวรรค์ที่หม่นแสงลงก็ระเบิดแสงสว่างจ้าออกมาอีกครั้ง


คลื่นหลิงน่าอัศจรรย์พวยพุ่งออกมาราวกับภูเขาไฟจากร่างใหญ่โต

 

 

 


ตอนที่ 755

 

ล่าครั้งใหญ่

“นั่นมัน….”


นักรบกงเวทสวรรค์หลายคนที่อยู่บนแท่นหินมองหน้าจอแสงด้วยความตกตะลึง ร่างเทห์สวรรค์ที่หม่นแสงลงจากการสูญเสียคลื่นหลิงเมื่อครู่กลับระเบิดแสงสีทองเจิดจ้าออกมาอีกครั้งในตอนนี้


นอกจากนี้ทุกคนยังสามารถสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงที่กำจายออกมาจากร่างเทห์สวรรค์ทรงพลังมากกว่าแต่ก่อนอีกด้วย


“คลื่นหลิงของเขาฟื้นคืนเรอะ?” หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มีคนอุทานออกมา


“เขาชำระแก่นเพลิงวิญญาณระหว่างการต่อสู้” แววประหลาดใจฉายบนใบหน้าของเถี่ยซัน จากนั้นเขาก็เอ่ยเสียงขรึม


“อะไรนะ?”


พอได้ยินคำพูดนั่น แม้แต่ปิงซินยังรู้สึกตกใจ นักรบกงเวทสวรรค์รอบด้านต่างก็อ้าปากเหวอ พวกเขารู้ซึ้งเกี่ยวกับแก่นเพลิงวิญญาณ ดังนั้นจึงรู้ถึงความปวดแสบปวดร้อนแสนสาหัสที่ต้องอดทนระหว่างชำระ โดยทั่วไปพวกเขาจะมองหาสถานที่สงบและปลอดภัยในการชำระ พวกเขาไม่เคยกล้าใช้วิธีบ้าบิ่นอย่างการชำระกลางการต่อสู้มาก่อนเลย


เพราะไม่มีใครมั่นใจว่าจะรักษาสภาพจิตใจเพื่อต่อสู้ระหว่างอาการปวดแสบปวดร้อน


“นี่ไม่บ้าไปหน่อยเหรอ?” บางคนอดไม่ได้ที่จะพึมพำเมื่อมองร่างเจิดจ้าบนหน้าจอแสงพร้อมกับแววประทับใจฉายในดวงตา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรความกล้าหาญของมู่เฉินก็คุ้มค่าแก่การชื่นชมและจุดสำคัญก็คือเขาทำได้สำเร็จ…


สีหน้าเคร่งเครียดในตอนแรกของปิงซินผ่อนคลายลงเงียบๆ มู่เฉินไม่เหมือนจอมยุทธ์ทั่วไปจริงๆ มิน่าถึงได้รับความสนใจจากท่านประมุข…


ก่อนหน้านางสงสัยว่ามู่เฉินจะฝ่าค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงไปหลังจากสามเดือนได้หรือไม่ แต่ด้วยการฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ ผลลัพธ์คงจะแตกต่างออกไป…


ขณะที่ทุกคนบนแท่นหินตกตะลึงกับคลื่นหลิงของมู่เฉินที่ฟื้นคืนกลับมาฉับพลัน หัวใจของเจ้าตัวก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจเช่นกัน เนื่องจากสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงหนาแน่นในร่างกายของเขา


ความหนาแน่นนี้ทรงพลังมากกว่าแต่ก่อน เห็นชัดว่าหลังจากประสบการต่อสู้ก่อนหน้าซึ่งทำให้สูญเสียคลื่นหลิงมหาศาล คลื่นหลิงในร่างเขาก็แสดงสัญญาณพัฒนาการขึ้น


แม้ว่ายังมีช่องว่างสำหรับเขาในการก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นสาม แต่ระดับพัฒนาการเช่นนี้ ถ้าเป็นปกติ มู่เฉินต้องฝึกฝนช่วงเวลาหนึ่งกว่าจะพัฒนาได้ขนาดนี้ แต่ตอนนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น


ยิ่งอันตรายมากเท่าใด ก็ยิ่งปลดปล่อยศักยภาพออกมาได้เท่านั้น นี่เป็นประโยคที่ถูกต้อง


แม้ว่าบ่อเพลิงข่ายฟ้าจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อการฝึกมหาศาล


แววคมกริบพล่านในดวงตาของมู่เฉินขณะที่จิตวิญญาณวีรบุรุษลุกโชนในใจ เขาผ่านการต่อสู้เป็นตายในเส้นทางที่ก้าวเดินมาไม่รู้กี่ครั้ง ดังนั้นบ่อเพลิงข่ายฟ้าแห่งนี้ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะหยุดพัฒนาการของเขาได้หรอก


มู่เฉินหัวเราะขณะตั้งจิตควบคุมร่างเทพสุริยะให้กวาดฝ่ามือสีทองออกไป แรงกระแทกมหาศาลทำให้อสรพิษเพลิงวิญญาณสองตัวที่มีพลังถล่มภูเขาได้กระเด็นออกไป เสียงร้องครวญดังก้อง


ตู้ม!


ร่างเทพสุริยะก้าวลงไปในลาวา แสงสีทองกวาดออกมาราวกับพลังปีศาจพุ่งเข้าใส่อสรพิษเพลิงวิญญาณ ตอนนี้การโจมตีของเขารุนแรงกว่าตอนแรกมาก ลาวาสาดกระเซ็น ทำให้พวกอสรพิษเพลิงวิญญาณที่คิดรุมล้อมเขาแตกตื่นไปหมด ทุกหมัดสีทองจะทำลายร่างอสรพิษเพลิงวิญญาณหนึ่งตัวเมื่อซัดออกไป


ทว่าอสรพิษเพลิงวิญญาณเหล่านี้ไม่ความเฉลียวฉลาด ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีความกลัว กลับกันการสังหารหมู่ของมู่เฉินกระตุ้นการโจมตีเข้าไปใหญ่ เสียงขู่ดังออกมา อสรพิษเพลิงวิญญาณก็ทะยานเข้ามาไม่รู้จบโดยไม่หวาดกลัวต่อความตาย


หมัดของร่างทองคำเคลื่อนที่ในลาวาขณะแสงสีทองโหมกระหน่ำรุนแรงพร้อมกับคลื่นหลิง ส่วนในลาวาก็มีอสรพิษเพลิงวิญญาณดุร้ายกระโจนเข้ามาอย่างไม่รู้จบ


เพราะการสังหารหมู่ในลาวาจึงสร้างแรงสั่นสะเทือนไม่สิ้นสุด


การต่อสู้บ้าคลั่งที่นี่ทำให้แม้แต่นักรบกงเวทสวรรค์ที่เชี่ยวชาญการศึกยังต้องอ้าปากตาค้าง


แม้ว่ามู่เฉินจะสามารถใช้ประโยชน์จากแก่นเพลิงวิญญาณฟื้นฟูคลื่นหลิงได้ แต่ก็ไม่สามารถสู้อย่างไร้จุดสิ้นสุด เพราะคลื่นหลิงอาจฟื้นตัว แต่จิตใจไม่อาจฟื้นคืนได้โดยปราศจากการช่วยเหลือภายนอก


ดังนั้นหลังจากที่การต่อสู้ดุเดือดนี้ดำเนินไปทั้งวัน ร่างเทพสุริยะที่ถูกล้อมด้วยอสรพิษเพลิงวิญญาณก็พุ่งตัวออกมา ไม่กี่อึดใจก็ฝ่าออกจากวงล้อม จากนั้นเมื่อแสงสีทองวูบไหว ร่างหนึ่งก็ซ่อนตัวเข้าไปในถ้ำ


มู่เฉินนั่งขัดสมาธิลงทันทีที่เข้ามาในถ้ำ ใบหน้าเขาซีดเซียวไปหมด แววอ่อนล้าฉายบนหว่างคิ้วทั้งสอง การต่อสู้ระดับสูงทำให้จิตใจเขาอ่อนล้ามาก หากไม่ใช่พลังใจที่ทำให้เขาอดทนไว้ เขาคงจะหมดสติไปนานแล้ว


แต่ต่อให้เขาออกจากกการต่อสู้มาก็ยังพักไม่ได้ เนื่องจากนี่เป็นเวลาดีที่สุดที่จะฝึกฝน


มู่เฉินสะบัดมือ แก่นเพลิงวิญญาณสีแดงก็มาลอยอยู่ตรงหน้า จากนั้นเขาก็กำมือเบาๆ ขวดหยกปรากฏขึ้นในมือ สายธารใสเล็กๆ ก็ไหลออกมาพันรอบตัวมู่เฉิน ช่างเปี่ยมด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์อย่างยิ่ง


แก่นเพลิงวิญญาณกับของเหลวจื้อจุนถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว


มู่เฉินนั่งขัดสมาธิวาดตราประทับเร็วรี่ ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ อย่างอ่อนล้าเข้าสู่สภาวะการฝึกฝน ปากเขาอ้าขึ้นเล็กน้อยขณะที่แก่นเพลิงวิญญาณและของเหลวจื้อจุนหยดหนึ่งไหลเข้าไปในปาก


คลื่นหลิงที่อ่อนล้าฟื้นขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้มันยังแก่กล้าและบริสุทธิ์มากขึ้น…


 


มู่เฉินเคี่ยวกรำซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหนึ่งเดือนต่อมา


ลาวาสีแดงยกคลื่นขึ้นทุกวันเมื่อร่างทองคำใหญ่โตราวกับจักรกลที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเข้าห้ำหั่นกับอสรพิษเพลิงวิญญาณอย่างไม่จบสิ้น


และทุกครั้งเขาจะอดทนจนถึงขีดจำกัดของใจ ก่อนจะล่าถอยออกจากระยะเข้าสู่สภาวะสมาธิลึก


วิธีการฝึกของมู่เฉินวิกลจริตแท้จริง เพราะแม้แต่หน่วยรบกงเวทสวรรค์ที่ฝึกตนราวกับกินอาหารยังแอบเดาะลิ้นกับวิธีแบบนี้


แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้ดูอ่อนโยนภายนอก แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะมีความดื้อดึงและอุตสาหะลึกถึงกระดูกจนน่าตกใจเช่นนี้ พวกเขาถามตัวเอง ก็ได้ข้อสรุปว่าถ้าเป็นพวกเขาคงไม่สามารถประสบความสำเร็จอย่างเขาได้แน่นอน


มากเสียจนแม้แต่เถี่ยซัน ปิงซิน และแม่ทัพกงเวทสวรรค์ที่เหลือยังแอบตกตะลึงกับการแสดงศักยภาพของมู่เฉินตลอดเดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็ต้องถอนหายใจในใจ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประมุขถึงให้ความใส่ใจกับชายหนุ่มคนนี้


ทว่าแม้จะจ่ายไปมหาศาล แต่การเก็บเกี่ยวก็ไม่น้อยเลย เพียงเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ คลื่นหลิงในร่างกายเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างแรงกล้า ถึงเขาจะยังไม่บรรลุขุมพลัง แต่ก็เข้มข้นมากกว่าเดือนก่อนเป็นเท่าตัว ยิ่งกว่านั้นมู่เฉินยังทนต่อการต่อสู้ได้ยาวนานขึ้นในแต่ละครั้งด้วย


ช่วงแรกเขาทนอยู่ได้เพียงครึ่งกว่าวันหลังจากใส่พลังทุกอย่างที่มี แต่หนึ่งเดือนต่อมาเขาสามารถทนอยู่ได้เกือบสองวันเต็ม!


นอกจากนี้ยังค่อยๆ คุ้นชินกับอุณหภูมิที่สูงในบ่อเพลิงข่ายฟ้า การหายใจเอาอากาศร้อนระอุที่นี่เข้าไปทำให้เขารู้สึกว่าเป็นความอบอุ่นที่สบายสำหรับเขา


ในช่วงเดือนนี้ ไม่รู้ว่ามีอสรพิษเพลิงวิญญาณจำนวนเท่าไรที่มีอายุน้อยกว่าหนึ่งร้อยปีถูกมู่เฉินล่า แม้แต่ตัวที่มีอายุมากกว่าร้อยปียังตกอยู่ในกำมือถึงจำนวนเลขสามหลักเลยทีเดียว


จนสุดท้ายอสรพิษเพลิงวิญญาณที่มารวมตัวกันที่นี่ แทบจะถูกมู่เฉินล้างบางจนสิ้นซาก จำนวนร่อยหรอลงจนไม่อาจเทียบกับเดือนก่อนได้อีก


แม้อสรพิษเพลิงวิญญาณจะไม่มีสติปัญญา แต่พวกมันก็รู้สึกได้ถึงพวกพ้องที่หลั่งเลือดในบริเวณนี้ ดังนั้นพวกมันจึงรู้ว่าจุดนี้ไม่ปลอดภัย


ดังนั้นจำนวนของอสรพิษเพลิงวิญญาณจึงลดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปเดือนหนึ่งมู่เฉินก็พบว่าบริเวณที่ควรเป็นขุมนรกในตอนแรกกลับไม่มีอสรพิษเพลิงวิญญาณให้ล่าได้อีกแล้ว


มู่เฉินนั่งบนชะง่อนหินบนลาวาพลางกวาดสายตาไปรอบด้าน แต่กลับไม่เจอเหยื่อแม้แต่ตัวเดียว ทำเอาต้องเบ้ปากอย่างช่วยไม่ได้


“คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่เหมือนจะใกล้เต็มแล้ว…”


มู่เฉินก้มหน้ามองมือทั้งคู่ จากนั้นก็กำหมัดช้าๆ สัมผัสคลื่นหลิงที่ถาโถมในร่างกาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกริ่ม แต่ไม่นานก็ต้องขมวดคิ้ว เนื่องจากเขารับรู้ได้ว่าคลื่นหลิงที่พัฒนาขึ้นเริ่มหยุดชะงักไป ไม่ว่าเขาจะฝึกคลื่นหลิงด้วยการชำระแก่นเพลิงวิญญาณและของเหลวจื้อจุนมากเท่าใด ก็ยากที่จะเพิ่มปริมาณอย่างที่ทำได้เมื่อก่อน


เหตุผลเรื่องนี้ก็คือคลื่นหลิงของเขาติดอยู่ในคอขวด วิธีคล้ายคลึงกันไม่สามารถทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างเมื่อก่อนได้


แสงคมกริบวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นสายตาก็จับจ้องทะเลลาวาพลางเลียริมฝีปาก ตอนนี้แก่นเพลิงวิญญาณที่มีอายุหนึ่งร้อยปีไม่เพียงพอต่อการฝึกของเขาอีกต่อไป


หากเขาต้องการเจาะทะลวงคอขวดนี้ เขาต้องมีแก่นเพลิงวิญญาณที่ทรงพลังมากกว่านี้


อย่างเช่นอายุสักสามร้อยปีหรือห้าร้อยปี… แต่แก่นเพลิงวิญญาณพวกนั้นหาได้แค่ในส่วนลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้า


ทว่าอุณหภูมิลาวาในส่วนลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้าน่ากลัวยิ่งนัก แม้แต่แม่ทัพทรงพลังอย่างเถี่ยซันกับปิงซินยังไม่กล้าลงไปลึกนักเลย


แต่เสียดายที่เรื่องแค่นี้ไม่อาจขัดขวางมู่เฉินได้


เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ท้องฟ้า เขาสัมผัสได้ว่ามีคลื่นหลิงอยู่ตรงนั้น พวกปิงซินคงให้ความสนใจกับที่นี้อยู่ จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึกไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างเคลื่อนเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งตรงเข้าไปที่ผิวทะเลลาวา


ซ่า!


ลาวาสาดกระเซ็น บนแท่นหินปิงซินและแม่ทัพคนอื่นๆ ที่มองมู่เฉินกระโดดลงไปในบ่อเพลิงข่ายฟ้าก็มองหน้ากัน

 

 

 


ตอนที่ 756

 

การเปลี่ยนบทบาท

ซ่า!


เมื่อมู่เฉินพุ่งลงไปในลาวา อุณหภูมิสูงก็ปะทะเข้ามาอย่างรุนแรง เขาเร้าวิชากายาเทพสายฟ้าจนถึงขีดสุด ยิ่งกว่านั้นยังแผ่คลื่นหลิงปกป้องตัวเองไว้ด้วย ทว่าก็ยังรู้สึกถึงความแสบร้อนบนผิวหนัง


ฟิ้ว!


มู่เฉินเปลี่ยนเป็นร่างแสงพุ่งผ่านลาวาทะยานไปยังจุดลึกสุดอย่างรวดเร็ว แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายที่จะทำ แต่ไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่ได้ลูกเสือ เพื่อบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม เขาต้องลองสักตั้งถึงจะอันตรายยังไงก็ตาม


สามารถพบเห็นฝูงอสรพิษเพลิงวิญญาณแหวกว่ายในลาวา มู่เฉินไม่อยากไปยุ่งกับพวกมันมากจึงหลีกเลี่ยงไปอย่างระมัดระวังและมุ่งหน้าต่อไป


ประมาณไม่กี่สิบอึดใจ มู่เฉินก็พลิ้วตัวลงในระยะหนึ่งพันลี้ของบ่อเพลิงข่ายฟ้า ลาวาที่นี่มีสีม่วงอ่อนเนื่องจากอุณหภูมิสูงถึงระดับที่น่ากลัวมากแล้ว


แม้แต่วิชากายาเทพสายฟ้าของมู่เฉินยังยากที่จะอดทนกับอุณหภูมิสูงเช่นนี้


ซี้ด


มู่เฉินสูดลมหายใจเบาๆ อึดใจจิตใจก็เคลื่อนไหว เส้นใยเพลิงสีม่วงเข้มปรากฏบนผิวกายถักทอเป็นเยื่อไฟห่อหุ้มร่างของเขาไว้


อุณหภูมิสูงน่ากลัวลดลงในตอนนี้


เพลิงสีม่วงเข้มก็คือเพลิงอมตะ แม้อุณหภูมิในบ่อเพลิงข่ายฟ้าจะสูง แต่ก็ไม่สามารถเจาะผ่านปราการป้องกันของเพลิงอมตะได้ ก่อนหน้าเนื่องจากมู่เฉินต้องการฝึกฝนจึงไม่ได้เร้าขึ้นมาใช้ แต่ตอนนี้ในเมื่อเขาต้องล่าอสรพิษเพลิงวิญญาณที่มีอายุมากขึ้น จึงเป็นเรื่องดีที่จะเริ่มใช้


วาบ!


เมื่อมีเกราะเพลิงอมตะ ความเร็วของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้น ไม่กี่นาทีเขาก็พุ่งลึกลงไปกว่าสองพันจั้ง คลื่นหลิงที่บรรจุอยู่ในลาวาป่าเถื่อนจนน่าตกใจ ลาวาบางส่วนถึงขนาดควบแน่นเป็นกลุ่มเพลิงลอยอยู่บนพื้นผิว


นอกจากนี้สิ่งที่ประหลาดที่สุดก็คือบริเวณรอบลาวาที่ควบแน่นราวกับกลายเป็นพื้นที่สุญญากาศ ไม่มีลาวาใดสามารถเข้าไปในพื้นที่นั้นได้แม้แต่น้อย


มู่เฉินพลิ้วตัวลงบนหินลาวาขนาดใหญ่ก็สัมผัสได้ในทันทีว่าแรงกดดันโดยรอบหายไปในพริบตา ราวกับว่าหินลาวานี้สามารถต้านทานแรงกดดันและอุณหภูมิสูงในส่วนลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้าได้


“เป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดจริงๆ”


มู่เฉินลองกระทืบเท้า หินลาวาก็ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ทำให้เขาอดชื่นชมไม่ได้ มหาพันภพช่างเต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับนานัปการจริงๆ


“แต่ทำไมไม่เห็นอสรพิษเพลิงวิญญาณสักตัวเลยล่ะ?” มู่เฉินกวาดสายตาไปรอบๆ ก็พึมพำกับตัวเอง เพราะเขาเหมือนจะไม่เห็นอสรพิษเพลิงวิญญาณแม้แต่ตัวเดียว ซึ่งแตกต่างจากการมารวมตัวกันหนาแน่นที่ส่วนบนโดยสิ้นเชิง


ขณะที่มู่เฉินกวาดสายตาอย่างสงสัย หินลาวาควบแน่นที่อยู่ไม่ไกลก็ระเบิดออก หางงูขนาดใหญ่แหวกผ่านลาวาฟาดใส่มู่เฉินจังใหญ่


การโจมตีฉับพลันทำให้สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป เขากระทืบเท้าล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว


ตู้ม!


หางฟาดลงมา ทำลายหินลาวาจนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนร่างของมู่เฉินก็ถูกกวาดจากคลื่นกระแทกต้องถอยออกไปหลายสิบก้าวอย่างทุลักทุเลก่อนจะทรงตัวได้


สีหน้าเคร่งขรึมมองไปก็เห็นอสรพิษเพลิงวิญญาณขนาดใหญ่ขดตัวอยู่ในลาวา ร่างใหญ่โตยิ่งกว่าทุกตัวที่เขาเคยเห็นมา


“เจ้าตัวดีนี่ อายุอย่างน้อยก็สี่ร้อยปีเชียวล่ะ!”


มู่เฉินสูดหายใจลึกสุดปอด ขนาดของอสรพิษใหญ่กว่าตัวที่มีอายุร้อยปีสองถึงสามเท่า จากการประเมินของเขาตัวนี้อย่างน้อยก็ต้องมีอายุประมาณสี่ร้อยปี


ระดับพลังของอสรพิษเพลิงวิญญาณตัวนี้คงไม่ด้อยกว่าฉิงเปยแล้ว


นี่คืออสรพิษยักษ์ที่ยากจะจัดการ


ชี่! ชี่!


อสรพิษเพลิงวิญญาณจ้องมองมู่เฉินอย่างดุร้าย จากนั้นมันก็ไม่ลังเลที่จะอ้าปากกว้างปล่อยลำแสงลาวาสีแดงพุ่งใส่มู่เฉิน


พลังที่อยู่ในแสงลาวาไม่ใช่สิ่งที่อสรพิษเพลิงวิญญาณที่มู่เฉินปะทะก่อนหน้าสามารถเทียบได้ ดังนั้นเขาไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย แสงสีทองระเบิดจากด้านหลัง ร่างเทพสุริยะถูกเรียกขึ้นมา


ตึง!


ฝ่ามือทองคำและแสงลาวาปะทะกัน ลมพายุน่ากลัวก็กวาดออกมา ทำให้หินลาวาที่ลอยอยู่หลายก้อนแตกสลาย


ร่างมู่เฉินปรากฏบนหัวของร่างเทพสุริยะ สายตาคมกริบมองอสรพิษเพลิงวิญญาณที่กำลังโกรธเกรี้ยวเขม็ง เขาวาดตราประทับสองมือ จุดจื้อจุนไห่ก็พลุ่งพล่านขึ้นมาด้านหลัง พร้อมกับเสียงคำรามของมังกรและคชสาร


ฟิ้ว!


มังกรและคชสารอย่างละสองตัวพุ่งออกมาในเวลาเดียวกัน ควบแน่นเป็นวงแสงมังกรคชสาร สุดท้ายภายใต้การชี้นิ้วออกไปของมู่เฉิน วงแสงก็ฉีกผ่านมิติว่างเปล่า


มู่เฉินใช้วิชาเก้ามังกรคชสารไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาตั้งแต่ปะทะกระบวนท่าแรก เขาทราบดีว่าอสรพิษเพลิงวิญญาณตัวนี้ทรงพลังเพียงใด ดังนั้นจึงไม่คิดลองมือ


ชี่! ชี่!


อสรพิษเพลิงวิญญาณเงยหน้าขึ้นคำรามลั่นฟ้า เกล็ดบนตัวชูชันเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย


ตู้ม! ตู้ม!


วงแสงสีแดงหนาแน่นไร้ที่สิ้นสุดระเบิดออกจากร่างของอสรพิษเพลิงวิญญาณ มองดูแล้ว ก็ราวกับปราการเป็นชั้นๆ ป้องกันร่างอสรพิษเพลิงวิญญาณ


สิ่งนี้สิ่งเดียวก็แสดงให้เห็นถึงพลังของอสรพิษเพลิงวิญญาณตัวนี้ที่เหนือกว่าตัวที่มู่เฉินเคยเจอเมื่อก่อนหน้าแล้ว เพราะมู่เฉินไม่เคยเห็นการป้องกันทรงพลังเช่นนี้จากอสรพิษเพลิงวิญญาณก่อนหน้าเลย


แต่มู่เฉินก็มั่นใจในวิชาเก้ามังกรคชสารเช่นกัน ตอนนั้นแม้แต่ฉิงเปยก็พ่ายแพ้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าอสรพิษเพลิงวิญญาณที่ไม่มีสติปัญญาจะรอดชีวิตไปได้!


ฟิ้ว!


จานแสงมังกรคชสารปรากฏเหนือร่างอสรพิษเพลิงวิญญาณ ภายใต้การหมุนคว้างเร็วจี๋ ก็เพิ่มความคมกริบที่สามารถฉีกทุกสรรพสิ่งได้ เมื่อบวกกับพลังมังกรคชสารแล้วก็ไม่มีอะไรสามารถหยุดยั้งได้


จานแสงมังกรคชสารพุ่งผ่านอย่างรวดเร็ว อึดใจเดียวปราการป้องกันรอบร่างอสรพิษเพลิงวิญญาณก็ถูกฉีกออกจากกัน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องแหลม


เมื่อเขามองตรงไปก็เห็นอสรพิษเพลิงวิญญาณถูกตัดเป็นสองท่อน ผลที่เกิดขึ้นทำให้เขายิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจ ภายใต้พลังสังหารของวิชาเก้ามังกรคชสาร ทุกสิ่งล้วนถูกจัดการเรียบร้อยไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม


ตู้ม!


ทว่าก่อนที่มู่เฉินจะผ่อนคลายลง เขาก็เห็นอสรพิษเพลิงวิญญาณที่ถูกตัดพล่านเป็นสองท่อนอ้าปากกว้างอย่างดุร้าย ปล่อยลำแสงรุนแรงพุ่งตรงมาหาล้อมรอบร่างเขาไว้


ตึง!


ร่างเทพสุริยะยกแขนไขว้กัน ต้านลำแสงสีแดงด้วยร่างใหญ่โต แต่บนแขนก็มีรอยร้าวเกิดขึ้น


มุมปากของมู่เฉินกระตุก เขาไม่คิดว่าพลังชีวิตของอสรพิษเพลิงวิญญาณจะทรงพลังปานนี้ ขนาดถูกฟันขาดเป็นสองท่อนก็ยังดิ้นรนได้จนถึงระดับนี้


“แก่นเพลิงวิญญาณของเจ้าต้องเป็นของข้า” มู่เฉินส่งเสียงขึ้นจมูก เขาไม่เชื่อหรอกว่าอสรพิษเพลิงวิญญาณที่ถูกฟันขาดจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้


ฟ่อ!


ทว่าขณะที่มู่เฉินเตรียมจัดการขั้นเด็ดขาด อสรพิษเพลิงวิญญาณกลับไม่ได้กระโจนเข้าใส่ทางด้านหน้า แต่หันหลังหนีไป ทำเอามู่เฉินตกใจไป เขาไม่คิดว่าอสรพิษเพลิงวิญญาณที่มีอายุสี่ร้อยปีตัวนี้ไม่เพียงจะมีพลังแก่กล้า มิหนำซ้ำยังรู้วิธีที่หลบหนีอีกด้วย แตกต่างจากอสรพิษเพลิงวิญญาณที่เผชิญมาก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง


จิตใจมู่เฉินเคลื่อนไหว ร่างเทพสุริยะก็ไล่ตามไปกระชั้นชิด ยากเหลือเกินกว่าจะเจออสรพิษเพลิงวิญญาณที่มีค่าเช่นนี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้มันหนีไปได้หรอก


ตู้ม!


ทว่าทันทีที่กำลังจะพุ่งตาม มู่เฉินก็รู้สึกขนลุกชันฉับพลัน อันตรายที่ไม่อาจอธิบายได้ผุดขึ้นมาในหัวใจ ซึ่งความรู้สึกนี้ทำให้การควบคุมร่างเทพสุริยะของมู่เฉินหยุดนิ่งกลางคัน


ปัง!


ในส่วนลึกเข้าไป ร่างสีแดงพุ่งขึ้นมาด้วยความเร็วไม่อาจอธิบายได้ จากนั้นก็ม้วนตัวพันรอบร่างอสรพิษเพลิงวิญญาณ ก่อนที่เข็มสีแดงจะเจาะเข้าไปในหัวอสรพิษ


อสรพิษเพลิงวิญญาณดิ้นรนรุนแรง แต่ไม่กี่อึดใจร่างก็เหี่ยวแห้ง ดูแล้วราวกับว่าถูกสูบจนฟีบไปหมด


มู่เฉินตะลึงไปขณะมองภาพนี้ จากนั้นก็ค่อยๆ ก้มหน้าลงอย่างติดขัด มองเห็นร่างครึ่งแมงป่องครึ่งอสรพิษสีแดงขนาดใหญ่ยักษ์ว่ายวนอยู่ในส่วนลึกของลาวา


มันมีหัวเป็นแมงป่องหางเป็นอสรพิษ ซ้ำยังมีหางพิษส่องประกายแสงเยือกเย็นอีกด้วย คลื่นหลิงน่ากลัวปลดปล่อยออกมาจากร่าง


ความผันผวนนี้ทรงพลังกว่าอสรพิษเพลิงวิญญาณอายุสี่ร้อยปีไปไม่รู้เท่าไร


อึก


มู่เฉินกลืนน้ำลายรู้สึกถึงฝ่ามือที่เย็นเฉียบ เขาไม่คิดว่าจะมีสัตว์ครึ่งแมงป่องครึ่งอสรพิษทรงพลังลึกลับเช่นนี้ซ่อนตัวอยู่ในจุดลึกของลาวา มิน่าล่ะถึงไม่มีอสรพิษเพลิงวิญญาณอยู่ในบริเวณนี้!


สายตาไร้อารมณ์ของสัตว์ครึ่งแมงป่องครึ่งอสรพิษเบนมาหยุดที่ร่างของมู่เฉิน มันไม่มีสติปัญญาใดๆ มีเพียงจิตสังหารและความรุนแรง


มู่เฉินสูดอากาศเข้าปากคำใหญ่ วินาทีต่อมาร่างเทพสุริยะข้างใต้ก็สลายไป ขณะเดียวกันเขาก็พุ่งตัวหลบหนีราวกับภูตผี


สัตว์ครึ่งแมงป่องครึ่งอสรพิษสีแดงมีพลังที่ตัวเขาในตอนนี้ไม่สามารถต่อกรได้ มู่เฉินรู้ว่าหากไม่หนีไปตอนนี้ ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกับอสรพิษเพลิงวิญญาณ


แม้เขาจะรู้สึกปวดใจกับแก่นเพลิงวิญญาณอายุสี่ร้อยปี แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ชัดว่าชีวิตเขาสำคัญกว่า


มู่เฉินหนีเอาชีวิตรอด ตอนแรกเขาตั้งใจจะหนีขึ้นไปด้านบน แต่หินลาวาที่ลอยอยู่กลับกลายเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับเขาแล้ว สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้วิ่งเป็นเส้นตรงออกไป


ขณะวิ่งหนีสุดชีวิต หางตาของมู่เฉินก็กวาดไปทางด้านหลัง การเหลือบมองนี้ทำให้เขาโชกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น เพราะเขาเห็นไอ้ตัวครึ่งแมงป่องครึ่งอสรพิษลึกลับพุ่งตัวผ่านลาวาไล่ตามมาติดๆ


ชัดว่ามันไม่คิดจะปล่อยเขาที่เป็นเหยื่อไป!


“นรกเอ๊ย!”


มู่เฉินสบถพลางขบฟันแน่น เขาไม่คิดเลยว่าการออกล่าอสรพิษเพลิงวิญญาณ กลับมากลายเป็นเหยื่อแทน…


วาบ!


มู่เฉินเร่งความเร็วถึงขีดสุด เริ่มหนีอย่างบ้าคลั่ง ที่เบื้องหลังมีตัวครึ่งแมงป่องครึ่งอสรพิษสีแดงที่มีพลังน่ากลัวไล่กวดมาติดๆ


รังสีสังหารแผ่ออกมาจากส่วนลึกของลาวา บทบาทระหว่างผู้ล่าและผู้ถูกล่าสลับกันอย่างเงียบๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)