The Great Ruler 743-750

ตอนที่ 743

 

 ศึกระหว่างพยัคฆ์และมังกร

“อาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินจากหอวิหคโลกันตร์ ขอคำชี้แนะด้วย!”


ชายหนุ่มยืนไว้สง่าบนอากาศ เสียงที่เปล่งออกมาดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนของจอมยุทธ์แดนร้อยสงครามให้มองมาหา จากนั้นเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นตามคาด


เสียงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและกลั้วหัวเราะ เพราะพวกเขาต่างมองออกว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีขุมพลังจื้อจุนขั้นสองเท่านั้น แม้จะเป็นในแดนร้อยสงครามพลังระดับนี้ก็ถือว่าพอไปวัดไปวาได้ แต่ถ้าเขาต้องการจะเทียบกับแม่ทัพทรงพลังอย่างฉิงเปย หลินชิงเฟิงและคนอื่นๆ เขายังต้องพัฒนาฝีมืออีกมาก


“ไม่มีใครในอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้วหรือไง? ถึงส่งเด็กน้อยมา ถ้าอยากยอมแพ้ก็พูดออกมาเลยจะง่ายกว่านะ”


“ฮ่าๆ พูดถูก”


“…”


ขณะที่เสียงเยาะเย้ยดังสะท้อน ชายหนุ่มบนท้องฟ้าก็ยังคงท่าทีสงบนิ่ง เขาดูเหมือนจะไม่โกรธไปกับคำเยาะเย้ยเหล่านั้นเลย


“หึ เจ้านั่นอีกแล้ว!”


ฝั่งแดนร้อยสงคราม ฉิงเทียนกังสาดสีหน้ามืดครึ้มเมื่อมองมู่เฉิน ฉิงหลิงที่อยู่เบื้องหลังก็มีใบหน้าเขียวคล้ำ สำนักสายฟ้าปีศาจแตกฉานซ่านเซ็นด้วยฝีมือของมู่เฉิน ช่างเป็นหายนะใหญ่หลวง ดังนั้นตอนนี้ที่เขาเห็นมู่เฉิน ดวงตาก็โชนด้วยสีแดงฉาน


“ไอ้เด็กเหลือขอไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ มันคิดหรือว่าฉิงเปยเป็นคนที่ใครก็สามารถมาท้าทายได้เรอะ” ฉิงหลิงขบฟันแน่นขณะพ่นคำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความถางถาง มู่เฉินเอาชนะเขาได้ แต่นั่นเป็นเพราะการควบคุมรัศมีจั้นยี่ที่เหนือกว่า ทว่าการประลองนี้ไม่มีกองทัพเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงเป็นเรื่องอวดดีเกินไปที่เขาออกสู้ ไม่รู้จริงๆ ว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์คิดอย่างไรถึงวางศึกสำคัญไว้ในมือชายหนุ่มคนนี้


“ข้าจะดูสิว่ามันจะตะเกียกตะกายยังไงหลังจากได้สัมผัสกับความทรงพลังของฉิงเปย” ฉิงหลิงมองมู่เฉินด้วยสายตาน่าขนลุก เขาแทบจะอดรนทนไม่ไหวที่จะเห็นสภาพยับเยินของอีกฝ่าย


ขณะที่พวกเขากระซิบกระซาบ ฉิงเปยที่สวมชุดสีฟ้าอมเขียวก็เงยหน้าขึ้นมองมู่เฉิน ไม่มีร่องรอยสบประมาทอยู่บนใบหน้าเขาแม้แต่น้อย เนื่องจากคนที่มาได้ไกลขนาดนี้ย่อมไม่ใช่คนโง่เขลาอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นต่อให้มู่เฉินอ่อนแอจริงๆ เขาก็จะสู้เต็มแรง เพราะความมั่นคงนี้ทำให้เขาประสบความสำเร็จอยู่ได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


แม้แต่ราชสีห์ยังออกล่ากระต่ายอย่างเต็มกำลัง


“ฉิงเปย ครั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เฒ่าเร้นกระบี่เอ่ยเสียงขรึมขณะมองฉิงเปย


ฉิงเปยพยักหน้าไม่เอ่ยอะไร เขาก้าวไปข้างหน้าเคลื่อนไปปรากฏตรงหน้ามู่เฉิน เสียงสงบนิ่งดังขึ้น


“แดนร้อยสงคราม ฉิงเปยจากพิลาลสสวรรค์”


มู่เฉินเพ่งความสนใจไปที่ชายท่าทางสงบนิ่ง แม้อีกฝ่ายจะยังไม่หมุนเวียนคลื่นหลิง แต่แรงกดดันเบาบางที่แผ่ออกมาก็ทำให้มู่เฉินรู้ว่าคนตรงหน้าแข็งแกร่งกว่าฉิงหลิงสำนักสายฟ้าปีศาจเสียอีก


เห็นชัดว่าพลังของฉิงหลิงอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขอบเขตระดับจื้อจุนขั้นสามแล้ว


“ได้รับการเลือกเฟ้นจากประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้ทั้งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสอง คิดว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างพิเศษในตัวเจ้าสินะ หวังว่าเจ้าจะชี้แนะให้หน่อย” ฉิงเปยมองมู่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีกพลางกระทืบเท้าลง มิติเบื้องหลังบิดเบี้ยวขณะจุดจื้อจุนไห่กว้างใหญ่ไพศาลปรากฏขึ้นเลือนรางพร้อมกับคลื่นหลิงพวยพุ่งกวาดออกมาระหว่างสวรรค์และโลก


ความผันผวนของคลื่นหลิงเลยระยะปลายสุดของระดับจื้อจุนขั้นสามไปแล้ว มากจนกระทั่งฉิงเปยอีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ ตราบใดที่เขายังเพาะบ่มอย่างต่อเนื่อง เขาก็อาจสามารถบรรลุกลายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่เต็มตัว!


ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ละคนฉายสีหน้าน่าเกลียดเมื่อรู้สึกถึงคลื่นหลิงที่แผ่ออกมาจากฉิงเปย สูชิงกับโจวเยี่ยยิ่งมีสีหน้าขรึมลง พลังของพวกเขาอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม แต่ก็ยังด้อยกว่าฉิงเปยเล็กน้อย หากพวกเขาเป็นคนที่ต้องลงประลอง ผลลัพธ์ที่ออกมาคงจะไม่สวยนัก


ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งพลางถอนใจ แม้ฉิงเปยจะดูธรรมดาที่สุด แต่พลังกลับแข็งแกร่งที่สุด


“เสมือนระดับจื้อจุนขั้นสี่เรอะ?”


มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อมองฉิงเปยเช่นกัน พลังระดับนี้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่แม่ทัพทั้งหลายที่เขาเคยเจอเลยทีเดียว


ชี่! ชี่!


แสงเรืองรองแล่นแปลบปลาบบนผิวกายของมู่เฉิน อึดใจเขาก็กำหมัดร่างห่อหุ้มอยู่ในสายฟ้าอย่างรวดเร็วขณะลวดลายสายฟ้าเก้าโคจรปรากฏบนแผ่นอก


เขาเร้าวิชากายาเทพสายฟ้าจนถึงขีดสุดพร้อมกับสายตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก ฝ่าเท้ากระทืบลง ทำให้มิติบิดเบี้ยว ร่างของเขาหายไปอย่างประหลาด


เมื่อร่างของมู่เฉินหายไป สายตาของฉิงเปยก็วูบไหว จากนั้นก็วาดตราประทับขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว และตบไปยังมิติเบื้องหลัง ภายในตราประทับคลื่นหลิงมหาศาลราวกับมหาสมุทรพวยพุ่งออกไปพร้อมกัน


ตู้ม!


รอยร้าวมิติปรากฏขึ้นฉับพลันที่เบื้องหลังฉิงเปย ภาพมังกรพล่านออกมาก่อตัวเป็นร่างมู่เฉินอย่างรวดเร็ว หมัดทรงพลังเปลี่ยนเป็นสายฟ้าพุ่งเข้าใส่หัวของฉิงเปย


ขณะเดียวกันตราประทับของฉิงเปยก็ทะยานออกไป


หมัดและตราประทับปะทะกัน


ตึง!


คลื่นกระแทกเกรี้ยวกราดกวาดออก ร่างของมู่เฉินสั่นเทิ้ม จากนั้นก็กระเด็นออกไป เขากระทืบเท้าหนักๆ บนอากาศเพื่อทรงตัว ความรู้สึกชาด้านแผ่ออกมาจากหมัดของเขา


เขาเงยหน้าขึ้นมองฉิงเปย อีกฝ่ายก้าวถอยกลับไปเพียงไม่กี่ก้าว เห็นชัดว่าการโจมตีของเขาที่ใช้วิชามังกรทะยานเคลื่อนที่ผ่านมิตินั้นไม่ส่งผลใดมากนัก


“ขุมพลังจื้อจุนขั้นสองแต่กลับสามารถเคลื่อนที่ผ่านมิติได้ในระยะสั้นๆ เจ้ามีฝีมือไม่น้อยจริงๆ” ฉิงเปยมองมู่เฉินพลางเอ่ยเสียงเรียบ


มู่เฉินยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไร


“ข้าไม่ชอบหยั่งเชิงเวลาสู้กับคนอื่น อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าแสดงฝีมือแล้วกัน” ฉิงเปยยิ้ม แต่รอยยิ้มช่างเย็นเยือก เขาสะบัดมือ เสื้อคลุมปลิวไสวไปตามสายลม เมื่อเกิดการสะบัด คลื่นหลิงที่ราวกับมหาสมุทรผืนใหญ่ก็กวาดออกมาจากทุกทิศทาง


ร่างเขาเคลื่อนไหวไปปรากฏบนท้องฟ้า มือยื่นออกมากดลงบนมิติที่มู่เฉินยืนอยู่ เมื่อออกแรงกดลงลวดลายแสงเปล่งประกายก็ก่อตัวเป็นป้ายหินอันหนึ่ง


ตู้ม!


คลื่นหลิงเรืองรองแพร่กระจายออกไปพร้อมกับที่ฉิงเปยกดมือลงมา ก่อตัวเป็นฝ่ามือคลื่นหลิงขนาดใหญ่ ตรงใจกลางฝ่ามือมีป้ายหินลึกลับระเบิดแสงจ้า ฝ่ามือดูราวกับสามารถสยบภูเขาและแม่น้ำได้


“ฝ่ามือจารึกมหาเทพ!”


เมื่อฉิงเปยตะโกนออกมา เงาฝ่ามือคลื่นหลิงก็ปกคลุมร่างของมู่เฉินปิดกั้นทางหนีทีไล่ไว้จนหมด


ฮา


มู่เฉินสูดหายใจลึกสุดปอดขณะที่แสงเย็นเยือกพวยพุ่งในม่านตาสีดำ อึดใจต่อมารัศมีชั่วร้ายเชี่ยวกรากก็พลุ่งพล่านขึ้นสู่ขอบฟ้าขณะที่เสาปีศาจขนาดใหญ่ปรากฏออกมาในพริบตา มู่เฉินกอดแขนทั้งคู่แล้วยกขึ้นเหวี่ยงฟาดใส่ฝ่ามือคลื่นหลิงจังใหญ่


ตึง! ตึง!


พายุคลื่นหลิงน่ากลัวกวาดออกมาไม่จบสิ้น ภายใต้แรงกดดันจากฝ่ามือขนาดใหญ่ มู่เฉินกับเสาปีศาจก็ค่อยๆ จมลงบนพื้นดิน การปะทะกันกระบวนท่านี้ ชัดว่าฉิงเปยที่มีคลื่นหลิงหนาแน่นกว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ


ตึง!


ร่างของมู่เฉินร่วงลงบนยอดเขาลูกหนึ่ง ทำให้ภูเขาถล่มลงทันที เสาปีศาจค้ำยันฝ่ามือขณะที่ร่างมู่เฉินกะพริบวาบไหวด้วยสายฟ้ารุนแรง เสียงคำรามลึกดังจากในลำคอ ลวดลายปีศาจโบราณเต้นยุบยับบนเสาปีศาจ รัศมีชั่วร้ายที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัวระเบิดออกมามืดฟ้ามัวดินในเวลานี้


ตู้มมม!


แสงสีแดงร้ายกาจมาพร้อมกับเสาปีศาจเจาะทะลุผ่านมือทำลายลง


เมื่อฝ่ามือแตกสลาย สีหน้าของมู่เฉินก็ไม่ได้ผ่อนคลายลงแต่กลับเคร่งเครียดหนักกว่าเดิม บนท้องฟ้าป้ายหินขนาดใหญ่ที่ประทับบนฝ่ามือก็ทิ้งตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ภูเขายังแสดงสัญญาณถล่มลงจากแรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลัง


อย่างที่ฉิงเปยบอก เขาไม่ออมมือในการสู้กัน การโจมตีบ้าคลั่งนี้สามารถสังหารได้แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเลยทีเดียว


เหล่าจอมยุทธ์ในฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์รู้สึกหวาดผวากระบวนท่านี้ของฉิงเปยยิ่งนัก แม้แต่สูชิงกับโจวเยี่ยยังมีสีหน้าไม่น่าดู เพราะพวกเขารู้ว่าถ้าเป็นตนคงพ่ายแพ้กับชุดการโจมตีเช่นนี้ไปแล้ว


เพียงแค่ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะรับมือกับการโจมตีนี้ได้อย่างไร?


สายตาของพวกเขาพุ่งตรงไปยังยอดเขาที่ถล่มลง ชายหนุ่มถือเสาปีศาจยืนจังก้าอยู่บนหินก้อนใหญ่ แม้ว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขาจะดูเคร่งเครียดร้ายแรง แต่ก็ยังคงสงบนิ่งไร้ความหวาดกลัว


ถังปิงกับเหล่าจอมยุทธ์หอวิหคโลกันตร์กำหมัดแน่น ดวงตาอัดแน่นด้วยแววกังวล


ฝั่งแดนร้อยสงคราม จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนกำลังผ่อนคลายลง ในสายตาพวกเขาผลการประลองคู่สุดท้ายได้เผยออกมาแล้ว ภายใต้การโจมตีของฉิงเปย ไอ้เหลือขอที่ชื่อมู่เฉินตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างต่อเนื่อง


ขณะที่ฝ่ามือจารึกบีบกดลงมาสะท้อนในดวงตาของมู่เฉิน ก็ดูราวกับจะถล่มภูเขาปั่นป่วนทะเล ทว่าไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ในดวงตาเลย เขากลับค่อยๆ หลับตาลงฝ่ามือทั้งสองข้างวาดตราประทับขึ้น


แสงสีทองเจิดจ้ากวาดออกมาท่ามกลางฝ่ามือที่กดลงมา ทันใดนั้นแสงก็กวาดปกคลุมไปทั่วบริเวณ


ตู้ม! ตู้ม!


เสียงระเบิดดังกึกก้อง ทำให้โลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เทือกเขาถล่มลงเป็นแถบ รอยแตกมหึมาแผ่ซ่านออกไปสุดสายตา


ฝุ่นผงฟุ้งกระจายออกไป


ทั้งสมรภูมิตกอยู่ในความเงียบ ขณะที่จอมยุทธ์จำนวนมากของอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีสีหน้าตึงเกร็ง ส่วนแดนร้อยสงครามอดไม่ได้ที่จะอ้าปากหัวเราะ…


ทว่าเสียงหัวเราะก็คงอยู่เพียงชั่วครู่ เมื่อแสงสีทองกำจายออกมาจากกลุ่มฝุ่นที่โหมกระพือ แม้แต่ฉิงเปยที่มีสีหน้าสงบนิ่งอยู่บนอากาศยังอดไม่ได้ที่จะสีหน้าเปลี่ยนไป


เขาสะบัดมือกวาดลมพายุรุนแรงออกไป เมื่อฝุ่นถูกกวาดออกเขาก็ต้องหรี่ตาเมื่อเห็นร่างใหญ่โตขนาดพันจั้งยืนตระหง่านอยู่บนซากเทือกเขาหักพังพร้อมกับดวงตะวันสีทองโชติช่วงแผ่อยู่เบื้องหลังศีรษะ ขณะเดียวกันแรงกดดันที่ไม่อาจอธิบายได้ก็แผ่ปกคลุมออกมา


บนหัวของร่างทองคำพันจั้ง มู่เฉินยืนอยู่เงียบๆ โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เขาเงยหน้ามองไปที่ฉิงเปย เมื่อสองสายตาฟาดฟันกัน ไอเย็นเยือกและประกายไฟก็แล่นพล่าน แม้แต่มิติระหว่างสายตายังบิดเบี้ยว


การประลองนี้เป็นศึกระหว่างพยัคฆ์และมังกรอย่างแท้จริง!

 

 

 


ตอนที่ 744

 

ร่างอรหันต์หลัวฮั้น

แสงสีทองเปล่งประกายพร่างพราว


ร่างทองคำใหญ่โตยืนอยู่บนเทือกเขาที่ถูกทำลายพร้อมกับดวงอาทิตย์แผดเผาลอยอยู่เบื้องหลังศีรษะ ดูราวกับพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ที่สร้างแรงกดดันน่ากลัวออกมา


จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนในบริเวณนี้ดวงตาหดเกร็งจากการปรากฏตัวอย่างฉับพลันของร่างใหญ่โตสีทอง เนื่องจากพวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงแรงกดดันทรงพลังแผ่ออกมา


แรงกดดันนี้ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสองควรมี


แม้พวกเขาจะบอกได้ว่าร่างพระพุทธรูปทองคำใหญ่โตเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินได้ชำระ แต่พวกเขาก็บอกไม่ได้ว่าร่างเทห์สวรรค์นี้มีที่มาอย่างไร


เนื่องจากในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ดูเหมือนว่าจะไม่มีร่างเทห์สวรรค์ที่เหมือนกับร่างนี้เลยและแรงกดดันที่แผ่ออกมาก็ไม่ใช่สิ่งที่ร่างเทห์สวรรค์ธรรมดาจะมีได้


“หรือว่าจะเป็นร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อน่ะ?” เสียงกระซิบกระซาบดังมาจากเหล่าจอมยุทธ์ เนื่องจากร่างเทห์สวรรค์ทรงพลังเช่นนี้มีแรงดึงดูดต่อพวกเขามากเลยทีเดียว


บนท้องฟ้า ฉิงเปยก็ขมวดคิ้ว ขณะมองร่างเทห์สวรรค์เจิดจ้าที่เหมือนหลอมมาจากทองคำ “มีความสามารถจริงๆ”


แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายสำหรับเขา เพราะไม่ว่าอย่างไรมู่เฉินก็ได้รับเลือกจากประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้แต่คนโง่เง่าที่สุดก็ไม่สงสัยในสายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหรอก


ตู้ม!


ขณะที่ฉิงเปยพึมพำกับตัวเอง มู่เฉินที่อยู่บนศีรษะของร่างเทพสุริยะก็วาดตราประทับด้วยสายตาเยือกเย็น แสงสีทองหมุนเวียน ร่างเทพสุริยะก็กระทืบเท้าอย่างรวดเร็วแล้วทะยานขึ้น


วาบ!


ร่างขนาดใหญ่กลับมีความเร็วปานฟ้าแลบ ทุกคนเห็นลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งผ่านท้องฟ้า จากนั้นร่างเทพสุริยะก็ไปปรากฏตัวเหนือฉิงเปยแล้ว


ตึง!


ฝ่ามือทองคำตบใส่ฉิงเปย ฝ่ามือนั้นดูราวกับหลอมมาจากทองคำทะลุผ่านมิติมาพร้อมกับแรงกดดันที่ถล่มภูเขาเคลื่อนมหาสมุทรรวมกับเกลียวแสงสีทองเจิดจ้าขณะที่บีบกดลงมาจากท้องฟ้า


ลมแหลมคมที่ทำให้ผู้คนรู้สึกขาดอากาศหายใจกวาดเข้ามา ทำให้กระทั่งฉิงเปยยังมีสีหน้าเคร่งเครียดอึดใจเขาก็เหวี่ยงฝ่ามือไปข้างหน้า ตราประทับฝ่ามือพุ่งออกมา


ตึง!


สองตราประทับฝ่ามือขนาดใหญ่ปะทะกัน แต่ครั้งนี้ตราประทับของฉิงเปยไม่ได้อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบอีกต่อไป กลับสลายตัวทันทีที่สัมผัสกัน


คลื่นกระแทกกวาดตัวออกขณะที่ร่างของฉิงเปยสั่นสะเทือนแล้วถลากลับไปเป็นร้อยเมตรจากคลื่นกระแทก


ฮือฮา!


ความโกลาหลปะทุขึ้นจากฝั่งแดนร้อยสงคราม พวกเขาไม่คิดว่าฉิงเปยที่ได้เปรียบในเมื่อสักครู่จะถูกสยบ ในตอนนี้พวกเขาถึงกับต้องโยนคำสบประมาทที่มีต่อมู่เฉินทิ้งไป แม้ชายคนนี้จะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสองเท่านั้น แต่ดูท่าเขาจะมีความสามารถเฉพาะตัวบางอย่างจริงๆ


“ถ้าเจ้าไม่เรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมา ข้าว่าเจ้าจะไม่มีอำนาจน่าสะพรึงเหมือนเมื่อครู่อีกแล้วนะ” มู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทห์สวรรค์พลางส่งยิ้มให้ฉิงเปย


สายตาของฉิงเปยเย็นเยือกลงขณะมองมู่เฉิน จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึกเอ่ยเสียงเรียบ “ได้ตามขอ!”


มือทั้งสองประกบกัน ตราประทับก็เปลี่ยนแปลงเร็วรี่ ทิ้งภาพเงาพร่าเลือนเอาไว้


ตู้ม!


คลื่นหลิงเชี่ยวกรากระเบิดออกจากร่างของฉิงเปย ร่างใหญ่โตก่อตัวเบื้องหลัง ร่างนี้มีขนาดราวหนึ่งพันจั้งยืนตระหง่านอยู่บนเส้นขอบฟ้า ทั้งร่างห่อหุ้มด้วยผ้ากาสาวะทองคำ มือถือคทาทองคำขนาดใหญ่ ขณะที่กำจายรังสีคุกคามออกมา


“นี่คือร่างอรหันต์หลัวฮั้นอันดับเก้าสิบสามในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง!”


ทันทีที่ฉิงเปยเร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมา ก็เรียกเสียงอุทานขึ้นทันที คิดว่าทุกคนคงคุ้นเคยกับร่างเทห์สวรรค์นี้ดี เนื่องจากนี่ถือเป็นร่างเทห์สวรรค์ทรงพลังที่มีเพียงศิษย์เอกของพิลาลสสวรรค์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติฝึกฝนได้


“ร่างอรหันต์หลัวฮั้นอันดับเก้าสิบสามรึ?”


มู่เฉินมองร่างเทห์สวรรค์ที่แผ่รังสีข่มขู่ออกมาก็ยิ้มบาง ถ้าจะแข่งลำดับของร่างเทห์สวรรค์ บางทีไม่มีใครที่นี่มีร่างเทห์สวรรค์ที่เหนือกว่าร่างเทพสุริยะแล้ว


หากพวกเขามีพลังเท่าเทียมกัน มู่เฉินก็มั่นใจว่าจะสามารถกวาดทุกคนที่นี่ได้ด้วยร่างเทพสุริยะ


“ตู้ม!”


สำหรับฉิงเปยชัดว่าไม่รู้จักคำว่าเกรงใจ ทันทีที่เขาเร้าร่างอรหันต์หลัวฮั้นออกมา มันก็กระทืบเท้าส่งแรงทะยานออกไป คทาทองคำเปลี่ยนเป็นกระแสเชี่ยวกรากกวาดไปหาร่างเทพสุริยะ


สายธารที่เกิดจากคทาทองคำขยายขนาดในดวงตาของมู่เฉิน เขาสะบัดมือเรียกเสาปีศาจขึ้นมาบนมือร่างเทพสุริยะ อึดใจรัศมีร้ายกาจก็ระเบิดออกขณะที่พุ่งปะทะไม่มีถอย


แม้ว่าฉิงเปยจะอยู่ในขุมพลังอีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นสี่ แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวหากพวกเขาสู้กันด้วยร่างเทห์สวรรค์!


ตึง!


ร่างยักษ์สองร่างปะทะกันสนั่นหวั่นไหวบนท้องฟ้า ทำให้แม้แต่มิติยังเกิดการกระเพื่อม คทาทองคำและเสาปีศาจฟาดกันอย่างต่อเนื่อง เสียงโลหะกระทบกันดังราวกับฟ้าผ่าพร้อมกับประกายไฟปะทุเปรี้ยงปร้างราวดอกไม้ไฟแตกออกบนท้องฟ้า


ทุกคนจ้องมองการต่อสู้บ้าคลั่งบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่ออมมือ ทุกการโจมตีของพวกเขาดุดัน หากถูกลูกหลงซัดเข้าละก็ ได้บาดเจ็บสาหัสกันแน่นอน


เพียงไม่กี่นาที ร่างยักษ์ทั้งสองก็ปะทะกันไปเป็นร้อยกระบวนท่า โดยคลื่นหลิงกระเพื่อมไหวทำให้มิติบริเวณนั้นบิดเบี้ยวทั้งหมด


ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมยุทธ์ส่วนใหญ่มีแววตาตกตะลึงขณะมองการดวลกันบนท้องฟ้า ยิ่งพวกสูชิงกับโจวเยี่ยถึงกับมีสายตาซับซ้อนเลยทีเดียว


พลังในตอนนี้ที่มู่เฉินแสดงออกมา แข็งแกร่งกว่าตอนที่ต่อสู้กับหวูเทียนอย่างเห็นได้ชัด มากจนกระทั่งแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เสมือนระดับจื้อจุนขั้นสี่อย่างฉิงเปยก็ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาคิดว่าตนไม่อาจทำได้


พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันพลางยิ้มขื่น โดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มที่เพิ่งมาอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ถึงหนึ่งปีก็เติบโตจนถึงขั้นนี้แล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านประมุขถึงให้ความสนใจกับเขานัก


“จบศึกครั้งนี้ ตำแหน่งหัวหน้าแม่ทัพใหญ่ของข้าคงจะต้องเปลี่ยนแล้ว” สูชิงยิ้ม เขาไม่ได้อิจฉาอะไรนัก แต่แค่รู้สึกไม่เต็มใจ ดูเหมือนเขาจะต้องทุ่มเทฝึกวรยุทธให้หนักขึ้น ไม่อย่างนั้นถ้าถูกมู่เฉินแซงหน้าไปเยอะ ก็จะทำร้ายจิตใจกันเกินไป


โจวเยี่ยพยักหน้าเห็นด้วย “มู่เฉินน่าสะพรึงยิ่งกว่าเฉาเฟิงหลายขุม”


ตู้ม!


ขณะความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในใจของเหล่าจอมยุทธ์ การปะทะกันบนฟ้าก็ไม่ได้หยุดลง การโจมตีรุนแรงยังคงดำเนินต่อไป


ฉิงเปยยืนอยู่บนหัวของร่างอรหันต์หลัวฮั้น ราวกับว่าทั้งสองรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เมื่อปะทะกันมากขึ้น เขาก็เริ่มมีความตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาตระหนักได้ว่าร่างเทพสุริยะไม่มีท่าทีว่าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเลย ยิ่งกว่านั้นพลังงานที่มาจากเสาปีศาจยังทำให้แสงสีทองของคทาเขาหม่นลง


“มีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับร่างเทห์สวรรค์ของเจ้านั่น!” สายตาของฉิงเปยเปลี่ยนไป จากนั้นใบหน้าก็คมชัดขึ้น ดูเหมือนการประลองยกนี้จะยืดเยื้อต่อไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว


“น่าจะพร้อมแล้วแหละ”


ฉิงเปยกวาดสายตาผ่านมิติ จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือทั้งสองข้างฉับพลัน


ขณะที่เขาวาดตราประทับ ร่างอรหันต์หลัวฮั้นก็ถอยออกไปเป็นพันเมตร ฝ่ามือใหญ่ประสานกันพร้อมกับเสียงครางกระหึ่มราวกับเสียงฟ้าคำรนระเบิดออกมา “ค่ายกลอรหันต์หลัวฮั้น!”


ฮึ่ม!


ขณะที่เสียงกึกก้องดังออกมา สายตามู่เฉินก็หดลง เขารีบเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าความผันผวนแผ่ออกมาจากมิติที่เขาอยู่ เมื่อแสงสีทองกระจายออก ก็ก่อตัวเป็นคทาทองคำรอบตัวล้อมเขาไว้


คทาทองคำมีจำนวนเป็นพันเห็นจะได้ ความโกลาหลที่เกิดขึ้นน่าตกตะลึงยิ่งนัก ส่วนคลื่นหลิงบ้าคลั่งก็ทำให้ทั่วบริเวณเกิดการกระเพื่อม


ภาพที่เกิดฉับพลันนี้ทำให้จอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายต่างตกใจ สายตาของพวกเขาอัดแน่นด้วยความตกตะลึงเมื่อมองไปที่ฉิงเปย ชายคนนั้นสมกับเป็นแม่ทัพที่มีข้อมูลน้อยสุดในแดนร้อยสงครามแต่กลับทรงพลังมากที่สุด ใครจะคิดว่าเขาจะวางค่ายกลสังหารระหว่างต่อสู้อย่างดุเดือดกับมู่เฉินไว้ด้วย


ค่ายกลอรหันต์หลังฮั้นที่จริงไม่ใช่ค่ายกล แต่เป็นทักษะลับที่ฉิงเปยลอบสร้างขึ้น ดูจากขนาดการโจมตีแล้ว ก็เพียงพอที่จะชี้ชะตาผลการประลองครั้งนี้


“การประลองยกนี้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว”


เมื่อเฒ่าเร้นกระบี่กับพรรคพวกเห็นภาพนี้ พวกเขาก็พากันหัวเราะเบาๆ เนื่องจากพวกเขารู้ว่าค่ายกลอรหันต์หลัวฮั้นนี้เป็นหนึ่งในไพ่ตายของฉิงเปย เมื่อไรที่เขาใช้กระบวนท่านี้ ก็เพียงพอที่จะสังหารศัตรู


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามีร่างเทห์สวรรค์ถูกทำลายเพราะกระบวนท่านี้ไปแล้วเท่าไร


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองคทาทองคำหนาแน่นเหล่านั้น ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงป่าเถื่อนแผ่ออกมา สายตาของเขาเคร่งเครียดลงหลายส่วน ฉิงเปยไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่โค่นได้ง่ายจริงๆ


“ตู้ม!”


ฉิงเปยไม่ลังเล ทันทีที่ค่ายกลก่อตัวขึ้น เขาก็สะบัดมือคทาทองคำพุ่งแหวกมิติ เปลี่ยนเป็นกระแสสีทองนับไม่ถ้วนยิงใส่ร่างเทพสุริยะ


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


เมื่อการโจมตีที่น่าตกใจล้อมกรอบเขาไว้ มู่เฉินก็สูดหายใจลึกสุดปอด จากนั้นฝ่ามือวาดกระบวนท่า เมื่อตราประทับก่อตัวขึ้น ดวงอาทิตย์สีทองก็แผ่ซ่านที่หว่างคิ้วของร่างเทพสุริยะ


ทักษะเทห์สวรรค์ คลื่นหนึ่งตะวัน!


แสงสีทองจำนวนมากยิงออกจากดวงตาของร่างเทพสุริยะ อึดใจฝ่ามือทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกันพร้อมกับแสงสีทองปกคลุมรัศมีในระยะร้อยจั้ง


จังหวะนั้นเองคทาทองคำมืดฟ้ามัวดินก็พุ่งมาถึง


ปัง! ปัง!


แต่เมื่อคทาทองคำนับพันพุ่งเข้ามาในรัศมีแสงสีทอง กลับเกิดการระเบิดเปลี่ยนเป็นประกายแสงสีทองภายใต้สายตานับไม่ถ้วนทันที


การระเบิดทอดยาวไม่สิ้นสุด ลูกกลมแสงสีทองราวกับเกราะป้องกันที่ไม่สามารถทะลวงผ่านได้ ทุกการโจมตีที่ปล่อยออกมาเข้าใกล้ร่างใหญ่ไม่ได้เลย


เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในบริเวณนี้ มีเพียงร่างเทห์สวรรค์ทองคำที่ยืนนิ่งอยู่ภายใน ไม่ว่าพลังการโจมตีจะทำลายล้างขนาดไหน ก็ไม่สั่นสะเทือนแม้แต่น้อย


ทั่วบริเวณเงียบกริบในเวลานี้


จอมยุทธ์ชั้นสูงของแดนร้อยสงครามอย่างเฒ่าเร้นกระบี่กับพรรคพวกที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าก็ยิ้มค้างไปเลย


ทั่วหล้าเงียบงัน มีเพียงเสียงระเบิดเป็นชุดที่ดังสนั่นจากคทาทองคำเท่านั้น

 

 

 


ตอนที่ 745

 

ฝ่ามืออสูรโลหิต

ตึง! ตึง!


ในบริเวณที่เงียบสงบ คทาทองคำราวกับพายุขณะพุ่งโจมตีร่างใหญ่ที่ยืนตระหง่านระหว่างฟ้าดิน แต่ทันทีที่คทาเหล่านั้นเข้ามาในรัศมีแสงสีทอง พวกมันทั้งหมดก็ระเบิดไม่ยั้ง…


แม้ว่าการโจมตีจะทรงพลัง แต่พวกมันก็ไม่สามารถแตะร่างใหญ่ได้เลย


ซื้ดดด!


เสียงสูดลมหายใจเย็นดังจากทั้งสองฝั่งหลังจากเงียบกันไปครู่ใหญ่ ใครจะคิดว่าท่าจบศึกของฉิงเปยที่ใช้เวลาเตรียมการอย่างยาวนานกลับถูกมู่เฉินสกัดไว้ได้ง่ายๆ


ก่อนหน้าพวกเขาคิดว่าการประลองคงจะตัดสินผลได้ แต่มู่เฉินกลับสอนพวกเขาถึงความหมายของคำว่าล้ำลึกยากหยั่งถึง


ฟู่


ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมยุทธ์อย่างจิ่วโยวและเลี่ยซันรู้สึกโล่งใจเงียบๆ ขณะที่เทียนจิ้ว หลิงถง และซุ่ยนอนฉายแววอัศจรรย์ใจในดวงตา เห็นชัดว่าการแสดงศักยภาพของมู่เฉินอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา


คนเดียวที่มีท่าทางสงบนิ่งอยู่ได้ก็คือประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ แสงรายล้อมรอบร่างกระเพื่อมเล็กน้อย เขากำลังสังเกตการต่อสู้นี้อยู่เช่นกัน


ขณะที่ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์หายใจโล่งขึ้น พวกเฒ่าเร้นกระบี่ฝั่งแดนร้อยสงครามกลับมีสีหน้าน่าเกลียดสุดๆ รอยยิ้มที่เคยมีหดหายแทนที่ด้วยความเคร่งเครียดในดวงตา การจัดการมู่เฉินยากเย็นเกินกว่าที่พวกเขาคิดไว้เสียอีก


ปัง! ปัง!


ในที่สุดเสียงระเบิดที่ดังต่อเนื่อง ก็ค่อยๆ เบาบางลง คทาทองคำที่ปกคลุมท้องฟ้าแสดงสัญญาณอ่อนกำลังลงจนสุดท้ายหายไปหมดสิ้น


ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบงันที่แท้จริง


ฉิงเปยยืนอยู่บนร่างอรหันต์หลัวฮั้น สีหน้าน่าเกลียดเมื่อมองร่างใหญ่ที่ไม่เป็นอะไรเลย จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึกข่มอาการตกใจและเกรี้ยวกราดในใจไว้ “สมกับเป็นคนที่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เลือกด้วยตัวเอง ทรงพลังจริงๆ”


เขาไม่ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย เนื่องจากตอนนี้เขาวางมู่เฉินเป็นคู่ต่อสู้ในระดับเท่าเทียมกันแล้ว ไม่กล้ามีความประมาทใดอีก


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ฉิงเปย ทว่าสายตาคมกริบยิ่งนัก เขาประสานมือทั้งคู่พลางเอ่ยด้วยเสียงเบา “คงไม่มีมารยาทหากไม่ตอบแทน เจ้าก็ลองรับกระบวนท่าของข้าสักหน่อยละกัน!”


ตู้ม!


ฝ่ามือของร่างเทพสุริยะประสานกัน ขณะที่ดวงอาทิตย์โชติช่วงตรงกลางหว่างคิ้วกำจายแสงพร่างพราวมากขึ้น จากนั้นแสงสีทองในรูปของเหลวก็ระเบิดออกมา หมุนวนรอบร่างใหญ่ก่อนจะเทลงไปในเสาปีศาจ ต้นเสาที่อัดแน่นด้วยรังสีร้ายกาจก็เปล่งแสงสีทองสว่างจ้า ของเหลวสีทองเหมือนเปลี่ยนเป็นผลึกสีทองปกคลุมอยู่บนยอดเสาปีศาจ แสงสีทองแล่นแปลบปลาบ ราวกับไม่สามารถทำลายลงได้


ตึง!


ร่างทองคำกระทืบเท้าเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองทะยานขึ้น อึดใจก็มาปรากฏเหนือฉิงเปยขณะที่เสาปีศาจที่เปลี่ยนเป็นเสาสีทองฟาดลงมาอย่างหนักหน่วงพร้อมแสงสีทองเจิดจ้า


ปัง!


แสงสีทองสว่างวาบขณะรอยร้าวสีดำจำนวนมากเกิดขึ้นบนมิติแตกร้าวราวกับแก้วแตก เมื่อมู่เฉินฟาดเสาปีศาจลงมา เขาก็หมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างจนถึงขีดสุด บวกกับคลื่นหนึ่งตะวันทักษะของร่างเทพสุริยะ พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นทะลุเพดานไปเลยทีเดียว


แสงสีทองสะท้อนเต็มดวงตาของฉิงเปย ใบหน้าของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปรุนแรงพร้อมกับกัดฟัน เขากลืนยาเม็ดที่ซ่อนอยู่ในโพรงปากลงไป


ตู้มมม!


คลื่นหลิงมหาศาลระเบิดออกมาจากร่างฉิงเปย ขณะที่เขาวาดตราประทับอย่างรวดเร็วพร้อมตะโกนออกมาดังก้องทั่วฟ้าดิน “ภูเขาพิทักษ์!”


คลื่นหลิงเชี่ยวกรากครางกระหึ่มขณะเปลี่ยนเป็นภูเขาโปร่งแสงที่ด้านนอกร่างเทห์สวรรค์ ตรงยอดเขามีตำหนักทองคำใหญ่โตตั้งอยู่อย่างลึกลับ


แต่เสาปีศาจไม่ได้สนใจ ยังคงฟาดลงมาบนภูเขาอย่างต่อเนื่องด้วยพลังน่าตกใจ


ปัง!


ท้องฟ้าสั่นสะเทือน มองเห็นรอยร้าวเป็นสายปรากฏขึ้นบนภูเขา แสงเจิดจ้าระเบิดออกจากรอยแตก จากนั้นภูเขาก็ทลายตัวลง เสาทองคำฟาดไม่ยั้งผ่านรอยแตกนั่น


ปัง! ปัง!


ชุดระเบิดพล่านไปต่อเนื่องจากภูเขามหึมา แต่การป้องกันของฉิงเปยก็น่าสะพรึงนัก ทุกครั้งที่เสาปีศาจทองคำฟาดลงมา ผลึกทองคำบนยอดเสาก็จะแตกร้าวเล็กน้อย


ทุกคนตื่นตระหนกกับภาพที่เห็นนี้ พวกเขาคิดว่าการประลองสองยกก่อนน่าสนใจยิ่งกว่าอะไร ส่วนการประลองยกสามคงจะน่าเบื่อ ทว่าสถานการณ์ตอนนี้บอกพวกเขาว่าการประลองยกสามนี้กลับเป็นศึกอันตรายที่สุด


เสาปีศาจทองคำยังคงฟาดภูเขาให้แยกออกจากกัน ดูจากการเคลื่อนไหวแล้ว เหมือนจะบังคับให้ฉิงเปยต้องสละที่มั่นออกมา สร้างอาการบาดเจ็บสาหัสให้


ขณะที่ภูเขาถล่มลงจนถึงกึ่งกลาง ร่างเทห์สวรรค์ที่ซ่อนอยู่ภายในก็เผยให้เห็น ฉิงเปยยังยืนนิ่งอยู่บนศีรษะของร่างเทห์สวรรค์


“เจอตัวแล้ว!” แววโหดเหี้ยมพวยพุ่งในนัยน์ตาของมู่เฉิน ขณะที่เร้าพลังสุดท้ายของเสาผลึกทองคำที่แตกร้าวมากกว่าครึ่งฟาดใส่ฉิงเปยอย่างไร้ปรานี


ฉิงเปยก็เงยหน้าขึ้นในเวลานี้ รัศมีในดวงตาพร่างพราวยิ่งขึ้นในตอนนี้ ตราประทับในมือเปลี่ยนไปพร้อมกับคทาทองคำบนร่างอรหันต์หลัวฮั้นถูกผลักดันขึ้นไปปะทะกับเสาปีศาจทองคำอย่างหนักหน่วง


เคร้ง!


แสงสีทองระเบิดจากจุดปะทะกัน หัวใจของมู่เฉินกลับโลดขึ้นเพราะเขารู้สึกว่าครั้งนี้พลังของฉิงเปยแก่กล้ามากขึ้น


การเคลื่อนไหวบดขยี้ลงมาของเสาปีศาจหยุดลงขณะคทาทองคำสั่นสะท้าน ทำให้ผลึกทองคำบนยอดเสาปีศาจแตกร้าวจนหมด


เสาปีศาจกระเด็นออกไป มือหนึ่งของร่างเทพสุริยะก็คว้าจับเอาไว้แน่น สายตาของมู่เฉินเคร่งเครียดลงยามเมื่อมองไปที่ฉิงเปย


เสื้อคลุมของฉิงเปยกระพือ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น สายตาวูบไหวจับจ้องที่มู่เฉิน ขณะที่คลื่นหลิงในร่างกายระเบิดออกไม่ยั้ง


ตู้มมม!


ภูเขาที่สร้างจากคลื่นหลิงพังทลายเปลี่ยนประกายแสง มีเพียงคลื่นหลิงของฉิงเปยที่เพิ่มขึ้นแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ ทำให้เกิดเสียงอุทานนับไม่ถ้วนดังขึ้น


“ความหนาแน่นของคลื่นหลิงนี่… ฉิงเปยบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่แล้วเรอะ?”


“ต่อให้รัศมีไร้ระเบียบไปบ้าง แต่เขาก็แข็งแกร่งขึ้น!”


“หรือว่าเขาจะปกปิดพลังของตัวเองไว้? น่าสะพรึงเกินไปรึเปล่า!”


“…”


เสียงฮือฮาดังออกมาขณะที่แต่ละคนอึ้งทึ่งไปกับพลังที่เพิ่มขึ้นฉับพลันของฉิงเปย


“รัศมีของเขาไร้ระเบียบและคลื่นหลิงก็รุนแรงเกินไป นี่ไม่ใช่สัญญาณบรรลุพลังตามธรรมชาติ เขาต้องกินยาอะไรบางอย่างแน่” แสงสายหนึ่งวูบขึ้นในดวงตาของหลิงถง เขามองเห็นสภาพร่างกายของฉิงเปยโดยการมองวูบเดียวพลางเอ่ยด้วยเสียงเย็น


เทียนจิ้วขมวดคิ้ว แดนร้อยสงครามไร้ยางอายกับความกระหายอยากชัยชนะ พวกเขาไม่รู้หรือว่ามีผลข้างเคียงเกิดขึ้นจากการบรรลุด้วยวิธีนี้? พูดถึงระยะยาวแล้วนี่ไม่คุ้มเลย


บนท้องฟ้า มู่เฉินระบายลมหายใจบางเบาขณะที่ขมวดคิ้วแน่นมองเงาร่างของฉิงเปย ไอ้นี่จัดการยากจริงๆ ขนาดกระบวนท่านี้ของเขายังรับไว้ได้


บนร่างอรหันต์หลัวฮั้น ฉิงเปยค่อยๆ ลอยตัวขึ้น ขณะที่สายตาคมกริบมองไปที่มู่เฉินเอ่ยเสียงเบา “เจ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสองคนเดียวที่สามารถบีบให้ข้ามาถึงจุดนี้ได้”


“เพื่อแสดงความเคารพต่อเจ้า ข้าจะใช้กระบวนท่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเอาชนะเจ้า”


เมื่อเสียงฉิงเปยจบลง มือทั้งคู่ของเขาก็ประสานกัน ฝ่ามือสั่นเทิ้มขณะที่หยดเลือดผุดขึ้นมาจากรูขุมขนบนมือ เมื่อเลือดหลั่งไหล ก็ย้อมมือทั้งสองข้างเป็นสีแดงฉานดูโหดร้ายไม่น้อย


เมื่อเหล่าจอมยุทธ์เห็นภาพนี้ เสียงอุทานตะลึงใจก็ดังขึ้น


“นั่น… วิชาเทพชั้นยอดของสวรรค์พิลาลส—ฝ่ามืออสูรโลหิต?!”


“เมื่อวิชานี้ถูกใช้ มือทั้งสองข้างจะพิการไปหนึ่งเดือนเลยนะ ฉิงเปยเทหมดหน้าตักแล้วจริงๆ…”


“ครั้งนี้มู่เฉินตกอยู่ในอันตรายแน่”


“…”


ภายใต้เสียงอุทาน มือของฉิงเปยก็ยิ่งแดงเข้มขึ้น ร่องรอยความเจ็บปวดวาบผ่านหว่างคิ้วของเขา เลือดเข้มข้นกระจายไปทั่วทั้งฝ่ามือ กระทั่งท้องฟ้าก็เริ่มกลายเป็นสีแดง


สีหน้าของมู่เฉินเคร่งเรียดลงทีละน้อย เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายใหญ่หลวงจากรอยเลือดนั่น


“จะสู้กระบวนท่าสุดท้ายแล้วเรอะ”


มู่เฉินขมวดคิ้วแน่น ขณะเดียวกันแววเหี้ยมเกรียมก็วาบขึ้นในดวงตา เขาเคยผ่านสถานการณ์อันตรายมานับไม่ถ้วน การเสี่ยงชีวิตไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัว ตรงกันข้ามนี่กลับกระตุ้นความโหดเหี้ยมที่ซ่อนอยู่ในกระดูกของเขาขึ้นมา


ฮา


มู่เฉินหายใจลึกพร้อมกับมือทั้งคู่ลดลงต่ำ คลื่นหลิงลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วงพวยพุ่งขึ้นมาบนมือข้างขวาขณะคลื่นหลิงที่มีสายฟ้าไร้รูปร่างแล่นแปลบปลาบบนมือข้างซ้าย


คลื่นหลิงสองส่วนที่มีคุณสมบัติต่างกันปรากฏขึ้นในเวลานี้


จุดจื้อจุนไห่เลือนรางเผยขึ้นที่เบื้องหลังเขา ซึ่งแยกออกเป็นสองสีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คลื่นพลังงานนี้ดึงดูดสายตาอัศจรรย์ใจนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะคนที่รู้ว่าพวกมันคืออะไรก็ถึงกับตกตะลึงในใจ เพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าภายในจุดจื้อจุนไห่นั่น มีคลื่นหลิงที่มีคุณลักษณะต่างกันสองชนิดอยู่ภายใน


ชายหนุ่มที่มีชื่อว่ามู่เฉินรวมคลื่นพลังงานพิเศษสองชนิดไว้กับคลื่นหลิงของเขา!


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเผชิญหน้ากับฉิงเปยได้ทั้งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสองเท่านั้น!


แต่เพียงอย่างเดียวนี้ อาจไม่พอที่จะทำให้เขาสามารถรับมือกับการโจมตีสุดพลังของฉิงเปยได้


ท้องฟ้าที่ฉิงเปยยืนอยู่เปลี่ยนเป็นสีแดง กระทั่งดวงตาก็มีสีไม่ต่างกัน อึดใจมือทั้งคู่ที่ประสานกันก็ค่อยๆ แยกออก บนฝ่ามือมีรอยแผลที่กลายเป็นอักขระประหลาดที่ทำให้หัวใจผู้พบเห็นเต้นไม่เป็นส่ำ


ฉิงเปยสูดอากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แววตาคมกริบขึ้นฉับพลัน จากนั้นก็ซัดฝ่ามือทั้งคู่ออกไป!


ตู้ม!


กลิ่นคาวเลือดในบริเวณนี้รวมตัวกันอย่างป่าเถื่อน ก่อตัวเป็นอสูรโลหิตมหึมาที่เบื้องหลังฉิงเปย จากนั้นฝ่ามือขนาดใหญ่พันจั้งที่ดูราวกับภูเขาก็แผ่ปกคลุมด้วยคลื่นกระหายเลือดน่าขนลุก


หลายคนถึงกับกลั้นลมหายใจในเวลานี้เลยทีเดียว


ขณะที่กลิ่นเลือดเชี่ยวกรากซัดสาด มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นทันที มือกำเข้าพร้อมกับม่านตาข้างหนึ่งลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วง อีกข้างหนึ่งสายฟ้าแล่นแปลบปลาบ


ส่วนภายในจุดจื้อจุนไห่ที่อยู่เบื้องหลังก็เกิดเสียงมังกรและช้างคำรามดังสนั่นไปทั่วฟ้าดิน

 

 

 


ตอนที่ 746

 

ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน

มืออสูรแดงฉานบดขยี้ลงมาจากท้องฟ้า


ดูราวกับปีศาจที่หมายจะล้างชีวิตออกจากแผ่นดิน กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นกระจายไปทั่วพื้นที่


จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดลงเมื่อมองกระบวนท่าสุดยอดของฉิงเปย ระดับการโจมตีนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ตัวจริงยังต้องหลีกเลี่ยง


มู่เฉินสามารถสกัดกระบวนท่านี้ได้อย่างไร?


สายตานับไม่ถ้วนยกขึ้นมองชายหนุ่มอ่อนวัยบนท้องฟ้า ภายใต้การจ้องมองหลากหลาย มู่เฉินก็วาดตราประทับในมือขึ้นพร้อมกัน


โฮก!


เสียงมังกรและช้างคำรามก้องจากจุดจื้อจุนไห่กว้างใหญ่ไพศาล จากนั้นก็เห็นคลื่นลูกเชี่ยวกรากกวาดไปทั่วในจุดจื้อจุนไห่


ซ่า!


มังกรยักษ์ที่ปกคลุมด้วยเพลิงสีม่วงทะยานออกจากจุดจื้อจุนไห่ปรากฏตัวขึ้น ขณะเดียวกันคชสารยักษ์ขนาดใกล้เคียงกันที่ปกคลุมด้วยสายฟ้าไร้รูปร่างก็ตะลุยออกจากผิวมหาสมุทรด้วยเช่นกัน


มังกรและคชสารพุ่งออกจากจุดจื้อจุนไห่ ลอยอยู่บนอากาศเหนือมู่เฉิน ทันใดนั้นคลื่นหลิงทรงพลังก็กำจายออกมาจากร่างของพวกมัน ทำให้กลิ่นคาวเลือดจางลงไปอย่างมากในทันที


จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนดวงตาหดเกร็ง พวกเขาบอกได้ชัดเลยว่ากระบวนท่านี้ของมู่เฉินทรงพลังเพียงใด ทันใดนั้นทุกคนก็กลั้นหายใจ หรือว่าชายหนุ่มคนนั้นจะมีความสามารถในการสกัดการโจมตีสุดพลังของฉิงเปยได้จริงๆ?


“ฮึ่ม!”


มังกรและชคชสารยืนอยู่บนขอบฟ้า จากนั้นก็ปะทะกัน ทันใดนั้นเพลิงสีม่วงและสายฟ้าก็พลุ่งพล่าน ขณะที่รัศมีแสงทั้งสองระเบิดออก พวกมันก็ราวกับก่อร่างเป็นจานแสงที่มีมังกรและคชสารพันไขว้กัน คุณสมบัติแตกต่างกันสิ้นเชิงของพลังงานทั้งสองหลอมรวมเข้ากันด้วยวิธีนี้ ทันใดนั้นพายุเฮอริเคนคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวก็กวาดออก


จานแสงมังกรคชสารลอยอยู่บนอากาศขณะที่คลื่นพลังที่ปลดปล่อยออกมาทำให้หนังตาของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนกระตุก พวกเขาบอกได้ว่าแม้กระบวนท่านี้ของมู่เฉินจะทรงพลัง แต่ก็ยังขาดอะไรไปบางอย่างหากต้องเผชิญหน้ากับฝ่ามืออสูรโลหิตของฉิงเปย


จอมยุทธ์จำนวนมากฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีสีหน้าวิตกกังวล กระทั่งเหล่าผู้บัญชาการยังหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ หากพลังการโจมตีของมู่เฉินอยู่แค่ระดับนี้ ก็คงไม่สามารถจะต้านฉิงเปยได้


ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังคงนั่งบนบัลลังก์ ไม่มีริ้วความผันผวนประหลาดรอบกายเลย ท่าทางดูราวกับไม่กังวลถึงความล้มเหลวของมู่เฉิน


ฝั่งแดนร้อยสงคราม หลิ่วเทียนเต้ายืนเอามือไพล่หลังขณะมองวงแสงมังกรคชสารที่มู่เฉินสร้างขึ้นบนท้องฟ้า คิ้วของเขากลับค่อยๆ ย่นเข้าหากันพร้อมกับแสงวูบไหวในดวงตา


เมื่อความสนใจทั้งหมดพุ่งไปหา มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองจานแสงมังกรคชสารที่ลอยอยู่ด้านบน จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึก เขารู้ดีว่ายังเป็นไปไม่ได้ที่จะปะทะกับฉิงเปยด้วยจานแสงมังกรคชสารที่เพิ่งสร้างขึ้นนี้


หากเป็นในอดีต มู่เฉินก็คงอับจนปัญญาแน่นอน แต่ตอนนี้เขาได้หลอมรวมพลังเข้ากับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำเรียบร้อย ทำให้พลังอำนาจของวิชาเก้ามังกรคชสารถูกปลดปล่อยออกมาได้อย่างแท้จริง


ลมหายใจขาวขุ่นพรูออกจากปากมู่เฉิน ดวงตาสีดำสนิทเปลี่ยนเป็นคมกริบ ตราประทับในมือเปลี่ยนไป!


ตู้ม!


คลื่นเชี่ยวกรากพัดกระหน่ำในจุดจื้อจุนไห่ขณะที่แสงระเบิดออกจากทุกทิศทาง หลุมวนขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นเหนือจุดจื้อจุนไห่ พร้อมกับแสงมหึมาสองสายลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า


โฮก!


เสียงสัตว์อสูรทั้งสองแผดร้องดังขึ้นอีกเสียง ที่เสาแสงมังกรและคชสารก็ระเบิดออกเปลี่ยนเป็นลำแสงเจิดจ้าสองสายเข้าไปในวงแสงมังกรคชสารที่อยู่เหนือร่างมู่เฉิน


ปัง! ปัง!


เมื่อมังกรคชสารอย่างละหนึ่งพุ่งเข้าไป จานแสงมังกรคชสารก็จะขยายขนาด ขณะเดียวกันคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็เพิ่มขึ้นรวดเร็ว


ผู้คนมีสีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน


สีหน้าของมู่เฉินซีดลง คิดว่าคงเป็นภาระยิ่งใหญ่สำหรับเขาหลังการสำแดงพลังของวิชาเก้ามังกรคชสาร แต่เวลานี้เขาจะต้องทนไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม


“ก่อนหน้าไม่ได้ แล้วตอนนี้ล่ะ?!”


ไอเย็นเยือกพวยพุ่งในดวงตาของมู่เฉิน ไม่มีอาการลังเลใดเขาก็ซัดฝ่ามือออกไปทันที จานแสงมังกรคู่และคชสารคู่พุ่งออกไปทันที


วาบ!


ความเร็วของจานแสงมังกรคชสารอยู่ในระดับที่ไม่สามารถอธิบายได้ ขณะที่ทะลวงผ่านมิติในพริบตา เมื่อทุกคนมองเห็นอีกครั้งจานแสงมังกรคชสารก็ปรากฏใต้ฝ่ามืออสูรโลหิตที่กำลังซัดลงมาแล้ว


“แตกซะ!”


ฉิงเปยคำรามพร้อมกับเบิกตาโพลง เขาเร้าคลื่นหลิงจนถึงขีดสุด พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดรุนแรง จากนั้นก็ตบลงมาบนจานแสงมังกรคชสาร!


ตู้ม!


ทันทีที่ปะทะกันก็ราวกับอุกกาบาตสองลูกฉีกผ่านขอบฟ้าพุ่งเข้าชนกันด้วยพลังทำลายล้าง คลื่นกระแทกที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากวาดออกเป็นชั้น ทำให้มิติถล่มลงทีละชั้น…ละชั้น เศษมิติคมกริบนับไม่ถ้วนกระจายไปทุกทิศทาง


เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง ดังนั้นจอมยุทธ์ทั้งสองฝั่งจึงรีบลงมือ พริบตาเดียวม่านพลังนับไม่ถ้วนก็สะบัดไหว สร้างแนวป้องกันทรงพลังสกัดเศษมิติที่แตกกระจาย


ส่วนมู่เฉินกับฉิงเปยที่อยู่ในจุดกำเนิดของคลื่นกระแทก ก็ไม่กล้าถูกความน่ากลัวนั้นเข้าเล่นงาน พวกเขาจึงรีบถอยเข้าไปในร่างเทห์สวรรค์ทันที


มู่เฉินเข้าไปในร่างเทพสุริยะใช้การป้องกันที่ทรงพลังต่อต้านเศษมิติที่ปลิวว่อน แต่ถึงกระนั้นก็มีรอยบาดลึกปรากฏบนร่างเทพสุริยะ ดูจากท่าทางแล้วหากมู่เฉินไม่มีร่างเทพสุริยะ แค่คลื่นกระแทกอย่างเดียวก็ทำให้ร่างเทห์สวรรค์เสียหายใหญ่หลวงได้แล้ว


ขณะที่คลื่นป่าเถื่อนกวาดอาละวาดไปทั่ว คนมากมายก็ยังคงจับจ้องการปะทะบนท้องฟ้า แสงจากจานมังกรคชสารเจิดจ้ามากขึ้น สัตว์อสูรสี่ตัวก็คำรามอย่างเกรี้ยวกราด จานแสงหมุนควงเร็วจี๋ ราวกับเลื่อยคมกริบที่สุดในโลก


ยกเว้นว่าใบเลื่อยนี้เกิดจากมังกรและคชสาร


เผชิญหน้ากับพลังทำลายล้างน่ากลัวของจานแสงมังกรคชสาร ฝ่ามืออสูรโลหิตก็แตกร้าว รอยร้าวเล็กๆ ปรากฏขึ้น


ใบหน้าของฉิงเปยเปลี่ยนไปรุนแรงในทันที


รอยแตกกระจายออกด้วยความเร็วที่น่ากลัว ไม่กี่อึดใจก็ปกคลุมมือใหญ่สีแดงฉานไปทั่ว สุดท้ายมือสีแดงฉานทั้งคู่ก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป แตกออกเป็นสองส่วน!


โห่!


ความปั่นปวนประหลาดใจดังขึ้นในบริเวณนี้


หลังจากที่จานแสงมังกรคชสารฉีกผ่านฝ่ามืออสูรโลหิต แม้ว่าประกายจะหม่นลงไปมาก แต่ก็ยังพุ่งต่อไปพร้อมกับความเร็วชวนตะลึง เล็งเป้าไปที่ร่างอรหันต์หลัวฮั้น เห็นชัดว่ามู่เฉินใช้โอกาสนี้ในการกำจัดฉิงเปย


เมื่อฉิงเปยเห็นการเคลื่อนไหวของมู่เฉินในร่างอรหันต์หลัวฮั้น แม้ว่าใบหน้าของเขาจะเขียวคล้ำแต่ก็ไม่ได้ตื่นตกใจ เขาขบฟันแน่นวาดประทับ ขนาดของฝ่ามืออสูรโลหิตที่แตกออกเป็นสองส่วนหดลงเท่าหนึ่ง คลื่นหลิงภายในเปลี่ยนเป็นไร้ระเบียบ แต่ก็ไม่ได้หายไป กลับทะยานตรงไปที่ร่างเทพสุริยะ


ทั้งสองไม่สนใจตัวเองเลือกปลดปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้ายใส่ศัตรู!


ผู้คนจำนวนมากหนังตากระตุกเมื่อเห็นภาพที่ทั้งสองเด็ดขาดและไร้ปรานีเช่นนี้


ตึง!


จานแสงมังกรคชสารพุ่งเข้ากระแทกร่างอรหันต์หลัวฮั้น แต่ก่อนที่จะเกิดการปะทะร่างอรหันต์หลัวฮั้นก็เบี่ยงตัวหลบ ดังนั้นเมื่อแสงวาบผ่าน ครึ่งหนึ่งของไหล่ร่างอรหันต์หลัวฮั้นก็ถูกเฉือนออก


ขณะเดียวกันฝ่ามืออสูรโลหิตที่ผ่าออกเป็นสองซีกก็ซัดร่างเทพสุริยะหนักหน่วง ทันใดนั้นแสงสีทองก็กระเซ็นไปทั่วท้องฟ้า เสียงโลหะกระทบกันดังกังวาน


ร่างเทห์สวรรค์ทั้งสองกระเด็นออกไปนับหมื่นเมตรก่อนที่จะทรงตัวได้


ผู้คนเบนสายตามองตาม บนหน้าอกของร่างเทพสุริยะมีรอยฝ่ามือประทับลึกสองรอย แม้พลังการโจมตีจะน่ากลัว แต่การป้องกันของร่างเทพสุริยะก็อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนแล้ว


ขณะที่ร่างอรหันต์หลัวฮั้นของฉิงเปยถูกเฉือนไหล่ออกไปครึ่งหนึ่ง คลื่นหลิงก็รั่วไหลออกจากบาดแผลแสดงสัญญาณไร้ระเบียบพร้อมกับร่างเทห์สวรรค์เริ่มจางหายไป


มู่เฉินปรากฏตัวบนศีรษะของร่างเทพสุริยะขณะเลือดปรากฏบนมุมปาก จากนั้นเขาก็ปาดคราบเลือดออกเบาๆ พร้อมกับสายตาเย็นชาจับจ้องที่ร่างอรหันต์หลัวฮั้นของฉิงเปยที่ได้รับบาดเจ็บหนัก


สู้มาถึงจุดนี้ ชัดว่าทั้งสองก็แสดงอาการอ่อนกำลังลงแล้ว


ตู้ม!


แสงดุร้ายวาบผ่านในดวงตาของมู่เฉิน เขากระทืบเท้า ร่างเทพสุริยะที่เจ็บหนักก็ทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้าปรากฏตัวตรงหน้าร่างอรหันต์หลัวฮั้นซัดหมัดใหญ่ลงมาอย่างไร้ปรานี


ฉิงเปยรีบควบคุมร่างอรหันต์หลัวฮั้นตั้งรับ แต่ร่างที่เหลือมีเพียงมือข้างเดียวจะต้านทานการโจมตีของร่างเทพสุริยะได้อย่างไร? เมื่อหมัดข้างหนึ่งซัดเข้าที่แขนของร่างอรหันต์หลัวฮั้นจนหัก อีกข้างหนึ่งก็ซัดทะลุหน้าอกร่างอรหันต์หลัวฮั้นเลย


ปัง!


ในที่สุดร่างอรหันต์หลัวฮั้นก็มาถึงขีดสุด แตกออกเป็นประกายแสง ร่างสะบักสะบอมร่วงลงมากระอักเลือดเต็มปากก่อนจะกระแทกกับยอดเขาจังใหญ่ พลังรุนแรงทำลายยอดเขาจนราพณาสูร


ครืน!


ภูเขาขนาดใหญ่ถล่มลงขณะที่ผู้คนจากทั้งสองฝั่งอยู่ในความเงียบ ดวงตาแตะละคู่แทบถลนออกมาบ่งบอกถึงความตกใจในหัวใจ


ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะสามารถต้านทานกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของฉิงเปยได้ เขายังเอาชนะฉิงเปยได้อีกด้วย!


เมื่อร่างอรหันต์หลัวฮั้นสลายตัว ผลลัพธ์ก็ถูกตัดสินแล้ว!


นี่เป็นผลลัพธ์ที่แทบไม่มีใครคาดคิดมาตั้งแต่ต้น…


บนท้องฟ้า ร่างเทพสุริยะก็โยกไปมาก่อนที่จะจางหายไปในที่สุด มู่เฉินโซซัดโซเซออกมา ใบหน้าเขาซีดลงเช่นกัน เลือดไหลออกจากมุมปาก


เห็นชัดว่ามู่เฉินได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจากการต่อสู้กับฉิงเปย ชายหนุ่มคนนั้นทรงพลังแท้จริง แต่โชคดีที่ในการต่อสู้ใช้ชีวิตเป็นเดิมพันครั้งนี้ เขาสามารถหัวเราะได้เป็นคนสุดท้าย


มือเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก สายตากวาดมองกองทัพทั้งสองที่เงียบไป จากนั้นเขาก็หันไปทางอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ประสานมือคำนับต่อประมุขพร้อมกับรอยยิ้มฝืดเฝื่อนผุดบนใบหน้าซีดชาว


“ท่านประมุข ข้าโชคดีที่ไม่แพ้”


 

 

 


ตอนที่ 747

 

 เปิดเผย

 


บนพื้นดินวินาศสันตะโร


ร่างสูงโปร่งปรากฏบนอากาศ แม้ร่างกายของเขาจะดูสะบักสะบอมจากการประลอง แต่สายตายังคงเด็ดเดี่ยวและเปล่งประกาย ทำให้จอมยุทธ์มากมายถึงกับตัวสั่นเทา หลังจากเห็นการประลองที่น่าตะลึงนี้ ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์เขาอีกเลย


ทั่วบริเวณเงียบกริบ สายตางุนงงจำนวนมากที่จ้องมองไปยังไม่ฟื้นคืนสติจากการต่อสู้เมื่อครู่…


ความเงียบงันดำเนินต่อไปพักใหญ่ก่อนที่สายตาหลายคู่จะเริ่มเดือดพล่าน อึดใจที่ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์เสียงโห่ร้องยินดีสนั่นหวั่นไหวก็ดังขึ้น


ใครจะคิดว่าการประลองยกสุดท้ายที่ตอนแรกไม่สำคัญกลับเป็นตัวแปรชี้ชะตาของกองทัพทั้งสอง!


เหล่าผู้บัญชาการก็ถอนหายใจโล่งอก ใบหน้าเย็นชาของจิ่วโยวก็เผยรอยยิ้มสั่นใจผู้คน นางมองไปที่ร่างบนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกภูมิใจ ชายหนุ่มที่เคยอ่อนแอกำลังเติบโตด้วยความเร็วน่าทึ่ง


สูชิงกับโจวเยี่ยสบตากันแล้วถอนหายใจ แววประทับใจวูบไหวในดวงตาของพวกเขา หากการเอาชนะหวูเทียนทำให้พวกเขาแค่ให้ความสำคัญกับมู่เฉิน งั้นครั้งนี้ก็ทำให้คนทระนงตนอย่างพวกเขายอมรับอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์


เพราะพวกเขารู้ว่าหากเป็นพวกเขาออกไปสู้ ก็คงแพ้ด้วยน้ำมือของฉิงเปยไปนานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการทนต่อแรงกดดันมหาศาลและพลิกสถานการณ์กลับมาได้เลย


ไม่ไกลกัน ใบหน้าของหวูเทียนที่อยู่ในหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตก็กลายเป็นขาวสลับเขียวด้วยความรู้สึกไม่พอใจ เพราะเขารู้ว่านับจากวันนี้ช่องว่างระหว่างเขากับมู่เฉินจะห่างออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ


ท่ามกลางกองทัพน้อยใหญ่ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หน่วยรบวิหคโลกันตร์ส่งเสียงโห่ร้องดังที่สุด ตอนนี้แม้แต่ถังปิงที่มีท่าทางเย็นชาเป็นนิจก็มีใบหน้าแดงซ่าน ดวงตาของนางเป็นประกายเมื่อมองร่างที่อยู่ไกลออกไป นับตั้งแต่ก่อตั้งหอวิหคโลกันตร์ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามีความสุขกับชื่อเสียงเกียรติยศจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์


“ฮ่าๆ สายตาท่านประมุขมองขาดจริงๆ” เทียนจิ้วยิ้มตาหยีกับภาพนี้ มู่เฉินเป็นคนที่จิ่วโยวพากลับมา ดังนั้นเทียนจิ้วจึงคาดหวังกับเขาไว้เช่นกัน


“ไม่เลวเลยจริงๆ” แม้แต่ซุ่ยนอนที่ไม่ค่อยพูดยังเอ่ยแสดงความเห็น


กรอบแสงที่ห่อหุ้มร่างประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์กระเพื่อมไหวขณะที่เสียงหัวเราะดังออกมา “เด็กคนนี้มีศักยภาพไม่น้อย จิ่วโยวพาอัจฉริยะตัวจริงกลับมายังอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราแล้ว”


เห็นชัดว่าเขารู้สึกพอใจอย่างยิ่งกับการแสดงฝีมือครั้งนี้ของมู่เฉิน


ขณะที่ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดีมืดฟ้ามัวดิน ฝั่งแดนร้อยสงครามกลับเงียบกริบลง จอมยุทธ์จำนวนมากใบหน้าเขียวคล้ำ เนื่องจากพวกเขาไม่คิดเลยว่าการประลองที่มีแต่คำว่าชัยชนะจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้…


เฒ่าเร้นกระบี่ ปีศาจภูเขาศพและอสูรพิลาลสต่างมีสีหน้าน่าเกลียด พวกเขาคำนวณการประลองครั้งนี้มาแล้ว มีโอกาสไม่น้อยที่จะชนะ ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมา การประลองสองยกแรกเป็นไปตามที่พวกเขาคาดคิด มีเพียงยกที่สามเท่านั้นที่อยู่เหนือการควบคุมของพวกเขาไปแบบกู่ไม่กลับเลย…


ด้วยพลังของฉิงเปยน่าจะกวาดบรรดาแม่ทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทั้งหมดได้ แม้แต่สูชิงกับโจวเยี่ยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่ใครจะคิดว่าอยู่ๆ แม่ทัพหน้าใหม่อย่างมู่เฉินที่มีไพ่ตายซ่อนขนาดนี้จะโผล่มา


การประลองครั้งนี้มีของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยดและเมืองหนึ่งพันเมืองเป็นเดิมพัน แม้แต่ขั้วอำนาจทรงพลังอย่างแดนร้อยสงครามยังต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับการยกสิ่งเหล่านี้ให้


เฒ่าเร้นกระบี่และคนอื่นๆ มองมู่เฉินด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย คิดจะฉีกทึ้งเขาออกเป็นส่วนๆ


“การประลองจบลงแล้ว อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าชนะสองแพ้หนึ่ง เตรียมของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยดและเมืองหนึ่งพันเมืองให้เร็วที่สุด อย่าให้ข้าได้มารับด้วยตัวเอง” น้ำเสียงเรียบเฉยของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดังขึ้น ทำให้เหล่าจอมยุทธ์แดนร้อยสงครามหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเลยทีเดียว


เฒ่าเร้นกระบี่และปีศาจภูเขาศพกัดฟันกรอดพลางปรายตามองหลิ่วเทียนเต้าที่มีสีหน้ามืดครึ้ม ทว่าสายตาของหลิ่วเทียนเต้าไม่ได้มองมาที่พวกเขา กลับพุ่งตรงไปที่มู่เฉินที่อยู่บนท้องฟ้าไกลออกไป


สัมผัสได้ถึงสายตานั่น มู่เฉินก็รู้สึกหนาวเยือกบนผิวกายขณะที่ความตื่นระวังพล่านในหัวใจ


“ฮ่าๆ…”


ในที่สุดหลิ่วเทียนเต้าก็หัวเราะเบาพลางเอ่ยออกมา “ในเมื่อแพ้แล้ว ก็ต้องถือข้อตกลงอยู่แล้ว”


พวกแดนร้อยสงครามทำได้เพียงพยักหน้าด้วยความปวดใจเมื่อได้ยิน จากนิสัยของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หากพวกเขาไม่รู้สึกสำนึกหนี้ครั้งนี้ แดนร้อยสงครามคงจะต้องรีดเลือดออกมาจ่ายหนักกว่านี้แน่


“ประมุขหลิ่วรักษาคำพูดจริงๆ” ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ


หลิ่วเทียนเต้ายิ้ม แต่ไม่คิดพูดต่อจากประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ สายตาคมกริบราวกับสามารถเจาะผ่านผู้คนพุ่งตรงไปที่มู่เฉินขณะเอ่ยออกมาช้าๆ “แต่ตอนนี้ข้ามีบางอย่างอยากจะสอบถามแม่ทัพมู่เฉินซะหน่อย”


พอได้ยินคำพูดนั่น หัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหวขณะที่ไอหนาวเยือกพวยพุ่ง หรือว่าที่เขาหาเรื่องจะเป็นเพราะรู้เรื่องของหลิ่วหมิงแล้ว?


ที่ด้านหลัง จิ่วโยวก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปขณะที่ดวงตาวูบไหวไปมา


“ไม่รู้ว่าประมุขหลิ่วต้องการอะไรจากข้าหรือ?” แม้จะรู้สึกกังวล แต่มู่เฉินก็ยังคงสีหน้าสงบนิ่งขณะเอ่ยถามขึ้น


“ครึ่งปีก่อน บุตรชายของข้าไปที่ทวีปซังประมูลวิชาเก้ามังกรคชสารมาด้วยราคามหาศาล แต่เขากลับหายตัวไประหว่างการเดินทางกลับ ขนาดมีผู้อาวุโสสองคนคอยปกป้องเขาทั้งที่แจ้งและที่ลับก็หายตัวไปกันทั้งหมด” เสียงของหลิ่วเทียนเต้าดังแว่วบนท้องฟ้า ทำให้กระทั่งอุณหภูมิบริเวณนี้ยังลดลงอย่างช้าๆ


เฒ่าเร้นกระบี่และคนอื่นมองหลิ่วเทียนเต้าด้วยความประหลาดใจ พวกเขาเหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติได้จากอีกฝ่าย ก็รีบเบนสายตาไปทางมู่เฉิน


แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าวิชาเก้ามังกรคชสารคืออะไร แต่วิชาเทพทรงพลังที่มู่เฉินใช้ในกระบวนท่าสุดท้ายดูเหมือนจะคล้ายวิชาดังกล่าว


“หลังจากที่ข้าตามสืบจากนั้นก็รู้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองกับลูกชายข้าถูกขังอยู่ใต้พื้นดินด้วยฝีมือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน”


หลิ่วเทียนเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์สุดๆ “และตอนนี้วิชาเก้ามังกรคชสารก็ดันปรากฏที่เจ้า ไหนลองอธิบายเรื่องนี้หน่อยสิ?”


หัวใจมู่เฉินสั่นไหวเล็กน้อย หลิ่วเทียนเต้าน่าสะพรึงยิ่งนักที่สามารถค้นเจอสถานที่ที่หลิ่วหมิงถูกขังไว้


“แม้วิชาเก้ามังกรคชสารจะหายาก แต่ก็ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว ข้าสามารถได้มาครอบครอง ก็เพราะข้ามีโอกาส… หรือว่าประมุขหลิ่วคิดว่าข้าเป็นคนเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนมาจัดการหรือขอรับ? ข้าไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก” มู่เฉินเอ่ย ยังไงเขาก็ไม่ยอมรับ ไม่งั้นโทสะของหลิ่วเทียนเต้าเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถต้านไหว


“งั้นหรือ?”


สายตาของหลิ่วเทียนเต้าไม่มีอารมณ์ใดๆ ขณะมองมู่เฉิน จากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มน่าขนลุกพลางสะบัดมือ มิติฉีกออกที่เบื้องหลังก่อตัวเป็นอุโมงค์ อึดใจแสงหลิงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากอุโมงค์ ก่อตัวเป็นร่างคนสองคนยืนอยู่เบื้องหลังหลิ่วเทียนเต้า


เมื่อสายตากวาดมองไป ใบหน้าของมู่เฉินก็น่าเกลียดลงเมื่อเห็นคนหนึ่งในนั้น เพราะนั่นก็คือหลิ่วหมิงที่แม่ของหลินจิ้งฝังไว้ใต้พื้นพิภพ!


ไอ้เจ้านั่นถูกช่วยเหลือออกมาแล้ว!


คนทื่ยืนข้างหลิ่วหมิงเป็นชายชุดขาวเอามือไพล่หลัง เขามีรูปลักษณ์คล้ายกับหลิ่วหมิง แต่บุคลิกไม่ใช่สิ่งที่หลิ่วหมิงจะเทียบได้


“หมิงเอ๋อ รู้จักมันหรือไม่?” หลิ่วเทียนเต้าถามเบาๆ


หลิ่วหมิงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสายตาจับจ้องไปที่มู่เฉิน ความชั่วร้ายไม่รู้จบหลั่งไหลออกมาจากนัยน์ตา เขาแสยะยิ้มน่าขนลุก “ฮ่าๆ แกทำให้ข้าตามหาอย่างยากลำบากมากนะ ไอ้เวร!”


หัวใจของมู่เฉินร่วงลงตาตุ่ม


จอมยุทธ์ทั้งสองฝั่งเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะเคยฟัดกับหลิ่วหมิงมาก่อน มิหนำซ้ำยังผนึกอีกฝ่ายไว้ แต่เขาทำได้ไม่แนบเนียนเลยโดยจับได้ในตอนนี้


ฝั่งแดนร้อยสงคราม ทุกคนยินดีกับความโชคร้ายของมู่เฉิน ขณะที่ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เหล่าจอมยุทธ์มีสีหน้าเคร่งขรึมลง หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างดี พวกเขาต้องตกหลุมพรางตำหนักสุดนภาหมดท่าแน่ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหนักกว่าการทำศึกกับแดนร้อยสงคราม เพราะทั้งสองสำนักต่างเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดแท้จริง


“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่แกเชิญมามีวิธีการบางอย่าง ข้าไม่สามารถทำลายผนึกได้คนเดียวต้องออกรวบรวมค่าใช้จ่ายเชิญผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยเหลือลูกข้า แต่หลังจากช่วยมาได้ เส้นลมปราณภายในร่างเขาก็ถูกทำลายไปเกือบหมด คลื่นหลิงกระเจิดกระเจิง แม้ข้าจะช่วยเหลือเขาด้วยยาอายุวัฒนะ แต่ก็ทำให้ชีวิตนี้ของเขาประสบผลสำเร็จได้อย่างมีขีดจำกัด” หลิ่วเทียนเต้ายิ้มบาง ทว่าเสียงหัวเราะอัดแน่นด้วยรังสีสังหารที่ปิดไม่มิด


“แกเป็นคนทำลายคลื่นหลิงของหลิ่วหมิงเรอะ?” ชายชุดขาวที่ยืนตรงหน้าหลิ่วหมิงขมวดคิ้วจ้องมองมู่เฉิน จากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แกก็ควรถูกทำลายวรยุทธเหมือนกัน”


เมื่อสิ้นเสียงพูดร่างชายชุดขาวก็ขยับเขยื้อนมาปรากฏตรงหน้ามู่เฉิน เขาถือพัดหยกในมือชี้ไปที่หว่างคิ้วของมู่เฉินอย่างรวดเร็ว


เมื่อชายชุดขาวโจมตีก็เผยถึงพลังแข็งแกร่งอันน่าทึ่งออกมา นอกจากนี้มู่เฉินที่เพิ่งจบการประลองครั้งใหญ่ก็มีคลื่นหลิงในร่างอ่อนกำลังลง ดังนั้นเผชิญการโจมตีจากชายชุดขาว เขาจึงไม่สามารถหลบหลีกได้ทันที


ทว่าคนอย่างมู่เฉินไม่เคยนั่งรอความตายมา ขณะที่เขากำลังจะเร้าคลื่นหลิงที่เหลืออยู่ออกมา ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวที่ตรงหน้าเหยียดนิ้วเรียวปะทะกับพัดหยก


ปัง!


คลื่นหลิงน่าตกใจระเบิดออกจากการปะทะ ร่างงดงามสั่นเทิ้มเบาบาง ขณะที่ชายชุดขาวถอยไปสิบกว่าก้าว พัดหยกในมือคลี่ออกพร้อมกับเพลิงสีแดงลุกไหม้ สายตาเย็นชาพุ่งตรงไปที่ร่างตรงหน้ามู่เฉิน


“หลิ่วหมิงบอกว่ามีหญิงสาวแข็งแกร่งคนหนึ่งอยู่กับมู่เฉินด้วย ข้าว่าคงเป็นเจ้าสินะ” ชายชุดขาวจ้องมองจิ่วโยวที่ยืนตรงหน้ามู่เฉินขณะเอ่ยช้าๆ


จิ่วโยวที่ยืนเบื้องหน้ามู่เฉินสาดสีหน้าเย็นชา ทว่ามู่เฉินก็สังเกตได้ว่ามือของนางกำแน่นโดยไม่รู้ตัว เห็นชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกะทันหันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของนาง


หลิ่วเทียนเต้าสะบัดมือห้ามชายชุดขาวขณะมองมู่เฉินกับจิ่วโยวอย่างเฉยเมย จากนั้นก็เบนสายตาไปที่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา “ทั้งสองคนทำลูกชายข้าพิการ นี่เป็นความแค้นยิ่งใหญ่ระหว่างพวกข้า หวังว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมอบทั้งสองให้ เพื่อเป็นการชดเชยตำหนักสุดนภาเต็มใจที่จะจ่ายเป็นของเหลวจื้อจุนสองล้านหยด อีกอย่างหนึ่ง…ข้าสัญญาว่าตำหนักสุดนภาจะไม่ลงมือกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในสงครามล่า”


ฮือฮา!


เมื่อหลิ่วเทียนเต้าพูดจบ ไม่เพียงแต่สมาชิกแดนร้อยสงครามจะตกตะลึงไป แม้แต่สมาชิกจำนวนมากของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ใจกระตุกไปเช่นเดียวกัน เพราะข้อเสนอที่หลิ่วเทียนเต้าให้น่าดึงดูดใจแท้จริง ไม่ต้องพูดถึงของเหลวจื้อจุนสองล้านหยดเลย แค่คำสัญญาว่าจะไม่ปะทะกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในสงครามล่าก็เพียงพอแล้วที่จะจูงใจจอมยุทธ์ชั้นสูง ทุกคนรู้ว่าสงครามล่าเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของขั้วอำนาจชั้นยอดอย่างพวกเขา หากพวกเขาท้าทายศัตรูน่าสะพรึงอย่างตำหนักสุดนภาเอาไว้ ก็ไม่มีใครรู้สึกสบายใจได้หรอก


บางทีแม้แต่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ไม่อาจปฏิเสธเงื่อนไขดังกล่าว ยิ่งกว่านั้นจุดสำคัญก็คือพวกเขาทำเพียงแค่ส่งตัวมู่เฉินกับจิ่วโยวไปเท่านั้น ในสายตาของคนจำนวนมากนี่เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดสักวินาที!


ใบหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนไป นางไม่คิดว่าหลิ่วเทียนเต้าจะชิงชังพวกนางขนาดยอมจ่ายราคามหาศาลเช่นนี้ จิ่วโยวเป็นคนฉลาด ดังนั้นนางรู้ชัดเจนว่าข้อเสนอนี้ดึงดูดใจขั้วอำนาจมากเพียงใด


มือบางเย็นเฉียบแตะบนมือของมู่เฉิน นางใช้เสียงที่ได้ยินกันสองคน “ถ้าเกิดอะไรขึ้น หนีไปให้ไกลสุดกู่!”


ใบหน้าของมู่เฉินมืดครึ้มลง เห็นชัดว่าจิ่วโยวมองในแง่ร้าย อย่างว่ากำไรอยู่ตรงหน้า แม้แต่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่ยากหยั่งถึงก็คงจะเลือกตัดหางปล่อยวัดพวกเขา


ต่อให้ที่เขาเพิ่งจะคว้าชัยชนะให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ตาม


นี่คือทวีปเทียนหลัวอันโหดร้าย ไม่ใช่สำนักศึกษาเป่ยชางที่จากมา ไม่มีคนอย่างอาจารย์ใหญ่ไท่ชางที่จะบอกเขาว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นสำนักก็จะคอยสนับสนุนเขาตลอดไป


ทั่วบริเวณตกอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดที่น่าอึดอัด


สายตาของหลิ่วเทียนเต้าจ้องมองประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาไม่เห็นมู่เฉินกับจิ่วโยวอยู่ในสายตาอยู่แล้ว เนื่องจากเขามั่นใจมากว่าตราบใดที่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ฉลาด ก็ย่อมไม่ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว ผู้บัญชาการจิ่วโยวและแม่ทัพเล็กจ้อยร่อยไม่เป็นจุดสนใจของคนในระดับพวกเขาหรอก!


ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน แสงรอบร่างประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็กระเพื่อมไหวเบาบาง เสียงแผ่วเปล่งออกมา “ฮ่าๆ ราคานี้ดึงดูดใจนัก…”


ใบหน้าของมู่เฉินกับจิ่วโยวเปลี่ยนไปพร้อมกับคลื่นหลิงไหลเวียนเร็วรี่ในร่างกาย


“แต่ว่า…” ราวกับมีสายตาเยาะเย้ยพุ่งออกมาจากกลุ่มแสงที่ปกคลุมร่างประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จากนั้นเสียงแหบพร่าที่ดังไปทั่วบริเวณก็ทำให้ทุกคนอึ้งตะลึงไป


“ข้าปฏิเสธข้อเสนอ!”

 

 

 


ตอนที่ 748

 

ตัวตนแท้จริงของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์

“ข้าปฏิเสธข้อเสนอ!”


เมื่อเสียงแผ่วเบาของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดังออกมา ทั่วบริเวณที่ยังมีความวุ่นวายก็เงียบกริบลง จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนต่างเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ


แม้แต่มู่เฉินกับจิ่วโยวที่เตรียมจะหนีก็อึ้งไป


กระทั่งคนทรงพลังอำนาจอย่างหลิ่วเทียนเต้าก็ผงะไปครู่หนึ่ง เขามองไปที่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ด้วยสีหน้าราวกับว่าหูฝาดไป


สีหน้าของจอมยุทธ์ฝั่งแดนร้อยสงครามก็อึ้งตะลึงงันไปเหมือนกัน


ไม่มีใครคิดว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะปฏิเสธข้อเสนอที่น่าดึงดูดจากตำหนักสุดนภา เลือกที่จะปกป้องผู้บัญชาการจิ่วโยวกับแม่ทัพตัวน้อย…


ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่ใจหินกลายมาเป็นคนใจบุญสุนทานงั้นหรือ? คนจำนวนมากต่างมีสีหน้าพิลึกพิลั่น ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกว่าโดนเยาะเย้ยหนักเลย


ที่เบื้องหลังประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เทียนจิ้วที่มีท่าทางแข็งทื่อไปก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ สายตามองไปที่คนนั่งบนบัลลังก์ด้วยความซาบซึ้ง เขาตามติดประมุขมาหลายปี รู้ว่าอีกฝ่ายแข็งกร้าวมาก ก่อนหน้าด้วยนิสัยที่มี เขาคิดว่าประมุขคงเลือกส่งจิ่วโยวกับมู่เฉินไป แต่ใครจะคิดว่า…สถานการณ์จะพลิกผันเช่นนี้


ใบหน้าของหลิงถงเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ซุ่ยนอนก็มองไปที่ประมุขด้วยความประหลาดใจไม่แตกต่างกัน ก่อนจะมองมู่เฉินกับจิ่วโยวด้วยความคิดวาบผ่านในดวงตา


“ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เจ้ารู้ไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา?!” หลิ่วเทียนเต้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทรงพลัง เมื่อฟื้นคืนสติ โทสะก็ปรากฏในสีหน้าเฉยเมยขณะที่แค้นเสียงเย็นออกมา


“ข้ารู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ไม่ต้องให้เจ้ามาสั่งสอนข้าหรอก” ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เอ่ยเสียงเรียบก่อนจะพูดต่อว่า “พวกเขาเป็นคนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้า ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่ข้าจะปกป้อง”


“ฮ่าๆ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ใจหินเอ่ยแบบนี้? เจ้ากำลังดูถูกสติปัญญาของข้างั้นรึ?” หลิ่วเทียนเต้าหัวเราะด้วยความโกรธจัด ในภูมิภาคทางเหนือนี้ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ตราบใดที่มีผลประโยชน์เพียงพอ ทุกอย่างก็เตรียมถูกหักหลัง ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ากับแม่ทัพขุมพลังจื้อจุนขั้นสองตัวกระจ้อยร่อยเลย ดังนั้นหลิ่วเทียนเต้ารู้สึกว่าการตัดสินใจเลือกของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ครั้งนี้ตลกจริงๆ


“ข้าแค่รู้สึกอยากเป็นคนดีตอนนี้ เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ?” ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ส่งเสียงเยาะ


เส้นเลือดบนหน้าผากของหลิ่วเทียนเต้าปูดโปน จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึกเอ่ยเสียงเข้ม “พวกมันปล้นสมบัติที่ลูกชายข้าประมูลมา ซ้ำยังเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนมาขังเขาเอาไว้ ทำให้เขาสูญเสียคลื่นหลิงไปตลอดกาล ถ้าข้าหลิ่วเทียนเต้าไม่ได้ชำระแค้นครั้งนี้ ข้าคิดว่าคงไม่มีหน้าอยู่ในภูมิภาคทางเหนืออีกต่อไป”


“หึ ไร้สาระ หลิ่วหมิงหมายตาสมบัติของพวกข้าต่างหาก ใช้ผู้อาวุโสที่ติดตามหวังจะฆ่าพวกข้า เราก็เพียงปกป้องตัวเอง มันโดนแบบนั้นก็สมควรแล้ว”


ได้ยินน้ำเสียงหนักแน่นของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเยาะ “ส่วนจอมยุทธ์ที่ผนึกเขาไว้ นางคือนายหญิงแห่งแคว้นหวู ถ้าตำหนักสุดนภากล้าพอ ก็ไปทวงหนี้กับแคว้นหวูเลย!”


เมื่อมู่เฉินพูดออกมา ทั่วบริเวณก็อัดแน่นด้วยความตกตะลึง กระทั่งคลื่นหลิงรอบตัวหลิ่วเทียนเต้ากับประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังกระเพื่อมไหว คำว่า ‘นายหญิงแห่งแคว้นหวู’ สร้างความตกตะลึงใหญ่หลวงให้พวกเขา


เแคว้นหวูเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดยิ่งใหญ่แท้จริงในมหาพันภพ แม้อาณาเขตกงเวทสวรรค์กับตำหนักสุดนภาจะเป็นขั้วอำนาจชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือ แต่พวกเขาเทียบอะไรไม่ได้กับแคว้นหวูเลย


ดังนั้นต่อให้เพิ่มความกล้าให้หลิ่วเทียนเต้าอีกสักร้อยส่วน เขาก็ไม่กล้าไปหาเรื่องกับนายหญิงแห่งแคว้นหวู—หลิงชิงจู๋หรอก


มู่เฉินเอ่ยชื่อแคว้นหวูออกมาก็เพราะตระหนักดีถึงความจริงข้อนี้


นัยน์ตาของหลิ่วเทียนเต้าฉายแววมาดร้ายขณะมองมู่เฉิน อึดใจก็เอ่ยน้ำเสียงน่าขนลุก “แกพูดจาเหลวไหล แกเป็นตัวอะไร? คิดว่าตัวเองสามารถเชิญนายหญิงแคว้นหวูมาได้งั้นเรอะ? ตลกล่ะ!”


แม้หลิ่วเทียนเต้าจะเอ่ยแบบนี้ออกมา แต่มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะกระตุก เพราะเขาเห็นภูเขาคลื่นหลิงที่ทับหลิ่วหมิงด้วยตาตัวเอง ซึ่งเป็นผนึกที่แม้แต่เขาก็ไม่สามารถทำลายได้ สุดท้ายเขาต้องเชิญผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยเหลือหลิ่วหมิงออกมา เห็นชัดว่านี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการลงมือของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนธรรมดา


และก็ชัดว่านายหญิงแห่งแคว้นหวูมีความสามารถที่จะทำ


สายตาของหลิ่วเทียนเต้าวูบไหว จากนั้นไอน่าขนก็ลุกรวมตัวกันในนัยน์ตา ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับนายหญิงแคว้นหวูจะเป็นคนทำหรือไม่ ตราบใดที่เขาจัดการกับมู่เฉินและจิ่วโยวได้ ก็เพียงพอที่จะระบายความโกรธแค้นในใจลงได้


เขาไม่เชื่อว่าด้วยพลังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน มู่เฉินจะมีสามสัมพันธ์กับนายหญิงที่น่าสะพรึงกลัวแห่งแคว้นหวูได้


“ในเมื่อประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ปฏิเสธที่จะส่งพวกมันมา งั้นข้าคงต้องทำเองแล้ว!”


หลิ่วเทียนเต้าก้าวออกไป ก็ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดมิดทันที เขาเหยียดมือออกมาคว้าไปที่ร่างของมู่เฉินกับจิ่วโยว


ตู้ม!


มิติรอบตัวคนทั้งสองระเบิดฉับพลัน จากนั้นคลื่นหลิงหลากสีที่เหมือนเป็นกรอบก็พุ่งออกมา ก่อตัวเป็นกรงคลื่นหลิงล้อมรอบทั้งสองเอาไว้


กรงกะพริบด้วยความมันวาวของโลหะ ซึ่งนี่เกิดจากคลื่นหลิงล้วนๆ ที่แข็งแรงและไม่อาจทำลายได้ คุณภาพอยู่เหนือจินตนาการของมู่เฉินและจิ่วโยวหลายขุม


นี่คือเครื่องหมายของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่สามารถดึงคลื่นหลิงบริสุทธิ์จากฟ้าดินได้ในระดับนี้ ความผันผวนที่ปล่อยออกมาจากกระบวนท่า เหนือกว่าพลังวิทยายุทธเทพที่พวกมู่เฉินเคยเรียกใช้เต็มกำลังอีก


มู่เฉินกับจิ่วโยวมีสีหน้าเปลี่ยนไปขณะที่คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ระเบิดออกมาจากร่าง แต่แม้พวกเขาจะเร้าพลังออกมาเต็มที่ ก็ไม่สามารถทำให้กรงคลื่นหลิงเคลื่อนที่ได้แม้แต่น้อย


กลยุทธ์ของจอมยุทธ์ตื้จื้อจุนไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะต้านทานได้อย่างเห็นได้ชัด


“ฮึ่ม เจ้าไม่มีสิทธิ์มาจับพวกเขาต่อหน้าข้า!” เสียงเย็นของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดังขึ้นขณะที่เขาพลิกนิ้ว ลำแสงคลื่นหลิงบริสุทธิ์พุ่งตรงไปที่กรง จากนั้นมู่เฉินกับจิ่วโยวก็เห็นรอยร้าวปรากฏบนกรงก่อนที่จะแตกออก


ทั้งคู่ถอยกลับไปที่กองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ความตื่นตะลึงฉายในดวงตา นี่คือพลังของระดับตี้จื้อจุนงั้นหรือ? ทรงพลังแท้จริง


ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าเย็นเยือกลง อึดใจก็ยกมือขึ้น ทันใดนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงในบริเวณนี้มารวมตัวกันอย่างรุนแรงบนท้องฟ้าเหนือตัวเขา


คลื่นหลิงที่มารวมตัวกันไม่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง แต่หลิ่วเทียนเต้าก็อ้าปาก ดูดทะเลคลื่นหลิงกว้างใหญ่เข้าไปในปากก่อนจะพ่นออกมา


สายธารคลื่นหลิงบริสุทธิ์สีเงินทะลักออกจากปากของเขา


คลื่นหลิงถูกชำระจนราวกับเป็นของแข็ง ในนั้นมีเม็ดคลื่นหลิงนับไม่ถ้วน เพียงชั่วลมหายใจเดียว หลิ่วเทียนเต้าก็ชำระคลื่นหลิงจากฟ้าดินจนถึงระดับนี้


เพียงแค่กระบวนท่านี้ก็เป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายากจะทำได้ ไม่ต้องกล่าวถึงการทำในเวลาชั่วลมหายใจเลย


สายธารสีเงินสั่นไหวและบิดเบี้ยว อึดใจก็เปลี่ยนเป็นกระบี่ดวงดาวยาวพันจั้ง กระบี่อัดแน่นไปด้วยลวดลายโบราณลึกลับ ทันใดนั้นรัศมีกระบี่ที่ทำเอาให้ทุกคนรู้สึกขนลุกชันก็พวยพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้า ทุกที่ที่รัศมีกระบี่กวาดผ่านก็เกิดรอยแตกเป็นทางยาวบนมิติว่างเปล่า


“นานมากแล้วที่เราไม่ได้ประลองกัน ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้าพัฒนาแค่ไหนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา!”


หลิ่วเทียนเต้ายิ้มเย็น จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาพลางชี้นิ้วทั้งคู่ลง “กระบี่วิญญาณฟ้า!”


ฮึ่ม!


กระบี่ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยดวงดาวทะลวงผ่านมิติมาปรากฏบนท้องฟ้าเหนือประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จากนั้นก็ไม่มีความลังเลใดๆ ขณะฟันลงมา ช่องว่างสีดำหลายพันจั้งปรากฏขึ้นขณะที่มิติถูกผ่าออกจากกันด้วยแสงกระบี่


ความสามารถในการทำลายล้างที่น่ากลัวทำให้จอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนรู้สึกขนหัวลุกชัน


ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จ้องมองกระบี่ดวงดาวที่เฉือนลงมา เขาอ้าปากและพ่นสายแสงดำมืดพุ่งขี้นสู่ท้องฟ้า ได้ยินเสียงครางกระหึ่ม หนามขนาดใหญ่สีดำประหลาดก็งอกออกมา เปลี่ยนเป็นป่าหนามบนท้องฟ้าในพริบตา


ตู้ม!


เมื่อกระบี่ดวงดาวขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาใกล้ป่าหนาม แทนที่จะถูกกวาดจนเหี้ยนเตี้ยน หนามกลับพุ่งออกมาพันรอบกระบี่ ทำให้ราวกับกระบี่พุ่งลงไปในหนองน้ำจมลงเรื่อยๆ จนหยุดค้างอยู่ภายใน


ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์พลิกนิ้วอีกครั้ง เสียงระเบิดกรีดแหลมออกมาจากป่าหนาม หนามเหล่านั้นก็ราวกับมังกรยักษ์ม้วนตัวลง แตกสลายแสงกระบี่ออกเป็นประกายไฟ


วิธีการต่อสู้อันพิลึกพิลั่นนี้ทำให้ผู้คนล้วนหวาดผวา


เมื่อโจมตีล้มเหลว ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าก็มืดครึ้มลง เขาก้าวไปปรากฏตัวเบื้องหน้าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พลางซัดฝ่ามือทั้งสองออกไป ฝ่ามือราวกับเคลื่อนไหวราบเรียบ แต่ทุกคนสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเบาบางจากมิติ


ภายใต้การเคลื่อนไหวนุ่มนวลของฝ่ามือหลิ่วเทียนเต้า พลังงานที่อยู่ภายในกลับน่ากลัวยิ่งกว่าการโจมตีจากเพลงกระบี่เมื่อครู่เสียอีก


ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ยังไม่มีความหวาดหลัวใดๆ ขณะที่ฟาดฝ่ามือปกคลุมด้วยแสงออกไป


สองฝ่ามือปะทะกันอย่างหนักหน่วง


ไม่มีเสียงน่าตกใจใดๆ ระเบิดออกมาจากการปะทะกัน แต่ทุกคนก็ต้องอ้าปากตาค้างเมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า รัศมีหมื่นจั้งรอบร่างจอมยุทธ์ทั้งสองได้เปลี่ยนเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ มิติแตกสลายจากพลังงานที่มาจากฝ่ามือของพวกเขา…


นี่เป็นเพียงการควบคุมพลังของทั้งคู่ในระดับสูง ดังนั้นจึงไม่เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนการประลองของมู่เฉินและคนอื่นๆ แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมากลับทำให้จอมยุทธ์ทุกคนขนหัวลุกชัน หากการโจมตีนี้รั่วไหลออกมาแม้แต่นิดเดียว พวกเขาก็คงจะบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ…


ตึง!


ร่างจอมยุทธ์ทั้งสองสั่นเทิ้มภายในหลุมดำขณะที่ถอยกลับ


หลิ่วเทียนเต้าถอยหลังไปสิบสามก้าว


ส่วนประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ถอยไปเพียงห้าก้าวเท่านั้น ทว่าเพราะแรงปะทะคลื่นหลิงระหว่างกัน ทำให้แสงคลื่นหลิงที่ห่อหุ้มรอบกายจางหายไป


จังหวะที่แสงจางหายร่างคนคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น


จอมยุทธ์ทุกคนมองไปพร้อมกับขากรรไกรแทบค้างจากนั้นดวงตาพวกเขาก็หดแคบลง สายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อและความตกตะลึง


มู่เฉินก็ตกตะลึงพร้อมกับอ้าปากเหวอ เพราะเมื่อแสงจางหายไปแล้ว ร่างเล็กร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น


นางสวมชุดสีดำปล่อยผมยาวสยาย แม้ว่าบนดวงหน้าเล็กงดงามจะไม่มีแววอารมณ์ใดๆ แต่ก็น่ารักอยู่หลายส่วน


และภาพลักษณ์ที่คุ้นเคยนี่ก็คือ… มั่นถัวหลัวผู้ลึกลับที่ติดตามมู่เฉินมาตลอดนั่นเอง!


นางคือประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์!


 

 

 


ตอนที่ 749

 

เผชิญหน้า

คลื่นหลิงน่ากลัวยังคงแปรปรวนบนท้องฟ้า


ทว่าจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนกำลังตกตะลึงไปตามๆ กันเมื่อเห็นร่างน่ารักปรากฏตัวขึ้น ใครจะคิดว่าเมื่อรัศมีแสงรอบกายของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์หายไป ภาพสาวน้อยตัวเล็กน่ารักจะเผยออกมา…


ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วภูมิภาคทางเหนือ เป็นสาวน้อยงั้นหรือ?


ในขณะนี้ทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์และแดนร้อยสงครามอยู่ในความตกตะลึง


“นางคือประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เหรอ?” จิ่วโยว ถังปิงและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่เคยเห็นมั่นถัวหลัวในหอวิหคโลกันตร์ต่างฉายความไม่อยากเชื่อในดวงตา เห็นชัดว่าภาพที่เกิดขึ้นสร้างความตื่นตกใจให้พวกเขาไม่น้อย


มู่เฉินก็อึ้งตะลังงันเช่นกัน พักใหญ่กว่าจะเรียกสติคืนมาได้ จากนั้นก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ มิน่าล่ะนางถึงอยู่ในสภาพนิทรารมณ์ในบ่อทองข่ายฟ้าและสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจับได้ รวมถึงความแข็งแกร่งอันน่ากลัวของนางด้วย…


ที่แท้นางก็คือประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ลึกลับคนนั้น!


“ก็ว่าทำไมนางถึงปกป้องเรา” จิ่วโยวเหลือบมองมู่เฉินและเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่ใจหินถึงเลือกที่จะปกป้องพวกเขา สาเหตุก็คือเรื่องความสัมพันธ์ของนางกับมู่เฉินนั่นเอง


มู่เฉินยิ้มขื่นไม่ต่างกัน เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นอะไรกับมั่นถัวหลัว เพราะแต่ละคนใช้ผลประโยชน์ต่างตอบแทนเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงรู้สึกซาบซึ้งใจที่นางทนรับแรงกดดันและปกป้องพวกเขาไว้


มั่นถัวหลัวไม่สนใจความโกลาหลที่เกิดขึ้นจากการเปิดเผยตัวตน ดวงตาสีทองคำกวาดมองอย่างเฉยเมย ทำให้ความวุ่นวายของอาณาเขตกงเวทสวรรค์สงบลงในพริบตา


ไม่มีใครกล้ามองเข้าไปที่ม่านตาทองคำ เพราะความไม่แยแสและสูงส่งที่อยู่ภายในทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ภายใต้สายตาไม่แยแสของมั่นถัวหลัว พวกเขาก็ได้สติคืนมา แม้ว่านางจะมีรูปลักษณ์เป็นเด็กสาวตัวเล็กน่ารัก แต่ไม่ว่ารูปลักษณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร นางก็เป็นประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เพียงคำพูดเดียวจากนางก็สามารถชี้เป็นชี้ตายพวกเขาทั้งหมดได้แล้ว


เทียนจิ้วกับหลิงถงมองมั่นถัวหลัวด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนาง มีเพียงซุ่ยนอนที่มีท่าทางสงบ เหมือนรู้ความจริงข้อนี้มานานแล้ว


“ไม่คิดว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่มีชื่อเสียงจะมีรูปลักษณ์เป็นสาวน้อย รสนิยมพิลึกกึกกือ” หลิ่วเทียนเต้ามองมั่นถัวหลัวอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงใส่


เมื่อพลังมาถึงระดับพวกเขาแล้ว ก็มีหลายวิธีในการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตนเอง หลิ่วเทียนเต้าจึงคิดว่ามั่นถัวหลัวตั้งใจเปลี่ยนรูปลักษณ์ตนเอง เพราะทุกคนที่สมองปกติดี ล้วนบอกได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่มั่นถัวหลัวจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนหากรูปลักษณ์นี้เป็นอายุจริงของนาง


เผชิญผน้ากับคำเยาะเย้ย มั่นถัวหลัวก็ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งพลางเอ่ยเสียงเรียบ “หลิ่วเทียนเต้า วันนี้ต่อให้ใส่พลังเต็มที่ เจ้าก็พาพวกเขาไปจากมือข้าไม่ได้หรอก ดังนั้นเจ้าไปซะตอนนี้เพื่อไม่ให้เปลืองพลังจะดีกว่า”


หลังจากกลับสู่รูปลักษณ์ที่แท้จริง เสียงแหบพร่าก็ฟังดูกระจ่างใสนุ่มนวลขึ้น แต่ในโสตประสาทของทุกคนกลับให้กลิ่นอายที่ลึกลับยิ่งนัก


เพราะภายใต้ร่างน้อยเสียงนุ่มก็คือจอมยุทธ์ทรงพลังที่เย็นชา


สายตาของหลิ่วเทียนเต้าเย็นเยือกลงหลายส่วน เนื่องจากเขารู้ว่าที่มั่นถัวหลัวพูดไม่ผิด ก่อนหน้าที่พวกเขาประมือกัน เขาก็สัมผัสได้ว่าพลังของมั่นถัวหลัวในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเขา หากต้องสู้กันจริงๆ เขาคงไม่มีทางเป็นฝ่ายเหนือกว่าหรอก


“ดูเหมือนเจ้าคิดจะทำลายความสัมพันธ์กับตำหนักสุดนภาจริงๆ สินะ” หลิ่วเทียนเต้าเอ่ยเสียงเข้ม


“ไม่ใช่ว่าพังไปนานแล้วหรือ?” รอยยิ้มเยาะโค้งขึ้นบนริมฝีปากของมั่นถัวหลัว


“ฮ่าๆ ดีมาก” หลิ่วเทียนเต้าหัวเราะด้วยความโกรธพลางพยักหน้า สายตามองมั่นถัวหลัวอย่างน่าขนลุกเอ่ยว่า “จำคำพูดวันนี้ไว้ให้ดี ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ข้าหวังว่าเจ้ายังจะแข็งกร้าวเช่นนี้ได้ถึงตอนเปิดสงครามล่านะ”


ทันทีที่พูดประโยคดังกล่าว สีหน้าของเทียนจิ้วกับคนที่เหลือก็เปลี่ยนไป สงครามล่าโหดร้ายยิ่งนัก ทุกครั้งจะมีขั้วอำนาจชั้นยอดล่มสลายลงไม่เว้นวัน และอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็มีศัตรูไม่น้อย พอบวกตำหนักสุดนภาเข้าไปด้วย งานนี้ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพวกเขาเลย


ทว่าเผชิญกับคำขู่ของหลิ่วเทียนเต้า มั่นถัวหลัวยังคงเฉยเมยและท่าทางนี้ก็ทำให้อารมณ์ของหลิ่วเทียนเต้าดิ่งลงยิ่งกว่าเดิม


ชายชุดขาวที่ยืนข้างหลิ่วเทียนเต้าที่โจมตีมู่เฉินก่อนหน้าแต่ถูกจิ่วโยวขัดขวางไว้ก็กล่าวเสียงเรียบขึ้น “ดูเหมือนเจ้าจะเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตอนนี้สินะ”


มู่เฉินขมวดคิ้วมองชายชุดขาว เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายบางจางจากอีกฝ่าย คนผู้นี้มีฝีมือน่าสะพรึงมากแน่


“แกเป็นใคร?” มู่เฉินถาม


“หลิ่วเหยียนแห่งตำหนักสุดนภา” ชายชุดขาวยิ้ม


ดวงตาจิ่วโยวหดเกร็งเอ่ยเสียงเบา “เขาเป็นประมุขน้อยตำหนักสุดนภา พี่ชายของหลิ่วหมิง มิน่าล่ะเขาถึงแข็งแกร่งเช่นนี้ ลือกันว่าเขาเป็นยอดยุทธ์โดดเด่นแม้กระทั่งในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ พลังแก่กล้ายิ่งกว่าหลิ่วหมิงไม่รู้กี่เท่า”


หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวเล็กน้อย ก้างชิ้นโตจริงๆ


“ดูเหมือนวันนี้ข้าจะไม่สามารถทำลายวรยุทธเจ้าได้ แต่ก็ไม่สำคัญ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าร่วมศึกเขตหลงเฟิ่งในฐานะตัวแทนอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นเราได้พบกันใหม่ที่นั่นแน่” หลิ่วเหยียนส่งยิ้มบางที่บรรจุด้วยไอเย็นเยือกถึงกระดูกให้มู่เฉิน


มู่เฉินหรี่ตาลง หลิ่วเหยียนมีวิสัยทัศน์ไม่น้อย หลังจากจบศึกในวันนี้ ชื่อเสียงของเขาในฐานะแม่ทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ถือว่าไปถึงจุดสูงสุดแล้ว มากจนแม้แต่สูชิงกับโจวเยี่ยก็เทียบไม่ได้ ดังนั้นเขาจะต้องได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการประลองในเขตหลงเฟิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าแน่นอน


ตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบัน หลิ่วเหยียนคงจะเข้าร่วมงานด้วย ดังนั้นหากเกิดการปะทะกันในเวลานั้น ก็จะไม่มีใครที่สามารถช่วยเหลือเขาได้อีก


ทว่า…หลิ่วเหยียนทำกับเขาเหมือนคนอ่อนแอไปได้


มู่เฉินยิ้มอ่อนมองหลิ่วเหยียนโดยไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ในดวงตา “ถึงตอนนั้นจะได้เห็นกัน แต่ข้าต้องขอเตือนเจ้าก่อนว่าระวังตัวอย่ากลายเป็นหินรองเท้าคนอื่นล่ะ ถ้าเกิดเรื่องอย่างนั้นข้าคงเสียใจน่าดู”


“ฮ่าๆ”


หลิ่วเหยียนหัวเราะพลางตีพัดเข้ากับฝ่ามือ เขาไม่พูดอะไรทำเพียงยกยิ้มเยาะที่มุมปาก แสดงท่าทางไม่สนและดูถูก


เห็นได้ว่าหลิ่วเหยียนไม่ได้วางชายหนุ่มที่เพิ่งแสดงพลังน่าตกใจเมื่อครู่อยู่ในสายตาเลย ไม่ใช่เพราะเขาหยิ่ง แต่เขามีสิทธิ์ที่จะทำต่างหาก


เพราะเขาคือประมุขตำหนักสุดนภาในอนาคต


หลิ่วเทียนเต้าพอใจกับคำพูดของหลิ่วเหยียน อย่างน้อยพวกเขาก็ได้หน้ากลับคืนมาบ้าง แม้พวกเขายังต้องรอให้ศึกเขตหลงเฟิ่งเริ่มต้น แต่ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่มู่เฉินกล้าไปเข้าร่วมการ มันก็ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น!


และถ้ามันสละสิทธ์ที่จะเข้าร่วมงานเพราะเกิดความกลัว หลิ่วเทียนเต้าก็จะประจานอาณาเขตกงเวทสวรรค์ให้ได้รับความอับอาย


“ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ครั้งนี้ถือว่าเจ้าชนะ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะยิ้มได้จนถึงตอนสุดท้ายนะ”


หลิ่วเทียนเต้าเหลือบมองมั่นถัวหลัว อึดใจรอยยิ้มเยาะก็ผุดขึ้นขณะเอ่ยเสียงเรียบ “จริงสิ ข้าได้ยินว่าไม่นานมานี้โยวมิ่งแห่งจวนยมโลกออกจากการเก็บตัวแล้ว ดูเหมือนกำลังวางแผนล้างแค้นที่เจ้าทำร้ายเขาอยู่น่ะ…”


เมื่อชื่อของโยวมิ่งถูกกล่าวถึง ในที่สุดสีท่าทางไม่แยแสของมั่นถัวหลัวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


มู่เฉินขมวดคิ้ว ตอนนี้เขาทราบข้อมูลของขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในภูมิภาคทางเหนือบ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าจวนยมโลกทรงพลังเพียงใด ที่นั่นเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดเก่าแก่ที่ผ่านสงครามล่ามาสามถึงสี่ครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังที่น่ากลัวของพวกเขา


ส่วนโยวมิ่งคือประมุขจวนยมโลกที่มีพลังลึกล้ำยากหยั่งถึง ไม่คิดเลยว่าโยวมิ่งจะมีความแค้นกับมั่นถัวหลัวด้วย ดูเหมือนทวีปเทียนหลัวนี้จะเต็มไปด้วยอันตรายทุกฝีก้าวเลยทีเดียว


เมื่อหลิ่วเทียนเต้าเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของมั่นถัวหลัว เขาก็หัวเราะร่าจากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อพลางโบกมือ ลำแสงห่อหุ้มร่างหลิ่วเหยียนกับหลิ่วหมิง ก่อนจะหายตัวเข้าไปในมิติบิดเบี้ยว


มั่นถัวหลัวมองหลิ่วเทียนเต้าออกไปด้วยสายตาเยือกเย็น แต่สุดท้ายนางก็ส่งเสียงเย็นขึ้นจมูกเบนม่านตาสีทองคำเย็นเยือกไปยังกลุ่มเฒ่าเร้นกระบี่ฝั่งแดนร้อยสงคราม


เมื่อไม่มีหลิ่วเทียนเต้าหนุนหลัง เฒ่าเร้นกระบี่และคนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงจิตใจอ่อนแอกวนขึ้นในหัวใจ ไม่กล้าสบตามั่นถัวหลัวสักนิด


“พวกเจ้ามีเวลาสามวันส่งของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยดและเมืองหนึ่งพันเมือง หากล่าช้าละก็ ข้าจะเคาะประตูสำนักล้างบางให้เหี้ยน!” เสียงเรียบเฉยของมั่นถัวหลัวดังก้องฟ้า กลับทำให้จอมยุทธ์แดนร้อยสงครามอกสั่นขวัญแขวนไปหมด


พูดจบประโยค มั่นถัวหลัวก็ไม่เอ่ยอะไรอีก นางหมุนตัวกลับเหลือบมองมู่เฉินด้วยม่านตาสีทองคำ ก่อนที่ร่างเล็กจะหายไปในอากาศ


“ถอนทัพ”


เมื่อนางหายตัวไป เสียงเรียบเฉยก็ดังสะท้อนขึ้น


จอมพลทั้งสามโบกมือ สั่งให้กองทัพใหญ่จัดทัพกลับ พริบตาเดียวเสียงหวีดหวิวก็ดังขึ้นในอากาศ ช่างเป็นภาพที่ตระการตานัก


เฒ่าเร้นกระบี่และคนที่เหลือมองกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่กลับไปด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ อดไม่ได้ที่จะสบถพลางกัดฟันกรอด “เป็นเพราะความผิดของไอ้เด็กเวรนั่นแท้ๆ!”


หากไม่ใช่เพราะชัยชนะของมู่เฉินยกสุดท้าย แดนร้อยสงครามก็คงไม่อยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้หรอก!


ริมฝีปากของปีศาจภูเขาศพสั่นระริกขณะที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก “ปล่อยให้พวกมันเสพสุขไปสักระยะหนึ่งเถอะ ศึกเขตหลงเฟิ่งเริ่มเมื่อไร ไอ้เด็กเวรนั่นตายสถานเดียว”


จอมยุทธ์มากมายพากันพยักหน้าพลางแสยะยิ้ม ชัดว่าในสายตาพวกเขา เมื่อมู่เฉินเผชิญกับหลิ่วเหยียน จุดจบก็ได้รับการตัดสินแล้ว


สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดของอัจฉริยะก็คือการเจอกับอัจฉริยะยิ่งกว่า


และในสายตาของพวกเขา มู่เฉินคือฝ่ายแรก ส่วนหลิ่วเหยียนชัดว่าคือฝ่ายหลัง

 

 

 


ตอนที่ 750

 

 ฝึกฝน

สงครามสำนักจบลง


อาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นผู้ชนะแดนร้อยสงครามแบบสองต่อหนึ่ง เมื่อการประลองสิ้นสุดลง ข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ไปยังหูขั้วอำนาจจำนวนมากที่จับตามองอยู่


พูดลึกลงไปแล้ว ผลลัพธ์ของสงครามนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เนื่องจากทุกคนรู้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทรงพลังอำนาจยิ่งกว่าแดนร้อยสงคราม ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่เพราะตำหนักสุดนภาคอยหนุนหลังแดนร้อยสงครามลับๆ อยู่ละก็ พวกเขาคงไม่มีแม้กระทั่งความกล้าแหย่อาณาเขตกงเวทสวรรค์สักนิดหรอก


แม้ผลลัพธ์จะไม่ได้เหนือความคาดหมาย แต่ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ก็เกิดอาการคาดไม่ถึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะจากข้อมูลที่พวกเขาได้รับมา อาณาเขตกงเวทสวรรค์ถูกแดนร้อยสงครามใช้กลอุบายในการประลอง ไม่มีใครคิดว่าผู้บัญชาการซือหลิงแห่งสำนักศพปีศาจจะใจเด็ดและโหดเหี้ยมขนาดระเบิดศพปีศาจเพื่อจัดการผู้บัญชาการซิวหลัวจนได้รับบาดเจ็บหนัก คว้าชัยชนะให้แดนร้อยสงครามได้ยกหนึ่ง


จากนั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ตกอยู่ในฝ่ายเสียเปรียบ เนื่องจากพลังยุทธ์ของแม่ทัพฉิงเปยแดนร้อยสงครามผู้ลงประลองคนสุดท้ายอยู่เหนือกว่าแม่ทัพคนใหม่ไร้ชื่อของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไปไกลหลายขุม


แต่ขณะที่ทุกคนคิดในใจว่ามู่เฉินจะต้องพ่ายแพ้ในการประลองยกที่สามอย่างแน่นอน สถานการณ์ก็กลับตาลปัตร เขากลายเป็นฝ่ายชนะ ทำเอาทุกคนถึงกับตะลึงลานไป


ไม่มีใครคาดคิดว่าแม่ทัพที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสองจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะการประลองไป ซัดฉิงเปยที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นสี่ไปได้!


เพราะการประลองที่คาดไม่ถึงนี้เองที่พลิกสถานการณ์ให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์กลับมาชนะไปในที่สุด ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นน่าชื่นชมยิ่งนัก เนื่องจากไม่มีใครจินตนาการได้ว่าการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะอยู่บนบ่าของแม่ทัพตัวเล็กคนหนึ่ง


นอกจากนี้ในตอนท้ายยังเกิดการปะทะกันระหว่างมู่เฉินกับหลิ่วเหยียนประมุขน้อยแห่งตำหนักสุดนภาอีกด้วย ซึ่งทำให้เกิดความโกลาหลไปอีกหลายส่วนเลยทีเดียว


เห็นชัดว่าความโกลาหลนั้นเป็นเพราะคนส่วนใหญ่คิดว่ามู่เฉินเป็นพวกคนอวดดีและพยายามใช้หลิ่วเหยียนเป็นบันได ชื่อเสียงของหลิ่วเหยียนขจรขจายไปทั่วหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ ซึ่งในตอนนี้มู่เฉินยังขาดคุณสมบัติ แม่ว่าเขาจะเอาชนะฉิงเปยสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้บ้าง


ทว่าความแตกต่างระหว่างทั้งสองก็ยังมีมากเกินไป


แต่ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร อย่างน้อยชื่อที่ไม่คุ้นเคยในภูมิภาคทางเหนือมาก่อนก็แผ่ขยายออกไป ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ต่างรับรู้ว่ามีแม่ทัพคนใหม่ที่มีศักยภาพดีเยี่ยมชื่อมู่เฉินมาอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์…


แม้พวกเขาไม่รู้ว่าชื่อนี้จะดับลงท่ามกลางอัจฉริยชนภูมิภาคทางเหนือหรือไม่ แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็เริ่มเบ่งบานแล้ว


ส่วนดาวดวงใหม่นี้จะเฉิดฉายในภูมิภาคทางเหนือได้หรือไม่ ก็คงขึ้นอยู่กับว่าเขาสามารถเปลี่ยนพรสวรรค์ให้กลายเป็นพลังได้จริงหรือไม่แล้ว


เห็นได้ชัดว่าผู้คนทั้งหลายคงจะได้คำตอบจากศึกมังกรหงส์ที่จะเกิดขึ้นในเขตหลงเฟิ่งในอีกไม่นานนี้ เพราะหลิ่วเหยียนแห่งตำหนักสุดนภาไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปอย่างแน่นอน


 


ภูมิภาคทางเหนือ


ขณะที่ข่าวการต่อสู้ระหว่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์และแดนร้อยสงครามสะพัดไปทั่ว มู่เฉินก็ได้เพลิดเพลินกับความสงบหลังสงครามในหอวิหคโลกันตร์ แม้ว่าที่หอจะยุ่งอยู่กับการจัดการดูแลเมืองจำนวนมาก แต่เนื่องจากมีถังปิงเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อย ดังนั้นเรื่องเหล่านี้จึงไม่ได้ทำให้มู่เฉินกับจิ่วโยวเป็นกังวลเลย


นอกจากนี้ทุกคนในหอวิหคโลกันตร์ต่างรู้สึกว่าตำแหน่งของพวกเขาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะทะยานขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องหลังจากสงคราม คำเยาะเย้ยถากถางในอดีตสูญสลายกลายเป็นอากาศธาตุ มากจนแม้แต่หอเหยี่ยวโลหิตที่ไม่เคยเห็นหอวิหคโลกันตร์เป็นที่เจริญหูเจริญตาก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่มองด้วยสายตาดูหมิ่นอีกต่อไป


และเหตุผลสำหรับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เป็นเพราะการแสดงฝีมือโดดเด่นของหอวิหคโลกันตร์ในสงครามสำนัก รวมถึงภาพที่มั่นถัวหลัวปกป้องมู่เฉินกับจิ่วโยวเอาไว้…


ประมุขเป็นเจ้าเหนือหัวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ คำพูดของนางถือเป็นสิทธิ์ขาด แม้แต่จอมยุทธ์ที่หยิ่งทระนงอย่างเสี่ยยิงยังไม่กล้าหืออือต่อหน้าประมุข มิหนำซ้ำตอนนี้มั่นถัวหลัวยังดูแลมู่เฉินและจิ่วโยวเป็นพิเศษ เพียงแค่จุดนี้จุดเดียวก็เพียงพอที่จะข่มคนที่ไม่พอใจมู่เฉินได้แล้ว


ภูเขาด้านหลังหอวิหคโลกันตร์


มู่เฉินนั่งอยู่บนยอดเขาพร้อมหลับตา สายฟ้าไร้รูปร่างพันล้อมรอบกาย เสียงฟ้าคำรามแว่วออกมา


ในเสียงฟ้าคำรามดังสนั่นมีคลื่นพลังแปลกประหลาด หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องได้รับผลกระทบจากเสียงฟ้าคำรามจนหัวใจเต้นผิดจังหวะยุ่งเหยิงไปหมดแน่นอน


และเสียงฟ้าคำรามเหล่านี้ก็คือสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ ตอนนี้มู่เฉินยังคงฝึกฝนคัมภีร์หวูซั่งซินหมัว โดยมีความช่วยเหลือจากสายฟ้าฤทัยปีศาจดำที่ได้รับมาจากจุดลึกสุดของหุบเหวเหลยหมัว


เสียงครางกระหึ่มของสายฟ้าคำรามกินเวลาถึงสองชั่วโมงก่อนที่มู่เฉินจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นพลางวางฝ่ามือทาบอก หลังถูกสายฟ้าฤทัยปีศาจดำซัดเข้าที่หัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็สัมผัสได้ว่าพลังงานฤทัยปีศาจถูกฉีดเข้าไปในหัวใจมากขึ้น แต่ที่ทำให้มู่เฉินผิดหวังก็คือเมล็ดฤทัยปีศาจยังไม่ถูกกลั่นขึ้น


“ดูเหมือนคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวจะไม่ได้ฝึกง่ายซะแล้ว” มู่เฉินอดเบ้ปากไม่ได้ แต่นี่ก็สมเหตุสมผลอยู่ ถ้าฝึกง่ายคัมภีร์นี้ก็คงไม่น่ากลัวขนาดนี้หรอก


เขาก้มศีรษะมองหอวิหคโลกันตร์ แม้ตอนนี้จะดึกแล้ว แต่ภายในหอยังคงวุ่นวายไม่เลิก เพราะสงครามทำให้หอวิหคโลกันตร์ได้รับทรัพยากรจำนวนมาก ภายใต้การสั่งการของจิ่วโยวก็ได้ขยายหน่วยรบจนถึงจำนวนสี่พันคน แน่นอนว่านักรบที่มาใหม่ยังมีความแตกต่างมากเมื่อเทียบกับนักรบหอวิหคโลกันตร์เดิม ดังนั้นพวกเขาจะต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างเข้มงวดก่อน


แต่พูดโดยรวมตอนนี้หอวิหคโลกันตร์ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ไม่ตกอยู่ในบรรยากาศซบเซาเหมือนเมื่อปีแล้ว


ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกิดจากการกลับมาของจิ่วโยวและการปรากฏตัวของมู่เฉิน และมู่เฉินก็พอใจอย่างยิ่งกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่น้อย


“นี่มันสายฟ้าฤทัยปีศาจ?”


ขณะที่มู่เฉินจมอยู่กับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เสียงอ่อนเยาว์น่าประหลาดใจก็ดังมาจากด้านหลัง มู่เฉินสะดุ้งหันกลับไป บนหินใหญ่ร่างเล็กของเด็กสาวกำลังนั่งแกว่งขาไปมาพร้อมกับแววประหลาดใจฉายบนใบหน้า


จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากมั่นถัวหลัวประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์


เมื่อเห็นมั่นถัวหลัว มู่เฉินก็รีบยืนขึ้นคลี่รอยยิ้มไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อก่อนเขาเป็นกันเองกับนางมาก ดังนั้นพอตอนนี้จะแสดงความเคารพก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย


“ปฏิบัติกับข้าในฐานะมั่นถัวหลัวเถอะ” มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินขณะเท้าแก้ม “นอกจากนี้ข้ามองออกว่าต่อให้ข้าเป็นประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เจ้าก็ไม่เห็นจะนับถืออะไรมาก ดังนั้นไม่ต้องเสแสร้งให้เหนื่อยหรอก”


มู่เฉินยิ้มเฝื่อน เขาหวาดกลัวกับพลังของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้สึกเคารพขึ้นมา แม้นางจะมองเห็นความคิดเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง มู่เฉินก็ยังคงยิ้มสบายๆ “ขอบคุณสำหรับครั้งนี้นะ”


เขากำลังพูดถึงการปกป้องตัวเขากับจิ่วโยว เขาไม่โง่ ดังนั้นจึงบอกได้ว่ามั่นถัวหลัวต้องจ่ายราคาแพงระยับไปกับเรื่องนี้


“เจ้าทำเพื่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้ยอดเยี่ยม ดังนั้นหากข้าทอดทิ้งเจ้าในพริบตา ก็คงทำให้คนอื่นๆ หนาวเยือกไปทั้งหัวใจแล้ว” มั่นถัวหลัวเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ


มู่เฉินถูจมูก เป็นเรื่องตลกไม่น้อยที่คำพูดเหล่านี้ออกจากปากของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ด้วยพลังของมั่นถัวหลัวสิ่งที่เรียกว่าความภักดีก็เป็นเพียงความกลัวที่คนอื่นมีต่อนาง นางจึงไม่มีความกังวลว่าคนอื่นจะแปรพักตร์ไปหรือไม่


“นอกจากนี้เจ้ายังช่วยเหลือข้า ก็เลยต้องตอบแทนสักหน่อยเป็นธรรมดา” ประโยคนี้ของมั่นถัวหลัวบ่งบอกความนัยหลายประการจนทำให้มู่เฉินอึ้งไป ที่แท้ในมุมมองของนาง ความช่วยเหลือของเขาที่มีต่อนางมีความสำคัญมากกว่าช่วยอาณาเขตกงเวทสวรรค์เสียอีก


“เอ้านี่”


มั่นถัวหลัวสะบัดมือลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งไปหามู่เฉินพลิ้วลงไปในมือ เขาก้มลงมองด้วยสายตาตะลึงงันก็เห็นขวดหยกใสอัดแน่นด้วยของเหลวใสที่แผ่คลื่นหลิงน่าตกใจออกมา


“นี่มัน…” มู่เฉินมองมั่นถัวหลัวด้วยสายตาตกตะลึง


“ในนี้มีของเหลวจื้อจุนสองแสนหยด เป็นเพราะเจ้าเดิมพันด้วยชีวิตเราถึงได้รับชัยชนะ ดังนั้นนี่คือรางวัลของเจ้า” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเรียบ


มู่เฉินรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาจากจำนวนของเหลวจื้อจุนมากมาย เขาทำงานหนักในการค้นหาแทบพลิกสำนักสายฟ้าปีศาจ ก็ได้ของเหลวจื้อจุนมาเพียงแสนกว่าหยด มิหนำซ้ำเขายังไม่ได้เอาไว้แม้แต่นิดเพราะเขารู้ว่าหอวิหคโลกันตร์ต้องการของเหลวจื้อจุนปริมาณมหาศาลเพื่อพัฒนา


ของเหลวจื้อจุนเป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนไม่สามารถขาดได้ในการฝึกฝน หากมีก็จะเร่งความเร็วในการฝึกได้รวดเร็วขึ้น ยิ่งกว่านั้นมู่เฉินเองก็ต้องการของเหลวจื้อจุนในปริมาณมหาศาลเพื่อคลายทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะ แต่ตอนนี้เขาถังแตกและกำลังปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่พอดี ใครจะคิดว่าจู่ๆ จะมีของเหลวจื้อจุนสองแสนหยดหล่นใส่มือกัน นี่ทำให้เขารู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง


มู่เฉินกำขวดหยกไว้แน่น แม้รู้สึกอยากจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็ต้องเม้มปากรับไว้ อึดใจก็พยักหน้าให้มั่นถัวหลัวหนักแน่น “ขอบคุณนะ”


มั่นถัวหลัวยืนขึ้นบนก้อนหิน สายลมราตรีพัดผ่าน เรือนผมยาวปลิวไสวในสายลม ทำให้เด็กสาวดูบอบบางน่าทะนุถนอม นางมองมู่เฉินเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าจะเป็นตัวแทนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เข้าร่วมศึกมังกรหงส์ในอีกสามเดือนข้างหน้า หลิ่วเหยียนหมายตาเจ้าไว้แน่ ดังนั้นข้าจะฝึกเจ้าด้วยตัวเองระหว่างสามเดือนนี้ ถ้าถึงตอนนั้นแล้วเจ้ามีพัฒนาการไม่ถึงระดับที่ข้าพอใจ ข้าจะตัดสิทธิ์เจ้าซะ”


เสียงของนางสงบนิ่งแต่กลับทรงอำนาจอย่างไม่ต้องสงสัย


นางหันหลังเดินออกไปทันทีที่พูดจบ ปล่อยให้มู่เฉินยืนถือขวดหยกอึ้งกิมกี่ไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)