The Great Ruler 729-742

 729 ค้นหา

ในทะเลสายฟ้าส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเหวเหลยหมัว


มู่เฉินกับจิ่วโยวกำลังจับจ้องทะเลสายฟ้าสีดำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้ทะเลสายฟ้าจะดูเงียบสงบ แต่ทั้งคู่ก็สัมผัสได้ถึงความรุนแรงที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ความเงียบสงบ ไม่มีใครรู้เลยว่าจะมีสิ่งน่ากลัวอะไรซ่อนอยู่ลึกลงไปภายในหุบเหว


“ลองดูกันเถอะ” จิ่วโยวเอ่ยขึ้น นางไม่มีทางปล่อยให้มู่เฉินเข้าไปในสถานที่อันตรายแบบนี้คนเดียวแน่


พอได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็ไม่ได้โต้แย้งพลางพยักหน้าเบาๆ เขาไม่ลังเลทะยานออกไป ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงเหาะตรงไปยังทะเลสายฟ้าสีดำพร้อมกับจิ่วโยวที่ห่อหุ้มเพลิงสีม่วงตามมาติดๆ


จ๋อม!


เสียงน้ำกระเซ็นจากทะเลสายฟ้ากว้างใหญ่ ขณะที่ทั้งสองดำดิ่งลงไป คนหนึ่งอยู่ข้างหน้าคนหนึ่งอยู่ข้างหลัง จมหายไปกับความมืดมิด ภาพที่เห็นดูราวกับว่าพวกเขาถูกกลืนกินเข้าไปในปากแห่งความมืดขนาดใหญ่


ครืน!


เมื่อทั้งสองเข้าไปในทะเลสายฟ้า เสียงฟ้าคำรามรุนแรงก็กวาดตัวออกมาพร้อมกับแรงสั่นสะเทือน ความสามารถทรงพลังอย่างยิ่งของสายฟ้าโลกปีศาจก็คือการสั่นสะเทือน โดยแรงนี้สามารถฉีกโลกเป็นริ้วๆ เลยทีเดียว


แม้ทั้งสองจะรับมือได้ แต่ก็เกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมบนม่านพลังที่ห่อหุ้มร่างพวกเขาไว้


มู่เฉินกวาดสายตาไปรอบๆ ความมืดมิดปกคลุมครรลองสายตา ยิ่งกว่านั้นเนื่องจากสายฟ้าโลกปีศาจ ทำให้การรับรู้ของเขาจำกัดมาก ดังนั้นการค้นหาสายฟ้าฤทัยปีศาจดำในสถานที่แห่งนี้จึงไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร


ทว่าในเมื่อเขามาถึงที่นี่แล้วก็ต้องลองดู ไม่ว่าจะยากขนาดไหนก็ตาม


ด้วยความคิดนี้ มู่เฉินกับจิ่วโยวก็เริ่มดำดิ่งลงไปในห้วงลึก โดยปกติแล้วในเมื่อสายฟ้าฤทัยปีศาจดำเป็นระดับสูงกว่าสายฟ้าโลกปีศาจ ถ้าก่อตัวขึ้นก็น่าจะอยู่ในบริเวณที่สายฟ้าโลกปีศาจมารวมตัวกันมากที่สุด


ครืน!


เสียงฟ้าร้องรุนแรงดังอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มู่เฉินกับจิ่วโยวพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสงหลิงหมุนวนรอบตัวพวกเขา กลายเป็นแหล่งกำเนิดแสงแห่งเดียวในทะเลสายฟ้าอันมืดมิดนี้


เมื่อทั้งคู่พุ่งลึกลง…ลึกลง พวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่าแรงสั่นสะเทือนที่มาจากสภาพแวดล้อมเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้พวกเขาต้องชะลอความเร็วลง


ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนสักริ้วของสายฟ้าฤทัยปีศาจดำเลย


ทั้งคู่ชะลอความเร็วลงพลางแลกเปลี่ยนสายตากันแล้วถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่พวกเขาคาดไว้แล้ว การค้นหาสายฟ้าฤทัยปีศาจดำในสถานที่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ไม่แปลกใจเลยว่าแม้แต่สำนักสายฟ้าปีศาจก็ยังคว้าน้ำเหลวตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา


“ยิ่งเราลงลึกมากเท่าไร สายฟ้าก็จะมีพลังแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ถึงเวลานั้นข้ากลัวว่าแม้แต่เราก็จะทนไม่ไหวเอา” จิ่วโยวเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขารู้แล้วว่าถ้าพวกเขาใช้วิธีค้นหาโง่ๆ แบบนี้ ต่อให้ค้นหานานถึงหนึ่งหรือสองปีก็คงหาสายฟ้าฤทัยปีศาจดำไม่เจอ


แต่นอกจากวิธีนี้ยังมีวิธีอื่นที่ให้ผลดีอีกเหรอ?


“สายฟ้าโลกปีศาจที่นี่รบกวนสัมผัสคลื่นหลิงของเรา ทำให้ไม่สามารถค้นหาได้เลย” จิ่วโยวเอ่ยอย่างจนใจ “ถ้าเราสามารถสกัดการรบกวนที่มาจากสายฟ้าโลกปีศาจได้ การค้นหาก็จะง่ายขึ้นมาก”


จิ่วโยวเอ่ยคำพูดลอยๆ สายฟ้าโลกปีศาจที่นี่รุนแรงและเต็มไปด้วยลักษณะก้าวร้าว มันจึงปฏิเสธวัตถุแปลกปลอมเต็มกำลัง ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาในตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะสกัดได้


เมื่อได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็ขมวดคิ้ว จริงอย่างที่จิ่วโยวว่า มีทางเดียวที่พวกเขาจะหาสายฟ้าฤทัยปีศาจดำเจอในสถานที่แห่งนี้ก็คือการใช้สายฟ้าโลกปีศาจเป็นสื่อ แต่…สายฟ้าโลกปีศาจที่มีนิสัยก้าวร้าวจะเต็มใจยอมให้พวกเขาใช้งานหรือ? เรื่องนี้ไม่ต้องคิดก็ได้คำตอบแล้ว


พอเห็นมู่เฉินตกอยู่ในภวังค์ความคิด จิ่วโยวก็ไม่ได้รบกวน เพราะนางไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ


เงียบไปครู่หนึ่ง มู่เฉินก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะลองใช้วิชากายาเทพสายฟ้าสักหน่อย”


พูดจบม่านพลังงานรอบตัวเขาก็จางหาย ร่างเปลี่ยนเป็นสายฟ้าเรืองรองอย่างรวดเร็วขณะที่สายฟ้าโลกปีศาจกำลังจะซัดลงบนร่าง


ปัง! ปัง!


แต่ครั้งนี้ความคิดของมู่เฉินผิดพลาด เพราะสายฟ้าโลกปีศาจไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนโยนเนื่องจากพลังงานสายฟ้าที่กำจายออกมาจากร่างเขาเลย คลื่นสั่นสะเทือนรุนแรงของสายฟ้าโลกปีศาจซัดใส่เขาอย่างหนักหน่วง แม้ร่างกายเขาจะแข็งแกร่งมากในตอนนี้ มู่เฉินก็ยังรู้สึกว่าลมปราณและกระแสเลือดภายในร่างกายพลุ่งพล่านเลยทีเดียว


เห็นเหตุการณ์จากด้านข้าง จิ่วโยวก็รีบเร้าเพลิงอมตะกำบังมู่เฉินไว้ เอ่ยพลางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ไม่ได้ ต่อให้เจ้าฝึกวิชากายาเทพสายฟ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถเข้ากับพลังงงานสายฟ้าทุกชนิด”


มีพลังงานสายฟ้าหลายชนิดในโลกนี้ พวกมันต่างก็มีคุณลักษณะต่างกันออกไป เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินไม่สามารถพึ่งวิชากายาเทพสายฟ้าในการลดความเสียหายที่เกิดจากสายฟ้าได้


มู่เฉินยิ้มขื่น ตอนแรกเขาคิดว่าการใช้วิชากายาเทพสายฟ้า อย่างน้อยก็อาจช่วยลดความก้าวร้าวของสายฟ้าโลกปีศาจได้บ้าง แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ตัวเขาคงจะเพ้อเจ้อไปเอง


“แม้แต่วิชากายาเทพสายฟ้ายังใช้ไม่ได้…”


มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง หัวคิ้วชนกัน หลังจากนั้นครู่หนึ่งความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในใจ เขานึกถึงวิชาหนึ่งที่เขาเคยฝึกมาในอดีตแต่ไม่ค่อยได้เอาออกมาใช้…


กระบวนท่าควบคุมสายฟ้า


ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ที่สำนักศึกษาเป่ยชาง เป่ยหมิงได้มอบวิชาหนึ่งให้กับเขา แต่ทักษะนี้พิเศษอย่างยิ่ง ว่ากันว่าทักษะนี้สามารถสื่อสารกับพลังงานสายฟ้าทุกชนิดบนโลกได้ ซ้ำยังดูดดึงสายฟ้าจากสวรรค์โดยตรง แต่วิชานี้มีข้อจำกัดอย่างมากในการใช้ต่อสู้ ดังนั้นมู่เฉินจึงแทบไม่ได้ใช้เลย แต่ตอนนี้ดูเหมือนวิชานี้อาจจะแก้สถานการณ์สิ้นหวังของเขาได้


“ข้าจะลองอีกสักครั้ง”


มู่เฉินเอ่ยกับจิ่วโยวพร้อมกับนั่งลงอย่างรวดเร็วและหลับตา มือทั้งคู่วาดตราประทับลึกลับเร็วรี่ขณะที่นั่งนิ่งท่าทางราวกับพระชรากำลังทำสมาธิ


เมื่อหัวใจของมู่เฉินค่อยๆ สงบลง คลื่นจิตก็แผ่ออกมาเงียบๆ สัมผัสกับสายฟ้าโลกปีศาจอย่างระมัดระวัง


ริ้วคลื่นแปลกประหลาดแผ่ออกมาจากห้วงแห่งจิตของมู่เฉิน นี่ก็คือกระบวนท่าควบคุมสายฟ้านั่นเอง


ระลอกคลื่นแผ่เป็นวงกลมกระจายตัวออกไป จากนั้นภาพประหลาดก็ปรากฏขึ้น สายฟ้าโลกปีศาจอันป่าเถื่อนที่ผันผวนรอบตัวทั้งคู่ก็ค่อยๆ สงบลง


จิ่วโยวมองภาพนี้ด้วยความตกตะลึง


เจ้านี่ทำได้จริงๆ หรือ?


ในเวลานั้นดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็เปิดขึ้นช้าๆ สายตาของเขาอัดแน่นด้วยความตื่นเต้นดีใจ กระบวนท่าควบคุมสายฟ้ามหัศจรรย์เหนือความคาดหมายนัก แม้ว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมสายฟ้าโลกปีศาจที่นี่ได้ในทันที แต่อย่างน้อยก็ช่วยทำให้เขาสามารถติดต่อกับมันได้ มิหนำซ้ำสายฟ้าโลกปีศาจก็ไม่ปฏิเสธ ซัดพลังรุนแรงใส่พวกเขาอีก


ขั้นตอนต่อไป เขาแค่ใช้สายฟ้าโลกปีศาจเป็นสื่อกลางและควบคุมด้วยกระแสจิตก็สามารถค้นหาด้วยความเร็วเหนือจินตนาการในทะเลน่ากลัวแห่งนี้


มู่เฉินหลับตาอีกครั้งขณะที่กระแสจิตยังสัมผัสอยู่กับสายฟ้าโลกปีศาจเงียบๆ และแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว…


จิ่วโยวยืนข้างมู่เฉินคอยคุ้มครอง แม้ว่าการกระจายของกระแสจิตจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตา แต่นางก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งกำลังพล่านออกไปในทะเลสายฟ้าราวกับลำแสงพุ่งผ่านขอบฟ้า


เมื่อกระแสจิตกวาดออกไป สายฟ้าก็คำรามต่อเนื่อง แต่โชคดีที่สายฟ้าโลกปีศาจไม่ได้โจมตีกระแสจิตของมู่เฉินเนื่องจากกระบวนท่าควบคุมสายฟ้า ไม่อย่างนั้นแล้วจิตที่บอบบางคงถูกทำลายจากสายฟ้าโลกปีศาจป่าเถื่อนนี่ไปนานแล้ว


ฉากต่างๆ นานาฉายเข้ามาในห้วงแห่งจิตของมู่เฉิน แต่ก็มืดตึดตื๋อไปหมด ไม่มีความผันผวนผิดปกติสักริ้วปรากฏอยู่ แต่มู่เฉินก็ไม่ร้อนใจ เขาเพ่งกระแสจิตค้นหาต่อไป…


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในระหว่างที่ค้นหา


การค้นหาเช่นนี้นับว่าเป็นวิธีราบเรียบและน่าเบื่อ แต่มู่เฉินก็ไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย เขาจำแนกคลื่นพลังที่เข้ามาอย่างระมัดระวัง เพื่อค้นหาเป้าหมายที่ซ่อนลึกอยู่ในทะเลสายฟ้า…


ทว่าก็ยังไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ…


หนึ่งวัน… สองวัน… สี่วัน…


เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พริบตาวันที่สี่ก็ผ่านไป ระหว่างสี่วันนี้ ร่างของมู่เฉินก็ดูราวรูปปั้นหินที่นิ่งไม่ไหวติง ดวงตาที่ปิดสนิทไม่ได้ลืมขึ้นมาเลย


ส่วนจิ่วโยวก็เฝ้าระวังภัยให้อย่างเงียบๆ มาตลอด แต่เมื่อเวลาผ่านไป กำปั้นของนางก็กำเข้าหากัน กระทั่งแบบนี้พวกเขาก็ยังหาสายฟ้าฤทัยปีศาจดำไม่เจอเหรอ?


นางเอี้ยวหน้าเล็กน้อยมองใบหน้าของชายหนุ่มที่ยังปิดตาสนิท ใบหน้านี้ไม่มีความอ่อนเยาว์และอ่อนแอแบบแต่ก่อนแล้ว เริ่มเผยริ้วรอยจางๆ แห่งความมุ่งมั่นไม่หวั่นไหว ริมฝีปากที่เม้มแน่นก็เหมือนตัวเขาที่ดื้อดึงและมุ่งมั่น


“เฮ้อ”


จิ่วโยวถอนหายใจเบาๆ


เสียงถอนหายใจนี้กระทบโสตประสาทของมู่เฉิน กลับทำให้ร่างของเขาสั่นไหวขณะที่แววยินดีแรงกล้าฉายบนใบหน้าเคร่งเครียด


เพราะในกระแสจิตของเขาที่แผ่ออกไป ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงริ้วความผันผวนผิดปกติ ยิ่งกว่านั้นเขาสามารถสัมผัสได้ว่ามันอยู่ในบริเวณที่แม้แต่สายฟ้าโลกปีศาจยังไม่กล้าเข้าไปใกล้ ราวกับว่าพวกมันหวาดกลัวสิ่งนั้นอยู่


ครืน!


แต่ขณะที่มู่เฉินกำลังกลืนน้ำลายดับความกระหายอยาก ตรงบริเวณลึกลับ เสียงฟ้าคำรามที่ดังราวกับเสียงร้องโหยหวนของภูตผีก็สะท้อนขึ้นในหัวใจของเขา ร่างของเขากระตุกพร้อมกับใบหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีด กระแสจิตทั้งหมดแตกกระจายออก


แต่วินาทีสุดท้ายก่อนที่กระแสจิตจะสลาย เขาก็เหมือนจะเห็นป้ายหินผุพังอยู่ในความมืด…


มู่เฉินลืมตาโพลงขึ้นทันที เหงื่อเย็นไหลลงจากหน้าผาก เขากุมอกพร้อมกับความคิดตีกันวุ่นในห้วงแห่งจิตอย่างบ้าคลั่ง มากจนแม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายยังแสดงสัญญาณว่าจะหลุดการควบคุม


มือเย็นฉ่ำวางบนหลังของเขาพร้อมกับคลื่นหลิงอ่อนโยนไหลเข้าไปอย่างรวดเร็ว ข่มคลื่นหลิงที่กำลังจะเสียการควบคุมไว้


“เป็นอย่างไรบ้าง?” จิ่วโยวถามอย่างกระวนกระวาย


มู่เฉินสูดหายใจสองครั้งก่อนจะมองใบหน้าของจิ่วโยวที่มีแววกังวล เขายิ้มกริ่ม รอยยิ้มอัดแน่นด้วยความดีใจ


“เจอแล้ว!”


730 คัมภีร์หวูซั่งซินหมัว

“เจอแล้วเหรอ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา แววประหลาดใจแกมยินดีก็ฉายในดวงตาของจิ่วโยว จากนั้นนางก็รู้สึกไม่อยากเชื่อขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเป็นสิ่งที่กระทั่งสำนักสายฟ้าปีศาจใช้เวลาหลายปียังไม่สามารถทำได้สำเร็จ แต่มู่เฉินกลับใช้เวลาเพียงสี่วันก็ค้นหาคลื่นของสายฟ้าฤทัยปีศาจดำเจอแล้ว


“ไม่น่าผิดแน่” มู่เฉินพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น เขาก้มหน้าลงมองมือก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “แต่สายฟ้าฤทัยปีศาจดำครอบงำนัก แค่คลื่นเสียงอย่างเดียวก็ทำให้ข้าสูญเสียการควบคุมตัวเองไปแล้ว”


“สายฟ้าฤทัยปีศาจดำเป็นหนึ่งในสายฟ้าที่แปลกประหลาดในโลก ไม่เพียงแต่พลังของมันจะแตกต่างจากพลังสายฟ้าชนิดอื่นที่ป่าเถื่อนรุนแรง มิหนำซ้ำลักษณะการโจมตีก็ไม่ใช่สายฟ้าแต่เป็นคลื่นเสียงสายฟ้า” จิ่วโยวเอ่ย


“คลื่นเสียงสายฟ้า?” มู่เฉินหรี่ตาลง


“สายฟ้าฤทัยปีศาจดำสามารถเจาะผ่านการป้องกันส่วนใหญ่ได้ มันเกิดจากหัวใจ ดังนั้นมันจะปรากฏขึ้นในหัวใจของคนคนนั้น แล้วคลื่นเสียงสายฟ้าจะทำให้ความคิดของคนคนนั้นฟุ้งซ่าน ปล่อยให้ฤทัยปีศาจกำเริบขึ้น มากจนไม่สามารถควบคุมคลื่นหลิงของตัวเองได้ หรือแม้กระทั่งทนทรมานจากผลข้างเคียงจากคลื่นหลิงของพวกตนเองจนตาย” สีหน้าของจิ่วโยวดูเคร่งเครียดลงหลายส่วน เห็นชัดว่านางหวาดกลัวสายฟ้าฤทัยปีศาจดำเพียงใด


นี่คือการโจมตีที่แทบจะป้องกันไม่ได้


ใบหน้าของมู่เฉินเต็มไปด้วยความตกตะลึง นั่นก็หมายความว่าเมื่อเผชิญกับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ ไม่ว่าพลังกายจะทรงพลังขนาดไหน ก็ไม่สามารถป้องกันได้ ด้วยพลังที่แปลกประหลาดเช่นนี้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงจัดอยู่ในอันดับเดียวกับเพลิงอมตะได้


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ความสนใจของเขาต่อสายฟ้าฤทัยปีศาจดำก็มีมากขึ้น


“ไปกันเถอะ ข้าก็อยากดูสายฟ้าฤทัยปีศาจดำในตำนานเหมือนกัน” จิ่วโยวยิ้มหวาน มองออกว่านางก็มีความสนใจอย่างใหญ่หลวงต่อสายฟ้าฤทัยปีศาจดำเหมือนกัน


มู่เฉินพยักหน้าพลางยื่นมือไปหาจิ่วโยวที่กำลังเตรียมออกตัว


จิ่วโยวเหลือบตามาอย่างสงสัย จากนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้า “อะไรหรือ? มู่เฉินน้อย เจ้าคิดจะฉวยโอกาสกับพี่สาวรึ?”


มุมปากของมู่เฉินกระตุกขณะที่เอ่ยอย่างหน่ายใจ “สายฟ้าโลกปีศาจในบริเวณนี้รุนแรงอย่างยิ่ง ถ้าเจ้าพุ่งไปโดยไม่ระวังก็จะถูกพวกมันตีเอาตาย ส่วนข้าสามารถใช้กระบวนท่าควบคุมสายฟ้าหลบเลี่ยงไปได้”


“งั้นเหรอ?” ริมฝีปากสีแดงสดของจิ่วโยวโค้งเป็นรอยยิ้มนุ่มนวล จากนั้นนางก็ยื่นมือออกไปวางบนมือมู่เฉิน “งั้นครั้งนี้ข้าเชื่อเจ้าละกัน เพราะคิดว่าเจ้าคงไม่กล้าทำอะไรอยู่แล้ว”


มู่เฉินจับมือเรียวอุ่น จากนั้นก็ส่งแรงออกไปดึงร่างบอบบางมาไว้ในอ้อมแขน แขนโอบรอบเอวบางขณะกลิ่นหอมโชยออกมาเมื่อเขาสัมผัสกับร่างอบอุ่นของนาง


ถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของมู่เฉิน จิ่วโยวก็ไม่ทันตั้งตัว แต่ก่อนที่นางจะดิ้นหนี เสียงของมู่เฉินก็ดังก้องหู “อย่าขยับ”


พูดจบ คลื่นหลิงก็แผ่ออกจากร่างเขาปกคลุมทั้งคู่เอาไว้ มู่เฉินแตะปลายเท้าเปลี่ยนเป็นร่างแสงทะยานไปยังจุดลึกสุดของหุบเหวไร้ก้นอย่างรวดเร็ว


สายฟ้าโลกปีศาจป่าเถื่อนพุ่งผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อรู้สึกถึงความอุ่นซ่านที่แนบชิดกัน แม้แต่คนนิสัยอย่างจิ่วโยวยังรู้สึกแก้มร้อนผ่าวพลางมองค้อนมู่เฉิน


เมื่อเห็นสายตาเขินอายของนาง มู่เฉินก็ทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ และเร่งความเร็ว


ร่างแสงแหวกว่ายลงไปในทะเลสายฟ้าสีดำมืด สายฟ้าโลกปีศาจที่อยู่ในเส้นทางก็แหวกออกเป็นทางโล่ง การใช้กระบวนท่าควบคุมสายฟ้านี้ทำให้มู่เฉินสามารถไปไหนก็ได้ตามใจชอบในทะเลสายฟ้าแห่งนี้


แต่แม้ว่าเส้นทางของพวกเขาจะโล่งว่าง เวลาครึ่งวันก็ผ่านไป เมื่อมู่เฉินมาถึงบริเวณนั้นที่กระแสจิตจับสัมผัสได้…


ฟิ้ว!


ร่างแสงพุ่งผ่านในทะเลสายฟ้ามืดมิดด้วยความรวดเร็วสูงเริ่มชะลอตัวลง แสงค่อยๆ จางลงร่างของมู่เฉินกับจิ่วโยวก็ปรากฏออกมา


จิ่วโยววางมือบนแผ่นอกของมู่เฉินแล้วผลักออกหลุดจากอ้อมกอดของเขาทันที


“ใครที่ไหนจะเหมือนเจ้าที่ใช้ข้าเสร็จก็ผลักไสไล่ส่งแบบนี้กัน?” มู่เฉินเอ่ยด้วยท่าทางไม่พอใจ


จิ่วโยวกลอกตาใส่ เรื่องทั้งน่าขำและน่าโมโหในเวลาเดียวกัน จากนั้นนางก็ไม่สนใจเขาเบนสายตาไปข้างหน้า ฉับพลันใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม


มู่เฉินก็หยุดแซวมองไปข้างหน้าเช่นกัน ตรงนั้นเป็นพื้นที่สีดำมืดกว้างใหญ่ไพศาลดูราวกับว่าไม่มีอะไรอยู่ภายใน ทว่ากลับไม่มีสายฟ้าโลกปีศาจสักริ้วกล้าเข้าไปใกล้


พื้นที่ดำมืดราวกับหลุมแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัว


“สายฟ้าฤทัยปีศาจดำที่ข้าจับสัมผัสได้อยู่ที่นี่แหละ” มู่เฉินเอ่ยเสียงต่ำ แม้ที่นี่จะดูเงียบสงบ แต่เขากลับเกร็งร่างอย่างควบคุมไม่ได้โดยไม่รู้สาเหตุ นี่เป็นเพราะร่างกายของเขารู้สึกถึงอันตราย จึงเข้าสู่ภาวะป้องกันตัวโดยเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับ


จิ่วโยวหันมามองหน้าจากนั้นทั้งคู่ก็พยักหน้าให้กันเบาๆ ก่อนจะออกตัวไปในเวลาเดียวกัน ฝ่าเท้าก้าวออกจากทะเลสายฟ้าเข้าสู่พื้นที่เวิ้งว้างสีดำมืด


ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นขณะที่ทั้งสองเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ไม่กี่นาทีต่อมาจิ่วโยวก็ต้องหดตาลง ทว่าก่อนที่จะพูดอะไรออกมา เสียงฟ้าคำรามประหลาดที่ฟังดูราวเสียงคร่ำครวญของภูตผีก็ดังขึ้นในใจของนางกับมู่เฉิน


ตู้ม!


ร่างของทั้งคู่แข็งค้างฉับพลัน โดยเฉพาะมู่เฉินที่เส้นเลือดบนใบหน้าถึงกับปูดโปน ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาตอนนี้กลับดูป่าเถื่อนอย่างยิ่ง


เสียงฟ้าคำรามประหลาดดังออกมาจากห้วงลึกของจิตใจ เมื่อเสียงคำรามดังกึกก้อง ก็ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมคลื่นหลิงในร่าง หากไม่ใช่เพราะเขามีพื้นฐานแข็งแกร่ง เขาคงเสียการควบคุมไปนานแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวในตอนนี้ได้ ราวกับสูญเสียการควบคุมร่างกายตนเองไป


ขณะที่มู่เฉินพยายามอย่างที่สุดในการป้องกันเสียงฟ้าคำรามในห้วงแห่งจิตใจ จิ่วโยวที่ยืนเกร็งร่างอยู่ข้างเขาก็ค่อยๆ คลายตัวลงทีละน้อย เพลิงสีม่วงปะทุครอบตัวนางอย่างรวดเร็ว


มือของนางลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วงเอื้อมจับมือมู่เฉินไว้ เพลิงสีม่วงกวาดออกไหลเข้าสู่ร่างของเขาพร้อมกับเสียงเพลิงลุกไหม้เริ่มกลบเสียงฟ้าคำราม


มู่เฉินค่อยๆ ฟื้นตัวทีละน้อย


จิ่วโยวเอี้ยวหน้าเล็กน้อยเผยให้เห็นโหนกแก้มขาว “ใช้เพลิงอมตะป้องกัน”


มู่เฉินพยักหน้า จุดจื้อจุนไห่ม้วนตัวพร้อมกับคลื่นหลิงพวยพุ่ง เกลียวเพลิงอมตะก็หลั่งไหลออกมา แม้ว่าเพลิงอมตะของเขาจะไม่แก่กล้าเท่ากับจิ่วโยว แต่ก็เพียงพอที่จะปกป้องตัวเองได้


ทั้งสองก้าวไปข้างหน้า ทุกฝีก้าวก็จะมีเสียงฟ้าคำรามดังกึกก้องในห้วงแห่งจิต ทว่าพวกเขาตั้งรับไว้แล้ว บวกกับพลังของเพลิงอมตะ ถึงฝีก้าวจะช้าลง แต่ก็ยังสามารถย่างเท้าไปข้างหน้าได้ทีละก้าว…ละก้าว


มู่เฉินนับเงียบๆ ในใจ เมื่อเสียงฟ้าร้องดังครั้งที่หนึ่งพัน ในที่สุดเขาก็รู้สึกได้ว่าจิ่วโยวที่เดินอยู่ด้านหน้าหยุดนิ่งลง ทำให้ตัวเขาก็หยุดก้าวเดินไปด้วยเช่นกัน เขาเงยหน้าที่ซีดลงเล็กน้อยขึ้นมองไปข้างหน้า ทันใดนั้นม่านตาก็ต้องหดเกร็ง


ที่เบื้องหน้าครรลองสายตาเป็นพื้นที่ดำมืดสุดหยั่ง ส่วนในความมืดราวกับมีแสงประหลาดปรากฏเลือนรางอยู่ภายใน นั่นเป็นแสงที่มีสีเทาหม่น


ภายในแสงเหมือนจะไม่มีอะไร แต่มู่เฉินกลับสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังน่ากลัว ต้องมีบางอย่างอยู่ในนั้นแน่!


เพียงแต่เขาไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าเท่านั้น!


“สายฟ้าฤทัยปีศาจดำไม่มีรูปลักษณ์…” จิ่วโยวเอ่ยเบาๆ ร่างก็เกร็งขึ้นพร้อมกับเพลิงอมตะลุกโชน นางจ้องมองจุดสีเทาหม่นพร้อมกับน้ำเสียงที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก “สายฟ้าฤทัยปีศาจดำอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว!”


ดวงตาของมู่เฉินหดเกร็งขณะจ้องมองไปที่บริเวณนั้น เพลิงสีม่วงลุกโชนในดวงตาเขา จากนั้นริ้วบิดเบือนก็ราวกับปรากฏอยู่ในมิติสีเทาหม่น เขาเหมือนจะมองเห็นอสรพิษเลือนรางขนาดใหญ่พันจั้งกำลังขดตัวอยู่ในบริเวณนั้น ดวงตาน่าขนลุกของมันไร้อารมณ์กำลังจ้องมองเขาอย่างเย็นชา


ฟ่อ


มันแลบลิ้นออกมาช้าๆ ขณะที่เสียงประหลาดดังออกมาราวกับบทเพลงแห่งความตาย


นี่คือสายฟ้าฤทัยปีศาจดำงั้นหรือ?!


มู่เฉินสูดหายใจลึก ไม่คิดว่าสายฟ้าฤทัยปีศาจดำจะมีลักษณะเป็นงู ดูเหมือนว่าไม่สามารถประเมินต่ำได้แล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อเขากับจิ่วโยวร่วมมือกันจะสามารถสยบมันได้หรือไม่


“หือ?”


ทว่าขณะที่มู่เฉินมองสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ สายตาของเขาก็เบนไปทางด้านหลังของอสรพิษไร้กายเนื้อตัวนั้น เมื่อแสงสีเทาพวยพุ่ง ก็ปรากฏเป็นป้ายหินแตกร้าวที่มองเห็นได้เลือนราง


“นั่นอะไร?” มู่เฉินถามจิ่วโยว


สายตาจิ่วโยวมองไปที่จุดนั้นพลางขมวดคิ้ว เมื่อเพ่งมองนางก็เห็นแสงไหลเวียนอยู่บนป้ายหินแตกร้าวมีอักษรโบราณปรากฏขึ้น


“คัมภีร์…หวู…ซิน?”


จิ่วโยวพยายามแกะอักษรโบราณอย่างละเอียด หลังจากนั้นครู่หนึ่งดวงตาของนางก็หดลงขณะเอ่ยพึมพำด้วยอาการตกตะลึง “นั่นเหมือนจะเป็น…คัมภีร์หวูซั่งซินหมัว?!”


“คัมภีร์หวูซั่งซินหมัว?” มู่เฉินอึ้งไป ช่างเป็นชื่อที่ฟังดูร้ายกาจนัก แต่สิ่งนี้คืออะไรกัน


“ในสมัยโบราณมีปีศาจชั่วร้ายทรงพลังมากคนหนึ่ง มีฉายาว่าจักรพรรดิสายฟ้าฤทัยปีศาจ ย้อนกลับตอนที่เขาท่องไปทั่วมหาพันภพ ชื่อของเขาก็เป็นที่รู้จักกันดี ตอนหลังเมื่อเกิดภัยพิบัติในมหาพันภพ ไม่รู้ว่ามีเผ่าปีศาจต่างมิติมากเท่าใดที่ตายในเงื้อมมือของเขา แต่เขาก็หายตัวไปจากภัยพิบัติครั้งนั้น ไม่คิดว่าจะได้เห็นคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวที่นี่” จิ่วโยวเอ่ยด้วยความประหลาดใจ


“มิน่าล่ะถึงมีสายฟ้าฤทัยปีศาจดำปรากฏตัวที่นี่ สายฟ้าฤทัยปีศาจดำคือวิชาชำนาญของจักรพรรดิสายฟ้าฤทัยปีศาจเลยนะ”


“โอ้? หรือสถานที่แห่งนี้คือสุสานของจักรพรรดิสายฟ้าฤทัยปีศาจ?” มู่เฉินเอ่ยด้วยความอัศจรรย์ใจ


“เรื่องนี้ไม่รู้เหมือนกัน” จิ่วโยวส่ายหน้า นางจ้องป้ายหินแตกร้าว ก็เห็นว่าข้อความบนคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวเหมือนจะไม่ค่อยสมบูรณ์


“เราจะได้รู้ทุกอย่างหลังจากจัดการสายฟ้าฤทัยปีศาจดำแล้ว” จิ่วโยวค่อยๆ กำหมัดแน่น


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ และจ้องมองอสรพิษไร้ตัวตน สายตาเขาค่อยๆ เย็นเยือกลงหลายส่วน เขาทุ่มความพยายามอย่างมากในการมาที่นี่ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วันนี้เขาต้องได้สายฟ้าฤทัยปีศาจดำกลับไป!


731 ปราบปีศาจ

ใต้พิภพอันมืดมิดอสรพิษไร้ตัวตนสถิตอยู่


ดวงตาเย็นเยือกไร้อารมณ์ ทำให้คนมองอดตัวสั่นเทิ้มไม่ได้ ช่างแตกต่างจากสายฟ้ารุนแรงส่วนใหญ่ เนื่องจากสายฟ้าฤทัยปีศาจดำให้ความรู้สึกลึกลับและน่าขนลุกซะมากกว่า


มู่เฉินและจิ่วโยวมองอสรพิษสายฟ้าไร้กายเนื้อด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและหวั่นเกรง แม้แต่จิ่วโยวยังรู้สึกได้ถึงอันตรายแรงกล้าที่มาจากมัน


“ข้าว่าไอ้ตัวนี้มีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเป็นอย่างต่ำ แต่โชคดีที่มีเพียงรูปเงาแต่ไม่มีความคิด ดังนั้นเรายังมีโอกาสอยู่หลายส่วน” จิ่วโยวเอ่ยเสียงเบา


มู่เฉินพยักหน้า แม้อสรพิษสายฟ้าจะดูน่ากลัว แต่ในดวงตาไม่มีจิตวิญาณอยู่เลย มีเพียงความดุร้ายตามสัญชาตญาณเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นในระดับของอันตราย แม้แต่เจ้าสำนักสายฟ้าปีศาจอย่างฉิงเทียนกังก็เทียบไม่ได้


ฟู่


เขาผ่อนลมหายใจข่มอาการตะลึงใจที่มีในตอนแรก เขาเคยได้เห็นสิ่งลี้ลับที่ถือกำเนิดจากสายฟ้าครั้งหนึ่งในสำนักศึกษาเป่ยชาง ยิ่งไปกว่านั้นยังน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าอสรพิษสายฟ้าไร้กายเนื้อที่อยู่ตรงหน้าอีกด้วย เพราะเจ้าอสนีบาตเป็นสิ่งที่แม้แต่เป่ยหมิงที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ยังประสบปัญหาในการจัดการ


แม้ว่าอสรพิษสายฟ้าตัวนี้จะถูกสร้างจากสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ มิหนำซ้ำยังเป็นสิ่งที่มีระดับสูงกว่าอัสนีบาต แต่เนื่องจากสาเหตุหลายประการทำให้พลังของมันไม่อาจเทียบเคียงได้กับฝ่ายหลัง ไม่เช่นนั้นมู่เฉินกับจิ่วโยวคงต้องเตรียมวิ่งเอาชีวิตรอดแล้ว


“เราต้องทำลายร่างตรงหน้าก่อนถึงจะสยบมันได้” จิ่วโยวค่อยๆ กำมือแน่นเอ่ยต่อ “ข้าจะลงมือก่อน เจ้าระวังตัวด้วย!”


ระดับการปะทะเช่นนี้ต้องใช้พลังของจิ่วโยว เพราะขุมพลังจื้อจุนขั้นสองของมู่เฉินนับว่าไม่เพียงพออย่างยิ่ง


“ระวังตัวด้วย” มู่เฉินพยักหน้าไม่เอ่ยแย้งใดๆ เพราะเขาอาจกลายเป็นตัวถ่วงในการต่อสู้ของจิ่วโยวก็ได้


จิ่วโยวพยักหน้าไม่พูดมากความ นางแตะเท้าส่งแรงทะยานออกไปพร้อมกับเพลิงสีม่วงโชติช่วงระเบิดออกจากร่าง พริบตาอุณหภูมิพื้นที่เวิ้งว้างแห่งนี้ก็เพิ่มสูงขึ้นฉับพลัน


ชี่!


ที่แผ่นหลังจิ่วโยวปีกสีดำสง่าคู่หนึ่งกางออก นางกำหมัดแน่น ขนนกก็ปรากฏขึ้นในมือนาง ถักทอกลายเป็นหอกขนนกยาวที่ลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วงตลอดตัวอาวุธ


ชี่!


เมื่อจิ่วโยวเร้าคลื่นหลิง อสรพิษสายฟ้าก็สัมผัสได้ถึงอันตรายทันที มันอ้าปากกว้างจ้องจิ่วโยวเขม็ง


จิ่วโยวกระพือปีก เสียงวูบไหวดังขึ้นพร้อมกับร่างนางปรากฏตัวบนตัวอสรพิษอย่างลึกลับ ตัวหอกสั่นสะเทือนขณะที่ลำแสงจำนวนมากพุ่งลงมา ทุกลำแสงมีเพลิงสีม่วงติดอยู่ พลังโจมตีน่าทึ่งนัก


ฟ่อ!


อสรพิษแผ่แม่เบี้ยอ้าปากน่ากลัวออกกว้าง แต่สิ่งที่ออกมาจากปากไม่ใช่เสียงขู่ฟ่อ แต่เป็นเสียงสายฟ้าคำรามแสดแทงราวเสียงคร่ำครวญของภูตผี!


เสียงคำรามกระจายออกไป รัศมีหอกก็แตกออกทันทีที่พุ่งเข้าปะทะกับคลื่นเสียงดังสนั่น


ร่างของจิ่วโยวสั่นไหวเล็กน้อย เห็นชัดว่าเสียงคำรามของสายฟ้าฤทัยปีศาจดำเจาะทะลวงเข้าสู่ร่างกายนาง แต่เนื่องจากนางมีเพลิงอมตะปกป้องอยู่ จึงสามารถต้านทานได้


ตู้ม!


ทันใดนั้นหางขนาดใหญ่ก็ฟาดลงจากขอบฟ้า ความเร็วช่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดเลยทีเดียว ขณะที่พุ่งไปยังศีรษะของจิ่วโยว


จิ่วโยวพับปีกลงมาเป็นเกราะปกป้องที่ด้านหน้า


ตึง!


หางอสรพิษฟาดลงบนปีกอย่างหนักหน่วงเกิดแรงปะทะใหญ่ขึ้น ตามมาด้วยเสียงฟ้าคำรามสนั่นหวั่นไหว ร่างของจิ่วโยวกระเด็นกลับไป นางกระพือปีกทรงตัวไว้


ฟ่อ!


อสรพิษสายฟ้ามองจิ่วโยวเป็นผู้บุกรุกอย่างแท้จริงและเริ่มโจมตีรุนแรงในเวลาต่อมา เสียงคำรามแหลมคมดังไม่หยุดจากปากใหญ่ ขณะที่โจมตีจิ่วโยวไม่หยุดยั้ง


เผชิญหน้ากับการโจมตีไม่หยุดยั้งนี้ จิ่วโยวก็เป็นฝ่ายตั้งรับและแสดงสัญญาณว่ากำลังจะตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเอง


ด้านนอกเขตการต่อสู้ สีหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วนเมื่อเห็นภาพดังกล่าว เขาไม่คิดเลยว่าอสรพิษสายฟ้าจะทรงพลังจนถึงจุดที่แม้แต่จิ่วโยวก็กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบในตอนนี้


“ต้องจัดการให้เร็ว ไม่งั้นถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป จิ่วโยวคงต้านไม่ไหวแน่” แสงวูบวาบต่อเนื่องในนัยน์ตาของมู่เฉิน อสรพิษสายฟ้านี้เกิดจากสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ พลังงานสายฟ้าในที่แห่งนี้ก็มีไม่สิ้นสุด ดังนั้นหากการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป จิ่วโยวจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน


แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถลงมือได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากอาจทำให้กลายเป็นจุดสนใจของอสรพิษสายฟ้าจนหันมาโจมตีใส่เขาแทน สถานการณ์นั้นจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม


คิ้วของมู่เฉินขมวดแน่น จากนั้นก็เคลื่อนเข้าไปในรัศมีการต่อสู้ทีละน้อย สัมผัสถึงขอบเขตการต่อสู้ของอสรพิษสายฟ้า ครู่ต่อมาเขาก็ไปปรากฏตัวตรงพื้นที่ว่างเปล่ามุมหนึ่งแล้วก้าวไปข้างหน้า


ฟ่อ!


เมื่อเขาก้าวไปข้างหน้า เสียงหอนของภูตผีที่น่ากลัวก็ดังออกมาจากจุดลึกสุดของร่างกายอีกครั้ง ร่างเขาชะงักค้างไปทันที เส้นเลือดเต้นตุบๆ บนใบหน้าราวกับกำลังจะระเบิด


เพลิงสีม่วงลุกโชนในดวงตาของมู่เฉิน เพลิงอมตะถูกจุดขึ้นป้องกันเสียงหอนนั่นเอาไว้ ทว่าก่อนที่มู่เฉินจะทันรู้สึกโล่งใจ เสียงฟ้าคำรามก็ดังขึ้นอีกครั้ง


เพราะเขาได้เข้าไปอยู่ในระยะโจมตีของอสรพิษสายฟ้าแล้ว ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบด้วย


มู่เฉินหลับตาลงช้าๆ เขาต้องหาวิธีจัดการกับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำให้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะช่วยอะไรจิ่วโยวไม่ได้เลย


ชี่! ชี่!


วิชากายาเทพสายฟ้า!


ร่างของเขาเปล่งประกายพร้อมกับกระแสไฟแล่นพล่าน แต่เขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าวิชากายาเทพสายฟ้าไม่สามารถป้องกันการโจมตีของสายฟ้าฤทัยปีศาจดำได้สักสะเก็ด อึดใจเขาก็เร้ากระบวนท่าควบคุมสายฟ้า แต่ผลที่ได้ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไร เนื่องจากสายฟ้าฤทัยปีศาจดำไม่ใช่สิ่งที่สายฟ้าโลกปีศาจจะมาเทียบได้ ต่อให้เขาใช้กระบวนท่าควบคุมสายฟ้า พลังงานสายฟ้าป่าเถื่อนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถควบคุมได้


มู่เฉินงัดกลยุทธ์ทั้งหมดขึ้นมาใช้ แต่กลับมีผลน้อยนิด นอกจากนี้เมื่อการต่อสู้ระหว่างจิ่วโยวกับอสรพิษสายฟ้าดุเดือดมากขึ้น ผลกระทบที่เขาได้รับก็รุนแรงขึ้นเช่นกัน


มู่เฉินนั่งอยู่ในความว่างเปล่า สีหน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว เสียงฟ้าคำรามในร่างดังมากขึ้นทำให้เขาเริ่มยากที่จะทนได้ไหวแล้ว


“ไม่ จะยอมแพ้ไม่ได้!” มู่เฉินกัดฟันกรอด จิ่วโยวต่อสู้ถวายชีวิต ถ้าเขายอมแพ้ง่ายๆ สิ่งที่นางทำไปก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย


มู่เฉินสูดหายใจเต็มปากขณะหมุนเวียนคลื่นหลิง เปิดใช้เพลิงอมตะป้องกัน แววตาของเขาลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง


อสรพิษสายฟ้าทรงพลังมาก ดูจากสถานการณ์ระหว่างมันกับจิ่วโยวตอนนี้ อัตราการในการทำลายมันให้สำเร็จช่างริบหรี่เหลือแสน


ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถทำลายร่างมันได้ ก็เหลือเพียงวิธีเดียวที่จัดการมันได้


นั่นคือผนึกไว้


ผนึก?


ความคิดผุดขึ้นในใจของมู่เฉิน เมื่อพูดถึงการผนึก หน้ารายการนิรันดร์ในร่างของเขานับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะวัตถุนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์แม้กระทั่งกับจอมยุทธ์ทรงพลังอย่างมั่นถัวหลัว


เมื่อความคิดตกผลึก มู่เฉินก็ไม่รีรอ รีบประสานมือทั้งคู่เข้าด้วยกัน ตราประทับลึกลับวาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


ฮึ่ม


เกลียวแสงสีดำระเบิดออกจากทะเลพลังอันกว้างใหญ่ในจุดจื้อจุนไห่ เมื่อมิติบิดเบี้ยว มันก็ไปปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้ามู่เฉิน เขาแตะปลายนิ้วเข้าไปในทันที


แสงสีม่วงเข้มระเบิดออกจากหน้ารายการนิรันดร์ ขณะที่แสงลุกโชน ดอกแมนดาลางดงามสะกดใจก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา


มู่เฉินสูดหายใจเอาอากาศเข้าปาก คลื่นหลิงในร่างกายไหลออกไม่หยุดยั้ง ฉีดอัดเข้าไปในดอกแมนดาลาทั้งหมด


ฮึ่ม ฮึ่ม


นอกจากนี้เมื่ออัดพลังเข้าไป กลีบดอกแมนดาลางดงามก็คลี่บานทีละน้อย…ละน้อย บนกลีบดอกไม้มีลวดลายโบราณลึกลับปรากฏอยู่


ตึง!


ขณะที่มู่เฉินเปิดใช้ดอกแมนดาลา เสียงหอนรุนแรงก็ดังมาจากจุดปะทะที่ไกลออกไป เทียบกับครั้งก่อนหน้าคลื่นเสียงนี้นับว่ารุนแรงกว่ามาก


ปัง! ปัง!


สถานที่เกิดเสียงสายฟ้าคำราม มิติก็ถึงกับบิดเบี้ยว เพลิงสีม่วงที่กวาดออกจากร่างจิ่วโยวก็ถูกสกัดไว้ในเวลานี้ ร่างกระเด็นกลับไปหลายพันจั้ง


“บ้าเอ๊ย!”


จิ่วโยวขบฟันอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา นางไม่คิดว่าอสรพิษสายฟ้าจะทรงพลังขนาดนี้ บวกกับความได้เปรียบทางชัยภูมิแล้ว มันก็เหมือนกับพยัคฆ์ติดปีกเลยทีเดียว


ก่อนหน้าที่ปะทะกัน จิ่วโยวก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่นางจะปราบสายฟ้าฤทัยปีศาจดำด้วยตัวเอง


“ดูเหมือนว่าคงต้องถอยชั่วคราวและมองหาผู้ช่วยทรงพลังในอาณาเขตกงเวทสวรรค์” ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจของจิ่วโยว แต่จอมยุทธ์ทรงพลังที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนางในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็แทบไม่มี ยิ่งตอนนี้เทียนจิ้วก็อยู่ในสงครามสำนัก เขาคงสละเวลามาช่วยนางไม่ได้เหมือนกัน


“จิ่วโยว ถอยไป!”


ขณะที่จิ่วโยวกำลังกังวลในใจ เสียงตะโกนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง นั่นคือเสียงของมู่เฉิน


เมื่อได้ยินเสียงตะโกน จิ่วโยวก็อึ้งไป แม้นางจะไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงเลือกพุ่งเข้ามาในการต่อสู้ระดับนี้ แต่ด้วยความเชื่อใจที่มีต่อเขา นางก็กระพือปีกถอยจากไปอย่างรวดเร็ว


ครั้นนางถอยกลับ ดอกแมนดาลาดอกใหญ่ก็พุ่งผ่านท้องฟ้า พร้อมกับริ้วแสงสีม่วงเข้มลอยอยู่เหนือร่างอสรพิษสายฟ้า


ดอกแมนดาลาโน้มเอียงลงมาช้าๆ ใจกลางดอกเล็งเป้าไปที่อสรพิษสายฟ้า


ชี่! ชี่!


เมื่อดอกแมนดาลาเอียงลง อสรพิษสายฟ้าที่ไร้ความรู้สึกก็ระเบิดเสียงฟ้าคำรามไปที่ดอกแมนดาลาทันที


ปัง!


แต่เมื่อเสียงฟ้าคำรามสัมผัสกับประกายสีม่วงเข้มของดอกแมนดาลา มันกลับสลายตัวลงทันที


ฟิ้ว!


กลีบดอกงดงามแย้มบาน ลำแสงสีม่วงเข้มก็ยิงลงโอบล้อมอสรพิษสายฟ้าเอาไว้ สุดท้ายพลังงานประหลาดก็ระเบิดออกมาพร้อมกับอสรพิษสายฟ้าถูกดึงเข้าไปหาดอกแมนดาลาช้าๆ


ตู้ม! ตู้ม!


ในชั่วขณะนี้ อสรพิษสายฟ้าก็รู้สึกถึงอันตรายเริ่มดิ้นรนอย่างรุนแรง ระลอกคลื่นสายฟ้าฤทัยปีศาจดำน่ากลัวระเบิดออก ทำให้มิติบิดเบี้ยวจากแรงสั่นสะเทือน


เมื่อมันดิ้นรนและต้านทานอย่างโกรธเกรี้ยว รอยร้าวก็ปรากฏขึ้นเงียบๆ บนแสงสีม่วงเข้มที่ปกคลุมลงมา


เมื่อเห็นภาพนี้ ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปรุนแรง นี่คือกลยุทธ์สุดท้ายของเขาแล้ว ถ้าแม้แต่หน้ารายการนิรันดร์ยังไม่สามารถผนึกสายฟ้าฤทัยปีศาจดำได้ เขาคงต้องยอมแพ้กับเรื่องนี้


ด้วยขุมพลังหลิงในตอนนี้ เขาจึงใช้งานดอกแมนดาลาได้แค่ระดับนี้เท่านั้น


“เวรเอ๊ย!”


มู่เฉินสบถพลางกัดฟันแน่น แต่ขณะที่เขากำลังจะหมดแรงเพราะถึงขีดสุด มือเย็นก็วางบนหลังของเขาพร้อมกับเสียงใสของจิ่วโยวดังขึ้น “ใช้คลื่นหลิงของข้า!”


ตู้ม!


เมื่อสิ้นเสียงของนาง ร่างมู่เฉินก็สั่นไหวรุนแรง คลื่นหลิงแข็งแกร่งไหลบ่าราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลเข้ามาในร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง


แขนขาและกระดูกเต็มเปี่ยมไปด้วยคลื่นหลิง!


732 ป้ายหินที่แตกร้าว

ตู้ม!


คลื่นหลิงปริมาณมหาศาลหลั่งไหลเข้าไปในร่างของมู่เฉินอย่างบ้าคลั่ง เติมเต็มเส้นสายภายใน คลื่นหลิงที่จิ่วโยวให้เขาช่างเหนือความคาดหมายนัก


แน่นอนว่าโดยทั่วไป การใส่คลื่นหลิงเข้าไปในร่างของคนอื่นเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะไม่ว่าร่างกายจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่อวัยวะภายในของมนุษย์เปราะบางนัก ถ้าเกิดคนที่ใส่คลื่นหลิงเข้าไปในร่างเกิดเจตนาที่ไม่ดีก็สามารรถทำลายเส้นสายลมปราณอย่างง่ายดาย


แต่ชัดว่ามู่เฉินกับจิ่วโยวไม่ได้มีข้อห้ามระหว่างทั้งสอง เลือดของพวกเขาเชื่อมโยงกัน ดังนั้นพวกเขาสามารถแบ่งปันพลังชีวิตร่วมกัน ถ้าคนใดคนหนึ่งตาย อีกคนก็จะตายด้วย ดังนั้นระหว่างพวกเขาจึงมีแต่ความเชื่อใจอย่างเต็มหัวใจ


ดังนั้นเมื่อจิ่วโยวเทคลื่นหลิงมหาศาลเข้ามาในร่างเขา มู่เฉินก็ไม่ลังเลวาดตราประทับอย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงระเบิดออกจากร่างกาย ก่อร่างเป็นกระแสธารไหลบ่าเข้าไปในดอกแมนดาลา


ฮึ่ม!


การอัดพลังนี้ไม่ต่างจากการช่วยเหลือของเทพเซียนต่อดอกแมนดาลา ทันใดนั้นดอกไม้อันงดงามก็ขยายขนาดพร้อมกับกลีบดอกลึกลับยิ่งดูงดงามมากขึ้น ขณะเดียวกันแสงสีม่วงเข้มที่ยิงลงมาก็เจิดจรัสมากขึ้น รอยร้าวที่เกิดจากฝีมือของอสรพิษสายฟ้าก็หายไป


ตึง! ตึง!


อสรพิษสายฟ้าดิ้นรนอย่างรุนแรง แต่ครั้งนี้ไม่สามารถสั่นคลอนแสงสีม่วงเข้มที่ดูบอบบางได้อีก ร่างใหญ่โตถูกลากเข้าไปหาดอกแมนดาลาทีละน้อย แม้จะช้าแต่ก็ไม่สามารถสั่นไหวได้


มู่เฉินมองอสรพิษสายฟ้าที่เข้าใกล้ดอกแมนดาลามากขึ้นเรื่อยๆ ก็ความรู้สึกโล่งใจที่หนักอึ้งเบาลง อึดใจตราประทับก็เปลี่ยนแปลง อสรพิษสายฟ้าถูกขังไว้ในใจกลางดอกไม้เรียบร้อย กลีบดอกไม้งดงามหุบลงพร้อมกับลวดลายโบราณลึกลับระเบิดออกมาส่องลงบนร่างอสรพิษสายฟ้า


ชี่! ชี่!


ลวดลายแสงเหล่านั้นราวกับเครื่องหมายประทับลงบนร่างอสรพิษสายฟ้า ทำให้มันเปล่งเสียงขู่เสียดแทงออกมา สุดท้ายร่างมันก็ค่อยๆ หลอมละลาย กลายเป็นไข่สายฟ้าวางอยู่เงียบๆ ในเกสรดอกแมนดาลา


ที่ด้านข้างไข่สายฟ้ามีป้ายหินแตกร้าวชิ้นหนึ่งตั้งอยู่เงียบๆ


“สิ่งนี่ทรงพลังจริงๆ” จิ่วโยวตกตะลึงกับภาพนี้ นางสู้กับอสรพิษสายฟ้ามาก่อนจึงได้รู้ว่ามันทรงพลังขนาดไหน แต่ตอนนี้มันกลับถูกดอกแมนดาลาปราบปรามจนกลับไปมีรูปลักษณ์ต้นกำเนิด


“ดอกแมนดาลามีพลังในการผนึกและสายฟ้าฤทัยปีศาจดำที่ไม่ได้มีรูปร่างจริงก็กลัวพลังเช่นนี้มากที่สุด ดังนั้นจึงเป็นเหตุว่าทำไมถึงทำสำเร็จไงล่ะ” มู่เฉินยิ้ม จากนั้นก็ยกมือขึ้น ดอกแมนดาลาลอยลงมาตรงหน้าเขา ก่อนที่เขาจะเหลือบมองสายฟ้าฤทัยปีศาจดำที่กลายเป็นไข่สายฟ้า แล้วเบนสายตาไปยังป้ายหินแตกร้าว


ตามที่จิ่วโยวบอกไว้ คัมภีร์หวูซั่งซินหมัวถูกบันทึกไว้บนป้ายหิน แม้มู่เฉินจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่ในเมื่อกระทั่งจิ่วโยวยังร้องอุทานอย่างประหลาดใจ มันจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน


มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อ ป้ายหินแตกร้าวก็ลอยออกมาที่ตรงหน้า เขากวาดสายตามอง ป้ายหินนี้เต็มไปด้วยรอยด่างดวง เป็นความเสียหายที่กาลเวลาทิ้งไว้ อักษรโบราณบนนั้นเห็นได้เพียงเลือนราง ส่งแรงกดดันพิเศษออกมา


มู่เฉินเบนสายตาไปที่ด้านบนตรงอักษรโบราณเลือนรางเหล่านั้น นี่เป็นคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวที่จิ่วโยวพูดไว้แน่แล้ว… เว้นแต่ว่าป้ายหินนี้ได้รับความเสียหายหนัก ข้อความของคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวจึงไม่สมบูรณ์


“คัมภีร์หวูซั่งซินหมัวทรงพลังมากไหม?” มู่เฉินถามจิ่วโยว


“เจ้ารู้จักตำหนักเทพสายฟ้าไหม?”


มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นก็พยักหน้า เขาไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาเหมือนในอดีตอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีความรู้เกี่ยวกับมหาพันภพบ้าง สถานที่ที่เรียกว่าตำหนักเทพสายฟ้าเป็นขั้วอำนาจทรงพลังที่มีชื่อเสียงมากในมหาพันภพ


“ตำหนักเทพสายฟ้าถูกส่งต่อจากตำหนักสายฟ้าโบราณ ในสมัยโบราณจักรพรรดิสายฟ้าฤทัยปีศาจเป็นคนจากตำหนักสายฟ้าโบราณ จากที่ข้ารู้มา คัมภีร์หวูซั่งซินหมัวเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงที่เป็นเอกลักษณ์สุดยอดของตำหนัก” จิ่วโยวเอ่ยด้วยเสียงใส


“วิทยายุทธระดับเสินทงที่เป็นเอกลักษณ์สุดยอดของตำหนักเหรอ?” เมื่อมู่เฉินได้ยิน หัวใจก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ มันคือวิทยายุทธระดับเสินทง ไม่ใช่ระดับเสินซู่!


ในมหาพันภพ วิทยายุทธระดับเสินทงจะลึกลับซับซ้อนเหนือกว่าวิทยายุทธระดับเสินซู่ เว้นแต่ว่าระดับนี้อยู่ห่างไกลจากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนทั่วไป เพราะทรงพลังเกินไป


การกำเนิดของวิทยายุทธระดับเสินทงแต่ละวิชาจะตามมาด้วยการแข่งขันดุเดือดของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนมากมาย คัมภีร์หวูซั่งซินหมัวก็เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงที่เป็นเอกลักษณ์ของตำหนักเทพสายฟ้า จึงบอกได้ว่าวิชานี้ทรงพลังและมีความสำคัญขนาดไหน


“แม้แต่ในตำหนักเทพสายฟ้า ก็มีน้อยคนนักที่จะมีคุณสมบัติในการฝึกคัมภีร์หวูซั่งซินหมัว ทว่าน่าเสียดายที่คัมภีร์นี้ไม่สมบูรณ์ จากการประเมินของข้า นี่น่าจะเทียบเท่ากับวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเกือบเต็มน่ะ” จิ่วโยวเอ่ยอย่างเสียดาย


“วิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเกือบเต็มเหรอ?!” มู่เฉินยิ้มบ้างเมื่อได้ยินคำพูดของนาง “นั่นก็นับว่าเพียงพอแล้ว เพราะข้าชอบสิ่งที่ไม่สมบูรณ์”


ถ้าคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ไม่มีทางจะฝึกสำเร็จแน่นอน จึงเป็นเรื่องดีทีเดียวที่วิชาได้รับความเสียหายบ้าง


จิ่วโยวกลอกตาใส่อย่างเคืองปนฉิวกับความหลักแหลมของเขา


“จากที่ข้ารู้มา ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวก็คือเมื่อฝึกสำเร็จแล้ว ผู้ฝึกจะเข้าสู่สสภาวะฤทัยปีศาจ” จิ่วโยวมองป้ายหินแตกร้าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“สภาวะฤทัยปีศาจ?” มู่เฉินอึ้งไป


“เป็นสภาวะที่น่ากลัว เมื่อเข้าสู่สภาวะนั้น สิ่งรบกวนจากภายนอกจะถูกตัด ถึงตอนนั้นก็จะถือว่าเข้าสู่สภาวะควบคุมโดยสมบูรณ์ คลื่นหลิงทุกหยาดหยดรวมทั้งพลังกายจะถูกควบคุมจนถึงขีดสุด พูดตรงๆ ก็คือเมื่อใดที่ผู้ฝึกเข้าสู่สภาวะฤทัยปีศาจ ก็จะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารแท้จริง พลังต่อสู้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” จิ่วโยวเอ่ยช้าๆ


“ลือกันว่าเจ้าตำหนักเทพสายฟ้ามีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน แต่เมื่อเขาเข้าสู่จุดสูงสุดของสภาวะฤทัยปีศาจ เขาก็จะมีพลังสู้สีกับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว”


มู่เฉินสูดลมหายใจเอาอากาศเย็นเข้าปอด แม้นั่นจะห่างไกลจากตัวเขาในตอนนี้มากนัก แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงช่องว่างน่ากลัวกับสิ่งที่เรียกว่าขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน การที่เจ้าตำหนักเทพสายฟ้าสามารถใช้สภาวะฤทัยปีศาจต่อกรกับเหล่าจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนได้ ซึ่งนี่บอกได้เลยว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงที่เป็นเอกลักษณ์สุดยอด


“ครั้งนี้พวกเรารวยเละแล้ว” มู่เฉินพูดพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่คิดเลยว่าการเก็บเกี่ยวครั้งนี้จะมากมายมหาศาล ไม่เพียงแต่เขาจะได้สายฟ้าฤทัยปีศาจดำไปครอบครอง แต่ยังได้วิทยายุทธระดับเสินทงไม่สมบูรณ์ที่น่ากลัวเพิ่มไปอีกด้วย


“แต่สิ่งที่ต้องมีในการฝึกคัมภีร์หวูซั่งซินหมัว อันดับแรกก็คือต้องควบคุมสายฟ้าฤทัยปีศาจดำให้ได้ก่อน ดังนั้นถ้าเจ้าต้องการจะฝึก ก็ต้องหลอมรวมเข้ากับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำให้ได้ก่อน”


จิ่วโยวราดน้ำเย็นรดใส่มู่เฉิน “อย่าคิดว่าการหลอมรวมกับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำเป็นเรื่องง่ายนะ ก่อนหน้าเจ้าสามารถหลอมรวมกับเพลิงอมตะได้ เพราะเรามีพันธะโลหิตต่อกัน ดังนั้นเพลิงอมตะจึงไม่ได้แสดงพลังอำนาจที่แท้จริงออกมา แต่สายฟ้าฤทัยปีศาจดำไม่ออมมือให้เจ้าแน่”


พูดถึงตรงนี้ มู่เฉินก็ขมวดคิ้ว แต่ไม่นานก็คลี่ยิ้มออกมา “เราทุ่มเทความพยายามแสนสาหัสเพื่อให้ได้สายฟ้าฤทัยปีศาจดำมา ดังนั้นไม่ว่าจะยากขนาดไหน ข้าพุ่งชนสุดตัวแน่!”


“ห้าวหาญมากไอ้น้องชาย” จิ่วโยวยกนิ้วโป้งให้ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นชัดว่านางตั้งใจรอดูมู่เฉินที่จะวุ่นวายจนหัวลุกเป็นไฟ


มู่เฉินกลอกตาใส่จิ่วโยวที่อยากเห็นหายนะที่จะเกิดขึ้น ก่อนสีหน้าของเขาจะจริงจัง เขารู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะชำระสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ แต่เห็นชัดว่านี่ไม่ใช่เหตุผลในการยอมแพ้


ฮา


มู่เฉินสูดหายใจลึกเคลื่อนกายออกไปปรากฏตรงเกสรดอกแมนดาลาแล้วนั่งลง เขาโบกมือเรียกไข่สายฟ้าที่มีขนาดเท่าศีรษะลอยมาอยู่บนมือ


ไข่สายฟ้านี้ยังคงไม่มีรูปร่างที่แท้จริงของมัน แต่เมื่อมือของมู่เฉินสัมผัสเข้า เขาก็รู้สึกถึงสายฟ้าคำรามเสียดแทงราวกับว่าจะทำลายผนึกออกมาและเสียงคำรามนี้ก็ทำให้แม้แต่คลื่นหลิงในร่างของเขายังสั่นสะเทือน


“ป่าเถื่อนจริง ขนาดถูกผนึกแล้วนะเนี่ย”


มู่เฉินขมวดคิ้วพลางมองจิ่วโยว จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ ให้


พอเห็นท่าทางนั่นแล้ว จิ่วโยวก็เคลื่อนถอยไประยะหนึ่ง แต่สายตาของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่มู่เฉิน เห็นชัดว่านางเตรียมลงมือทุกเวลาหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นตอนที่มู่เฉินกำลังชำระมัน ถึงตอนนั้นต่อให้นางจะต้องลบล้างสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ นางก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย


“ระวังตัวหน่อยนะ” จิ่วโยวเอ่ยเตือน


มู่เฉินพยักหน้า อึดใจก็หลับตาลงช้าๆ เขาประสานมือขณะไข่สายฟ้าลอยคว้างอยู่ในฝ่ามือ


ลมหายใจขาวขุ่นพ่นออกจากปากของมู่เฉิน จากนั้นมือเขาก็กระตุกกระแทกลงไปบนไข่สายฟ้าอย่างหนักหน่วง คลื่นพลังน่ากลัวผันผวนออกมา รอยร้าวแผ่กระจายไปบนไข่สายฟ้าอย่างรวดเร็ว


ปัง!


ไข่สายฟ้าแตกออกในที่สุด สายฟ้าไร้รูปร่างกวาดตัวออกมา เปลี่ยนเป็นพายุฟ้าคะนองปกคลุมร่างของมู่เฉินไว้ สายฟ้าที่ไร้รูปร่างนั้นก็ซัดใส่ร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง


จุดจื้อจุนไห่


ทะเลพลังกว้างใหญ่ไพศาลกวาดไปด้วยคลื่นหลิงส่องประกายสีม่วงส่งเสียงครางกระหึ่ม เกลียวเพลิงสีม่วงลอยอยู่บนผิว


เมื่อพื้นผิวทะเลเคลื่อนไหว ร่างดวงจิตของมู่เฉินก็ยืนอยู่บนเกลียวคลื่น เขาเงยหน้าขึ้นมองมิติเหนือจุดจื้อจุนไห่ที่เริ่มบิดเบี้ยวรุนแรง จากนั้นพื้นที่ที่บิดเบี้ยวก็แตกสลาย สายฟ้าไร้รูปร่างปกคลุมท้องฟ้าฟาดลงมาราวกับพยายามจะฉีกจุดจื้อจุนไห่ของเขาออกจากกัน


พรึ่บ!


ราวกับสัมผัสได้ถึงอันตราย เพลิงสีม่วงก็ลุกโชนในจุดจื้อจุนไห่ ร่างดวงจิตของมู่เฉินถูกปกคลุมอยู่ในเพลิงสีม่วงหนาแน่น ดวงตาของเขาสะท้อนภาพสายฟ้าไร้รูปร่างที่กำลังซัดลงมา


จากนั้นเขาก็กำหมัดแน่นทันที


นี่คือโลกของข้า ข้าไม่สนว่าแกจะเป็นมังกรหรือพยัคฆ์ จงสยบต่อข้าตรงนี้!


เพลิงสีม่วงพวยพุ่งพร้อมประจัญบานกับสายฟ้ามหึมา


733 เพลิงอมตะเบื้องขวา ฤทัยปีศาจเบื้องซ้าย

มิติเหนือจุดจื้อจุนไห่ฉีกขาด


ขณะสายฟ้าไร้รูปร่างพุ่งลงมาจากทุกทิศทาง เสียงคำรามดังสนั่นราวกับเสียงโหยหวนของภูตผีดังก้องไปทั่วจุดจื้อจุนไห่ ยกคลื่นบนพื้นผิวทะเลพลังขึ้น


นี่เป็นฉากที่ดูราวกับวันสิ้นโลก


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองภาพนี้ สีหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน สายฟ้าไร้รูปร่างนับไม่ถ้วนตกลงมาราวกับฝนอุกกาบาต พุ่งเข้าไปในจุดจื้อจุนไห่ของเขา


ปุ! ปุ!


คลื่นหลิงขนาดใหญ่ยกตัวขึ้น ทุกจุดที่สายฟ้าฤทัยปีศาจดำพุ่งลงมา คลื่นหลิงประกายสีม่วงก็เลือนหายไป เปลวเพลิงสีม่วงพวยพุ่งขึ้นแล้วสลายตัวลงอย่างรวดเร็วจากสายฟ้าไร้รูปร่าง


ริ้วสีผิดปกติต่างๆ แล่นพล่านในจุดจื้อจุนไห่ที่เป็นสีม่วงแต่เดิม


นี่เป็นผลจากการทำลายของสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ


นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากรูปการณ์นี้ สายฟ้าฤทัยปีศาจดำกับเพลิงอมตะไม่ถูกกันแน่นอน แต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชนิดของไฟกับสายฟ้านี้ล้วนไม่ใช่สิ่งธรรมดา มิหนำซ้ำยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้พอมาอยู่ในสถานที่เดียวกัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ร่วมกัน


มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ในหัวใจ เขาสามารถคาดเดาถึงเรื่องยุ่งยากที่ต้องเผชิญต่อไปได้แล้ว


ตู้ม! ตู้ม!


บนท้องฟ้า สายฟ้าฤทัยปีศาจดำยังคงฟาดลงมาไม่ยั้ง การโจมตีน่ากลัวอย่างยิ่ง ดังนั้นสีไร้รูปร่างจึงได้กระจายออกไปอย่างรวดเร็วบนจุดจื้อจุนไห่กว้างใหญ่ไพศาล


เผชิญกับการโจมตีรุนแรงจากสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ แม้แต่เพลิงอมตะก็เริ่มพ่ายแพ้ทีละน้อย คลื่นหลิงสีม่วงจางหายไปอย่างต่อเนื่อง


พลังงานสองสายปะทะกันในจุดจื้อจุนไห่ พยายามลบล้างซึ่งกันและกัน แต่ในกระบวนการนี้ พลังงานทั้งสองก็ค่อยๆ รวมเข้ากับคลื่นหลิงไปด้วย เพราะที่นี่คือจุดจื้อจุนไห่ของมู่เฉิน หากพวกมันต้องการเอาชนะอีกฝ่ายก็ต้องอาศัยคลื่นหลิงที่นี่ ยิ่งพวกมันรวมตัวกับคลื่นหลิงมากเท่าใด ก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น เป็นฝ่ายเหนือกว่าได้ง่ายขึ้น


แล้วเหตุการณ์เช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่มู่เฉินต้องการเห็น


ตอนนี้เขาต้องรอให้สายฟ้าฤทัยปีศาจดำค่อยๆ รวมเข้ากับคลื่นหลิงของเขา มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นเขาถึงจะมีโอกาสลงมือและปรับสมดุลพลังงานทั้งสอง ทำให้สามารถควบคุมพวกมันได้


และแล้วการรอคอยก็ใช้เวลาไปสิบวันเต็ม


ระหว่างสิบวันนี้ สายฟ้าฤทัยปีศาจดำก็เติบโตขึ้นในเขตจุดจื้อจุนไห่อย่างต่อเนื่อง จนในวันสุดท้ายมันก็ได้กินพื้นที่จุดจื้อจุนไห่ไปครึ่งหนึ่ง สามารถต้านทานเพลิงอมตะได้อย่างแท้จริง


แต่เมื่อถึงจุดนี้ การขยายพื้นที่ของสายฟ้าฤทัยปีศาจดำก็ชะงักลง เพราะเพลิงอมตะก็ไม่ใช่ธรรมดา หลังจากต้านทานการโจมตีดุเดือดในตอนแรกของสายฟ้าฤทัยปีศาจ มันก็ตั้งหลักได้อย่างมั่นคง ไม่ให้อีกฝ่ายได้ก้าวเพิ่มมาอีกแม้แต่น้อย


ร่างดวงจิตของมู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้าก้มลงมองจุดจื้อจุนไห่ที่ตอนแรกอัดแน่นด้วยสีม่วง ทว่าตอนนี้แยกออกเป็นสองสี หนึ่งสีม่วงหนึ่งโปร่งใส สองสีที่ต่างกันสิ้นเชิงทำให้จุดจื้อจุนไห่ถูกแบ่งไปอย่างชัดเจน


บริเวณที่สีทั้งสองสัมผัสกันระเบิดออกอย่างดุเดือด เพลิงสีม่วงกับสายฟ้าไร้รูปร่างปะทะกันอย่างหนักหน่วง เสียงระเบิดดังเสียดหู


คลื่นเชี่ยวกรากต่างสีปะทะซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ทั่วทั้งจุดจื้อจุนไห่


มู่เฉินมองจุดจื้อจุนไห่ที่แยกส่วนอย่างชัดเจนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลังงานสองชนิดต่างครองพื้นที่จุดจื้อจุนไห่ไปอย่างละครึ่ง แต่ขณะเดียวกันคลื่นหลิงในร่างของเขาก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน หากเขาใช้คลื่นหลิงที่รวมตัวกับเพลิงอมตะ คลื่นหลิงที่รวมตัวกับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำก็จะไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา


เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ไม่เพียงพลังของเขาจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย กลับทำให้คลื่นหลิงของเขาอ่อนแอลงอีกด้วย


นอกจากนี้ด้วยความขัดแย้งระหว่างพลังทั้งสอง หากเขาไม่เข้าควบคุมพวกมันอาจทำให้หลุดการควบคุมไป ถึงตอนนั้นเขาก็จะได้รู้สึกถึงการถูกคลื่นหลิงสะท้อนกลับมาอย่างแท้จริง


แต่ถ้าเขารวมพลังทั้งสองนี้ไว้ด้วยกันในตอนนี้ มู่เฉินแน่ใจว่าผลลัพธ์ก็คือการล่มสลายของจุดจื้อจุนไห่ เนื่องจากเขายังไม่มีความสามารถที่จะทำในตอนนี้


“ในเมื่อยังไม่อาจรวมพวกมันเข้าด้วยกันในตอนนี้ งั้นก็ควบคุมแยกไปก่อนแล้วกัน”


ทว่ามู่เฉินก็ไม่ใช่คนที่ไร้ความสามารถ เขาคิดหาทางแก้ไขอย่างรวดเร็ว สายตาเขาเป็นประกายขณะพึมพำกับตัวเอง “แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องให้เพลิงอมตะกับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำยอมรับซึ่งกันและกัน”


เขาต้องทำให้พลังงานทั้งสองไม่โจมตีซึ่งกันและกันอีก ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องคอยระวังสถานการณ์ในร่างอยู่ตลอด


แต่เห็นชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เนื่องจากเพลิงอมตะกับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำไม่ได้อ่อนแอ ปกติถ้าพวกมันปะทะกัน ก็ย่อมสู้กันจนตายไปข้าง แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่ต่างจากการนำเสือสองตัวมาอยู่ในภูเขาเดียวกัน


“เสือสองตัวในภูเขาเดียวกันงั้นหรือ?”


แววตาของมู่เฉินวูบไหว ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เสือสองตัวจะอยู่ในที่เดียวกัน เขาเพียงแค่ต้องหาอะไรบางอย่างมาไว้ในภูเขาเพื่อช่วยกำราบเสือทั้งสองตัวให้สงบลง


แต่ตอนนี้เขาจะหาสิ่งที่ช่วยกำราบเสือสองตัวได้จากที่ไหนกันล่ะ?


แม้ว่าหน้ารายการนิรันดร์จะน่าสะพรึงกลัว แต่ชัดว่าไม่เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้ แล้วเขาควรใช้วิธีไหนกันล่ะ?


มู่เฉินยืนกลางอากาศขณะจมอยู่ในความภวังค์ความคิด สถานการณ์ตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดกลางคัน ถ้าเขาสามารถจัดการปัญหานี้ได้ เขาก็สามารถควบคุมคลื่นหลิงทรงพลังสองกลุ่มที่มีคุณลักษณะต่างกันได้ แต่ถ้าไม่สามารถแก้ไขได้ เขาก็ไม่กล้าสู้กับใครหน้าไหนเลย


ครืน!


ขณะที่มู่เฉินกำลังครุ่นคิด คลื่นหลิงกลุ่มใหญ่สองกลุ่มที่หลอมรวมกับเพลิงอมตะและสายฟ้าฤทัยปีศาจดำก็ยังคงสู้กันไม่หยุด กัดกร่อนคลื่นหลิงที่ได้มาจากการฝึกฝนอันยากลำบากของมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง


รูม่านตาของมู่เฉินสะท้อนเพลิงสีม่วงและสายฟ้าไร้รูปร่าง ครู่หนึ่งเขาก็หรี่ตาลง พูดถึงการกำราบ เขาลืมวัตถุนี้ไปสนิทเลย


รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็วาดตราประทับ เสียงกระหึ่มดังจากจุดจื้อจุนไห่ ขณะที่เจดีย์เก้าชั้นขนาดมหึมาค่อยๆ ปรากฏบนขอบฟ้า


เจดีย์เก้าชั้น


นี่เป็นวัตถุที่ถูกชำระด้วยการฝึกวิชามหาเจดีย์ และเป็นสิ่งเดียวที่มารดาของมู่เฉินทิ้งไว้ให้ มู่เฉินไม่สงสัยถึงพลังที่มันมีเลย ทว่าตอนนี้ตัวเขายังไม่สามารถดึงพลังที่มีทั้งหมดของมันออกมาได้


แต่คงไม่ใช่เรื่องยากในการปราบเสือสองตัวที่อยู่ในจุดจื้อจุนไห่ของเขาตอนนี้


มู่เฉินมองเจดีย์เก้าชั้นลึกลับสีดำตรงหน้าก็พลิกนิ้ว เจดีย์เก้าชั้นพุ่งหวือแล้วพลิ้วลงมา สร้างเงาขนาดใหญ่ทับเขตแดนระหว่างพลังงานหลิงทั้งสองชนิดอย่างหนักหน่วง


ชี่! ชี่!


เมื่อเจดีย์เก้าชั้นกดทับลงมา แสงสีดำก็ระเบิดตามแนวเขตแดน ไม่กี่อึดใจคลื่นหลิงทั้งสองกลุ่มก็ถูกแยกจากกัน


แสงสีดำราวกับแยกคลื่นหลิงที่ขัดแย้งกันทั้งสองกลุ่มออก คลื่นเชี่ยวกรากตรงเขตแดนก็ค่อยๆ สงบลง


ความรุนแรงถูกสยบได้ด้วยเจดีย์เก้าชั้น!


มู่เฉินมองภาพนี้ด้วยแววตาปีติ เขาไม่คิดว่าความสามารถในการปราบปรามของเจดีย์เก้าชั้นจะทรงพลังเพียงนี้ จนถึงจุดที่ว่าสามารถแก้ปัญหาใหญ่ของเขาได้อย่างง่ายดาย


เจดีย์เก้าชั้นตั้งตระหง่านเงียบๆ บนพื้นผิวจุดจื้อจุนไห่กว้างใหญ่ แสงสีดำที่แผ่ออกไปขวางกั้นคลื่นหลิงทั้งสองกลุ่มกลายเป็นเส้นกั้น


ในอนาคตเมื่อมู่เฉินฝึกฝน เขาก็เพียงเทคลื่นหลิงที่ชำระลงไปในเจดีย์เก้าชั้น มันก็จะแบ่งคลื่นหลิงออกเป็นสองกลุ่มได้เองโดยทันที ให้พวกมันคงสมดุลเอาไว้


มู่เฉินรู้สึกโล่งใจอย่างมาก การหลอมรวมสายฟ้าฤทัยปีศาจดำในครั้งนี้สำเร็จได้ดีเหนือความคาดหมาย ทว่าเขาเข้าใจดีนี่เป็นเพราะเจดีย์เก้าชั้นล้วนๆ ถ้าเขาต้องการประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด


ร่างดวงจิตของมู่เฉินมองจุดจื้อจุนไห่ที่สงบลงด้วยรอยยิ้มพึงใจก่อนจะค่อยๆ จางหายไป ทิ้งไว้เพียงจุดจื้อจุนไห่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง


 


ลึกลงไปในทะเลสายฟ้าสีดำเมื่อม


จิ่วโยวนั่งนิ่งไม่ไกลจากมู่เฉิน ดวงตาหงส์เหลือบมองมู่เฉินเป็นระยะด้วยความห่วงและร้อนใจฉายในส่วนลึกของนัยน์ตา


มู่เฉินคงอยู่ในสภาพนี้ตลอดระยะเวลาสิบกว่าวัน แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะสิ้นสุด


สายฟ้าฤทัยปีศาจดำที่เคยปกคลุมร่างของมู่เฉินก็หายไปแล้ว จริงๆ ก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เข้าไปในร่างกายของมู่เฉิน


แม้ภายนอกเขาจะดูสงบ แต่จิ่วโยวรู้ว่าจุดจื้อจุนไห่ของเขาจะต้องปั่นป่วนมากแน่ แต่นางก็ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเรื่องนี้กับมู่เฉินได้ เขาต้องจัดการด้วยตัวเอง


จิ่วโยวกำหมัดแน่นขณะที่กัดริมฝีปากสีแดง เตือนตัวเองว่าอย่าพึ่งร้อนใจ แต่ครั้งนี้นางทำได้เพียงนั่งลงอยู่ครึ่งวันก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนอย่างอดรนทนไม่ไหว


ทว่าจังหวะที่นางลุกขึ้น นางก็เห็นว่าดวงตาของมู่เฉินที่ปิดมาตลอดสิบกว่าวันสั่นไหวแล้วเปิดขึ้นทีละน้อย…ละน้อย


ความยินดีปรีดาฉายบนใบหน้าของจิ่วโยว นางรีบพุ่งเข้าไปหาถามอย่างเป็นห่วง “เป็นยังไงบ้าง?”


ตอนนี้ท่าทางของมู่เฉิน ทำให้มองไม่ออกว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้มให้จิ่วโยว รอยยิ้มดูสงบและมั่นใจ จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นเหยียดมือออกก่อนจะกำขึ้นในทันที


ชี่!


เมื่อมู่เฉินกำหมัด คลื่นหลิงแฝงเพลิงสีม่วงก็ลุกโชนบนมือด้านขวา ส่วนบนมือซ้ายเป็นคลื่นหลิงโปร่งใสแต่ลึกลงไปราวกับมีเสียงสายฟ้าคำรามดังออกมาเงียบๆ


เพลิงอมตะเบื้องขวา ฤทัยปีศาจเบื้องซ้าย!


คลื่นหลิงต่างกันสองชนิดไหลเวียนบนมือของมู่เฉิน ภาพนี้ทำให้แม้แต่คนอย่างจิ่วโยวก็ยังมีแววตาเจิดจ้าอย่างไม่เคยเป็น


เจ้านี่ชักสุดยอดขึ้นจริงๆ


734 ฝึกกองทัพวิหคโลกันตร์

เพลิงสีม่วงกับสายฟ้าไร้รูปร่างพวยพุ่งบนมือแต่ละข้างของมู่เฉิน


รูม่านตาสีดำของเขาก็สะท้อนสองสีที่ต่างกัน ลึกลงไปในนัยน์ตามีแววปีติที่ไม่สามารถปกปิดได้


เขาสามารถหลอมรวมเข้ากับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำได้แล้ว!


จิ่วโยวก็อุทานด้วยความชื่นชมกับภาพตรงหน้าพลางส่งยิ้มให้มู่เฉิน “ยินดีด้วย ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทำสำเร็จจริงๆ”


ตอนแรกนางคิดแค่ว่าลองทำดูสักนิดก่อน เนื่องจากนางรู้ดีว่านี่เป็นงานยากลำบากเพียงใดในการที่คลื่นหลิงแตกต่างกันสองชนิดจะอยู่ร่วมกันในจุดจื้อจุนไห่ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายกลับเป็นที่น่าพอใจจนไม่คิดฝัน นับตั้งแต่นางรู้จักชายหนุ่มคนนี้ เขาก็ประสบความสำเร็จหลายๆ อย่างที่ทำให้คนอื่นต้องเปลี่ยนมุมมองในตัวเขา


“โชคดีน่ะ” มู่เฉินยิ้มไม่ได้โกหก ถ้าไม่ใช่เพราะเจดีย์เก้าชั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดถึงจะสามารถสยบคลื่นหลิงรุนแรงทั้งสองกลุ่มได้สำเร็จ


“แต่ตอนนี้เจ้าก็ยังไม่สามารถรวมพลังทั้งสองเข้าด้วยกันได้อย่างแท้จริงสินะ” สายตาของจิ่วโยวแหลมคมมากกว่ามู่เฉิน เพียงเหลือบมองวูบเดียวนางก็รู้ว่าคลื่นหลิงทั้งสองกลุ่มยังไม่ลงรอยกัน เนื่องจากพวกมันยังไม่ได้หลอมรวมถึงระดับสมบูรณ์แบบ


มู่เฉินพยักหน้าอย่างจนใจ เขารู้อยู่แล้วว่าถ้าคลื่นหลิงทั้งสองสายสามารถรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบ พลังย่อมขึ้นไปถึงระดับใหม่ทั้งหมด แต่เป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับขุมพลังของเขาในตอนนี้


“ไม่ต้องไปกังวล นี่ก็ดีถมถืดสำหรับเจ้าแล้ว” จิ่วโยวยิ้มบาง


เหตุผลที่เฉินอยากหลอมรวมสายฟ้าฤทัยปีศาจดำก็เพื่อการฝึกฝนวิชาเก้ามังกรคชสารให้อยู่ในระดับสมบูรณ์แบบ ตอนนี้เขามีพลังสองชนิดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันแล้ว เขาจะสามารถดึงวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเกือบเต็มนี้ออกมาได้ในอนาคต


มู่เฉินพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของนาง ที่จิ่วโยวพูดมาไม่ผิดเลย นี่เป็นโชคดีสำหรับเขาที่หลอมรวมเข้ากับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำได้ ไม่จำเป็นที่เขาต้องละโมบมากเกินไป เขาเชื่อว่าเมื่อขุมพลังของเขาเติบโตขึ้น ก็ต้องมีสักวันที่เขาสามารถรวมคลื่นหลิงทั้งสองสายได้อย่างง่ายดาย


“แต่ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะฝึกมันแล้ว” นิ้วเรียวของจิ่วโยวชี้ไปที่ป้ายหินแตกร้าวที่ลอยอยู่ด้วยแววตาอิจฉาวูบไหว


นางเคยได้ยินชื่ออันยิ่งใหญ่ของคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวมานานแล้ว เมื่อนางได้เห็นกับตาก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่ถูกล่อใจ ทว่าแม้จะล่อใจ นางก็รู้ตัวว่าไม่เข้ากันกับมัน เพราะนางกับมู่เฉินไม่เหมือนกัน เพลิงอมตะเกิดจากสายเลือดของนาง ถ้านางหลอมรวมกับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำเหมือนกับที่มู่เฉินทำละก็ ผลลัพธ์คือร่างนางจะระเบิดออกแน่นอน


นางแค่รู้สึกอิจฉาแต่ไม่ได้กระหายอยาก เพราะนางรู้ว่าหากสามารถฝึกฝนเพลิงอมตะจนถึงขีดสุดได้แล้ว พลังอำนาจก็จะไม่ด้อยไปกว่าคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวเลย


สายตาของมู่เฉินเลื่อนไปยังป้ายหินแตกร้าว ประกายแสงวูบไหวในดวงตา เห็นชัดว่าเขาสนใจอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ได้รีบทำความเข้าใจ กลับเขาหันไปหาจิ่วโยวถามว่า “ข้าฝึกไปนานเท่าไรเหรอ?”


“น่าจะประมาณครึ่งเดือนตั้งแต่เราลงมาที่นี่แล้ว” จิ่วโยวบอกหลังจากลองคำนวณเวลา


“เราไม่โผล่ออกไปตั้งครึ่งเดือน จะไม่มีปัญหาอะไรระหว่างสงครามสำนักงั้นหรือ?” มู่เฉินเอ่ยถาม


“วางใจเถอะ อย่าดูถูกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไป แม้แดนร้อยสงครามจะแข็งแกร่ง แต่ก็อ่อนแอกว่าสำนักเราอยู่ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้เราก็ยึดสำนักสายฟ้าปีศาจได้ นับเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่ง ดังนั้นการพักผ่อนชั่วคราวจึงเป็นเรื่องปกติ” จิ่วโยวเอ่ย


มู่เฉินพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาสะบัดแขนเสื้อเก็บป้ายหินแตกร้าวไว้ “ไปกันเถอะ ออกจากที่นี่ไปตรวจการฝึกของหน่วยรบกัน”


ครึ่งเดือนก่อนเขามอบวิชากายาเทพสายฟ้าให้กับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีนักรบกี่คนที่สามารถฝึกฝนได้ในสถานที่ที่เหมาะสมแห่งนี้


เมื่อพูดจบ ร่างเขาก็เคลื่อนเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งผ่านสายฟ้าดำมืดออกไป


จ้องมองร่างของเขา จิ่วโยวก็ยิ้มออกมา แต่ขณะที่กำลังจะตามไป นางก็ขมวดคิ้วหันหน้ามามองห้วงลึกของทะเลสายฟ้าดำมืดด้วยริ้วความสงสัยในดวงตา ก่อนหน้านางเหมือนจะรู้สึกถึงคลื่นพลังประหลาดแผ่วๆ ไหลออกมาจากจุดนั้น


แต่ความผันผวนนั้นเล็กน้อยมาก จนถึงจุดที่ว่าแม้แต่จิ่วโยวก็สัมผัสได้เลือนรางเต็มทน เมื่อนางพยายามสัมผัสอีกครั้ง ก็มีแต่ความเงียบงัน นางจึงทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างสงสัยและตามมู่เฉินไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อทั้งสองจากไป ห้วงลึกทะเลสสายฟ้าก็ปกคลุมด้วยความมืดมิดอีกครั้ง เว้นแต่ว่าในห้วงลึกนั้นเหมือนจะมีความผันผวนบางอย่างอยู่


 


มู่เฉินและจิ่วโยวเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด


หลังจากนั้นครึ่งวัน ทะเลสายฟ้าในจุดลึกของหุบเหวเหลยหมัวก็ฉีกออก ร่างแสงของทั้งสองพุ่งขึ้นไป ราวกับลำแสงออกจากหุบเหวเหลยหมัว


ครืน!


ไม่นานหลังจากที่พวกเขาออกจากทะเลสายฟ้า เสียงสายฟ้าดังกึกก้องก็ได้ยินไม่ไกลจากจุดเหนือพวกเขา บนผนังหุบเหวสายฟ้าโลกปีศาจที่ราวกับอสรพิษกำลังระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง


บริเวณที่สายฟ้าโลกปีศาจโจมตีอย่างบ้าคลั่ง มีร่างนักรบพันคนนั่งอยู่เงียบๆ พวกเขาดูราวกับศิลาปล่อยให้สายฟ้าโลกปีศาจซัดใส่ร่าง แม้ว่าบางคนจะมีผิวไหม้ดำเนื่องจากการกระทำนี้ แต่พวกเขาก็กัดฟันแน่นพยายามอดทนอย่างที่สุดต่อการกัดกร่อนของสายฟ้าโลกปีศาจ


พวกเขาก็คือหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่กำลังฝึกวิชากายาเทพสายฟ้าอยู่


มู่เฉินกับจิ่วโยวยืนบนอากาศมองภาพน่าตื่นตา ความพึงพอใจฉายในดวงตาทั้งสอง ด้วยสายตาของพวกเขา ก็บอกได้ว่าเกือบครึ่งหนึ่งของกองทัพวิหคโลกันตร์ประสบความสำเร็จในการฝึกวิชากายาเทพสายฟ้าแล้ว


แน่นอนว่าที่เรียกว่าฝึกสำเร็จก็คือการที่พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างกายาสายฟ้าหนึ่งโคจร มิหนำซ้ำจอมยุทธ์ส่วนน้อยอย่างพวกชิวซันที่มีขุมพลังจื้อจุนก็ประสบความสำเร็จรวดเร็วมาก ลวดลายสายฟ้าบนหน้าอกถึงระดับสามโคจรแล้ว


เมื่อจิ่วโยวกับมู่เฉินปรากฏตัว คนที่มีพลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างพวกชิวซันก็รับรู้ถึงการมาถึง พวกเขาเบิกตาโพลง จากนั้นก็เตรียมยืนขึ้นทำความเคารพ แต่จิ่วโยวโบกมือห้ามไว้ก่อน


“พวกเจ้าฝึกกันไปได้ถึงไหนแล้ว?” มู่เฉินถาม


“เรียนท่านแม่ทัพ ห้าร้อยสิบสามคนมีลวดลายสายฟ้าหนึ่งโคจร เก้าสิบแปดคนมีลวดลายสายฟ้าสองโคจร ส่วนคนที่ได้ลวดลายสายฟ้าสามโคจรก็มีพวกข้าสามคนขอรับ” ชิวซันรายงานทันที


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขารู้สึกพอใจกับความเร็วเท่านี้ ตอนนี้พลังของกองทัพวิหคโลกันตร์แข็งแกร่งกว่าตอนที่มู่เฉินเริ่มฝึกวิชากายาเทพสายฟ้า บวกกับการช่วยเหลือของสายฟ้าโลกปีศาจ ความเร็วนี้นับว่าอยู่ในความคาดหมายของมู่เฉิน


ด้วยความเร็วระดับนี้ คงใช้เวลาไม่ถึงปีสำหรับนักรบวิหคโลกันตร์ที่จะสร้างลวดลายสายฟ้าเก้าโคจร ถึงตอนนี้พลังการต่อสู้ของพวกเขาจะต้องสร้างความประหลาดใจให้กับผู้อื่นแน่นอน


แต่สงครามสำนักยังไม่สิ้นสุด มู่เฉินรู้สึกได้ว่าจะมีการต่อสู้ดุเดือดเกิดขึ้นอีก ดังนั้นเขาต้องการให้นักรบวิหคโลกันตร์ทุกคนสร้างลวดลายสายฟ้าหนึ่งโคจรให้ได้ในที่แห่งนี้


“เรายังพักได้อีกครึ่งเดือน” เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของมู่เฉิน จิ่วโยวก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยขึ้น


“ข้าจะอยู่ที่นี่ทั้งครึ่งเดือน” มู่เฉินตัดสินใจรวดเร็ว


“อืม งั้นข้าจะไปอยู่ที่สำนักสายฟ้าปีศาจ กลัวว่าจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นถ้าพวกเราไม่อยู่นาน” จิ่วโยวยิ้มบาง ทรัพยากรของสำนักสายฟ้าปีศาจนับว่ามั่งคั่ง จึงดึงดูดความสนใจของคนอื่นได้ง่าย แค่ถังปิงคนเดียวคงเอาไม่อยู่ ดังนั้นนางไม่สามารถปลีกตัวได้ตลอดเวลา


มู่เฉินพยักหน้า เห็นการตอบสนองนี้ จิ่วโยวก็ไม่อ้อยอิ่ง ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานออกจากหุบเหวเหลยหมัวไป


พอเห็นจิ่วโยวไปแล้ว มู่เฉินก็หันหน้ามาพลางนั่งลงบนอากาศ สายตาของเขากวาดมองขณะที่เสียงลึกต่ำดังก้องในโสตประสาทของนักรบวิหคโลกันตร์ทุกคน “ไม่มีทางลัดใดในการชำระร่างกาย ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะแข็งแกร่งมากขึ้น ก็ต้องยอมทนรับความลำบาก ข้าจะเร้าสายฟ้าโลกปีศาจมาโจมตี พวกเจ้าจะทนกันไหวไหม?”


“ไหว!” เสียงตะโกนดังขึ้นจากนักรบวิหคโลกันตร์ทุกคน สีหน้าแต่ละคนฉายแววมุ่งมั่น


มู่เฉินรู้สึกปลื้มใจพลางยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำตอบ จากนั้นใบหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังพลางกำหมัด คลื่นหลิงที่รวมเข้ากับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำไหลออกมา เมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงก็ระเบิดออกจากทุกทิศทางและปกคลุมทั่วบริเวณนี้


ครืน!


คลื่นหลิงไร้รูปร่างกวาดออก สายฟ้าโลกปีศาจที่ซ่อนอยู่ในผนังก็ถูกไล่ออกมา สายฟ้าที่รุนแรงในตอนแรกกลับสั่นสะไหวไปหมดในตอนนี้ พวกมันไม่กล้าสัมผัสกับคลื่นหลิงของมู่เฉินเลย


สายฟ้าฤทัยปีศาจดำเป็นสายฟ้าชั้นสูงกว่าสายฟ้าโลกปีศาจ ดังนั้นจึงทำให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นเป็นปกติ


ครืน!


นักรบวิหคโลกันตร์ดวงตาถึงกับฉายแววตกตะลึงเมื่อเห็นภาพนี้ สายฟ้าโลกปีศาจที่ดูราวกับพยัคฆ์ร้ายสำหรับพวกเขากลับมีท่าทางราวกับลูกหมูลูกแกะในมือของมู่เฉิน ปล่อยให้มู่เฉินชักนำพวกมันได้ตามใจปรารถนา


ทว่าหลังจากที่พวกเขาอยู่ในอาการตกตะลึงได้ไม่นาน ใบหน้าก็เริ่มบิดเบี้ยว สายฟ้าสีดำกวาดออกมาอย่างรุนแรงจากทุกทิศทาง เกือบบดบังทัศนีย์ภาพทั้งหมด ไหลบ่าลงมาราวกับกระแสน้ำ พุ่งตรงมาหาพวกเขาโดยไม่หยุดยั้งแม้แต่น้อย


สายฟ้าสีดำแผ่ออกปกคลุมหน่วยรบวิหคโลกันตร์จนมิด


มู่เฉินยิ้มบางกับภาพนี้ ในการชำระกายไม่มีทางลัดใดๆ มีเพียงหนทางเดียวคือขมขื่นและเจ็บปวด เขาเคยผ่านมาแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีเดียวที่หน่วยรบวิหคโลกันตร์จะได้รับ


อีกครึ่งเดือนต่อจากนี้ เขาต้องการให้นักรบวิหคโลกันตร์ฝึกวิชากายาเทพสายฟ้าสำเร็จทุกคน มีเพียงวิธีนี้ถึงจะทำให้รัศมีจั้นยี่แข็งแกร่งขึ้น


มู่เฉินระบายลมหายใจขาวขุ่นออกมาขณะจ้องมองสายฟ้าป่าเถื่อน เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ เรียกป้ายหินแตกร้าวออกมาตรงหน้า ช่วงเวลาที่กองทัพวิหคโลกันตร์กำลังฝึกฝนวิชากายาเทพสายฟ้า เขาก็จะพยายามทำความเข้าใจเพื่อดูว่าคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวจะทรงพลังมากแค่ไหน…


735 เมล็ดฤทัยปีศาจ

 


เวลาล่วงเลยไป


ภายในหุบเหวเหลยหมัวที่เต็มไปด้วยเสียงฟ้าคำรามเกรี้ยวกราด


ครืน!


ที่ด้านในหุบเหว เสียงคำรามของฟ้าร้องโหมกระหน่ำแทบไม่เคยหยุดหย่อน ร่างคนพันคนกำลังนั่งอยู่กลางอากาศพร้อมกับอสรพิษสายฟ้าสีดำเลื้อยพัวพันไปมา


เงาเหล่านั้นราวกับก้อนศิลานิ่งไม่ไหวติง ปล่อยให้สายฟ้าโลกปีศาจซัดร่าง


ทุกคนวาดกระบวนท่าเดียวกัน ใยสายฟ้าสีดำก็แทรกเข้าไปในร่างผ่านรูขุมขนอย่างเงียบๆ ชำระเนื้อและกระดูก


ห่างจากพวกเขาออกไปหลายร้อยเมตร มู่เฉินก็นั่งนิ่งอยู่กลางอากาศ ทว่าขณะนี้ดวงตาเขาได้ปิดสนิทพลางยื่นมือออกไป ป้ายหินแตกร้าวที่มีขนาดเล็กลงวางอยู่บนฝ่ามือเขาเงียบๆ


แพขนตาของเขาขยับไหวในตอนนี้ จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาที่ปิดสนิทขึ้น เขาสับสนไปเล็กน้อยขณะจ้องมองป้ายหินบนฝ่ามือ ดวงตาเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ


ในช่วงเวลาที่เขาช่วยชำระร่างให้กับนักรบวิหคโลกันตร์ เขาก็ใช้เวลาที่เหลือกับคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวที่บันทึกไว้บนป้ายหินแตกร้าว


หลังจากผ่านไปหลายวัน เขาก็มีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับคัมภีร์หวูซั่งซินหมัว อย่างที่จิ่วโยวบอกไว้ คัมภีร์หวูซั่งซินหมัวที่จารึกอยู่บนป้ายหินนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์


นอกจากนี้สภาวะฤทัยปีศาจที่จิ่วโยวกล่าวไว้ก็มีอยู่จริง แต่สภาวะนี้แยกออกเป็นสามระยะคือ ต้น-ปลาย-เต็ม


ตามที่จิ่วโยวบอกไว้ ประมุขตำหนักเทพสายฟ้าคงฝึกฝนสภาวะฤทัยปีศาจในคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวจนถึงสภาวะฤทัยปีศาจขั้นเต็มแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตัวจริงด้วยขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้หรอก


แต่ตอนนี้คัมภีร์หวูซั่งซินหมัวชำรุดเสียหาย ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะสามารถฝึกได้ถึงขีดสุด ก็คงอยู่ในขั้นสภาวะฤทัยปีศาจขั้นปลายเท่านั้น หากเขาต้องการฝึกจนถึงขั้นเต็ม ก็คงต้องมีคัมภีร์หวูซั่งซินหมัวสภาพสมบูรณ์แบบ


แต่ด้วยขุมพลังปัจจุบัน ต่อให้เขาได้คัมภีร์หวูซั่งซินหมัวสมบูรณ์แบบมา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฝึกสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เศร้าเสียใจอะไร


เพราะแค่สองขั้นนี้ก็ทำให้เขาต้องขบฟันฝึกฝนอย่างขมขื่นแล้ว


“ช่างเป็นวิชาที่นอกรีตมาก…”


มู่เฉินกำลังทำความเข้าใจกับข้อมูลเบื้องต้นในใจ สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจยาวพร้อมกับสีหน้าที่ดูพิลึกกึกกือไป เนื่องจากตามสิ่งที่เขาเข้าใจ เขารู้ว่าวิธีการฝึกสภาวะฤทัยปีศาจมันโหดเหี้ยมเพียงใด


หากต้องการฝึกฝนสภาวะฤทัยปีศาจ อันดับแรกจะต้องสร้างเมล็ดฤทัยปีศาจขึ้นก่อน ส่วนเมล็ดฤทัยปีศาจนี้ก็ต้องให้สายฟ้าฤทัยปีศาจดำกระหน่ำหัวใจหลายครั้งเพื่อปล่อยให้พลังของสายฟ้าฤทัยปีศาจดำซึมเข้าไปในหัวใจ จนสุดท้ายก่อตัวขึ้นทีละน้อยจนกลายเป็นเมล็ดฤทัยปีศาจในส่วนลึกของหัวใจ


ในสายตาของผู้คนใหญ่ การฝึกแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย เพราะไม่ว่าจะฝึกฝนมาอย่างดีขนาดไหน หัวใจก็เป็นอวัยวะที่เปราะบางที่สุดในร่างกายมนุษย์ อาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจะส่งผลให้กลายเป็นอาการบาดเจ็บสาหัส หรือแม้กระทั่งจบชีวิตลง ดังนั้นใครจะกล้าใช้สิ่งทรงพลังอย่างสายฟ้าฤทัยปีศาจดำซัดที่หัวใจของตัวเองกันเล่า?


ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมา หัวใจอาจระเบิดจากเสียงสายฟ้าคำรามเพียงครั้งเดียวก็ได้


วิธีการฝึกฝนเช่นนี้ ต่อให้คนอื่นๆ ได้คัมภีร์หวูซั่งซินหมัวนี้ไป ก็คงไม่กล้าฝึกฝนกันง่ายๆ หรอก


มู่เฉินกำป้ายหินอดเบะปากไม่ได้ แววลังเลวูบไหวในดวงตาเช่นกัน แต่ก็คงอยู่ครู่เดียวก่อนที่จะหายวับไปด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่


เขาสัญญากับหญิงสาวคนรักไว้แล้วว่าเขาจะเป็นยอดยุทธ์ให้จงได้ ในโลกนี้มีอัจฉริยชนมากมายเหลือคณนา เขาเองก็รู้ว่าไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ หากพึ่งพาแต่สิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว


ยอดยุทธ์ที่แท้จริงจะต้องไร้ความขลาดกลัว


ดังนั้นเขาต้องไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น!


รอยยิ้มกระจ่างใสเผยบนใบหน้าของมู่เฉิน จากนั้นดวงตาก็ฉายแววคมกริบขณะที่หลับตาลงทีละน้อย เมื่อจิตสั่งการ คลื่นหลิงที่รวมอยู่กับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำก็เริ่มหมุนวน กลายเป็นกระแสธารพุ่งออกมา ซัดเข้าที่หัวใจอย่างรวดเร็ว


เปรี้ยง!


เสียงคำรามแหลมราวกับเสียงร้องโหยหวนของภูตผีดังจากในหัวใจอย่างรวดเร็ว เสียงดังสะท้อนก้องในร่าง ทำให้องคาพยพทั้งห้าอวัยวะทั้งหกถึงกับโยกคลอน แม้แต่การไหลเวียนของกระแสโลหิตยังถูกขัดขวาง


อ็อก!


เลือดคำหนึ่งพุ่งออกจากปากของมู่เฉินพร้อมกับใบหน้าที่ซีดขาวลงในทันที เส้นเลือดเต้นยุบยับบนใบหน้า ทำให้เขาดูพิลึกกึกกือไปนัก เขาสูดหายใจลึกสุดปอดสองครั้ง กุมหน้าอกอดทนต่อความเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจ


เสียงฟ้าคำรามนั่นเหมือนต้องการจะฉีกหัวใจของเขาออกจากกันเลย


“นรกโปรด” ความเจ็บปวดสาหัสทำให้มู่เฉินอดสบถออกมาไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีคำว่าปีศาจอยู่ในคัมภีร์หวูซั่งซินหมัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอวิธีการฝึกที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและต้องทำร้ายตัวเองเช่นนี้


ฮา


เขาอ้าปากหายใจอยู่นาน ในที่สุดร่างกายก็ค่อยๆ สงบลง จากนั้นเขาก็ขบฟันควบคุมสายฟ้าฤทัยปีศาจดำให้ซัดหัวใจตนเองอีกรอบ


อ็อก…


อ็อก…


ภายในหุบเหวเหลยหมัวมืดมิด ร่างของชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่เขากลับดูเหมือนจะมีความสุขไปด้วย ภาพประหลาดนี้ทำให้นักรบวิหคโลกันตร์ที่เหลือบมาเห็นต้องเบิกตากว้างอ้าปากค้างเลยทีเดียว ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา รีบหลับตาลงฝึกฝนต่อ


ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้เสียงฟ้าคำรามและเลือดสดที่พ่นออกมาจากปากคำแล้วคำเล่า


โดยไม่รู้ตัวหนึ่งเดือนก็ผ่านไปนับตั้งแต่ที่มู่เฉินกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ฝึกวรยุทธอยู่ในหุบเหวเหลยหมัว ในช่วงเดือนนี้สงครามสำนักที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นฝ่ายเปิดศึกก็เข้มข้นมากขึ้น


อาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นขั้วอำนาจชั้นยอดในทวีปเทียนหลัวภูมิภาคทางเหนือ เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าแดนร้อยสงคราม ดังนั้นเมื่อสงครามเริ่มต้น แดนร้อยสงครามจึงตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทีละส่วน…ละส่วนอย่างที่คิดไว้ แม้พวกเขาจะโต้กลับเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ได้


ทว่าแดนร้อยสงครามก็ไม่ได้อ่อนแอ ขณะที่พวกเขาถอยร่นอย่างต่อเนื่อง กองทัพที่มารวมตัวกันก็แข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นการโจมตีจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เริ่มชะลอความเร็วลง ไม่อาจบดขยี้แดนร้อยสงครามได้เหมือนในช่วงเริ่มต้นของสงคราม


เผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เริ่มเรียกรวมกำลังพล ไม่แยกกันโจมตีอีก เพราะบรรดาจอมยุทธ์ชั้นสูงแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์เข้าใจดีว่ากองทัพหลักของแดนร้อยสงครามก็คือหุบเขาหมื่นศาสตรา สำนักศพปีศาจและพิลาลสสวรรค์


นับตั้งแต่สงครามเริ่มต้น สามกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนร้อยสงครามกลับยังไม่ได้ลงมือโจมตีแต่อย่างใด มีแต่ต้องเอาชนะพวกเขาให้ได้เท่านั้น แดนร้อยสงครามถึงจะพ่ายแพ้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด


ดังนั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงเริ่มรวมกองกำลังพลทั้งหมด เพื่อเตรียมโจมตีกองทัพทั้งสามและจบสงครามนี้ ประกาศชื่อเสียงให้เลื่องลื่อไปไกลมากกว่าเดิม


เผชิญกับการรุกรานเต็มรูปแบบจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หุบเขาหมื่นศาสตรา สำนักศพปีศาจและ พิลาลสสวรรค์ก็รวมกำลังพลเตรียมพร้อมโจมตีอาณาเขตกงเวทสวรรค์แบบแตกหักกันเลยทีเดียว


สายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงมาที่ภูมิภาคทางหนือ เพราะทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์และแดนร้อยสงครามนับว่าเป็นยักษ์ใหญ่ของภูมิภาคแห่งนี้ ดังนั้นผลลัพธ์ของสงครามครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยต่อภูมิภาคทางเหนืออย่างแน่นอน


ดังนั้นก่อนที่สงครามจะเริ่มเต็มรูปแบบ ก็ได้สร้างความปั่นป่วนและดึงดูดสายตาผู้คนมากมายแล้ว


ขณะที่โลกภายนอกปั่นป่วนในสงครามใหญ่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น มู่เฉินยังคงนั่งเงียบๆ อยู่ในหุบเหวเหลยหมัว ร่างกายของเขาจะสั่นระริกเป็นครั้งคราวพร้อมกับใบหน้าหล่อเหลากระตุก


นี่เป็นเพราะสายฟ้าฤทัยปีศาจดำกำลังซัดหัวใจของเขาอยู่


แต่ตอนนี้ชัดว่าสถานการณ์ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนที่เขากระอักออกมาทุกครั้งที่โดนโจมตี ดูท่าเขาจะค่อยๆ คุ้นชินไปกับมันแล้ว


ร่างมู่เฉินสั่นไหวครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆ เปิดตาขึ้น เขาระบายลมหายใจเบาบางออกจากปากพลางนวดหน้าผากอย่างอ่อนแรง


ช่วงนี้เขาทนทุกข์ทรมานหนักเลยทีเดียว


คัมภีร์หวูซั่งซินหมัวบ้าบอไม่ใช่สิ่งที่สร้างมาเพื่อมนุษย์จริงๆ


แต่โชคดีที่มีผลลัพธ์บางอย่างจากการทนทรมานยากเย็นทั้งหมดนี้ แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถสร้างเมล็ดฤทัยปีศาจได้ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามีพลังงานของสายฟ้าฤทัยปีศาจดำรวมตัวกันอยู่ในหัวใจแล้ว ตราบใดที่เขาฝึกแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็น่าจะสร้างเมล็ดฤทัยปีศาจขึ้นมาได้


มู่เฉินลูบหน้าอกเบาๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่อยู่ไม่ไกลไปนัก เขาเลิกคิ้วขึ้นทันที เนื่องจากพบว่ามีลวดลายสายฟ้าจางๆ บนหน้าอกของนักรบวิหคโลกันตร์ทุกคน


บางคนมีมากบางคนมีน้อย ส่วนกลุ่มชิวซันที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพก็มีสัญญาณว่าลวดลายสายฟ้าสี่โคจรกำลังก่อตัว รวดเร็วดีจริงๆ


แต่มู่เฉินก็รู้ว่าความเร็วในการฝึกวิชากายาเทพสายฟ้าของกลุ่มชิวซันต่อไปจะเริ่มชะลอลง หากต้องการฝึกให้ถึงสายฟ้าเก้าโคจร พวกเขาคงยังมีเส้นทางเดินอีกไกล


แต่ตอนนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว


มู่เฉินยืนขึ้นพลางสะบัดแขนเสื้อ สายฟ้าโลกปีศาจที่ซัดร่างนักรบวิหคโลกันตร์ก็กระจายหายกลับเข้าไปในผนังหินอย่างรวดเร็ว


นักรบวิหคโลกันตร์ลืมตาขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มีสายฟ้าสีดำวูบไหวอยู่ในดวงตาแต่ละคน


“ยินดีด้วย” มู่เฉินยิ้มบาง “พวกเจ้าฝึกวิชากายาเทพสายฟ้าสำเร็จแล้ว”


วาบ!


นักรบวิหคโลกันตร์ทุกคนคุกเข่าข้างหนึ่งลงให้มู่เฉิน เสียงตอบรับพร้อมเพรียงกันทำให้แม้กระทั่งเสียงฟ้าร้องที่ดังสะท้อนในหุบเหวเหลยหมัวยังชะงักไป


“ขอบพระขอบคุณท่านแม่ทัพ!”


มู่เฉินโบกมือ เขารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในรัศมีโดยรวมของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ เขาภูมิใจมากที่ความพยายามของเขาไม่สูญเปล่า


“ถึงเวลาที่พวกเราต้องออกไปแล้ว” มู่เฉินพึมพำและเงยหน้าขึ้น


ทันทีที่สิ้นเสียงพึมพำนั้นเอง เสียงของจิ่วโยวก็ดังก้องในโสตประสาทของพวกเขา


“เตรียมเคลื่อนพล สงครามครั้งสุดท้ายระหว่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์กับแดนร้อยสงครามกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”


736 นักรบกระบี่สามพันคน

ในโถงใหญ่สำนักสายฟ้าปีศาจ


“ตอนนี้สำนักเรายึดครองแดนร้อยสงครามได้เกือบครึ่งหนึ่งแล้ว”


ภายในโถงหน้าจอแสงเปิดออกโดยมีนิ้วเรียวของจิ่วโยวชี้ไปยังแผนที่ของแดนร้อยสงคราม เกือบครึ่งหนึ่งของเมืองที่เคยเป็นของแดนร้อยสงครามถูกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยึดครองไว้ สามารถจินตนาการได้ว่าสงครามที่เกิดขึ้นในเดือนที่ผ่านมาดุเดือดเพียงใด


มู่เฉินมองแผนที่ก็รู้สึกเหมือนจะได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่แผ่ออกมา การยึดเมืองต่างต้องผ่านเหตุการณ์นองเลือด สงครามช่างโหดร้ายทารุณนัก


ที่นี่ไม่ใช่สำนักศึกษาเป่ยชางอีกต่อไป


“แต่สงครามครั้งนี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น” จิ่วโยวเอ่ยเสียงราบเรียบ


มู่เฉิน ถังปิงและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ของหอวิหคโลกันตร์ก็พยักหน้าแข็งขัน พวกเขารู้ว่าเดือนที่ผ่านมา ขั้วอำนาจชั้นยอดทั้งสามของแดนร้อยสงครามยังไม่ลงมือใดๆ ไม่อย่างนั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์คงไม่สามารถยึดครองดินแดนได้รวดเร็วขนาดนี้


“ตอนนี้หุบเขาหมื่นศาสตรา สำนักศพปีศาจและพิลาลสสวรรค์มีการเคลื่อนไหวอะไรไหม?” มู่เฉินถาม ในเมื่อถูกล้อมกรอบขนาดนี้ ขั้วอำนาจทั้งสามคงไม่สามารถทนอยู่ได้ต่อไป ไม่อย่างนั้นขั้วอำนาจอื่นในแดนร้อยสงครามก็จะไม่พอใจพวกเขาแล้ว


“จากข้อมูลล่าสุดที่เรามี กองทัพหุบเขาหมื่นศาสตรา สำนักศพปีศาจและพิลาลสสวรรค์มารวมตัวกันที่นี่แล้ว” จิ่วโยวหรี่ตาลงขณะนิ้วเรียวชี้ไปที่ตรงจุดหนึ่งบนแผนที่ ที่นั่นเป็นเขตที่มีการป้องกันสูงที่สุดของแดนร้อยสงคราม


“เมืองไป่จั้น”


มู่เฉินมองชื่อเมืองบนแผนที่ ว่ากันว่านี่คือเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญมากที่สุดของแดนร้อยสงคราม เวลาปกติจะอยู่ภายใต้การปกครองของขั้วอำนาจทั้งสาม แต่ตอนนี้กลายเป็นป้อมปราการที่สำคัญที่สุดของแดนร้อยสงครามไปแล้ว


เผชิญกับเมืองสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กองทัพของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังยากที่จะจัดการ


“นักรบของหุบเขาหมื่นศาสตรา สำนักศพปีศาจและพิลาลสสวรรค์ พร้อมด้วยกองทัพอื่นๆ ของแดนร้อยสงครามได้มารวมตัวกันที่นี่หมดแล้ว นับว่าเป็นกองทัพขนาดใหญ่เลยทีเดียว” สีหน้าของจิ่วโยวหนักหน่วงลงมากกว่าเดิม


“นอกจากนี้แดนร้อยสงครามยังประกาศศึกตัดสินกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตอนนี้สายตาทั้งภูมิภาคทางเหนือคงมองมาหมดแล้ว หากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราถอยไปก้าวหนึ่งและแสดงความอ่อนแอออกมาแม้เพียงนิดเดียวละก็ คงจะทำลายชื่อเสียงของเราป่นปี้แน่”


“ประกาศศึกตัดสิน?” สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป แดนร้อยสงครามกล้าประกาศศึกแบบนี้เลยเหรอ?


“ดูเหมือนการได้แรงหนุนลับจากตำหนักสุดนภาจะทำให้แดนร้อยสงครามเหิมเกริมขึ้นสินะ” จิ่วโยวแค่นเสียง


มู่เฉินก็พยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของนาง ตอนเริ่มสงครามสำนัก ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาก็เคยกล่าวถึงหลิ่วเทียนเต้าแห่งตำหนักสุดนภาที่กำลังจ้องมองพวกเขาเหมือนเหยื่อ ดังนั้นประมุขจึงไม่สามารถออกโรงง่ายดายนัก นั่นยังหมายความว่าพวกเขาขาดประมุขที่เป็นจอมยุทธ์ทรงพลังที่สามารถชี้ชะตาได้ในการเคลื่อนไหวครั้งเดียว มากเสียจนไม่มีข้อได้เปรียบขั้นสุดทางไหนให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาอีกแล้ว


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแดนร้อยสงครามถึงกล้าประกาศสงคราม เพราะหากพวกเขาชนะจะได้เหยียบย่ำอาณาเขตกงเวทสวรรค์และขยายชื่อเสียงเกียรติยศไปไกล


ดังนั้นการต่อสู้นี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์เหมือนกัน


“จอมพลทั้งสามมีคำสั่งว่ายังไง?” มู่เฉินเอ่ยถาม เหล่าจอมพลเป็นคนควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด และตอนนี้แดนร้อยสงครามก็เหิมเกริมจนถึงจุดที่ประกาศท้ารบ ดังนั้นพวกเขาน่าจะมีความเคลื่อนไหวบ้างแล้ว


“เหล่าจอมพลสั่งให้จอมยุทธ์ทั้งหมดของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไปรวมตัวกันที่รอบนอกเมืองไป่จั้น ตอนนี้ในรัศมีพันลี้แทบจะเต็มไปด้วยไฟสงครามแล้ว” จิ่วโยวเอ่ย


มู่เฉินพยักหน้า ด้วยฐานะของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทำให้ต้องรับคำท้ารบชี้ชะตา ดังนั้นการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงคงจะรุนแรงและโหดร้ายเกินความคาดหมาย


นี่คือการเผชิญหน้าอย่างแท้จริงระหว่างกองทัพใหญ่ทั้งสอง การต่อสู้ก่อนหน้าถือเป็นการต่อสู้จิ๋วๆ เท่านั้น


“งั้นพวกเรา?” มู่เฉินมองจิ่วโยว ในเมื่อตอนนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์เรียกระดมพลแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่หอวิหคโลกันตร์ของพวกเขาหลีกเลี่ยงไม่ได้


“เคลื่อนพล ตรงไปที่เมืองไป่จั้น!”


จิ่วโยวยืดตัวตรง ไม่มีความลังเลใดๆ แม้แต่น้อย นางโบกมือพร้อมกับเสียงเย็นกังวานไปทั่วโถงประชุม ในฐานะสมาชิกของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาไม่มีทางหลีกเลี่ยงการต่อสู้สำคัญเช่นนี้ไปได้


“รับทราบ!”


เหล่านักรบวิหคโลกันตร์เปล่งเสียงพร้อมกับประสานกำปั้น


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองออกจากโถงใหญ่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ไกลออกไป ท้องฟ้าบริเวณนั้นราวกับเต็มไปด้วยรัศมีจั้นยี่จนดูมืดหม่นและกดดันไปหมด


ทว่าเลือดในกายกลับเดือดพล่านทีละน้อย เขาต้องการศึกเช่นนี้ เพราะนั่นเป็นหินเจียระไนที่ขาดไม่ได้บนเส้นทางการเป็นยอดยุทธ์ของเขา


สักวันชื่อของเขาจะต้องขจรขจายไปยังทุกมุมของทวีปเทียนหลัว เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับคนรัก


ลั่วหลี รอข้าก่อนนะ


 


เมืองไป่จั้น


ที่นี่เป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่สามารถสร้างความตกตะลึงให้ผู้คนได้ เมืองนี้ได้รับการกล่าวขานว่าสืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคโบราณ ประสบกับการต่อสู้ที่น่าทึ่งมานับไม่ถ้วนและยังคงยืนยงอยู่บนผืนแผ่นดินนี้


วันนี้เมืองโบราณแห่งนี้ก็ถูกปกคลุมด้วยไฟสงครามอีกครั้ง


ค่ายกลแสงขนาดใหญ่ส่องลงมาจากท้องฟ้า ราวกับชามขนาดใหญ่ที่คว่ำปิดล้อมเมืองทั้งเมืองไว้ ตอนนี้ภายในเมืองมีร่างนับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียนพุ่งผ่านขอบฟ้าจากทุกทิศทาง ขณะคลื่นหลิงทรงพลังผันผวนขึ้นไปเบื้องบน


ที่ขอบฟ้าด้านนอกเมือง ร่างจำนวนมากกำลังยืนอยู่บนอากาศ คลื่นหลิงทรงพลังนับไม่ถ้วนผันแปรออกมา ก่อให้เกิดสัญญาณการบิดเบือนบนท้องฟ้าบริเวณนั้น


สนามรบกระจายออกไปจนสุดลูกหูลูกตาโดยมีเมืองไป่จั้นเป็นศูนย์กลาง


ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองไป่จั้น


แม้สถานที่แห่งนี้จะอยู่ห่างไกลจากเมืองไป่จั้น แต่ไฟสงครามก็ไม่มอดดับ กองทัพของทั้งสองฝ่ายรบกันแบบนองเลือด รังสีสังหารแผ่ซ่านในบริเวณนี้


ตอนนี้การต่อสู้ดุเดือดมากอย่างเห็นได้ชัดบนที่ราบแห่งนี้ กองทัพทั้งสองที่สู้กันอยู่ก็ไม่ใช่กองทัพธรรมดา พวกเขาเป็นกองทัพที่มีรัศมีจั้นยี่!


ทางด้านซ้ายมือ นักรบต่างอยู่ในชุดเกราะสีเหลืองถือง้าวทองหนักอึ้งพร้อมกับรัศมีจั้นยี่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ดูราวกับพายุเฮอริเคนกวาดอาละวาดไปทั่วผืนดินนี้


บนเกราะสีเหลืองทองมีอักขระอยู่ พวกเขาก็คือหน่วยรบฉาบทองที่อยู่ใต้บัญชาการของผู้บัญชาการหลิวจิง!


แม้ชื่อเสียงของหน่วยรบฉาบทองนี้จะเทียบไม่ได้กับหน่วยรบทรงพลังอย่างหน่วยรบอสุรา หน่วยรบแยกคีรีและหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอและความสำเร็จของพวกเขาก็นับได้ว่ายิ่งใหญ่เกรียงไกร


แต่ครั้งนี้สถานการณ์หน่วยรบฉาบทองไม่สู้ดีนัก


เพราะศัตรูของพวกเขาเป็นกองทัพในชุดเขียวอมฟ้าถือกระบี่ยาววาดมุมเอียง รังสีกระบี่ที่น่าสะพรึงกวาดหายนะไปทั่วทั้งดินแดน ทำให้แม้แต่ท้องฟ้ายังเต็มไปด้วยบาดแผล


นักรบกระบี่สามพันคนแห่งหุบเขาหมื่นศาสตรา!


เอกลักษณ์เฉพาะตัวได้บ่งบอกถึงตัวตน พวกเขาก็คือนักรบกระบี่สามพันคนแห่งหุบเขาหมื่นศาสตรา นี่คือกองทัพแข็งแกร่งที่สุดของหุบเขาหมื่นศาสตรา ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาในแดนร้อยสงครามนับว่าเป็นที่หนึ่งที่สองเลยทีเดียว


ดูจากชื่อเสียงอย่างเดียว นักรบกระบี่สามพันคนแห่งหุบเขาหมื่นศาสตราก็แข็งแกร่งกว่าหน่วยรบฉาบทองแล้ว


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


รังสีกระบี่กวาดออกทุกทิศทางขณะที่ตัดกำลังรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบฉาบทองที่ดูราวกระแสทองคำเชี่ยวกรากอย่างต่อเนื่อง เผชิญการโจมตีจากนักรบกระบี่สามพันคน หน่วยรบฉาบทองก็ทำได้แค่ป้องกันตัวเองเท่านั้น


มีกองทัพอื่นรบรากันอยู่ในพื้นที่ราบเหล่าแห่งนี้เช่นกัน แต่เพราะนักรบกระบี่สามพันคนสยบหน่วยรบฉาบทองได้ จึงทำให้กำลังใจของแดนร้อยสงครามฮึกเหิมขึ้น ขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ถอยร่นกลับไปไม่เป็นท่า


“ฮ่าๆ แม่ทัพเฉียนหลง หน่วยรบฉาบทองของเจ้าท่าจะไม่ไหวแล้ว ทำไม่ไม่ยอมแพ้เพื่อไม่ให้เกิดการนองเลือดซะล่ะ?” เสียงหัวเราะดังก้องฟ้าอัดแน่นด้วยรัศมีกระบี่ บนท้องฟ้าเหนือนักรบกระบี่สามพันคน ร่างคนคนหนึ่งในชุดสีเขียวอมฟ้ายืนอยู่ กระบี่ยาวสีม่วงอมน้ำเงินพาดอยู่บนหลัง เขาจ้องมองหน่วยรบฉาบทองที่กำลังหลังชนฝาด้วยรอยยิ้ม


เขาคือแม่ทัพนักรบกระบี่สามพันคน—หลินชิงเฟิง ชื่อเสียงของเขาในแดนร้อยสงครามอยู่ในระดับเดียวกับสูชิงและโจวเยี่ยเลยทีเดียว


บนท้องฟ้าตรงบริเวณของหน่วยรบฉาบทอง ชายร่างกำยำมีสีหน้าน่าเกลียดขณะมองหลินชิงเฟิงพร้อมกับขบฟัน เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะโชคร้ายขนาดนี้ แค่เก็บกวาดเศษซากก็ดันมาปะหน้ากับนักรบกระบี่สามพันคนที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ เขารู้ดีว่านักรบกระบี่เหล่านี้ทรงพลังเพียงใด แม้แต่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็คงมีเพียงหน่วยรบอสุรากับหน่วยรบแยกคีรีที่นำโดยสูชิงกับโจวเยี่ยเท่านั้นที่สามารถต่อกรได้


ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอีกฝ่ายไม่ได้นำกองทัพนักรบกระบี่สามพันนายมาทั้งหมด หน่วยรบฉาบทองคงแตกพ่ายไปนานแล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็แทบต้านทานไม่ได้


“หลินชิงเฟิง อย่าลำพองตัวเองไปนัก จอมยุทธ์ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมาถึงในไม่ช้า แล้วข้าจะคอยดูสิว่าพวกแกจะจัดการยังไง” เฉียนหลงตะโกนพลางขบฟัน


“ฮ่าๆ ในเมื่ออุตส่าห์เตือนขนาดนี้ งั้นข้าจัดการพวกแกก่อนแล้วกัน” หลินชิงเฟิงในชุดสีเขียวอมฟ้ายิ้มอ่อน จากนั้นสองนิ้วก็งุ้มลงชี้ไปที่ท้องฟ้า รัศมีจั้นยี่ของกระบี่กวาดออกมาทุกทิศทาง ก่อร่างเป็นกระบี่ขนาดใหญ่พันจั้ง รัศมีกระบี่สร้างจากคลื่นหลิง ทำให้แม้แต่มิติยังฉีกขาดออกแยกจากกัน


พอเห็นดังนี้ สีหน้าของเฉียนหลงก็เปลี่ยนไปขณะที่สัญญาณอันตรายลุกโชนขึ้นในหัวใจ เขารีบตะโกนออกไป “โล่เทพทองคำ!”


ตู้ม!


รัศมีจั้นยี่สีทองพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อร่างเป็นโล่ทองคำขนาดใหญ่ที่เบื้องหน้าหน่วยรบฉาบทองอย่างรวดเร็ว โล่นี้เหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าภูผา ความหนาแน่นนั้นทำให้คนมองถึงกับต้องเดาะลิ้นเลยทีเดียว


วาบ!


ทว่ากระบี่ยาวไม่ได้ชะงักเลย เมื่อฟันลงมาภายใต้สีหน้าสงบนิ่งของหลินฉิงเฟิง ก็เฉือนโล่ทองคำพร้อมกับรัศมีกระบี่น่ากลัวระเบิดออกมา


เปรี๊ยะ!


รัศมีกระบี่กวาดอาละวาด สีหน้าของเฉียนหลงกลับเปลี่ยนไปรุนแรง เพราะเขาเห็นรอยร้าวขยายขนาดบนโล่ทองคำอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็ถูกผ่าออกเป็นสองซีกภายใต้สายตาตกตะลึงของเขา


“ตายแล้ว!”


ใบหน้าของเฉียนหลงซีดไป ครั้งนี้หน่วยรบฉาบทองได้รับความเสียหายใหญ่หลวงแน่แล้ว


หลินฉิงเฟิงยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งเมื่อเห็นภาพนี้ ทว่าขณะที่เขากำลังจะควบคุมกระบี่ใหญ่ให้ฟันลงมากวาดล้างหน่วยรบฉาบทอง สายตาเขาก็ต้องหดเกร็งกะทันหัน เนื่องจากมีเสียงฟ้าคำรามป่าเถื่อนสะท้อนก้องทั่วขอบฟ้าที่ไกลออกไป


ตู้ม!


สายฟ้าสีดำราวกับมังกรเกรี้ยวกราดระเบิดจากเส้นขอบฟ้าพุ่งตรงมาที่หลินชิงเฟิง


หลินชิงเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กระบี่ยักษ์ที่กำลังฟันลงมาเปลี่ยนทิศเข้าปะทะกับมังกรสายฟ้าสีดำ


ตึง!


พายุคลื่นหลิงป่าเถื่อนกวนตัวออกมา ทำให้จอมยุทธ์มากมายในบริเวณนึ้ต้องเงยหน้ามองท้องฟ้าไกลออกไปด้วยความตกตะลึง


“ไอ้หน้าไหนกล้ามาขัดข้า?” เสียงของหลินชิงเฟิงดังก้อง ขณะที่รัศมีกระบี่คมกริบระเบิดออกมา ผ่าชั้นเมฆแยกจากกัน สายตาคมกล้าของเขาพุ่งตรงไปยังท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ


ตรงนั้นมีเสียงฟ้าคำรามอย่างต่อเนื่อง


ขณะที่เสียงฟ้าคำรามดังสะท้อน เสียงหัวเราะหนึ่งก็ก้องกังวานมาแต่ไกล สุดท้ายก็มาปรากฏบนท้องฟ้าบริเวณนี้พร้อมเสียงฟ้าคำราม


“อาณาเขตกงเวทสวรรค์ หน่วยรบวิหคโลกันตร์!”


737 การรบชี้ชะตา

เสียงหัวเราะพร้อมกับเสียงฟ้าร้องแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ


ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนให้มองไปที่ท้องฟ้าไกลออกไป ขวัญกำลังใจของหน่วยรบฉาบทองและเหล่าจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่ดิ่งลงจากการถอยร่นไม่เป็นท่า ก็กลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง


“นั่นหน่วยรบวิหคโลกันตร์!”


“ในที่สุดหน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็มาแล้ว! ว่ากันว่าก่อนหน้าพวกเขาก็เอาชนะสำนักสายฟ้าปีศาจมาน่ะ!”


“เยี่ยม เสียงนั่นคงจะเป็นเสียงของแม่ทัพมู่เฉินแห่งหน่วยรบวิหคโลกันตร์ มีเขาอยู่ด้วย เราก็ไม่ต้องกลัวหลินชิงเฟิงอีกแล้ว!”


“…”


เสียงกระซิบกระซาบถกเถียงกันดังไปทั่วท้องฟ้า จอมยุทธ์จำนวนมากของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้น เวลาเพียงครึ่งปีเกือบทุกคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทราบว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์มีพลังเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่น่าตกใจ อีกอย่างหนึ่งพวกเขาก็รู้ชื่อมู่เฉิน แม่ทัพคนใหม่ที่ทำให้หน่วยรบวิหคโลกันตร์ผงาดขึ้นมา


บนท้องฟ้า หลินชิงเฟิงหรี่ตาลงเมื่อมองไปยังทิศทางนั้น ไกลออกไปเมฆพายุกวาดตัวเข้ามา สุดท้ายก็ปรากฏตัวที่เบื้องหน้าไม่ไกลพร้อมกับรัศมีสังหารน่าสะพรึง


นั่นเป็นกองทัพในชุดเกราะสีดำพร้อมกับรัศมีจั้นยี่สีดำสนิทครางกระหึ่มราวกับกระแสธารเชี่ยวกราก เสียงฟ้าคำรามป่าเถื่อนดังแว่วออกมา ทั้งกองทัพยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนบนท้องฟ้า ท่าทางขึงขังนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจดูถูกได้


“ฮ่าๆ หน่วยรบวิหคโลกันตร์เรอะ? ข้าได้ยินมานานแล้ว” หลินชิงเฟิงยิ้มขณะหรี่ตามองกองทัพสีดำตรงหน้า


“ข้าก็ได้ยินชื่อเสียงน่าประทับใจของนักรบกระบี่สามพันคนแห่งหุบเขาหมื่นศาสตรามานานแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ข้าได้เห็นกับตา ข่าวลือไม่ใช่เรื่องล้อเล่นจริงๆ ด้วย” ร่างของมู่เฉินปรากฏอยู่เหนือหน่วยรบวิหคโลกันตร์ในพริบตา พลางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางเมื่อมองไปที่หลินชิงเฟิง


“เจ้าคงจะเป็นแม่ทัพคนใหม่ของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่ชื่อมู่เฉินสินะ?” หลินชิงเฟิงมองมู่เฉินนิ่งพลางเอ่ยช้าๆ “ลือกันหนาหูไม่เพียงแต่เจ้าจะเอาชนะหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตได้ แม้แต่ตำหนักสายฟ้าปีศาจก็ยังพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือเจ้าด้วยใช่ไหม?”


มู่เฉินยิ้มขณะเหลือบมองไปที่หน่วยรบฉาบทองที่ระส่ำระสายไป “แม่ทัพหลิน สงครามใกล้มาถึงจุดจบแล้ว ข้าว่าเจ้าพาคนของตัวเองถอยไปก่อนดีไหม?”


“ฮ่าๆ แกอยากช่วยพวกเขาเหรอ?” หลินชิงเฟิงยิ้มพลางดีดนิ้วใส่กระบี่ยาวเบื้องหลังเบาๆ เอ่ยกับมู่เฉินด้วยรอยยิ้มตาหยี “เป็นเรื่องดีที่จะช่วยคนอื่น แต่กลัวว่าจะลากตัวเองลงนรกไปด้วยนะสิ”


แม้หลินชิงเฟิงจะเคยได้ยินความสำเร็จของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าคุกคามอะไรตนเองเลย เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือแม่ทัพของหุบเขาหมื่นศาสตรา แม้แต่ในแดนร้อยสงคราม จำนวนแม่ทัพที่สามารถเทียบเคียงเขาได้ก็มีเพียงหยิบมือเดียว


แม้ตอนนี้นักรบกระบี่สามพันนายไม่ได้อยู่เคียงข้างทั้งหมด แต่เขาก็มีเย่อหยิ่งพอที่จะดูถูกแม่ทัพคนอื่นๆ


“สิ่งที่แม่ทัพหลินพูดมาก็ถูก”


พอได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาทราบดีว่าด้วยชื่อเสียงของหลินชิงเฟิงในแดนร้อยสงคราม การจะช่วยผู้อื่นโดยใช้เพียงแต่ลมปากเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


ในเมื่อคำพูดไร้ประโยชน์…. งั้นก็ใช้กำปั้นละกัน


ไอเย็นเยือกลุกโชนในดวงตาสีดำของมู่เฉิน โดยไม่มีความลังเลใดๆ ฝ่าเท้าก็กระทืบลง หน่วยรบวิหคโลกันตร์ด้านล่างส่งเสียงตะโกนรับอย่างพร้อมเพรียง ขณะที่รัศมีจั้นยี่สีดำเมื่อมพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ท่ามกลางรัศมีจั้นยี่แว่วเสียงฟ้าคำรามขึ้นเช่นกัน


เทียบกับเมื่อเดือนก่อน รัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบวิหคโลกันตร์แข็งแกร่งมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


ฮึ่ม!


ขณะที่รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ระเบิดออกมา หลินชิงเฟิงก็สะบัดมือ เสียงกระบี่คมกริบแผดออกมา รัศมีจั้นยี่รัศมีกระบี่พวยพุ่ง ราวกับวาตภัยหมุนไปรอบตัวหลินชิงเฟิง


รัศมีคมกริบที่แผ่ออกมาราวกับสามารถฉีกชั้นฟ้าและชั้นดินได้


“แม่ทัพมู่เฉิน ถ้าต้องการช่วยเหลือคนอื่น ก็ลองรับสักกระบวนท่าหนึ่งก่อน!” หลินชิงเฟิงหัวเราะร่า แต่ในดวงตาไม่มีรอยยิ้มสักริ้ว มือทั้งคู่ประสานกันในทันที


“รัศมีกระบี่ บัวกระบี่วิญญาณ!”


ฟิ้ว!


รัศมีกระบี่ไร้ขอบเขตกวาดออกเปลี่ยนเป็นดอกบัวกระบี่ เมื่อดอกบัวแย้มบานก็หมุนคว้าง ทิ้งรอยเฉือนคมกริบไว้ในมิติ


แม้จะไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากดอกบัวกระบี่ แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความคมกริบที่อยู่ภายใต้ความเงียบงัน เห็นได้ชัดว่าหลินชิงเฟิงไม่มีความคิดที่จะหยั่งเชิง เขาเลือกใช้กระบวนท่าทรงพลังตั้งแต่แรก


หลินชิงเฟิงมองมู่เฉินอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ดีดนิ้ว ทันใดนั้นเองดอกบัวกระบี่ก็พุ่งออกไป ทิ้งภาพเงาไว้บนท้องฟ้า ความเร็วยิ่งกว่าฟ้าแลบเสียอีก


ดอกบัวกระบี่ขยายขนาดในม่านตาของมู่เฉินอย่างรวดเร็ว แต่ใบหน้ากลับไม่มีแววตื่นตระหนกใดๆ ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงวูบไหว รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไร้ขอบเขตพวยพุ่งก่อตัวเป็นกำปั้นสีดำ บนกำปั้นมีสายฟ้าสีดำแล่นแปลบปลาบอยู่


“รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ หมัดสายฟ้าโลกันตร์!”


มู่เฉินเหวี่ยงหมัดออกไป หมัดสีดำที่ปกคลุมด้วยสายฟ้าก็ทะยานออกพร้อมกับท่าทางของเขา มันไม่ได้หลบเลี่ยงแต่ปะทะดอกบัวกระบี่จังใหญ่


ตู้ม!


รัศมีกระบี่และรัศมีจั้นยี่สายฟ้าวูบไหวกวาดออก ทำให้มิติบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวในพริบตานั้น แรงปะทะแผ่กระจายออกมากวาดอาละวาดไปทั่ว แต่กองทัพทั้งสองก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว


เบื้องล่างสายตานับไม่ถ้วนมองการปะทะบนท้องฟ้าก็อดไม่ได้ที่จะมีแววตกตะลึงบางจางฉายออกมา เนื่องจากทุกคนบอกได้ว่าการโจมตีของนักรบกระบี่สามพันนายไม่สามารถทำอะไรหน่วยรบวิหคโลกันตร์ได้เลย


“หน่วยรบวิหคโลกันตร์เหมือนจะแข็งแกร่งกว่าตอนที่สู้กับหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตอีกนะเนี่ย” จอมยุทธ์บางคนที่มีสายตาเฉียบแหลมก็ตระหนักได้ทันทีว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์แกร่งกร้าวกว่าตอนที่ปะทะกับหน่วยรบเหยี่ยวโลหิต


“หน่วยรบวิหคโลกันตร์พบคนที่เหมาะสมแล้ว ตอนที่พวกเขาอยู่ในมือของเฉาเฟิง พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากขนาดนี้”


ไม่ไกลจากบนท้องฟ้า เฉียนหลงก็มีสายตาซับซ้อนขณะมองมู่เฉินเผชิญหน้ากับหลินชิงเฟิง ก่อนหน้าที่มู่เฉินจะดำรงตำแหน่งแม่ทัพวิหคโลกันตร์ เขาเคยแอบเยาะเย้ยอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ เพราะไม่รู้สึกว่าชายหนุ่มที่เพิ่งโตคนนี้จะมีความสามารถมากมายนัก แต่หลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้เขาได้รู้ว่าสายตาตนเองทั้งคับแคบและตื้นเขิน เป็นเพราะการอยู่ในมือของชายหนุ่มคนนี้ หน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักถึงได้เริ่มฉายแสงเจิดจรัสออกมา


มากจนตอนนี้มีพลังแก่กล้าพอที่จะปะทะกับนักรบกระบี่สามพันคนแห่งหุบเขาหมื่นศาสตราที่เป็นกองทัพที่มีชื่อเสียง


“ท่านแม่ทัพ เราต้องไปช่วยเขาไหมขอรับ?” มีนักรบบางคนเอ่ยถามขึ้นจากเบื้องหลังเฉียนหลง


เฉียนหลงส่ายหน้า “หลินชิงเฟิงทำอะไรมู่เฉินไม่ได้หรอก พวกเขาไม่สู้กันแน่”


จากสายตา เขาบอกได้ว่าแม้หลินชิงเฟิงจะน่าสะพรึง แต่ก็ไม่ง่ายที่จะเอาชนะมู่เฉินได้ เว้นแต่กองทัพนักรบกระบี่สามพันคนจะอยู่ครบ ถึงพอจะสยบมู่เฉินได้


อย่างที่เฉียนหลงคาดการณ์ไว้ หลินชิงเฟิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าการโจมตีที่ซัดออกไปถูกหน่วยรบวิหคโลกันตร์สกัดไว้ได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายเขาก็ยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นจริง แม่ทัพมู่เฉินไม่ใช่จอมยุทธ์ฝีมือธรรมดา”


“เยินยอเกินไปแล้ว” มู่เฉินยิ้มบาง


“ในเมื่อแม่ทัพมู่เฉินเสนอตัวออกมา ข้าก็จะไว้หน้าให้ วันนี้ข้าจะปล่อยหน่วยรบฉาบทองไป แต่หวังว่าเมื่อสงครามสำนักเริ่มต้น แม่ทัพมู่เฉินจะยังคงท่าทีสงบไว้ได้นะ” หลินชิงเฟิงยิ้มพลางประสานมือคำนับ จากนั้นก็โบกมือหมุนตัวจากไปพร้อมกับกองทัพอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา


มู่เฉินมองดูคนเหล่านั้นก็ขมวดคิ้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลินชิงเฟิงถึงเป็นแม่ทัพหุบเขาหมื่นศาสตรา ภายในเวลาสั้นๆ ที่ปะทะกัน มู่เฉินก็รู้แล้วว่าชายคนนี้เป็นปัญหายุ่งยาก


“มิน่าล่ะหุบเขาหมื่นศาสตราถึงเป็นหนึ่งในสามขั้วอำนาจใหญ่ของแดนร้อยสงคราม พวกเขามีฝีมือไม่น้อยจริงๆ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนการต่อสู้ชี้ชะตาที่จะมาถึงต้องเป็นการต่อสู้สะเทือนฟ้าดินแน่นอน


“แม่ทัพมู่เฉิน ขอบคุณที่ช่วยเหลือ” ขณะที่มู่เฉินอยู่ในภวังค์ความคิด เฉียนหลงก็มาถึงพร้อมกับหน่วยรบฉาบทอง เขาเอ่ยขอบคุณพลางประสานมือคำนับ


“แม่ทัพเฉียนหลงไม่ต้องมากมารยาท เรามาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์เช่นเดียวกัน ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องช่วยเหลือกัน” มู่เฉินตอบกลับทันทีพลางประสานมือคำนับ ชายคนนี้ก็ไม่ได้ออกหน้าออกตามากในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ การช่วยเหลือครั้งนี้แม้จะไม่ทำให้พวกเขารู้สึกซาบซึ้งใจมาก แต่อย่างน้อยก็กระชับความสัมพันธ์ระหว่างหอฉาบทองคำกับหอวิหคโลกันตร์ให้แน่นแฟ้นขึ้น


รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าแข็งกร้าวของเฉียนหลงพร้อมกับความรู้สึกประทับใจต่อมู่เฉินเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เขาเห็นพวกที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยชนมามากมาย แต่ทุกคนล้วนหยิ่งทระนง ทว่ามู่เฉินที่ยืนอยู่ตรงหน้า กลับไม่มีท่าทางยโสโอหังแต่อย่างใด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้บัญชาการจิ่วโยวถึงไว้วางใจชายหนุ่มขนาดนี้


“ในเมื่อแม่ทัพมู่เฉินมาแล้ว คิดว่าผู้บัญชาการจิ่วโยวก็คงมาด้วยใช่หรือไม่? ฮ่าๆ การต่อสู้ชี้ชะตารอการมาของนางนี่แหละ” เฉียนหลงยิ้ม


“ใช่ นางมุ่งหน้าไปรวมกับจอมพลทั้งสามแล้ว” มู่เฉินพยักหน้า จิ่วโยวเป็นหนึ่งในเก้าผู้บัญชาการที่มีอำนาจสูงในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นการต่อสู้ชี้ชะตาจะขาดนางไปไม่ได้


ฉินเฟิงพยักหน้า ขณะที่กำลังจะพูด เสียงกลองต่ำลึกก็ดังจากขอบฟ้าไกล เสียงกลองนั้นฟังราวกับเปี่ยมด้วยรัศมีจั้นยี่ไม่รู้จบ


“นี่คือสัญญาณกลองรบร้อยสงครามของแดนร้อยสงคราม!” สีหน้าของฉินเฟิงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที


“มีอะไรหรือ?” มู่เฉินถามขึ้น


“แดนร้อยสงครามจะเปิดศึกแล้ว!” เฉียนหลงเอ่ยด้วยเสียงเคร่งเครียดพูดต่อ “แม่ทัพมู่เฉิน เรารีบมุ่งหน้าไปที่ตั้งค่ายกันเถอะ!”


มู่เฉินตกใจไปเล็กน้อย แดนร้อยสงครามเปิดศึกชี้ชะตาเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาโบกมือทะยานออกไปพร้อมกับเฉียนหลง หน่วยรบทั้งสองก็รีบติดตามไป


ลำแสงสองสายพุ่งผ่านขอบฟ้าราวกับฟ้าแลบ ขณะที่เสียงกลองโบราณดังชัดมากขึ้น


พวกเขาเหาะด้วยความเร็วสูงสุดเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ก่อนที่มู่เฉินกับเฉียนหลงจะค่อยๆ ชะลอตัวลง พวกเขากวาดสายตามองไกลออกไป ก็เห็นม่านแสงที่ปกคลุมเมืองไป่จั้นเปิดออกจากกันช้าๆ ทันใดนั้นร่างคนจำนวนมืดฟ้ามัวดินก็กวาดออกมาราวกับฝูงตั๊กแตน ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าเมืองไป่จั้นจนถึงจุดที่แม้แต่แสงตะวันก็ไม่สามารถลอดผ่านพวกเขาได้


การตั้งกระบวนทัพอันน่าสะพรึงกลัวที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายขยายไปจนสุดลูกหูลูกตา ขณะที่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้า คลื่นหลิงป่าเถื่อนผันผวนทำให้พลังงานในฟ้าดินถึงกับเดือดพล่าน


กองทัพน่ากลัวทั้งสองประจันหน้ากันแล้ว


ท้องฟ้าราวกับว่าจะถล่มลงในเวลานี้


มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจยาวเมื่อเห็นภาพนี้ การประจัญบานนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงจริงๆ


738 นอกเขตแดนร้อยสงคราม


แสงอาทิตย์ดูหม่นไป กองทัพทั้งสองฝ่ายมารวมตัวกันที่นี่ ผู้คนจำนวนมากกระจายไปทั่วบริเวณ คลื่นหลิงนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้กระทั่งอากาศยังหยุดการไหลเวียน


นี่เป็นการเผชิญหน้ากันของสองขั้วอำนาจใหญ่แท้จริง


เมื่อการต่อสู้ระเบิดออก ก็จะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วพร้อมกับการล่มสลายของจอมยุทธ์จำนวนมาก เลือดฉาบย้อมไปทั่วท้องฟ้าจนเป็นสีแดง ฉายความโหดร้ายดังกล่าวชวนให้หนาวเยือกไปจนถึงกระดูก


มู่เฉินนำหน่วยรบวิหคโลกันตร์ไปรวมกับกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขามองเงาร่างจำนวนมากที่ปกคลุมท้องฟ้าในทิศทางของแดนร้อยสงคราม ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดลง จนตอนนี้เขาถึงได้พบว่าแดนร้อยสงครามทรงพลังเพียงใด แม้จะด้อยกว่ากองทัพชั้นยอดอย่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่พลังของพวกเขาก็สามารถกวาดล้างทวีปเป่ยชางได้สบายๆ


“ถ้าการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้เริ่มขึ้น คงจะเป็นสภาวะมืดมิดและโกลาหลไปหมด” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง แม้แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ยังต้องจ่ายราคาแพงระยับ หากต้องการโค่นล้มแดนร้อยสงคราม


“การต่อสู้ครั้งสุดท้ายคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ หรอก” ถังปิงที่ยืนข้างมู่เฉินเอ่ยขึ้นเบาๆ


“หือ?” มู่เฉินอึ้งไป


“ต่อให้แดนร้อยสงครามเตรียมตัวมาดี แต่พวกเขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะตายอย่างสมเกียรติแทนที่จะมีชีวิตอย่างน่าอับอาย สงครามครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะตำหนักสุดนภาคอยชักใยอยู่เบื้องหลังละก็ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่แหย่อาณาเขตกงเวทสวรรค์หรอก”


สายตาของถังปิงวูบไหวขณะคลี่ยิ้ม “ถ้าเป็นในเวลาปกติ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็สามารถทนได้ แม้จะต้องจ่ายบางอย่างไปบ้างเพื่อล้างบางแดนร้อยสงคราม นอกจากนี้เราก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้น ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดี เนื่องจากสงครามล่าใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าเราจะเปิดศึกใหญ่ในตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเรา”


“ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีความคิดที่จะสู้ตายกันไปข้าง ดังนั้นการต่อสู้ชี้ชะตานี้ คงยากจะเริ่มขึ้น”


มู่เฉินมองถังปิงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจก็อดไม่ได้ที่จะถูจมูก “สรุปแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเล่นปาหี่กันรึ? แดนร้อยสงครามว่างมากรึไงถึงมาประกาศสงครามกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเรา?”


“น่าจะไปทำสัญญาอะไรกับตำหนักสุดนภาไว้มั้ง” ถังปิงเอ่ยหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา “แต่ต่อให้ไม่ใช่การสู้รบแบบหมดหน้าตัก เรื่องราววันนี้ก็ไม่จบง่ายๆ หรอก เพราะไม่ว่าอย่างไรก็มีสายตามากมายกำลังมองมายังที่นี่”


มู่เฉินพยักหน้ากำลังจะพูด สายตาก็เหลือบเห็นลำแสงสามสายวาบตรงหน้าฝั่งกองทัพแดนร้อยสงคราม ดึงดูดสายตาเทิดทูนนับไม่ถ้วนจากจอมยุทธ์แดนร้อยสงครามไปในทันที


ในบรรดาคนทั้งสาม คนหนึ่งเป็นชายชราสวมชุดสีฟ้าอมเขียว พาดฝักดาบไว้บนหลัง สายตาคมกริบอัดแน่นด้วยรัศมีกระบี่คลื่นหลิง เมื่อกวาดตามอง ก็ไม่มีใครกล้าสบสายตากับเขา


ที่ยืนด้านซ้ายเป็นชายชราผอมบางสวมชุดสีดำ เขาดูราวกับถุงบรรจุกระดูก มองเหมือนซากศพตากแห้งอย่างไรอย่างนั้น รัศมีน่าขนลุกที่แผ่ปกคลุมรอบกายทำให้คนมองรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง


ส่วนที่ยืนอยู่ด้านขวาเป็นชายหัวล้าน เขาดูบอบบางประสานมือไว้ตรงหน้า รูปลักษณ์ไม่มีอะไรพิเศษเลย แต่ดวงตาทั้งคู่กลับดูราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอยู่ภายใน ช่างดูลึกลับและยากหยั่งถึง


เมื่อทั้งสามปรากฏตัว ขวัญกำลังใจของแดนร้อยสงครามก็พุ่งทะยานขณะที่เสียงโห่ร้องดังอื้ออึง ทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังสั่นสะเทือนเบาบาง


“พวกเขาคือสามผู้นำแห่งแดนร้อยสงคราม ชายชราชุดฟ้าคือเจ้าหุบเขาหมื่นศาสตราฉายาเฒ่าเร้นกระบี่ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ชายชราผอมแห้งก็คือเจ้าสำนักศพปีศาจคนปัจจุบันฉายาปีศาจภูเขาศพ… ส่วนคนสุดท้ายคือผู้ก่อตั้งพิลาลสสวรรค์ฉายาอสูรพิลาลส เขามาจากพิภพเขตล่าง แต่พลังยากเกินหยั่งถึง ว่ากันว่าเขาอาจจะเป็นจอมยุทธ์ที่ยากหยั่งมากที่สุดในบรรดาผู้นำทั้งสามคน” ถังปิงมองทั้งสามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน


พอได้ยินคำพูดของถังปิง มู่เฉินก็อดมองชายหัวล้านไม่ได้ แม้ว่าพิภพเขตล่างจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับมหาพันภพ แต่เพราะเหตุนี้จึงทำให้เหล่าจอมยุทธ์ที่สามารถผ่านระนาบมิติของพิภพเขตล่างเข้าสู่มหาพันภพได้ต่างเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังอำนาจทั้งสิ้น ส่วนจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือสุดที่มีต้นกำเนิดมาจากพิภพเขตล่าง ก็คือเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม…


อสูรพิลาลสเบื้องหน้าสายตาก็เป็นจอมยุทธ์ที่ถือกำเนิดในพิภพเขตล่างเช่นกัน นอกจากนี้ยังสร้างขั้วอำนาจของตนขึ้นมาได้ จอมยุทธ์เช่นนี้ต้องมีทักษะมหัศจรรย์อย่างแน่นอน


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ประมุขทั้งสามไม่อ่อนแอไปกว่าจอมพลทั้งสามแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาเลย พลังที่มีนับว่าทรงพลังมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถคุมแดนร้อยสงครามได้


“ฮ่าๆ สหายเก่าแก่ ตาเฒ่าจอมพล พวกเจ้ายังไม่คิดที่จะแสดงตัวอีกหรือ?” หลังจากที่สามประมุขแดนร้อยสงครามเผยตัวออกมาแล้ว ชายชราชุดสีฟ้าอมเขียวที่สะพายฝักกระบี่ข้างหลังก็หัวเราะเบาๆ เสียงดังก้องไปทั่วทุกซอกมุม


“ฮ่าๆ ในเมื่อเจอกันในสนามรบ ก็ไม่นับว่าเป็นสหายกันได้กันหรอกมั้ง” เสียงมากวัยคุ้นหูดังออกมา ตรงหน้าเบื้องหน้ากองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จากนั้นชายสามคนก็ปรากฏตัวออกมา พวกเขาคือเหล่าจอมพลแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ และคนที่พูดออกมาก็คือเทียนจิ้วนั่นเอง


เมื่อเหล่าจอมพลปรากฏตัว ขวัญกำลังใจของกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ฮึกเหิมมากขึ้นเช่นกัน


“คึๆ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ฟื้นฝอยหาตะเข็บ แดนร้อยสงครามก็แค่ยึดเมืองชายแดนกระจึ๋งเดียวเอง แต่พวกเจ้าก็ถึงกับยกกองทัพใหญ่มา” ชายชราชุดดำที่ดูราวกับมัมมี่หัวเราะเสียงแหบพร่าเสียดแก้วหู


“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กตราบใดที่เกี่ยวกับชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในเมื่อแดนร้อยสงครามกล้าท้าทายกันละก็ พวกเจ้าก็ต้องรับผลของการกระทำที่เกิดขึ้นด้วย” หลิงถงเอ่ยเสียงเรียบ


เมื่อเหล่าคนใหญ่โตจากทั้งสองกองทัพสาดโคลนใส่กัน ทั่วบริเวณก็เงียบกริบปล่อยให้พวกเขาพูดกันให้พอใจ


“แม้ชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะยิ่งใหญ่ แต่แดนร้อยสงครามก็ไม่อ่อนด้อยถึงขนาดที่ต้องก้มหัวให้หรอก” เฒ่าเร้นกระบี่แห่งหุบเขาหมื่นศาสตราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ถ้าประมุขพวกแกไม่ลงมือ แค่พวกเจ้าสามคนก็ไม่พอที่จะล้างบางแดนร้อยสงครามได้หรอก ดังนั้นข้าคิดว่าพวกแกรีบเรียกประมุขออกมาดีกว่านะ”


เทียนจิ้วขมวดคิ้วขณะที่ไอเย็นเยือกไหลในดวงตา


“ดูเหมือนว่าเจ้าอยากเจอข้ามากสินะ?” แต่ก่อนที่เทียนจิ้วจะตอกกลับ เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นไปทั่วบริเวณ ขณะที่เสียงสะท้อนก้อง ทุกคนก็รู้สึกถึงแรงกดดันน่ากลัวกดลงมาจากชั้นฟ้า ปกคลุมไปทั่วรัศมีหมื่นลี้เกือบจะในทันที


ทุกคนเบนสายตาตกตะลึงไป ที่ตรงหน้าเหล่าจอมพลแสงพร่างพราวรวมตัวกัน ก่อร่างเป็นบัลลังก์ทองคำพร้อมกับร่างเงาร่างหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยแสงนั่งอยู่ นี่เป็นเงาร่างที่ไม่อาจบรรยายได้ว่าคุกคาม แต่กลับทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนตกตะลึงจนถึงจุดที่ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักแอะเดียว


“ขอต้อนรับท่านประมุข!”


เหล่าจอมพลตกตะลึงกับการปรากฏตัวของประมุขเช่นเดียวกัน จากนั้นพวกเขาก็รีบโค้งคำนับประสานมือเข้าด้วยกัน ที่เบื้องหลังจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็คำนับด้วยความเคารพพร้อมกับเปล่งเสียงดังก้องฟ้า


เทียบกับภาพน่าเกรงขามกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ กองทัพแดนร้อยสงครามก็เงียบกริบลงในทันใด แววหวาดกลัวแรงกล้าวาบขึ้นในดวงตาของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วน เพราะพวกเขารู้ดีว่าประมุขลึกลับแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตรงหน้าเป็นจอมยุทธ์ที่แม้แต่ประมุขทั้งสามแห่งดินแดนร้อยสงครามยังไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม


สีหน้าของเฒ่าเร้นกระบี่ฝืดเคืองไปเล็กน้อย โดยเฉพาะตอนที่เขาสัมผัสได้ถึงสายตาไม่แยแสและไร้อารมณ์ที่มองมาจากบนบัลลังก์ กระทั่งเขาที่มีพลังยังรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาจากปลายเท้า


แม้เขาจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แต่เมื่อเทียบกับประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนแล้วละก็ ช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว


“ฮ่าๆ ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่เจอกันตั้งนาน เจ้าก็ยังเหมือนเดิมอยู่นะ”


ทว่าขณะที่ตาเฒ่าเร้นกระบี่ถูกปกคลุมไปด้วยแรงกดดันน่ากลัวจนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจ เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นบนท้องฟ้า


มิติฝั่งแดนร้อยสงครามฉีกเปิดออกพร้อมกับร่างร่างหนึ่งก้าวออกมา เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดสีฟ้าอมเขียว ท่าทางสง่าผ่าเผย ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกมอมเมาโดยไม่รู้ตัว


เขายืนอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ทุกคนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่มาจากประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ที่ถูกต้านกลับไป


เมื่อเฒ่าเร้นกระบี่เห็นชายวัยกลางคนชุดฟ้าอมเขียว ก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก


“ประมุขตำหนักสุดนภา—หลิ่วเทียนเต้า!” ถังปิงเอ่ยเสียงขรึมขณะจ้องมองร่างที่ยืนกลางอากาศ คนผู้นี้สามารถสยบเหล่าจอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายได้อย่างเด็ดขาด


“ตำหนักสุดนภา หลิ่วเทียนเต้า?” หัวใจของมู่เฉินกระตุก ขณะสายตาวูบไหว หลิ่วหมิงน่าจะเป็นบุตรชายของเขานะสิ? ถ้าชายวัยกลางคนรู้ว่าหลิ่วหมิงถูกกักขังเพราะเขาจะคลุ้มคลั่งหรือเปล่า?


“หลิ่วเทียนเต้า ในที่สุดก็เสนอหน้าออกมา” ไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ ในคำพูดของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ เห็นชัดว่าการปรากฏตัวของหลิ่วเทียนเต้าเป็นไปตามที่คิดไว้


หลิ่วเทียนเต้ายิ้มบางขณะดวงตาที่ราวท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวจับจ้องอยู่ที่ร่างนั้นพลางขมวดคิ้วอย่างไม่เป็นที่สังเกต จากข่าวที่ได้รับมาประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เคยได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องเก็บตัวมาหลายปี ตามหลักการตอนนี้เขาน่าจะอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด ทว่าเขายังกล้าแสดงตัวอีกหรือ?


หรือประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะทำเป็นแข็งแกร่งภายนอก แต่ที่จริงข้างในคืออ่อนล้าเหี่ยวแห้งไปหมดแล้ว?


แสงวาบขึ้นในดวงตาของหลิ่วเทียนเต้า จากนั้นเขาก็ยกฝ่ามือ ทุกคนเงยหน้าก็เห็นคลื่นหลิงในบริเวณนี้มารวมตัวกันอย่างป่าเถื่อน ภูเขาหลากสีคลื่นหลิงปรากฏออกมาบนอากาศ


แม้ภูเขาจะดูธรรมดา แต่ก็หนักราวกับภูเขานับล้านชั่ง เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายังต้านรับไม่ได้ เพราะนี่เกิดจากคลื่นหลิงบริสุทธิ์ระหว่างฟ้าดิน


กลยุทธ์รูปแบบฟ้าดิน


หมายความว่ามีเพียงจอมยุทธ์ที่ก้าวสู่ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ รวมคลื่นหลิงจากทั้งฟ้าดินไว้ได้เพียงการสะบัดมือครั้งเดียว


“ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นี่คือของขวัญมอบให้เจ้า!”


หลิ่วเทียนเต้าสะบัดแขนเสื้อ ขณะภูเขาทอดเงาขนาดใหญ่ปกคลุมเหล่าจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ไว้ทั้งหมด เป็นเรื่องง่ายหากเขาต้องการรู้ว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์แข็งแกร่งภายนอก อ่อนล้าเหี่ยวแห้งภายในหรือไม่ แค่ลองทุกอย่างก็จะกระจ่างเอง


หากเป็นอย่างที่หลิ่วเทียนเต้าเดาเอาไว้ว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์อยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุดในตอนนี้ วันนี้ก็จะเป็นวันที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์พังพินาศ เหตุผลที่เขาให้แดนร้อยสงครามท้าทายอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็เพื่อบีบให้ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์แสดงตัวออกมาเท่านั้น…


ตู้ม!


เงาปกคลุมลงมา จอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็มีสีหน้าซีดเผือดลง เผชิญกับการโจมตีในระดับนี้ พวกเขาไม่มีทางหลบหนีได้เลย พลังที่มีห่างไกลกว่าระดับตี้จื้อจุนไปหลายโยชน์


ดังนั้นสายตาจำนวนมากจึงพุ่งตรงไปที่ร่างซึ่งนั่งนิ่งอยู่บนบัลลังก์


มู่เฉินก็มองไปอย่างกังวลใจ ฝ่ามือของเขาชื้นไปด้วยเหงื่อ หากเขาถูกสังหารที่นี่ ก็เป็นเรื่องตลกร้ายเกินไปแล้ว


ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน ในที่สุดร่างบนบัลลังก์ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสูดหายใจลึก สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน ภูเขาคลื่นหลิงที่ดิ่งลงมากลายเป็นแนวแสงพุ่งเข้าไปในปากร่างที่อยู่บนบัลลังก์ ถูกกลืนกินไว้จนหมดสิ้น


ซื้ดดด!


จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนอ้าปากตาค้างไปเลยทีเดียว


739 การเดิมพัน

ผู้คนในบริเวณนี้อึ้งทึ่งไปเมื่อมองร่างแสงบนบัลลังก์


ไม่มีใครคิดเลยว่ากระบวนท่าที่น่าตกใจของหลิ่วเทียนเต้าจะถูกกลืนลงไปในคำเดียว


มู่เฉินก็พูดไม่ออกเกี่ยวกับความแตกต่างของขุมพลังระหว่างตี้จื้อจุนกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนทั่วไป นี่มากเสียจนทำให้ตกใจไปเลยทีเดียว หากไม่ใช่เพราะประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ออกโรงเองแล้วละก็ การโจมตีของหลิ่วเทียนเต้าคงจะก่อให้เกิดหายนะใหญ่กับกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นแน่ การมีพลังถึงระดับนี้เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะต่อกรด้วยจำนวน เว้นแต่ว่าจะเป็นจั้นเจิ้นซือที่มีกองทัพทรงพลัง…


ดวงตาล้ำลึกของหลิ่วเทียนเต้าหดลงเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นหนักใจแวบหนึ่งแบบแทบไม่ทันสังเกต แม้นี่จะไม่ใช่การโจมตีเต็มกำลัง แต่วัตถุสงค์ของเขาก็ได้รับการเติมเต็มแล้ว


การรับพลังโจมตีอย่างง่ายดายโดยที่คลื่นหลิงไม่ปั่นป่วนแม้แต่น้อย ชัดว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้อยู่ในสภาพอ่อนแออย่างที่เขาคิดไว้


“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…” แววตาของหลิ่วเทียนเต้าเย็นเยือกลง ข้อมูลที่เขาได้รับมาไม่ผิดพลาดแน่ ช่วงเวลานี้น่าจะเป็นช่วงที่อาการบาดเจ็บประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์กำเริบและน่าจะอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด แต่ดูจากที่เห็นตอนนี้แล้ว พลังก็ยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม


“ดูเหมือนประมุขหลิ่วจะอยากสู้กับข้างั้นหรือ?” ขณะที่สายตาของหลิ่วเทียนเต้าเปลี่ยนแปร คนบนบัลลังก์ก็เอ่ยเสียงพร่า คลื่นเสียงสั่นกระเพื่อมทำให้แม้แต่มิติยังบิดเบี้ยว


“ฮ่าๆ ข้าแค่อยากรู้ว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จะมีพัฒนาการเท่าไรหลังจากผ่านมาหลายปีแล้วเท่านั้น”


หลิ่วเทียนเต้าโบกมือยิ้มบาง อึดใจก็มองไปยังสนามรบกว้างใหญ่ไพศาล “แต่ดูจากสถานะของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นี่ดูเป็นการรังแกกันเกินไปที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้ระดับนี้ ตำหนักสุดนภาของข้ามีความสัมพันธ์กับแดนร้อยสงคราม ดังนั้นถ้าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต้องการจะรังแกด้วยขุมกำลังที่มี ตำหนักสุดนภาของข้าคงไม่ยืนมองอยู่ข้างๆ แน่นอน”


“งั้นวันนี้ข้าจะดูว่าตำหนักสุดนภาของเจ้ามีความสามารถขนาดไหน” ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์บนบัลลังก์แค่นเสียง ในน้ำเสียงไม่ปรากฏความกลัวใดๆ ต่อเรื่องที่ตำหนักสุดนภาจะเข้ามายุ่ง


หลิ่วเทียนเต้ายิ้มพลางมองประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ “ทำไมพูดเช่นนั้นเล่าท่านประมุข? เจ้ากับข้าต่างรู้สถานการณ์กันดี หากเจ้าลงมือ ข้าก็ต้องขัดขวางจนเจ้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น….หากพวกเจ้าต้องการจะสู้ตายกับแดนร้อยสงคราม ที่จริงข้าเต็มใจที่จะให้เรื่องนี้เกิดขึ้นนะ”


รัศมีรอบตัวประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์วูบไหว จากนั้นเขาก็ยิ้มบาง “งั้นก็หยุดพล่ามได้แล้ว บอกสิ่งที่เจ้าต้องการมา”


หลิ่วเทียนเต้ายิ้ม “เจ้าตรงไปตรงมาจริงๆ แต่ข้าไม่ได้เป็นฝ่ายจัดการ ดังนั้นเจ้าลองถามประมุขทั้งสามแห่งแดนร้อยสงครามถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการเถอะ”


เมื่อสิ้นเสียงหลิ่วเทียนเต้า เฒ่าเร้นกระบี่แห่งหุบเขาหมื่นศาสตราก็ประสานมือคำนับประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์พร้อมยิ้มตาหยี “ในเมื่อเราทั้งคู่ต่างไม่อยากให้เกิดการสู้รบในวันนี้ แต่ก็จะปล่อยให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์กลับไปมือเปล่าไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แดนร้อยสงครามขอเสนอการเดิมพันเพื่อป้องกันการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก มิหนำซ้ำยังได้ผลลัพธ์จากเรื่องในวันนี้ด้วย ผู้แพ้จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ชนะด้วยของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยดพร้อมกับมอบเมืองหนึ่งพันเมือง ไม่ทราบว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์คิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง?”


“ของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยด? เมืองหนึ่งพันเมือง?”


เมื่อพูดถึงเดิมพัน ความโกลาหลก็แผ่กระจายออกไป แม้แต่เหล่าจอมพลยังสายตาวูบไหว แม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาจะสามารถจ่ายของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยดออกมาได้ แต่นี่ก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย


นอกจากนี้มูลค่าเมืองหนึ่งพันเมืองก็น่าตกใจโดยแท้จริง หากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาต้องส่งมอบเมืองให้ คงเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดใจไประยะหนึ่งอย่างแน่นอน


มู่เฉินลอบเดาะลิ้น พวกเขาค้นไปทั่วสำนักสายฟ้าปีศาจถึงได้ของเหลวจื้อจุนมาสองแสนหยด แต่ตอนนี้การประลองกับแดนร้อยสงครามกลับเรียกร้องของเหลวจื้อจุนถึงหนึ่งล้านหยด ปริมาณนี้ทำเอาน้ำลายสอเลยจริงๆ


เหล่าจอมพลเหลือบมองประมุขรอคอยการตัดสินใจ


ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่พูดด้วยน้ำเสียงไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ ตามเคย “เจ้าจะสู้กันยังไง?”


“ง่ายนิดเดียว” เฒ่าเร้นกระบี่ยิ้ม “การประลองแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม การต่อสู้ของจอมพล-ผู้บัญชาการ-แม่ทัพ… ก็หมายความว่าแต่ละฝ่ายจะส่งผู้เข้าแข่งขันอย่างละหนึ่งคนที่อยู่ในระดับเดียวกันมาสู้กัน ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะมากที่สุดจะเป็นฝ่ายชนะ”


“ทำไมต้องทำให้วุ่นวายด้วย พวกเจ้าสามจากแดนร้อยสงครามกับพวกข้าก็สู้กันเลยไม่ง่ายกว่าหรือ? หรือว่าพวกเจ้าไม่มั่นใจตัวเอง?” เทียนจิ้วยิ้มบาง


“ฮ่าๆ แบบนั้นไม่เห็นน่าสนใจเลย เรื่องแบบนี้ต้องให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่บ้างน่ะ” เฒ่าเร้นกระบี่ยิ้ม


เทียนจิ้วขมวดคิ้วพลางมองประมุขของตนเอง ในเมื่ออีกฝ่ายพยายามจะใช้ลูกไม้นี้ ดังนั้นจึงมีความไม่แน่นอนในการต่อสู้มากขึ้น


รัศมีรอบกายประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์วูบลงเบาบาง สายตากวาดมองไปยังจอมยุทธ์จำนวนมากในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จากนั้นเสียงแหบพร่าไร้อารมณ์ก็ดังขึ้น “ตกลง อาณาเขตกงเวทสวรรค์รับคำท้านี้”


“ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์กล้าหาญจริงๆ” เฒ่าเร้นกระบี่ยิ้มด้วยความเคารพ


“ส่งจอมยุทธ์สามคนจากแดนร้อยสงครามออกมาซะ ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามั่นใจขนาดไหน” ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เอ่ยเบาๆ


เฒ่าเร้นกระบี่ยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรขึ้น อสูรพิลาลสที่ยังไม่ได้พูดอะไรก็ก้าวเท้าออกมา สายตาล้ำลึกพุ่งตรงไปที่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เอ่ยเสียงราบเรียบ “ขอให้จอมพลอาณาเขตกงเวทสวรรค์ชี้แนะด้วย”


เมื่อเห็นเขาเดินออกไป เฒ่าเร้นกระบี่และปีศาจภูเขาศพก็คลี่ยิ้ม ไม่ได้คัดค้านอะไร นี่คงเป็นแผนการที่พวกเขาวางไว้ล่วงหน้าแล้ว


“อสูรพิลาลสออกโรงเองเลยเหรอ” ถังปิงมองชายหัวล้านด้วยใบหน้าเคร่งเครียดมากลงกว่าเดิม ในบรรดาหัวหอกทั้งสามแห่งแดนร้อยสงคราม อสูรพิลาลสเป็นคนที่มีข้อมูลน้อยมาก มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่ยากจะหยั่งถึงมากที่สุดอีกด้วย


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ อสูรพิลาลสไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือง่ายเลย


หลังจากอสูรพิลาลสเดินออกมา เฒ่าเร้นกระบี่ก็โบกมือ ทันใดนั้นในกลุ่มคนก็แหวกทางออกพร้อมกับร่างสีดำค่อยๆ เดินออกมา


นอกเหนือจากรูปลักษณ์ของร่างสีดำ กลิ่นเหม็นเน่าของซากศพก็คละคลุ้งออกมา ทุกคนเบนสายตาไปก็มองเห็นร่างที่ดูเปราะบางอยู่ในผ้าพันแผลสีดำราวกับมัมมี่ ยิ่งกว่านั้นยังมีลวดลายประหลาดปรากฏอย่างเห็นได้ชัดบนผ้าพันแผลสีดำเหล่านั้นด้วย


เมื่อร่างประหลาดพิลึกนี้ปรากฏ เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นทั่วบริเวณ


“นั่นคือ…ผู้บัญชาการซือหลิงแห่งสำนักศพปีศาจ คนผู้นั้นไม่ใช่ว่าหายตัวไปนานแล้วหรือ? เขามาปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว…” ถังปิงอุทานออกมาเช่นกัน


“ผู้บัญชาการซือหลิง?” มู่เฉินอึ้งไป


“เขาเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักศพปีศาจ ลือกันว่าพลังของเขาอยู่ต่ำกว่าปีศาจภูเขาศพเท่านั้น แต่เขาหายหน้าไปเมื่อหลายปีก่อน คนส่วนใหญ่คิดว่าเขาตายแล้วซะอีก ไม่คิดว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่” ถังปิงเอ่ย


มู่เฉินขมวดคิ้ว ผู้บัญชาการซือหลิงให้ความรู้สึกประหลาดใจยังไงไม่รู้


“ไม่รู้ว่าแม่ทัพคนไหนของแดนร้อยสงครามจะออกมา?” มู่เฉินเอ่ยเบาๆ เทียบกับสองคนก่อนหน้า เขารู้สึกสนใจจอมยุทธ์ในระดับเดียวกับตนเองมากกว่า


“แดนร้อยสงครามเลือกผู้นำทัพที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน ซึ่งมีสามคนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุด หลินชิงเฟิงจากหุบเขาหมื่นศาสตรา มั่วมั่วจากสำนักศพปีศาจและฉิงเปยจากพิลาลสสวรรค์ ในหมู่สามคนนี้หลินชิงเฟิงมืชื่อเสียงโด่งดังที่สุด มั่วมั่วเหี้ยมโหดดุร้ายที่สุด ขณะที่ฉิงเปยพยายามไม่เป็นที่สนใจที่สุด…” ถังปิงเอ่ย


มู่เฉินทวนคำพูดพลางพยักหน้าเบาๆ


“แต่อย่าหวังมากเกินไปล่ะ มีโอกาสสูงที่เจ้าจะไม่ได้เป็นตัวแทนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์” ถังปิงยิ้มขณะเหลือบมองมู่เฉิน “ข้าไม่ได้จะสกัดดาวรุ่งนะ แต่มีสูชิงกับโจวเยี่ยมีฐานชื่อเสียงมานาน แม้ช่วงนี้เจ้าจะผงาดขึ้นเร็ว แต่ในสายตาของหลายๆ คน พวกเขาน่าเชื่อใจมากกว่า ดังนั้นท่านประมุขคงจะเลือกหนึ่งในสองคนนั้นน่ะ”


มู่เฉินถูจมูกและยิ้ม “สูชิงกับโจวเยี่ยแข็งแกร่ง ข้าไม่ว่าอะไรถ้าพวกเขาจะออกไปหรอก อีกอย่างก็ช่วยให้ข้าไม่ต้องเสี่ยงชีวิตด้วย”


“ดีแล้วที่เจ้าคิดในแง่บวก แม้ว่าเราจะรู้ว่าเจ้าไม่ได้อ่อนแอกว่าพวกเขาก็ตาม” ถังปิงยิ้มขณะเอ่ยปลอบ


มู่เฉินยักไหล่เงยหน้าขึ้น เขาเห็นเฒ่าเร้นกระบี่โบกมืออีกครั้งและคนที่ออกมาก็จะเป็นแม่ทัพแดนร้อยสงคราม


ถัดไปทางด้านหลังมีชายสามคนยืนอยู่บนอากาศ คนหนึ่งคือหลินชิงเฟิงที่มู่เฉินเคยพบมาก่อน ที่ยืนอยู่ทางขวาคือมั่วมั่วที่สวมชุดสีดำ ทางซ้ายเป็นชายร่างผอมหัวล้าน เขาคือฉิงเปยที่ดูธรรมดามากที่สุดในสามคนนี้


เมื่อเฒ่าเร้นกระบี่โบกมือ หลินชิงเฟิงกับมั่วมั่วก็สบตากันก่อนจะเบ้ปากก้าวถอยหลัง เพื่อเปิดทางให้ฉิงเปยที่มีดวงตาริบหรี่


เห็นชัดว่าพวกเขาเลือกฉิงเปยเป็นนักสู้ระดับแม่ทัพ


“เลือกเขาจริงๆ ด้วย” ถังปิงมุ่นคิ้วเมื่อเห็นภาพนี้ ในหมู่ขั้วอำนาจทั้งสามแห่งแดนร้อยสงคราม สำนักศพปีศาจเป็นสำนักที่ไม่โดดเด่น แต่กลับต่อกรด้วยยากที่สุด


“ฮ่าๆ ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกข้าเลือกนักสู้แล้ว ไม่รู้แล้วว่านักสู้ที่เจ้าจะส่งออกมามีใครบ้าง?” เฒ่าเร้นกระบี่ยิ้มตาหยี


สายตานับไม่ถ้วนจ้องไปที่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ รัศมีรอบตัวขยับไหวเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอนตัวพิงบัลลังก์อย่างเกียจคร้านเอ่ยเสียงเรียบ “ซุ่ยนอน”


ท่ามกลางเหล่าจอมพล ซุ่ยนอนที่มีดวงตาง่วงงุนก็ลืมตาขึ้นเหลือบมองอสูรพิลาลสที่อยู่ไกลออกไปพลางยิ้มและพยักหน้า


เห็นชัดว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เลือกจอมยุทธ์ยากหยั่งถึงแบบจอมพลซุ่ยนอนรับมือกับอสูรพิลาลส


“ซิวหลัว” ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ขานชื่ออีกครั้ง


การเลือกเป็นไปตามที่คาดไว้ เพราะซิวหลัวแข็งแกร่งที่สุดในหมู่เก้าผู้บัญชาการ


หลังจากเลือกซิวหลัว ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็นิ่งเงียบไป จากนั้นสายตานับไม่ถ้วนก็มองไปที่สูชิงกับโจวเยี่ย แต่ทั้งสองก็ยังคงสีหน้าสงบนิ่ง


ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เคาะนิ้วเบาๆ บนพนักเก้าอี้ สายตาที่เหมือนสามารถมองผ่านจิตใจกวาดมองสูชิงกับโจวเยี่ย ก่อนจะเบนมามองที่มู่เฉินที่กำลังหลับตาสงบจิตใจอยู่


“มู่เฉิน”


เสียงเรียบเฉยดังขึ้นทำเอาทุกคนตะลึงไป แม้แต่จิ่วโยวที่อยู่ไม่ไกลนักก็ยังมองอย่างตกตะลึง เห็นชัดว่าไม่มีใครคิดว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเลือกมู่เฉินที่มีคุณสมบัติต่ำที่สุด…


740 จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด

“มู่เฉิน…”


เมื่อเสียงแหบพร่าของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดังขึ้น คนจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เงียบไป ตามด้วยเสียงฮือฮาที่ไม่สามารถระงับได้


ทุกคนหันขวับไปมองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง


สูชิงกับโจวเยี่ยก็อึ้งไปพลางแลกเปลี่ยนสายตากัน ริมฝีปากของพวกเขาขยับแต่ไม่มีคำพูดใดออกมา เพราะนี่เป็นการตัดสินจากประมุขเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าคัดค้านคำพูดนั่น


แต่ต่อให้พวกเขาไม่ได้พูดออกไป ในดวงตาก็ยังคงฉายแววสงสัย พวกเขาเคยเห็นการประลองระหว่างมู่เฉินกับหวูเทียน ก็รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่มองเห็นแต่ภายนอก


แต่ตอนที่มู่เฉินสู้กับหวูเทียน เขาใช้รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ร่วมด้วย ตอนนี้เขาต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเอง… นี่ทำให้ทุกคนเกิดความกังขาขึ้นมา


ความโกลาหลบังเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่คนอื่นจะอึ้งไป แม้แต่มู่เฉินยังอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง จากนั้นเขาก็เหลือบมองถังปิงที่อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาพิลึกกึกกือ ถังปิงก็มีท่าทางไม่ต่างจากเขาเลย


ชัดเจนที่ตัวนางก็ไม่เข้าใจว่าทำไมประมุขถึงได้เลือกมู่เฉินออกไป…


แม้คนจำนวนมากจะมีความสงสัยในแววตา แต่ชื่อเสียงของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยิ่งใหญ่เหลือคณนาจนไม่มีใครกล้าส่งเสียงคัดค้าน เว้นแต่ความเงียบงันที่ตามมาหลังจากเกิดความวุ่นวายดูผิดปกติยิ่ง


จิ่วโยวมองมู่เฉินด้วยสายตาพิลึกพิลั่นลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนประสานมือ “ท่านประมุขเจ้าค่ะ มู่เฉินประสบการณ์ยังตื้นเขิน จะไม่เป็นอันตรายเกินไปหรือหากเราส่งเขาออกไป?”


เวลานี้การต่อสู้ทั้งสามนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง คนที่ถูกเลือกให้ออกมาสู้จะรู้สึกกดดันยิ่งใหญ่ ดีไปหากพวกเขาชนะ แต่ถ้าแพ้ละก็ แรงกดดันที่ได้รับจะไม่เบาเลย แม้จิ่วโยวต้องการให้มู่เฉินยืนหยัดอยู่ในการศึกครั้งนี้ แต่นางก็ไม่ต้องการให้มู่เฉินอยู่ในสถานการณ์อันตรายเหมือนกัน


พอได้ยินคำพูดของนาง ประมุขก็โบกมือยิ้ม “ไม่เป็นไร ให้เขาไปเถอะ”


พอเห็นการยืนกรานของประมุขแล้ว จิ่วโยวก็ไม่พูดอะไรอีก แต่สายตายังดูพิลึกไปเล็กน้อย นางไม่เข้าใจเลยว่าทำไมประมุขถึงให้ความสำคัญกับมู่เฉินมากนัก ตัดสินจากเหตุผลด้านพลังของมู่เฉินในตอนนี้ เขาไม่มีคุณสมบัติเข้าตาประมุขเลยสักนิด…


ทุกคนเงียบไปเมื่อเห็นและไม่เอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน คำพูดของประมุขถือเป็นสิทธิ์ขาดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าจะขัดคำพูด


ดังนั้นตัวแทนระดับแม่ทัพจึงเป็นของมู่เฉิน


จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนฝั่งกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์แลกเปลี่ยนสายตากันพลางลอบถอนใจ พวกเขาหวังว่าจะชนะในการประลองสองคู่แรกนะ ผลการประลองของมู่เฉินจะได้ไม่มีความสำคัญนัก


เผชิญหน้ากับสายตาทอดถอนใจประหลาด มู่เฉินก็ทำได้แต่บุ้ยปากเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับประมุขถึงได้ยืนกรานให้เขาออกไปสู้


“ฮ่าๆ ดูท่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเลือกคนเรียบร้อยแล้วนะ” เฒ่าเร้นกระบี่หัวเราะ กวาดสายตามองจอมพลซุ่ยนอนที่มีดวงตาหลุบต่ำพร้อมกับแววเกรงกลัวฉายในดวงตา เขารู้มาว่าในหมู่จอมพลอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ซุ่ยนอนนับว่ายากแท้หยั่งถึงที่สุด


จากนั้นสายตาของเขาก็กวาดไปที่ซิวหลัวที่อยู่ในชุดออกศึกที่มีสีหน้าเรียบเฉย แต่ภายใต้สายตาสงบนิ่ง กลับมีแววสังหารน่ากลัวพวยพุ่งจนทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา


ในบรรดาเก้าผู้บัญชาการ พลังของซิวหลัวนับว่าแข็งแกร่งที่สุด ลือกันว่าในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ซิวหลัวมีโอกาสสูงที่จะได้ขึ้นดำรงตำแหน่งจอมพล


สุดท้ายเฒ่าเร้นกระบี่ก็เบนสายตาไปที่มู่เฉิน เขาถึงกับอึ้งเมื่อมองไป ขุมพลังจื้อจุนขั้นสองเรอะ? แม่ทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์อ่อนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?


แววสงสัยวาบในดวงตาของเฒ่าเร้นกระบี่ แต่เขาก็ไม่แสดงอะไรออกมาพลางคลี่ยิ้ม “ในเมื่อเลือกนักสู้เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตัดสินใจเลือกลำดับการต่อสู้ได้เลย”


แสงหนาแน่นพวยพุ่งรอบตัวประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาเหลือบมองจอมพลซุ่ยนอนครู่หนึ่ง ฝ่ายหลังก็ค่อยๆ เดินออกมาด้วยรอยยิ้ม “ถ้างั้นก็เริ่มประลองจากคนที่แข็งแกร่งที่สุดก่อนเลย”


เมื่อเขาก้าวเท้าออกไปก็ปรากฏตัวบนท้องฟ้าสูง เขามองไปยังอสูรพิลาลส “ข้าได้ยินมานานแล้วว่า อสูรพิลาลสเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานที่ฝ่าฟันอุปสรรคจากพิภพเขตล่างมา โชคดีจริงๆ ที่จะได้รับการชี้แนะในวันนี้”


อสูรพิลาลสยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดนั่น ร่างเคลื่อนไหวเบาบางหายตัวไปอย่างลึกลับแล้วปรากฏตัวที่เบื้องหน้าซุ่ยนอนราวกับคลื่นน้ำ


“ข้าได้ยินเกี่ยวกับคัมภีร์เทพต้าเมิ่งที่พี่เมิ่งฝึกฝนอยู่ในภาวะกึ่งหลับ ข้าหวังว่าจะได้เห็นทักษะอันน่าสนใจในวันนี้” ดวงตาของอสูรพิลาลสที่ราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวมองไปที่ซุ่ยนอนขณะเอ่ยช้าๆ


“ตามที่ขอ”


ซุ่ยนอนยิ้ม ทว่าแววง่วงงุนตลอดเวลาในดวงตาวาบหายไปอย่างรวดเร็ว แทนที่ด้วยประกายคมกริบแรงกล้า


เขาสะบัดแขนเสื้อ ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าสดใสก็บิดเบี้ยวทันที แรงกดดันคลื่นหลิงน่ากลัวที่สามารถทำให้ท้องฟ้าแตกสลายก็กระจายปกคลุมไปทั่ว


ปัง! ปัง!


บนท้องฟ้าชั้นเมฆกระจายตัวทันที รอยแตกบิดเบี้ยวน่ากลัวปรากฏในมิติ อึดใจซุ่ยนอนก็กำมือ รอยแตกคลื่นมิติสีดำเมื่อมก็ผุดขึ้นในมือ ราวกับอสรพิษตัวเล็กสีดำ ทว่ามีเพียงคนที่สายตาเฉียบแหลมเท่านั้นที่บอกได้ว่ามีพลังงานน่ากลัวเพียงใดที่บรรจุอยู่ภายในอสรพิษตัวเล็ก


นี่คือพลังงานของมิติ


“ควบคุมมิติได้ ระดับจื้อจุนขั้นแปด”


จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนสูดหายใจลึก มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดเท่านั้นที่สามารถควบคุมพลังของมิติได้อย่างสบายๆ และการที่สามารถทำเช่นนั้นได้ ก็หมายความว่าซุ่ยนอนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด!


ทางด้านหลัง เทียนจิ้วกับหลิงถงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นดังนี้ ดูเหมือนจะโดนซุ่ยนอนแซงหน้าไปก้าวหนึ่งอีกแล้ว แม้พวกเขาจะได้สัมผัสถึงขอบเขตของขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด แต่ก็ยังมีระยะห่างพอสมควรกับการบรรลุอย่างแท้จริง


“สมกับเป็นจอมพลซุ่ยนอนจริงๆ…” ถังปิงอดไม่ได้ที่จะชื่นชม จากที่นางรู้มา พลังของสามจอมพลที่แสดงออกมาน่าจะอยู่ในช่วงขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แต่เห็นชัดว่าข้อมูลดังกล่าวล้าสมัยไปแล้ว


มู่เฉินพยักหน้ามองร่างที่ยืนอยู่บนท้องฟ้า พลังงานที่แผ่จากร่างนั่นสามารถทำลายล้างและสร้างหายนะได้เลย


ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ซุ่ยนอนก็ยิ้มบางให้อสูรพิลาลสพลางดีดนิ้ว อสรพิษเล็กสีดำในมือหายไปอย่างลึกลับ


ตู้ม!


เมื่ออสรพิษเล็กที่เกิดจากพลังงานของมิติหายไป มิติรอบด้านอสูรพิลาลสก็บิดเบี้ยวฉับพลัน อึดใจมิติก็ฉีกออกเกิดรอยแตกน่ากลัวเกิดขึ้น ดูราวกับมิติถูกเฉือนขณะที่พุ่งไปหาอสูรพิลาลสโดยไม่ลังเลใดๆ


ไม่มีการเคลื่อนไหวสั่นสะเทือนของคลื่นหลิงใดๆ จากการโจมตีกระบวนท่านี้ แต่อันตรายที่อยู่ภายในกลับเหนือกว่าการปะทะระหว่างคลื่นหลิงเสียอีก พลังที่อยู่ในรอยแตกมิติสามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าได้ในทันที จุดสำคัญอยู่ที่นี่ไม่ใช่การโจมตีที่คนทั่วไปสามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะเร็วขนาดไหน ก็ไม่สามารถเทียบกับความเร็วของคนที่ฉีกมิติออกจากกันได้


สีหน้าของอสูรพิลาลสไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยื่นมือไปข้างหน้า เขายิ้มบางขณะที่มิติรอบตัวบิดเบี้ยวเช่นกัน รอยแตกมิติน่ากลัวปรากฏขึ้นปะทะกับรอยแตกมิติที่พุ่งตรงเข้ามา


ชี่! ชี่! ชี่!


เสียงคลื่นละเอียดดังมาจากท้องฟ้าขณะที่รอยแตกมิติปะทะกัน กัดกร่อนซึ่งกันและกัน แต่กลับไม่มีเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวดังออกมาเลย


“ควบคุมมิติ?”


“แม้แต่อสูรพิลาลสก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแล้ว!”


บางคนถึงกับอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ ทุกคนบอกได้ว่าอสูรพิลาลสเลือกใช้ทักษะแบบเดียวกันในการลบล้างการโจมตีของรอยแตกมิติที่พุ่งเข้ามา


เห็นชัดว่าอสูรพิลาลสก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแล้วเหมือนกัน!


“ชายคนนั้นช่างน่าสะพรึงสมคำล่ำลือที่ทะลุผ่านขอบเขตของพิภพเขตล่างขึ้นมาได้” ถังปิงเอ่ยพลางขมวดคิ้วแน่น


“ดูเหมือนจะต้องเกิดการประลองดุเดือดเลือดพล่านเพื่อตัดสินผลลัพธ์นี้แล้ว” มู่เฉินมีสีหน้าเคร่งขรึมลง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอสูรพิลาลสถึงถูกเลือกให้ประลองระดับจอมพล เขาปกปิดความแข็งแกร่งไว้มากมายขนาดนี้ แม้แต่ในผู้นำแดนร้อยสงคราม ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดของเขาก็คงนับว่าแข็งแกร่งที่สุดแล้ว


“เรื่องชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้ว ข้าหวังว่าฝีมือจะไม่ขึ้นสนิมหลังจากไม่ได้สู้มานาน” ซุ่ยนอนมองภาพตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แต่สายตากลับเริ่มเปลี่ยนเป็นคมกริบ คู่ต่อสู้เช่นนี้สมแล้วที่จะทำให้เขาต้องเผยความจริงจังออกมา


“ชี้แนะด้วย พี่เมิ่ง” อสูรพิลาลสยิ้มโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ ในดวงตา


ซุ่ยนอนยิ้มพลางหลับตาลง เมื่อดวงตาเขาปิดลง มิติเบื้องหลังก็เริ่มบิดเบือน พื้นที่นี้ราวกับกลายเป็นหลุมดำขณะที่ดูดกลืนคลื่นหลิงทั่วบริเวณอย่างรุนแรง


เมื่อเส้นสายคลื่นหลิงมารวมตัวกัน ร่างใหญ่โตขนาดหลายพันจั้งก็ค่อยๆ ก่อตัว


ร่างนั้นนั่งอยู่บนท้องฟ้า ล้อมรอบด้วยแสงพร่างพราวแต่มันไม่ใช่ภาพลวงตา ขณะที่แสงไหลเวียนก็ดูเหมือนกับร่างร่างหนึ่ง ช่างเหมือนยักษ์ตัวเป็นๆ เลยทีเดียว!


ยิ่งกว่านั้นยังมีมังกรทองม้วนตัวอยู่รอบร่างยักษ์ มังกรขนาดใหญ่โตขดตัวอยู่บนร่างนั้นชูหัวขึ้นสูง ราวกับกำลังกลืนกินสวรรค์และโลก


เมื่อร่างใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้น ท้องฟ้าก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ราวกับไม่สามารถทนต่อแรงกดดันนั้นได้


โฮก!


มังกรทองคำราม คลื่นเสียงก็ดังก้องไปทั่วชั้นฟ้า คลื่นกระแทกสีทองกวาดออกมา พริบตาเดียวก็ทำให้ผืนฟ้าถล่มและผืนดินทลาย!


มู่เฉินมองร่างมหึมาและมังกรทองที่ล้อมรอบก็อดหดตาลงและพึมพำกับตัวเองไม่ได้


“นี่คือ…ร่างมังกรฟ้างั้นหรือ?”


ร่างมังกรฟ้าอันดับเจ็ดสิบในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง!


741 จอมพลซุ่ยนอนล้ำลึกยากหยั่งถึง

ร่างเทห์สวรรค์มหึมานั่งอยู่บนท้องฟ้า


คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ราวกับมหาสมุทรกรีดร้องด้วยความผันผวนรุนแรงที่แผ่ออกมา ช่างดูตระการตายิ่งนัก


บนร่างเทห์สวรรค์ของซุ่ยนอนมีมังกรทองขนาดใหญ่ขดรอบกาย มังกรทองอ้าปากปล่อยเสียงมังกรคำรามดังก้อง แผ่พลังอำนาจของมังกรออกมา


ร่างมังกรฟ้าอันดับเจ็ดสิบในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง!


จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ พวกเขามองร่างมหึมาที่ปกคลุมไปทั้งบริเวณ ร่างเทห์สวรรค์ที่ซุ่ยนอนเรียกออกมาด้วยพลังระดับจื้อจุนขั้นแปดดูหนาแน่นอย่างกับร่างจริง ระดับความหนาแน่นนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ร่างเทพสุริยะของมู่เฉินก็ไม่อาจเทียบได้


มู่เฉินตะลึงชื่นชมขณะมองร่างมังกรฟ้า นี่คือร่างเทห์สวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยเห็นมาแล้ว ความจริงแล้วนี่เป็นเพราะความแข็งแกร่งที่น่ากลัวของซุ่ยนอน แม้แต่ร่างเทห์สวรรค์ธรรมดายังมีพลังทำลายล้างน่ากลัวได้เมื่ออยู่ในมือของจอมยุทธ์เช่นนี้


“ลือกันว่าร่างมังกรฟ้าต้องใช้มังกรฟ้าเป็นสื่อกลางถึงจะชำระได้สำเร็จ…”


สิ่งนี้ทำให้มู่เฉินตะลึงไปกับความจริงที่ว่าร่างมังกรฟ้าต้องใช้มังกรฟ้าเป็นสื่อกลางในการชำระ ยิ่งกว่านั้นยังต้องดูดซับคลื่นหลิงของมันหลอมรวมเข้ากับตัวเอง ทว่ามังกรฟ้าเป็นมังกรชั้นสูงในเผ่ามังกรที่มีพลังยากแท้หยั่งถึง ยิ่งกว่านั้นพวกมันยังมีพื้นหลังแข็งแกร่ง ดังนั้นการได้มาจึงเป็นยากพอกับปีนขึ้นสวรรค์เลย แต่ซุ่ยนอนกลับสามารถประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ คิดว่าเขาคงได้เจอปาฏิหาริย์ใหญ่


ท่ามกลางเสียงอุทานก้องฟ้า อสูรพิลาลสก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ท่าทางสงบนิ่งเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อมองร่างใหญ่โตที่ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ อึดใจเขาก็วาดตราประทับด้วยมือเดียว


ตู้ม!


เมื่อตราประทับวาดขึ้น คลื่นหลิงเชี่ยวกรากก็กวาดออก แสงสีทองเจิดจ้ารวมตัวเบื้องหลัง ไม่กี่อึดใจ แสงสีทองก็กลั่นตัว ร่างเทห์สวรรค์สีทองที่ไม่ด้อยกว่าร่างมังกรฟ้าก็ยืนอยู่เบื้องหลังอสูรพิลาลส


นี่เป็นร่างเทห์สวรรค์ที่ดูราวกับหลอมมาจากทองคำมีบาตรอยู่ในมือขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยลวดลายโบราณนับไม่ถ้วน ของเหลวสีทองปรากฏอยู่ภายใน ราวกับมันกำลังจะกระฉอกออกจากบาตร


“นั่นมันร่างมหาวัชระ! อันดับเจ็ดสิบสามในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง!”


สายตานับไม่ถ้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึงขณะมองร่างเทห์สวรรค์สีทอง ที่มีร่างราวกับหลอมมาจากทองคำพร้อมกับความแข็งแกร่งที่ไม่อาจจินตนาการได้


เห็นชัดว่าร่างเทห์สวรรค์ที่อสูรพิลาลสเรียกออกมาจะไม่ธรรมดาเช่นกัน


ร่างเทห์สวรรค์ใหญ่โตทั้งสองยืนอยู่ค้ำสวรรค์และโลก แม้แต่ท้องฟ้ายังมืดมนจากแรงกดดัน ทุกคนถึงกับกลั้นหายใจกับภาพนี้


ซุ่ยนอนลอยตัวขึ้นช้าๆ สุดท้ายก็ร่อนลงบนหัวของร่างมังกรฟ้า เขามองร่างมหาวัชระแต่ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพราะเขารู้ว่าจะต้องมีผู้ชนะการประลองระหว่างพวกเขาในวันนี้อย่างแน่นอน


ในระดับพลังของพวกเขาจะต้องใช้ไพ่ตายที่ซ่อนอยู่เป็นตัวตัดสินตัวผู้ชนะ ซึ่งนั่นเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


“ตู้ม!”


แต่ซุ่ยนอนไม่ใช่คนลังเล สายตาของเขาวูบไหวพร้อมกับกระทืบเท้าลงไป มังกรทองบนร่างเทห์สวรรค์ก็อ้าปากน่ากลัวออก ดูดอากาศเข้าไปเต็มอัด


ปัง! ปัง!


มิติทลายตัวตรงหน้า เศษเสี้ยวนับไม่ถ้วนถูกดูดเข้าไปในปากมังกรฟ้า อึดใจคลื่นหลิงสีทองและเศษเสี้ยวมิติสีดำก็ถูกพ่นออกมาราวกระแสน้ำเชี่ยวกราก


ลมหายใจมังกรสลายมิติ!


วาบ!


กระแสสีทองทะลุผ่านมิติโดยตรง โดยไม่คำนึงถึงระยะทางก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้าร่างมหาวัชระ กระแสเชี่ยวกรากที่รวบรวมพลังของมิติมากเท่านี้เพียงพอที่จะทำลายทุกอย่างที่ขวางทางมัน


“ฝ่ามือมหาวัชระ!”


อสูรพิลาลสมีสีหน้าเคร่งขรึมขณะที่จิตเคลื่อนที่ ร่างมหาวัชระก็เหวี่ยงฝ่ามือขยายออกไปกางต้านลมสลาตัน เมื่อแสงสีทองส่องประกายก็เปลี่ยนเป็นภูเขาทองคำปะทะกับกระแสเชี่ยวกรากที่ซัดเข้ามา


ตึง!


ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนเลือนลั่นทันทีที่เกิดการปะทะกัน พายุเฮอริเคนขนาดหลายพันจั้งก่อตัวขึ้นจากการปะทะ ดูราวกับมังกรปีศาจกวาดคร่าชีวิตทั่วแผ่นดิน ทำให้พื้นฟ้าถล่มพื้นดินทลาย


กระแสสีทองปะทะกับฝ่ามือยักษ์ที่ดูราวกับภูเขาทองคำ มิติแตกออกเป็นชั้นๆ ฝ่ามือทองคำกระเด็นกลับไปหลายร้อยจั้ง แต่ขณะที่สลายตัวลง ก็สกัดกระแสเชี่ยวกรากที่บรรจุด้วยเศษมิติไว้ได้


พายุเฮอริเคนระหว่างสวรรค์กับโลกกวาดอาละวาดต่อเนื่อง ทำให้หัวใจของผู้สังเกตการณ์นับไม่ถ้วนโลดขึ้น การปะทะในระดับนี้น่ากลัวจริงๆ


ดวงตาของอสูรพิลาลสวูบไหวขณะมองกระแสทองคำที่กดทับมาหา สายตาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลงหลายส่วน ทว่าเมื่อสายตาเคร่งขรึมลง ร่างกายกลับผ่อนคลายลง


“สมกับเป็นหัวหน้าจอมพลจริงๆ”


เสียงราบเรียบของอสูรพิลาลสดังขึ้นพร้อมกับพายุเฮอริเคนแผ่ขยายออกไปทั่วบริเวณ เขาจ้องมองซุ่ยนอนที่ยืนอยู่บนศีรษะของร่างมังกรฟ้าพลางสูดหายใจลึก ระดับพวกเขาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินตัวผู้ชนะได้ด้วยวิธีธรรมดา ในเมื่อเป็นเช่นนี้….ก็ไม่จำเป็นต้องออมมืออีกต่อไป


“ถ้าเจ้ารับกระบวนท่านี้ได้ ก็ถือว่าเป็นผู้ชนะ!”


อสูรพิลาลสหลับตาลงช้าๆ จากนั้นก็ประสานฝ่ามือทั้งสองเข้าด้วยกัน บาตรทองของร่างเทห์สวรรค์ที่ดูราวกับหลอมมาจากทองคำก็ค่อยๆ ลอยขึ้น


บาตรทองขยายขนาดขึ้นตามสายลม พริบตาก็มีขนาดร้อยจั้ง ลวดลายสีทองโบราณกะพริบวูบไหว จากนั้นก็หมุนตัวพุ่งไปที่ซุ่ยนอนและร่างมังกรฟ้า


ขณะที่บาตรหมุนตัว พายุเฮอริเคนในบริเวณนี้ก็แข็งค้างทันที มากจนแม้แต่การไหลเวียนของอากาศก็ชะลอตัวลง อันตรายที่ไม่อาจบรรยายได้หมุนคว้างระหว่างฟ้าดิน


จอมยุทธ์ทุกคนต่างรู้สึกเย็นเยือกที่ผิวหนัง


เห็นชัดว่าอสูรพิลาลสตัดสินใจไม่ลากการต่อสู้ออกไปอีก ปล่อยกระบวนท่าโจมตีสุดท้ายเพื่อตัดสินตัวผู้ชนะอย่างรวดเร็ว


สีหน้าของมู่เฉินตึงเครียดขณะมองภาพนี้ เขาสัมผัสได้ว่ามีความผันผวนที่น่ากลัวไหลออกจากบาตร นี่จะต้องเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของอสูรพิลาลสแน่นอน


“เขาจะทำอะไร?” ถังปิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น


สายตาของมู่เฉินสั่นไหวขณะเอ่ยเบาๆ “คงจะใช้ทักษะเทห์สวรรค์แล้ว…”


ทักษะเทห์สวรรค์เป็นบางสิ่งที่มีเพียงร่างเทห์สวรรค์ทรงพลังจะมีได้ เมื่อตัดสินจากสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ดูท่าว่าร่างมหาวัชระก็มีความสามารถนี้อยู่เช่นกัน


ความน่ากลัวของอำนาจจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดที่ใช้ทักษะเทห์สวรรค์จะเป็นอย่างไร? นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินจินตนาการไม่ได้เลย…


ฮา


ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน ลมหายใจขาวก็พ่นออกจากปากของอสูรพิลาลส อึดใจเขาก็ลืมตาขึ้น ดวงตาที่มักสงบนิ่งราวกับสามารถถล่มภูเขาทลายผืนโลกได้เปี่ยมด้วยความดุดัน


ตราประทับในมือทั้งคู่ค้างไว้ ขณะที่เขาตะโกนออกมาพร้อมกับดวงตาเบิกกว้าง “ทักษะเทห์สวรรค์ บาตรวัชระทำลายล้าง!”


ตู้ม!


บาตรสีทองขนาดใหญ่สั่นสะเทือน ลวดลายโบราณก็พุ่งออกมา แรงสั่นสะเทือนบาตรทองรุนแรง อึดใจต่อมากระแสสีทองก็กวาดตัวออก ช่างดูไม่สิ้นสุด ทำให้มิติทลายลงจากแรงระงับทันทีที่ปรากฏ สุดท้ายก่อตัวเป็นกระแสทองคำนับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปหาซุ่ยนอนจากทุกทิศทาง


กระแสทองคำเชี่ยวกรากที่อัดแน่นไปด้วยลวดลายโบราณ พลังที่มีอยู่ทุกเส้นสายสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหนังหัวลุกชัน และด้วยจำนวนที่มารวมตัวกันที่นี่ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันโดยตรง!


นี่เป็นการโจมตีใส่ไม่ยั้งจากอสูรพิลาลส


กระแสทองคำอัดแน่นเต็มท้องฟ้ากวาดข้ามสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังตกตะลึง ทว่าซุ่ยนอนยังคงยืนนิ่งบนร่างมังกรฟ้าโดยไม่คิดจะหลบหลีกแม้แต่น้อย


ทั่วบริเวณมีเพียงประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไป ส่วนหลิ่วเทียนเต้าที่ยืนอยู่ตรงอีกฝั่งก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย…


ครืน!


สายธารสีทองเชี่ยวกรากถูกเทลงแล้วพุ่งออกไป


รอยยิ้มยังประดับบนใบหน้าของซุ่ยนอน จากนั้นเขาก็วาดกระบวนท่าพร้อมกับแสงสีทองไหลในส่วนลึกของม่านตา


โฮก!


มังกรฟ้าทองคำที่ขดอยู่รอบตัวร่างมังกรฟ้าส่งเสียงคำรามยาว อึดใจก็อ้าปากสูดหายใจลึก จากนั้น…ทุกคนก็ต้องตะลึงไปเมื่อพวกเขาเห็นสายธารทองคำที่บรรจุด้วยพลังงานน่ากลัวถูกดูดเข้าไปในปากของมังกรฟ้าทองคำ


ทุกสรรพเสียงเงียบสงัด ไม่มีใครคิดเลยว่าการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของอสูรพิลาลสจะถูกซุ่ยนอนรับไว้ได้อย่างง่ายดาย


“ทรงพลังเหลือเกิน…” ถังปิงปิดปากขณะอุทาน


ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปขณะสายตาจับจ้องที่ซุ่ยนอน ชั่วขณะก่อนหน้านั้นเขาสัมผัสได้ว่าเหมือนมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเกิดขึ้นกับคลื่นหลิงที่ห่อหุ้มฝ่ายหลังอยู่


เสียงอุทานอย่างตกใจดังอย่างต่อเนื่อง เฒ่าเร้นกระบี่กับคนในแดนร้อยสงครามอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไป ผลลัพธ์ของเรื่องนี้ช่างเหนือความคาดหมายนัก


“เป็นไปได้ยังไง?! พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดเหมือนกัน แล้วเขาสามารถสกัดการโจมตีแบบหมดหน้าตักจากอสูรพิลาลสได้ยังไง?!” เฒ่าเร้นกระบี่เอ่ยเสียงเครียด


บนร่างมหาวัชระ อสูรพิลาลสมองอีกฝ่ายที่อยู่ไกลออกไป เมื่อแสงสีทองหายไป ซุ่ยนอนก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้คลื่นหลิงน่ากลัวที่พวยพุ่งรอบตัวหายไปอย่างสมบูรณ์


ทว่าแม้คลื่นหลิงจะหายไป แต่อสูรพิลาลสกลับสัมผัสได้ถึงอันตรายที่แท้จริงที่ห่อหุ้มรอบตัวจนทำให้แววตกตะลึงปรากฏบนสีหน้านิ่งสงบของเขา เขามองซุ่ยนอนด้วยสายตาล้ำลึก “ที่แท้ข้าประเมินผิดไปเอง…”


การทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดอย่างเขารู้สึกกดดันเช่นนี้ได้ ซุ่ยนอนมีพลังเหนือกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด!


พลังของซุ่ยนอนไม่ได้อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแต่อยู่ในขั้นเก้าต่างหาก!


ผู้คนถึงกับใบ้กิน แม้แต่เทียนจิ้วกับหลิงถงยังสูดหายใจลึกโดยไม่รู้ตัว ใครจะคิดว่าซุ่ยนอนที่เอาแต่นอนหลับตลอดจะล้ำลึกยากหยั่งถึงเช่นนี้….


“ข้าแพ้แล้ว”


อสูรพิลาลสเป็นคนตรงไปตรงมา เขารู้ว่าไม่มีโอกาสชนะสำหรับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงสลายร่างเทห์สวรรค์ทะยานกลับไปยังฝั่งแดนร้อยสงคราม


การประลองยกที่หนึ่งจบลงด้วยชัยชนะของอาณาเขตกงเวทสวรรค์!


“เราชนะ!”


เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ถังปิงก็อดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มบนใบหน้า ด้วยชัยชนะยกแรก หากพวกเขาชนะอีกครั้งหนึ่ง การประลองก็จะจบลงด้วยชัยชนะของอาณาเขตกงเวทสวรรค์


ยกแรกจบลง ยกสองก็ได้เริ่มขึ้น


ซิวหลัวปะทะซือหลิง!


ทว่าภายใต้เสียงโห่ร้องยินดีของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ขณะที่หัวใจผ่อนคลายลง การประลองยกสองกลับจบลงอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันได้กลืนน้ำลาย ผลลัพธ์ของการต่อสู้ทำให้เสียงโห่ร้องของฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ถึงกับหยุดชะงัก


ทุกคนเบิกตากว้าง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ


แค่สามกระบวน ซิวหลัวก็พ่ายแพ้ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส!


742 ตุ๊กตากระดูกศพ

แค่สามกระบวนท่า


การประลองของซิวหลัวก็จบลงที่พ่ายแพ้และได้รับบาดเจ็บหนัก


เมื่อซิวหลัวถอยออกมากับอาการบาดเจ็บ ทั่วบริเวณก็ค้างแข็ง ไม่เพียงแต่เหล่าจอมยุทธ์จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะตะลึงค้างไป แม้แต่กองทัพต่างๆ จากแดนร้อยสงครามก็มีสีหน้าตกตะลึงด้วยเช่นกัน


เห็นชัดว่าผลลัพธ์ของการประลองอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาไปไกลมาก


ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของซิวหลัวจะโด่งดังไปทั่วอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่รวมถึงแดนร้อยสงครามด้วย แม้ว่าซือหลิงจะมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่ทุกคนก็คิดว่าการดวลกันยกนี้จะต้องดุเดือดเลือดพล่านมากกว่าคู่ซุ่ยนอนและอสูรพิลาลสเสียอีก…


แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับทำให้ทุกคนจังงังไปหมด


“ทำไมถึงเป็นแบบนี้…” ใบหน้าของถังปิงซีดเผือดขณะมองซิวหลัวที่ถอยกลับมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส อดไม่ได้ที่จะรำพึง


มู่เฉินเองก็มีสีหน้าน่าเกลียดเมื่อมองไปบนท้องฟ้า สายตาของเขาจับจ้องร่างที่ปกคลุมด้วยผ้าพันแผลสีดำซึ่งปลดปล่อยรังสีน่าขนลุกผิดปกติออกมารอบตัว


ขณะที่ซิวหลัวสู้กับซือหลิง พลังยุทธ์ของพวกเขาก็ถูกเผยออกมาจนหมด


ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด!


ไม่ว่าจะเป็นซิวหลัวหรือซือหลิง พลังของพวกเขาล้วนอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเหมือนกัน ในสำนักพวกเขานับว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับผู้บัญชาการ มากจนขนาดที่ว่าพลังของพวกเขาเทียบเคียงกับระดับจอมพลได้เลยทีเดียว


พูดโดยทั่วไปก็คือเมื่อสองจอมยุทธ์อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเหมือนกัน พวกเขาก็น่าจะสู้กันได้สูสี หากพวกเขาไม่มีไพ่ตายซ่อนอยู่ ก็มีโอกาสที่ผลการประลองจะออกมาเสมอกัน


แต่เมื่อทุกคนจมอยู่ในความคิดเช่นนั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น


ทุกคนเห็นได้ว่าเมื่อทั้งคู่แลกกระบวนท่าไปสองครั้ง ซือหลิงก็ถอยออกมาพลางสะบัดมือวูบหนึ่ง ศพแห้งกรังสีดำก็ปรากฏขึ้นที่ด้านข้างเขา


ศพนั้นมีแต่กระดูกปกคลุมด้วยลวดลายสีดำประหลาด เหมือนจะมีรังสีน่าขนลุกชวนอึดอัดแผ่ออกมาเบาบาง


นี่คือทักษะลับเฉพาะของสำนักศพปีศาจ—ศพปีศาจ!


จอมยุทธ์ในสำนักศพปีศาจมีความสามารถพิเศษในการบำรุงศพที่สามารถควบคุมได้เพื่อใช้ในการต่อสู้ ดังนั้นพูดโดยทั่วไปแล้วจอมยุทธ์สำนักศพปีศาจมีความเชี่ยวชาญในการใช้พลังของซากศพเพื่อต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามด้วยความได้เปรียบด้านจำนวนที่เพิ่มขึ้น


ดังนั้นทุกคนจึงบอกได้ว่าศพปีศาจสีดำก็คือศพปีศาจประจำกายของผู้บัญชาการซือหลิง


หลังจากซือหลิงเรียกใช้ศพปีศาจ ผ้าพันแผลสีดำบนร่างกายก็ขาดสะบั้นหลุดร่วงออกมา จากนั้นเลือดเนื้อจำนวนมหาศาลก็แยกออกจากกายของเขาติดตรึงอยู่กับศพปีศาจ


ภาพนองเลือดสุดสยองนี้ทำให้คนมองขนลุกเกรียว


เมื่อเลือดเนื้อจำนวนมหาศาลแยกออกจากร่างซือหลิงรวมเข้ากับศพปีศาจ เพียงสะบัดแขนเสื้อ ซากนั่นก็พุ่งเข้าหาซิวหลัว หลังจากนั้น…ก็ระเบิด


พูดให้ลึกลงไปก็คือหลังจากดูดซับเลือดเนื้อจากซือหลิงแล้ว พลังของมันก็อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเช่นกัน เมื่อเกิดการระเบิดอย่างบ้าคลั่ง พลังนี้ก็เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ระดับจอมพลเทียนจิ้วยังทำได้เพียงหลีกเลี่ยงเท่านั้น


ศพปีศาจระเบิด ซิวหลัวก็งัดวิธีการที่มีทั้งหมดออกมาป้องกันตัวเอง แต่ก็ยังจบลงด้วยการได้รับบาดเจ็บสาหัสจนพ่ายแพ้!


ผลลัพธ์กะทันหันเกินไป จนผู้คนไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทุกคนอึ้งตะลึงค้าง จินตนาการไม่ได้เลยว่าซือหลิงจะบ้าระห่ำได้ถึงขนาดนี้


ศพปีศาจประจำตัวจะเชื่อมโยงกับร่างกายของเขาอย่างแน่นแฟ้น แม้เขาจะไม่ตายจากการระเบิดของซากศพ แต่ก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสแบบนึกไม่ถึงเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องยากในการฝึกศพปีศาจประจำตัว ตอนนี้ซือหลิงตัดสินใจระเบิดทิ้งไปแล้ว แม้จะได้รับชัยชนะ แต่ก็ไม่คุ้มค่ากับการสูญเสียในระยะยาว


ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ตะลึงไปกับการกระทำบ้าคลั่งของซือหลิง


ชัยชนะเช่นนี้ได้มาด้วยราคาแพงเกินไป…


ฮา


มู่เฉินสูดหายใจลึกสุดปอดขณะมองร่างของซือหลิงที่อยู่ภายใต้ผ้าพันแผลสีดำ เลือดสดไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง คลื่นหลิงที่ผันผวนรอบกายก็ลดฮวบลงไปมาก เห็นได้ชัดว่าการระเบิดศพปีศาจทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส


“ไอ้บ้า….” นี่คงเป็นความคิดของทุกคนที่มีต่อซือหลิงในเวลานี้


ฟิ้ว!


เทียนจิ้วทะยานออกไปคว้าร่างซิวหลัวที่ได้รับบาดเจ็บหนัก สายตาเย็นเยือกลงเมื่อมองซือหลิง “วิธีโหดเหี้ยมนัก แต่เจ้าไม่กลัวหรือว่าราคาที่ต้องจ่ายจะมากไป?”


ซือหลิงที่ถูกห่อหุ่มด้วยผ้าพันแผลสีดำก็เผยสายตาน่าขนลุกสาดเสียงหัวเราะเย็นเยือก จากนั้นเขาก็ชูฝ่ามือที่สั่นสะเทือนขึ้นมา ในมือเป็นตุ๊กตามนุษย์ที่มีแต่กระดูก แต่ตอนนี้ตุ๊กตาตัวนี้กลับเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว


“ตุ๊กตากระดูกศพ?”


เมื่อเทียนจิ้วเห็นสีหน้าก็เปลี่ยนไป ตุ๊กตากระดูกศพเป็นวัตถุชั่วร้าย ว่ากันว่าสามารถทนรับอาการบาดเจ็บถึงชีวิตของคนคนหนึ่งในฐานะตัวแทน แต่วิธีในการชำระวัตถุเช่นนี้น่าสยดสยองนัก ดังนั้นจึงมีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองได้ แต่ใครจะคิดว่าซือหลิงจะมีสมบัติเช่นนี้อยู่? การมีตุ๊กตากระดูกศพรับอาการบาดเจ็บถึงชีวิตแทนเขา ทำให้เขาไม่ทุกข์ทรมานหลังจากศพปีศาจระเบิด มิน่าทำไมเขาถึงกล้ากระทำการบ้าคลั่งขนาดนี้ได้


เมื่อหลิงถง จิ่วโยวและคนอื่นๆ มองเห็นตุ๊กตากระดูกศพ สีหน้าแต่ละคนก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าซือหลิงเตรียมการมาอย่างดี ไม่แปลกใจว่าทำไมแดนร้อยสงครามถึงเลือกที่จะต่อสู้ด้วยวิธีนี้…


หากไม่ใช่เพราะซุ่ยนอนมีฝีมือล้ำลึกยากหยั่งจนคว้าชัยชนะครั้งแรกไป อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาคงพ่ายไปแล้วในตอนนี้


“ฮ่าๆ ครั้งนี้แดนร้อยสงครามชนะ” เฒ่าเร้นกระบี่เอ่ยพลางหรี่ตา แต่ในสายตาของจอมยุทธ์ในกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์รอยยิ้มของเขาน่ารังเกียจนัก


แววตาของเทียนจิ้วเย็นเยียบลงขณะพาร่างซิวหลัวที่หมดสติกลับมาแล้วฝากให้สมาชิกคนอื่นเข้ามาดูแล จากนั้นสายตาเขาก็พุ่งตรงไปที่ประมุขที่ยังนั่งนิ่งอยู่บนบัลลังก์


“โฮ่ๆ ชนะหนึ่งแพ้หนึ่ง…”


แสงรอบตัวประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์กระเพื่อมไหวเบาบางขณะที่เสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมา แต่ในน้ำเสียงกลับเจือแววเย็นเยือกอยู่ “ดูเหมือนแดนร้อยสงครามจะเตรียมตัวมาดีนะ”


“ฮ่าๆ ผิดแล้วท่านประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พลังของแดนร้อยสงครามด้อยกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตั้งแต่แรก ดังนั้นพวกเขาจึงทุ่มเททั้งหมดเท่านั้น” หลิ่วเทียนเต้าที่ไม่เอ่ยอะไรออกมาคลี่ยิ้มบาง


มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอย่างหลิ่วเทียนเต้าที่ยืนอยู่ตรงนั้น ทำให้ภัยคุกคามของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่พุ่งมายังเฒ่าเร้นกระบี่กับคนที่เหลือบรรเทาเบาบางลง เขายิ้มออกมา “ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตอนนี้การประลองจบไปสองยกแล้ว ก็ถือว่าเราเสมอกัน… หากประมุขถอนตัวตอนนี้ เราก็จะได้หยุดการประลองยกสามไว้”


แพ้หนึ่งชนะหนึ่งทำให้การประลองรอบที่สามมีความสำคัญขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด จอมยุทธ์คนที่สามที่เป็นตัวแทนจากแดนร้อยสงครามเป็นจอมยุทธ์เก็บตัวที่สุดในบรรดาแม่ทัพของแดนร้อยสงคราม แต่พลังของเขาคือสิ่งที่ทำให้แม้แต่หลิงชิงเฟิงและคนที่มีพลังเสมอกันถอนหายใจอย่างนับถือ มากจนมีหลายคนกล่าวไว้ว่าด้วยความสามารถของฉิงเปย แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ เขาก็ไม่อยู่ในกลุ่มฝีมือธรรมดาอย่างแน่นอน


ขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ส่งแม่ทัพที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสอง แม้จะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ก็เทียบไม่ได้กับฉิงเปย ดังนั้นการประลองยกที่สาม แดนร้อยสงครามจึงมีความมั่นใจใหญ่มาก ไม่ว่าจะย่ำแย่แค่ไหน ตราบใดที่ฉิงเปยไม่แพ้ การประลองครั้งนี้ก็นับว่าเป็นชัยชนะของพวกเขา เพราะอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยกทัพใหญ่มาอย่างเต็มกำลังบวกกับชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็มากล้นกว่าพวกเขาตั้งแต่ต้น หากขั้วอำนาจท้องถิ่นอย่างพวกเขาสามารถจบการประลองในลักษณะนี้ได้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะกลายเป็นตัวตลกของภูมิภาคทางเหนือไป


จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาอดไมได้ที่จะส่งสายตาไปยังชายหนุ่มที่ยืนตรงหน้าหน่วยรบวิหคโลกันตร์ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความจนปัญญา


ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหากได้รับชัยชนะในการต่อสู้สองยกแรก ยกที่สามก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะออกมาในรูปแบบนี้…?


การประลองไม่สำคัญกลายมาเป็นจุดที่สำคัญที่สุดแล้ว


การเปลี่ยนแปลงไม่สามารถแก้ไขได้


เผชิญหน้ากับสายตาจนใจนับไม่ถ้วน มู่เฉินก็ทำเพียงยักไหล่มองไปที่ประมุข ตอนนี้ขึ้นอยู่กับคนผู้นี้เท่านั้นว่าเขาจะต้องขึ้นสู้ยกนี้หรือไม่


สายตาที่มองตรงไปยังมู่เฉินเลื่อนไปยังประมุขของตน ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์กลับหัวเราะร่วนราวกับว่าเป็นสิ่งที่คาดคิดไว้แล้ว


“ดูเหมือนสิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่ข้าคิดไว้นะ” ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์หัวเราะเบาๆ ทำให้สายตานับไม่ถ้วนจากกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ชะงักค้าง หมายความว่าอะไร? หรือว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์คาดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว? แล้วทำไมเขายังเลือกให้มู่เฉินลงสู้ศึกนัดสำคัญที่สุดไปล่ะ? เขามีความมั่นใจในตัวมู่เฉินมากขนาดนั้นเลยหรือ?


ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เบนสายตามาหามู่เฉินเอ่ยเสียงเบา “เจ้ามีความมั่นใจในการประลองที่จะส่งผลต่อชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าหรือไม่?”


“มู่เฉินจะทำให้ดีที่สุด”


มู่เฉินประสานมือคำนับและตอบรับเสียงเรียบ แม้เขาจะสงสัยว่าทำไมประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ถึงให้ความสำคัญกับคนไม่มีตัวตนอย่างเขามากนัก แต่ในเมื่อศึกอยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธ


“ดี”


ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยิ้ม “งั้นเจ้าก็ขึ้นประลองได้เลย”


ฝั่งกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนยิ้มขื่นขม ดูเหมือนว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะไม่เปลี่ยนใจแน่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ต้องพึ่งมู่เฉินแม่ทัพคนใหม่ คอยดูว่าเขาจะทำได้สมกับความไว้วางใจของประมุขหรือไม่


“มู่เฉิน สู้ๆ!” ถังปิงชูกำปั้นส่งเสียงให้กำลังใจมู่เฉิน แม้นางจะไม่รู้ว่าการประลองยกที่สามจะมีผลอย่างไร แต่นางก็สนับสนุนมู่เฉินเต็มที่อยู่แล้ว


มู่เฉินพยักหน้า ขณะที่กำลังจะเดินออกไป เขาก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งพุ่งตรงมา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นจิ่วโยวมองด้วยสายตาเป็นห่วง


มู่เฉินส่งยิ้มให้จิ่วโยวไม่พูดอะไรอีก เขาเคลื่อนตัวออกไป ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนของเหล่าจอมยุทธ์เขาก็มาปรากฏตัวบนท้องฟ้า เขามองลงไปที่กองทัพแดนร้อยสงคราม ประสานมือคำนับพร้อมกับเปล่งเสียงกลั้วหัวเราะออกมา


“อาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินจากหอวิหคโลกันตร์ ขอคำชี้แนะด้วย!”


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)