The Great Ruler 715-728

 หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 715 ยาจื้อเทียน

หลังจากการการประชุมสิ้นสุดลง


ทั่วทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ต้องหวั่นไหวไปหมด เพราะทุกคนพวกเขารู้ว่าสำนักที่พักตัวมานานหลายปี ในที่สุดก็กำลังจะเผยเขี้ยวเล็บออกมาแล้ว


ขั้วอำนาจที่เคยท้าทายอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาตลอดหลายปีจะได้เข้าใจสักทีว่าการแก้แค้นที่ต้องเผชิญน่ากลัวขนาดไหนเมื่อราชสีห์หลับใหลได้ตื่นขึ้น


เมื่อคำสั่งกระจายไปทั่วเขตต้าหลัวเทียน กองทัพนับไม่ถ้วนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เริ่มเคลื่อนพลอย่างลึกลับ


นี่จะเป็นสงครามแท้จริง


หอวิหคโลกันตร์


ในวันนี้ที่นี่เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดี สมาชิกทุกคนต่างมีสีหน้าชื่นมื่น ความขุ่นเคืองใจที่พวกเขามีมาตลอดหลายปีถูกปลดปล่อยออกแล้ว


นับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีใครในอาณาเขตกงเวทสวรรค์กล้ามองหอวิหคโลกันตร์อย่างดูถูกอีกแล้ว


หอวิหคโลกันตร์เต็มไปด้วยบรรยากาศรื่นเริง ทุกคนหยิบไหสุราชนกัน บรรยากาศร่าเริงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เสียงหัวเราะร่าดังก้อง


บนหลังคาหอ มู่เฉินเอนตัวนอนมองดวงจันทร์กระจ่างแขวนบนท้องฟ้า เมื่อได้ฟังเสียงหัวเราะ รอยยิ้มสายหนึ่งก็ผุดขึ้นที่มุมปาก จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ทอแสง เหมือนจะมีร่างพร่าเลือนกำลังส่งยิ้มหวานให้เขาที่เบื้องหน้า


“ลั่วหลี…”


มู่เฉินรำพันกับตัวเอง นับจากเวลาก็ครึ่งปีแล้วตั้งแต่ที่เราสองคนต้องแยกจากกัน ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ของตระกูลลั่วเสินเป็นอย่างไรบ้าง แต่คงจะไม่ราบรื่นสินะ? ภาระหนักอึ้งของตระกูลลั่วเสินล้วนต้องวางไว้บนบ่านุ่มของลั่วหลี แค่คิดเรื่องนี้ก็ทำให้มู่เฉินปวดใจขึ้นมา


แต่เขารู้ว่าตัวเองตอนนี้ยังไม่สามารถช่วยเหลืออะไรนางได้ มากจนเขายังเดินทางไปหานางที่นั่นไม่ได้ เพราะไม่งั้นเขาจะสร้างปัญหามาให้นางอย่างแน่นอน แม้นางจะไม่สนใจ แต่ด้วยศักดิ์ศีรลูกผู้ชาย เขาไม่มีทางปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแน่


“ลั่วหลี ข้าก็ตั้งใจฝึกหนักเพื่อให้แข็งแกร่งอยู่นะ แต่…จงเชื่อมั่นในข้าจะต้องมีสักวันที่ข้าเป็นยอดยุทธ์ ถึงตอนนั้นข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องเจ็บปวดอะไรอีกเลย”


มู่เฉินกำหมัดช้าๆ ยอดยุทธ์คำนั้นคำเดียวก็มีน้ำหนักมหาศาล บางทีคนอื่นอาจหัวเราะเยาะใส่เขา แต่นางกลับเชื่อเขาหมดหัวใจตั้งแต่เริ่มต้นโดยไม่เคยมีความเคลือบแคลงใด


“เจ้าคิดถึงคนรักตัวน้อยอีกแล้วหรือ?” เสียงแผ่วดังจากด้านหลังมู่เฉิน เมื่อหันไปมองก็เห็นจิ่วโยวนั่งอยู่บนหลังคาสูงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เรือนผมยาวทิ้งตัวลงราวกับม่านน้ำตกพลิ้วไปกับสายลม


มู่เฉินยิ้มฝืด


จิ่วโยวเอามือเท้าคางส่งยิ้มให้มู่เฉิน ความเย็นชาบนใบหน้านางหายไปอย่างสิ้นเชิง ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าอ่อนโยนที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นมากนัก


“ครั้งนี้ขอบใจเจ้ามากนะ”


มู่เฉินส่ายหน้าพลางยิ้ม “ในเมื่อเจ้ากล้าวางเดิมพันด้วยหอวิหคโลกันตร์ แล้วข้าจะไม่สู้เต็มที่ได้อย่างไร?”


จิ่วโยวยืนขึ้นขณะเดินมาด้านข้างของมู่เฉิน กลิ่นหอมอ่อนลอยมาตามลม นางตบบ่าเขาเบาๆ “วางใจเถอะ ในเมื่อข้าเป็นคนพาเจ้าออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางมาที่นี่ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าผิดหวังอย่างแน่นอน ข้าเชื่อว่าเมื่อวันที่ชื่อของเจ้าเลื่องลือไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะไปยังตระกูลลั่วเสินได้”


“และข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยเจ้าไปถึงจุดนั้น นี่คือคำสัญญาที่ข้าให้กับเจ้า” จิ่วโยวยิ้ม


มู่เฉินมองหญิงสาวตรงหน้าก็รู้สึกตื้นตันในใจ คิดแล้วจิ่วโยวก็ช่วยเหลือเขายามขับคันมาไม่น้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังช่วยให้พ้นจากวิกฤตเป็นตายหลายครั้งอีกด้วย แม้ตอนแรกที่จิ่วโยวบุกรุกเข้ามาในร่างจะมีเจตนาที่ไม่ดี แต่เมื่อเกิดการสร้างพันธะโลหิตที่คาดไม่ถึง ทั้งสองก็เริ่มพูดคุยกันจนตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่อาจตัดขาดได้แล้ว


“ขอบใจนะ” มู่เฉินเอ่ยเสียงด้วยความจริงใจ


จิ่วโยวยิ้มพลางโบกมือ “เอาล่ะ ไม่ต้องทำซึ้งกับทุกเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราคือพันธะโลหิต ถ้าเจ้าตาย ก็หมายความว่าข้าต้องตายด้วยไม่ใช่รึ? ข้ายังไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นนะ”


มู่เฉินอดกลอกตาใส่นางไม่ได้ บรรยากาศดีๆ สลายหายไปในพริบตา


“หอวิหคโลกันตร์ของเราจะเคลื่อนทัพในสงครามสำนักครั้งนี้ด้วย แดนร้อยสงครามวุ่นวายโกลาหล ไม่ได้รับมือง่ายๆ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะต้องเผยพรสวรรค์น่าทึ่งในสงครามครั้งนี้” ใบหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นจริงจัง


สายตาของมู่เฉินวูบไหว “เพราะเขตหลงเฟิ่งงั้นหรือ?”


จิ่วโยวพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “อย่าดูถูกเขตหลงเฟิ่ง ข้าได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในเผ่าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการชะรำด้วยมังกรหรือหงส์ฟ้า ก็ย่อมเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อการฝึกยุทธ์ในภายภาคหน้าของเจ้า ผลประโยชน์นี้ไม่ใช่สิ่งที่บ่อทองข่ายฟ้าเทียบได้เลย”


“มีเพียงสมาชิกรุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่สุดถึงมีสิทธิ์เข้าไปในเขตหลงเฟิ่งได้ ตอนนี้คุณสมบัติของเจ้ายังตื้นเขินนัก ถ้าเจ้าไม่คว้าโอกาสในสงครามสำนักไว้ก็คงเป็นเรื่องยากที่เจ้าจะได้รับสิทธิ์”


มู่เฉินพยักหน้ามองจิ่วโยว “เจ้าก็น่าจะอยู่ในสิทธิ์นี้เหมือนกันใช่ไหม?”


ร่างที่แท้จริงของจิ่วโยวก็คือวิหคโลกันตร์ หากตัดสินตามอายุในเผ่าแล้วนางก็เท่ากับคนที่เพิ่งเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ดังนั้นนางก็ต้องนับว่าเป็นคนรุ่นเยาว์ได้เช่นเดียวกัน


“ร่างของข้าเป็นเทพอสูรแล้ว ดังนั้นเขตหลงเฟิ่งจึงช่วยอะไรได้ไม่มากนักหรอก” จิ่วโยวยิ้ม


มู่เฉินจ้องมองไปแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาหลุบตาพลางพยักหน้า บางสิ่งจดจำไว้ในใจก็พอ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมา สิ่งที่จิ่วโยวทำเพื่อเขาไม่ได้มีเพียงเท่านี้


“ข้าจะพยายาม” มู่เฉินพยักหน้า


จิ่วโยวแบมืออกมาพร้อมกับขวดหยกปรากฏขึ้น ในขวดโปร่งแสงมีเม็ดยากลมสีเขียวเข้มลอยอยู่เงียบๆ กลิ่นหอมบริสุทธิ์ของยาสมุนไพรวิเศษที่ทำให้รู้สึกสุขใจในหัวใจลอยอวลออกมา


“นี่คือยาจื้อเทียน น่าจะเป็นตัวช่วยเจ้าได้ แน่นอนว่านี่ก็เป็นรางวัลของเจ้านะ” จิ่วโยวยิ้ม “อีกสี่เม็ดข้าจะจัดการเอง เพราะไม่ใช่เรื่องดีนักถ้าเจ้าใช้มากเกินไป”


มู่เฉินรับขวดหยกมาอย่างสนอกสนใจ เขาจ้องยาจื้อเทียนก็ยิ้มกริ่ม “เสี่ยยิงยอมให้จริงด้วยแฮะ”


“ที่จริงเรื่องนี้ต้องไม่ง่ายหรอก ด้วยนิสัยของเสี่ยยิง ต่อให้ยอมมอบ เขาก็จะลากเรื่องนี้ไปเรื่อย แต่โชคดีที่ท่านประมุขเอ่ยปากในวันนี้ เขาเลยไม่กล้าทำหน้าด้านต่อให้มีวิธีร้อยแปดก็ตาม”


จิ่วโยวยิ้ม จากนั้นนางก็เอ่ยอย่างสงสัย “แต่ท่านประมุขปกติจะไม่ใส่ใจกับเรื่องแบบนี้นะ เราโชคดีมากที่เขาดันมาสนใจเรื่องนี้”


ด้วยสถานะของประมุข การประลองของหน่วยรบวิหคโลกันตร์และหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตก็เหมือนกับเด็กตีกัน เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างเขาจะมาใส่ใจเรื่องนี้มากนัก


มู่เฉินเกาหัว ตัวเขาไม่ได้รู้จักมักจี่กับประมุข ดังนั้นก็เลยทำได้แต่คุยโวได้อย่างหน้าไม่อาย “บางทีประมุขคนนี้คงเห็นศักยภาพของข้าล่ะมั้ง”


จิ่วโยวกลอกตาใส่มู่เฉินที่ยกยอตัวเอง แต่นางก็ขี้เกียจจะคุยต่อ จึงปัดมือ พลิ้วตัวลงจากหอ


มู่เฉินมองจิ่วโยวที่จากไปก็ยิ้มบาง จากนั้นก็กำขวดหยกแน่น ความรู้สึกปีติเกิดในหัวใจ ด้วยการมียาจื้อเทียนเป็นตัวช่วย เขาก็น่าจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสองได้แล้ว


“แค่ยาจื้อเทียนก็ทำให้มีความสุขขนาดนี้ ช่างเป็นคนมักน้อยอะไรอย่างนี้” เสียงอ่อนเยาว์เนิบนาบดังขึ้น มู่เฉินหันขวับไปก็เห็นมั่นถัวหลัวสวมชุดดำปล่อยผมยาวสยาย เท้าขาวราวหิมะแตะขอบแหลมของหลังคา มองเขาด้วยท่าทางเหยียดนิดๆ


“เจ้ามีอาหารพร้อมกินไม่รู้หรอกว่าคนที่หิวโหยทรมานแค่ไหน” มู่เฉินเบ้ปากเอ่ยเตือนในที “ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ออกมาจากการเก็บตัวแล้ว เจ้าระวังตัวด้วยเถอะ อย่าให้โดนจับได้ล่ะ”


ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์อยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนทรงพลังซึ่งมีการรับรู้ยอดเยี่ยม แม้ว่ามั่นถัวหลัวที่อยู่ตรงหน้าจะลึกลับอย่างยิ่งเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่เป็นที่ผิดสังเกต


พอได้ยินคำพูดของเขา ดวงตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวก็หรี่มองมู่เฉิน จากนั้นก็เอ่ยเบาๆ “ถ้าข้าไม่อยากให้ใครเจอ ก็ไม่มีใครเจอข้าได้หรอก”


“ก็ได้ เจ้าเก่งสุด” มู่เฉินรู้สึกขบขันกับท่าทางจองหองของนาง แต่ก็ทำได้เพียงกลอกตาหันหลังเตรียมออกไป


“เดี๋ยว” ทันใดนั้นมั่นถัวหลัวก็พูดออกมา


“หือ?” มู่เฉินมองเด็กสาวที่ชุดกระพือไปกับสายลมค่ำคืนราวกับว่านางจะปลิว


มั่นถัวหลัวขบฟันอ้ำอึ้งครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “คำสาปในร่างกายข้าจะกำเริบในอีกสามวัน ถึงตอนนั้นข้าต้องการพลังของหน้ารายการนิรันดร์ที่อยู่ในร่างกายเจ้า”


“เร็วขนาดนี้เชียว?”มู่เฉินผงะไป


“ในเวลาต่อไป ข้าจะต้องปรับสภาพตนเองให้พร้อมที่สุด ดังนั้นจึงต้องกำจัดเสี้ยนหนามที่ฝังลึกนี่ซะก่อน” มั่นถัวหลัวเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งเครียด


มู่เฉินครุ่นคิดไปพักหนึ่งก็พยักหน้า แม้เขาอยากรู้ว่าทำไมมั่นถัวหลัวที่มีพลังน่ากลัวจะต้องปรับสภาพให้พร้อม เป็นเพราะนางจะต้องเจอกับอันตรายใหญ่หลวงหรือ?


“รอให้ข้าสะกดคำสาปได้เสร็จ ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับวิธีฝึกร่างเทพสุริยะ ตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถปลดปล่อยพลังของมันออกมาได้เลย” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเบา


มู่เฉินอึ้งไป จากนั้นก็มองมั่นถัวหลัวด้วยความตื่นเต้น นี่คือความต้องการตอนนี้ของเขา แม้ว่าร่างเทพสุริยะจะทรงพลัง แต่ก็ซับซ้อนเกินไป และเขารู้เพียงวิธีชำระเท่านั้น ไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับการปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาเลย


“ทำไมเจ้าถึงรู้วิธีฝึกฝนร่างเทพสุริยะล่ะ?” ถึงจะรู้สึกดีใจ แต่มู่เฉินก็อดถามสิ่งที่สงสัยขึ้นมาไม่ได้


ทว่าครั้งนี้มั่นถัวหลัวไม่สนใจเขาอีก นางแตะเท้ากับหลังคาพลิ้วตัวลงจากหอ จากนั้นก็หายไปกับราตรีกาลพร้อมประโยคแผ่วเบาทิ้งท้าย


“ข้าจะมาหาเจ้าอีกสามวันหลังจากนี้”


หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 716 ขุมพลังจื้อจุนขั้นสอง

ในช่วงหลายวันต่อมา


บรรยากาศในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตึงเครียดมากขึ้น เหล่าผู้บัญชาการต่างรวบรวมกองทัพใต้บังคับบัญชาการ ขณะที่ข่าวนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับแดนร้อยสงครามก็ถูกส่งไปทั่วเขตต้าหลัวเทียนไม่จบสิ้น ขั้วอำนาจขนาดใหญ่อย่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในที่สุดก็ได้เผยความสามารถออกมาแล้ว


หอวิหคโลกันตร์ก็ดูวุ่นวายมาก เนื่องจากเมืองร้อยเมืองของเสี่ยยิงถูกนำเข้ามาผนวกรวมอย่างรวดเร็ว แม้ยังไม่ได้ให้ความมั่งคั่งกับหอวิหคโลกันตร์ได้ในทันที แต่ก็ดีกว่าสภาพดูไม่จืดเหมือนเมื่อก่อน นอกจากนี้สงครามสำนักก็เป็นวิธีที่สามารถเก็บเกี่ยวทรัพยากรได้ดีที่สุด ถ้าพวกเขาคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ หอวิหคโลกันตร์จะต้องก้าวย่างอย่างมั่นคงแน่นอน


ขณะที่ทั้งหอวิหคโลกันตร์กำลังวุ่นวาย มู่เฉินก็เลือกปลีกตัวออกมาเพื่อเข้าสู่ขุมพลังจื้อจุนขั้นสอง เรื่องใหญ่น้อยก็มีผู้ดูแลอย่างถังปิง การจัดสรรอย่างเป็นระบบและการสั่งงานของนาง ทำให้แม้แต่จิ่วโยวก็ยังเทียบไม่ได้


ดังนั้นเขากับจิ่วโยวจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องหอวิหคโลกันตร์


หอวิหคโลกันตร์ ห้องฝึกยุทธ์


มู่เฉินนั่งอยู่เงียบๆ ขณะปรับลมปราณ จากนั้นครู่ใหญ่เขาก็กำฝ่ามือ ขวดหยกโปร่งแสงปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือ ยาเม็ดกลมสีเขียวเข้มลอยอยู่ภายในขวดปล่อยกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทั้งห้องฝึกยุทธ์


สายตาของมู่เฉินจับจ้องอยู่ที่ยาจื้อเทียนพลางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะสะบัดแขนเสื้อ สายธารสว่างไสวพุ่งออกมาพันรอบตัวเขา


สายธารเหล่านั้นเกิดจากของเหลวจื้อจุนทั้งหมด คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ผันผวนออกมา ทำให้กระทั่งอากาศในห้องฝึกยุทธ์แห่งนี้ยังหนาแน่นขึ้น


ขุมพลังจื้อจุนแบ่งออกเป็นเก้าขั้น การบรรลุแต่ละขั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้คนจำนวนมากฝึกฝนแทบกระอักมาหลายปี แต่ก็ไม่ได้ก้าวหน้าใดๆ เพียงเท่านี้ก็เห็นแล้วว่าช่องว่างพลังแต่ละขั้นห่างกันมากขนาดไหน


ดังนั้นต่อให้มู่เฉินมียาจื้อเทียน เขาก็ต้องการของเหลวจื้อจุนปริมาณมหาศาลเพื่อดึงฤทธิ์ยาออกมาจนถึงขีดสุดที่จะช่วยให้บรรลุขุมพลังได้


“ของเหลวจื้อจุนอีกเกือบสองพันหยด…”


มู่เฉินรู้สึกปวดใจเมื่อมองสายธาร ก่อนหน้าเขามอบของเหลวจื้อจุนส่วนใหญ่ให้ถังปิงเพื่อสนับสนุนการฝึกยุทธ์ของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเหลือน้อยกว่าห้าพันหยด นอกจากนี้ปริมาณนี้ยังเป็นปริมาณที่เหลืออยู่หลังจากที่เขาดึงของเหลวจื้อจุนทั้งหมดออกจากถ้วยสมานอุระแล้วด้วย


หลังจากเข้าสู่ขุมพลังจื้อจุน มู่เฉินถึงได้ตระหนักว่าของเหลวจื้อจุนสำคัญต่อการฝึกยุทธ์มากเพียงใด นี่แทบจะเหมือนการรับประทานอาหารของมนุษย์ ซึ่งขาดไม่ได้เลย มิน่าล่ะถึงมีจอมยุทธ์จื้อจุนจำนวนมากยอมรับใช้ขั้วอำนาจเพื่อของเหลวจื้อจุน


แม้ของเหลวจื้อจุนจะไม่สามารถจ้างผีให้ฝนหมึกได้ แต่ก็ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนฝนหมึกได้….


“นี่แค่บรรลุขุมพลังขั้นเดียวนะ ในอนาคตใครจะรู้ว่าต้องใช้ของเหลวจื้อจุนปริมาณมหาศาลขนาดไหน” มู่เฉินเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนต่อไปนี้เขาจะต้องสะสมของเหลวจื้อจุนให้มากๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นเมื่อเขาต้องบรรลุขุมพลังและขาดของเหลวจื้อจุน ก็คงเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องร้องไห้แบบไร้น้ำตา


เขาส่ายหน้าระงับความคิดเหล่านี้ชั่วคราวพลางสูดหายใจลึก จากนั้นก็พลิกนิ้ว ขวดหยกโปร่งใสในมือสลายหายไป ยาจื้อเทียนลอยออกมา พริบตาห้องฝึกยุทธ์ก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรวิเศษ


มู่เฉินสูดปากขณะที่ยาจื้อเทียนเปลี่ยนเป็นลำแสงลอยเข้าไป


เขาวาดตราประทับสองมืออย่างรวดเร็ว มิติบิดตัวเบื้องหลัง จุดจื้อจุนไห่มหึมามองเห็นได้เลือนราง เขาก็รู้สึกถึงคลื่นหลิงบริสุทธิ์มหาศาลแผ่ออกจากภายใน


จิตของมู่เฉินเข้าสู่สมาธิลึกอย่างแน่วแน่ขณะที่ค่อยๆ หลับตาลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเข้าสู่สภาวะฝึกยุทธ์อย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เขาต้องบรรลุขุมพลังให้ได้แบบรวดเดียวจบ!


 


สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว


การฝึกฝนของมู่เฉินยาวนานถึงสามวัน วันแรกห้องฝึกยุทธ์ปกคลุมไปด้วยหมอกหลิงหนาแน่น ส่วนร่างของมู่เฉินก็จมลงไปอยู่ภายใน


แต่ท่ามกลางหมอกหลิงที่ไม่สามารถมองทะลุผ่านได้ ก็สามารถรับรู้ถึงความผันผวนคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว


หมอกหลิงปกคลุมอยู่นานสามวันก่อนที่จะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ และเมื่อหมอกหายไป ก็เห็นฉากที่มู่เฉินนั่งเปิดปากดูดกลืนของเหลวจื้อจุนส่วนสุดท้ายเข้าไป


คลื่นหลิงน่าตกใจรอบตัวเขาก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาลืมตาขึ้นช้าๆ


ตู้ม!


เมื่อม่านตาสีดำเปิดขึ้น แสงสว่างก็วาบขึ้นทันที เสื้อผ้าของมู่เฉินสั่นกระพือ ระเบิดออกด้วยคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัว


ปัง! ปัง!


อากาศในห้องฝึกยุทธ์ระเบิดออกทันที เมื่อระลอกคลื่นพลังกวาดไปที่ผนัง แสงเข้มข้นก็ลุกโชนออกมาก่อนที่ห้องฝึกยุทธ์จะต้านทานระลอกคลื่นได้


แสงในนัยน์ตาของมู่เฉินคงอยู่หลายนาทีก่อนจะจางลง คลื่นหลิงน่าทึ่งหดกลับเข้าไปในร่าง


ทว่าผิวกายของเขากลับเปล่งประกายเงางามไม่มีสิ้นสุดและคงอยู่เป็นเวลานาน มู่เฉินรู้ว่าเป็นเพราะคลื่นหลิงในร่างกายมากล้นเกินไป ทำให้ไม่สามารถดึงกลับเข้าไปในร่างได้ทั้งหมด


มู่เฉินลุกขึ้นยืนและรู้สึกถึงคลื่นหลิงเพิ่มขึ้นอย่างมากมายในจุดจื้อจุนไห่ รอยยิ้มพึงใจยกขึ้นที่มุมปาก ช่องว่างระหว่างขุมพลังจื้อจุนแต่ละขั้นห่างกันมากอย่างแท้จริง ตอนนี้คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ของเขาทรงพลังมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า


ตอนนี้ต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับสี่แม่ทัพสุดยอดอย่างสูชิงและโจวเยี่ย คนอย่างเขาก็ไม่กลัว ครั้งนี้เขามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นในสงครามสำนักที่จะมาถึงไม่ช้าแล้ว


มู่เฉินรอกระทั่งคลื่นหลิงที่เพิ่มขึ้นในร่างค่อยๆ สงบลง ถึงได้ออกจากห้องฝึกยุทธ์ไป ที่หน้าห้องมีหน่วยรบวิหคโลกันตร์ยืนเฝ้าระวัง เมื่อพวกเขาเห็นมู่เฉินออกมาก็รีบโค้งคำนับให้


มู่เฉินโบกมือ “เตรียมการกันไปถึงไหนแล้ว?”


“เตรียมพร้อมทุกอย่างแล้วขอรับ เราสามารถเดินทัพได้ทุกเมื่อ” จอมยุทธ์คนหนึ่งตอบด้วยความเคารพ


มู่เฉินพยักหน้า ตราบใดที่มีถังปิงเป็นผู้ดูแล ทุกเรื่องในหอวิหคโลกันตร์ก็จะได้รับการจัดการอย่างดี เขาโบกมือให้นักรบวิหคโลกันตร์ออกไป อึดใจเขาก็เงยหน้าขึ้นเห็นร่างเล็กอยู่บนท้องฟ้าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขาปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับ ดวงตาสีทองคำกระจายแรงกดดันชวนใจสั่นในยามค่ำคืน


มั่นถัวหลัวแตะเท้าบนท้องฟ้า จากนั้นก็มาปรากฏตรงหน้ามู่เฉิน นางกวาดม่านตาสีทองคำพลางเอ่ยว่า “ท่าทางเจ้าจะบรรลุขุมพลังสำเร็จสินะ ศักยภาพสูงจริงๆ”


“ด้วยยาจื้อเทียนและของเหลวจื้อจุนจำนวนมาก ถ้าล้มเหลวก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว” มู่เฉินยิ้ม


“งั้นตามข้ามาเถอะ”


มั่นถัวหลัวพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก นางโบกมือทะยานออกไป เมื่อเห็นมู่เฉินก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะติดตามนางไปในทันที


ทั้งสองออกจากหอวิหคโลกันตร์ ภายใต้การนำทางของมั่นถัวหลัว ก็พุ่งไปยังจุดลึกของเขตต้าหลัวเทียน ยิ่งกว่านั้นนางยังไม่ปกปิดตัวเองตลอดทางทะยานออกไปราวกับสายฟ้าแลบ เรื่องนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกตื่นตระหนกเนื่องจากเขตต้าหลัวเทียนมีการรักษาการณ์แน่นหนา หน่วยองครักษ์ลาดตระเวนไม่ได้มาจากหน่วยรบอื่นๆ แต่พวกเขาคือทัพหลวงทรงพลังที่อยู่ภายใต้การบัญชาการของท่านประมุขโดยตรง


ทว่าสถานการณ์ที่มู่เฉินกังวลก็ไม่ได้เกิดขึ้น แม้จะมีองครักษ์ตรวจตราพื้นที่อยู่เป็นประจำ แต่ภายใต้การนำของมั่นถัวหลัวเหมือนเขาจะเข้าไปในพื้นที่โล่งว่างโดยไม่มีใครจับเขาได้


มู่เฉินได้เห็นวิธีการน่ากลัวของมั่นถัวหลัวอีกครั้ง แม้แต่ในทวีปเทียนหลัว พลังของนางก็คงไม่ใช่จอมยุทธ์ไร้ชื่ออย่างแน่นอน


ทั้งสองเข้าสู่จุดลึกของเขตต้าหลัวเทียนโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ ขัดขวาง ก่อนที่จะมาหยุดที่เบื้องหน้ายอดเขาสีดำขนาดใหญ่ มั่นถัวหลัวโบกมือเบาๆ ค่ายกลยักษ์สีดำก็ปรากฏขึ้นบนยอดเขา


ครืน


ยอดเขาสั่นสะเทือนขณะที่รอยแตกปริออกช้าๆ มั่นถัวหลัวทะยานนำเข้าไปก่อนโดยมีมู่เฉินตามไปติดๆ


เมื่อเข้าไปในภูเขาผ่านรอยแยกแล้ว ภาพเบื้องหน้าครรลองสายตาก็ทำให้มู่เฉินอึ้งไป ภายในภูเขาเป็นโพรงกว้าง อักขระโบราณสีดำสลักบนผนังถ้ำเปล่งแสงลึกลับออกมาบางจาง


มู่เฉินจ้องมองอักขระโบราณเหล่านั้นขณะแววตกตะลึงวาบขึ้นในดวงตา เพราะเขาพบว่าอักขระเหล่านั้นเหมือนจะก่อตัวเป็นค่ายกลทรงพลัง


ความซับซ้อนของค่ายกลอยู่เหนือจินตนาการของเขาไปไกล ค่ายกลนี้เห็นชัดว่าไม่ใช่ค่ายกลระดับต่ำธรรมดาแน่นอน


“เจ้าสร้างขึ้นมาหรือ?” มู่เฉินเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ นอกจากนี้เขายังนึกไม่ออกว่ามั่นถัวหลัวหลบเลี่ยงจอมยุทธ์มากมายในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แล้วมาก่อความวุ่นวายใหญ่โตในบริเวณนี้ได้อย่างไร ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ทันสังเกตเรื่องนี้เลยเหรอ? หรือได้ทำข้อตกลงกับมั่นถัวหลัวไว้?


มั่นถัวหลัวยังคงเงียบโดยไม่ตอบอะไร เท้าขาวราวหิมะของนางหย่อนลงไปที่พื้น พริบตาก็ปรากฏตัวบริเวณกึ่งกลาง ตรงนั้นเป็นบ่อน้ำสีดำสนิท แม้ว่าน้ำในบ่อดูเหมือนจะเดือดปุดพุ่งไปมา แต่มู่เฉินกลับรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความแตกต่างดังกล่าวทำให้เขารู้สึกอึดอัดไม่น้อย


มู่เฉินพลิ้วกายลงตรงขอบบ่อถามด้วยความสงสัย “ต้องการให้ข้าทำอะไรไหม?”


“รอข้าบอกแล้วเรียกหน้ารายการนิรันดร์ออกมาก็พอ” มั่นถัวหลัวเอ่ยเบาๆ แต่เสียงอ่อนเยาว์ของนางกลับมีพลังอำนาจที่ยับยั้งการตั้งคำถามไว้ได้


มู่เฉินทำได้เพียงผงกศีรษะพลางเบ้ปาก แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกไป ดวงตาเขาก็ต้องเบิกกว้าง เพราะเด็กสาวตรงหน้าได้ถอดชุดออกโดยไม่สนใจเขาเลย จากนั้นร่างเล็กขาวผุดผ่องของนางก็เผยตัวท่ามกลางอากาศเย็น


“ถ้าไม่อยากมีดวงตาแล้วก็มองต่อเลย”


เสียงเล็กกำจายไอเย็นเยือกดังก้องทำให้มู่เฉินสั่นสะท้านไปหมด ทว่าเขาก็ยังอดพูดอย่างขุ่นเคืองไม่ได้ “ใครให้เจ้าไม่บอกอะไรล่วงหน้าเลยล่ะ อีกอย่างข้าไม่สนเด็กหรอก”


ปัง!


เมื่อสิ้นเสียงมู่เฉิน พลังมหาศาลก็ยิงเข้ามาซัดเขาจนกระเด็น เมื่อเขาทรงตัวได้อย่างทุลักทุเลและกำลังจะอาละวาด ก็เห็นร่างเล็กก้าวลงไปในบ่อประหนึ่งมัจฉาได้น้ำ ภาพนี้ช่างสะดุดตาในภูเขาเย็นเยือกแห่งนี้


หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 717 สะกดคำสาป

บุ๋ม!


เมื่อมั่นถัวหลัวก้าวลงไปในบ่อน้ำสีดำเมื่อม เสียงกังวานของการเข้าสู่เวิ้งน้ำดังสะท้อนไปในโพรงถ้ำแห่งนี้ บ่อน้ำเดือดก็พลุ่งพล่านรุนแรงเกิดเสียงดังก้องต่อเนื่อง


สายตาของมู่เฉินที่จับจ้องเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเบาบาง มองเห็นหนามแหลมสีดำผุดออกมาจากร่างเล็กของมั่นถัวหลัว


หนามสีดำเหล่านี้ดูเหมือนจะมีชีวิตติดตรึงอยู่กับกายเนื้อของนาง ขณะที่พวกมันบิดตัวไปมาก็ราวกับอสรพิษร้ายกำลังเขมือบเลือดของนางเข้าไปอย่างกระหาย


มั่นถัวหลัวนั่งลงในบ่อน้ำพลางมุ่นคิ้ว เหมือนกำลังอดทนต่อความเจ็บปวดรุนแรง ซึ่งนี่ทำให้กระทั่งมู่เฉินยังรู้สึกหวาดผวา เนื่องจากเขารู้ดีว่าเด็กสาวคนนี้สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้มากเพียงใด ความเจ็บปวดที่สามารถทำให้เขารู้สึกอยากตายกลับไม่ส่งผลอะไรกับนาง แต่ตอนนี้นางกลับกำลังอดทนด้วยหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน นี่ต้องเป็นความเจ็บปวดระดับไหนกันนะ?


หนามดำร้ายกาจงอกออกจากร่างนางอย่างต่อเนื่อง เพียงเวลาสิบกว่าลมหายใจก็พันรอบร่างกายนางไปครึ่งหนึ่งแล้ว


“นี่คือคำสาปในร่างกายนางหรือ?” มู่เฉินตะลึงกับภาพที่เห็น พลังของมั่นถัวหลัวแข็งแกร่งจนน่ากลัว เขาคิดไม่ออกเลยว่าคนประเภทไหนกันที่สามารถใส่คำสาปแช่งเช่นนี้ในร่างกายนางได้


เมื่อหนามแหลมสีดำปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ ผิวของมั่นถัวหลัวที่เคยขาวผ่องก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดำคล้ำ ไม่นานก็เหลือเพียงดวงตาสีทองคำที่ยังเป็นสีเดิม


ทว่ามู่เฉินสามารถรู้สึกได้ถึงร่างกายนางที่สั่นเทิ้มรุนแรงขึ้น ดูเหมือนางกำลังพยายามระงับบางสิ่งไว้ด้วยกำลังทั้งหมด…


ชี่!


บ่อน้ำสีดำเดือดพล่านต่อเนื่อง ทันใดนั้นเส้นผมยาวของมั่นถัวหลัวก็เต้นระริก แสงสีดำหลั่งไหลออกจากแผ่นหลังบอบบางขณะที่หนามสีดำขนาดใหญ่ราวกับอสรพิษพุ่งออกมา


ฟ่อ! ฟ่อ!


หนามสีดำน่ากลัวเต้นยุบยับไปหมด เมื่อเกิดการเคลื่อนไหว เสียงครางต่ำลึกด้วยความเจ็บปวดก็ดังมาจากมั่นถัวหลัว ขณะที่นางขบฟันหากันก็มีเลือดซึมออกมาตามไรฟัน


ภาพนี้น่าสะพรึงกลัวจริงๆ


“ฮึ่ม!”


ทว่าทันทีที่หนามสีดำพุ่งออกมา อักขระโบราณบนผนังถ้ำด้านในก็ปะทุแสงจ้า ลำแสงคลื่นหลิงอ่อนโยนกำจายออกมา พุ่งตรงไปที่หนามแหลมที่ออกมาจากแผ่นหลังของมั่นถัวหลัว


ชี่ ชี่


ลำแสงส่องผ่าน ควันขาวขุ่นก็แผ่ซ่านออกมาจากหนามแหลมพร้อมกับเสียงกรีดร้องดังขึ้น ภาพนี้ดูราวกับว่าหนามสีดำนั่นมีชีวิตเลย


ทว่าลำแสงเหล่านั้นไม่อาจสยบหนามสีดำได้หมด หนามสีดำดิ้นยังคงพล่านบ้าคลั่งขณะที่พุ่งออกมาจากร่างของมั่นถัวหลัวอย่างต่อเนื่อง ทุกการเจาะทะลวง มู่เฉินก็จะเห็นเลือดไหลออกจากมุมปากของมั่นถัวหลัวมากขึ้น ราวกับว่าถ้าหนามสีดำเจาะออกจากกายก็จะพรากชีวิตนางไปด้วย


ปุดๆๆๆ!


บ่อน้ำสีดำเดือดพล่านขณะที่ลำแสงสีดำพุ่งออกมาจากบ่อ ดึงหนามเอาไว้ แต่ก็เห็นชัดว่าทำได้เพียงชะลอความเร็วลงเท่านั้น


หนามสีดำชั่วร้ายถอนออกมาจากร่างเล็กของมั่นถัวหลัวทีละน้อยที่มาพร้อมกับเลือดสด ภาพโชกเลือดเบื้องหน้าทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกหวาดกลัว


ทว่ามั่นถัวหลัวก็ไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักคำขณะทนต่อความเจ็บปวดนั้น นางขบฟันแน่นอดทนอย่างขมขื่น


“มู่เฉิน!”


อย่างไรซะความอดทนของนางก็มีขีดจำกัด ในที่สุดมั่นถัวหลัวก็เงยหน้าขึ้น ดวงหน้าเล็กเต็มไปด้วยเหงื่อ นางกัดฟัน เสียงใสอ่อนเยาว์แหบแห้งไปหมดแล้วในตอนนี้ ทำให้ผู้ได้ฟังรู้สึกสงสารนางจับใจ


มู่เฉินรีบพยักหน้าวาดตราประทับสองมือ คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ม้วนตัวขณะแสงสีดำลึกลับพุ่งออกมา ลอยอยู่เบื้องหน้าเขา


หน้ารายการนิรันดร์ลอยอยู่ในอากาศเงียบๆ เต็มไปด้วยลวดลายโบราณลึกลับกำจายแสงสีม่วงจางออกมา ทำให้ผู้คนจิตใจสงบลงได้


มู่เฉินจ้องมองหน้ารายการนิรันดร์แล้วมองมั่นถัวหลัวอีกครั้ง สุดท้ายเขาก็ขบฟันดีดนิ้วส่งหน้ารายการนิรันดร์ไปทางเด็กสาว ในเมื่อเขาเลือกเชื่อใจนางแล้วก็ต้องไม่ลังเล


ถึงแม้ว่าหน้ารายการนิรันดร์นี้จะมีความสำคัญมากสำหรับเขาก็ตาม


หน้ารายการนิรันดร์บินขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือบ่อน้ำ มั่นถัวหลัวโบกมืออย่างยากลำบาก แสงสีดำยิงออกมาล้อมรอบหน้ารายการนิรันดร์ไว้ จากนั้นหน้ารายการนิรันดร์ก็ปล่อยแสงสีม่วงเข้มออกมา


เมื่อแสงระเบิดออก ดอกแมนดาลาขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในอากาศช้าๆ กลีบงดงามคลี่ออก แสงสีม่วงเข้มฉายลงมาล้อมรอบร่างของมั่นถัวหลัวไว้


ชี่! ชี่!


ด้วยการกดอัดลงมาของแสงสีม่วงแข้ม หนามสีดำก็ดิ้นกระเสือกกระสน ทุกส่วนของหนามสัมผัสกับแสงสีม่วงจะแสดงสัญญาณสลายตัวกลายเป็นของเหลวสีดำไหลออกมาอย่างไม่สิ้นสุด


ฉ่า! ฉ่า!


ได้ยินเสียงกรีดแหลมดังมาจากหนามสีดำขณะที่ความเร็วในการเจาะออกมาหยุดชะงัก นอกจากนี้ยังค่อยๆ ถูกสะกดกลับเข้าในร่างของมั่นถัวหลัวด้วยแสงจากดอกแมนดาลา


ตู้ม!


เห็นชัดว่าหนามดำไม่ยอมสยบง่ายๆ แสงสีดำระเบิดออกมาจากมัน ตัวหนามฉีกแหวกมิติกวาดเข้าหาดอกแมนดาลาอย่างรวดเร็ว


ทว่าดอกแมนดาลาก็ยังกำจายแสงสีม่วงออกมาเมื่อเผชิญกับการโจมตีจากมัน แสงสีม่วงก่อตัวเป็นโล่ ไม่ว่าหนามสีดำจะโจมตีอย่างไร ก็ไม่สามารถเจาะผ่านแนวป้องกันนี้ได้ กลับกันทุกครั้งที่เกิดการโจมตี ก็จะมีของเหลวไหลลงและถูกแสงสีม่วงกัดกร่อน


มู่เฉินรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นภาพนี้ โชคดีที่วิธีนี้ได้ผล


เนื่องจากมีดอกแมนดาลาช่วยเหลือ มั่นถัวหลัวจึงรู้สึกกดดันน้อยลงอย่างชัดเจน คิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่นคลายลง มือบางเอื้อมเช็ดคราบเลือดออกจากมุมปาก ตอนนี้นางเสียกำลังภายในไปกับความเจ็บปวดน่ากลัว ทำให้ขนาดการเคลื่อนไหวเล็กน้อยยังเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับนาง


ที่กลางอากาศ ดอกแมนดาลาได้เปรียบชัดเจนมากขึ้น หนามสีดำร้ายกาจอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็หดกลับเข้าไปในร่างของมั่นถัวหลัว


มั่นถัวหลัวผ่อนคลายลงเมื่อรู้สึกถึงสภาวะของหนามดำ จากนั้นนางก็ทนฝืนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสในร่างกายไม่ได้ ต้องคุกเข่าลงไปพลางหายใจหนักพร้อมกับเหงื่อเย็นไหลรินลงมาจากใบหน้างดงาม


ทว่าทันทีที่นางผ่อนคลายลง หนามสีดำที่หดจนเหลืออยู่เพียงครึ่งศอกก็พุ่งออกมา ตัวหนามที่ปกคลุมด้วมีฟันเลื่อยยิงเข้าใส่ลำคอของนาง


หนามดำขยายขนาดในม่านตาของมั่นถัวหลัวอย่างรวดเร็ว ทว่านางไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ด้วยกำลังที่มีเหลือน้อยนิดในตอนนี้ ใบหน้าของนางกลายเป็นสีขาวซีดทันที


วาบ!


ทว่าขณะที่มั่นถัวหลัวขบฟันเตรียมรับการลอบโจมตี ลมกระโชกรุนแรงก็หยุดตรงหน้าลำคอเพียงครึ่งชุ่นเท่านั้น แต่แรงดันลงก็ยังทำให้เกิดรอยแผลบนลำคอขาวผ่อง


มั่นถัวหลัวเงยหน้าอย่างตกตะลึง จากนั้นก็เห็นมือข้างหนึ่งยึดหนามไว้ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เมื่อมองไล่ตามมือขึ้นไปนางก็เห็นมู่เฉินมาอยู่ตรงหน้า คว้าหนามเอาไว้ทันท่วงที


แต่เมื่อมู่เฉินกำหนามดำเอาไว้ ฟันเลื่อยคมก็บาดฝ่ามือเขาทันทีเลือดหยดลง ความเจ็บปวดทรมานแล่นออกมาจากฝ่ามือ


ภายใต้ความเจ็บปวดแรงกล้า เขาอดทนได้เพียงอึดใจก็ต้องคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ดวงตาเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดแต่ก็ยังกัดฟันกรอดไม่ยอมคลายมือ กลับกันเขายังค่อยๆ ดึงหนามดำกลับไปช้าๆ


มั่นถัวหลัวกัดฟันสะบัดมือ ดอกแมนดาลาในอากาศก็ระเบิดแสงสีม่วงออกมากะทันหัน เกิดเสียงวูบ หนามสีดำก็ไม่สามารถคงอยู่ต่อ หลุดจากมือของมู่เฉินก่อนที่จะถูกสะกดเข้าในร่างของมั่นถัวหลัว


ผลุบ


ในที่สุดมู่เฉินก็ทนไม่ไหวล้มลงไปในบ่อน้ำ สภาพเขาดูไม่จืดเลยทีเดียว ใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาพร้อมกับร่างสั่นเทิ้มด้วยความรู้สึกหวาดกลัวที่ยังติดอยู่


“อยากตายหรือไง?” พอเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไร มั่นถัวหลัวก็โล่งใจ จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงเย็น


“ข้าช่วยเจ้าอยู่นะ” สีหน้าของมู่เฉินดิ่งลง เขาอุตส่าห์ทำขนาดนั้นเพื่อช่วยแต่กลับถูกตำหนิ นี่มันตรรกะอะไรกันเนี่ย?


“ไม่รู้อะไรแล้วยังพุ่งเข้ามาอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ามีหน้ารายการนิรันดร์ เจ้าก็ถูกคำสาปไปแล้ว!” มั่นถัวหลัวเอ็ดเสียงเย็นไม่มีความเกรงใจใดๆ


สีหน้ามู่เฉินเปลี่ยนไปรีบมองลงไปที่ฝ่ามือของตัวเอง เขามองเห็นรอยสีดำน่าสะพรึงกลัวอยู่บนฝ่ามือ แต่โชคดีที่แสงสีม่วงในร่างกำจายออกมาลบรอยสีดำออกไปอย่างช้าๆ แสงสีม่วงนี้ชัดว่ามาจากหน้ารายการนิรันดร์นั่นเอง


มู่เฉินปาดเหงื่อเย็น เขาเห็นแล้วว่าคำสาปในร่างของมั่นถัวหลัวน่ากลัวขนาดไหน ถ้าเขาไม่มีหน้ารายการนิรันดร์ ก็คงต้องตายจากการต้องคำสาปด้วยพลังที่มีในตอนนี้เป็นแน่


“ตอนนี้เจ้าดีขึ้นหรือยัง?” มู่เฉินมองมั่นถัวหลัว


“ก็ชั่วคราวน่ะ” มั่นถัวหลัวบิดตัว แต่เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองเหมือนจะสูญเสียพลังไปหมดก็ขมวดคิ้วขึ้น


มู่เฉินเอื้อมมือเก็บหน้ารายการนิรันดร์ จากนั้นเขาก็มองมั่นถัวหลัวพลางเบ้ปาก เขานำเสื้อคลุมสีดำมาคลุมร่างเล็กของมั่นถัวหลัวไว้ ก่อนจะอุ้มนางขึ้นมาจากบ่อน้ำเย็น


มั่นถัวหลัวทำเพียงเหลือบมองการกระทำของเขาแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน นางเอนซบแผ่นอกของเขาเงียบๆ และเริ่มฟื้นฟูพลัง


มู่เฉินอุ้มนางก้าวออกมาจากบ่อน้ำเย็นก่อนจะวางร่างเล็กไว้บนก้อนหิน


เด็กสาวนั่งอยู่บนก้อนหินเงียบๆ เรือนผมเปียกลู่แนบไปกับร่างกาย เสื้อคลุมตัวใหญ่แนบเข้าเผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าเล็กๆ


นางฟื้นฟูพลังเงียบๆ ไปพักหนึ่ง ก่อนจะมองมู่เฉินที่ดูเบื่อหน่ายก็เอ่ยเสียงเบา “ขอบใจที่ช่วยนะ เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะบอกทักษะลับของร่างเทพสุริยะที่รู้มาให้เจ้าฟัง”


พอได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็หัวใจโลดขึ้นทันที


หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 718 คลื่นเก้าตะวัน

ภายในถ้ำโพรงบนภูเขา


ร่างของมั่นถัวหลัวอยู่ในเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ ม่านตาสีทองคำเหลือบมองมู่เฉินที่แววตาอัดแน่นด้วยความตื่นเต้นจากประโยคที่นางบอก “ร่างเทพสุริยะคือระยะต้นของการฝึกร่างมหาเทพนิรันดร์ แม้จะไม่ได้อยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง แต่ถ้าได้รับการจัดอันดับอย่างน้อยก็อยู่ที่สามสิบอันดับแรก”


“สามสิบอันดับแรก? ทรงพลังขนาดนั้นเชียว?”


มู่เฉินอึ้งไป เขาไม่เคยประเมินร่างเทพสุริยะไว้ต่ำ แต่ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะสามารถอยู่สามสิบอันดับแรกได้ เพราะเขารู้ดีว่าร่างเทห์สวรรค์ที่อยู่ในสามสิบอันดับแรกเป็นสมบัติมีค่าชั้นสูงแม้แต่ในสำนักยุทธ์โบราณ อย่างน้อยในเขตต้าหลัวเทียนก็ไม่อาจหาร่างเทห์สวรรค์ระดับนั้นได้


“เจ้าน่าจะรู้ต้นกำเนิดของร่างมหาเทพนิรันดร์แล้วสินะ? ในฐานะเป็นหนึ่งในร่างเทห์สวรรค์โบราณในโลกนี้ ต่อให้ร่างเทพสุริยะจะเป็นเพียงร่างต้น แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ร่างเทห์สวรรค์ธรรมดาอื่นใดสามารถเทียบได้” มั่นถัวหลัวกล่าว


มู่เฉินพยักหน้า ประสบกับมหันตภัยโบราณครั้งใหญ่ มีร่างเทห์สวรรค์โบราณห้าร่างที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้เท่านั้น และร่างมหาเทพนิรันดร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น


พลังที่ร่างเทห์สวรรค์โบราณทั้งห้ามีนั้นแข็งแกร่งกว่าร่างเทห์สวรรค์อื่นๆ หลายขุมเลยทีเดียว


“แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะชำระร่างเทพสุริยะได้สำเร็จ แต่กลับยังไม่สามารถเข้าใจถึงความลึกซึ้งที่มี” มั่นถัวหลัวเบ้ปากราวกับเยาะเย้ยมู่เฉินที่ใช้ร่างเทห์สวรรค์ล้ำค่าอย่างเสียของ


มู่เฉินมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เขาเพิ่งจะชำระร่างเทพสุริยะได้เมื่อไม่นานมานี้ ก็ยากเป็นธรรมดาที่เขาจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งได้ นอกจากนี้หน้ารายการนิรันดร์ก็บอกไว้แค่วิธีชำระ ส่วนขั้นตอนต่อไปเขาต้องพึ่งพาตัวเองในการค้นคว้า


“ถ้างั้นข้าขอรับคำชี้แนะจากท่านมั่นถัวหลัวด้วยขอรับ” ขอทานเป็นผู้เลือกไม่ได้ ดังนั้นเขาต้องถ่อมตนเพื่อรับคำชี้แนะ


“เจ้ารู้ไหมทักษะเทห์สวรรค์คืออะไร?” มั่นถัวหลัวเอ่ยถามเสียงเรียบ


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ทักษะเทห์สวรรค์ก็คือวิธีการเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะในร่างเทห์สวรรค์ทรงพลังเท่านั้น แต่ร่างเทห์สวรรค์ที่เขาเคยปะทะมาก่อนหน้า เหมือนจะไม่มีทักษะเทห์สวรรค์อยู่เลย


“เจ้าหมายความว่าร่างเทพสุริยะมีทักษะเทห์สวรรค์ด้วยเหรอ?”


“ถ้าร่างเทห์สวรรค์อย่างร่างเทพสุริยะไม่มีทักษะเทห์สวรรค์ละก็ จะมีร่างเทห์สวรรค์มากเท่าไรที่จะมีล่ะ?” มั่นถัวหลัวเบะปาก


“ทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะมีชื่อเรียกว่าคลื่นเก้าตะวัน”


“คลื่นเก้าตะวัน?” มู่เฉินอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ “เกี่ยวข้องกับการชำระเห็ดหลินจือเก้าตะวันใช่ไหม?”


มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินอย่างประหลาดใจ “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้โง่จนถึงจุดน่าสิ้นหวังนะ”


มุมปากของมู่เฉินกระตุกเบาๆ


“หลังจากชำระเห็ดหลินจือเก้าตะวัน ก็จะก่อตัวเป็นผลึกมหาตะวันในร่างเทพสุริยะ ถ้าพวกมันได้รับการหล่อเลี้ยงและเร่งปฏิกิริยา คลื่นเก้าตะวันก็จะสามารถสยบสวรรค์ได้เพียงพลิกฝ่ามือ” มั่นถัวหลัวเอ่ยช้าๆ


“ผลึกมหาตะวัน?”


มู่เฉินขมวดคิ้ว จากนั้นก็หลับตาลง คลื่นหลิงกว้างใหญ่ปะทุออกมา เมื่อแสงสีทองพวยพุ่ง ร่างเทพสุริยะก็ปรากฏขึ้นในพริบตา ดวงตาของเขาปิดสนิทพยายามพิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นครู่ใหญ่เขาก็พบเก้าจุดในร่างเทพสุริยะที่มีคลื่นพลังประหลาดแผ่เบาบางจากการไหลเวียนของคลื่นหลิง


ความผันผวนเหล่านั้นเล็กน้อยมากเนื่องจากมีคลื่นหลิงบดบัง ถ้าไม่ใช่เพราะมู่เฉินตั้งใจสัมผัส ก็คงเป็นเรื่องยากที่เขาจะตรวจจับได้


จิตของมู่เฉินเลื่อนไหลออกไปสำรวจตรงบริเวณดังกล่าวอย่างละเอียด ในส่วนลึกของแสงหลิงมีแก้วผลึกเก้าชิ้นกำลังแผ่ความแปรปรวนยิ่งใหญ่ออกมาเงียบๆ


“นี่คือผลึกมหาตะวันเหรอ?”


เมื่อมู่เฉินค้นพบก็ละจากร่างเทพสุริยะ ก่อนจะลืมตาขึ้นเอ่ยด้วยเสียงรีบร้อน “แล้วข้าจะเร่งปฏิกิริยาให้ผลึกมหาตะวันพวกนั้นยังไงล่ะ?”


เขาสัมผัสได้ว่าผลึกมหาตะวันเหล่านี้มีพลังงานน่าอัศจรรย์ใจแรงกล้า หากเกิดพัฒนาการก็จะสามารถเพิ่มพลังให้เขาได้อย่างมีนัย


“ง่ายนิดเดียว ก็เร่งด้วยคลื่นหลิงของเจ้าไงล่ะ หากคลื่นหลิงของเจ้ามีไม่พอก็ใช้ของเหลวจื้อจุนทดแทนได้ ขอคิดก่อน เจ้าน่าจะใช้ของเหลวจื้อจุนสักห้าถึงหกหมื่นหยดก็สามารถพัฒนาผลึกมหาตะวันชิ้นแรกได้แล้ว” มั่นถัวหลัวเอ่ยสบายๆ


“ของเหลวจื้อจุนห้าถึงหกหมื่นหยด?”


ทว่าคำพูดสบายๆ ของนางกลับทำให้มู่เฉินเกือบจะกระอักเลือด เขาใช้ของเหลวจื้อจุนแค่หมื่นกว่าหยดในการซื้อผลตะวันสุญตา แต่ตอนนี้แค่เร่งผลึกมหาตะวันชิ้นเดียวก็ต้องใช้เกินห้าหมื่นหยด เขาไม่มีเงินขนาดนั้นต่อให้ขายตัวเองแล้วก็ตาม!


“มากไปเหรอ? นี่แค่ผลึกมหาตะวันชิ้นแรกนะ ยิ่งชิ้นหลังๆ จำนวนของเหลวจื้อจุนที่ต้องใช้ก็จะเพิ่มตามตัว” มั่นถัวหลัวยักไหล่เบาๆ


ใบหน้าของมู่เฉินเขียวคล้ำ เอาเป็นว่าคลื่นเก้าตะวันจะได้ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนของเหลวจื้อจุนซะงั้น!


“ดูท่าทางน่าสงสารของเจ้าสิ…” มั่นถัวหลัวเท้าแก้มมองมู่เฉินด้วยสายตาล้อเลียน จากนั้นนางก็โบกมืออย่างเกียจคร้าน “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าเสร่อเข้ามาช่วยข้าแบบไม่ยั้งคิด ข้าก็จะช่วยเจ้าพัฒนาผลึกมหาตะวันชิ้นแรกให้เองแล้วกัน”


พอได้ยินประโยคแรกของนาง มู่เฉินก็หัวร้อนฉ่า แต่เมื่อฟังประโยคสุดท้ายเขาก็ข่มโทสะไว้ ชูนิ้วหัวแม่มือให้ด้วยท่าทางเคร่งขรึม “รู้จักตอบแทนบุญคุณ ช่างเป็นวีรสตรีจริงๆ”


“คนเราต้องยืดได้หดได้” มั่นถัวหลัวมองค้อนให้


“ยืดได้หดได้ไม่ได้เอาไว้ใช้ในเวลาแบบนี้นะ” มู่เฉินยิ้ม


“นำร่างเทพสุริยะของเจ้าออกมาซะ” มั่นถัวหลัวโบกมือเอ่ยขึ้น


มู่เฉินรีบทำตามคำสั่ง จิตใจเคลื่อนไหว ร่างเทพสุริยะก็กำจายแสงสีทองเจิดจ้าปรากฏในโพรงภูเขา แสงสีทองส่งประกายบนภูเขา ทำให้ดูราวกับว่าภายในภูเขาฉาบด้วยทองคำ


มั่นถัวหลัวยื่นมือเล็กออก คลื่นหลิงสีดำก็รวมตัวกันอยู่ที่ปลายนิ้ว อึดใจก็เปลี่ยนเป็นแสงสีดำพุ่งใส่ร่างเทพสุริยะอย่างรวดเร็ว สุดท้ายไปปรากฏอยู่ตรงหว่างคิ้ว


ที่ตรงนั้นมีผลึกมหาตะวันอยู่ชิ้นหนึ่ง


แสงสีเข้มล้อมทั่วผลึกมหาตะวัน มู่เฉินสัมผัสได้ว่ามีคลื่นหลิงยิ่งใหญ่เทเข้าไปในผลึกชิ้นแรกอย่างไม่สิ้นสุด


เมื่อคลื่นหลิงมหาศาลเทเข้าไป ผลึกมหาตะวันก็ส่องแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะมีพลังน่าสะพรึงแผ่อยู่ข้างใน


แสงสีเข้มคงอยู่ในตำแหน่งนั้น แต่ผลึกมหาตะวันกลับไม่ได้พัฒนาตัวเองอย่างที่มู่เฉินคิดไว้


“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เฉินลืมตาขึ้นและมองมั่นถัวหลัวที่หดมือกลับด้วยความสงสัย


เด็กสาวลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ ท่าทางเหมือนอ่อนแรงลงหลายส่วน นางกลอกตาใส่มู่เฉิน “เจ้าคิดว่านี่จะง่ายเหมือนแม่ไก่คอยกกไข่รึไง? ข้าฝังคลื่นหลิงไว้ตรงนั้นเพื่อให้เกิดพัฒนาการขึ้นอย่างช้าๆ ทุกสิ่งต้องใช้เวลาก่อนที่จะเติบโตอย่างสมบูรณ์”


มู่เฉินเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นจากนั้นก็ยิ้มเผล่ออกมา “แล้วทำไมเจ้าไม่เร่งปฏิกิริยาชิ้นอื่นๆ ด้วยล่ะ?”


การช่วยครั้งเดียวของนางให้ผลเท่ากับของเหลวจื้อจุนหลายหมื่นหยด กำลังภายในนี่นับว่ายิ่งกว่าสวรรค์เสียอีก


“ได้สิ แต่ด้วยพลังของเจ้าตอนนี้ ข้าชำระผลึกมหาตะวันเพียงสามชิ้น ร่างเทพสุริยะของเจ้าก็จะแบกพลังน่ากลัวไม่ไหว พริบตาเดียวก็ระเบิดตู้มแล้ว…” รอยยิ้มไม่เชิงยิ้มปรากฏบนใบหน้าของมั่นถัวหลัว อึดใจนางก็ยื่นมือออก แสงสีเข้มลอยอวลอยู่รอบนิ้วพลางนางยิ้มเผล่เอ่ยออกมา “มา ข้าจะช่วยเจ้าเอง”


มู่เฉินยิ้มเก้อแล้วก้าวถอยออกไปสองก้าว “ข้าคิดว่าควรทำด้วยตัวเองดีกว่าเนอะ”


มั่นถัวหลัวหดมือกลับอย่างเฉยชา มู่เฉินรีบนั่งสงบเสวี่ยมข้างนาง เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามว่า “ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องเกี่ยวกับร่างเทพสุริยะมากมายขนาดนี้?”


คำถามนี้ติดอยู่ในใจของเขามานาน เพราะเขาตระหนักได้ว่ามั่นถัวหลัวมีความรู้เกี่ยวกับร่างเทพสุริยะมากกว่าความคาดหมายของเขาเสียอีก พูดแบบทั่วไปน่าจะมีคนน้อยนักที่รู้เรื่องเกี่ยวกับร่างเทพสุริยะ


มั่นถัวหลัวอึ้งไป ครู่ใหญ่นางก็เปิดปาก “เพราะว่าเจ้าไม่ใช่คนเดียวบนโลกนี้ที่ชำระร่างเทพสุริยะน่ะสิ”


“เจ้าเคยชำระมันด้วยเหรอ?” มู่เฉินตกใจ


“ไม่” มั่นถัวหลัวส่ายหน้าเอ่ยเสียงเบา “แต่ข้าเคยเห็นมาก่อน… ดังนั้นอย่าคิดว่ามีเพียงเจ้าที่ได้รับ ส่วนข้าก็ต้องเตือนให้เจ้าระวังตัวไว้หากเจอคนอื่นที่ชำระร่างเทพสุริยะเหมือนกันในอนาคต”


“ทำไมล่ะ?” มู่เฉินถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“จุดประสงค์ที่เจ้าชำระร่างเทพสุริยะคืออะไร?” มั่นถัวหลัวถามกลับ


“ร่างมหาเทพนิรันดร์” มู่เฉินตอบเสียงเบา จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย บางทีเขาอาจไม่ใช่คนเดียวที่ชำระร่างเทพสุริยะได้ แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชำระร่างมหาเทพนิรันดร์สำเร็จ พูดโดยทั่วไปก็คือทุกคนที่ชำระร่างเทพสุริยะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของเขาทั้งสิ้น


“ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นหนึ่งในร่างเทพโบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ เจ้าจะต้องก้าวผ่านการกำจัดอันโหดร้ายเพื่อให้ได้มาครอบครอง ในเมื่อเจ้าชำระร่างเทพสุริยะแล้ว ก็ถือว่าผ่านขั้นตอนแรกไปได้ ดังนั้นนี่ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าในอนาคตที่จะประสบผลสำเร็จน่ะ” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเรียบ


สีหน้ามู่เฉินเคร่งเครียดมากขณะที่ในหัวใจกระเด้งกระดอนไปหมด คำพูดของมั่นถัวหลัวเห็นชัดว่าสร้างความตกตะลึงให้เขา ดูเหมือนจะยังมีความลับซ่อนอยู่เบื้องหลังร่างมหาเทพนิรันดร์อีกมากมายที่เขายังไม่รู้


“แล้วร่างเทพโบราณอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมดหรือ?” มู่เฉินถามขณะมองมั่นถัวหลัว


“ก็น่าจะ” มั่นถัวหลัวไม่ได้ให้คำตอบแน่นอนกับเขา


มู่เฉินพยักหน้า จากนั้นก็ยิ้มให้ “ขอบใจนะ ข้าจะระวังตัว แต่คำพูดของเจ้ายิ่งทำให้ข้าสนใจร่างมหาเทพนิรันดร์มากขึ้นซะแล้วสิ”


มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินที่มีดวงตาลุกโชนอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ความอุตสาหะของชายคนนี้น่าทึ่งแท้จริง


“ก็แค่เป็นการตอบแทนบุญคุณเจ้าน่ะ”


มั่นถัวหลัวยืนขึ้นหันหลังเดินไปยังทางออก “ไปกันเถอะ สงครามสำนักของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเริ่มในไม่ช้า เจ้าต้องพึ่งตัวเองแล้ว อย่าโดนฆ่าตายจนทำให้ร่างเทพสุริยะสูญเปล่าล่ะ”


มู่เฉินยิ้มพลางกำหมัดแน่น สายตาของเขามั่นคงนัก ไม่ว่าการฝึกร่างเทพสุริยะจะอันตรายขนาดไหน แต่เขาก็จะไม่ยอมแพ้ จะต้องมีวันที่เขาได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มาแน่นอน!


เพราะนี่คือเส้นทางสำคัญที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นยอดยุทธ์!


719 สงครามเริ่มต้น


 


ภายในอาณาเขตกงเวทสวรรค์


บรรยากาศเตรียมเข้าสู่สงครามขยายตัวถึงขีดสุดภายในเวลาไม่กี่วัน ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านท้องฟ้าของเขตต้าหลัวเทียนอย่างไม่สิ้นสุดในแต่ละวัน ขณะที่ความตั้งใจในการต่อสู้รุนแรงพวยพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้า


ภายในสถานที่อย่างทวีปเทียนหลัวมีข้อพิพาทเกิดขึ้นไม่รู้จบ สงครามนับว่าเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อพูดถึงมุมหนึ่งก็คือไม่มีการแบ่งระหว่างความชอบธรรมและไม่ชอบธรรม มีแค่ผู้แข็งแกร่งเหนือผู้ที่อ่อนแอตามกฎของธรรมชาติ


ในช่วงที่เขตต้าหลัวเทียนเก็บตัว แดนร้อยสงครามก็ประกาศสงครามหลายครั้งต่อหลายครั้ง ยึดครองเมืองต่างๆ ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์และปล้นสะดมกันอย่างไร้ปรานี ตอนนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์แค่เอาคืนเท่านั้นเอง


หอวิหคโลกันตร์


ภายในโถงมีจอมยุทธ์ชั้นสูงจำนวนมากมารวมตัวกัน แสงหลิงรวมตัวกันบนแท่นหิน ก่อตัวเป็นแผนที่ขนาดใหญ่และซับซ้อน


“ตอนนี้หน่วยรบของผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์เคลื่อนพลออกไปหมดแล้ว ส่วนกองทัพใต้บัญชาการอื่นๆ ก็กำลังรวบรวมไพร่พลอยู่” จิ่วโยวเอ่ยขณะมองแผนที่ซับซ้อน


“งั้นแดนร้อยสงครามคงจับความเคลื่อนไหวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้แล้วสินะ?” มู่เฉินเอ่ยสายตาจับจ้องที่แผนที่เช่นกัน


จิ่วโยวพยักหน้า “แค่จับความเคลื่อนไหวได้ไม่มีผลอะไร สงครามระดับนี้ไม่เปลี่ยนแปลงเพียงเพราะเรื่องเท่านี้หรอก”


มู่เฉินพยักหน้า ความแข็งแกร่งของอาณาเขตกงเวทสวรรค์อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะมีการป้องกันล่วงหน้าอะไร แค่บุกตะลุยเข้าไปก็พอ ภายใต้พลังไร้เทียมทาน ทุกแผนการเป็นเพียงไม้ประดับเท่านั้น


“ถ้างั้นเส้นทางโจมตีของหอวิหคโลกันตร์เราล่ะ?” ถังปิงเอ่ยจากทางด้านข้าง


ดวงตาหงส์ของจิ่วโยวหรี่ตาลงเล็กน้อย นิ้วเรียวชี้ไปที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแผนที่ สุดท้ายก็หยุดอยู่ตรงจุดสีแดงจุดหนึ่ง ที่ด้านข้างมีตัวอักษรสีเลือดเขียนไว้ชัดเจน


สำนักสายฟ้าปีศาจ!


“สำนักสายฟ้าปีศาจ?” ถังปิง ถังโหยวและคนที่ยืนอยู่รอบๆ อุทานอย่างประหลาดใจออกมา อึดใจชิวซันก็เอ่ยอย่างระมัดระวัง “นายหญิง สำนักสายฟ้าปีศาจมีชื่อเสียงโด่งดังมากในแดนร้อยสงคราม เจ้าสำนักฉิงเทียนกังอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ามานานแล้ว จะดีหรือที่พวกเขาจะเป็นเป้าหมายของเรา?”


ในสงครามการบุกยึดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และการชิงเมืองเป็นหนทางที่ง่ายที่สุดในการเริ่มต้น แต่เห็นชัดว่าสำนักสายฟ้าปีศาจไม่ได้อยู่รายชื่อศัตรูที่โค่นลงได้ง่ายๆ


“ความเสี่ยงอันยิ่งใหญ่จะมาพร้อมกับการเก็บเกี่ยวอันใหญ่ยิ่ง” จิ่วโยวยิ้มบาง “การกระทำของสำนักสายฟ้าปีศาจเหลือทนมาหลายปี พวกมันโจมตีเขตแดนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาหลายครั้ง ไม่รู้ปล้นของเหลวจื้อจุนไปมีจำนวนมากเท่าใด ครั้งนี้เราจะไปเอาของของเราคืนจากพวกมันทั้งต้นทั้งดอก”


“สำหรับฉิงเทียนกัง ข้าจะจัดการมันเอง”


ชิวซันกับคนอื่นสบตากัน ทว่าเมื่อเห็นว่าจิ่วโยวตัดสินใจแล้ว พวกเขาก็ต้องยอมรับอย่างเคารพ ในเมื่อจิ่วโยวมีความมั่นใจมากก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาต้องกลัว ยิ่งกว่านั้นครั้งนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เคลื่อนพลเต็มรูปแบบ ดังนั้นสำนักสายฟ้าปีศาจก็คงไม่กล้าเผชิญกับการโจมตีแบบตาต่อตาฟันต่อฟันหรอก


“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม หอวิหคโลกันตร์จะเคลื่อนทัพในวันพรุ่งนี้!”


“รับทราบ!”


ชิวซันกับคนอื่นตอบรับจากนั้นก็แยกย้ายออกไป


มู่เฉินรอจนกระทั่งทุกคนออกไป ก่อนจะมองจิ่วโยวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมเจ้าถึงเลือกสำนักสายฟ้าปีศาจล่ะ?”


แม้จิ่วโยวจะอธิบายเหตุผลไปแล้ว แต่ด้วยความรู้จักที่เขามีต่อจิ่วโยว เหตุผลนี้ชัดว่ามีน้ำหนักไม่พอ


พอได้ยินคำถาม จิ่วโยวก็เหลือบมองมู่เฉิน “นั่นเป็นเพียงเหตุผลส่วนหนึ่ง เหตุผลหลักก็คือที่นั่นมีบ่อสายฟ้าปีศาจ ลือกันว่ามีพลังงานสายฟ้าชำระล้างอยู่ในส่วนลึกของบ่อสายฟ้าปีศาจที่มีต้นกำเนิดมาจากใต้พื้นพิภพ ซึ่งถูกเรียกว่าสายฟ้าโลกปีศาจ และตรงตำแหน่งที่สายฟ้าโลกปีศาจมารวมตัวกันก็มีพลังสายฟ้าที่ทรงพลังมากกว่าที่มีชื่อว่า…สายฟ้าฤทัยปีศาจดำ”


“สายฟ้าฤทัยปีศาจดำ?” มู่เฉินอึ้งไป


“เป็นพลังงานสายฟ้าที่เหนือธรรมชาติ น่ากลัวมากกว่าเทวอัสนีดำซะอีก แต่เงื่อนไขในการถือกำเนิดขึ้นมาเข้มงวดมาก ดังนั้นแม้แต่ข้ายังรับรองไม่ได้ว่ามันจะมีอยู่ในบ่อสายฟ้าปีศาจจริงหรือไม่”


“เจ้าต้องการมันเพราะ?” มู่เฉินจ้องมองจิ่วโยวหลังจากที่คิดอะไรบางอย่างออก


“ใช่ เจ้าต้องใช้มันในการฝึกฝนวิชาเก้ามังกรคชสาร ด้วยพลังงานสายฟ้าจากวิชากายาเทพสายฟ้าไม่เพียงพอที่จะทำให้วิชาเก้ามังกรคชสารประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ ดังนั้นเจ้าต้องใช้สายฟ้าพิเศษอย่างอื่น สายฟ้าฤทัยปีศาจดำก็เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากในมุมพลังมันสามารถเทียบได้กับเพลิงอมตะเลย” จิ่วโยวเอ่ยอย่างจริงจัง


มู่เฉินอึ้งไปขณะมองจิ่วโยว ความรู้สึกซาบซึ้งเข้มข้นฉายออกมาจากดวงตา เขาไม่คิดเลยว่าเหตุผลที่จิ่วโยวเลือกสำนักสายฟ้าปีศาจจะเป็นเพราะเขา


“เอาล่ะ อย่าทำท่าแบบนี้ สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้าก็ไม่ผิดเช่นกัน เราต้องเสี่ยงเพื่อผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเราจัดการสำนักสายฟ้าปีศาจได้ การเก็บเกี่ยวของเราจะอยู่เหนือความคาดหมายของเจ้าไปไกลลิบเลย และนี่ก็เป็นสิ่งที่หอวิหคโลกันตร์ต้องการมาก ถ้าเราต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้หอวิหคโลกันตร์ เราก็ต้องการของเหลวจื้อจุนมหาศาลเลยทีเดียว”


จิ่วโยวตบบ่าของมู่เฉิน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยิ่งกว่านั้นถ้าเราไม่ลงมือก่อน คงถูกคนอื่นแย่งไปแล้ว”


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะปฏิเสธ ในเมื่อเรื่องนี้ให้ประโยชน์ใหญ่หลวงกับหอวิหคโลกันตร์เช่นกัน เขาก็ต้องทำให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน


“งั้นแบบนี้ก็ใช้สำนักสายฟ้าปีศาจมาเสริมหอวิหคโลกันตร์ของเราเถอะ”


 


เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น


รัศมีการต่อสู้ที่เดือดพล่านในเขตต้าหลัวเทียนมาหลายวันก็ถึงจุดระเบิด บนขอบฟ้าร่างจำนวนมหาศาลเหาะมาจากทุกทิศทางราวกับกลุ่มเมฆดำ แต่ละคนทะยานตรงไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายของเขตต้าหลัวเทียนอย่างต่อเนื่อง


บัดนี้ชัดว่าสงครามเริ่มขึ้นแล้ว


เหล่าผู้บัญชาการออกโรง สงครามสำนักเช่นนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่พวกเขาจะยึดครองทรัพยากรและเสริมสร้างพลังให้แข็งแกร่ง มิหนำซ้ำครั้งนี้ท่านประมุขยังบอกว่าของที่ยึดมาได้ไม่ต้องตัดเข้าคลังแม้แต่น้อย นี่ทำให้ดวงตาของผู้บัญชาการหลายคนถึงกับแดงก่ำเลยทีเดียว


เมื่อเงาร่างนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านขอบฟ้า จิ่วโยวที่อยู่ในชุดเกราะสีดำก็ยืนอยู่เบื้องหน้าหอวิหคโลกันตร์ ผมยาวพลิ้วไหวไปกับสายลมทำให้ดูหาญกล้ายิ่งนัก ขาเรียวที่เผยเสน่ห์กระชากใจออกมา


สายตาของนางกวาดมองหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่ราวกับกลุ่มเมฆดำ นางไม่พูดแม้แต่คำเดียวเพียงแค่ยกมือขึ้นแล้วสะบัดมือลง “หน่วยรบวิหคโลกันตร์ เคลื่อนพล!”


“รับทราบ!”


เสียงตะโกนพร้อมเพรียงกันดังขึ้น จิ่วโยว มู่เฉินและถังปิงทะยานนำออกไป ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งผ่านขอบฟ้า ก่อนที่กลุ่มเมฆดำขนาดใหญ่จะตามไปติดๆ พร้อมกับรัศมีต่อสู้อันเชี่ยวกราก


 


ทิศตะวันตกเฉียงใต้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ เมืองซีหลัว


เมืองซีหลัวตั้งอยู่ทางชายแดนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เมื่อมู่เฉินนำหน่วยรบวิหคโลกันตร์ผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายก็มาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ทั่วทั้งเมืองโกลาหลน่าดู


ควันพวยพุ่งในเมือง ขณะที่ลำแสงพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้าเป็นครั้งคราว ภาพความวุ่นวายนี้ชัดเจนมากกว่าเมืองที่รุ่งเรืองในเขตแดนชั้นใน


ทหารรักษาการณ์ในเมืองบางส่วนก็เห็นการมาถึงของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ ทันใดนั้นลำแสงสายหนึ่งก็เหาะออกมาจากเมืองปรากฏเป็นร่างร่างหนึ่ง


“เจ้าเมืองซีหลัว—จี้ฝาน คารวะท่านจิ่วโยว!” ชายวัยกลางคนที่มาถึงประสานมือคำนับจิ่วโยว ด้วยความเคารพ ชัดว่าเขาได้เห็นกองทัพจำนวนมากเคลื่อนพลมาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในหลายวันที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจกับการปรากฏตัวของหน่วยรบวิหคโลกันตร์


จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ “สถานการณ์ในส่วนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”


“ตอนแรกแดนร้อยสงครามได้เปิดการโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากที่ท่านประมุขประกาศสงครามสำนัก แดนร้อยสงครามก็ถอยกลับ ตอนนี้คนของเรากำลังรุกคืบเข้าไป ในระยะหลายหมื่นลี้ต่างมีกองทัพของทั้งสองฝ่ายค่อยปะทะกันอยู่เรื่อยขอรับ” จี้ฝานเอ่ยด้วยความเคารพ


“แต่ไม่กี่พันลี้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นเขตแดนของสำนักสายฟ้าปีศาจ ดังนั้นทางเราจึงไม่กล้าบุกเข้าไปลึกมากขอรับ”


ความแข็งแกร่งของสำนักสายฟ้าปีศาจเพียงพอที่จะเทียบเคียงกับหน่วยรบผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นหากไม่มีผู้บัญชาการคนใดลงมือ กองทัพย่อยอื่นๆ ก็ไม่กล้าท้าทายอำนาจสำนักสายฟ้าปีศาจเช่นกัน


“แจ้งคำสั่งข้า ให้ทุกคนที่นี่รวมพลบุกสำนักสายฟ้าปีศาจ” จิ่วโยวเอ่ยเสียงสงบ


จี้ฝานผงะไป จากนั้นก็เอ่ยอย่างระมัดระวัง “ท่านผู้บัญชาการต้องการโจมตีสำนักสายฟ้าปีศาจหรือ? ฉิงเทียนกังไม่ใช่จอมยุทธ์ที่จะต่อกรง่ายๆ นะขอรับ”


“ไปเถอะ ข้าจะจัดการฉิงเทียนกังให้เอง” จิ่วโยวโบกมือเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปฏิเสธคำถามใดๆ


“ขอรับ!”


จี้ฝานไม่กล้าพูดอะไรมากรีบประสานมือคำนับ ก่อนจะพลิ้วตัวลงไปในจวนเจ้าเมือง เขาใช้ช่องทางส่งสารพิเศษแจ้งสารออกไป


“เคลื่อนทัพ!”


จิ่วโยวตัดสินใจรวดเร็วและเด็ดขาด นางไม่ประวิงเวลาหันหลังกลับทะยานไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีหน่วยรบวิหคโลกันตร์ตามติดไปพร้อมกับรังสีกระหายเลือดเชี่ยวกราก


สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่เงาหน่วยรบวิหคโลกันตร์จากในเมืองด้วยความอยากรู้ ตัดสินจากภาพนี้หอวิหคโลกันตร์คิดจะบุกสำนักสายฟ้าปีศาจ หากกองทัพใหญ่ทั้งสองปะทะกัน คงจะก่อหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แค่ไม่รู้ว่าหอวิหคโลกันตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอาณาเขตกงเวทสวรรค์เมื่อเร็วๆ นี้จะสามารถเอาชนะสำนักสายฟ้าปีศาจที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแดนร้อยสงครามได้หรือไม่


นี่คือศึกที่ผู้คนตั้งตารอคอยเลยทีเดียว


720 กวาดล้าง

ที่ราบเหลยหั่ว


ที่นี่คือจุดเชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์และแดนร้อยสงครามทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อเกิดการเปิดศึกระหว่างกองทัพทั้งสอง ที่ราบกว้างใหญ่แห่งนี้ก็ปกคลุมไปด้วยเพลิงสงครามเช่นเดียวกัน


ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันอย่างไม่รู้จบรู้สิ้น การลอบโจมตี การรวมกำลังพล สงครามดุเดือดนี้ส่งผลให้สวรรค์และโลกตกอยู่ภายใต้ความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงเลยทีเดียว


ทั่วหล้าราวกับสั่นสะเทือนอยู่ทุกเมื่อ


คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของกองทัพทั้งสองต่างหลบฉากไปจากบริเวณการต่อสู้ เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบ ในสงครามบดเลือดบดเนื้อกันแบบนี้ การเข้าไปยุ่งเกี่ยวจะนำไปสู่การทำลายล้างแน่นอน


ในที่ราบเหลยหั่วมีเมืองวินาศสันตะโรเมืองหนึ่งตั้งอยู่ ตอนนี้คลื่นหลิงรุนแรงกวาดล้างในเมืองอย่างต่อเนื่อง ทุกคนบอกได้ว่ามีคนสองกลุ่มกำลังแย่งชิงเมืองกันอยู่


ฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่ามาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งมาจากขั้วอำนาจในแดนร้อยสงคราม สงครามเช่นนี้เป็นเรื่องพบได้ทั่วไปในที่ราบเหลยหั่ว


แต่ตอนนี้การแก่งแย่งในเมืองนี้ดำเนินถึงจุดสูงสุดแล้ว เมืองแห่งนี้มีชื่อว่าเมืองตี้หั่วเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของแดนร้อยสงคราม ดังนั้นการป้องกันจึงแน่นหนามาก ก่อนหน้านี้มีกลุ่มใต้บังคับบัญชาของอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาบุกโจมตีแล้วหลายกลุ่ม แต่สุดท้ายกลับต้องถอยกลับอย่างน่าอนาถ


แต่ครั้งนี้กลุ่มที่หมายตาเมืองตี้หั่วนี้คือภูเขาซือหู่จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ซึ่งมีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกันก็ตึงมืออย่างยิ่ง


ขณะนี้เหนือเมืองมีร่างคนนับร้อยยืนอยู่ พวกเขามองตรงไปทางทิศที่คลื่นหลิงผันผวนออกมาอย่างต่อเนื่องด้วยสีหน้าหนักใจ


ด้านหน้าสุดเป็นชายวัยกลางคนร่างกำยำ เขากำลังขมวดคิ้วขณะมองเข้าไปในเมือง การป้องกันของที่นี่ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของเขา


ฟิ้ว!


ขณะที่เขามองเมืองนี้อยู่ เงาร่างแสงสิบกว่าร่างก็ทะยานเข้ามาหยุดลงตรงหน้าพวกเขา แถวหน้าสุดก็คือชายหนุ่มร่างกำยำ เขาไม่ใช่ใครอื่น นี่ก็คือฟังเหลยที่มู่เฉินเคยเจอกันในศึกบ่อทองข่ายฟ้านั่นเอง


“ท่านลุงหลิว มีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามสองคนซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี้ขอรับ” ฟังเหลยมองชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงขรึม


“ถึงว่าทำไมเคี้ยวยากนัก!” ชายวัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาคือผู้นำแห่งภูเขาซือหู่ พลังยุทธ์ของเขาอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม หากอีกฝ่ายมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามคนเดียว พวกเขาก็จะได้เปรียบในเรื่องจำนวน แต่ถ้ามีสองคนละก็ งานนี้พวกเขาต้องจ่ายด้วยราคามหาศาล


“ท่านลุงหลิว ทำอย่างไรดี?” ฟังเหลยถาม เขาก็ตระหนักดีว่ากำลังของศัตรูแข็งแกร่งกว่าพวกเขา หากไม่ใช่ว่าก่อนหน้าอีกฝ่ายถูกกลุ่มอื่นตัดกำลังไปบางส่วนละก็ อีกฝ่ายคงออกมาปะทะซึ่งๆ หน้ากับพวกเขานานแล้ว


ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ครู่หนึ่งก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาด “ถอย! มองหาเป้าหมายอื่นแทน!”


ฟังเหลยกับจอมยุทธ์คนอื่นผงะ แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ เพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าฝืนยึดเมือง พวกเขาจะต้องจ่ายด้วยราคาแพงลิ่วแน่นอน


“ไป!”


ชายวัยกลางคนโบกมือถอยออกทันที เมื่อจอมยุทธ์ภูเขาซือหู่คนอื่นเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็รีบตามไป


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


ทว่าขณะที่พวกเขากำลังจะถอยทัพ ทันใดนั้นลำแสงจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเมือง ลำแสงสองสายตรงด้านหน้าปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังออกมา


“ฮ่าๆ ในเมื่อมาแล้วก็อย่ากลับไปเลย!”


ร่างแสงทั้งสองหัวเราะดังลั่น คลื่นหลิงรุนแรงสองสายแผ่ออกมา กวาดไปยังกองทัพภูเขาซือหู่ที่กำลังถอย


เมื่อผู้นำภูเขาซือหู่เห็นสถานการณ์นี้ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสี รีบออกกระบวนท่าปะทะกับคลื่นหลิงสองสายทันที


ปัง!


คลื่นหลิงระเบิดออกขณะที่ร่างผู้นำภูเขาซือหู่ส่งเสียงครางในลำคอ ร่างถูกซัดกลับไปเป็นร้อยเมตร เขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม ดังนั้นจึงไม่สามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเดียวกันถึงสองคนได้


“เร็ว หนีไป!”


ขณะที่ถลาออกไป ผู้นำภูเขาซือหู่ก็ไม่กล้าอ้อยอิ่งรีบตะโกนออกมา ที่แท้ก่อนหน้าอีกฝ่ายแกล้งทำเป็นอ่อนแอ ความจริงคือพวกเขาฟื้นตัวนานแล้ว


“สายไปแล้วที่จะหนีตอนนี้!”


แต่เผชิญกับจอมยุทธ์ภูเขาซือหู่ที่ถอยทัพอย่างรวดเร็ว จอมยุทธ์ของเมืองตี้หั่วที่นำทัพด้วยจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามสองคนก็ไล่ตามมาไม่ลดละ


“บ้าเอ้ย!” เมื่อฟังเหลยเห็นอีกฝ่ายทะยานเข้ามาประชิด เขาก็สบถออกมา


“ข้าจะดูสิว่าพวกแกจะหนีไปไหน!”


ลำแสงสายหนึ่งพุ่งตรงมา หนึ่งในจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามปรากฏตัวตรงหน้ากลุ่มฟังเหลยพลางซัดฝ่ามือออกไป ฝ่ามือยักษ์ปกคลุมพวกเขาพร้อมเงามืด


กลุ่มฟังเหลยถูกฝ่ามือยักษ์ปกคลุมจนหนีไปไม่ได้ สีหน้าแต่ละคนซีดขาวไปในทันที


“ตู้ม!”


ทว่าขณะที่ฝ่ามือยักษ์กำลังจะปกคลุมลงบนร่างพวกเขา ลำแสงรัศมีจั้นยี่สีดำก็พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วจากขอบฟ้า ปะทะกับฝ่ามือนั่นอย่างหนักหน่วง


ตึง!


ฝ่ามือถูกทำลายทันที นอกจากนี้พลังของรัศมีจั้นยี่ยังไม่ลดน้อยลง มันพุ่งปะทะกับร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามอย่างหนักหน่วง


อ็อก


จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามดูราวกับว่าถูกฟ้าผ่า ร่างกระเด็นออกไป กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ใบหน้าของเขาฉายแววหวาดกลัวเมื่อมองไปที่ขอบฟ้าที่มีกลุ่มเมฆดำมืดกวาดตัวตรงมาหยุดที่กลางอากาศ


“นั่นหน่วยรบวิหคโลกันตร์!”


เมื่อจอมยุทธ์ภูเขาซือหู่เห็นภาพนี้ พวกเขาก็ระเบิดเสียงตะโกนออกมาด้วยความดีใจ


“ฮ่าๆ พี่ฟัง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าหน่วยรบวิหคโลกันตร์มองฟังเหลยและหัวเราะออกมา


“จะ…เจ้าคือมู่เฉิน?!” ฟังเหลยเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนคุ้นหน้า


มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า ตลอดทางเขานำหน่วยรบวิหคโลกันตร์กวาดล้างกลุ่มคนจากแดนร้อยสงครามมาไม่น้อย ก่อนหน้าก็สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงหนาแน่นในบริเวณนี้ เขาเลยรุดหน้ามาที่นี่


“แม่ทัพมู่เฉินนี่เอง ข้าคือหัวหน้าภูเขาซือหู่—หลิวซือ” เมื่อหลิวซือเห็นสถานการณ์ตอนนี้ เขาก็รีบยกมือคำนับ สายตาของเขาที่มองมู่เฉินดูแปลกไปไม่น้อย คิดว่าในช่วงนี้เขาก็คงได้ยินชื่อเสียงของแม่ทัพหน่วยรบวิหคโลกันตร์คนใหม่มาแล้ว


“ท่านหลิวนี่เอง” มู่เฉินยิ้มยกมือคำนับตอบ แต่เขาไม่ได้พูดทักทายอะไรมาก “ข้าจะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามคนหนึ่งให้ ส่วนพวกเจ้าจัดการที่เหลือนะ”


“ขอบคุณแม่ทัพมู่เฉินมาก” เมื่อหลิวซือได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เขาก็ลิงโลด เนื่องจากเขาบอกได้ว่ามู่เฉินไม่มีเจตนาจะยึดครองที่นี่ เมื่อเป็นเช่นนี้เมืองนี้ก็จะเป็นของภูเขาซือหู่


มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นสายตาก็เย็นเยือกลงพร้อมกับสะบัดมือ รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากกวาดออกมาพุ่งตรงไปที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามที่เขาซัดไปเมื่อครู่


แต่ชัดว่าเขาประเมินพลังของศัตรูมากเกินไป กระบวนทัพของหน่วยรบวิหคโลกันตร์น่าสะพรึงมาก เมื่อรัศมีจั้นยี่ปลดปล่อยออกมา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามยังหวาดกลัว


ในเมื่อหน่วยรบวิหคโลกันตร์อยู่ที่นี่ นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้บัญชาการจิ่วโยวก็อยู่ใกล้ๆ งั้นหรือ?


เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ใบหน้าของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามก็ผันแปรพร้อมกับที่หันหลังกลับเหาะหนีไปทันที เมื่อเห็นเขาหนี จอมยุทธ์เมืองตี้หั่วก็สูญเสียกำลังใจที่จะต่อสู้ ทัพแตกฉานซ่านเซ็นไปหมด


กำลังใจของภูเขาซือหู่ฮึกเหิมขึ้น พวกเขารีบไล่ตาม ความหดหู่เมื่อครู่หายไปสิ้นเชิง


ครั้นเห็นดังนี้ มู่เฉินก็ยิ้มบางขณะเบนสายตามองหลิวซือกับฟังเหลย “ทั้งสองเป้าหมายของหอวิหคโลกันตร์คือสำนักสายฟ้าปีศาจ ถ้าภูเขาซือหู่ยึดเมืองสำเร็จแล้ว พวกเจ้าสามารถมุ่งหน้าไปที่สำนักสายฟ้าปีศาจได้นะ”


“สงครามไม่คอยท่า ข้าคงไม่อยู่ที่นี่ต่อแล้ว ขอเคลื่อนพลไปก่อน!”


มู่เฉินยกมือคำนับ จากนั้นก็ไม่ได้ชักช้าอีกต่อไป หน่วยรบวิหคโลกันตร์ทะยานเป็นกลุ่มเมฆพายุจากไปเพียงแค่เขาโบกมือ ทิ้งสายตาตกตะลึงไว้เบื้องหลัง


“ช่างน่าสะพรึงอะไรเช่นนี้ เขาเพิ่งเข้ามาอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่นานนัก แต่สามารถควบคุมหน่วยรบวิหคโลกันตร์ได้ถึงขนาดนี้” หลิวซือมองกลุ่มเมฆที่จากไป อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อสัมผัสถึงรัศมีจั้นยี่อันเชี่ยวกราก


“เขาน่าสะพรึงจริงๆ เขาทรงพลังยิ่งกว่าตอนที่เจอกันล่าสุดซะอีก” ฟังเหลยถอนหายใจ ตอนที่เขาพบกับมู่เฉินในศึกครั้งก่อน เขายังมีความมั่นใจอยู่ว่าจะสามารถสู้กับมู่เฉินได้ แต่ตอนนี้ที่มาพบกันใหม่อีกครั้ง เขาก็รู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉินอีกต่อไป พัฒนาการของมู่เฉินทำให้เขาตกตะลึงจริงๆ


“จากความเร็วนี้ คงไม่นานที่จะมีผู้บัญชาการคนใหม่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้ว…”


หลิวซือส่ายหน้าด้วยความอิจฉาพลางโบกมือ “ลุยต่อ เราจะยึดเมืองตี้หั่วให้เรียบร้อยจากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังสำนักสายฟ้าปีศาจ ฮ่าๆ ฉากตระการตาเช่นนี้ เราพลาดไม่ได้เลยนะ!”


เมื่อพูดจบ เขาก็ทะยานออกไปโดยมีจอมยุทธ์ภูเขาซือหู่ตามติดอยู่ข้างหลัง


 


เป้าหมายของจิ่วโยวคือสำนักสายฟ้าปีศาจตั้งแต่แรก


แต่นางก็ฉลาดที่จะไม่บุ่มบ่ามบุกเข้าไป นางชะลอตัวลงในที่ราบเหลยหั่ว ขณะเดียวกันก็ส่งมู่เฉินออกไปพร้อมกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ ด้วยพลังของมู่เฉินและการช่วยเหลือของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ พวกเขากวาดล้างศัตรูได้โดยง่ายเลยทีเดียว


ดังนั้นตลอดเส้นทางการเคลื่อนทัพของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ กลุ่มต่างๆ ของแดนร้อยสงครามต่างได้รับความพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง นอกจากนี้มู่เฉินยังไม่ได้ยึดครองเมืองต่างๆ ที่เขาเคลื่อนผ่าน แต่ยกให้กับกองทัพที่เข้าห้ำหั่นอย่างขมขื่นแต่แรก


แม้การกระทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขาสูญเสียไปบางส่วน แต่ก็สร้างชื่อเสียงด้านบวกให้หอวิหคโลกันตร์มากในวันเดียว ดังนั้นเมื่อหอวิหคโลกันตร์เอ่ยปากบอกเรื่องการร่วมมือต่อสู้กับสำนักสายฟ้าปีศาจ ก็ไม่มีใครปฏิเสธแม้แต่คนเดียว


ดังนั้นเมื่อหน่วยรบวิหคโลกันตร์เริ่มเคลื่อนทัพสู่สำนักสายฟ้าปีศาจในวันที่สอง ก็มีกองทัพนับสิบปิดล้อมสำนักสายฟ้าปีศาจในทิศทางอื่นด้วยแล้ว


ฉากสงครามนี้ยิ่งใหญ่ตระการตานัก ทั้งในชั้นฟ้าและชั้นดินล้วนมีผู้คนจำนวนมากเคลื่อนผ่าน ไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชนไปทั่ว กระทั่งขอบฟ้ายังเหมือนจะมืดครึ้มลงเลยทีเดียว


ภายใต้การปิดล้อมอันน่ากลัว ในที่สุดมู่เฉินก็นำหน่วยรบวิหคโลกันตร์ยาตราเข้าสู่เขตแดนของสำนักสายฟ้าปีศาจแล้ว


721 สำนักสายฟ้าปีศาจ

เมื่อกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์เข้าสู่เขตแดนสำนักสายฟ้าปีศาจ


กลับไม่มีการตอบโต้อย่างที่คิดไว้ นอกจากนี้สิ่งที่น่าตกใจมากกว่าก็คือกองทัพป้องกันของเหล่าเมืองหน้าด่านต่างถอยออกไปหมด


สถานการณ์ไม่ปกตินี้ทำให้จิ่วโยวกับมู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ แต่จากนั้นไม่นานพวกเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สำนักสายฟ้าปีศาจไม่ได้ถอยเพราะหวาดกลัว แต่กำลังรวบรวมกำลังเพื่อระเบิดออกมาในทีเดียว


“ดูท่าว่าพวกมันตั้งใจจะสู้กับเราที่เชิงภูเขาเหลยหมัวนะ” จิ่วโยวยิ้มบาง ดวงตาหงส์ไม่มีแววหวาดกลัวใดๆ นางสะบัดมือลงเบาๆ นำทัพเคลื่อนไปข้างหน้า


ครึ่งวันต่อมา กองทัพก็ชะลอตัวลง เนื่องจากที่ราบเบื้องหน้าได้เห็นจุดสิ้นสุดแล้ว ท้องฟ้าบริเวณนั้นมืดครึ้ม ไม่มีต้นไม้เขียวชอุ่มอยู่ตามแนวเทือกเขาแม้แต่ต้นเดียว มีเพียงเสียงฟ้าคำรามดังอย่างต่อเนื่อง


เสียงฟ้าคำรามกึกก้องนี้ไม่ได้มีแหล่งกำเนิดจากบนผืนฟ้า แต่มาจากใต้ผืนดิน ขณะที่ส่งเสียงฟ้าคะนอง พื้นโลกก็สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง


ภูเขาสีดำสง่างามประหนึ่งยักษ์ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ภูเขาที่ดำมืดนี้ราวกับไม่อาจทำลายได้


ฟิ้ว! ฟิ้ว!


เมื่อหน่วยรบวิหคโลกันตร์ยืนอยู่เงียบๆ ลำแสงมากมายก็พวยพุ่งออกมาจากทุกทิศทางเบื้องหลังพวกเขา สร้างแนวเป็นรูปครึ่งวงกลมล้อมรอบไปทั่วบริเวณ


ทั้งหมดนี่คือกองทัพเสริมของอาณาเขตกงเวทสวรรค์


มู่เฉินยืนอยู่ด้านหน้าหน่วยรบวิหคโลกันตร์พร้อมกับหลับตาลง แม้พลังสายฟ้าจะแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงทรงพลังนับไม่ถ้วนอย่างเบาบาง


เพราะที่นี่คือกองบัญชาการสำนักสายฟ้าปีศาจ


จิ่วโยวยกสายตาขึ้นขณะที่เสียงเย็นดังไปทั่วบริเวณ “ซ่อนตัวอยู่นาน ไม่เกินไปหน่อยหรือที่จะซ่อนตัวต่อไป?”


“ฮ่าๆ สมกับเป็นผู้บัญชาการจิ่วโยว วีรสตรีจริงๆ”


เมื่อสิ้นเสียงจิ่วโยว เสียงฟ้าคำรามก็ดังก้องไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก จากนั้นสายฟ้าเจิดจ้าก็พุ่งพรวดออกมาจากภูเขาเหลยหมัว


สายฟ้าไหลบ่าลงจากขอบฟ้าทั่วสารทิศ ท่ามกลางสายฟ้าแวววาวร่างคนจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นในพริบตา คลื่นหลิงไร้ขีดจำกัดที่ถูกกดทับไว้ก่อนหน้าก็ปลดปล่อยออกมาไม่ยั้ง วินาทีนั้นแม้แต่ฟ้าดินก็ยังไร้สีสันลง


ครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์บนท้องฟ้ามีคลื่นหลิงไม่เข้ากับสำนักสายฟ้าปีศาจ เห็นชัดว่าพวกไม่ใช่สมาชิกของที่นี่ ดูจากท่าทางแล้ว สำนักสายฟ้าปีศาจก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับจิ่วโยวเลย


จิ่วโยวชักชวนกองทัพใต้อาณัติสำนักเหล่านี้โจมตีสำนักสายฟ้าปีศาจ ส่วนสำนักสายฟ้าปีศาจเองก็ดึงกองทัพอื่นๆ มาร่วมด้วยช่วยกันตีหอวิหคโลกันตร์ให้ตายในครั้งเดียว


ตอนนี้น่าจะมีขั้วอำนาจเจ็ดถึงแปดส่วนในทางทิศตะวันตกเฉียงใต้มารวมตัวกันที่นี่ แค่การรวมตัวแบบนี้ก็สามารถก่อสงครามใหญ่ได้แล้ว


สายตาของมู่เฉินจ้องไปยังใจกลางที่มีสายฟ้ารุนแรงที่สุด ที่เบื้องหน้าสายฟ้ามีร่างคนคนหนึ่งกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ


เขามีร่างกายแข็งแกร่งสวมชุดเกราะสีเทายืนกอดอกอยู่ สายฟ้าสีเทาดำแล่นแปลบปลาบอยู่บนพื้นผิวขณะที่พลังงานคุกคามทรงพลังแผ่ออกมาโดยรอบ กระจายไปทั่วฟ้าดิน


ในสำนักสายฟ้าปีศาจ นอกจากเจ้าสำนักฉิงเทียนกังแล้วจะมีจอมยุทธ์ที่ทรงพลังขนาดนี้ได้อีกหรือ?


ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ กองทัพหลายกองทัพตกอยู่ในอาการอกสั่นขวัญแขวนเมื่อเห็นร่างแข็งแกร่งที่ราวกับเทพปีศาจ แสดงให้เห็นว่าชื่อของฉิงเทียนกังแห่งสำนักสายฟ้าปีศาจไม่ได้กระจ้อยร่อยเลย มากเสียจนชื่อเสียงเลื่องลือยิ่งกว่าจิ่วโยวในระดับหนึ่ง เนื่องจากตัวจิ่วโยวหายไปในภูมิภาคนี้มาหลายปี


“ข้าได้ยินมานานถึงความงามของผู้บัญชาการจิ่วโยว วันนี้ข้าได้เห็นกับตัวเอง เสียงลือไม่ได้ผิดไปจากความจริงเลย แต่การต่อสู้เป็นเรื่องของบุรุษ ด้วยรูปลักษณ์ของเจ้าทำให้ข้าไม่อยากลงมือเลย” สายตาของฉิงเทียนกังพุ่งตรงไปที่จิ่วโยว ขณะเสียงหัวเราะกังวานราวกับฟ้าร้อง


จิ่วโยวยิ้มอ่อนเมื่อได้ยินคำพูดนั่น จากนั้นก็ย่างก้าวไปข้างหน้า ทุกฝีก้าวเกิดเสียงร้องใสกังวานก้องฟ้าดิน ขณะที่คลื่นหลิงน่ากลัวแผ่ปกคลุมบริเวณนี้ ขอบฟ้าเบื้องหลังนางราวกับก่อภาพร่างวิหคยักษ์สีดำเลือนรางที่ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดได้


เสียงร้องใสดังก้องขจัดแรงกดดันที่มาจากฉิงเทียนกังทั้งหมด


“วิหคอนธโลกันตร์?”


สายตานับไม่ถ้วนในบริเวณนี้จับจ้องไปที่วิหคสีดำด้วยแววตาหลากหลายอารมณ์ คนจำนวนมากรู้ว่าจิ่วโยวมาจากเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่มีไม่มากนักที่รู้ว่านางวิวัฒนาการกลายเป็นเทพอสูรแล้ว


ดวงตาของฉิงเทียนกังหดลงเมื่อมองเห็นวิหคสีดำ ในที่สุดสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลง แม้จิ่วโยวจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่เท่านั้น ทว่าด้วยพลังของเทพอสูรแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ายังยากในการจัดการ เพราะพลังชีวิตทรงพลังของเทพอสูรนั้นเหนือกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว เมื่อต่อสู้กันก็ต้องได้เปรียบอย่างแน่นอน


“ผู้บัญชาการจิ่วโยว เจ้าคิดจะสู้กับสำนักสายฟ้าปีศาจจนตายไปข้างเลยรึไง?” ฉิงเทียนกังเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าน่าจะรู้ว่าไม่มีประโยชน์หากที่จะสู้กันแบบนี้ แม้ตอนนี้เราสองฝ่ายจะเปิดศึกกัน แต่เป้าหมายอื่นที่ดีกว่าสำนักสายฟ้าปีศาจมีอีกเยอะนะ”


“ทำไม? เกิดกลัวขึ้นมาตอนนี้รึไง?” จิ่วโยวเอ่ยเยาะด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าไม่อยากสู้ ก็มอบภูเขาเหลยหมัวมาซะ แล้วข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าถอนทัพไป”


สายตาของฉิงเทียนกังเย็นเยือกลง “เจ้าสำนักคนนี้อุตส่าห์ใจดีไม่สร้างความอับอายให้เจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้จักกาลเทศะ คิดจริงหรือว่าสำนักสายฟ้าปีศาจของข้าเป็นพวกขี้แพ้?”


“ขี้แพ้หรือไม่ เดี๋ยวได้รู้หลังจากที่สู้กัน” จิ่วโยวเอ่ยเสียงเบา


“ดูท่าเจ้าตั้งใจจะหาเรื่องสำนักสายฟ้าปีศาจของข้าแล้ว ก็ดี ถ้าข้าทำลายหอวิหคโลกันตร์ได้ที่นี้ก็จะสร้างชื่อเสียงให้กับสำนักสายฟ้าปีศาจได้เช่นกัน!” ฉิงเทียนกังแค่นเสียงขณะที่ดวงตาสาดไอเย็นเยือก เขารู้ดีว่าชื่อเสียงของสำนักสายฟ้าปีศาจจะเพิ่มขึ้นทบทวีหากพวกเขาทำลายหอวิหคโลกันตร์ได้ ในเวลานั้นเขาอาจจะใช้ก้าวกระโดดนี้ขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับหุบเขาหมื่นศาตรา สำนักศพปีศาจและพิลาลสสวรรค์ ผงาดขึ้นเป็นขั้วอำนาจสูงสุดอันดับที่สี่ของแดนร้อยสงครามได้


และความทะเยอทะยานที่มีนี้ ก็คือเหตุผลที่เขาพยายามรวบรวมกองทัพน้อยใหญ่ เพื่อเตรียมเปิดกับหอวิหคโลกันตร์ด้วยความได้เปรียบทางด้านสมรภูมิที่ตั้ง


“กลัวว่าเจ้าจะไม่มีโชคพอได้ชื่นชมน่ะสิ” จิ่วโยวเอ่ยเสียงเรียบ จากนั้นก็จ้องมองฉิงเทียนกังเอ่ยต่อ “ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวมานาน งั้นหอวิหคโลกันตร์ของข้าจะเล่นด้วยจนสุดเลย”


“งั้นหรือ?”


ฉิงเทียนกังเค้นเสียงพลางเบนสายตาไปหยุดอยู่ที่มู่เฉินที่ยืนอยู่ทางด้านหลังจิ่วโยว “ข้าได้ยินเรื่องความปั่นป่วนที่หอวิหคโลกันตร์ทำไว้ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาบ้างนะ เจ้าหนูนั่นคงเป็นแม่ทัพคนใหม่ของหอวิหคโลกันตร์ใช่ไหม?”


“ฮ่าๆ มู่เฉินทักทายเจ้าสำนักฉิง” มู่เฉินยิ้มพร้อมกับประสานมือคำนับ


“ข้าได้ยินมาว่าชื่อเสียงของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ยิ่งใหญ่ขึ้นในช่วงนี้นะ” ฉิงเทียนกังยิ้มตาหยีขณะมองมู่เฉิน ราวกับงูแลบลิ้นแผล็บๆ “ในอดีต ทุกคนเรียกหน่วยรบวิหคโลกันตร์ว่าเป็นแหล่งรวมพวกกากๆ ดังนั้นข้าก็อยากรู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เจ้าทำมานี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่”


“เจ้าสำนักฉิงต้องการอะไรหรือ?” มู่เฉินยิ้ม


ฉิงเทียนกังโบกมือด้วยสีหน้าไม่แยแส


ครืน!


ที่เบื้องหลังเกิดเสียงฟ้าคำรามต่ำพร่าฉับพลันในสายฟ้าสีเทาดำ อึดใจสายฟ้าก็ค่อยๆ กระจายตัวออกกองทัพในชุดเกราะสีเทาดำปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบเบื้องหลังฉิงเทียนกัง


นอกเหนือจากนี้เมื่อกองทัพปรากฏขึ้น ความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงก็ระเบิดออกทันใด ดวงตาภายใต้ชุดเกราะโลหะสีดำราวกับอสูรร้ายเลยทีเดียว


“นี่คือหน่วยรบปีศาจสายฟ้าแห่งสำนักสายฟ้าปีศาจ ทัพนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อยเลย” ถังปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักหน่วงที่เบื้องหลังมู่เฉิน


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินทัพเขาก็พอมีความรู้เกี่ยวกับสำนักสายฟ้าปีศาจมาบ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับทัพที่เรียกว่าหน่วยรบปีศาจสายฟ้า นี่เป็นกองทัพที่สำนักสายฟ้าปีศาจปลุกปั้นมากับมือ ในบางแง่มุม พลังต่อสู้ของกองทัพนี้ไม่ด้อยไปกว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์เลย


มู่เฉินจ้องไปที่หน่วยรบปีศาจสายฟ้า จากนั้นดวงตาก็หดเกร็ง เนื่องจากเขาเห็นร่างคนคนหนึ่งย่างเท้าออกมาที่แถวหน้าสุดของกองทัพ


คนผู้นั้นสวมชุดสีเทาดำ ทรงผมดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่หน้าตานับว่าหล่อเหลาเอาการ เว้นแต่ริมฝีปากบางเฉียบราวกับใบมีด


“ฮ่าๆ ข้าผู้อาวุโสแห่งสำนักสายฟ้าปีศาจ—ฉิงหลิง” เมื่อชายคนนั้นปรากฏตัว ก็ส่งยิ้มอ่อนโยนให้มู่เฉิน


แต่เมื่อมู่เฉินได้ยินชื่อนั่น เขาก็ต้องหรี่ตาลง ในข้อมูลที่เขารู้ก็มีฉิงหลิงอยู่ด้วย กล่าวว่าชายคนนี้เป็นหนึ่งในสองผู้อาวุโสสุงสุดของสำนักสายฟ้าปีศาจที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม ซ้ำยังเป็นผู้บัญชาการหน่วยรบปีศาจสายฟ้าอีกด้วย ในหลายปีที่ผ่านมาภายใต้การควบคุมนี้ หน่วยรบปีศาจสายฟ้าก็เข้ายึดครองเมืองจำนวนมากของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มากจนมีกองทัพย่อยบางส่วนถูกล้างบางไป นับว่าเป็นคนที่โหดเหี้ยมมากเลยทีเดียว


“ดังก้องหู” มู่เฉินยิ้ม


“ฮ่าๆ ข้าก็ได้ยินข่าวเลื่องลือของแม่ทัพมู่เฉินมาไม่น้อยเช่นกัน หน่วยรบปีศาจสายฟ้าไม่เคยล้างบางศัตรูที่มีชื่อขนาดนี้มาก่อน ดูเหมือนต้องคว้าโอกาสนี้ให้ได้ซะแล้ว” ฉิงหลิงคลี่ยิ้มอ่อน


“ข้ากลัวว่าชื่อของหน่วยรบปีศาจสายฟ้าจะไม่เหลือในแดนร้อยสงครามหลังจากนี้แล้วน่ะสิ” มู่เฉินยิ้มบางตอกกลับ


แม้ทั้งคู่จะมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า แต่วาจาที่ใช้กลับประหนึ่งดาบชักขึ้นมาฟาดกัน กระทั่งรังสีสังหารยังแล่นพล่านไปมาระหว่างพวกเขา ทำเอากองทัพหลากหลายในบริเวณนี้รู้สึกหนาวเยือกขึ้นในหัวใจ ดูเหมือนสงครามในวันนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว


“ผู้บัญชาการจิ่วโยว ขอข้าดูเป็นขวัญตาหน่อยว่าเทพอสูรอย่างเจ้าจะทรงพลังขนาดไหน!”


เสียงหัวเราะของฉิงเทียนกังสะท้อนไปทั่วฟ้าดิน จากนั้นสายตาเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยือก เขากระทืบฝ่าเท้าทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะเดียวกันเสียงตะโกนก็ดังก้องพร้อมกับรังสีสังหารแรงกล้า


“ฉิงหลิง ล้างบางหน่วยรบวิหคโลกันตร์ให้เหี้ยน!”


“ตามบัญชาท่านเจ้าสำนักขอรับ!” ฉิงหลิงยิ้มพลางประสานมือคำนับ สายตาพุ่งตรงไปทางมู่เฉินราวกับแมวมองเห็นหนู


722 รัศมีจั้นยี่ปีศาจสายฟ้า

ครืน


ฟ้าร้องดังสะท้อนก้องในฟ้าดิน ขณะที่ร่างของฉิงเทียนกังเปลี่ยนเป็นสายฟ้าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงกำจายไปทั่วบริเวณ


จิ่วโยวเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับดวงตาหงส์กำจายแสงเย็นเยือก อึดใจนางก็หันหน้าไปทางมู่เฉินพูดว่า “ข้าจะจัดการฉิงเทียนกังเอง ส่วนหน่วยรบปีศาจสายฟ้าเป็นหน้าที่เจ้านะ”


ตอนนี้กองทัพที่สามารถยืนต้านไหวก็มีเพียงหน่วยรบวิหคโลกันตร์เท่านั้น ส่วนกองทัพอื่นห่างไกลเป็นโยชน์เมื่อเทียบกับหน่วยรบปีศาจสายฟ้า


“ปล่อยเป็นหน้าที่ข้าเอง” มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ แม้ฉิงหลิงจะอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม แต่ตัวเขาก็โชคดีที่บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสองไม่นานมานี้แล้ว นอกจากนี้ฝีมือในการควบคุมรัศมีจั้นยี่ มู่เฉินมั่นใจว่าเขาไม่เป็นรองฉิงหลิงแน่


“ข้าจะรีบจัดการโดยเร็ว” จิ่วโยวพยักหน้าไม่พูดมากความ นางส่งแรงไปที่ฝ่าเท้าปรากฏตัวบนหลังวิหคดำ มันส่งเสียงร้องยาวพลางกระพือปีก ลมสลาตันป่าเถื่อนกวาดออกระหว่างสวรรค์และโลก ร่างมหึมาเปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


ฉิงเทียนกังยืนอยู่บนท้องฟ้าที่ระดับสูงจากพื้นดินหลายหมื่นจั้ง มวลลมรุนแรงเย็นเยือกกัดเซาะผิว มีเพียงจอมยุทธ์ระดับพลังเดียวกับเขาเท่านั้นถึงกล้าขึ้นมาสู้ที่ระดับความสูงนี้


เขากอดอกมองนกยักษ์ที่ปรากฏตรงหน้าที่กระพือปีกวูบไหว จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปยังร่างระหงบนนั้นพลางยิ้มบางออกมา กำปั้นทั้งคู่กำแน่นขณะที่สายฟ้าสีเทาดำที่ราวกับอสรพิษแล่นเปรียะบนพื้นผิวกาย


ชี่! ชี่!


สายฟ้ากะพริบวูบไหว ร่างของฉิงเทียนกังก็เหมือนจะขยายตัวขึ้นอีกเท่าหนึ่ง พูดโดยทั่วไปแล้วผู้ที่ฝึกฝนคลื่นหลิงที่มีส่วนผสมของสายฟ้าจะมีพลังกายที่แข็งแกร่ง ชัดว่าฉิงเทียนกังก็เคยฝึกทักษะพลังกายเหมือนกับมู่เฉิน


“เจ้าคงต้องโทษตัวเองที่ตาบอดเล็งเป้ามาที่สำนักสายฟ้าปีศาจของข้า” ฉิงเทียนกังเอ่ยเยาะขณะมองจิ่วโยว


พอได้ยินคำพูดนั่น จิ่วโยวก็ไม่พูดอะไรเพียงแค่แตะปลายเท้าเบาๆ บนอากาศ วิหคยักษ์ส่งเสียงร้องยาวพร้อมกับกระพือปีก คลื่นหลิงมหาศาลกวาดออกมา ก่อตัวเป็นขนนกสีดำกระหน่ำใส่ฉิงเทียนกังราวกับห่าฝน


“กลยุทธ์จิ๊บจ้อย”


ฉิงเทียนกังกำหมัด สายฟ้าสีเทาดำระเบิดออกมาทันที ก่อร่างเป็นม่านสายฟ้าปกคลุมรอบกาย เมื่อขนนกสีดำสัมผัสกับม่านสายฟ้า ก็แตกตัวออกเป็นประกายแสงจางหายไป


“งั้นหรือ?”


ริมฝีปากสีแดงชาดของจิ่วโยวโค้งขึ้นขณะชี้นิ้วออกไป ทันใดนั้นท่ามกลางขนนกสีดำที่ปกคลุมท้องฟ้า ขนนกที่มีเพลิงสีม่วงลุกโชนก็ปรากฏขึ้นแล้วพุ่งชนกับม่านสายฟ้าจังใหญ่ ครั้งนี้เพลิงสีม่วงที่ลุกโชนแผดเผาม่านสายฟ้ากลายเป็นอากาศธาตุ ขนนกที่ราวกับกระบี่คมกริบก็พุ่งเข้าใส่จุดตายตรงหว่างคิ้วของฉิงเทียนกังทันที


การโจมตีกะทันหันทำให้สีหน้าของฉิงเทียนกังเปลี่ยนไป แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า ทันใดนั้นฝ่ามือก็ฟาดออกไปพร้อมกับสายฟ้าปะทุขึ้นตรงกลางฝ่ามือ


ตู้ม!


ฝ่ามือกับขนนกเพลิงสีม่วงปะทะกัน ชั่วขณะนั้นคลื่นหลิงรุนแรงก็พัดอาละวาด ร่างของฉิงเทียนกังหายวับไปปรากฏตัวห่างออกไปหลายร้อยจั้ง เขาก้มหน้าลงมองตรงกลางฝ่ามือที่ไหม้เกรียมพร้อมกับสีหน้ามืดครึ้มลง


“เจ้าคิดหรือว่าพลังงานสายฟ้าแค่นั้นจะต้านทานเพลิงอมตะของข้าได้?” ริมฝีปากของจิ่วโยวโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ


“หึ”


ฉิงเทียนกังแค่นเสียงเย็น จากนั้นก็กระทืบเท้า สายฟ้าสีเทาดำที่ราวกับมหาสมุทรระเบิดออกจากร่าง ไม่กี่อึดใจกลุ่มเมฆในบริเวณนี้ก็เปลี่ยนเป็นเมฆพายุสีดำพร้อมกับคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวผันผวนออกมาจน แม้แต่คนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าหมื่นจั้งยังรู้สึกถึงได้


เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าระเบิดความเกรี้ยวกราด อำนาจที่เผยออกมาก็สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดินได้เลยทีเดียว


จิ่วโยววาดฝ่ามือออกขณะที่คลื่นหลิงสีดำมืดพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ภายในคลื่นสีดำเชี่ยวกรากมีเพลิงสีม่วงพลุ่งพล่าน ทำให้แม้แต่มิติยังบิดตัวรุนแรง


พลังยิ่งใหญ่น่ากลัวสองสายปกคลุมท้องฟ้าคนละครึ่ง การประจัญบานกันเช่นนี้ดูราวกับว่าอุกกาบาตสองลูกกำลังชนกัน


สายตาเย็นชาสองคู่ฟาดฟันกันบนท้องฟ้า อึดใจต่อมาร่างทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นร่างแสงทะยานเข้าหากัน เบื้องหลังคลื่นหลิงเชี่ยวกรากกวนตัวราวกับคลื่นยักษ์ขณะที่ทั้งสองปะทะกัน


ตู้ม!


พายุคลื่นหลิงที่น่าตกใจสร้างหายนะไปทั่วชั้นฟ้า แม้แต่มวลลมเย็นเยือกยังแตกกระจายออก พื้นที่ในรัศมีหลายหมื่นจั้งปกคลุมไปด้วยคลื่นหลิงของทั้งสอง


นี่เป็นการต่อสู้ที่สั่นสะเทือนไปถึงขั้ววิญญาณเลยทีเดียว


สายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่ความปั่นป่วนบนฟ้า แต่ละคนแอบเดาะลิ้น ทว่าจากนั้นผู้คนก็เบนสายตาลงมา จิ่วโยวและฉิงเทียนกังมีพลังที่น่ากลัว ดังนั้นผลลัพธ์ของการปะทะกันระดับนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินได้ง่ายๆ


และในเมื่อผลการต่อสู้สมรภูมิบนพื้นฟ้ายากที่จะตัดสิน การต่อสู้บนพื้นดินจึงมีความสำคัญมากอย่างเห็นได้ชัด ผลลัพธ์ของสมรภูมินี้จะส่งผลต่อทั้งจิ่วโยวและฉิงเทียนกัง ทันทีที่การต่อสู้ในระดับนั้นถูกเบี่ยงความสนใจ ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย


สายตานับไม่ถ้วนเริ่มพุ่งตรงไปที่ชายสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหน่วยรบ


ภายใต้สายตาเหล่านั้น ฉิงหลิงก็ส่งยิ้มให้มู่เฉิน “ในเมื่อเจ้าสำนักออกคำสั่งแล้ว วันนี้ข้าก็ปล่อยพวกเจ้าไปไม่ได้จริงๆ”


เห็นชัดว่าเขามีความมั่นใจในตัวเองไม่น้อย หน่วยรบปีศาจสายฟ้าได้เปรียบในเรื่องของจำนวนเมื่อเทียบกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ ยิ่งกว่านั้นระหว่างผู้นำทัพทั้งสอง ตัวเขาที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามก็เป็นฝ่ายได้เปรียบมู่เฉินอยู่อีกส่วน


บวกกับความสำเร็จน่าทึ่งในการนำหน่วยรบปีศาจสายฟ้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ดังนั้นเขาจึงมีความมั่นใจว่าจะสามารถกำจัดแม่ทัพคนใหม่ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่เพิ่งสร้างชื่อเสียงขึ้นมาได้


“กลัวว่าผลการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้ผู้บัญชาการฉิงหลิงผิดหวังก็ได้นะ” แต่เมื่อเผชิญกับความมั่นหน้าของฉิงหลิง มู่เฉินก็คลี่รอยยิ้มเรียบเฉยให้


“ฮ่าๆ กล้าหาญจริงๆ” ฉิงหลิงยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น จากนั้นรอยยิ้มเย็นก็ผุดที่มุมปาก “แต่ต้องแบบนี้สิถึงจะน่าสนใจ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ ข้าเกลียดคนที่ดีแต่ปากนัก!”


“ตู้ม!”


เมื่อพูดจบฉิงหลิงก็กระทืบเท้าทะยานตัวไปข้างหน้า สายฟ้าดังก้องทั่วท้องฟ้าเบื้องหลังเขา หน่วยรบปีศาจสายฟ้าเปลี่ยนเป็นเสาแสงสายฟ้าทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้าทันที


เมื่อเห็นดังนี้ มู่เฉินก็ยกฝ่ามือขึ้น


“มู่เฉินระวังตัวด้วย”


ถังปิงเอ่ยเสียงเบา เนื่องจากฉิงหลิงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามแล้ว ซึ่งแข็งแกร่งกว่าแม่ทัพใหญ่ทั้งสี่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์เสียอีก แม้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของกองทัพไม่สามารถตัดสินด้วยพลังของคนคนเดียว แต่ก็ยังมีอิทธิพลไม่น้อย


“งั้นข้าจะปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่เจ้า” มู่เฉินพยักหน้า ตอนนี้สนามรบถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน คู่แรกคือจิ่วโยวกับฉิงเทียนกัง คู่สองคือหน่วยรบวิหคโลกันตร์กับหน่วยรบปีศาจสายฟ้า ท่ามกลางความโกลาหลนี้ กองทัพทั้งสองฝ่ายจะต้องพุ่งโรมรันกันเพื่อขัดขวางอีกฝ่ายแน่นอน


“วางใจเถอะ พวกเขาจะไม่มีทางขัดขวางการต่อสู้ของเจ้าได้แน่นอน” ถังปิงยิ้มอ่อน รอยยิ้มของนางดูสงบเยือกเย็น เนื่องจากนางได้สื่อสารไว้กับกองทัพต่างๆ ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไว้แล้วว่าเมื่อไรที่เกิดการต่อสู้ขึ้น นางก็จะเป็นคนควบคุมการสั่งการชั่วคราว


เมื่อเห็นรอยยิ้มมั่นใจของหญิงสาวตรงหน้า มู่เฉินก็ไม่พูดมาก มือที่ยกขึ้นสะบัดลงทันที สายตาเปลี่ยนเป็นคมกริบ


“หน่วยรบวิหคโลกันตร์ ลุย!”


“รับทราบ!”


เสียงคำรามกึกก้องอย่างพร้อมเพรียงดังขึ้น หน่วยรบวิหคโลกันตร์พุ่งขึ้นจากพื้นดินฉับพลัน เปลี่ยนเป็นกลุ่มเมฆดำเคลื่อนตัวไปที่เส้นขอบฟ้า ปรากฏตัวตรงหน้าหน่วยรบปีศาจสายฟ้าพร้อมรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกระจายออก


มู่เฉินเคลื่อนตัวไปปรากฏเหนือหน่วยรบวิหคโลกันตร์ รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ยิ่งใหญ่ราวกับมหาสมุทรสีดำรายล้อมรอบตัวเขา


สีหน้าของฉิงหลิงเรียบนิ่งเมื่อมองมู่เฉิน จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นพร้อมกับเสียงเรียบเฉยดังก้อง


“รัศมีจั้นยี่ปีศาจสายฟ้า!”


เบื้องหลังภายใต้เกราะโลหะสีดำของหน่วยรบปีศาจสายฟ้า ราวกับมีสายตาจำนวนมากที่อัดแน่นด้วยความรุนแรง อึดใจเสียงระเบิดต่ำก็ดังกึกก้อง


ตู้ม!


สายฟ้าในบริเวณนี้แล่นแปลบปลาบ รัศมีจั้นยี่สีเทาดำนับไม่ถ้วนที่ดูราวกับอสรพิษพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้าและรวมตัวกันเบื้องหลังฉิงหลิง ช่างเป็นภาพยิ่งใหญ่ตระการตานัก


“ข้าขอดูสิว่าแม่ทัพวิหคโลกันตร์ที่ชื่อเสียงโด่งดังเป็นพลุแตกของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในช่วงนี้มีจุดที่น่ายกย่องอะไรบ้างกันแน่!” ฉิงหลิงยิ้มพลางเหยียดนิ้วสองนิ้วออกมา ก่อนจะชี้เบาๆ ไปที่มู่เฉินที่อยู่ห่างออกไป


ปัง!


รัศมีจั้นยี่สายฟ้าที่มีขนาดประมาณหนึ่งร้อยจั้งระเบิดออกมาราวกับมังกรเกรี้ยวกราด แสงเจิดจ้าที่ระเบิดออกฉับพลัน ทำให้สายตาจ้องมองนับไม่ถ้วนพุ่งมายังบริเวณนี้


รัศมีจั้นยี่สายฟ้ากวาดออก ปรากฏตรงหน้าหน่วยรบวิหคโลกันตร์ในพริบตา ทว่าขณะที่กำลังจะโถมลงมา รัศมีจั้นยี่สีดำก็กวาดตัวออกก่อตัวกลายเป็นเกราะขนนก


ตู้ม!


พลังงานสองกลุ่มปะทะกันพร้อมกับความผันผวนรุนแรงสร้างหายนะ แต่เกราะขนนกที่ดูบอบบางกลับไม่แตกสลาย กระทั่งรัศมีจั้นยี่สายฟ้าระลอกสุดท้ายอ่อนกำลังลงมันถึงค่อยสลายตัวตามไป


ภาพนี้ทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนจากทั้งสองฝ่ายต้องดวงตาหดเกร็ง เพราะเมื่อตัดสินจากขนาดแล้ว หน่วยรบปีศาจสายฟ้าเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาก็ดูดุดันมากกว่าหลายส่วนเลยทีเดียว


ทว่าการโจมตีที่พวกเขาปลดปล่อยออกมากลับถูกหน่วยรบวิหคโลกันตร์ต้านทานไว้ได้อย่างง่ายดาย


“น่าสะพรึงมาก ข้าได้ยินว่าแม่ทัพมู่เฉินเอาชนะหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตที่มีจอมยุทธ์ถึงห้าพันคนได้ด้วยหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่มีจอมยุทธ์เพียงหนึ่งพันคนมานานแล้ว พอได้เห็นวันนี้ ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นจริงแล้วสิ”


“ดูเหมือนการควบคุมรัศมีจั้นยี่ของแม่ทัพมู่เฉินจะเหนือกว่าผู้นำทัพคนอื่นๆ หลายขุมทีเดียว”


“…”


ฝ่ายอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมยุทธ์จำนวนมากอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา หัวใจแต่ละคนที่บีบรัดก็คลายตัวลง เพราะพวกเขาเป็นกังวลว่าจิ่วโยวจะถูกเบี่ยงความสนใจจากความพ่ายแพ้ของมู่เฉิน แล้วหากจิ่วโยวพลาด ฝ่ายของพวกเขาจะต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ใหญ่หลวงโดยไม่ต้องสงสัย


ตู้ม!


มู่เฉินมองสายฟ้าบนท้องฟ้าที่จางหายไปตรงหน้าด้วยท่าทางเรียบเฉยพลางเงยหน้าขึ้น ม่านตาสีดำจ้องมองฉิงหลิงด้วยแววคมกริบราวใบมีดที่ค่อยๆ ฉายออกมาในส่วนลึกของดวงตาช้าๆ


“วันนี้ข้าจะดูว่าใครกันที่จะถูกทำลาย!”


เขาวาดตราประทับสองมือขึ้นมาฉับพลัน วินาทีต่อมารัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งบ้าคลั่งอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดมิด มากจนแม้แต่เสียงฟ้าคำรนป่าเถื่อนยังถูกสยบไว้


ในที่สุดชายหนุ่มที่นิ่งเฉยและเยือกเย็นมาตลอดก็เริ่มเผยเขี้ยวเล็บออกมาแล้ว


723 รบกวนพลัง

รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไร้ขอบเขตครางกระหึ่มทั่วบริเวณ


ขอบเขตของพลังไม่ได้ด้อยกว่าหน่วยรบปีศาจสายฟ้าที่ได้เปรียบด้านจำนวนเลย มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก วาดออกจากฝั่งมู่เฉิน เมื่อมองจากที่ไกลก็ดูราวกับมหาสมุทรสีดำไหลบ่าออกจากรอยแตกของมิติท่วมผืนฟ้าและผืนดิน


เผชิญหน้ากับรัศมีจั้นยี่ทรงพลังเช่นนั้น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามก็ไม่กล้าประจันหน้าโดยตรง


ฉิงหลิงยืนอยู่บนท้องฟ้าขณะมองรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตของกองทัพวิหคโลกันตร์ ดวงตาเขาก็หดลง ดูเหมือนจะเป็นตามข่าวลือ ไอ้เด็กบ้ามู่เฉินสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้ยอดเยี่ยม ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์จะยกระดับขึ้นได้แบบนี้


ดวงตาของฉิงหลิงวูบไหว จากนั้นเขาก็แค่นเสียงเย็นชา ฝ่าเท้ากระทืบลงขณะที่ชั้นเมฆสีเทาดำก่อตัวขึ้นเบื้องหลังรัศมีจั้นยี่หน่วยรบปีศาจสายฟ้า เสียงฟ้าคำรามรุนแรงสะท้อนก้องระหว่างฟ้าดิน สร้างความปั่นป่วนที่ทรงพลังยิ่งนัก


“อย่าทำกับหน่วยรบปีศาจสายฟ้าของข้าเหมือนกับหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตไร้ประโยชน์นั่นสิ!”


ฉิงหลิงแค่นเสียง แววตาคมกล้ามากขึ้น เขายกมือขึ้น รัศมีจั้นยี่หน่วยรบปีศาจสายฟ้าก็ระเบิดเสียงคำรามออกมาอย่างน่าอัศจรรย์ สายฟ้าสีเทาดำรวมตัวอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นหอกสายฟ้าอยู่ในชั้นเมฆ


สายฟ้าสีเทาดำดูราวกับอสรพิษมหึมาขดตัวอยู่รอบหอกสายฟ้า เสียงดังกึกก้องสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน


ฉิงหลิงไม่คิดจะทดสอบมู่เฉินเลย เขาตั้งใจใส่ทุกอย่างเต็มที่แต่เริ่ม เห็นชัดว่าพยายามจะเป็นฝ่ายได้เปรียบให้ได้เร็วที่สุด เพื่อเอาชนะหน่วยรบวิหคโลกันตร์ให้ได้


“หอกสายฟ้าปีศาจ!”


ฉิงหลิงกำหมัดพร้อมกับหอกเหวี่ยงลงไปอย่างรวดเร็ว หอกสีเทาดำพุ่งทะยานออกไป ทำให้มิติพังทลายลงขณะที่ปรากฏเหนือกองทัพวิหคโลกันตร์ในพริบตา


“ขนวิหคโลกันตร์!”


ตราประทับในมือของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงวูบไหว มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็ถั่งโถม ขนนกสีดำขนาดใหญ่ระเบิดออกปะทะกับหอกสายฟ้าจังใหญ่


ตึง!


การปะทะป่าเถื่อนดังก้อง ทำให้ความผันผวนรุนแรงสร้างหายนะไปทั่ว มวลลมยกตัวขึ้น แต่พวกมันก็ไม่สามารถสะเทือนมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ทั้งสองได้


แม้ว่าการปะทะกระบวนท่าแรกจะล้มเหลว แต่ในดวงตาของฉิงหลิงกลับไม่มีแววเปลี่ยนแปลงใดๆ อึดใจตราประทับในมือก็เปลี่ยนไปเร็วรี่ รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากพวยพุ่งบ้าคลั่งขณะที่หอกสายฟ้าจำนวนมากก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจพวกมันก็ปกคลุมไปทั่วขอบฟ้า


ภาพนั้นทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากถึงกับหนังหัวลุกชัน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามธรรมดายังยากที่จะสร้างกระบวนท่าโจมตีแข็งแกร่งเช่นนั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนี้กลับถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างสบายโดยฉิงหลิง นี่เป็นความจริงอันน่ากลัวของการใช้รัศมีจั้นยี่ เพราะศัตรูไม่ได้เผชิญกับคนเพียงคนเดียวแต่เป็นกองทัพที่มีจอมยุทธ์ชั้นสูงหลายพันที่มีการใช้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม!


“ไป!”


ฉิงหลิงพลิกนิ้ว ดงหอกสายฟ้ามืดฟ้ามัวดินก็ระเบิดออกไป ทุกการเคลื่อนที่ส่งผลให้ภูเขาทลายตัวลง พื้นดินเกิดรอยแตก ความรู้สึกของสวรรค์และโลกหม่นหมองช่างเหนือธรรมดานัก


แต่เผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรง มู่เฉินกลับไม่มีความหวาดกลัวใดๆ แม้ว่าหน่วยรบปีศาจสายฟ้าจะได้เปรียบในเรื่องจำนวน แต่เขาก็มีความได้เปรียบด้านการจัดการและความเข้าใจในกองทัพ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ฉิงหลิงจะสยบเขาด้วยรัศมีจั้นยี่


ดังนั้นมู่เฉินจึงรีบควบคุมรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ครางกระหึ่ม รัศมีจั้นยี่ราวกับก่อเป็นคลื่นรัศมีจั้นยี่นับไม่ถ้วน พลางปะทะกับดงหอกสายฟ้า


ปัง! ปัง!


การระเบิดรุนแรงขนาดใหญ่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากขอบฟ้า ลมสลาตันกวาดอาละวาดจนมิติบิดเบี้ยว


เบื้องล่างจอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนเงยหน้ามองที่ขอบฟ้าที่เกิดการระเบิดอย่างต่อเนื่อง ในการปะทะระหว่างทั้งสองไม่มีกลยุทธ์ใด พวกเขาปะทะกันซึ่งหน้าด้วยรัศมีจั้นยี่ที่แข็งแกร่งล้วนๆ


ทว่าทุกคนบอกได้เลยว่าฉิงหลิงที่ปล่อยการโจมตีบ้าคลั่ง ไม่ได้เป็นฝ่ายได้เปรียบเลยสักนิด ทุกการเคลื่อนไหวถูกมู่เฉินสกัดไว้ทั้งหมด ไม่สามารถรุกเข้าไปได้สักระผีกลิ้น


ภาพนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกตะลึงใจเล็กน้อย หลายปีผ่านมาชื่อเสียงของหน่วยรบปีศาจสายฟ้ากระจายไปไกล ไม่รู้ว่ามีกองทัพจำนวนเท่าไรที่ถูกพวกเขาทำลายไป ทว่าตอนนี้พลังอำนาจน่ากลัวนั่นกลับถูกหยุดไว้


ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ แม้หน่วยรบวิหคโลกันตร์จะไม่สามารถทำลายหน่วยรบปีศาจสายฟ้าได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ต้านทานไว้ได้ แม่ทัพคนใหม่แห่งหอวิหคโลกันตร์มีฝีมือใช้ได้เลยทีเดียว


ครืน!


ความผันผวนของคลื่นหลิงป่าเถื่อนอาละวาดออกไปสิบกว่านาที ก่อนที่จะค่อยๆ สลายตัว ส่วนฉิงหลิงก็หยุดการโจมตีไร้จุดหมายและบ้าคลั่ง เพราะเขารู้ว่าหากยังทำต่อไปก็เสียเวลาไปเปล่าๆ เท่านั้น


การปะทะกันระหว่างรัศมีจั้นยี่ขึ้นอยู่กับวิธีการโจมตีแบบสายฟ้าแลบ เนื่องจากกองทัพมีนักรบจำนวนมาก จึงเป็นเรื่องปกติที่จะชนะโดยอาศัยความได้เปรียบเชิงปริมาณ ถ้านี่เป็นการล้อมจับ พวกเขาก็สามารถขังศัตรูไว้จนตาย แต่ถ้ากองทัพทั้งสองหมายมั่นปั้นมือว่าจะเอาชัยชนะ พวกเขาจะต้องใช้กลยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในการเอาชนะรัศมีจั้นยี่ของศัตรู ในการออกกระบวนท่าเดียว


แต่ในตอนนี้รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไม่ได้ด้อยกว่ารัศมีจั้นยี่ปีศาจสายฟ้าเลย หากการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป ก็จะเป็นแค่การเสียเวลาเท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทั้งฉิงเทียนกังหรือฉิงหลิงต้องการเลย


สายตาของฉิงหลิงเป็นประกาย ริมฝีปากบางเหี้ยมเกรียมลงหลายส่วนในเวลานี้


“ทำไม? ไม่สู้ต่อแล้วหรือ?” มู่เฉินยิ้มเมื่อเห็นฉิงหลิงหยุดการโจมตี


ฉิงหลิงเหลือบมองมู่เฉินด้วยสายตาเย็นเยือกพลางเอ่ยเสียงเบา “ไอ้หนู แม้จะต้องยอมรับว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในด้านรัศมีจั้นยี่ แต่..ข้าขอบอกว่าแกน่ะยังอ่อนหัดเกินไป”


เมื่อพูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มประหลาดก็ผุดบนริมฝีปากของฉิงหลิง


เมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น มู่เฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ความไม่สบายใจเกิดขึ้นในหัวใจ


ทันใดนั้นฉิงหลิงก็กำหมัด ก้อนหินที่วูบไหวด้วยสายฟ้าสีเทาดำปรากฏในมือ เขากำมือแน่นขึ้นจนบดหินสายฟ้าลงทันที


ตู้ม!


สายฟ้าสีเทาดำกระเซ็นออกมาจากทุกทิศทาง สายฟ้ากระจายออก แต่กลับไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ทว่ามู่เฉินกลับเปลี่ยนสีหน้าทันที


เนื่องจากเขาพบว่าสายฟ้านั้นดูราวกับสนามพลังยักษ์ ภายใต้สนามพลังนี้ รัศมีจั้นยี่ที่อยู่รอบตัวเขากำลังหายไปอย่างรวดเร็ว


“เกิดอะไรขึ้น?”


สายตาของมู่เฉินเย็นชาลงขณะที่มองฉิงหลิง แต่เขาก็พบว่ารัศมีจั้นยี่ปีศาจสายฟ้าที่รวมตัวรอบตัวอีกฝ่ายก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เห็นชัดว่าฉิงหลิงได้รับผลกระทบจากสายฟ้าไม่ต่างกัน


เจ้านั่นคิดจะอะไรกัน?


“ฮ่าๆ ใช้รัศมีจั้นยี่ไม่ได้แล้วใช่ไหม?” ฉิงหลิงมองมู่เฉินอย่างเยาะเย้ย จากนั้นก็ปัดมือเบาๆ “นี่คือผลึกสายฟ้าปีศาจ เมื่อประสานพลังกับภูเขาเหลยหมัวก็สามารถสร้างสนามสายฟ้าขึ้นมา ภายในสนามสายฟ้านี้จะเกิดแรงรบกวนตัดรัศมีจั้นยี่ออกไป ทำให้ไม่สามารถใช้รัศมีจั้นยี่ได้ในบริเวณนี้”


มู่เฉินขมวดคิ้วพลางหลับตาลงเล็กน้อย พยายามสัมผัสรัศมีจั้นยี่ และก็ได้พบว่าเหมือนมีพลังงานไร้รูปร่างกำลังรบกวนอยู่จริงด้วย ซึ่งเป็นคลื่นรบกวนที่เขาไม่สามารถขจัดได้ด้วยพลังยุทธ์ที่มีในตอนนี้


ความโกลาหลเบาบางมาจากหน่วยรบวิหคโลกันตร์เบื้องล่าง ถ้ามู่เฉินไม่สามารถใช้รัศมีจั้นยี่ได้ไม่เท่ากับว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์กลายเป็นอัมพาตเลยหรือ? เนื่องจากมู่เฉินคือแก่นของกองทัพ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถควบคุมกองทัพได้ ถ้ากองทัพสูญเสียรัศมีจั้นยี่ไปแล้ว ก็ไม่ต่างจากนักรบที่แตกฉานซ่านเซ็น


“เกิดอะไรขึ้น?”


จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนเบื้องล่างเมื่อตระหนักถึงสถานการณ์นี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย ฉิงหลิงกำลังทำอะไรอยู่? หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเองก็ไม่สามารถใช้รัศมีจั้นยี่ได้เหมือนกันหรอกเหรอ?


“ตอนนี้เจ้าใช้งานหน่วยรบวิหคโลกันตร์ไม่ได้ ส่วนข้าก็ใช้งานหน่วยรบปีศาจสายฟ้าไม่ได้เช่นกัน”


ฉิงหลิงมองพลางยิ้มตาหยีชี้ไปที่มู่เฉินและตัวเขาเองเบาๆ “ตอนนี้มีแค่เจ้ากับข้าที่นี่เท่านั้น”


เมื่อเขาพูดออกมา ทุกคนก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร เมื่อสูญเสียกองทัพ มู่เฉินก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสองเท่านั้น ขณะที่ฉิงหลิงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามแล้ว!


ด้วยความช่วยเหลือจากรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ ทำให้มู่เฉินสามารถต่อกรกับฉิงหลิงได้ แต่ตอนนี้รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ถูกตัดขาดจากเขา ทำให้พลังของมู่เฉินลดลงอย่างมีนัย


ทั้งสองฝ่ายที่เคยอยู่เสมอกัน ก็เกิดระยะห่างขึ้นเนื่องจากการหายไปของรัศมีจั้นยี่


นี่คือเจตนาของฉิงหลิง!


“เลวทราม!”


ถังปิงขบฟันคำราม จากนั้นสายตาของนางก็เย็นเยือกลงขณะออกคำสั่งเสียงเย็น “ลงมือ! ถอนรากถอนโคนสำนักสายฟ้าปีศาจซะ!”


ทางด้านหลัง กองทัพใหญ่น้อยของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็ไม่ยั้งตัวเองไว้ได้อีกต่อไป คลื่นหลิงพวยพุ่งรุนแรงปกคลุมทั่วขอบฟ้า เสียงตะโกนโหวกเหวกของการทำศึกดังก้องไปทั่วแผ่นดิน ลำแสงนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านจากทุกทิศทาง ปิดล้อมภูเขาเหลยหมัวไว้


“สกัดพวกมันไว้!”


เมื่อกองทัพแดนร้อยสงครามเห็นสถานการณ์ดังกล่าว พวกเขาก็รีบบุกขึ้นหน้าทันที พวกเขาเข้าใจว่าสนามรบทั้งสองแห่งบนท้องฟ้าถูกผูกไว้อย่างใกล้ชิดแล้ว ตอนนี้ฉิงหลิงขังมู่เฉินเอาไว้ ตราบใดที่พวกเขาสามารถต้านทานกำลังฝ่ายตรงข้ามได้ ชัยชนะของสงครามนี้ก็จะอยู่ข้างพวกเขา


ดังนั้นพวกเขาไม่อาจเพลี่ยงพล้ำในตอนนี้


กระแสพลังน่าสะพรึวกลัวไขว้พันกันบนท้องฟ้า เวลานี้ทั่วทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น


ตู้ม! ตู้ม!


ความโกลาหลขนาดใหญ่เกิดขึ้นจากการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนต่างพุ่งเข้าโรมรันพันตู ขณะคลื่นหลิงผันผวนออกมาจากพวกเขา ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง ยอดเขาลูกแล้วลูกเล่าพังทลายลงกลายเป็นฝุ่นจากการปะทะของคลื่นหลิง รอยแตกขนาดใหญ่ดูราวกับเหวลึกฉีกขาดพื้นดินออก…


บนท้องฟ้า ฉิงหลิงยืนกอดอก ปล่อยให้คลื่นหลิงอาละวาดที่เบื้องล่าง สายตาของเขาดูเย็นชาลงหลายส่วนขณะจ้องมองมู่เฉิน รอยยิ้มที่มุมปากอัดแน่นด้วยความเหี้ยมเกรียม


“ตอนนี้เจ้าจะทำอะไรได้อีก?”


มู่เฉินมองไปที่ฉิงหลิงเช่นเดียวกัน แต่คิ้วที่ขมวดกลับค่อยๆ คลายลง จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “ไม่ใช่รัศมีจั้นยี่เรอะ…ที่จริง นี่เป็นอย่างที่ข้าหวังไว้เลย”


เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ดวงตาของฉิงหลิงก็หดเกร็งลงพร้อมกับสายตาดุดันมากขึ้น


จนตอนนี้มู่เฉินก็ยังยโสโอหังอีกเรอะ? ช่างเป็นคนที่น่าอนาถใจนัก!


724 ขั้นสองปะทะขั้นสาม

สนามพลังสายฟ้าทองคำกระจายไปทั่วท้องฟ้า


ขณะที่ครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ มู่เฉินมองสนามพลังงานนี้ กลับไม่มีแววตื่นตระหนกใดๆ บนใบหน้าอย่างที่ฉิงหลิงคิดไว้


“รบกวนรัศมีจั้นยี่เรอะ…”


มู่เฉินยิ้มพลางเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ฉิงหลิงที่ยืนกอดอกขณะที่ดวงตาวูบไหวด้วยไอเย็นเยือก พูดให้ชัดเจนเลยก็คือการกระทำของฉิงหลิงเป็นไปอย่างที่เขาต้องการพอดี


แม้เขาจะเป็นฝ่ายเหนือกว่าด้วยความเข้าใจและความสามารถในการควบคุมรัศมีจั้นยี่ แต่พื้นฐานของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ยังอ่อนหัดเกินไป มิหนำซ้ำนักรบปีศาจสายฟ้าก็ไม่ใช่มือสมัครเล่น ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีความมั่นใจเต็มร้อยว่าจะสามารถกำชัยชนะได้โดยการพึ่งรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ อย่างมากสุดเขาก็แค่ยืดการต่อสู้ให้นานขึ้น


แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายสูญเสียความสามารถในการใช้รัศมีจั้นยี่ไป พวกเขาก็กลับสู่ความสามารถเดิมที่เคยมี บางทีนี่อาจจะเป็นสถานการณ์เลวร้ายที่สุดของมู่เฉินในสายตาของคนอื่น เนื่องจากเขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นสองเท่านั้น ส่วนฉิงหลิงมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามแล้ว


แต่สำหรับมู่เฉิน เมื่อทั้งคู่ไม่ใช้รัศมีจั้นยี่ กลับเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จให้เขาแทน


ฉิงหลิงที่มีหน่วยรบปีศาจสายฟ้าสนับสนุน ทำเอามู่เฉินปวดกะโหลกไม่น้อย แต่ในตอนนี้…การสูญเสียปราการป้องกันจากหน่วยรบปีศาจสายฟ้าไป การเป็นภัยคุกคามของฉิงหลิงในหัวใจของมู่เฉินลดต่ำลงอย่างมีนัย


“ดูท่าเจ้าจะสงบนิ่งพอสมควรเลยนะ”


ฉิงหลิงยืนกอดอกกลางอากาศ สายฟ้าสีเทาดำแล่นแปลบปลาบรอบตัว ที่เบื้องหลังมิติกำลังผันผวน เหมือนจะมีมหาสมุทรผืนใหญ่ปรากฏเบาบาง คลื่นหลิงชวนตกตะลึงกำจายแรงกดดันปกคลุมบริเวณนี้


“กายาสายฟ้าปีศาจ!”


ฉิงหลิงยิ้ม จากนั้นสายตาก็เย็นเยือกลงทันที เขาวาดตราประทับด้วยมือทั้งสองข้าง ร่างขยายขนาดรวดเร็วด้วยความเร็วน่าทึ่ง ผิวกายเปลี่ยนเป็นสีดำราวกับว่าหลอมมาจากโลหะ ภายใต้พื้นผิวเส้นเลือดบิดตัวราวกับมังกร ในช่วงสิบลมหายใจสั้นๆ ฉิงหลิงก็เปลี่ยนเป็นยักษ์สีดำที่มีสายฟ้าสีเทาดำแล่นแปลบปลาบรอบกาย


พลังแผ่กระจายออกมา เห็นชัดว่ากายาสายฟ้าปีศาจที่ฉิงหลิงฝึกฝนเป็นวิชาด้านชำระพลังกายด้วยสายฟ้าที่น่าสะพรึงไม่น้อย


“ข้ารู้สึกได้ถึงพลังงานสายฟ้าในตัวเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็ต้องฝึกวิชาด้านชำระพลังกายด้วยสายฟ้ามาเหมือนกัน แต่…กลัวว่านั่นจะเป็นวิชาเด็กเล่นเท่านั้นแหละ”


เสียงของฉิงหลิงฟังดูบ้าคลั่ง เสียงที่ดังกึกก้องนั้นทำเอาผู้คนเจ็บแก้วหูเลยทีเดียว


“กายาสายฟ้าปีศาจ?”


มู่เฉินอึ้งไปเมื่อมองร่างสีดำของฉิงหลิง จากนั้นเขาก็ยิ้มกริ่ม “งั้นวันนี้ข้าจะต้องดูแล้วสิว่าทักษะของใครกันแน่ที่เรียกว่าเป็นของเด็กเล่น!”


มือทั้งคู่ของมู่เฉินวาดตราประทับ สายฟ้าแวววาวระเบิดออกจากร่างกายฉับพลัน พริบตาเดียวประกายเกลียวสีเงินยวงก็กำจายความเจิดจ้า เห็นชัดว่าเขาเร้ากายาเทพสายฟ้ามาถึงขีดสุดแล้ว


แม้ว่าหลังจากเร้าวิชากายาเทพสายฟ้าออกมา ร่างของมู่เฉินจะมีขนาดเล็กกว่าฉิงหลิง ทว่าเสียงสายฟ้าลึกต่ำกลับกลบสยบแรงกดดันสายฟ้าของฉิงหลิงทั้งหมดแทน


“หือ?!”


ฉิงหลิงมองมู่เฉินที่เกือบจะเปลี่ยนร่างเป็นสายฟ้าก็หดตาลง แม้ก่อนหน้าเขาจะสัมผัสได้ถึงพลังงานสายฟ้าบางส่วนที่มาจากร่างกายของมู่เฉิน แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะมีพลังงานสายฟ้ามหาศาลระเบิดออกมาขนาดนี้เมื่อมีการเปิดใช้งาน


แต่สิ่งนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ฉิงหลิงรู้สึกหวาดกลัวได้ เขาแค่นเสียงเย็นชากระทืบเท้าลงไป ร่างกายก็ปรากฏตรงหน้ามู่เฉินราวกับภูตผี เขาฟาดฝ่ามือเล็งไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย


สายลมกับสายฟ้าคำรามลั่นราวกับฟ้าแลบฟ้าร้องก็มิปาน


ตึง!


แต่ไม่ว่าเขาจะรวดเร็วแค่ไหน ความเร็วของมู่เฉินก็น่ากลัวมากกว่า ไม่รอให้เขาเร้าพลังบนฝ่ามือจนถึงขีดสุด อีกฝ่ายก็กำหมัดแน่นพร้อมกับพลังครอบงำชกใส่ฝ่ามือ คลื่นหลิงน่ากลัวระเบิดออกทำลายพลังฝ่ามือของฉิงหลิง


วาบ!


แต่ฉิงหลิงไม่ใช่มือสมัครเล่น เขามากด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่เหนือกว่าจอมยุทธ์คนอื่นๆ เมื่อโจมตีกระบวนท่านี้ล้มเหลว ขาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสายฟ้า ทิ้งภาพซ้อนและมิติแตกสลายไว้เบื้องหลัง ปล่อยการโจมตีใส่หน้าอกของมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง


สีหน้าของมู่เฉินไม่เปลี่ยนแปลง ขาเตะออกปะทะกันอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า


ปัง! ปัง! ปัง!


ความเร็วในการโจมตีของทั้งสองวูบวาบไปมาจนผู้คนทั่วไปเห็นเพียงเกลียวสายฟ้าตัดผ่าน จากนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังกึกก้องทั่วท้องฟ้า


ชั่วสิบกว่าลมหายใจ ทั้งคู่ก็แลกเปลี่ยนกระบวนท่าไปแล้วร้อยกว่ากระบวนท่าแล้ว ทั้งสองใช้เพียงพลังกาย ทุกครั้งที่ปะทะกันก็เหมือนกับโลหะชนกัน การต่อสู้ในระดับนี้ทำให้หนังตาของผู้คนถึงกับกระตุกไม่หยุด


ตึง!


สายฟ้าฉีกทะลุขอบฟ้า ร่างสายฟ้าสองร่างปะทะกันอีกครั้ง หมัดของพวกเขาดูราวกับฟ้าผ่า ทุกครั้งที่เกิดการชนกันก็จะเกิดเกลียวฟ้าระเบิดออกมาจากหมัด ก่อนที่ทั้งสองจะถูกอัดแล้วกระเด็นกลับไป


มู่เฉินถอยออกไปร้อยก้าว ก่อนที่จะกระแทกฝ่าเท้าทรงตัว แขนของเขาสั่นระริก แขนเสื้อเปลี่ยนเป็นผุยผงร่วงลงบนพื้น


ฉิงหลิงถอยออกไปเพียงหลายสิบก้าว ไม่ว่าอย่างไรความแข็งแกร่งของระดับจื้อจุนขั้นสามก็ทำให้เขามีความได้เปรียบมากกว่าเล็กน้อยในการปะทะซึ่งหน้า


ฉิงหลิงกำมือแน่นปล่อยเสียงกระดูกดังกรอบแกรบออกมา สายตาที่มองมู่เฉินมืดครึ้มลง ในส่วนลึกของดวงตาฉายแววอัศจรรย์ใจ เขาไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะสามารถปะทะกับเขาด้วยพลังกายจนถึงจุดนี้ได้


วิชากายาสายฟ้าปีศาจที่ฝึกฝน เขาเพาะบ่มในหุบเหวเหลยหมัวมาสิบกว่าปีถึงได้ประสบความสำเร็จเช่นนี้ แต่พลังกายของชายหนุ่มตรงหน้ากลับไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย


นี่เป็นผลลัพธ์ที่เขาไม่ชอบใจ


เขาวางแผนตัดขาดรัศมีจั้นยี่ออกไป สถานการณ์ตึงมือก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอีกแล้ว


ไอเย็นเยือกวูบไหวในดวงตาของฉิงหลิง จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึกพลางวาดตราประทับ พริบตาเดียวชั้นเมฆพายุก็ปรากฏอยู่ระหว่างฟ้าดิน สายฟ้าสีเทาดำรวมตัวกันอย่างรวดเร็วรอบร่างกายเขา ช่วงไม่กี่ลมหายใจร่างสายฟ้ามหึมาก็ปรากฏขึ้นครอบตัวฉิงหลิง


“ร่างสายฟ้าปีศาจ!”


เมื่อฉิงหลิงตะโกนออกมา ร่างสายฟ้าก็ก่อตัวอย่างสมบูรณ์ ฝ่ามือใหญ่โตกำลงแล้วดึงฉับพลัน ด้วยเสียงลั่นเปรียะ แส้สายฟ้าสีเทาดำขนาดพันจั้งก็ควบแน่นขึ้นตามด้วยเสียงแหวกอากาศ มันผ่ามิติควงสว่านเข้าหามู่เฉินราวกับมังกรพิโรธ


“แส้สายฟ้าปีศาจ!”


ร่างของมู่เฉินกระตุก แส้สายฟ้าพุ่งฝ่ามิติทะลุผ่านร่างของเขาไปอย่างรุนแรง


ซัดกระบวนท่านี้ออกไป ฉิงหลิงกลับไม่รู้สึกดีใจ ตรงกันข้ามเขากลับขมวด เพราะเขาเห็นร่างของมู่เฉินค่อยๆ หายไปเหลือไว้เพียงภาพเงา


“ฟิ้ว!”


สายตาของฉิงหลิงวูบไหว จากนั้นแส้สายฟ้าก็กวาดไปทางด้านหลัง วาดมุมโค้งเรืองแสงบนท้องฟ้า


ตู้ม!


มิติเบื้องหลังเขาฉีกออก เงาร่างมังกรทะยานออกมา จากนั้นรังสีร้ายกาจเชี่ยวกรากก็กวาดไปข้างหน้าขณะที่เสาปีศาจฟาดใส่ร่างสายฟ้าขนาดใหญ่โตรุนแรง


ควับ!


แส้สายฟ้าตวัดรวดเร็วจนน่าทึ่ง มันม้วนพันรอบเสาปีศาจอย่างรวดเร็ว ก่อนที่สายฟ้าสีเทาดำจะแล่นแปลบปลาบพยายามกร่อนเสาปีศาจให้จงได้


ชี่ ชี่!


รังสีร้ายกาจระเบิดออกจากเสาปีศาจพยายามต้านทานสายฟ้าที่กำลังกัดกร่อน


“วัตถุชั่วร้ายชิ้นนี้ดีทีเดียว ข้าอยากได้มัน!” ฉิงหลิงเลียริมฝีปากเผยรอยยิ้มน่าขนลุก พลังเบื้องหลังแส้สายฟ้าเพิ่มขึ้นขณะดึงเสาปีศาจกลับไป พลังนั้นทำให้แม้แต่มู่เฉินที่เร้าวิชากายาเทพสายฟ้าจนถึงขีดสุดยังแทบจะต้านทานไม่ได้ เนื่องจากตอนนี้ฉิงหลิงได้เรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมาแล้ว


“คิดแย่งของของข้าเหรอ? ข้ากลัวว่าแกจะถูกอัดจนยับมากกว่า!”


ใบหน้าของมู่เฉินเย็นเยือกลงหลายส่วน แสงสีทองพวยพุ่งออกมาจากดวงตา เมื่อแสงสีทองเรืองรองระเบิดไปในทุกทิศทาง พริบตาเดียวร่างใหญ่ที่ดูราวกับหลอมมาจากทองก็ปรากฏบนท้องฟ้าพร้อมกับดวงอาทิตย์เจิดจรัสลอยอยู่เบื้องหลังศีรษะ ทำให้ดูทรงพลังอำนาจอย่างยิ่ง


นี่ก็คือร่างเทพสุริยะนั่นเอง!


ยามนี้มือของร่างเทพสุริยะกำเสาปีศาจไว้ ทำเอาพลังเบื้องหลังแรงดึงถูกต้านไว้ทันที ไม่ว่าร่างสายฟ้าปีศาจจะพยายามเท่าใด ก็ไม่สามารถดึงเอาไปได้


“อยากได้มากเหรอ? งั้นให้แกเลยแล้วกัน!”


ไอเย็นเยือกวาบขึ้นในดวงตาของมู่เฉิน ขณะที่รังสีร้ายกาจน่ากลัวพุ่งออกจากเสาปีศาจ กระชากมือของร่างสายฟ้าปีศาจออกไป จากนั้นร่างเทพสุริยะก็ก้าวไปข้างหน้า เมื่อแสงสีทองพวยพุ่ง แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังสะเทือน


“ตู้ม!”


แสงสีทองเรืองรองไหลออกมาราวกับของเหลว ย้อมเสาปีศาจสีดำให้กลายเป็นสีทองประหนึ่งหลอมจากทองคำ จากนั้นเสาทองคำก็ทะลวงชั้นเมฆพายุบนท้องฟ้า ฟาดใส่ร่างสายฟ้าปีศาจเต็มเหนี่ยวด้วยพลังที่น่ากลัวจากร่างเทพสุริยะ


“ฝ่ามือเคลื่อนภูเขา!”


พลังน่ากลัวที่โอบล้อมลงมาฉับพลัน ทำให้สีหน้าของฉิงหลิงเปลี่ยนไปรุนแรง เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่ามู่เฉินทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร แต่เวลานี้เขาก็ไม่กล้าที่จะรีรออะไร สองมือวาดตราประทับร่างสายฟ้าปีศาจก็กระแทกฝ่ามือออกไปทั้งคู่ สายฟ้าสีเทาดำที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้ารวมตัวกัน ก่อตัวเป็นมือสายฟ้าขนาดใหญ่ ราวกับว่ามือสายฟ้านั้นกำลังรองรับท้องฟ้า ดูยิ่งใหญ่ราวกับภูเขาลูกหนึ่ง


ปัง!


ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน เสาปีศาจทองคำก็ฟาดลงมาอย่างรุนแรง เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นกระจายออกไป


พายุคลื่นหลิงรุนแรงโหมกระหน่ำบนท้องฟ้า


ความปั่นป่วนนี้ทำให้กระทั่งสงครามวุ่นวายเบื้องล่างยังหยุดชะงักชั่วครู่ ทุกคนมองขึ้นไปบนฟ้าอย่างอดไม่ได้


ที่นั่นเสาปีศาจทองคำกดทับลงมาช้าๆ ขณะที่ฝ่ามือสายฟ้าขนาดใหญ่ที่ดูราวกับสามารถรับน้ำหนักท้องฟ้าได้กำลังดิ่งลงทีละน้อย…ละน้อย


แม้การเคลื่อนที่ลงจะช้ามาก แต่ก็ไม่อาจห้ามได้


ทันใดนั้นสีหน้าของฉิงหลิงก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด


“แกร๊ก!”


ขณะที่สีหน้าฉิงหลิงน่าเกลียดลงเรื่อยๆ ทันใดนั้นเสียงแตกร้าวเบาๆ ก็ดังขึ้น ดวงตาจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนหดเกร็ง เหมือนในฝ่ามือสายฟ้านั้นจะมีแสงสีทองกระจายออกแล้วสว่างจ้าขึ้น


ครืน!


แสงสีทองสาดส่องไปทั่วทุกแห่ง ส่วนฝ่ามือสายฟ้าทรงพลังก็แตกสลายในเวลานี้!


จอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนสูดหายใจลึก


ใครจะคิดว่าแม้จะเรียกร่างสายฟ้าปีศาจออกมาแล้ว ฉิงหลิงก็ยังถูกสยบไว้โดยมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสอง!


ภาพนี้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่ฉิงหลิงวาดเอาไว้ในสมองเลย!


725 ภัยพิบัติสายฟ้าปีศาจ

เสาปีศาจทองคำทำลายฝ่ามือร่วงกราวลงอย่างต่อเนื่อง


จากนั้นก็ฟาดลงบนแขนของร่างสายฟ้าปีศาจที่ยกไขว้กันอย่างหนักหน่วง ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน


ตู้ม!


ทันทีที่เกิดการปะทะเกิดก็สร้างเสียงดังสนั่น ร่างสายฟ้าปีศาจใหญ่โตก็ดิ่งพสุธาลงจากท้องฟ้า ทำให้ภูเขาสองลูกเบื้องล่างถล่มยับใต้เท้านั่น ร่างใหญ่โตขนาดพันจั้งจมลงไปบนพื้นลึกจนถึงเอว รอยแตกขนาดใหญ่แผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว…


ดวงตานับไม่ถ้วนราวกับจะถลนออกมานอกเบ้าเลยทีเดียว


บนท้องฟ้า ร่างเทพสุริยะยืนอยู่บนเส้นขอบฟ้า สาดสายตาน่าเกรงขามมายังร่างสายฟ้าปีศาจที่จมอยู่ในพื้นดิน พร้อมกับเสียงเยาะเย้ยของมู่เฉินก้องกังวานราวฟ้าร้อง


“ดูเหมือนเป็นแกนะที่เล่นเป็นเด็กที่นี่”


ใบหน้าของฉิงหลิงเขียวคล้ำอยู่ในร่างสายฟ้าปีศาจ เขาไม่คิดเลยว่าร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินชำระจะทรงพลังขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ที่ปะทะกัน พลังงานที่ส่งมาในตัวทำให้กระทั่งเขายังรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา


ร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินชำระย่อมไม่ใช่ธรรมดาแน่ แต่ฉิงหลิงไม่สามารถบอกต้นกำเนิดที่แน่นอนของร่างเทพสุริยะด้วยจากการตัดสินจากตัวเอง


“เร็วไปที่แกจะดีใจ!”


แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาฉิงหลิงก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ แน่นอน เขาแค่นเสียงออกมา ร่างสายฟ้าปีศาจตบฝ่ามือลงบนพื้น แผ่นโลกถูกบดขยี้จากแรงกระแทก เศษหินดินนับไม่ถ้วนปลิวว่อน ขณะร่างสายฟ้าปีศาจทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง


ร่างเทห์สวรรค์ใหญ่โตสองร่างยืนประจันหน้ากัน


บนศีรษะของร่างสายฟ้าปีศาจ ฉิงหลิงเผยตัวออกมาพร้อมกับมีสีหน้ามืดครึ้มขณะมองร่างเทพสุริยะที่ดูราวพระพุทธรูปด้วยสายตาเย็นชา เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างควบคุมไม่ได้


“ร่างเทห์สวรรค์ที่เจ้านั่นชำระคืออะไรกัน? ด้วยพลังระดับจื้อจุนขั้นสองกลับมีพลังมากกว่า แม้แต่ร่างสายฟ้าปีศาจของข้ายังสู้ไม่ได้” สายตาของฉิงหลิงเปล่งประกาย


“ฉิงหลิง เจ้าสู้ไม่ได้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสองงั้นเรอะ?” เวลาเดียวกัน เสียงคำรามก็ดังมาจากบนท้องฟ้า


เสียงคำรามนั้นอัดแน่นด้ยความโกรธคลั่ง ซึ่งมาจากฉิงเทียนกังที่กำลังห้ำหั่นอย่างดุเดือดกับจิ่วโยว เห็นชัดว่าเขาก็สังเกตเห็นสถานการณ์เบื้องล่างด้วย


ผลการต่อสู้นี้ทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก


พอได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของฉิงเทียนกัง ใบหน้าของฉิงหลิงก็เปลี่ยนสี จากนั้นก็มองมู่เฉินอย่างอาฆาต เขาสูดหายใจลึกค่อยๆ สงบสีหน้าลง


เมื่อมองสีหน้าของอีกฝ่าย มู่เฉินก็ขมวดคิ้วก่อนจะเคลื่อนไปปรากฏบนศีรษะของร่างเทพสุริยะ ดวงตาดำจับจ้องไปที่ฉิงหลิง


“มู่เฉิน แกน่าสะพรึงจริงๆ ที่ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นสอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมช่วงนี้แกถึงดังเป็นพลุแตกในอาณาเขตกงเวทสวรรค์” ฉิงหลิงจ้องมู่เฉินพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำดังออกมา


“แต่…การต่อสู้ในวันนี้พวกแกต้องเป็นฝ่ายแพ้!”


ไอเย็นเยือกพวยพุ่งในดวงตาของฉิงหลิง “เพราะพวกข้าได้เปรียบเรื่องภูมิประเทศ!”


พอได้ยินคำพูดนั่น ดวงตามู่เฉินก็หดเกร็งลง


ฉิงหลิงวาดตราประทับเร็วรี่ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วกระแทกลงบนอากาศทันที ขณะที่ฝ่ามือตบลงไปเสียงลึกต่ำก็ดังไปทั่วสวรรค์และโลก


“ดินแดนสายฟ้าปีศาจ สายฟ้าปีศาจประลัย!”


เมื่อเสียงลึกต่ำของฉิงหลิงสะท้อนทั่วฟ้าดิน มู่เฉินก็เกร็งตัว สายตาอัดแน่นด้วยความระแวดระวัง เขาไม่เคยประมาทฉิงหลิงเลยสักนิด โดยเฉพาะเรื่องที่อีกฝ่ายพูดว่าได้เปรียบในชัยภูมิสงครามนี้เป็นเรื่องจริง


ตู้ม! ตู้ม!


เหมือนจะมีเสียงฟ้าคำรนดังแว่วมาแต่ไกล ทุกคนอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองยังขอบฟ้า พยายามหาที่มาของเสียงดังสนั่นหวั่นไหว


พื้นดินโยกคลอนเริ่มทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง


มู่เฉินมองท้องฟ้าเช่นกัน ทว่าอึดใจสีหน้าก็เปลี่ยนไปฉับพลัน เขารีบก้มมองพื้นดิน เนื่องจากเขาตระหนักได้ว่าเสียงฟ้าคำรนเหล่านั้นมาจากพื้นดิน!


“ระวัง!” เขาตะโกนไปยังกองทัพทั้งหลายของอาณาเขตกงเวทสวรรค์


ตู้ม!


ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกน พื้นดินก็ฉีกออก เสาสายฟ้าสีเทาดำนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาราวกับมังกรเกรี้ยวกราดกางเขี้ยวเล็บขณะทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


ในช่วงไม่กี่อึดใจ สายฟ้าสีเทาดำก็ปกคลุมทั่วท้องฟ้า เสาสายฟ้ามองเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ห่างออกไปเป็นพันลี้


ช่างเป็นฉากตระการตาอย่างแท้จริง


ฉิงหลิงยืนอยู่บนร่างสายฟ้าปีศาจ ภายใต้การล้อมรอบของเสาสายฟ้าสีเทาดำนับไม่ถ้วน ทำให้ดูราวกับเงาปีศาจ ดวงตาคู่นั้นเย็นเยือกยิ่งนัก


เขาวาดตราประทับอีกครั้ง เวลาเดียวกันฝ่ามือของร่างสายฟ้าปีศาจก็ประสานกัน


ครืน!


เมื่อสิ้นเสียงพูด สายฟ้าสีเทาดำนับไม่ถ้วนก็บิดตัวไปมาระหว่างฟ้าดิน ก่อนจะรวมตัวกันอย่างป่าเถื่อนระหว่างฝ่ามือของร่างสายฟ้าปีศาจ


เปรี้ยง!


สายฟ้าน่าสะพรึงโหมกระหน่ำเกิดเสียงดังลั่น ทำให้สีหน้าของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนแปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วง เนื่องจากพวกเขารู้สึกถึงพลังทำลายล้างที่กระจายตัวออกมา


พลังนี้สามารถสังหารได้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามในพริบตา!


นี่คือการโจมตีถึงตายแน่นอน!


บนท้องฟ้าสูง ร่างสองร่างถอยห่างทันทีที่ปะทะกัน จิ่วโยวเผยตัวออก สีหน้าของนางเปลี่ยนไป เมื่อมองลงมา ไอเย็นเยือกกำจายบนใบหน้าทันที


“ฮ่าๆ ผู้บัญชาการจิ่วโยว คิดว่าเป็นเรื่องง่ายรึไงที่จะเอาชนะสำนักสายฟ้าปีศาจของข้า? ครั้งนี้ข้าจะให้พวกเจ้าจ่ายอย่างสาสมในเมื่ออยากมาอวดเบ่งใส่!” ฉิงเทียนกังหัวเราะออกมา


“ท่าทางแกคงอยากตายจริงๆ!” ไอเย็นเยือกน่ากลัวพุ่งพรวดออกจากร่างจิ่วโยว เสียงของนางเย็นเยือกกรีดถึงไขกระดูกเลยทีเดียว


“หึ ต่อให้เจ้าเป็นเทพอสูรก็มีขุมพลังแค่จื้อจุนขั้นสี่ สามารถสู้กับข้าได้สูสีเท่านั้น ตอนนี้เจ้าก็ทำได้เพียงแค่มองเด็กนั่นสลายเป็นธุลี!” ฉิงเทียนกังแค่นเสียง


จิ่วโยวสูดหายใจลึก แสงอันตรายไม่สิ้นสุดพลุ่งพล่านออกมาจากดวงตา นางค่อยๆ กำหมัดแน่น เสียงเย็นเยือกที่เปล่งออกหยุดเสียงหัวเราะของฉิงเทียนกังไว้ในทันที


“ใครบอกเจ้าว่าข้ามีขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่น่ะ?”


แสงสีดำพวยพุ่งออกมาจากดวงตาของจิ่วโยว นางก้าวย่างไปข้างหน้า พายุคลื่นหลิงกวาดอาละวาดรุนแรงขณะร่างแสงของวิหคอนธโลกันตร์เบื้องหลังขยายขนาดขึ้น


ร่างของนางสั่นไหวเบาๆ ขณะที่ปีกสง่างามคู่ใหญ่สยายออกที่แผ่นหลัง เมื่อปีกคลี่ออกอย่างนุ่มนวล ก็ทำให้นางดูราวกับเทพธิดายาตราขึ้นมาจากใต้พิภพ


“ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า?!” สีหน้าของฉิงเทียนกังเปลี่ยนไปรุนแรง เขาไม่คิดเลยว่าจิ่วโยวจะทนจนถึงตอนนี้และเผยพลังที่แท้จริงออกมา!


แม้ตัวเขาจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเหมือนกัน แต่ก่อนหน้าจิ่วโยวสามารถสู้ได้อย่างทัดเทียมด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่เท่านั้น ตอนนี้พลังของนางเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย เขาสู้นางไม่ได้แน่นอน!


“ต่อให้เจ้ามีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า ก็ฝันไปเถอะที่จะช่วยไอ้เด็กนั่น!” ดวงตาของฉิงเทียนกังวูบไหวด้วยแสงป่าเถื่อน จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะบ้างคลั่ง เขากระทืบเท้าขณะที่ร่างสายฟ้าหลายพันจั้งครอบรอบร่างเขาเอาไว้


นี่ก็คือร่างสายฟ้าปีศาจ แต่เทียบกับของฉิงหลิงแล้วทรงพลังยิ่งกว่ามาก


ฉิงเทียนกังสังเกตเห็นว่าจิ่วโยววางมู่เฉินไว้ในฐานะสำคัญอย่างยิ่งจนถึงจุดที่นางยอมเผยพลังที่ซ่อนไว้ออกมา แต่ตอนนี้ในเมื่อฉิงหลิงลงมือแล้ว ตราบใดที่เขาสามารถขัดขวางจิ่วโยวไว้ เจ้าเด็กนั่นจะต้องตายอย่างแน่นอน!


สำหรับการขัดขวางจิ่วโยว เขามีความมั่นใจไม่น้อยที่จะทำสำเร็จ


“ไม่ว่าเจ้าจะมีวิธีอะไร ข้าก็จะให้เจ้ามองเด็กนั่นกลายเป็นอากาศธาตุโดยไม่อาจทำอะไรได้!” ฉิงเทียนกังหัวเราะบ้าคลั่ง ฝ่ามือขนาดใหญ่ของร่างสายฟ้าปีศาจกวาดลงมาหาจิ่วโยวด้วยพลังมหาศาล


สีหน้าของจิ่วโยวเย็นเยือก นางเหลือบมองลงไปพลางกัดฟันแน่น มู่เฉิน…อดทนอีกนิดนะ ข้ามาแล้ว


ปีกด้านหลังกระพือวูบวาบพร้อมกับที่นางปล่อยการโจมตีน่ากลัวออกมาราวกับพายุกวนตัว


ที่ด้านล่าง ฉิงหลิงก็เหมือนสัมผัสอะไรบางอย่างได้ ทำให้เขาเหลือบมองขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นเขาก็แสยะยิ้มเบาๆ ให้มู่เฉิน “ตอนนี้แกก็อย่าฝันว่าจะมีใครมาช่วย”


“ครั้งนี้แกตายแน่!”


สายตาของฉิงหลิงเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก ฝ่ามือประสานกันทันที


“คัมภีร์เหลยหมัว ภัยพิบัติสายฟ้าปีศาจ!”


ครืน!


สายฟ้าคำรามระหว่างฟ้าดิน ดวงตะวันสายฟ้าขนาดราวพันจั้งลอยขึ้นมาระหว่างฝ่ามือของร่างสายฟ้าปีศาจ ทำให้คลื่นหลิงบริเวณนี้เกรี้ยวกราดรุนแรงในเวลาเดียวกัน


ความผันผวนที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าจอมยุทธ์ถึงกับขนลุกชูชัน


“ตายซะ!”


ใบหน้าของฉิงหลิงซีดลงเรื่อยๆ จากนั้นก็ชี้นิ้วลงไปพร้อมกับสายตาเหี้ยมเกรียม


ตู้ม!


เสียงก้องคำรามสะเทือนโลกาดังออกมาจากดวงตะวันสายฟ้า อึดใจก็ฉีกผ่านท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นลำแสงสายฟ้าสีเทาดำพุ่งไปหามู่เฉิน ภายใต้สายตาหวั่นไหวนับไม่ถ้วน


มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้


เมื่อเห็นภาพนี้จากเบื้องล่าง ใบหน้าของถังปิงก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด


“ครืน!”


เสียงฟ้าร้องคำรนรุนแรง พลังงานน่ากลัวทำให้มู่เฉินรู้สึกเจ็บแปลบบนผิว ทว่าเขาก็ไม่ถอยหนีกลับเงยหน้าขึ้นแทน ม่านตาสีดำจับจ้องอยู่ที่ตะวันสายฟ้าก่อนจะเหลือบมองขึ้นไปด้านบน ตรงนั้นเขารับรู้ได้ถึงรัศมีของจิ่วโยวดูยุ่งเหยิงไป


เป็นเพราะเขาหรือ?


มู่เฉินค่อยๆ กำหมัดเม้มปากแน่น จากนั้นก็ปิดดวงตาลงทีละน้อย…ละน้อย


วางใจเถอะจิ่วโยว ข้าไม่เป็นตัวถ่วงเจ้าหรอก


มู่เฉินนั่งลงบนศีรษะของร่างเทพสุริยะ ขณะสติสัมปชัญญะดำดิ่งที่ตรงหว่างคิ้ว ตรงนั้นมีผลึกมหาตะวันที่ปกคลุมด้วยพลังงานแก่กล้าอยู่


แกร๊ก!


ราวกับว่ามันสัมผัสได้ถึงความร้อนใจของมู่เฉิน รอยร้าวละเอียดปรากฏขึ้นฉับพลันบนผลึกมหาตะวัน จากนั้นแสงสีทองโชติช่วงที่รุนแรงก็กวาดออกมา


ตู้ม!


ในที่สุดผลึกมหาตะวันก็แตกออก


แสงสีทองส่องประกายจนถึงจุดที่ฉีกความมืดออกจากกันได้ กวาดตัวออกมาจากหว่างคิ้วของร่างเทพสุริยะในเวลานี้ จากนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ถึงพลังงานผันผวนน่ากลัวระเบิดออกมาจากร่างเทพสุริยะในวินาทีนั้น!


ดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินลืมโพลงขึ้นทันที!


726 ชัยชนะ

ทันทีที่มู่เฉินลืมตาขึ้น


แสงสีทองพร่างพราวสองสายก็ระเบิดออกมา ภายใต้แสงโชติช่วง แม้แต่เงาก็ไม่อาจซ่อนเร้นได้


แสงสีทองสุกใสกำจายออกมาจากหว่างคิ้วของร่างเทพสุริยะ ดูราวกับดวงอาทิตย์สีทองอร่าม คลื่นพลังที่ปล่อยออกมา ทำให้คนอื่นๆ มองมาด้วยสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน


มู่เฉินนั่งอยู่บนศีรษะของร่างเทพสุริยะ เขาเงยหน้าขึ้นในตอนนี้ ดวงตะวันสายฟ้าได้ร่วงลงมาแล้ว สร้างเงาขนาดใหญ่ทาบบนร่างเทพสุริยะ


ตะวันสายฟ้ายังไม่ทันปะทุ แต่พลังงานที่แผ่ออกจากก็ทำให้ชั้นดินเริ่มถล่มลง


การโจมตีที่ฉิงหลิงรวมรวมทุกสิ่งที่มีปลดปล่อยออกมาช่างน่าสะพรึงนัก เพียงพอที่จะทำให้เขาคว้าชัยชนะแม้จะเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสองให้เมื่อยปากเลย


แต่น่าเสียดายว่าศัตรูที่เขาเผชิญครั้งนี้ไม่ธรรมดา


ฟู่


ลมหายใจขาวขุ่นพรูออกจากปากของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะวาดตราประทับด้วยสองมือ อึดใจแสงสีทองก็แผ่ออกมาจากหว่างคิ้วของร่างเทพสุริยะ มือทั้งคู่ของมันกำหมัดแน่นทันที


แสงสีทองที่ดูราวกับของเหลวไหลออกจากหว่างคิ้วของร่างเทพสุริยะรวมกันที่หมัด ขณะที่แสงสีทองควบแน่น ก็เปลี่ยนเป็นชั้นของผลึกเพชร


ชั้นผลึกเพชรห่อหุ้มรอบหมัดของร่างเทพสุริยะ อักขระโบราณปกคลุมอยู่บนผิวของแก้วผลึก ระลอกความผันผวนที่อธิบายไม่ได้แผ่ออกมาเงียบๆ


“ทักษะเทห์สวรรค์ คลื่นหนึ่งตะวัน!”


แสงเย็นเยือกระเบิดออกจากม่านตาสีดำของมู่เฉิน จากนั้นร่างเทพสุริยะก็ย่ำก้าวไปที่ขอบฟ้า หมัดที่ปกคลุมด้วยชั้นผลึกเพชรเหวี่ยงออกไปยังดวงตะวันสายฟ้าที่เคลื่อนลงมา


หมัดผลึกเพชรราวกับทะลวงผ่านมิติปรากฏใต้ดวงตะวันสายฟ้าทันทีพลางชกออกไปโดยไม่ลังเล


เมื่อกระบวนท่าทั้งสองปะทะกัน ก็ไม่เกิดเสียงดังสนั่นจากผลกระทบอย่างที่ทุกคนคาดไว้ แต่ทุกคนก็ต้องหดม่านตาลง เนื่องจากเห็นหมัดผลึกเพชรเจาะทะลวงดวงตะวันสายฟ้าไปทันทีที่สัมผัสกัน


ไม่มีการกีดขวางใดๆ ราวกับว่าเจาะผ่านก้อนเต้าหู้


หมัดผลึกเพชรเปล่งประกายเงางามราวกับมือไร้เทียมทานของเทพเซียน ช่างน่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง


ชี่! ชี่!


ลำแสงเหลวสีทองหนาแน่นพวยพุ่งรุนแรงออกมาจากดวงตะวันสายฟ้าในทุกทิศทาง ขณะที่ตะวันสายฟ้าจางหายไปอย่างรวดเร็ว


เพียงไม่กี่อึดใจ ดวงตะวันสายฟ้าที่ดูราวกับนำหายนะมาสู่แผ่นดินก็ค่อยๆ หม่นแสงลง ก่อนสลายหายไปภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน…


สายลมพัดผ่านสนามรบ แต่ทั่วบริเวณกลับเงียบงัน


อ็อก


บนท้องฟ้า ใบหน้าของฉิงหลิงเปลี่ยนเป็นซีดเผือดพลางกระอักเลือดออกจากปากคำหนึ่ง ร่างของเขาซวนเซ สายตามองภาพนี้ด้วยความหวาดผวา


เขานึกไม่ออกเลยว่าการโจมตีทรงพลังของเขาจะถูกมู่เฉินสกัดไว้ได้โดยง่ายเพียงนี้!


เจ้านั่นอยู่แค่ระดับจื้อจุนขั้นสองเท่านั้นนะ!


บนศีรษะของร่างเทพสุริยะ มู่เฉินมองไปยังดวงตะวันสายฟ้าที่แตกสลายจากหมัดเดียวด้วยแววอัศจรรย์ใจฉายใจส่วนลึกของดวงตา พลังอำนาจของทักษะร่างเทพสุริยะเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ


“ร่างเทพสุริยะช่างสมชื่อจริงๆ…”


มู่เฉินชื่นชมในใจ จากที่มั่นถัวหลัวบอกไว้ ร่างเทพสุริยะอย่างน้อยก็อยู่ในสามสิบอันดับแรกของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ตอนแรกเขายังสงสัยกับคำพูดนี้ แต่เมื่อเขาเริ่มได้ใช้พลังของร่างเทพสุริยะเรื่อยๆ เขาก็เริ่มเข้าใจถึงความมหัศจรรย์ของมัน


เขากวาดสายตามองฉิงหลิงที่มีใบหน้าซีดเผือด แสงเย็นเยือกวาววับในดวงตา เขาวาดตราประทับอีกครั้ง มือใหญ่ของร่างเทพสุริยะที่ปกคลุมด้วยผลึกเพชรก็ทะลวงผ่านมิติอออกไป ปรากฏตรงหน้าร่างสายฟ้าปีศาจพลางตบฝ่ามือลง


ตู้ม!


อากาศระเบิดออกฉับพลันพร้อมกับระลอกคลื่นที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากำจายออกมาอย่างปั่นป่วน


ใบหน้าของฉิงหลิงเขียวคล้ำ จากนั้นเขาก็ขบฟันแน่น ไม่กล้าลังเลปล่อยสายฟ้าฟาดออกมาจากร่างสายฟ้าปีศาจ ก่อตัวเป็นม่านสายฟ้าขนาดใหญ่เบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ดูราวกับโล่สายฟ้าเลยทีเดียว


ปัง!


ทว่าฝ่ามือเพชรก็แสดงพลังน่ากลัวเหมือนก่อนหน้าออกมาอีกครั้ง มันทะลวงผ่านม่านสายฟ้าในครั้งเดียว ให้ความรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดในโลกสามารถขัดขวางมันได้


สามารถทำลายทุกสรรพสิ่งที่ขวางหน้าได้


ขณะฝ่ามือเพชรแหวกม่านสายฟ้าเข้าไป ในที่สุดสีหน้าของฉิงหลิงก็เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ ทว่าก่อนที่เขาจะถอยหลัง ฝ่ามือเพชรก็กระแทกลงบนร่างสายฟ้าปีศาจด้วยความรวดเร็วที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้ว


ตู้ม!


แสงสีทองระเบิดออกขณะระลอกคลื่นที่มองเห็นได้กวาดตัวออกมา ร่างสายฟ้าปีศาจสั่นสะท้านกระเด็นออกไปปะทะภูเขาเบื้องหลังทลายลง


รอยไถลลากยาวหลายหมื่นจั้งบนพื้นดิน


ฝุ่นควันตลอบอบอวลไปหมด ร่างสายฟ้าปีศาจเต็มไปด้วยรอยร้าวก่อนที่จะถึงขีดสุด แตกสลายออกเป็นชิ้นๆ เกิดเป็นจุดแสงไปทั่วท้องฟ้า


พรูด


ขณะที่ร่างสายฟ้าปีศาจสลายลง ร่างน่าสังเวชร่างหนึ่งก็กระเด็นออกมาพร้อมกับเลือดกบปากกระแทกกับภูเขาอย่างแรง ทั้งร่างฝังลึกลงไปภายใน


โห่!


ทุกสายตามองไปที่ภาพนี้จากนั้นเสียงฮือฮาปั่นป่วนฟ้าดินก็ดังลั่น ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์หรือแดนร้อยสงคราม ดวงตาก็ต่างเบิกกว้าง ชัดว่าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น


ฉิงหลิงแพ้!


ยิ่งกว่านั้นนี่ยังเป็นผลลัพธ์หลังจากฉิงหลิงใช้ความได้เปรียบทางชัยภูมิเข้าสู้ด้วย…


“ชายคนนั้น…” สายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่ร่างเทห์สวรรค์สีทองที่ยังยืนตระหง่านบนอากาศด้วยความหวาดกลัว แต่ละคนกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ ชายคนนั้นทำได้อย่างไรกัน?


จอมยุทธ์จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์แลกเปลี่ยนสายตากันและรู้สึกทึ่งต่อมู่เฉินขึ้นมาอีกหลายส่วน แม้ชายหนุ่มจะเพิ่งเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่นาน แต่ด้วยความสามารถที่มีจะทำให้เขากลายเป็นจอมยุทธ์ทรงอิทธิพลไม่นานหลังจากนี้แน่นอน มากจนเขาอาจจะได้ตำแหน่งท่ามกลางหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือด้วยซ้ำ


ท่ามกลางสายตาทุกคนที่มองมา มู่เฉินก็ยิ้มบาง จากนั้นร่างเทพสุริยะค่อยๆ จางหายไป ใบหน้าของเขาซีดลงเล็กน้อย คิดว่ากระบวนท่าเมื่อครู่ได้กินพลังงานของเขาไปในปริมาณมากยิ่ง


เขายื่นมือออกแล้วกำขึ้นกะทันหัน ภูเขาลูกนั้นถล่มลงร่างสะบักสะบอมร่างหนึ่งถูกจับผ่านอากาศ ตอนนี้ฉิงหลิงร่างเลือดท่วมไปหมด คลื่นหลิงรอบตัวยุ่งเหยิงปั่นป่วน เห็นชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถต่อต้านอะไรมู่เฉินได้อีก


มู่เฉินจับร่างฉิงหลิงผ่านอากาศ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองการต่อสู้ที่เข้มข้นบนสมรภูมิบนท้องฟ้า เสียงเย็นชาดังก้อง “เจ้าสำนักฉิง ดูเหมือนผู้อาวุโสฉิงคนนี้จะทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว”


ทันทีที่เอ่ยออกมา คลื่นหลิงของฉิงเทียนกังบนท้องฟ้าก็ปั่นป่วนชั่วครู่ ชัดว่าเขาก็เห็นฉิงหลิงที่ถูกมู่เฉินจับไว้ ทันใดนั้นเขาก็ตะเบ็งเสียงออกมา “ไอ้เด็กเวร วางเขาลงซะ!”


“ตอนนี้เจ้ายังมัวห่วงคนอื่นอีกเหรอ?” เสียงเย็นเยือกอีกเสียงดังขึ้น บนท้องฟ้าปีกของจิ่วโยวกระพือขึ้นลง นางทิ้งภาพเงาไว้เบื้องหลัง ปีกที่ดูราวอาวุธเทพคมกริบฉีกผ่านมิติ สร้างพายุพร้อมกับมวลลมกรูไปที่ฉิงเทียนกัง


ปัง! ปัง!


ฉิงเทียนกังต้านทานด้วยพลังทั้งหมดที่มี แต่ตอนนี้พลังของจิ่วโยวอยู่เหนือเขาไปอย่างชัดเจนแล้ว บวกกับมู่เฉินได้รับชัยชนะ ทำให้นางไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป การโจมตีของนางจึงเฉียบคมมากขึ้นจนบีบให้ฉิงเทียนกังตกอยู่ในสภาพจนตรอก


ในสมรภูมิภาคพื้นดินที่โกลาหลมากสุด กำลังใจของจอมยุทธ์แดนร้อยสงครามเริ่มลดต่ำลงเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่เป็นใจแก่พวกเขาเลย


ฉิงหลิงถูกมู่เฉินจับตัวได้ ส่วนฉิงเทียนกังก็เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้จิ่วโยวจริงๆ


เมื่อหมดกำลังใจ กองทัพแดนร้อยสงครามก็ไม่คิดจะสู้ต่อ สุดท้ายก็เริ่มมีคนหนีถอยจนก่อเกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ เพียงไม่กี่นาทีความตั้งใจในการต่อสู้ของแดนร้อยสงครามที่เคยฮึกเหิมก็ลดฮวบลง ผู้คนระส่ำระสายไปจนหมด


ส่วนกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาก็เริ่มไล่ตามพร้อมกับเสียงตะโกนและเสียงคนถูกสังหารดังขึ้น


เมื่อมาถึงจุดนี้ผลลัพธ์ก็เป็นที่แน่ชัดแล้ว


“บ้าเอ๊ย!”


บนท้องฟ้า เสียงของฉิงเทียนกังที่คลั่งแค้นและหมดแรงดังขึ้น จากนั้นเขาก็แลกกระบวนท่าฝ่ามือกับจิ่วโยวก่อนที่ร่างจะสั่นเทิ้มกระเด็นออกไปนับพันจั้ง อึดใจเขาก็ขบฟัน ร่างพุ่งดิ่งลงมา พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่เหนือร่างมู่เฉินแล้ว


ครั้นเห็นฉิงเทียนกังพุ่งเป้ามาหา สายตามู่เฉินก็หดเกร็งพลางกระแทกฝ่ามือออกไป ฉิงหลิงที่ถูกเขาจับไว้ก็ถูกซัดออกไปจากแรงปะทะจนกระอักเลือดเต็มปาก


สายตาของฉิงเทียนกังถลึงมองมู่เฉินอย่างเคียดแค้น ก่อนมองฉิงหลิงที่ปลิวออกไป ในที่สุดเขาก็กัดฟันไล่ตามไปคว้าไหล่ของอีกฝ่ายไว้และถอยไปอย่างรวดเร็ว


“หึ!”


เสียงแค่นเย็นชาดังจากขอบฟ้าขณะขนนกสีดำลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วงแหวกมิติตรงไปที่แผ่นหลังของฉิงเทียนกังอย่างรวดเร็ว


ชี่


แผลฉกรรจ์น่ากลัวฉีกขาดทั่วร่างกายพร้อมกับเลือดสดพุ่งกระฉูด


ร่างของฉิงเทียนกังสั่นเทิ้มรุนแรง แต่เขาก็ไม่หยุดลง รีบลากฉิงหลิงหนีไปด้วย มีเพียงเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดดังแววมาจากที่ไกล


“จิ่วโยว มู่เฉิน จำไว้! สำนักสายฟ้าปีศาจของข้าไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้จบลงแน่!”


เสียงตะโกนสะท้อนจากที่ไกล ร่างของฉิงเทียนกังก็วับหายไปในขอบฟ้า


เมื่อเห็นฉิงเทียนกังหนีหางจุกตูดไปแล้ว มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ด้วยพลังของชายคนนั้น หากเขาต่อสู้แลกชีวิตจริงๆ ละก็ พวกเขาต้องจ่ายด้วยราคามหาศาลแน่นอน


ตอนนี้การทำให้ฉิงเทียนกังหนีไปจึงเป็นผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับพวกเขา เนื่องจากพวกเขาต้องการเพียงสำนักสายฟ้าปีศาจไม่ใช่ชีวิตของฉิงเทียนกัง


วาบ!


จิ่วโยวพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า ร่างระหงปรากฏที่ด้านข้างมู่เฉิน


“เจ้าเป็นอะไรไหม?” ดวงตากระจ่างของจิ่วโยวมองมู่เฉินพร้อมกับถามขึ้น


มู่เฉินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็มองพื้นที่วินาศสันตะโร ก่อนจะมองภูเขาเหลยหมัวอันเกรียงไกรก็อดยิ้มกริ่มไม่ได้


ในที่สุดสำนักสายฟ้าปีศาจก็เป็นของพวกเขาแล้ว


727 บัวสายฟ้าฤทัยปีศาจ

เสียงสงครามดังก้องยังคงปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน


แต่แรงผลักดันของฝ่ายอาณาเขตกงเวทสวรรค์พุ่งถึงขีดสุด ภายใต้การกวาดล้าง พวกเขาก็ดูราวกับพยัคฆ์ร้ายกระโจนลงมาจากภูเขา เป็นกองทัพที่ไม่อาจหยุดยั้ง กลับกันทางฝ่ายแดนร้อยสงคราม เมื่อฉิงเทียนกังกับฉิงหลิงพ่ายแพ้ พวกเขาก็เสียขวัญกำลังใจในการต่อสู้ไป กองทัพแตกฉานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง


ผลของสงครามครั้งนี้ถูกตัดสินแล้ว


มู่เฉินกับจิ่วโยวยืนอยู่กลางอากาศ แต่ไม่ได้ลงมืออะไรอีก ทั้งสองปล่อยให้งานกวาดล้างเป็นหน้าที่ของกองทัพอื่นๆ ส่วนพวกเขาก็นำทัพวิหคโลกันตร์เข้าควบคุมภูเขาเหลยหมัว


นี่คือรางวัลของพวกเขา


กองทัพอื่นก็ไม่ขัดขวางหอวิหคโลกันตร์ในการยึดครอง เพราะพวกเขารู้ว่าจุดประสงค์ของหอวิหคโลกันตร์คือสำนักสายฟ้าปีศาจมาตั้งแต่ต้นและก็เป็นหอวิหคโลกันตร์ที่คว้าชัยชนะมากที่สุดในสงครามครั้งนี้


ผู้ที่มีอำนาจต้องได้ผลประโยชน์ชิ้นใหญ่อยู่แล้ว นี่เป็นสามัญสำนึกที่ทุกคนในทวีปเทียนหลัวต้องรู้


หลังจากเข้ายึดภูเขาเหลยหมัวแล้ว จิ่วโยวก็นำมู่เฉิน ถังปิงและถังโหยวตรงไปที่คลังสมบัติ พูดโดยทั่วไปแล้วสำนักและตระกูลต่างๆ จะรวบรวมสมบัติไว้ที่นี่ ซึ่งเป็นแหล่งเดียวกับทรัพยากรที่มีค่าที่สุดก็คือของเหลวจื้อจุน


ตามคาดคลังสมบัติมีค่ายกลปกป้องอยู่ แต่สิ่งนี้ก็ไม่สามารถหยุดฝีเท้าของจิ่วโยวได้ แค่นางโบกมือวูบหนึ่งก็สามารถทำลายประตูสำริดของคลังสมบัติได้แล้ว


ฮึ่ม!


เมื่อประตูสำริดพังทลายลง คลื่นหลิงบริสุทธิ์สายหนึ่งก็ไหลบ่าออกมาราวกระแสน้ำ ทำให้แม้แต่ชั้นบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ยังหนาแน่นมากขึ้น


จิ่วโยวเดินเข้าไปเป็นคนแรก โดยมีมู่เฉินตามหลังไปติดๆ เมื่อเข้าไปแล้วพวกเขาก็เห็นกระแสธารเป็นประกายระยิบระยับดูราวกับอสรพิษยักษ์ขดตัวอยู่ในคลังสมบัติพร้อมกับคลื่นหลิงบริสุทธิ์ปล่อยออกมาไม่สิ้นสุด


ทั้งหมดนี่เกิดจากของเหลวจื้อจุน


โดยทั่วไปแล้ว ของเหลวจื้อจุนของสำนักหนึ่งจะไม่ถูกบรรจุไว้ในกำไลเจี้ยจื่อที่นำติดตัวได้ แต่จะถูกเก็บไว้ในคลังพร้อมกับค่ายกลพิเศษ เพราะแบบนี้จะสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของของเหลวจื้อจุนไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเหตุผลนี้เองที่ทำให้พวกมู่เฉินไม่กลัวว่าของเหลวจื้อจุนในสำนักสายฟ้าปีศาจจะถูกขโมยออกไป


ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ฉิงเทียนกังเองก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายแพ้สงครามครั้งนี้ เขาจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันที่จำเป็นไว้


“ดูเหมือนของเหลวจื้อจุนส่วนใหญ่จะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีนะ” มู่เฉินยิ้ม ตัดสินจากที่เห็น ต่อให้สำนักสายฟ้าปีศาจดึงของเหลวจื้อจุนไปบางส่วนเนื่องด้วยความระแวง แต่ก็ยังเหลือปริมาณส่วนใหญ่ไว้


ที่อยู่ข้างๆ ถังปิงที่มีสีหน้าเฉยชาอยู่เป็นนิจก็มีใบหน้าแดงก่ำทันทีที่ก้าวเข้าไปในคลังสมบัติ ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมองเส้นทางเชี่ยวกรากที่เกิดจากของเหลวจื้อจุน


จิ่วโยวมองท่าทางของถังปิงก็ยิ้มแล้วตบบ่าเบาๆ “เสี่ยวปิงดูสิ ต่อไปเราจะไม่ต้องเจียดใช้อย่างระวังแล้วนะ”


นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินเห็นท่าทางหลงใหลเงินตราจากถังปิงที่มักสงบนิ่ง จึงอดพูดแหย่ขึ้นมาไม่ได้ “กองทัพอื่นก็ช่วยเหลือเราเรื่องนี้ไม่น้อย เราควรแบ่งบางส่วนให้พวกเขาบ้างดีไหม?”


“ไม่!” ดวงตาของถังปิงยิงแสงแววเกรี้ยวกราดพลางพูดต่อ “หอวิหคโลกันตร์ทุกวันนี้ใช้จ่ายอย่างกระเหม็ดกระแหม่ เราจะมีส่วนเหลือพอให้พวกเขาได้อย่างไรกัน?! ถ้าเจ้าอยากจะแบ่งให้พวกเขา ทำไมไม่เอาข้าไปแบ่งเลยล่ะ!”


พอได้ยินที่นางพูด มู่เฉินก็อดหัวเราะร่วนไม่ได้ เขารู้สึกว่าถังปิงแบบนี้น่ารักดี


พอเห็นรอยยิ้มหยอก ถังปิงก็ตระหนักได้ว่ากำลังถูกปั่นหัว ทันใดนั้นใบหน้าก็เห่อแดงมองค้อนใส่มู่เฉิน


“ถ้าเจ้ากล้ารังแกเสี่ยวปิงก็ระวังหน่วยรบวิหคโลกันตร์ลุกฮือเอานะ”


จิ่วโยวกลอกตาใส่มู่เฉินพลางคว้าเอวของถังปิงไว้ “แต่เจ้าวางใจเถอะ ต่อให้เขาต้องเฉือนตัวเอง เขาก็ไม่เต็มใจที่จะเฉือนเจ้าหรอก”


“พี่ใหญ่จิ่วโยว!” พอได้ยินคำหยอกเย้าของจิ่วโยว ใบหน้าของถังปิงก็ยิ่งแดงมากขึ้น


มู่เฉินส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ สองครั้งไม่กล้าย้ำประเด็นนี้อีก เขาหันควับไปสำรวจคลังสมบัติแก้เก้อ ครู่หนึ่งเขาก็ก้าวไปยังส่วนลึกแล้วหยุดอยู่ที่มุมหนึ่ง สายตามองไปที่แท่นหินตรงมุมนั้น มีกล่องหยกเปล่งประกายหลายกล่องอยู่บนแท่นหิน ซึ่งในกล่องก็คือม้วนคัมภีร์ที่หุ้มด้วยสายฟ้า


มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงกวาดออกลบล้างม่านพลังบนแท่นหิน มือคว้าออกไป ม้วนคัมภีร์ม้วนหนึ่งก็ตกอยู่ในมือ


เขากวาดสายตาบนม้วนคัมภีร์ก็เห็นตัวอักษรสายฟ้าเลือนรางอยู่บนนั้น


วิชากายาสายฟ้าปีศาจ


ม้วนคัมภีร์นี้ก็คือวิชากายาสายฟ้าปีศาจที่ฉิงหลิงฝึก ซึ่งเป็นวิทยายุทธด้านพลังกายที่มีสายฟ้าเป็นองค์ประกอบ


มู่เฉินหลับตาลงขณะศึกษาวิชากายาสายฟ้าปีศาจคร่าวๆ แต่หลังจากนั้นก็ต้องส่ายหน้า เพราะเขาพบว่าแม้จะเป็นวิชาพลังกายเช่นเดียวกัน แต่มันไม่ได้ซับซ้อนเท่ากับวิชากายาเทพสายฟ้าของเขาเลย


ยิ่งกว่านั้นวิชากายาเทพสายฟ้าสามารถชำระร่างกายได้ลึกซึ้งซึ่งวางรากฐานแข็งแกร่งให้เขาศึกษาวิชาชำระพลังกายที่ทรงพลังมากกว่านี้ในอนาคต นี่เป็นจุดที่วิชากายาสายฟ้าปีศาจไม่อาจเทียบได้


มู่เฉินโยนม้วนคัมภีร์ส่งๆ เข้าไปในกำไลเจี้ยจื่อพลางตรวจดูม้วนคัมภีร์อื่นๆ เขาพบว่าพวกมันเป็นวิทยายุทธที่มีสายฟ้าเป็นองค์ประกอบทั้งหมด แต่ไม่มีม้วนไหนสะดุดตาเขาเลย


หลังจากสำรวจอยู่นาน เขาก็ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง แต่ขณะที่กำลังจะผละไป สายตาเขาก็ต้องสั่นไหวเบนไปยังแท่นหินข้างๆ บนแท่นหินสีดำมีไม้ไผ่สีเทาชิ้นหนึ่ง บนไม้ไผ่เหมือนมีอักขระสายฟ้าที่มองเห็นได้เลือนราง ทว่าสีของไม้ไผ่เข้มทึบ ทำให้ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษเลย


แต่จากความรู้สึกที่มี มู่เฉินก็ยังปล่อยพลังดึงดูดจากมือไปยังไม้ไผ่สีเทา จากนั้นก็ใส่คลื่นหลิงเข้าไปเพื่อดึงข้อมูลที่ซ่อนอยู่ออกมา


บัวสายฟ้าฤทัยปีศาจใช้สายฟ้าฤทัยปีศาจดำเป็นวัตถุดิบร่วมกับวิธีการชำระพิเศษ…


ครู่หนึ่งมู่เฉินก็ค่อยๆ ลืมตาที่ปิดสนิทขึ้นด้วยความอัศจรรย์ใจ เพราะเขาตระหนักได้ว่าข้อมูลที่อยู่ในไม้ไผ่นี้ไม่ใช่วิชาธรรมดาเลย แต่เป็นวิธีการชำระวัตถุที่เรียกว่าบัวสายฟ้าฤทัยปีศาจ


บัวสายฟ้าฤทัยปีศาจเป็นอาวุธพบสวรรค์แบบจุดระเบิดได้เพียงครั้งเดียว ยิ่งกว่านั้นยังต้องใช้สายฟ้าฤทัยปีศาจดำเป็นวัตถุในการชำระอีกด้วย แน่นอนว่าเนื่องจากเงื่อนไขการชำระที่ยาก ทำให้พลังอำนาจของมันจึงทรงพลังอย่างยิ่ง มีบันทึกว่าหากมันจุดระเบิดขึ้นละก็ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ายังต้องหลบถอยไปก่อนเลยทีเดียว


ยิ่งกว่านั้นนี่เป็นเพียงพลังต่อหนึ่งหน่วย หากสามารถสร้างได้จำนวนมาก และขว้างออกไปทีเดียวหลายสิบหน่วย แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าก็คงต้องหนีตายเท่านั้น


“ไม่คิดเลยว่าจะมีสมบัติแบบนี้ในสำนักสายฟ้าปีศาจ”


สายตาของมู่เฉินเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ถ้าสิ่งที่บันทึกไว้เป็นเรื่องจริง สำนักสายฟ้าปีศาจก็มีอาวุธทรงพลังอยู่ แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ใช้ล่ะ?


กลิ่นหอมสดชื่นโชยมาจากด้านหลังพร้อมกับจิ่วโยวเดินเข้ามา เมื่อนางมาถึงมู่เฉินก็ยื่นชิ้นไม้ไผ่ให้ถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจ


“บัวสายฟ้าฤทัยปีศาจเหรอเนี่ย…”


ทว่าจิ่วโยวเหมือนจะเคยได้ยินชื่อของอาวุธร้ายแรงนี้มาก่อน เนื่องจากใบหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย อึดใจนางก็ขมวดคิ้วน้อย “คงไม่ใช่ว่าฉิงเทียนกังไม่อยากใช้หรอก แต่เพราะพวกมันยังชำระไม่ได้ต่างหาก…”


“ชำระไม่ได้งั้นหรือ?” มู่เฉินอึ้งไป ในภูเขาเหลยหมัวมีหุบเหวเหลยหมัวที่เป็นแหล่งกำเนิดของสายฟ้าโลกปีศาจในใต้ดิน ยิ่งกว่านั้นสายฟ้าโลกปีศาจก็เป็นแหล่งสร้างสายฟ้าฤทัยปีศาจดำอีกด้วย หรือว่าหลายปีที่ผ่านมาสำนักสายฟ้าปีศาจยังหาสายฟ้าฤทัยปีศาจดำไม่พบ?


“อย่าคิดว่าสายฟ้าฤทัยปีศาจดำหาได้ง่ายๆ นะ” จิ่วโยวส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยต่อ “สายฟ้าพิเศษเช่นนี้เทียบเท่ากับเพลิงอมตะเลยทีเดียว พลังของมันแข็งแกร่งกว่าแม้กระทั่งเทวอัสนีนิล ดังนั้นก็เป็นไปได้ที่สำนักสายฟ้าปีศาจจะหาไม่เจอ”


มู่เฉินเดาะลิ้น แม้เขาจะรู้ว่าสายฟ้าฤทัยปีศาจดำหายาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะหายากเช่นนี้…


“ในเมื่อเรายึดสำนักสายฟ้าปีศาจได้แล้ว ก็มีเวลาพักช่วยหนึ่ง เดี๋ยวเราไปสำรวจหุบเหวเหลยหมัวกัน” จิ่วโยวเอ่ยพลางเลื่อนสายตา


มู่เฉินพยักหน้า นอกจากของเหลวจื้อจุนแล้ว หุบเหวเหลยหมัวภายในสำนักสายฟ้าปีศาจก็คือเหตุผลที่พวกเขาเล็งสำนักสายฟ้าปีศาจไว้


เมื่อทั้งคู่เดินออกมา ถังปิงก็ต้อนรับด้วยใบหน้าสดชื่น ดวงตาอัดแน่นด้วยความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด ดูเหมือนนางจะพอใจกับผลประโยชน์ครั้งนี้มาก


“พี่ใหญ่จิ่วโยว ที่นี่มีของเหลวจื้อจุนประมาณหนึ่งแสนสามหมื่นหยด อีกทั้งยังมีวิชาเทพและอาวุธพบสวรรค์อีกมากมาย ถ้าเอาไปแปลงเป็นของเหลวจื้อจุนก็น่าจะมีมูลค่าหกหมื่นถึงเจ็ดหมื่นเลยทีเดียว”


ได้ยินที่ถังปิงรายงาน แม้แต่มู่เฉินก็อดเบะปากไม่ได้ รายได้ของหอวิหคโลกันตร์ของเหลวจื้อจุนหนึ่งหมื่นหยดต่อปีเท่านั้น ตอนนี้กลับมีของเหลวจื้อจุนหนึ่งแสนสามหมื่นหยดในคลังสมบัติสำนักสายฟ้าปีศาจ ผลประโยชน์เช่นนี้นับว่าเพียงพอที่จะฟื้นฟูหอวิหคโลกันตร์ขึ้นอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว


จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ช่วยปัญหาเร่งด่วนของเราได้จริงๆ”


ก่อนหน้าหอวิหคโลกันตร์ใช้จ่ายแบบประหยัดขั้นสุด พวกเขาใช้ของเหลวจื้อจุนของมู่เฉินเพื่อให้รอดไปทีละวัน ตอนนี้เมื่อได้รับผลประโยชน์มหาศาล ก็ปลดเปลื้องความยากจนของหอวิหคโลกันตร์ไปในพริบตา


“เรียกคนมาเก็บของพวกนี้ให้หมด ช่วงนี้เราจะหยุดทัพที่นี่” จิ่วโยวเอ่ย


“เจ้าค่ะ!” ถังปิงขานรับเสียงหวาน


เมื่อเห็นท่าทางตอบรับนี่ จิ่วโยวก็ดีดหน้าผากถังปิงเบาๆ จากนั้นก็เดินออกจากคลังสมบัติพร้อมกับมู่เฉินพลางพิจารณาทิศทาง ก่อนจะเข้าไปยังจุดลึกของสำนักสายฟ้าปีศาจ พวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่ามีความผันผวนสายฟ้ารุนแรงกำลังปะทุออกมาจากภายใน


ลึกลงเข้าไปในสำนักสายฟ้าปีศาจ


มู่เฉินกับจิ่วโยวปรากฏตัวบนท้องฟ้าพลางก้มมองลงไป นี่เป็นภูเขาลูกหนึ่งที่มีรอยแตกขนาดใหญ่มีขนาดราวพันจั้ง ส่วนลึกนั้นมองไม่เห็นเลยทีเดียว ขณะที่เสียงฟ้าคำรามกึกก้องดังอย่างต่อเนื่องมาจากจุดลึก ทำให้แม้แต่พื้นดินยังสั่นสะเทือน


พลังสายฟ้าประหลาดแผ่ออกมา


ที่นี่ก็คือเป้าหมายของพวกเขา—หุบเหวเหลยหมัว!


728 หุบเหวเหลยหมัว

หุบเหวเหลยหมัว


มู่เฉินกับจิ่วโยวยืนบนท้องฟ้า พร้อมกับจ้องมองไปที่หุบเหวดำมืดไร้ก้น หุบเหวนี้ดูราวกับมังกรปีศาจซุ่มซ่อนอยู่ใต้ดิน ทำให้คนมองรู้สึกหนาวสะท้านตามไขสันหลัง


ครืน!


เสียงฟ้าคำรามต่ำลึกดังมาจากส่วนลึกอย่างต่อเนื่อง ทำให้แม้แต่แผ่นโลกยังสั่นสะเทือน


“นี่คือหุบเหวเหลยหมัว” จิ่วโยวมองเหวดำมืดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน “สายฟ้าโลกปีศาจถือกำเนิดจากใต้ดิน ซึ่งเป็นสายฟ้าชนิดพิเศษมาก แม้จะเป็นสายฟ้าแต่ก็สามารถเชื่อมโยงกับโลกได้ เมื่อเปิดใช้งานก็สามารถแตกสลายผืนโลก ทำให้เกิดการทำลายล้างเหมือนกับแผ่นพิโรธเลยทีเดียว”


มู่เฉินพยักหน้า ตัวเขาเคยฝึกวิชากายาเทพสายฟ้ามาด้วยความยากลำบากในเขตฟ้าฟาดของสำนักศึกษาเป่ยชาง เขาจึงรู้สึกคุ้นเคยกับพลังงานสายฟ้าไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกได้ถึงพลังงานสายฟ้าน่ากลัวที่รวมตัวกันอยู่ในหุบเหวเหลยหมัว


แม้สายฟ้าโลกปีศาจจะทรงพลัง แต่ก็ยังด้อยกว่าเพลิงอมตะระดับหนึ่ง หากใช้รวมกับคลื่นหลิงมันต้องถูกเพลิงอมตะทำลายอย่างแน่นอน


ดังนั้นตัวเขาต้องหาพลังงานสายฟ้าที่เท่าเทียมกับเพลิงอมตะ และสายฟ้าโลกปีศาจนี้ก็เห็นชัดว่าไม่ใช่ระดับดังกล่าว


ด้วยเหตุนี้สายฟ้าโลกปีศาจจึงไม่ใช่เป้าหมายของมู่เฉิน แต่คือสายฟ้าฤทัยปีศาจดำที่ซ่อนตัวลึกลงไปในชั้นใต้ดินต่างหาก


“แต่สายฟ้าฤทัยปีศาจดำทรงพลังมาก ต่อให้หาเจอ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลอมรวมกับมันแน่นอน” มู่เฉินเอ่ยหลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนั้นที่เขาหลอมรวมเข้ากับเพลิงอมตะ เขาได้ทุ่มพลังทั้งหมดที่มีเพื่อให้สำเร็จ ตอนนี้ถ้าเขาต้องการหลอมรวมเข้ากับสายฟ้าฤทัยปีศาจดำอีก คงจะรุนแรงและอันตรายมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน


“ถ้าเจ้าสามารถรวมพลังนี้ได้ คลื่นหลิงของเจ้าก็จะมีคุณลักษณะของสายฟ้าและไฟ ถึงเวลานั้นพลังที่ได้จะไม่ใช่สิ่งที่คลื่นหลิงธรรมดาสามารถเทียบได้” จิ่วโยวยิ้ม


“แน่นอนว่า พลังแท้จริงไม่ใช่สิ่งที่ขึ้นอยู่กับว่าคุณลักษณะของคลื่นหลิงมีประสิทธิภาพเพียงใด อย่างเช่นเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว ในการใช้ไฟคงไม่มีใครในมหาพันภพเทียบกับเขาได้ เขาเป็นเทพอัคคีที่แท้จริง เปลวไฟทุกชนิดล้วนถูกเขาควบคุมได้อย่างง่ายดาย”


“งั้นการมุ่งเน้นไปที่คุณลักษณะเดียวจะทรงพลังมากกว่าหรือ?” มู่เฉินถามขึ้น เทพจักรพรรดิอัคคีนับได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกวรยุทธด้านเปลวไฟจนถึงขั้นสุด เมื่อถึงระดับเขาแล้ว พลังงานอื่นๆ ทั้งหมดก็ยากที่จะสั่นคลอนจิตใจเขาได้


“ก็ไม่จริงเสมอไป มีเรื่องลึกลับซับซ้อนนับไม่ถ้วนในสวรรค์และโลก ไม่มีอะไรที่ทรงพลังไปกว่ากัน เล่าลือกันว่าเทพจักรพรรดิสงครามก็มีคุณลักษณะหลายอย่างอยู่ในคลื่นหลิง ไม่เพียงแต่จะเชี่ยวชาญสายฟ้าและเปลวไฟเท่านั้น แต่เขายังแสดงพลังน้ำแข็งสุดขั้วตอนที่บุกเข้าไปในเผ่าเทพน้ำแข็งด้วย แม้แต่เผ่าโบราณอย่างเผ่าเทพน้ำแข็งที่มีพลังน้ำแข็งอันแก่กล้ายังพ่ายแพ้ให้เขา” จิ่วโยวเอ่ยพลางส่ายหน้า


“เทพจักรพรรดิสงคราม? คลื่นหลิงของเขามีคุณลักษณะเยอะขนาดนั้นเลยหรือ?” มู่เฉินอึ้งไปขณะนึกถึงหลินจิ้งที่เจอตอนอยู่ในทวีปซัง เทพจักรพรรดิสงครามน่าจะเป็นบิดาของนางสินะ?


“ลือกันว่าพิภพเขตล่างที่เขาอยู่พิเศษมาก แม้มหาพันภพจะเป็นที่ที่มิตินับไม่ถ้วนเชื่อมต่อกัน แต่ก็มีพิภพเขตล่างบางแห่งที่สมควรได้รับการกล่าวถึง ที่นั่นมีการฝึกฝนพิเศษบางอย่างที่ไม่ธรรมดาแม้แต่ในมหาพันภพก็ตาม”


จิ่วโยวยิ้มบาง “ดังนั้นจึงไม่ได้มีวิธีฝึกฝนที่แข็งแกร่งที่สุด มีเพียงวิธีที่เหมาะสมที่สุด เมื่อใดที่เจ้าหาทางเจอ ในอนาคตก็อาจเอาชนะได้แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน”


มู่เฉินพยักหน้า แต่จากนั้นก็ยิ้มขมขื่น “แต่เรื่องพวกนี้ไกลเกินกว่าจะพูดถึง ตอนนี้เรายังหาสายฟ้าฤทัยปีศาจดำไม่เจอเลย”


มู่เฉินมองหุบเหวเหลยหมัวด้วยความกังวล เดิมทีเขาก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง แต่เมื่อเขารู้ว่ากระทั่งสำนักสายฟ้าปีศาจที่ตั้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานหลายปียังหาสายฟ้าฤทัยปีศาจดำไม่เจอ ความหวังของเขาก็ริบหรี่เหลือเกิน


สำนักสายฟ้าปีศาจยังหาไม่พบแม้จะใช้ความพยายามมากมาย แล้วเขาจะโชคดีเจอทันทีที่มาถึงที่นี่ได้อย่างไร


“เอาน่า ยังไงก็ต้องลองสักตั้ง” จิ่วโยวเอ่ยปลุกใจ


มู่เฉินพยักหน้าแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว ร่างทั้งคู่เปลี่ยนเป็นลำแสงสองสายพุ่งลงไปในหุบเหวเหลยหมัว สายลมครางกระหึ่มขณะที่ความมืดมิดกลืนกินคนทั้งคู่อย่างรวดเร็ว


ครืน!


เสียงฟ้าร้องลึกดังสะท้อนออกจากจุดลึกของความมืดมิดอย่างต่อเนื่อง มู่เฉินกับจิ่วโยวพุ่งตัวลงไปรวดเร็ว ระยะทางหนึ่งหมื่นจั้งใช้เวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ ก่อนที่พวกเขาชะลอความเร็วลง เพราะสัมผัสได้ว่าเมื่อมาถึงระดับความลึกเท่านี้ พลังงานสายฟ้าก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น


มู่เฉินกับจิ่วโยวยืนอยู่กับที่ ก่อนที่มู่เฉินจะดีดนิ้ว ลูกไฟลุกโชนจากปลายนิ้วแล้วขยายขนาดอย่างรวดเร็ว แสงเจิดจ้ากระจายออกมาขับไล่ความมืดมิดในส่วนลึกของหุบเหวเหลยหมัว


เมื่อความมืดหายไป ภูมิประเทศรอบด้านก็พลันสว่างไสว มู่เฉินเพ่งสายตาไปก็อดไม่ได้ที่จะหดตาลง ผนังหุบเหวเต็มไปด้วยหลุมหนาแน่นขนาดราวหนึ่งจั้ง ภายในหลุมสีดำเหล่านั้นมีสายฟ้าสีเทาดำที่ดูราวกับอสรพิษเลื้อยเข้าออก เสียงคำรามต่ำดังก้องจนพื้นดินโยกคลอนไปหมด


สายฟ้าสีเทาดำเหล่านั้นก็คือสายฟ้าโลกปีศาจ


ครืน!


ภายในหุบเหวนี้เต็มไปด้วยสายฟ้าโลกปีศาจ ความผันผวนรุนแรงถูกปล่อยออกมาจนทำให้แม้แต่มิติยังแสดงสัญญาณบิดเบือน เมื่อลูกไฟปรากฏขึ้น สายฟ้าทั้งหลายก็รู้สึกได้ถึงผู้บุกรุก ลำแสงสายฟ้านับไม่ถ้วนพุ่งออกจากหลุมดำทันที ทะยานมายังทิศทางของมู่เฉินและจิ่วโยว


เมื่อเห็นภาพนี้ ทั้งคู่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนก จิ่วโยวยกมือขึ้น เพลิงสีม่วงก็ห่อปกคลุมร่างทั้งสองเอาไว้ ไม่ว่าสายฟ้าโลกปีศาจจะพุ่งมาเพียงใด ก็ถูกเผาไหม้ไม่เหลือหลอด้วยเพลิงอมตะ


“มองข้างล่าง”


จิ่วโยวไม่สนใจการรบกวนของสายฟ้าโลกปีศาจ นิ้วเรียวชี้ลงไปพร้อมกับฉายสีหน้าเคร่งขรึม


มู่เฉินก้มหน้าลงมอง ดีดนิ้วส่งลูกไฟไปที่หลุมดำ จากนั้นลูกไฟก็ระเบิดออกพร้อมกับประกายไฟนับไม่ถ้วนกวาดตัว ความสว่างกระจายไปทั่วบริเวณเบื้องล่าง


ซื้ดดด!


เมื่อมู่เฉินเห็นสถานการณ์เบื้องล่างชัดเจน เขาก็อดสูดหายใจลึกไม่ได้ ลึกลงไปในความมืด สายฟ้าสีเทาดำราวกับเป็นผืนทะเลแผ่ขยายไปทั่วทั้งก้นหุบเหวเหลยหมัว สีดำมืดราวกับเส้นทางไปสู่ปรโลก ทำให้คนที่ได้มองรู้สึกขนลุกชันขึ้นมา


ทะเลสายฟ้าแห่งนี้เกิดจากสายฟ้าโลกปีศาจ


“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสำนักสายฟ้าปีศาจถึงหาสายฟ้าฤทัยปีศาจดำไม่เจอตั้งหลายปี” มู่เฉินถอนหายใจ ใครจะคิดกันว่าสายฟ้าโลกปีศาจที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเหวเหลยหมัวจะมีมากมายขนาดนี้ แม้แต่คนอย่างฉิงเทียนกังที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ายังไม่กล้าแหย่เท้าเข้าไปหรอก


จิ่วโยวพยักหน้าพลางขมวดคิ้ว “ดูท่าว่าเราคงต้องดำลงไปในทะเลสายฟ้าที่เกิดจากสายฟ้าโลกปีศาจเพื่อค้นหาสายฟ้าฤทัยปีศาจดำเสียแล้ว”


มู่เฉินจ้องมองทะเลสายฟ้าพยักหน้าเบาๆ แต่เขาไม่ได้เคลื่อนกายลงไปในทันที กลับทอดมองไปที่หุบเหวเหลยหมัวที่เต็มไปด้วยสายฟ้าโลกปีศาจด้วยดวงตาฉายแววครุ่นคิด


“จิ่วโยว ข้าคิดจะพาหน่วยรบวิหคโลกันตร์มาฝึกที่นี่” มู่เฉินรีบเอ่ยออกมา


“หือ?” จิ่วโยวตกใจเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ถึงเจ้ากับข้าจะไม่กลัวหุบเหวเหลยหมัวที่เต็มไปด้วยสายฟ้าโลกปีศาจ แต่มันค่อนข้างเป็นอันตรายกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์อยู่นะ”


“ข้าตัดสินใจส่งต่อวิชากายาเทพสายฟ้าให้กับพวกเขาน่ะ” มู่เฉินเอ่ยช้าๆ “หุบเหวเหลยหมัวเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบในการฝึกกายาเทพสายฟ้า ถ้าหน่วยรบวิหคโลกันตร์สามารถฝึกสำเร็จ รัศมีจั้นยี่ที่พวกเขาสร้างขึ้นก็ไม่ใช่สิ่งในอดีตจะเทียบได้”


วิชากายาเทพสายฟ้ามีประโยชน์อย่างมากในการชำระพลังกาย แต่ด้วยพลังของมู่เฉินที่แก่กล้าขึ้น ทำให้พลังต่อสู้ที่เขาได้รับจากวิชานี้อ่อนกำลังลง ถ้าหน่วยรบวิหคโลกันตร์สามารถฝึกสำเร็จ พวกเขาก็จะมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแน่นอน ในเวลานั้นด้วยจำนวนนักรบหนึ่งพันคนของเขา มู่เฉินมีความมั่นใจในการเอาชนะกองทัพอื่นๆ ทั้งหมดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยกเว้นกองทัพหลวงลึกลับ


ยิ่งกว่านั้นเขายังมองไกลไปอีกว่าหากวันที่เขาได้ข่าวเกี่ยวกับตระกูลลั่วเสิน เขาจะต้องไม่บุกเดี่ยว เขาจะต้องมีกองทัพเป็นของตัวเอง


และหน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็เป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ประสบความสำเร็จอะไร แต่พวกเขาก็มีศักยภาพที่ดี


“ก็ได้”


จิ่วโยวครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย นางรู้อยู่บ้างว่ามู่เฉินคิดอะไรในใจ มองในมุมหนึ่งหน่วยรบวิหคโลกันตร์ถือว่าเป็นกองทัพประจำตัวนาง แต่นางก็ไม่มีความคิดโต้แย้งในเรื่องนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นสิ่งที่เรื่องประเภทนี้มาลดทอนไม่ได้


เมื่อตัดสินใจแล้ว มู่เฉินก็ไม่ชักช้า เขาทะยานออกจากหุบเหวเหลยหมัวรวบรวมนักรบวิหคโลกันตร์ก่อนที่จะพากันมาที่นี่


พลังที่มีของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ ทำให้พวกเขาไม่สามารถลงไปลึกได้เท่ากับจิ่วโยวและมู่เฉิน พวกเขาดิ่งลงมาใต้ดินได้ประมาณสามพันจั้ง ก็เคลื่อนไปไม่ได้อีกแล้ว


พอเห็นดังนี้มู่เฉินก็สั่งให้ทุกคนหยุดลงพลางสะบัดแขนเสื้อ ไม้ไผ่หยกพุ่งออกมาจากแขนเสื้อวางลงบนมือของนักรบวิหคโลกันตร์ทุกคน


“นี่คือวิชากายาเทพสายฟ้าที่ข้าเคยฝึก จากวันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าก็ฝึกวรยุทธกันที่นี่”


ได้ยินเสียงแผ่วเบาของมู่เฉิน ชิวซันกับคนที่เหลือก็อึ้งไป ขณะมองมู่เฉินด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นพักใหญ่แววซาบซึ้งก็พล่านในดวงตา เพราะพวกเขารู้ดีว่าวิชากายาเทพสายฟ้านี้มีมูลค่าแค่ไหน เป็นเรื่องยากมากที่จะได้รับวิชาเทพประเภทชำระพลังกายเช่นนี้ในขั้วอำนาจอื่น แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับมอบให้พวกเขาอย่างง่ายดาย…


“ขอบคุณท่านแม่ทัพ!”


นักรบแต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็กำไม้ไผ่หยกแน่น ทุกคนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง สายตาของพวกเขาอัดแน่นด้วยเทิดทูนและพร้อมสนับสนุน พวกเขาไม่ได้ให้คำเยินยอที่ไม่จำเป็น แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณ


นักรบยอมพลีชีพเพื่อคนที่เห็นคุณค่า การมีผู้นำทัพเช่นนี้ พวกเขาย่อมรับใช้อย่างเต็มหัวใจ


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ และไม่พูดอะไรมากความอีก เขาโบกมือดิ่งลงไปในหุบเหวเหลยหมัวท่ามกลางสายตาเทิดทูนจำนวนมาก


เขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว การใช้วิชากายาเทพสายฟ้าแลกใจกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากในความคิดเขา


ตอนนี้หน่วยรบวิหคโลกันตร์จัดระเบียบเรียบร้อยหมดแล้ว เขาก็สามารถวางใจทำการค้นหาสายฟ้าฤทัยปีศาจดำในหุบเหวเหลยหมัวได้แล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)