Super God Gene 3060-3067
ตอนที่ 3060 เพื่อนเก่า
บลัดโกสต์สปิริตสังเกตได้ถึงสิ่งผิดปกติ มันบิดร่างกายกลางอากาศเพื่อหันไปด้านหลัง ขณะที่มันกำลังหันหน้ากลับมา หมัดที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงสีแดงเหมือนกับเลือดก็ชกเข้ามาใส่ใบหน้าของมันเรียบร้อยแล้ว
ใบหน้าของบลัดโกสต์สปิริตถูกบดขยี้โดยหมัดของหานเซิ่น ร่างกายทั้งร่างของมันหมุนควงสว่านเหมือนกับลูกปืนใหญ่ที่พุ่งออกไปจากปากกระบอกปืน มันชนเข้ากับกำแพงหินด้านหลังของหลี่ปิงหยู กำแพงหินถล่มลงมาและฝังร่างของเจ้าลิงเอาไว้ใต้เศษหิน
หลี่ปิงหยูมองหานเซิ่นที่ดูเหมือนกับปีศาจด้วยความตกใจ เธออ้าปากค้างและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
หานเซิ่นเดินเข้าไปตรงหน้าหลี่ปิงหยูและเอื้อมมือไปกดลงบนหน้าผากของเธอ หลี่ปิงหยูในตอนนี้กำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นเธอไม่สามารถตอบสนองอะไรได้ เธอรู้สึกว่าทุกอย่างมืดลงก่อนที่เธอจะสลบไป
หานเซิ่นจับตัวหลี่ปิงหยูเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และใช้มืออีกข้างส่งพลังเข้าไปในร่างกายของหลี่ปิงหยูเพื่อขับลมปราณสีม่วงของบลัดโกสต์สปิริตออกมา
แต่ขณะที่ทำแบบนั้น ดวงตาของหานเซิ่นไม่ได้มองไปที่หลี่ปิงหยู และเขาก็ไม่ได้มองไปที่กองหินที่ฝังบลัดโกสต์สปิริตอยู่เช่นกัน เขาขมวดคิ้วและมองไปในอีกทิศทางหนึ่งของห้องโถง
มันมีความเคลื่อนไหวประหลาดเกิดขึ้นภายในห้อง มีแสงดอกบัวสีม่วงปรากฏขึ้นมา และกลายเป็นรูปร่างของชายรูปงามในชุดสีม่วง
“เจ้าเป็นใครกัน? กล้าดียังไงมาบุกรุกเขตแดนของข้า…”
ชายที่ดูเหมือนกับเทพที่จุติลงมาพูดอย่างเย็นชา แต่ในตอนที่เขาเหลือบไปเห็นหานเซิ่น เขาก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “ดอลลาร์… เจ้า… เจ้า… เจ้า… ทำไมเจ้าถึงยังไม่ตาย?”
“อีวิลโลตัสก็อต เจ้าอยากให้ข้าตายมากขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นมองไปที่อีวิลโลตัสด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ในใจของเขากำลังคิดไปว่า ‘เทพสปิริตปรากฎตัวในโลกใบนี้ได้ด้วยอย่างนั้นหรอ โลกทั้งสองโลกมีความเกี่ยวข้องกันยังไง?’
“ข้าไม่” อีวิลโลตัสก็อตพยายามสงบจิตใจของตัวเองก่อนที่จะมองไปที่หานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
“ดอลลาร์… เจ้าช่วยลดพลังของเจ้าลงไปจะได้ไหม? ที่นี่เป็นเขตแดนของข้า ถ้าเกิดเจ้าพยายามจะทำลายกฎของโลกและเทพสปิริตระดับสูงสัมผัสถึงมันเข้า เจ้าจะต้องเจอกับปัญหา อย่าบอกว่าข้าไม่เตือน ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมา”
เมื่อหานเซิ่นเห็นว่าลมปราณสีม่วงถูกขับออกไปจากตัวของหลี่ปิงหยูจนหมดแล้ว เขาก็ลดพลังของตัวเองลง ความจริงแล้วเขาใช้พลังนานกว่าไม่ได้ การฝ่าฝืนกฎของโลกนั้นจำเป็นต้องใช้พลังมหาศาล พลังของเขาจะหมดลงในไม่ช้า
เมื่อเห็นหานเซิ่นกลับมาดูเป็นปกติอีกครั้ง ใบหน้าของอีวิลโลสัตก็อตก็ดูแปลกยิ่งกว่าเดิม เขาตรวจเช็คหานเซิ่นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“อีวิลโลตัสก็อต ทำไมเจ้าไม่บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น?” หานเซิ่นเองก็ตรวจเช็ตอีวิลโลตัสก็อตเช่นกัน
ดูเหมือนว่าอีวิลโลตัสก็อตจะไม่ได้เข้าสิงบางสิ่งเพื่อจุติลงมา ร่างกายพระเจ้าของอีวิลโลตัสก็อตกำลังอยู่ต่อหน้าของหานเซิ่นจริงๆ ตอนนี้เขามีพลังทั้งหมดของตัวเอง
“เจ้าหมายความว่ายังไงที่ว่าเกิดอะไรขึ้น? ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ยังไงก็ตามเจ้าควรหยุดสร้างปัญหาในโลกใบนี้” หลังจากพูดแบบนั้น อีวิลโลตัสก็อตก็เตรียมตัวที่จะจากไป
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำลายวิหารพระเจ้าของเจ้าอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพูดพร้อมกับมองไปที่อีวิลโลตัสก็อต
สีหน้าของอีวิลโลตัสก็อตเปลี่ยนไป เขากัดฟันและมองไปที่หานเซิ่น
“ข้าขอเตือนเจ้า เจ้าคิดว่าเพียงเพราะเจ้าปกป้องจักรวาลจีโนเอาไว้ได้ เจ้าจะทำอะไรตามใจชอบก็ได้อย่างนั้นหรอ? ในเมื่อร่างกายของเจ้าไม่ได้ถูกปฏิเสธโดยโลกใบนี้โดยสมบูรณ์ เจ้าก็ไม่ควรทำตัวเป็นจุดเด่น อย่าได้สร้างปัญหา ถ้าหัวหน้าของข้ารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าก็ต้องเป็นทุกข์ทรมานเหมือนอย่างฉินซิว”
หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉินซิว เขาทุกข์ทรมานตรงไหนกัน? เขาเพิ่งจะไปทำลายปราสาทพระเจ้าอย่างมีความสุขไม่ใช่หรอ?”
ใบหน้าของอีวิลโลตัสก็อตเปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่เขาไม่กล้าจะทำอะไรหานเซิ่น เขาแค่พูดขึ้นว่า
“ฉินซิวใช้ร่างกายของลูกชายเจ้าเพื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลจีโน มันทำให้เขาไม่ถูกจำกัดโดยกฎของจักรวาลจีโน แต่เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะต่อสู้กับเทพสปิริตระดับสูงด้วยสภาพในตอนนี้ได้อย่างนั้นหรอ?”
“ต่อหน้าพระเจ้าระดับสูง แน่นอนว่าข้าทำไม่ได้ แต่การทำลายวิหารของเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร” หานเซิ่นพูด
ดวงตาของอีวิลโลตัสก็อตกระตุก เขาพูดอย่างโมโห “เจ้าต้องการอะไรจากข้า?”
“ผู้คนของข้าในสเปชการ์เด้นเป็นยังไงกันบ้าง?” หานเซิ่นไม่ได้ถามเกี่ยวกับโลกนี้ เขากำลังถามเกี่ยวกับโลกที่จากมา
“พวกเขาสบายดี” อีวิลโลตัสก็อตพูด
“ตอนนี้สเปชการ์เด้นเป็นฝ่ายอำนาจอันดับหนึ่งในจักรวาลจีโน สปิริตจุดดวงไฟในจีโนฮอลล์เรียบร้อยแล้ว และมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่มนุษย์จะจุดดวงไฟของพวกเขาเอง”
“ถ้าพวกเขากลายเป็นฝ่ายอำนาจอันดับหนึ่ง ทำไมมนุษย์ถึงยังไม่จุดดวงไฟในตะเกียงอีก?” หานเซิ่นถามด้วยความสับสน
“ข้าจะรู้ได้ยังไง?” อีวิลโลตัสพูด “เจ้าไปถามลูกของเจ้าเองสิ”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปถามลูกชายของข้าได้ยังไง?” หานเซิ่นถามอีวิลโลตัสก็อต
อีวิลโลตัสก็อตอึ้งไป หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็พูดขึ้นว่า “อย่ามาถามข้า ข้าไม่รู้จริงๆ นอกจากฉินซิวแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นที่เดินทางระหว่างทั้งสองโลกได้ ถ้าเจ้าอยากรู้ว่าฉินซิวทำแบบนั้นได้ยังไง เจ้าก็ต้องไปถามกับเขาเอง ข้าจุติมาในที่แห่งนี้เป็นเวลานานไม่ได้ ข้าต้องไปแล้ว”
“ทั้งสองโลกมีความสัมพันธ์กันยังไง?” หานเซิ่นถาม
“ข้าไม่รู้ เจ้าต้องหาความจริงด้วยตัวเจ้าเอง เทพสปิริตนั้นต้องยึดถือกฎของเทพสปิริต ถ้าข้าฝ่าฝืนกฎ และพวกเขารู้เข้า ข้าก็ต้องซวยไปกับเจ้าด้วย ข้าจำเป็นต้องไปแล้ว เจ้าควรจะระวังตัวให้ดี ถ้าเจ้าทำลายวิหารของข้าล่ะก็ พวกเราก็ต้องประสบกับเคราะห์ร้ายกันทั้งคู่ หัวหน้าของข้าจะตามล่าตัวเจ้า และพวกเขาจะไม่หยุดจนกว่าเจ้าจะตาย”
อีวิลโลตัสหันหลังกลับ ไม่ว่าหานเซิ่นจะตอบกลับมาว่าอะไร เขาก็ไม่สนใจ เขาจำเป็นต้องไปแล้ว
“ก่อนที่เจ้าจะไป เจ้าช่วยมอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตของเจ้าให้กับข้าได้ไหม?” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีทาง” อีวิลโลตัสก็อตกัดฟันพูด ขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มจางหายไป
“อย่าขี้เหนียวแบบนั้น! เจ้ามอบมันให้กับมนุษย์ตั้งมากมาย อย่างเจ้ามอบให้กับข้าอีกคนจะเป็นอะไรไป? หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าไปที่วิหารของเจ้าก่อนที่เจ้าจะยอมมอบมันให้กับข้า?” หานเซิ่นมองไปที่อีวิลโลตัสก็อตด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
ร่างกายของอีวิลโลตัสก็อตเกือบจะจางหายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาพูดอย่างรำคาญ “โลหิตชีพจรของเจ้าดีกว่าข้า แบบนั้นข้าจะมอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตให้กับเจ้าได้ยังไง?”
“แบบนี้นี่เอง เจ้าควรบอกข้าให้เร็วแก่นี้” หานเซิ่นทำท่าทางเหมือนกับว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่าง เขายิ้มและพูดขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็ลาก่อน ถ้าข้ามีปัญหาอะไร ข้าจะไปหาเจ้า ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะยินดีช่วยข้าถูกไหม?”
อีวิลโลตัสที่จางหายไปมองหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ดูโมโหมากๆ ความรู้สึกของเขาเกี่ยวกับหานเซิ่นนั้นเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย
เมื่อเห็นอีวิลโลตัสก็อตจางหายไป หานเซิ่นก็พูดกับตัวเอง
“ดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เราจะช่วยให้คนอื่นได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริต ถ้ามิสเตอร์หยางจงรักภักดีต่อเรา เราก็จะไปที่วิหารและช่วยให้เขาได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตของอีวิลโลตัสก็อต”
หานเซิ่นไม่ค่อยเข้าใจท่าทีของอีวิลโลตัสก็อตที่มีต่อเขาเท่าไหร่ ดูเหมือนกับว่าอีวิลโลตัสก็อตนั้นหวาดกลัวเขา แต่ถ้าเรื่องที่อีวิลโลตัสบอกว่าหัวหน้าของเขาพยายามจะฆ่าหานเซิ่นเป็นเรื่องจริง แบบนั้นทำไมอีวิลโลตัสถึงไม่ไปฟ้องหัวหน้าของเขา? เขาไม่จำเป็นต้องเสี่ยงถูกข่มขู่โดยหานเซิ่น
หานเซิ่นคิด ‘ดูเหมือนว่าเทพสปิริตของโลกนี้จะประสบกับกฎและข้อจำกัดเช่นเดียวกัน อยากรู้จริงๆว่าพระเจ้าจะปฏิบัติกับเรายังไงกันถ้าเขาเห็นเราอีกครั้ง’
ตอนที่ 3061 กลับไปเป็นไข่
บางสิ่งไม่สามารถเข้าใจในเวลาอันสั้นได้ หานเซิ่นจึงหยุดคิดเกี่ยวกับมันและเดินเข้าไปหากองหินที่ฝังบลัดโกสต์สปิริตอยู่ เขาเคลื่อนย้ายเศษหินออกไปเพื่อจะดูว่าบลัดโกสต์สปิริตนั้นตายไปหรือยัง ถ้ามันยังไม่ตาย เขาก็จะชกใส่มันอีกหมัดสองหมัด ถ้ามันตายไปแล้ว เขาก็จะเอามันไปเป็นอาหารให้กับแมวน้อย
แมวน้อยนั้นกินเนื้อของโอเวอร์แบริ่งบั๊กเข้าไปเป็นจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ร่างกายของมันยังคงอ่อนแรง มันยังไม่วิวัฒนาการเช่นกัน มันต้องการอาหารเพิ่มอีก
แต่ในตอนที่เขาเคลื่อนย้ายเศษหินออกไป เขาก็ต้องประหลาดใจ เนื่องจากมันไม่มีร่างของบลัดโกสต์สปิริตอยู่ แต่มันมีไข่ยีนสีม่วงขนาดเท่ากำปั้นอยู่แทน ดูเหมือนจะเป็นไข่ยีนของบลัดโกสต์สปิริต
“ไม่มีทาง หมัดเดียวของเราทำให้มันย้อนกลับกลายเป็นไข่ยีนเลยอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นทั้งประหลาดใจและดีใจ สำหรับผู้คนในโลกใบนี้ มีเพียงแค่ไข่ยีนเท่านั้นที่สามารถใช้โลหิตชีพจรเทพสปิริตเพื่อควบคุมได้ ยีนเรซที่ฝักตัวออกมาแล้วนั้นไม่สามารถถูกควบคุมโดยโลหิตชีพจรเทพสปิริตได้ ถึงแม้จะทำให้มันยอมเชื่อฟังได้ แต่นั่นก็แค่ในฐานะสัตว์เลี้ยงสำหรับต่อสู้เท่านั้น ไม่สามารถรวมร่างกับมันได้
คัมภีร์นภาอำพันของหานเซิ่นสามารถเปลี่ยนยีนเรซให้กลับกลายเป็นไข่ยีนได้ นั่นหมายความว่าหานเซิ่นสามารถควบคุมยีนเรซที่ฝักตัวแล้วได้ ต่อไปนี้เขาสามารถหายีนเรซที่โตเต็มวัยได้โดยตรง เขาไม่จำต้องขุดหาไข่ยีนตามชีพจรพระเจ้าอีก
“นี่เป็นอะไรที่ดีมากๆ ไม่คาดคิดเลยว่าคัมภีร์นภาอำพันจะมีประโยชน์ในโลกใบนี้ถึงขนาดนี้” หานเซิ่นหยิบไข่ยีนของบลัดโกสต์สปิริตขึ้นมาด้วยความรู้สึกภูมิใจในตัวเอง
ตราบใดที่เขามีพลังคัมภีร์นภาอำพันอยู่ มันก็เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวย เพราะราคาของยีนเรซนั้นต่ำกว่าราคาของไข่ยีนมาก ถ้าหานเซิ่นทำให้ยีนเรซที่เขาเจอกลับกลายเป็นไข่ยีนอีกครั้ง ราคาของมันก็จะเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า
การใช้พลังทั้งหมดเพื่อใช้คัมภีร์นภาอำพันนั้นเป็นอะไรที่ทำให้เขาสูญเสียพละกำลังมากเกินไป ด้วยเหตุนั้นการจะทำให้ยีนเรซระดับสูงกลายเป็นไข่ยีนจึงถือเป็นเรื่องยาก แต่หานเซิ่นไม่จำเป็นต้องเลือกยีนเรซระดับสูง การใช้พลังของคัมภีร์นภาอำพันเพื่อทำให้ยีนเรซระดับราชันหรือต่ำกว่ากลายเป็นไข่ยีนนั้นไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป
“ดูเหมือนว่าเราไม่จำเป็นต้องไปตามสถานที่ที่มีชีพจรพระเจ้าและเสียเวลาขุดหาไข่ยีนอีก เราเลี้ยงแมวน้อยได้โดยการขายยีนเรซที่กลายเป็นไข่ยีน” หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจมากๆ
เมื่อเห็นว่าโกสต์คิลล์ยังคงหมดสติ หานเซิ่นก็ไม่ได้รีบไปปลุก เขาเดินไปหาเตาหินและเปิดฝาของมันเพื่อดูว่ามีของมีค่าอะไรอยู่ภายในหรือเปล่า
ในตอนที่ฝาของเตาหินถูกเปิดออก เตาหินก็ปลดปล่อยกลิ่นหอมที่น่ารื่นรมย์ออกมา หานเซิ่นคิด ‘มันมียาศักดิ์สิทธิ์บางอย่างอยู่ภายในอย่างนั้นหรอ? ฉินซิวสั่งให้คนๆนี้ตามหาวิธีที่จะชุบชีวิตคน เขาคงจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อปรุงยาชุบชีวิตคนขึ้นมาหรอกใช่ไหม?’
หานเซิ่นยื่นหัวเข้าไปมองและสิ่งที่เห็นก็ทำให้เขาแปลกใจ
ภายในเตาหินไม่ได้มียาศักดิ์สิทธิ์เหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้ แต่มันไม่ได้ว่างเปล่า ภายในเตาหินมีไข่ยีนสีทองที่มีขนาดพอๆกับไข่นกกระจอกเทศอยู่ เปลือกไข่นั้นเป็นเหมือนกับคริสตัลสีทองเรืองอร่าม
“ภายในเตาหินนี่มีไข่ยีนอยู่ ไม่รู้ว่ามันถูกต้มอยู่ภายในเตาหินนี่มาเป็นเวลายาวนานแค่ไหนแล้ว แต่มันก็ควรจะสุกเรียบร้อยแล้ว เรากำลังรู้สึกหิวอยู่พอดีเลย การกินไข่นี้เพื่อลองท้องก็เป็นความคิดที่ไม่เลว ไข่ยีนนี่จะมีรสชาติแบบไหนกัน มันจะรสชาติดีกว่าไข่นกไหมนะ?” หานเซิ่นพูดกับตัวเองขณะที่หยิบไข่ยีนออกมาจากเตาหิน
ขณะที่ไข่ยีนอยู่ในมือของหานเซิ่น หานเซิ่นก็รู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจจากภายในไข่ เขาสังเกตว่าไข่ยีนนั้นยังคงไม่ได้ถูกต้มจนสุก มันยังคงมีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างใน
“ระดับของไข่ยีนนี้คงจะค่อนข้างสูง เราควรลองดูว่าจะควบคุมมันได้ไหม” หานเซิ่นลูบผิวของไข่ด้วยความรู้สึกลำบากใจ
ก่อนหน้านี้ในตอนที่แมวน้อยรวมร่างกับเขา หานเซิ่นก็ได้รู้ว่าเขาสามารถรวมร่างกับยีนเรซได้ แต่เขาไม่รู้วิธีการที่มนุษย์ของโลกใบนี้ควบคุมยีนเรซด้วยโลหิตชีพจรเทพสปิริตของพวกเขา
หานเซิ่นคิด ‘อีวิลโลตัสก็อตบอกว่าโลหิตชีพจรของเราเหนือกว่าของเขา โลหิตชีพจรของเราก็ควรจะควบคุมไข่ยีนนี้ได้ แต่เราจะใช้โลหิตชีพจรเพื่อควบคุมไข่ยีนนี้ได้ยังไงกัน’
หานเซิ่นคิดว่าในเมื่อเขาไม่ได้มีโลหิตชีพจรเทพสปิริตเหมือนกับคนอื่น เขาก็จำเป็นต้องใช้วิธีดั้งเดิม เขายื่นนิ้วกลางออกมาและหยดเลือดลงบนไข่ยีนสีทอง
เลือดสีแดงของเขาถูกดูดซับหายเข้าไปในไข่ยีนเหมือนกับว่ามันถูกดูดเข้าไปโดยฟองน้ำ หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นภายในหัวของเขา
“คุณได้รับยีนเรซระดับเทพเจ้ากลายพันธุ์ ราชานกยูงปีกทอง”
ภายใต้สายตาของหานเซิ่น เปลือกของไข่ยีนแตกกระจายและมีนกยูงสีทองตัวน้อยๆบินออกมา มันกลายเป็นแสงสีทองเข้าไปในทะเลจิตของเขา
“ยีนเรซเข้าไปในทะเลจิตได้เหมือนกับวิญญาณอสูรอย่างนั้นหรอเนี่ย?” หานเซิ่นแปลกใจ
ตั้งแต่ที่หานเซิ่นมาที่โลกใบนี้ ถึงทะเลจิตของเขาจะยังคงอยู่ แต่วิญญาณอสูรนั้นเรียกออกมาไม่ได้ พวกมันเป็นเหมือนกับหานเซิ่นที่ถูกจำกัดโดยกฎของโลกใบนี้
หานเซิ่นลองเรียกนราชานกยูงปีกทองออกมาและพบว่าเขาสามารถเรียกมันออกมาได้อย่างง่ายดาย นกยูงตัวน้อยปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของหานเซิ่น
มันเหมือนกับวิญญาณอสูร หานเซิ่นมองเห็นข้อมูลเกี่ยวกับมัน (ร่างวัยเยาว์)
ราชานกยูงกลายเป็นแสงสีทองและเข้าไปในร่างกายของหานเซิ่น หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลง บนหัวของเขามีขนหัวของนกยูงงอกขึ้นมาและด้านหลังของเขาก็มีปีกสีทองของนกยูง
“ยังโชคดีที่ก้นของเราไม่มีขนนกยูงงอกออกมา…” หานเซิ่นมองดูใบหน้าของตัวเอง หลังจากที่รวมร่างกับราชานกยูงปีกทอง
โดยใช้จิตใจ ปีกบนหลังของหานเซิ่นก็เริ่มกระพือ เขาสามารถบินขึ้นบนท้องฟ้าได้ และเขาก็บินด้วยความเร็วที่สูงมากๆอีกด้วย
“อย่างน้อยๆในอนาคตเราก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางด้วยเท้าอีก”
โดยปกติแล้วหานเซิ่นไม่กลัวเหนื่อยจากการเดินเท้า แต่ถ้าเขาต้องการจะเดินทางด้วยความเร็วสูง การวิ่งด้วยเท้าของตัวเองนั้นเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ เนื่องจากเขาถูกจำพลังโดยกฎของโลกใบนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นอะไรที่สะดวกกว่ามาก ถ้าเขาใช้พลังของยีนเรซที่ไม่ถูกจำกัดโดยกฎของโลกใบนี้
เมื่อเห็นว่าการหยดเลือดของตัวเองลงไปบนไข่ยีนนั้นได้ผล หานเซิ่นจึงเอาไข่ยีนของบลัดโกสต์สปิริตออกมาและหยดเลือดของเขาลงไป
มันเป็นเหมือนอย่างไข่ยีนของราชานกยูงปีกทอง ไข่ยีนของบลัดโกสต์สปิริตนั้นฝักตัวอย่างรวดเร็วและเสียงประกาศก็ดังขึ้นในหัวของหานเซิ่น
“คุณได้รับยีนเรซระดับเทพเจ้ากลายพันธุ์ บลัดโกสต์สปิริต”
แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตที่ออกมาจากไข่ยีนของบลัดโกสต์สปิริตก็คือลิงขนม่วง แต่ลิงขนม่วงตัวนี้มีขนาดเล็กกว่ามาก หานเซิ่นสามารถถือตัวของมันในมือข้างเดียว มันดูน่ารักมากๆ มันดูเหมือนกับสิ่งที่ทำขึ้นมากหยกม่วง
“บลัดโกสต์สปิริต: ยีนเรซระดับเทพเจ้ากลายพันธุ์ (ร่างวัยเยาว์)”
“น่าเสียดาย เนื่องจากบลัดโกสต์สปิริตถูกย้อนกลับไปเป็นไข่ยีนอีกครั้งหมายความว่ามันจะกลับไปสู่วัยเยาว์ ถ้าเราต้องการทำให้มันโตเต็มวัยอีกครั้ง เราก็ต้องป้อนอาหารให้กับมันจำนวนมาก?” แค่คิดถึงเรื่องนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกแย่ขึ้นมา
หานเซิ่นต้องการจะลองรวมร่างกับบลัดโกสต์สปิริตดู แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงครางดังมาจากโกสต์คิลล์ ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะตื่นขึ้นมา ดังนั้นหานเซิ่นจึงรีบเก็บบลัดโกสต์สปิริตและราชานกยูงปีกทองกลับเข้าไปในทะเลจิต ก่อนที่จะหันไปมองโกสต์คิลล์
ตอนที่ 3062 พยายามช่วย
หลี่ปิงหยูมีจิตใจที่แข็งแกร่ง เธอจึงตื่นขึ้นมาจากการหมดสติได้อย่างรวดเร็ว
ในจังหวะที่หลี่ปิงหยูลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอเห็นคือรอยยิ้มของหานเซิ่น เมื่อเธอจำได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะสลบไป เธอก็รีบลุกกลับขึ้นมาและจ้องไปที่หานเซิ่นด้วยความตกใจ
หลี่ปิงหยูจำภาพของหานเซิ่นที่ห่อหุ้มด้วยเปลวไฟสีแดง มันดูเหมือนกับเทพสปิริตที่จุติลงมา หมัดเดียวของเขานั้นส่งบลัดโกสต์สปิริตกระเด็นออกไป
ในตอนแรกเธอจ้องไปที่หานเซิ่นด้วยความแปลกใจ แต่ความแปลกใจของเธอค่อยๆเปลี่ยนเป็นความสับสน และตอนนี้ความสับสนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งกว่า
ถ้าเธอคือโกสต์คิลล์ตัวจริง เธอก็คงจะคิดแค่ว่าหานเซิ่นนั้นแข็งแกร่ง แต่หลี่ปิงหยูต่างออกไป ฐานะจริงๆของเธอคือหนึ่งในเก้าผู้นำของพระราชวังหวูเว่ยเต๋า ขอบเขตความรู้ของเธอจึงมากกว่าของโกสต์คิลล์
ยีนเรซหายากอย่างบลัดโกสต์สปิริตถูกส่งกระเด็นออกไปในหมัดเดียว เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว มันมีโอกาสที่บลัดโกสต์สปิริตจะถูกหานเซิ่นฆ่าตายไปแล้ว นั่นเป็นบางสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายได้ด้วยแค่คำว่า ‘แข็งแกร่ง’
แม้แต่ในพระราชวังหวูเว่ยเต๋า ยอดฝีมือระดับนั้นก็ถือว่าหาได้ยากมากๆ ด้วยเหตุนั้นการที่คนๆหนึ่งมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น แต่กลับไม่มีชื่อเสียงจึงเป็นอะไรที่ยากที่จะเชื่อ
หานเซิ่นมองไปที่หลี่ปิงหยูและถาม “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ตัวจริงของเจ้าคือใครกัน?” หลี่ปิงหยูถามขณะที่จ้องไปที่หานเซิ่นอย่างขะมักเขม้น
“ชื่อของข้าคือหานเซิ่น เจ้าจำข้าไม่ได้อย่างนั้นหรอ? โอ้ไม่นะ! นี่เจ้าความจำเสื่อมหรอเนี่ย? เจ้ายังจำได้ไหมว่าพวกเราติดตามพีชฟูลมาที่ภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต…”
หานเซิ่นพูดไม่หยุด ขณะที่เขาพยายามจะเช็คว่าสมองของเธอได้รับความเสียหายหรือเปล่า
หลี่ปิงหยูรู้สึกโกรธ เธอตบมือหานเซิ่นออกไปและพูดอย่างเย็นชา
“หยุดพูดล้อเล่นกับข้า ถ้าเจ้าเอาชนะบลัดโกสต์สปิริตได้ เจ้าจะเป็นคนธรรมดาไปได้ยังไง? นอกจากนั้นทำไมเจ้าถึงทำให้ข้าหมดสติ?”
“ข้าเป็นแค่คนธรรมดาจริงๆ แต่ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้ และที่ข้าทำให้เจ้าสลบไปก็เพื่อจะรักษาบาดแผลของเจ้า มันจะเป็นอะไรที่เจ็บปวดมากๆ ถ้าเจ้ายังมีสติอยู่ ดังนั้นข้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำให้เจ้าสลบไป” หานเซิ่นอธิบายอย่างจริงใจ
หลี่ปิงหยูนึกขึ้นได้ว่าเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส และพลังของบลัดโกสต์สปิริตก็ครอบงำร่างกายของเธออยู่
แต่ตอนนี้พลังของบลัดโกสต์สปิริตไม่อยู่แล้ว และบาดแผลของเธอก็สมานตัวเรียบร้อยแล้ว เห็นได้ชัดว่าหานเซิ่นช่วยเธอกำจัดพลังของบลัดโกสต์สปิริตออกไป
“บลัดโกสต์สปิริตอยู่ไหน?” หลี่ปิงหยูมีสีหน้าแปลกๆขณะที่เธอมองไปรอบๆ เธอไม่สามารถหาร่างของบลัดโกสต์สปิริตได้
“มันหนีไปได้ ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเราก็ออกไปจากที่นี่กันเถอะ พีชฟูลพาคนอื่นหนีไปแล้ว แถมพวกเราก็ไม่รู้ว่าชีพจรพระเจ้าลี้ลับนั่นอยู่ที่ไหน พวกเราจึงควรกลับไปที่เมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต” หานเซิ่นพูด
“เดี๋ยวก่อน” เมื่อเห็นหานเซิ่นเตรียมตัวจะไปจากที่นี่ หลี่ปิงหยูก็เข้ามาขวางหน้าเอาไว้
“มีอะไร?” หานเซิ่นถามด้วยรอยยิ้ม
‘ถึงแม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นไปตามแผน แต่นี่ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ใกล้ชิดกับเขา เราจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปไม่ได้’ โกสต์คิลล์คิด
เมื่อคิดได้แบบนั้น โกสต์คิลล์ก็ดูใจเย็นลง เธอมองไปที่หานเซิ่นและพูดอย่างช้าๆ
“ข้าโกสต์คิลล์ไม่ต้องการติดหนี้ใคร เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ นั่นหมายความว่าชีวิตข้าเป็นของเจ้า”
“ทำไมข้าถึงต้องการชีวิตเจ้า?” หานเซิ่นยิ้ม
“นั่นเป็นเรื่องของเจ้า แต่ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้า” โกสต์คิลล์พูดอย่างจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะตอบแทนให้กับข้ายังไง?” หานเซิ่นมองไปที่โกสต์คิลล์ด้วยความสนใจ
โกสต์คิลล์ไม่เสียเวลาคิด เธอพูดขึ้นมาในทันที “จากนี้ต่อไปข้าจะติดตามเจ้า ถ้าใครก็ตามต้องการจะทำร้ายเจ้า พวกเขาก็ต้องผ่านข้าไปก่อน ข้าจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิตของข้า”
“ไม่มีความจำเป็นต้องลำบากทำอะไรแบบนั้น ถ้าเจ้าใช้ร่างกายเพื่อตอบแทนข้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องตาย ทำไมเจ้าไม่ทำแบบนั้นล่ะ?” หานเซิ่นยิ้มและมองไปที่โกสต์คิลล์ขณะที่เขาพูดอย่างนั้น
สีหน้าของโกสต์คิลล์เปลี่ยนไป เธอกัดฟันและพูด “เจ้าอาจจะช่วยชีวิตข้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะหยามเกียรติของข้าได้”
“ช่างเถอะ ถ้าเจ้าไม่ต้องการ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เจ้าจะติดตามข้า พวกเราควรไปตามทางของตัวเอง”
หลังจากที่หานเซิ่นพูดเสร็จ เขาก็เริ่มเดินออกไป เขาไม่ต้องการให้คนอย่างโกสต์คิลล์ติดตามเขา นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพูดออกไปแบบนั้น
โกสต์คิลล์มีสีหน้าที่ซับซ้อน เธอกัดฟันและเดินตามหลังหานเซิ่นไปโดยที่ไม่พูดอะไรอีก
หานเซิ่นรู้ว่าโลนสกายดราก้อนยังอยู่ด้านนอก และเนื่องจากเขาเพิ่งสูญเสียพลังไปเป็นจำนวนมากจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาจึงไม่มีพลังเหลือพอจะต่อสู้กับโลนสกายดราก้อนอีก เขาจำเป็นต้องหาทางออกทางอื่น
ถึงบลัดโกสต์สปิริตและราชานกยูงปีกทองจะเป็นยีนเรซที่เหนือกว่าโลนสกายดราก้อน แต่ตอนนี้พวกมันยังเป็นแค่ร่างวัยเยาว์ พวกมันยังไม่สามารถต่อสู้กับโลนสกายดราก้อนได้
ปราสาทหินไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่หลังจากที่สำรวจจนทั่ว พวกเขาก็ยังหาทางออกอื่นไม่เจอ
หลี่ปิงหยูย่อตัวลงกับพื้นเพื่อตรวจเช็คโครงกระดูกในชุดเกราะ แต่เธอไม่พบอะไร เธอสันนิษฐานว่าหานเซิ่นคงจะมาค้นตัวโครงกระดูกเรียบร้อยแล้วในตอนที่เธอยังหมดสติอยู่ เธอแค่ไม่รู้ว่าเขาพบอะไรหรือเปล่า
หานเซิ่นฝังโครงกระดูกและพูด “มันมีไม่ทางออกทางอื่น เจ้ามีหนทางที่จะออกไปจากที่นี่ โดยไม่พบกับโลนสกายดราก้อนและบลัดโกสต์สปิริตไหม?”
“มันก็มีอยู่ทางหนึ่งที่พวกเราควรจะลองดู” หลี่ปิงหยูชี้นิ้วออกไปและยีนเรซที่เหมือนกับตัวตุ่นก็ถูกเรียกออกมา กรงเล็บของมันดูเหมือนกับโลหะ
“นี่คือตุ่นชีพจรผืนดินระดับราชัน มันมีพลังในการขุดที่ยอดเยี่ยม บางทีมันอาจจะพาพวกเราออกไปจากที่นี่ได้” ขณะที่หลี่ปิงหยูกำลังพูด ตุ่นชีพจรผืนดินก็เริ่มทำการขุดกำแพงหินของปราสาท
หานเซิ่นและหลี่ปิงหยูตามหลังตัวตุ่นไป และไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็ไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าเจ้าตุ่นชีพจรผืนดินจะไม่ได้ทำการขุดอย่างมั่วๆ พวกเขาตามหลังตุ่นชีพจรผืนดินอยู่ครึ่งวันก่อนที่พวกเขาจะขึ้นมาสู่พื้นดินได้ พวกเขาพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในหุบเขาเจดไลอ้อนอีกแล้ว
“ตามข้ามา” หลี่ปิงหยูสแกนสภาพแวดล้อมรอบๆและเริ่มเดินออกไปในทิศทางหนึ่ง
หานเซิ่นไม่สนใจจะสำรวจแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต สิ่งที่เขาต้องการคือการกลับไปที่เมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับสมุดบันทึกที่เขาได้รับมา เขาเชื่อว่าสมุดบันทึกนี้ต้องมีข้อมูลสำคัญมากอยู่ ความลับของมันอาจจะเกี่ยวข้องกับวิธีการที่ฉินซิวใช้ในการเข้าในจักรวาลจีโน
ภาษาโบราณที่หานเซิ่นเคยเรียนมานั้นไม่สามารถใช้กับภาษาโบราณของโลกนี้ได้ เขาจึงต้องกลับไปค้นหาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาของสมุดบันทึก
ตอนที่ 3063 วงจรชีวิต
ในตอนที่พวกเขากำลังจะออกไปจากภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต จู่ๆหลี่ปิงหยูก็พูดขึ้นว่า “ถ้าเป็นข้า ข้าจะไม่เข้าเมืองในตอนนี้”
“ทำไมกัน?” หานเซิ่นมองหลี่ปิงหยูด้วยความสนใจ
“โอหยางชิวซานถูกฆ่าตายในภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต” หลี่ปิงหยูพูด
“เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตที่สมบูรณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาจึงเป็นทายาทคนโปรดของตระกูลโอหยาง ตระกูลโอหยางไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ”
“เจ้าจะบอกว่าตระกูลโอหยางจะมาเอาโทษกับพวกเราอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
“ใครสักคนต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้” หลี่ปิงหยูพูด
“บางทีตระกูลโอหยางอาจจะไม่กล้าทำอะไรกับพีชฟูล แต่กับคนอื่นๆมันบอกได้ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทายาทคนสำคัญที่สุดของพวกเขาตายไป พวกเราต้องทำบางสิ่งที่เพื่อระบายความโกรธ”
“พวกเราไม่ได้มีความบาดหมางอะไรกับโอหยางชิวซาน และพวกเราก็ไม่ได้ล่วงเกินอะไรเขา ทำไมตระกูลของเขาต้องมาเอาเรื่องกับพวกเราด้วย?” หานเซิ่นพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
หลี่ปิงหยูพูดอย่างเย็นชา “ถ้าองค์รัชทายาทถูกฆ่าตาย ทหารองครักษ์ที่รับหน้าที่ปกป้องเขาทั้งหมดก็จะถูกฆ่า เจ้าคิดว่านั่นสมเหตุสมผลไหม?”
หานเซิ่นหัวเราะและพูด “ที่เจ้าพูดมันก็ถูก ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าควรไปที่ไหน?”
“เจ้าจะไปที่ไหนก็ได้ แค่หลีกเลี่ยงเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตก็พอ แต่ในความเห็นของข้า เจ้าควรไปจากดาวดวงนี้ สมาชิกตระกูลโอหยางเป็นแค่ขุนนางของเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต เมื่อเจ้าออกไปจากดาวดวงนี้แล้ว ตระกูลโอหยางก็จะไม่เป็นภัยต่อเจ้าอีกต่อไป” หลี่ปิงหยูพูด
“เจ้าคิดว่าคนของตระกูลโอหยางแข็งแกร่งยิ่งกว่าบลัดโกสต์สปิริตอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นมองไปที่หลี่ปิงหยูพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ
“ในเรื่องของพลัง ไม่มีใครในตระกูลโอหยางที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า แต่ตระกูลโอหยางนั้นเป็นขุนนางของอาณาจักรฉิน ขณะที่เจ้าเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้ามันมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ถึงแม้เจ้าจะทำลายตระกูลโอหยางได้ แต่เจ้าก็ต้องเจอกับปัญหามากมายในเขตแดนของอาณาจักรฉิน”
“เจ้าพูดถูก” หานเซิ่นไม่ได้หวาดกลัวตระกูลโอหยาง แต่เขากลัวปัญหาที่จะตามมา
“ถ้าเจ้าต้องการ ข้ามีหนทางที่จะส่งเจ้าไปที่ดาวอีกดวงอย่างปลอดภัย” หลี่ปิงหยูพูด
หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ หานเซิ่นพูดขึ้นว่า “ขอบคุณมาก แต่ก่อนหน้านั้นข้าจำเป็นต้องไปพบกับมิสเตอร์หยางก่อน”
“นั่นไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถ้าเขาอยู่ในเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต ข้าไปขอให้เขาออกมาพบกับเจ้าได้ แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้าว่าเขาต้องการจะออกมาพบกับเจ้าหรือไม่”
“เจ้าพยายามจะบอกอะไร?” หานเซิ่นถาม
หลี่ปิงหยูมองไปที่หานเซิ่นและพูด “สำหรับคนปกติ ถ้าพวกเขาต้องเลือกระหว่างเจ้ากับเจ้าเมืองดราก้อนซอง พวกเขาก็คงจะเลือกเจ้าเมืองดราก้อนซองอย่างไม่ลังเล ถ้าเป็นแบบนั้นเจ้าจะทำยังไง?”
“ไม่ว่ายังไง เจ้าต้องพาเขามาพบกับข้าให้ได้ ไม่อย่างนั้นข้าก็จะเข้าไปในเมืองเพื่อหาเขาด้วยตัวเอง” หานเซิ่นพูด
มิสเตอร์หยางรู้ว่าหานเซิ่นออกมาจากไข่ยีน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องทำความเข้าใจ หานเซิ่นจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพามิสเตอร์หยางมาพบกับเจ้า” หลี่ปิงหยูพูด หลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นควันและหายตัวไป
หลี่ปิงหยูเป็นคนที่มีประสิทธิภาพมากๆ แม้แต่หานเซิ่นก็ยังรู้สึกประหลาดใจ เธอใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันก่อนที่จะพามิสเตอร์หยางมาพบกับหานเซิ่น
“นายท่าน นายท่านปลอดภัยดีใช่ไหม?” มิสเตอร์หยางดีใจที่ได้เห็นหานเซิ่น
“ข้ามีแผนที่จะออกไปจากดาวแอนเชี่ยนท์ก็อต เจ้าจะติดตามข้าไปหรือเจ้าจะอยู่ที่นี่?” หานเซิ่นมองไปที่มิสเตอร์หยางและถาม
“ข้าบอกนายท่านแล้วว่าข้าจะติดตามนายท่านไปจนถึงจุดจบของโลกใบนี้”
มิสเตอร์หยางรีบพูด “ดังนั้นไม่ว่านายท่านจะไปที่ไหน ข้าก็จะไปด้วย”
“ถ้าอย่างนั้น โกสต์คิลล์ เจ้าช่วยจัดการให้กับพวกเราที” หานเซิ่นหันไปมองหลี่ปิงหยูขณะที่พูด
“นั่นไม่มีปัญหา พวกเจ้าต้องการไปที่ไหน?” หลี่ปิงหยูดีใจ เธอคิดในใจว่า ‘ถ้าเขาต้องการไปที่เมืองหลวงของอาณาจักรฉิน เราก็จะได้เข้าใกล้รัชทายาทฉินไป๋’
“พวกเราจะไปที่ดาวตูริน” หานเซิ่นพูด
“ได้เลย” เมื่อได้ยินว่าหานเซิ่นไม่ได้ต้องการไปที่เมืองหลวงของอาณาจักรฉิน หลี่ปิงหยูก็รู้สึกผิดหวัง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ตอบตกลงโดยที่ไม่ได้พูดอะไรมาก
หานเซิ่นไม่ได้ตัดสินใจไปที่ดาวตูรินอย่างมั่วๆ ตำนานบอกว่าราชาผู้ก่อตั้งอาณาจักรฉินนั้นกำเนิดที่ดาวตูริน มันจึงเป็นบ้านเกิดของฉินซิว
เนื่องจากฉินซิวและฉินหว่านเอ๋อถูกบอกว่ากำเนิดที่นั่น หานเซิ่นจึงคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะไปดู เขาหวังว่าจะพบเบาะแสบางอย่างที่นั่น
หานเซิ่นและมิสเตอร์หยางออกเดินทางไปสู่อวกาศโดยยานอวกาศที่หลี่ปิงหยูจัดเตรียมให้กับพวกเขา การเดินทางในอวกาศนั้นใช้เวลานาน หานเซิ่นจึงใช้โอกาสนั้นเพื่อค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เขาพยายามที่จะทำความเข้าเนื้อหาในสมุดบันทึก
หลังจากการค้นหาข้อมูลอย่างละเอียด ข้อมูลที่หานเซิ่นได้เรียนรู้ก็ทำให้เขาต้องประหลาดใจ
ฉินซิวผนึกร่างกายของฉินหว่านเอ๋อเอาไว้ในโลงศพลึกลับเพื่อเก็บรักษาร่างกายของเธอไม่ให้เน่าเปื่อย หลังจากนั้นเขาก็รอคอยโอกาสที่จะชุบชีวิตของเธอ
เจ้าหน้าที่คนสำคัญของอาณาจักรฉินที่ชื่อไป๋ม่อได้รับคำสั่งจากฉินซิวให้ตามหาวิธีที่จะชุบชีวิตคนที่ตายไปแล้วขึ้นมา เขาต้องการนำฉินหว่านเอ๋อกลับมาจากความตาย
ไป๋ม่อพยายามทุกวิถีทาง แต่ไม่มีวิธีไหนที่ได้ผล ในตอนสุดท้ายเขาก็ไปพบกับข้อมูลบางอย่างเข้าโดยบังเอิญ มันมีข้อมูลที่มาจากโบราณสถานในออริจินอลสตาร์ หลายสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้นั้นเป็นอะไรที่น่าประหลาดและยากจะเชื่อได้
แต่ทว่าหลังจากการวิจัยของไป๋ม่อ สิ่งที่แทบไม่มีใครเชื่อนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆ
ในสมุดบันทึกนั้นไม่ได้บอกว่ามันคืออะไร แต่มันมีประโยคหนึ่งที่ทำให้หานเซิ่นรู้สึกสนใจ
ความตายเป็นแค่การเริ่มต้นอีกครั้ง ไป๋ม่อต้องตื่นเต้นมากๆในตอนที่เขาเขียนประโยคนั้นลงไป ลายมือของเขาดูแตกต่างไปจากปกติ มันดูเหมือนกับว่าเขาเขียนมันอย่างเร่งรีบ มันง่ายที่จะบอกว่าเขากำลังตื่นเต้นอย่างมาก
ประโยคนั้นเป็นบางสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจความหมาย แต่ในตอนที่หานเซิ่นเห็นประโยคนั้น เขาก็รู้สึกมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตัวเอง
เนื้อหาที่อยู่ด้านหลังประโยคนั้นพยายามจะอธิบายความหมายของมัน ซึ่งบอกถึงเรื่องที่พลังงานเป็นสิ่งถาวร มันแค่จะปรากฎในรูปร่างที่แตกต่างออกไปเท่านั้น
มนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆของจักรวาลเป็นพลังงาน พวกมันจะไม่หายไปจากจักรวาล ในตอนที่มนุษย์คนหนึ่งตายไป พวกเขาก็ยังคงอยู่ต่อไปในอีกรูปร่างหนึ่ง
จากการวิจัยของไป๋ม่อ หลังจากที่มนุษย์ตาย พวกเขาจะกำเนิดใหม่ในอีกโลกหนึ่ง และถ้าพวกเขาตายในอีกโลก พวกเขาจะกำเนิดในจักรวาลนี้
ไป๋ม่อเรียกกระบวนการแลกเปลี่ยนพลังงานนี้ว่า ‘การกลับชาติมาเกิดใหม่’ ไม่รู้ว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือไม่ แต่ไป๋ม่อเรียกอีกโลกหนึ่งว่าโลกปฏิสสาร
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตจากโลกหนึ่งจะถูกทำลายหากพยายามข้ามไปสู่อีกโลก มันทำให้ทั้งสองโลกต่างเชื่อว่าอีกโลกหนึ่งนั้นคือโลกปฏิสสาร
นี่ตรงกับข้อสันนิษฐานของหานเซิ่น แต่มันมีบางสิ่งที่หานเซิ่นยังคงไม่เข้าใจ ซึ่งก็คือบทบาทของเทพสปิริตในทั้งสองโลก
เนื้อหาส่วนท้ายนั้นทำให้หานเซิ่นตกใจยิ่งกว่าเดิม มันเป็นบันทึกเกี่ยวกับการวิจัยฝ่ายอำนาจเก่าของไป๋ม่อ เขาค้นพบว่าฝ่ายอำนาจเก่านี้มีวัตถุโบราณอย่างหนึ่งที่สามารถเปิดเส้นทางเพื่อเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองโลก
“คริสตัลสีดำ!” หานเซิ่นเห็นวัตถุโบราณในสมุดบันทึกที่มีรูปร่างเหมือนกับคริสตัลสีดำ มันเป็นคริสตัลสีดำเดียวกันกับที่เขาเห็นบนกำแพงของถ้ำ
ตอนที่ 3064 เข้าใจเหตุผล
หานเซิ่นอ่านส่วนท้ายของสมุดบันทึกต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ เขาอยากจะรู้เกี่ยวกับที่มาของคริสตัลสีดำและอยากรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
ไป๋ม่อพูดถึงเรื่องที่คริสตัลสีดำนั้นสามารถเปิดอุโมงค์ระหว่างสองโลกได้ ถ้าอย่างนั้นฉินซิวก็อาจจะใช้คริสตัลสีดำเพื่อเข้าไปในจักรวาลจีโน
“ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็เป็นคำอธิบายที่ฟังดูสมเหตุสมผล ถ้าฉินหว่านเอ๋อกำเนิดในอีกโลกหนึ่ง มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะชุบชีวิตของหว่านเอ๋อในโลกนี้ ไม่ว่าฉินซิวจะพยายามทำอะไร มันก็ไร้ประโยชน์ นอกซะจากเขาจะไปที่อีกโลกหนึ่งและพาฉินหว่านเอ๋อในโลกนั้นกลับมา” หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าทำไมฉินซิวถึงเข้าไปในจักรวาลจีโน
แต่ถึงทุกชีวิตจะเกิดใหม่และไม่ได้ตายไปจริงๆ การกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนๆนั้นจะยังคงเป็นคนเดิม ถ้าไม่มีความรู้สึกและความทรงจำของชาติก่อน ถึงแม้เธอจะเกิดขึ้นมาใหม่ ฉินหว่านเอ๋อของโลกนี้และหว่านเอ๋อของอีกโลกก็จะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน
สำหรับฉินซิวแล้ว หว่านเอ๋อที่เขาพบในจักรวาลจีโนนั้นเป็นแค่หว่านเอ๋อที่เป็นเผ่าวิทช์ นั่นไม่ใช่หว่านเอ๋อน้องสาวของเขาจริงๆ
เหตุผลที่ฉินซิวต้องการพาหว่านเอ๋อกลับไปก็เพื่อที่จะให้เธอรวมเข้ากับร่างกายของหว่านเอ๋อในชีวิตก่อนและได้ความทรงจำคืนมา ซึ่งการจะทำแบบนั้นเขาจำเป็นต้องเปิดเส้นทางระหว่างโลกทั้งสองโลก แต่จีโนฮอลล์ขัดขวางไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ด้วยเหตุนั้นฉินซิวจึงจำเป็นต้องทำลายจีโนฮอลล์เพื่อจะนำหว่านเอ๋อกลับไป
‘ถ้าฉินซิวใช้คริสตัลสีดำเพื่อเข้ามาในจักรวาลจีโนจริงๆ เขาก็ควรจะใช้คริสตัลสีดำเพื่อพาหว่านเอ๋อกลับไปได้ มันไม่มีเหตุผลที่เขาต้องก่อปัญหาแบบนั้น ถ้าคริสตัลสีดำที่เราได้รับมาคือวัตถุโบราณที่ไป๋ม่อกล่าวถึง ทำไมมันถึงไปปรากฏในก็อตแซงชัวรี่เขต 1 ได้? ของสำคัญแบบนั้นทำไมถึงไม่อยู่กับฉินซิว? ด้วยพลังและการวางแผนของฉินซิว มันไม่มีทางที่เขาจะสูญเสียมันไปได้ นี่เราวิเคราะห์เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ถูกอย่างนั้นหรอ? หรือบางทีมันอาจจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น’ หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้อยู่เป็นเวลานาน แต่เขาก็คิดหาคำตอบดีๆไม่ได้
เนื้อหาส่วนท้ายของสมุดบันทึกพูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการค้นหาโบราณสถานและโบราณวัตถุของฝ่ายอำนาจเก่า เนื่องจากออริจินอลสตาร์ถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายอำนาจเก่าจึงไม่มีอยู่อีกต่อไป ไป๋ม่อจึงต้องพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับมัน
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะโชคช่วย แต่ในที่สุดไป๋ม่อก็พบเบาะแส เขาได้เจอกับทายาทของฝ่ายอำนาจเก่า และมันทำให้เขาได้พบกับโบราณวัตถุและเตาหิน ภายในเตาหินนั้นมีวิชาประหลาดอย่างหนึ่งอยู่ ซึ่งมันก็คือเรื่องราวของยีนเวอร์ชั่นเก่า
ไป๋ม่อนำโบราณวัตถุและเรื่องราวของยีนไปให้กับฉินซิวเพื่อนำไปวิจัยต่อ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ค้นพบความลับของเรื่องราวของยีน แต่พวกเขาก็พบวิธีที่จะใช้โบราณวัตถุ
จากสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้ในสมุดบันทึกหน้าท้ายสุด ฉินซิวใช้โบราณวัตถุเพื่อเข้าไปในโลกปฏิสสารที่ภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต ซึ่งเป็นสถานที่ที่หานเซิ่นเกิดขึ้นมาในจักรวาลนี้
หลังจากที่ฉินซิวจากไปแล้ว ไป๋ม่อก็ยังคงทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องราวของยีนต่อไป แต่มันแทบจะไม่มีความคืนหน้าอะไร
สมุดบันทึกจบลงเพียงเท่านี้ ไป๋ม่อไม่ได้เขียนเกี่ยวกับตัวของเขาอีกและเขาไม่ได้เขียนเอาไว้ว่าทำไมไข่ของราชานกยูงปีกทองถึงไปอยู่ในเตาหิน
ส่วนเรื่องที่ยีนเรซของโมหลี่ทั้งสองตัวมาปรากฎที่ภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อตได้อย่างไรนั้นยังคงเป็นปริศนาที่หานเซิ่นไม่รู้คำตอบ
“นี่มันแย่มากๆ ฉินซิวใช้คริสตัลสีดำเพื่อไปที่จักรวาลจีโน ถึงแม้คริสตัลดำจะเปลี่ยนเป็นชุดเกราะคริสตัลสีดำในทะเลจิตของเรา แต่มันอยู่เหนือความควบคุมของเรา การจะใช้มันเพื่อกลับไปจึงดูจะเป็นไปไม่ได้”
หานเซิ่นมองเข้าไปในทะเลจิตเพื่อสังเกตชุดเกราะคริสตัลสีดำ ถึงเขาจะมีการเชื่อมต่อพิเศษกับเกราะคริสตัลสีดำ เนื่องจากเขาฝึกเรื่องราวของยีน แต่เขาก็ไม่สามารถควบคุมมันได้
“สมุดบันทึกของไป๋ม่อบอกว่าโบราณวัตถุนั่นเร่งการวิวัฒนาการของยีนเรซได้ ไม่เพียงแค่นั้นมันยังมีโอกาสที่โบราณวัตถุจะเร่งการเจริญเติบโตของยีนเรซไปจนถึงร่างสุดยอด นอกจากนั้นมันยังทำให้ยีนเรซระดับต่ำกลายพันธุ์ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้อีกด้วย ฟังก์ชั่นของมันคล้ายคลึงกับคริสตัลสีดำของเราในก็อตแซงชัวรี่ แต่น่าเสียดายที่มันกลายเป็นชุดเกราะไปแล้ว ความสามารถเหล่านี้จึงใช้งานไม่ได้อีกต่อไป”
หลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จู่ๆดวงตาของหานเซิ่นก็เบิกกว้าง เขาคิดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย ‘ไอ้ชุดเกราะเฮงซวย! แกล้าเล่นลูกไม้กับฉันอย่างนั้นหรอ แกคิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรแกหรือยังไง?’
หานเซิ่นออกคำสั่งกับราชานกยูงปีกทองในทะเลจิต หลังจากที่ราชานกยูงปีกทองได้รับคำสั่งจากหานเซิ่น มันก็ส่งเสียงร้องออกมาและบินไปหาชุดเกราะคริสตัลสีดำ มันอ้าปากและจู่ๆปากของมันก็ใหญ่ขึ้นอย่างมาก มันกลืนชุดเกราะคริสตัลสีดำเข้าไป
“มาดูสิว่าแกจะอยู่ในนั้นได้นานแค่ไหน” หานเซิ่นคิดขณะที่มองไปที่ราชานกยูงปีกทองที่เพิ่งจะกินชุดเกราะคริสตัลสีดำเข้าไป
จู่ๆหานเซิ่นก็เห็นราชานกยูงปีกทองเรืองแสงสีทองออกมา มันห่อร่างกายของราชานกยูงปีกทองและก่อตัวเป็นไข่ทองใบใหญ่อย่างรวดเร็ว
จนถึงตอนนี้หานเซิ่นได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับยีนเรซมาพอสมควรแล้ว เขาจึงรู้ว่านี่เป็นสัญญาณที่บอกว่าราชานกยูงปีกทองกำลังจะกลายเป็นร่างเต็มวัย
“นี่หมายความว่าฟังก์ชั่นนี้ของคริสตัลสีดำยังคงทำงานได้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นมีสีหน้าแปลกๆ ในตอนแรกเขาคิดว่าชุดเกราะคริสตัลสีดำจะตอบโต้ แต่ไม่เพียงจะไม่ตอบโต้แม้แต่น้อยแล้ว มันยังช่วยให้ราชานกยูงปีกทองวิวัฒนาการอีกด้วย
แต่การวิวัฒนาการของราชานกยูงปีกทองไม่ใช่สิ่งที่จะเสร็จสิ้นในเวลาอันสั้น หานเซิ่นมองดูมันอยู่ครึ่งวัน แต่ไข่สีทองก็ยังคงไม่แสดงการเคลื่อนไหวใดๆ เมื่อถึงตอนนั้นยานอวกาศของพวกเขาก็ลงจอดบนดาวตูรินเรียบร้อยแล้ว
มิสเตอร์หยางและหลี่ปิงหยูมาหาหานเซิ่นพร้อมกัน พวกเขาทั้งสามคนบอกลาเจ้าหน้าที่ของยานก่อนที่จะเดินลงไป
‘ไป๋ม่อบอกว่าร่างกายของฉินหว่านเอ๋อถูกปิดผนึกอยู่ในสถานที่ลับในพระราชวังของอาณาจักรฉิน ถ้าหว่านเอ๋อผ่านอุโมงค์ตรงกันข้ามาพร้อมกันเรา เธอจะรวมกับร่างกายนั้นจริงๆไหมนะ? ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เราก็จำเป็นต้องไปที่เมืองหลวงของอาณาจักรฉิน’ หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้นั้น
ขณะที่หานเซิ่นกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงแส้และเสียงตะโกนดังขึ้นมา “หยุดแกล้งตาย รีบๆเดินไป”
หานเซิ่นหันไปมองและเห็นการ์ดขุนนางคนหนึ่งกำลังถือแส้สายฟ้าอยู่ในมือ เขาใช้มันฟาดใส่ผู้คนที่ลงมาจากยาน ผู้คนเหล่านั้นสวมใส่ชุดขาดรุ่งริ่ง ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผล พวกเขาร้องเสียงดังในตอนที่พวกเขาถูกตี
หานเซิ่นสังเกตเห็นว่ายานอวกาศที่พวกเขาใช้เดินทางมานั้นเป็นยานที่ใช้สำหรับการค้ามนุษย์ “สำหรับอาณาจักรที่พัฒนาแล้ว ทำไมมันถึงยังมีระบบทาสอีก?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว
ตอนที่ 3065 เจียงปู้กู่
ถึงแม้หานเซิ่นจะรู้สึกสงสารเหล่าทาส แต่นี่คือความเป็นจริงในจักรวาลนี้ มันไม่ใช่ว่าการเข้าไปช่วยทาสเพียงไม่กี่คนจะแก้ไขปัญหานี้ได้
หานเซิ่นสังเกตเห็นว่าในหมู่ทาสเหล่านั้นมีเด็กอยู่หลายคน พวกเขาทุกคนถูกใส่กุญแจข้อมือข้อเท้า พวกเขาเหมือนกับหมาแมวที่ถูกไล่ให้เดินไปข้างหน้า หานเซิ่นส่ายหัวเมื่อเห็นแบบนั้น
เมื่อมิสเตอร์หยางเห็นท่าทางของหานเซิ่น เขาก็ถอนหายใจและพูด
“เมื่อก่อนผู้คนไม่ได้ถูกแบ่งเป็นชนชั้นสูงหรือชนชั้นต่ำ แต่ด้วยเทพสปิริตและโลหิตชีพจร ในยุคสมัยนี้จึงมีการแบ่งแยกเกิดขึ้น”
ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากัน จู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องของเด็กผู้หญิง “แม่… แม่…”
หานเซิ่นหันไปมองและเห็นแม่วัยสาวล้มลงไปกับพื้น การ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามาและใช้แส้ในมือฟาดใส่เธอ
แม่วัยสาวคนนั้นดูเหมือนจะมีบางสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับร่างกาย ซึ่งทำให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกอดเด็กผู้หญิงที่กำลังร้องไห้และปล่อยให้แส้ฟาดมาถูกแค่เธอเพียงคนเดียว
ทันใดนั้นก็มีมือยื่นมาจับแส้เอาไว้ มันคือมือของชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอกและการที่เขามีกุญแจข้อมือข้อเท้าอยู่ มันก็เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหนึ่งในทาสที่ถูกขาย
“เจ้าควรรู้จักการให้อภัย ถึงจะฆ่าพวกนางไปก็ไม่เป็นผลดีอะไรต่อเจ้า เจ้ามีแต่จะสูญเสียรายได้” ชายวัยกลางคนปล่อยแส้ไปขณะที่เขาพูดกับการ์ดคนนั้น
การ์ดนั้นมักจะชอบรังแกทาส ตอนนี้เมื่อมีทาสคนหนึ่งกล้าหือกับเขา เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายหมิ่นเกียรติของเขา เขาฟาดแส้ใส่ทาสคนนั้นพร้อมกับขึ้นเสียงว่า “ข้ายินดีที่จะฟาดแส้ใส่พวกเจ้าจนตาย!”
ชายวัยกลางคนยอมรับแส้ที่ฟาดเข้ามา ทำให้มีรอยเลือดปรากฏบนร่างกายของเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ปล่อยให้แส้ฟาดไปถูกแม่ลูกคู่นั้น เขายังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิม
เมื่อเห็นแบบนั้นการ์ดก็รู้สึกโกรธยิ่งกว่าเดิม เขาออกแรงมากขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ถ้าเจ้าอยากตายมากนัก ข้าก็จะทำให้เจ้าสมหวังเอง”
ทันใดนั้นข้อมือของเขากก็ถูกจับเอาไว้โดยมือของใครบางคน มันทำให้เขาไม่สามารถฟาดแส้ได้อีกต่อไป
“เจ้ากำลังทำอะไร?” การ์ดเห็นว่าคนที่เข้ามาหยุดเขาเอาไว้นั้นไม่ใช่ทาส แต่เป็นคนที่โดยสารยานอวกาศมาด้วยกัน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่ได้ปฏิบัติกับหานเซิ่นอย่างเลวร้ายเช่นเดียวกับที่เขาทำกับเหล่าทาส
“พวกเขาทั้งสามคนนี้ราคาเท่าไหร่? ข้าจะซื้อตัวพวกเขา”
หานเซิ่นปล่อยมือและชี้ไปที่ชายวัยกลางคน แม่วัยสาวและลูกของเธอ
“ต้องการจะซื้อทาสทั้งสามคนนี้อย่างนั้นหรอ?” คนที่ดูเหมือนกับผู้จัดการเดินเข้ามาและตรวจเช็คหานเซิ่น
“ผู้จัดการเหวิน!” การ์ดรีบโค้งคำนับคนๆนั้น เขาปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาทมากๆ
“ใช่” หานเซิ่นพูดพร้อมกับพยักหน้า
ผู้จัดการเหวินจ้องไปที่หานเซิ่นอยู่ชั่วครู่และยิ้ม “ทาสพวกนี้เป็นทาสสำหรับเซเว่นฮาร์ทส์ดีพาร์”
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกราคาที่สูงกว่าพวกเขามา” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
ผู้จัดการเหวินดูดีใจที่ได้รู้ว่าวันนี้เขาได้พบกับเศรษฐีคนหนึ่งเข้า เขาคิดกับตัวเอง ‘ในเมื่อหมูอ้วนตัวหนึ่งเสนอหน้ามาถึงที่… แบบนี้ข้าคงจะไม่โก่งราคาก็ไม่ได้แล้ว’
ที่ผู้จัดการเหวินพูดเป็นความจริง ทาสเหล่านี้เป็นทาสสำหรับเซเว่นฮาร์ทส์ดีพาร์ทเมนต์ และโดยปกติแล้วในระหว่างการขนส่งทาสนั้นมักจะมีทาสตายไปคนสองคนเสมอ ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงนำทาสมามากกว่าที่จำเป็นเพื่อจะได้มีทาสสำรองเอาไว้
ในครั้งนี้เขามีทาสสำรองอยู่หลายคน ดังนั้นถ้ามีคนยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่า เขาก็ไม่รังเกียจที่จะขายทาสทั้งสามคน
“เจ้ากำลังสร้างปัญหาให้กับข้า” ผู้จัดการเหวินตัดสินใจจะโก่งราคาหานเซิ่น ดังนั้นเขาจึงพยายามทำเหมือนกับนี่เป็นเรื่องที่ยากมากๆ
หานเซิ่นมองไปที่ผู้จัดการเหวินและถาม “ราคาเท่าไหร่ถึงจะไม่สร้างปัญหาให้กับเจ้า?”
ในที่สุดผู้จัดการเหวินก็ยิ้มและพูด “เห็นแก่ที่เจ้าต้องการพวกเขาจริงๆ ข้าก็จะขายพวกเขาให้กับเจ้าในราคาต่ำ จ่ายมาสามพันฉิน เจ้าเอาพวกเขาทั้งสามไปได้เลย และถ้าทางทางเซเว่นฮาร์ทส์ดีพาร์ทเมนต์ต้องการคำอธิบาย ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง”
“สามพันฉินจะไม่สูงเกินไปหน่อยหรอ?” มิสเตอร์หยางพูดขึ้นมา ในราคาตลาด ทาสผู้ใหญ่มักจะราคาแค่ห้าสิบถึงหกสิบฉินเท่านั้น แม้แต่ทาสคนหนุ่มสาวก็จะมีราคาไม่เกินร้อยฉิน ยิ่งทาสที่ส่งตัวมาเป็นกลุ่มจะมีราคาที่ถูกยิ่งกว่า ทาสสามคนในราคาสามพันฉิน ไม่ว่าดูยังไงราคามันก็สูงเกินไป
“เจ้าจะพูดแบบนั้นไม่ได้ พวกเขาเหล่านี้เป็นทาสที่เซเว่นฮาร์ทส์ดีพาร์ทเมนต์ต้องการ ที่ข้ายอมขายพวกเขาให้กับพวกเจ้าก็ถือว่าเป็นอะไรที่เสี่ยงมากแล้ว” ก่อนที่ผู้จัดการเหวินจะพูดจบ หานเซิ่นก็พูดขัดขึ้นมา
เขาพูดกับมิสเตอร์หยางว่า “มิสเตอร์หยาง มอบเงินให้กับเขา ข้าต้องการทั้งสามคนนี้”
มิสเตอร์หยางเชื่อว่าถูกโก่งราคา แต่ในเมื่อหานเซิ่นยอมตกลง เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมอบเงินสามพันฉินให้กับผู้จัดการเหวิน
“เจ้าเป็นคนฉลาด ถ้าเจ้ายังต้องการอะไรอีก เจ้ามาหาข้าได้” ผู้จัดการเหวินพูด ขณะที่เขารับเงินจากมิสเตอร์หยาง สีหน้าของเขาดูดีใจมากๆ
มันก็แค่ทาสสามคน พวกเขาไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก ถึงอย่างนั้นผู้จัดการเหวินกลับสามารถขายทาสทั้งสามในราคาที่สูงกว่าราคาปกติถึงร้อยเท่า ผู้จัดการเหวินจึงยิ่งกว่ายินดีที่จะมอบสัญญาทาสของทั้งสามคนให้กับหานเซิ่น
หานเซิ่นรับสัญญาทาสมาและส่งมันไปให้กับมิสเตอร์หยาง หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปพยุงแม่และลูกสาวขึ้นมา
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” หานเซิ่นหันไปถามชายวัยกลางคน
“ขอบคุณ นายน้อยมากที่ช่วยข้าเอาไว้ ชื่อของข้าคือเจียงปู้กู่” ชายวัยกลางคนพูด
หลังจากที่ได้ยินชื่อนั้น ทุกคนที่อยู่รอบๆก็ดูตกใจเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นการ์ดที่ฟาดแส้ใส่เหล่าทาสก็มีสีหน้าดูถูกและพูดขึ้นว่า
“เจ้าเป็นแค่ทาส แต่เจ้าใช้ชื่อว่าเจียงปู้กู่ เจ้าไม่กลัวว่าคนอื่นจะตัดหัวของเจ้าหรือยังไง?”
คนอื่นๆหัวเราะและพูด “ทาสคนนี้กล้ามาก เขาใช้ชื่อเดียวกันกับราชครูของอาณาจักรฉิน ถึงพวกเขาจะชื่อว่าเจียงปู้กู่เหมือนกัน แต่ชีวิตของพวกเขาต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งเป็นราชครูที่มีชื่อเสียงของอาณาจักรฉิน ส่วนอีกคนเป็นแค่ทาสราคาถูก”
ผู้จัดการเหวินเองก็คิดว่ามันตลก “คาดไม่ถึงว่าชื่อของทาสคนนี้คือเจียงปู้กู่ แต่ถ้าเขาขายได้ในราคาสามพันฉิน ข้าก็ไม่สนใจว่าเขาจะมีชื่อว่าอะไร”
ด้วยการที่ทุกคนพูดถึงมัน หานเซิ่นก็ได้เข้าใจถึงที่มาของชื่อเจียงปู้กู่ ราชครูเป็นหนึ่งในสามเจ้าหน้าที่หลักของอาณาจักร ในตอนที่พระราชายังเด็กเกินไปหรือไม่มีใครครองบัลลังก์นั้น ราชครูก็จะเป็นคนที่รับหน้าที่ปกครองอาณาจักรชั่วคราว
เจียงปู้กู่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ราชครู เขายังเป็นนักดาบอันดับหนึ่งของอาณาจักรฉิน แต่เมื่อสิบปีก่อนเจียงปู้กู่ได้หายตัวไป และไม่มีใครได้ยินเกี่ยวกับเขามาเป็นเวลานานแล้ว
ด้วยเหตุนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าทาสตรงหน้าของพวกเขาจะเป็นเจียงปู้กู่นักดาบอันดับหนึ่งของอาณาจักรฉิน
หานเซิ่นเองก็ไม่รู้ว่าคนๆนี้จะใช่เจียงปู้กู่ตัวจริงหรือไม่ เพราะเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่เขาสามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นคนที่พิเศษ ถึงจะดูเงียบๆ แต่ออร่าของเขาแตกต่างไปจากของคนอื่นๆ
หลี่ปิงหยูสังเกตเจียงปู้กู่อย่างละเอียด เธอเองก็ไม่เชื่อว่าเจียงปู้กู่จะกลายเป็นทาสไปได้ แต่ขณะที่เธอสังเกตเขา เธอก็รู้สึกว่าทาสคนนี้ดูคุ้นๆ
ถึงแม้หลี่ปิงหยูจะไม่เคยพบเจียงปู้กู่มาก่อน แต่มันมีภาพวาดของเจียงปู้กู่อยู่ในพระราชวังหวูเว่ยเต๋า ชายวัยกลางคนๆนี้ดูแก่กว่าเจียงปู้กู่ในภาพวาดอยู่เล็กน้อย และเขาไม่ได้ให้ความรู้สึกที่สูงส่งเหมือนอย่างเจียงปู้กู่ในภาพวาด แต่เมื่อเธอมองดูดีๆ คิ้วของเขาดูคล้ายคลึงมากๆ
ตอนที่ 3066 โฮลี่เหวินไวท์เดียร์
ดาวตูรินนั้นแตกต่างไปจากดาวปกติ มันเป็นดวงดาวที่ไม่วิหารพระเจ้า และเนื่องจากมันไม่มีวิหารพระเจ้า มันจึงไม่มีเมืองที่ถูกสร้างขึ้นรอบๆวิหาร
ด้วยเหตุนั้นดาวตูรินจึงเป็นดาวหายากที่มีเมืองอยู่หลายเมือง บนดาวตูรินนั้นมีเมืองเล็กๆอยู่เป็นร้อยเมือง
ในตอนที่หานเซิ่น มิสเตอร์หยาง โกสต์คิลล์ เจียงปู้กู่และแม่กับลูกสาวกำลังเดินไปบนถนนของเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดที่มีชื่อว่าเมืองสปิริตไลท์
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ถ้าเจ้ามีที่ต้องไป ข้าก็แนะนำให้พวกเจ้าไปซะ” หานเซิ่นพูดกับเจียงปู้กู่ที่กำลังเดินตามมา
เจียงปู้กู่ส่ายหัว “นายน้อยจ่ายเงินสามพันฉินเพื่อซื้อตัวข้า นอกซะจากข้าจะทำบางสิ่งเพื่อตอบแทนนายน้อย ไม่อย่างนั้นร่างกายนี้ก็เป็นของนายน้อย”
หานเซิ่นหัวเราะและไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น เขาแค่หันมามองสองแม่ลูกและพูด “ถ้าพวกเจ้าต้องการไป ข้าจะมอบเงินจำนวนหนึ่งให้พวกเจ้าเพื่อไปใช้เริ่มต้นชีวิตใหม่”
“ได้โปรดให้พวกเราไปกับนายน้อยด้วย!” แม่วัยสาวดึงลูกสาวมาใกล้เพื่อก้มลงกราบต่อหน้าหานเซิ่น
“ลุกขึ้น ถ้าเจ้าต้องการจะอยู่ต่อ ข้าก็ไม่ว่าอะไร”
หานเซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อยและให้มิสเตอร์หยางช่วยพวกเขาลุกขึ้น หลังจากนั้นเขาก็หันไปถามมิสเตอร์หยางว่า “มิสเตอร์หยาง เจ้ารู้ไหมว่าราชาฉินเคยอาศัยอยู่ที่ไหน?”
“ราชาฉินอาศัยอยู่ที่เมืองราชาฉิน ข้าได้ยินมาว่าเมื่อก่อนนั้นมันไม่มีเมืองอยู่ แต่ในภายหลังเมืองถูกสร้างขึ้นมาในสถานที่ที่ราชาฉินเคยอยู่อาศัย” มิสเตอร์หยางเล่าตำนานและเรื่องราวให้หานเซิ่นฟังขณะที่พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ
ในเวลาเดียวกันภายในเซเว่นฮาร์ทส์ดีพาร์ทเมนต์ ใบหน้าของผู้จัดการเหวินซีดเผือก เขาอ้าปากค้างขณะที่เขาจ้องไปที่หัวหน้าของเซเว่นฮาร์ทส์ดีพาร์ทเมนต์ ฟางฉีหยวนด้วยตกใจอย่างที่สุด
“หัวหน้าฟางล้อเล่นใช่ไหม?” ผู้จัดการเหวินพูดอย่างตะกุกตะกัก
“ใครจะมีเวลามาล้อเล่นกับเจ้า? คนที่เจ้าขายไปคือเจียงปู้กู่ตัวจริง เขาคือราชครูของอาณาจักรฉินที่มีชื่อเสียง” ฟางฉีหยวนมองผู้จัดการเหวินราวกับว่าเขาเป็นคนโง่
ผู้จัดการเหวินยังคงไม่อยากจะเชื่อ “นั่นควรจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเขาคือราชครูเจียงปู้กู่จริงๆ เขาจะกลายเป็นทาสให้คนอื่นรังแกได้ยังไงกัน? มันต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ๆ”
ฟางฉีหยวนหัวเราะอย่างเย็นชา “ราวๆสิบปีก่อน เจียงปู้กู่ได้รับคำสั่งจากองค์ราชาให้ไปที่พระราชวังหวูเว่ยเต๋าตามลำพัง เขาจำเป็นต้องฆ่าผู้นำสองคนของพระราชวังหวูเว่ยเต๋าและไล่พวกเขาออกไปจากดินแดนของอาณาจักรฉิน แต่อาจารย์สอนดาบของเจียงปู้กู่คือปรมาจารย์ดาบที่เป็นหนึ่งในผู้นำทั้งเก้าของพระราชวังหวูเว่ยเต๋า เขารู้สึกว่าเขาได้ทรยศอาจารย์ของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหยุดต่อสู้เป็นเวลายี่สิบปี ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย เขาจะไม่ต่อสู้กับใครอีก นอกจากนั้นเขายังลาออกจากราชสำนักและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
“เมื่อก่อนนั้นข้าเคยเห็นเจียงปู้กู่อยู่หลายครั้ง และข้ายังได้เห็นเขาบุกโจมตีพระราชวังหวูเว่ยเต๋า คนๆนั้นต้องเป็นเจียงปู้กู่ตัวจริงไม่ผิดแน่”
หลังจากที่พูดแบบนั้น ฟางฉีหยวนก็มองไปที่ผู้จัดการเหวินและพูดต่อ “ถ้าเจ้าเก็บเจียงปู้กู่เอาไว้ ไม่ว่าเจ้าจะส่งเขาไปที่อาณาจักรฉินหรือขายเขาให้กับพระราชวังหวูเว่ยเต๋า เจ้าก็จะได้รับค่าตอบแทนมหาศาล ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะขายเขาด้วยราคาแค่สามพัน”
เมื่อผู้จัดการเหวินได้ยินแบบนั้น เขาก็ล้มลงไปกับพื้นอย่างหมดสภาพ เขาเหมือนกับคนบ้าที่พูดประโยคซ้ำๆว่า “ข้าขายราชครูของอาณาจักรฉินเจียงปู้กู่ในราคาสามพันฉิน…”
ดวงตาของฟางฉีหยวนดูเหมือนกับว่ากำลังลุกเป็นไฟ “มันยังผ่านมาไม่ถึงยี่สิบปี ดูเหมือนว่าเจียงปู้กู่จะรักษาคำสาบานของเขา มันต้องเป็นโชคชะตาที่พระเจ้ามอบให้กับข้า”
หานเซิ่นและคนอื่นๆไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในเซเว่นฮาร์ทส์ดีพาร์ทเมนต์ แต่หลี่ปิงหยูกำลังมองไปที่เจียงปู้กู่อย่างเงียบๆ สายตาของเธอดูอาฆาต
เจียงปู้กู่นั้นได้ฆ่าผู้นำสองคนของพระราชวังหวูเว่ยเต๋า หนึ่งในสองคนนั้นคืออาจารย์ของหลี่ปิงหยู ไม่อย่างนั้นโดยปกติแล้วด้วยอายุและประสบการณ์ของหลี่ปิงหยู เธอคงจะยังไม่ได้รับตำแหน่งผู้นำ
ด้วยเหตุนั้นเจียงปู้กู่จึงเป็นศัตรูคู่อาฆาตของหลี่ปิงหยู แต่หลี่ปิงหยูนั้นยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเจียงปู้กู่ตรงหน้าคือราชครูของอาณาจักรฉินตัวจริง เนื่องจากเธอไม่ได้เห็นการต่อสู้ด้วยตาตัวเอง
ขณะที่หลี่ปิงหยูกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ จู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ฟังดูเหมือนกับเม็ดฝน มีชายในชุดสีขาวกำลังขี่กวางสีขาว แต่ทว่าเขามีหนวดสีดำ กวางขาวนั้นงดงามยิ่งกว่าม้า และร่างกายของมันก็เรืองแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา
หานเซิ่นเองก็เห็นกวางและชายคนนั้น เขาเห็นว่ากวางขาวนั้นกำลังตรงเข้ามาทางพวกเขา ด้วยเหตุนั้นเขาจึงหยุดเดิน
กวางขาวหยุดวิ่งในตอนที่มันอยู่ห่างจากพวกเขาสามสิบฟุต มันวิ่งมาอย่างรวดเร็ว แต่มันก็สามารถหยุดตัวเองได้ในทันที มันเหมือนกับว่ากวางขาวนั้นถูกแช่แข็งบนพื้นอย่างไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
“ข้าได้ยินว่าเจ้าซื้อทาสสามคนในราคาสามพันฉิน ข้าขอแลกเปลี่ยนหนึ่งในพวกเขากับเงินสามหมื่นฉิน ฟังดูเป็นยังไง?”
ฟางฉีหยวนนั่งอยู่บนหลังกวางขาวและยิ้ม เขาไม่ได้มองไปที่หานเซิ่นแม้แต่นิดเดียว เขาเอาแต่จ้องไปที่เจียงปู้กู่
“ข้าจะไม่แลกเปลี่ยนเขากับเงินสามหมื่นฉิน” หานเซิ่นพูดขณะที่เขามองไปที่ฟางฉีหยวน
มิสเตอร์หยางมองหานเซิ่นอย่างจริงจังและกระซิบบอกเขาว่า
“นายท่านต้องระวังเอาไว้ ยีนเรซที่ชายคนนั้นกำลังขี่อยู่ ต้องเป็นโฮลี่เหวินไวท์เดียร์ร่างสุดยอดไม่ผิดแน่ ในอาณาจักรฉินมันจัดอยู่ในท็อปร้อย”
ฟางฉีหยวนเมินเฉยต่อหานเซิ่นและมิสเตอร์หยาง เขาแค่มองไปที่เจียงปู้กู่และถาม “ราชครู เจ้ายังจำข้าได้ไหม? ข้าคือฟางฉีหยวน”
หลังจากที่พูดแบบนั้น มิสเตอร์หยางก็ดูตกใจมาก เขาไม่ได้คาดคิดว่าทาสคนนั้นจะเป็นเจียงปู้กู่ราชครูของอาณาจักรฉินจริงๆ
เจียงปู้กู่มองไปที่ฟางฉีหยวนอย่างสงบนิ่งและพูด “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของผู้นำฝ่ายนภา ข้าเคยเห็นเจ้าบนยอดเขาวิถีนภา เจ้ายืนอยู่ถัดจากผู้นำฝ่ายนภา”
“ถ้าเจ้ารู้ขนาดนั้น มันก็ไม่มีความจำเป็นที่ข้าต้องพูดอ้อมค้อมอีก”
ฟางฉีหยวนพูดอย่างเย็นชา “ความแค้นของพระราชวังหวูเว่ยเต๋า วันนี้ข้าจะให้เจ้าชดใช้มัน”
เขารวมร่างกับโฮลี่เหวินไวท์เดียร์ มันทำให้ร่างกายของฟางฉีหยวนแข็งแกร่งขึ้น หัวของเขามีเขากวางคู่อันศักดิ์สิทธิ์งอกออกมา มือทั้งสองข้างของเขาเปลี่ยนเป็นกีบเท้าของกวางที่ถูกสลักด้วยตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์
ฟางฉีหยวนส่งฝ่ามือออกไปใส่เจียงปู้กู่ แสงศักดิ์สิทธิ์บนตัวของเขาไหลไปรวมตัวกันที่ตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์บนฝ่ามือ ทำให้ตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์เรืองแสงขึ้นมา
ตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์นั้นดูเหมือนกับว่ากำเนิดจากท้องฟ้าและผืนดิน มันกระตุ้นพลังของท้องฟ้าและผืนดิน มันทำให้หานเซิ่นและคนอื่นๆรู้สึกราวกับว่าพวกเขาจะถูกบดขยี้ภายใต้อักษรศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเหมือนกับภูเขานั่น
เจียงปู้กู่แค่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบนิ่ง ขณะมองไปที่ฟางฉีหยวนที่พยายามโจมตีใส่เขา เขาไม่ได้คิดจะหลบหลีกหรือตอบโต้ และเขาก็ไม่ได้เรียกยีนเรซออกมาเพื่อรวมร่าง
หานเซิ่นแค่มองดูอยู่เฉยๆ แต่ในตอนที่เขาเห็นว่าฝ่ามือของฟางฉีหยวนกำลังจะถูกร่างกายของเจียงปู้กู่นั้น เจียงปู้กู่ก็ยังไม่ขยับเขยื้อน มันเหมือนกับว่าเขายินดีที่จะยอมรับความตาย นี่ทำให้หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ
เขาสัมผัสได้ว่าเจียงปู้กู่นั้นไม่คิดจะตอบโต้ เขายินดีที่จะรับการโจมตีนั้น
ฟางฉีหยวนดูอาฆาตและตื่นเต้นมากๆเมื่อเห็นว่าแม้ตัวเองจะต้องตาย เจียงปู้กู่ก็ยังคงรักษาคำสาบานของตัวเอง วันนี้ในที่สุดฟางฉีหยวนจะกำจัดศัตรูของพระราชวังหวูเว่ยเต๋าได้สำเร็จ
ไม่สำคัญว่าเจียงปู้กู่จะมีชื่อเสียงโด่งดังมากเพียงใด ถ้าเขาไม่รวมร่างกับยีนเรซ มันก็ไม่มีทางที่เขาจะทนรับตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์ของฟางฉีหยวนได้
แต่ทันใดนั้นจู่ๆก็มีมือของใครบางคนมาดึงเจียงปู้กู่ไปด้านข้าง มันทำให้การโจมตีของฟางฉีหยวนถูกความว่างเปล่า
ฟางฉีหยวนขมวดคิ้ว เขามองไปยังคนที่ดึงแขนเจียงปู้กู่และพบว่ามันคือคนที่ซื้อตัวเจียงปู้กู่ไปด้วยเงินสามพันฉิน หานเซิ่น
“พวกเรายังไม่ได้ตกลงราคากันเลย แต่เจ้าก็พยายามจะเอาตัวเขาไปแล้ว เจ้านี่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” หานเซิ่นยิ้มให้กับฟางฉีหยวน
ตอนที่ 3067 อีวิลบลัด
สำหรับฟางฉีหยวนแล้วนี่ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากๆ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะฆ่าเจียงปู้กู่ให้ได้
ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงปู้กู่ตัดสินใจจะหยุดต่อสู้เป็นเวลายี่สิบปี ถึงแม้จะมีกองทหารนับพันและยานรบเต็มท้องฟ้า มันก็เป็นไปได้ที่จะเอาชนะเขา
ฟางฉีหยวนรู้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้โอกาสนี้เพื่อฆ่าเจียงปู้กู่ ชื่อเสียงของเขาในฝ่ายนภาจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก สักวันหนึ่งเขาอาจจะได้กลายเป็นผู้นำของฝ่ายนภาถ้าเขาทำงานนี้สำเร็จ
ฟางฉีหยวนส่งฝ่ามือที่เป็นเหมือนดั่งขุนเขาออกไปเพื่อบดขยี้หานเซิ่น เขายินดีจะฆ่าทุกคนที่กล้ามาขวางของเขา ตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์บนฝ่ามือของเขาเรืองแสงออกมา มันเหมือนกับว่าภูเขาที่ถล่มลงมา แต่หานเซิ่นไม่แสดงทีท่าว่าจะหลบ เขารวมร่างกับบลัดโกสต์สปิริต
ราชานกยูงปีกทองยังคงอยู่ระหว่างการวิวัฒนาการ และแมวน้อยก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ นอกจากนั้นมันไม่ใช่ยีนเรซที่หานเซิ่นเป็นเจ้าของอย่างเป็นทางการ มันไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของหานเซิ่น ถ้าเขาต้องการจะรวมร่างกับมัน เขาก็จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากแมวน้อย ด้วยเหตุนั้นยีนเรซที่หานเซิ่นสามารถพึ่งพาได้ในตอนนี้จึงมีแค่บลัดโกสต์สปิริต
มีลมปราณสีม่วงออกมาจากร่างกายของหานเซิ่น ทันใดนั้นก็มีหางลิงงอกออกมาจากก้นของเขา เส้นผมของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงและตัวของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ร่างกายของเขามีแสงสีม่วงประหลาดห่อหุ้ม มันกำลังลุกโชนเหมือนกับเปลวไฟสีม่วง มันทำให้ผิวและผมของหานเซิ่นดูเหมือนกับแอเมทิสต์สีม่วง
“รวมร่างกับบลัดโกสต์สปิริตสำเร็จ คุณได้รับวิชาประสานยีนอีวิลบลัด”
หานเซิ่นไม่รู้ว่าวิชาประสานยีนอีวิลบลัดคืออะไร แต่เขารู้สึกได้ถึงพลังประหลาดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา มันไหลตามการเคลื่อนไหวหมัดของหานเซิ่น
Pang!
หมัดที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงสีม่วงของหานเซิ่นปะทะกับตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์ของฟางฉีหยวน ผลลัพธ์ของมันคือการระเบิด หานเซิ่นยังคงยืนอยู่ที่เดิมและไม่ได้ขยับไปไหน ตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายด้วยหมัดของเขา และมันยังคงพุ่งต่อไปหาฝ่ามือของฟางฉีหยวน มือของฟางฉีหยวนที่ดูเหมือนกับกีบเท้าของกวางแตกกระจายและกระเด็นออกไป
Blergh!
ฟางฉีหยวนพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้น แสงศักดิ์สิทธิ์บนตัวของเขาดูริบหรี่ขณะที่เลือดกระอักออกมา เขาจ้องไปที่หานเซิ่นกับเจียงปู้กู่และพูด
“ข้าก็คิดว่าเจียงปู้กู่นั้นไม่กลัวความตาย เจ้าบอกว่าจะไม่ต่อสู้ตลอดยี่สิบปี แต่ที่ไหนได้เจ้าก็แค่จอมโกหกที่หลอกลวงทุกคน เจ้าบอกว่าเจ้าจะรักษาคำสาบานและตัดขาดจากอาณาจักรฉิน แต่ความจริงแล้วเจ้ากลับมีคนระดับสูงของอาณาจักรฉินคอยปกป้อง ดีมากราชครูเจียงปู้กู่ คำสาบานของเจ้ามันเหลวไหลทั้งเพ”
เจียงปู้กู่ดูสงบนิ่ง เขาไม่ต้องการจะโต้เถียงกับฟางฉีหยวน หานเซิ่นไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป เขามองไปที่ฟางฉีหยวนด้วยความดูถูกและพูด
“ข้าให้เจ้าบอกราคาใหม่ แต่เจ้ากลับปฏิเสธ ตอนนี้เจ้าเริ่มพูดจาไร้สาระ เพียงเพราะเจ้าเอาตัวเขาไปไม่ได้ นี่พระราชวังหวูเว่ยเต๋าไม่ได้เรื่องแบบนี้เสมออย่างนั้นหรอ?”
“หุบปาก! คนบ้าอย่างเจ้ากล้าดียังไงมาดูถูกอำนาจของพระราชวังหวูเว่ยเต๋า? เจ้าคิดว่าเจ้าจะหยุดข้าคนนี้ได้จริงๆอย่างนั้นหรอ? ข้าหัวหน้าของเซเว่นฮาร์ทส์ดีพาร์ทเมนต์นั้นรวมร่างกับยีนเรซเจ็ดตัวได้พร้อมๆกัน การเป็นศัตรูกับข้าจะทำให้เจ้าทำไม่ได้แม้แต่จะร้องขอชีวิต”
ฟางฉีหยวนเตรียมตัวจะใช้โลหิตชีพจรเทพสปิริตของเขาและเรียกยีนเรซตัวอื่นออกมาเพื่อรวมร่าง
ยอดฝีมือหลายคนนั้นสามารถรวมร่างกับยีนเรซได้หลายตัวพร้อมกัน มันไม่ใช่สิ่งที่หายากอะไรนักในอาณาจักรทั้งเจ็ด แต่ฟางฉีหยวนบอกว่าเขาเป็นหัวหน้าของเซเว่นฮาร์ทส์ดีพาร์ทเมนต์และสามารถรวมร่างกับยีนเรซเจ็ดชนิดพร้อมๆกัน นั่นถือเป็นอะไรที่หาได้ยาก
ยอดฝีมือทั่วไปนั้นสามารถรวมกับยีนเรซพร้อมกันได้แค่สามถึงสี่ชนิดเท่านั้น และยีนเรซเหล่านั้นจะต้องเป็นยีนเรซที่มีธาตุที่ไม่ขัดแย้งกัน
ยกตัวอย่างเช่นยีนเรซธาตุน้ำจะไม่สามารถรวมกับยีนเรซธาตุไฟได้ การรวมร่างกับยีนเรซที่มีธาตุที่ขัดแย้งกันนั้นจะทำร้ายร่างกายของคนๆนั้น
แต่ทันใดนั้นสีหน้าของฟางฉีหยวนก็ดูย่ำแย่ขึ้นมา เขาต้องการจะเรียกยีนเรซอีกหกตัวออกมาเพื่อรวมร่าง แต่เขาค้นพบว่าการเชื่อมต่อกับโลหิตชีพจรเทพสปิริตนั้นถูกตัดขาดไป และเขาไม่สามารถเรียกยีนเรซที่อยู่ภายในออกมาได้
“เกิดอะไรขึ้น?” ฟางฉีหยวนตกตะลึง เขามองเข้าไปในตัวเองและสังเกตเห็นว่าเครื่องหมายโลหิตชีพจรเทพสปิริตมีชั้นของลมปรานสีม่วงปกคลุมอยู่ และเลือดบนบาดแผลของเขาก็กลายเป็นสีม่วง
ทันใดนั้นฟางฉีหยวนก็รู้สึกหนาวขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
“มันคืออีวิลบลัดของบลัดโกสต์สปิริต… เป็นไปไม่ได้… บลัดโกสต์สปิริตนั้นสูญพันธุ์ไปพร้อมกับความตายของโมหลี่แล้วนี่น่า! ทำไมบลัดโกสต์สปิริตถึงมาอยู่ที่นี่ได้…”
ฟางฉีหยวนมองดูรูปลักษณ์ของหานเซิ่นและสังเกตเห็นว่าเขาดูคล้ายคลึงกับบลัดโกสต์สปิริตในตำนาน มันเป็นยีนเรซพิเศษที่สามารถสังหารราชาของอาณาจักรได้
“เมื่อกี๊เจ้าพูดว่ายังไงนะ?” หานเซิ่นยิ้มให้กับฟางฉีหยวน
ร่างกายของฟางฉีหยวนสั่นรัว เขารีบหันกลับและบินหนีไป เขาเพิ่งรวมร่างกับแค่โฮลี่เหวินไวท์เดียร์เท่านั้น เขาก็รู้ว่าไม่สามารถเอาชนะหานเซิ่นในสภาพนี้ได้ ถ้าเขาไม่หนีไป เขาก็ต้องตายอยู่ที่นี่
‘เวรเอ้ย! ข้าควรจะคาดเดาเรื่องนี้เอาไว้แล้ว มันไม่มีทางที่เจียงปู้กู่จะปล่อยให้ตัวเองถูกฆ่าตาย’ ฟางฉีหยวนคิด
“เจ้าแสร้งทำเป็นคนใจแข็ง แต่หลังจากนั้นเจ้ากลับพยายามบินหนี เจ้าคิดว่าหานเซิ่นคนนี้เป็นใครกัน” หานเซิ่นพูดอย่างเย็นชา เขายกเสาโลหะขึ้นและขว้างมันออกไปใส่ฟางฉีหยวนเหมือนกับจรวดมิสไซล์ ด้วยแรงมหาศาลของหานเซิ่น เสาโลหะนั้นไปถึงข้างหลังของฟางฉีหยวนในชั่วพริบตา
แค่ได้ยินเสียงพุ่งเข้ามา ฟางฉีหยวนก็รู้ว่าเขาไม่สามารถหลบมันได้พ้น เขารวบรวมพลังและหันกลับไปเพื่อใช้หมัดชกใส่เสาโลหะ
มันมีเสียงที่ดังมากๆดังขึ้นมา ฟางฉีหยวนรู้สึกราวกับว่ากำปั้นของเขาจะแตกสลาย แรงจากการปะทะนั้นผ่านมาถึงอกของเขาและทำให้เขากระอักเลือดออกมา เขาร่วงลงมากระแทกกับพื้นจนเกิดเป็นร่องลึก
ฟางฉีหยวนต้องการจะกระโดดขึ้นมา แต่เขาเห็นหานเซิ่นปรากฎตัวตรงหน้าและจ้องมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่อาณาจักรฉินมีคนหนุ่มที่น่ากลัวขนาดนี้อยู่?”
ฟางฉีหยวนเสียใจกับการกระทำของตัวเอง เขาสอดแนมอาณาจักรฉินมาเป็นเวลากว่าสิบปี เขาคิดว่าตัวเองรู้เกี่ยวกับยอดฝีมือทุกคนของอาณาจักรฉิน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะมีคนที่ทรงพลังอย่างหานเซิ่นอยู่ ในความทรงจำของเขา อาณาจักรฉินนั้นไม่มียอดฝีมือแบบนี้อยู่ แต่มันสายเกินไปแล้วที่เขาจะมารู้สึกเสียใจในตอนนี้
หานเซิ่นยิ้มกับฟางฉีหยวนขณะที่ถามขึ้นว่า “ชื่อของเจ้าคือฟางฉีหยวนอย่างนั้นใช่ไหม?”
“ฆ่าข้า ถ้านั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการ อย่าเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับข้า”
ฟางฉีหยวนรู้ว่าเขาจะต้องตาย เพราะยังไงซะคู่ต่อสู้ของเขาก็มียีนเรซที่ทรงพลังมากๆอย่างบลัดโกสต์สปิริตอยู่ เขาคิดว่าอีกฝ่ายมีความเกี่ยวข้องกับโมหลี่ บางทีพวกเขาอาจจะเป็นนักฆ่าที่สมคบคิดกัน การหนีจากคนแบบนั้นเป็นอะไรที่ยากเกินไปสำหรับเขา
แถมเขาถูกพลังอีวิลบลัดของบลัดโกสต์สปิริตด้วย เขาไม่สามารถเรียกยีนเรซออกมาได้ แถมเขายังได้รับบาดเจ็บหนัก มันจึงเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่เขาจะหนีไป
“ถ้าเจ้าอยากตาย มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ถ้าเจ้าต้องการจะมีชีวิตรอด มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” หานเซิ่นยิ้มขณะที่พูดกับฟางฉีหยวน
“เจ้าต้องการให้ข้าทรยศพระราชวังหวูเว่ยเต๋าอย่างนั้นหรอ? ไม่มีทาง!” ฟางฉีหยวนพูดอย่างแน่วแน่
“ข้าไม่ใช่คนของอาณาจักรฉิน ดังนั้นการทรยศพระราชวังหวูเว่ยเต๋าของเจ้าจะไปมีประโยชน์อะไรสำหรับข้า” หานเซิ่นพูด
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” ฟางฉีหยวนอึ้งไป เขาคิดว่าหานเซิ่นเป็นยอดฝีมือของอาณาจักรฉินที่ได้รับหน้าที่ให้มาปกป้องเจียงปู้กู่ แต่ตอนนี้หานเซิ่นบอกว่าเขาไม่ใช่คนของอาณาจักรฉิน มันทำให้ฟางฉีหยวนรู้สึกสับสนจนคิดอะไรไม่ถูก
“ข้าค่อนข้างชอบโฮลี่เหวินไวท์เดียร์ของเจ้า ข้ากำลังต้องการสัตว์ขี่ ถ้าเจ้ามอบมันให้กับข้า ข้าจะไว้ชีวิตของเจ้า” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้า… เจ้าคิดว่าจะหลอกข้าได้อย่างนั้นหรอ… เจ้าต้องการเอายีนเรซของข้าไปและเจ้าจะฆ่าข้าในภายหลัง เจ้ามันเป็นจอมโกหก!” ฟางฉีหยวนไม่เชื่อหานเซิ่น
“ข้าเป็นแค่นักธุรกิจธรรมดาๆคนหนึ่ง ข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับชายคนนั้น ข้าแค่บังเอิญซื้อตัวเขามาโดยที่ไม่ได้รู้ว่าเขาเป็นใคร ถ้าเจ้ายอมมอบสิ่งตอบแทนที่เหมาะสมให้กับข้า ข้าก็คงจะยอมขายเขาให้กับเจ้า มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องต่อสู้ขึ้นกัน เจ้าไม่เชื่อข้าก่อนหน้านี้ และตอนนี้เจ้าก็ยังคงไม่เชื่อข้าอีก มันจึงเป็นเรื่องยากที่ข้าจะอดกลั้นความอยากจะฆ่าเจ้าได้” หานเซิ่นถอนหายใจและเดินเข้าไปใกล้ๆ
“ข้าไม่ได้ต้องการจะฆ่าเจ้า แต่ถ้าเจ้าอยากตายมากขนาดนั้น ข้าก็จะช่วยเจ้าอีกแรง”
เมื่อเห็นหานเซิ่นเดินเข้ามากใกล้ ฟางฉีหยวนก็รีบตะโกนขึ้นว่า
“เดี๋ยวก่อน! ข้าจะมอบโฮลี่เหวินไวท์เดียร์ให้กับเจ้า… แต่เจ้าจะไว้ชีวิตข้าจริงๆใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลี่ปิงหยูที่ดูเหตุกาณ์อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าที่ดูย่ำแย่มากๆ เธอเป็นหนึ่งในผู้นำของพระราชวังหวูเว่ยเต๋า เธอรู้สึกไม่พอใจที่เห็นหนึ่งในพรรคพวกของเธอเป็นคนที่รักตัวกลัวตายแบบนั้น
โชคดีที่เธอสวมใส่หน้ากากอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่มีใครเห็นใบหน้าของเธอ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น