Super God Gene 3058-3059

 ตอนที่ 3058 เรื่องราวของยีนเวอร์ชั่นเ...

 

เรื่องราวของยีนนี้แตกต่างไปจากเรื่องราวของยีนที่หานเซิ่นฝึก เรื่องราวของยีนที่อยู่บนกำแพงนั้นดูสั้นๆได้ใจความ มันไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก แต่ในขณะเดียวกันมันก็ค่อนข้างลึกซึ้ง มันเหมือนกับในอดีตตอนที่หานเซิ่นจำเป็นต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับภาษาโบราณระดับสูงเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์ตงเสวียน


 


ถ้าหานเซิ่นไม่ได้ฝึกเรื่องราวของยีนอยู่ก่อนแล้ว เขาก็คงจะไม่เข้าใจว่าข้อความบนกำแพงนั้นหมายถึงอะไร ถ้าให้พูดเปรียบเทียบ มันก็เหมือนกับว่าเรื่องราวของยีนของที่นี่เป็นเวอร์ชั่นที่ถูกเขียนเอาไว้ในภาษาโบราณ ส่วนเรื่องราวของยีนที่หานเซิ่นฝึกนั้นเป็นเวอร์ชั่นที่เขียนในภาษาสมัยใหม่


 


ถึงการบรรยายจะแตกต่างกัน แต่เนื้อหานั้นคล้ายคลึงกัน มันไม่มีข้อแตกต่างอะไรมากนัก


 


“แปลกจริงๆ เรื่องราวของยีนถูกคิดค้นขึ้นโดยฉินซิวและหานหยี่เฟยไม่ใช่หรอ? ทำไมมันถึงมีเวอร์ชั่นที่เก่ากว่าอยู่ที่นี่ได้?” หานเซิ่นคิดว่าเรื่องนี้เป็นอะไรที่แปลกมากๆ


 


“เจ้าเข้าใจสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้อย่างนั้นหรอ?” โกสต์คิลล์ถาม


 


“ข้าพอจะคาดเดาได้ว่ามันเป็นวิชาประหลาดบางอย่าง” หานเซิ่นตอบ


 


โกสต์คิลล์ส่ายหัว “ข้อความส่วนใหญ่นั้นถูกเขียนโดยภาษาสามัญของจักรวาล แต่หลักไวยากรณ์ของมันเก่าแก่มากๆ มันคงจะถูกเขียนเอาไว้ในยุคออริจินอลสตาร์”


 


“ยุคออริจินอลสตาร์คืออะไร?” หานเซิ่นถาม


 


โกสต์คิลล์มองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ “เจ้าไม่รู้จักยุคออริจินอลสตาร์อย่างนั้นหรอ?”


 


“ข้าไม่ค่อยได้ศึกษาเรื่องในประวัติศาสตร์” หานเซิ่นพูด


 


โกสต์คิลล์ไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้น


“โลหิตชีพจรของทั้งเจ็ดอาณาจักรมีต้นกำเนิดมาจากดวงดาวเดียวกัน ดาวดวงนั้นถูกเรียกว่าออริจินอลสตาร์ ด้วยเหตุนั้นยุคสมัยนั้นจึงถูกเรียกว่ายุคออริจินอลสตาร์ แต่ออริจินอลสตาร์นั้นถูกทำลายไปเมื่อนานมาแล้ว ข้าไม่รู้ว่ามันผ่านมากี่พันล้านปีแล้ว”


 


ขณะที่มองไปที่ตัวอักษรบนกำแพง โกสต์คิลล์พูดต่อไปว่า


“ข้าเคยเห็นข้อมูลเกี่ยวกับยุคออริจินอลสตาร์ ข้อความที่ถูกใช้ในที่แห่งนี้นั้นคล้ายคลึงกับข้อความในยุคสมัยนั้น”


 


หานเซิ่นเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะถามขึ้นว่า “เจ้าจะบอกว่าข้อความพวกนี้ถูกทิ้งเอาไว้จากยุคออริจินอลสตาร์อย่างนั้นหรอ?”


 


โกสต์คิลล์ส่ายหัว “มันไม่ควรเป็นแบบนั้น เพราะในยุคออริจินอลสตาร์ยังไม่มีการเดินทางในอวกาศด้วยซ้ำ ถ้าแบบนั้นมันจะมาอยู่บนภูเขาแอนเชี่ยนท์ก็อตที่อยู่บนดาวดวงอื่นได้ยังไง? บางทีข้อความพวกนี้อาจจะมาจากยุคออริจินอลสตาร์ แต่มีใครบางคนมาเขียนมันเอาไว้ที่นี่ในภายหลัง”


 


“เจ้าของที่แห่งนี้คือใครกัน? ทำไมเขาถึงได้มาสร้างปราสาทหินเอาไว้ในที่แบบนี้?” โกสต์คิลล์หันไปมองที่โครงกระดูก


 


พวกเขาทั้งคู่สำรวจภายในปราสาทหินจนทั่วแล้ว แต่มันไม่มีอะไรพิเศษ มันเหลือเพียงแค่โครงกระดูกและเตาหินที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางห้องโถงเท่านั้นที่พวกเขายังไม่ได้ตรวจเช็ค


 


“ถ้าเจ้าสนใจ ทำไมเจ้าไม่ลองไปตรวจเช็คมันดู?” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม


 


หานเซิ่นอยากรู้เกี่ยวกับเจ้าของปราสาทหินแห่งนี้มากกว่าโกสต์คิลล์ซะอีก แต่เขาไม่แสดงมันออกมา


 


“แน่นอน ข้าจะลองดู” โกสต์คิลล์ไม่ลอช้า เธอเดินเข้าไปเพื่อจะตรวจเช็คโครงกระดูก


 


แต่ทันใดนั้นมีเงาแสงสีม่วงเว็บขึ้นมา มันเหมือนกับปีศาจที่ทำการโจมตีโกสต์คิลล์จากด้านหลัง เงาสีม่วงนั้นรวดเร็วเกินไป ซึ่งทำให้โกสต์คิลล์ตอบสนองไม่ทัน


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะตอบสนองได้ทัน แต่ร่างกายของเขาถูกจำกัดพลังโดยโลกใบนี้ ยิ่งเขาเคลื่อนไหวเร็วเท่าไหร่ แรงกดดันที่เขารู้สึกก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น มันทำให้เขาไม่มีเวลาพอที่จะช่วยโกสต์คิลล์ได้ทัน


 


ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็เห็นมันอย่างชัดเจน เงาสีม่วงนั้นก็คือเจ้าลิงขนม่วง ร่างกายของมันกำลังเปล่งแสงสีม่วงออกมา มันเคลื่อนที่เข้าไปด้านหลังของโกสต์คิลล์เพื่อจับตัวเธอเอาไว้ ก่อนที่มันจะฝังเขี้ยวลงไปที่หัวของเธอเหมือนกับที่มันทำกับโอหยางชิวซาน


 


ในตอนที่เขี้ยวของมันถูกกับร่างกายของโกสต์คิลล์ ร่างกายของเธอก็กลายเป็นควันสีดำ ซึ่งทำให้เจ้าลิงขนม่วงกัดถูกแต่ความว่างเปล่า ควันสีดำนั้นลอยหนีออกมาก่อนที่จะกลับกลายเป็นร่างกายของโกสต์คิลล์อีกครั้ง


 


ลิงขนม่วงส่งเสียงร้องออกมา ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเงาสีม่วงและเคลื่อนที่เข้าไปหาโกสต์คิลล์อีกครั้ง ทั้งสองต่อสู้กัน และมันบอกได้ยากว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ


 


หานเซิ่นรู้สึกตัวว่าโกสต์คิลล์นั้นแข็งแกร่งกว่าโอหยางชิวซานมาก เธอเหนือกว่าโอหยางชิวซานทั้งประสบการณ์และความสามารถในการต่อสู้ เธอเหนือกว่าโอหยางชิวซานแทบจะทุกด้าน และแม้แต่เจ้าลิงขนม่วงที่มีพลังที่ประหลาดก็ไม่สามารถทำร้ายเธอได้


 


แต่โกสต์คิลล์เองก็ทำอะไรเจ้าลิงขนม่วงไม่ได้เช่นเดียว เจ้าลิงขนม่วงนั้นดูเหมือนจะกังวลเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง มันพยายามจะควบคุมพลังของตัวเองเพื่อไม่ให้ไปสร้างความเสียหายกับสิ่งต่างๆภายในห้องโถง


 


เมื่อเห็นว่าโกสต์คิลล์ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย หานเซิ่นก็เริ่มเดินเข้าไปหาโครงกระดูก เขายื่นมือออกไปค้นตามชุดเกราะด้วยความหวังว่าจะพบอะไรบางสิ่ง


 


เมื่อเจ้าลิงขนม่วงเห็นหานเซิ่นแตะต้องชุดเกราะ มันก็ส่งเสียงร้องประหลาดออกมา ก่อนที่จะเลิกสนใจโกสต์คิลล์และเข้าโจมตีใส่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นยังคงค้นตามชุดเกราะต่อไปขณะที่ใช้มืออีกข้างหนึ่งแกว่งเสาโลหะใส่ลิงขนม่วง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าลิงนั้นสามารถเลื้อยรอบๆเสาโลหะเหมือนกับงูเพื่อตรงเข้าไปหาหานเซิ่น


 


หานเซิ่นค้นพบบางสิ่ง แต่เขาไม่มีเวลาดูว่ามันคืออะไร เขาเก็บมันมาและรีบถอยออกไปได้หลัง


 


ตอนนี้มันเหมือนกับว่าหานเซิ่นกำลังเดินผ่านน้ำที่สูงเหนือเอวอยู่ตลอดเวลา แรงต้านทานที่เขาต้องเผชิญนั้นมันสูงเกินไป มันไม่สำคัญว่าเขาจะพยายามออกแรงมากแค่ไหน เขาไม่สามารถเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วได้ดั่งใจ ถึงแม้เขาจะถอยหนีออกมาอย่างเร็วที่สุด แต่เขาก็ถูกข่วนโดยกรงเล็บของเจ้าลิงขนม่วงอยู่ดี


 


ชุดที่เขาสวมใส่ฉีกขาด แต่กรงเล็บที่แหลมคมของเจ้าลิงนั้นไม่ได้ฝังลึกเข้าไปในผิวหนังของเขา มันแค่ทิ้งรอยแดงบางๆเอาไว้บนผิวหนังของเขาเท่านั้น


 


โกสต์คิลล์รู้สึกแปลกใจแต่มันก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น เธอรีบบินเข้าไปเพื่อต่อสู้กับเจ้าลิงขนม่วงอีกครั้ง


 


ความเร็วของหานเซิ่นนั้นไม่สูงพอ ดังนั้นมันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าไปร่วมการต่อสู้นี้ เขาถอยออกไปเล็กน้อยก่อนที่จะก้มมองสิ่งที่หยิบเอามาจากภายในชุดเกราะ


 


มันเป็นสมุดบันทึกที่ทำจากหนังทั้งเล่ม แม้แต่หน้าของสมุดบันทึกก็ไม่ได้ทำจากกระดาษขาว


 


หานเซิ่นพลิกเปิดมันและเห็นว่าข้อความที่อยู่ภายในเป็นภาษาสามัญของจักรวาล แต่หลักไวยากรณ์เป็นแบบสมัยเก่าเหมือนกับเรื่องราวของยีนที่สลักเอาไว้บนกำแพง


 


หานเซิ่นลองอ่านมันดูและพบว่ามันยากที่จะเข้าใจได้ เขาเข้าใจแค่ส่วนง่ายๆเท่านั้น


 


“คนๆนี้คือเจ้าหน้าระดับสูงของอาณาจักรฉินที่รับหน้าที่จากราชาฉินเพื่อค้นหาวิธีที่จะชุบชีวิตคนขึ้นมา” หานเซิ่นเข้าใจส่วนหนึ่งของมัน ซึ่งทำให้เขาได้รู้ว่าจริงๆแล้วคนๆนี้เป็นคนของฉินซิว


 


ข้อความส่วนใหญ่ของสมุดบันทึกนั้นยากเกินกว่าที่หานเซิ่นจะเข้าใจ และภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่มีเวลามัวมาศึกษาเกี่ยวกับมัน ดังนั้นเขาจึงเก็บสมุดบันทึกไปและหันมาให้ความสนใจกับการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้น เขาเตรียมตัวจะเข้าไปช่วยโกสต์คิลล์กำจัดลิงขนม่วง


 


เจ้าลิงขนม่วงนั้นดูเหมือนจะรู้สึกตัวว่ามันกำลังเผชิญกับวิกฤต มันส่งเสียงร้องประหลาดออกมา ก่อนที่ขนสีม่วงของมันจะตั้งตรงและมีเปลวไฟสีม่วงที่น่ากลัวลุกโชนจากร่างกายของมัน ภายใต้เปลวไฟสีม่วง ร่างกายของมันกลายเป็นคริสตัลที่โปร่งใสเหมือนกับผี ขณะเดียวกันก็มีออร่าประหลาดเปล่งรัศมีออกมาจากร่างกายของมัน


 


โกสต์คิลล์พูดขึ้นว่า “มันคือบลัดโกสต์สปิริตจริงๆด้วย…”

 

 

 


ตอนที่ 3059 ปีศาจจุติ

 

บลัดโกสต์สปิริตที่ตอนนี้ร่างกายดูเหมือนกับผี พุ่งเข้ามาหาโกสต์คิลล์ ความเร็วของมันสูงกว่าเดิมมาก โกสต์คิลล์นั้นเห็นเพียงแค่เงาสีม่วงเบลอๆ เธอมองตามการเคลื่อนไหวของมันไม่ทัน


 


โกสต์คิลล์เปลี่ยนเป็นควันสีดำเพื่อหลบหลีก แต่หานเซิ่นยังคงได้ยินเสียงข่วน และในตอนที่ควันสีดำกลับกลายเป็นโกสต์คิลล์อีกครั้ง บริเวณท้องของเธอก็มีรอยข่วนหลายรอยที่กำลังมีเลือดไหลออกมา


 


“รีบหนีไปเร็วเข้า!” สีหน้าของโกสต์คิลล์เปลี่ยนไป ขณะที่เธอตะโกนบอกหานเซิ่น เธอเปลี่ยนเป็นควันสีดำอีกครั้งและเตรียมตัวที่จะหนีไปเช่นกัน


 


แต่บลัดโกสต์สปิริตไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ มันคลายเป็นเงาสีม่วงที่แว็บไปดักหน้าควันสีดำ ในตอนที่ควันสีดำเคลื่อนผ่านไป ควันสีดำก็กลับกลายเป็นโกสต์คิลล์อีกครั้ง และบนหลังของเธอก็มีรอยข่วนเพิ่มอีกหลายรอย


 


สีหน้าของโกสต์คิลล์ดูย่ำแย่ ถึงแม้เธอจะเคยได้ยินเกี่ยวกับความน่ากลัวของบลัดโกสต์สปิริตมาบ้าง แต่เธอก็ไม่ได้คาดคิดว่าบลัดโกสต์สปิริตตัวจริงจะน่ากลัวถึงขนาดนี้


 


ก่อนหน้านี้ในตอนที่เธอได้เห็นพลังของลิงขนม่วงและโลนสกายดราก้อน เธอเชื่อว่าสามารถปกป้องตัวเองจากพวกมันได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เธอตามหานเซิ่นมา


 


ตอนนี้เธอเริ่มจะเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง แต่ใครจะไปคาดคิดว่าบลัดโกสต์สปิริตนั้นจะน่ากลัวยิ่งกว่าโลนสกายดราก้อนซะอีก ทุกคนต่างเชื่อว่ายีนเรซที่โมหลี่ใช้เพื่อสังหารราชาเว่ยนั้นคือโลนสกายดราก้อน แต่มันควรจะเป็นบลัดโกสต์สปิริตมากกว่า


 


“ดูเหมือนว่าเราจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน” โกสต์คิลล์รู้ว่าการจะต่อกรกับบลัดโกสต์สปิริตนั้น เธอจะพึ่งพาแค่ยีนเรซโกสต์สโมคบีสต์ไม่ได้ เธอจำเป็นต้องรวมร่างกับอีกยีนเรซหนึ่ง ถ้าเธอต้องการจะมีชีวิตรอด


 


แต่ถ้าเธอทำแบบนั้น แผนการที่จะใกล้ชิดกับหานเซิ่นก็คงจะล้มเหลว ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่มีเวลามามัวกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น


 


หัวใจของโกสต์คิลล์เต้นรัว ในจังหวะที่เธอกำลังจะเรียกยีนเรซที่ดีที่สุดของเธอ ซึ่งก็คือเหยี่ยวบิ๊กสเปชธันเดอร์ก็อตออกมา จู่ๆเธอก็รู้สึกเวียนหัว ร่างกายของเธอรู้สึกอ่อนแรง เธอไม่สามารถเรียกเหยี่ยวบิ๊กสเปชธันเดอร์ก็อตออกมาได้


 


“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?” โกสต์คิลล์รู้สึกตกใจ เธอก้มลงมองบาดแผลของตัวเองและค้นพบว่าเลือดที่ไหลออกมานั้นเปลี่ยนเป็นสีม่วง ขณะที่เดียวกันก็มีลมปราณสีม่วงแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเธอ แม้แต่เครื่องหมายโลหิตชีพจรเทพสปิริตบนหน้าผากของเธอก็ปนเปื้อนด้วยลมปราณสีม่วงนั้น มันทำให้เธอไม่สามารถเรียกยีนเรซออกมาเพื่อรวมร่างด้วยได้


 


แต่กว่าที่โกสต์คิลล์จะรู้สึกตัวถึงเรื่องนี้ มันก็สายเกินไปแล้ว เธอไม่ได้รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับบลัดโกสต์สปิริต มันมีตำนานเกี่ยวกับบลัดโกสต์สปิริตอยู่ไม่มาก และตำนวนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับพลังของมันเอาไว้ ถ้าเธอรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เธอก็คงจะไม่รอจนกระทั่งถึงตอนนี้ ก่อนที่จะคิดเรียกยีนเรซที่เก่งที่สุดออกมา


 


บลัดโกสต์สปิริตกระโดดเข้ามาหาเธออีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามันต้องการจะฆ่าเธอก่อนที่จะไปจัดการกับหานเซิ่น


 


หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาแกว่งเสาโลหะในมือออกไปใส่บลัดโกสต์สปิริต บลัดโกสต์สปิริตหันมามองที่หานเซิ่นและส่งกรงเล็บของมันเข้าปะทะกับเสาโลหะที่ฟาดเข้ามา หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงพลังที่ผ่านเสาโลหะมาถึงร่างกายของเขา มันทำให้เขากระเด็นออกไปชนเข้ากับกำแพงหินจนพังทลายลงมา


 


พวกเขาทั้งคู่ช่วยต่อสู้กับบลัดโกสต์สปิริต แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านโกสต์คิลล์นั้นกำลังตกที่นั่งลำบาก เธอได้รับบาดแผลมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ลมปราณสีม่วงภายในร่างกายของเธอหนาขึ้นกว่าเดิม เธอคงจะมีชีวิตรอดได้อีกไม่นาน


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ร่างกายของเขาก็ถูกปฏิเสธโดยกฎของโลกใบนี้ เขาไม่สามารถใช้พลังทั้งหมดของตัวเองได้ เขาทำได้แค่ทนรับการโจมตีด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งเท่านั้น


 


“เราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เราคงต้องฝืนใช้พลังและฝ่าฝืนกฎของโลกใบนี้” หานเซิ่นระเบิดพลังขออกมา เขากำลังต่อต้านกฎของโลกใบนี้


 


หานเซิ่นจำเป็นต้องทำลายกฎของโลกนี้ที่จำกัดพลังของเขาซะก่อน เขาถึงจะใช้พลังที่แท้จริงของเขาได้ แต่การทำแบบนั้นจะทำให้เขาจะสูญเสียพลังงานเป็นจำนวนมาก เขาจึงไม่สามารถต่อต้านพลังของโลกใบนี้ได้เป็นระยะเวลานาน


 


ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นด้วยการที่เขาเป็นคนนอกของโลกใบนี้เช่นเดียวกับที่ฉินซิวเป็นคนนอกของจักรวาลจีโน การทำแบบนั้นจะทำให้หานเซิ่นตกเป็นเป้าของเทพสปิริตที่นี่


 


ก่อนหน้านี้ด้วยการที่หานเซิ่นมียีนของฉินซิวอยู่ในตัว ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อย มันก็ทำให้เขาไม่ได้ถูกปฏิเสธโดยโลกใบนี้โดยสมบูรณ์ ด้วยเหตุนั้นถ้าเขาไม่ได้ก่อเรื่องใหญ่อะไร มันก็ยากที่เทพสปิริตจะรู้ถึงการมีอยู่ของเขา


 


แต่การฝืนทำลายกฎของโลกนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ หานเซิ่นไม่รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหลังจากการทำแบบนี้ ถ้าเทพสปิริตรู้ถึงการมีอยู่ของหานเซิ่น เขาก็ไม่รู้ว่าเทพสปิริตของที่นี่จะปฏิบัติกับเขาเหมือนกับที่เทพสปิริตของจักรวาลจีโนปฏิบัติกับฉินซิวหรือเปล่า


 


ถ้าเทพสปิริตทั้งหมดกลายเป็นศัตรู หานเซิ่นก็จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับฉินซิวในอดีต


 


แต่ตอนนี้หานเซิ่นไม่มีทางเลือกอื่น มีเพียงแค่การทำลายกฎของโลกใบนี้ที่จำกัดพลังของเขาเท่านั้น เขาถึงจะจัดการกับบลัดโกสต์สปิริตได้


 


พลังภายในร่างกายของหานเซิ่นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันพลังกฎของโลกใบนี้ก็รุนแรงขึ้นตามไปด้วย มันพยายามจะจำกัดพลังที่หานเซิ่นสามารถใช้งาน


 


หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ภายใต้แรงกดดันของมหาสมุทรที่ลึกลงไปกว่าสามหมื่นฟุต ถึงแม้เขาจะชกออกไปโดยใช้พลังเต็มที่ ในตอนที่พลังของเขาผ่านแรงกดดันนั้นไป มันก็แทบจะไม่เหลือพลังอยู่ ด้วยเหตุนั้นเขาจำเป็นต้องทำลายกฎของโลกใบนี้ที่กำจัดพลังของเขาเอาไว้


 


ในโลกนี้หานเซิ่นสามารถใช้ได้เพียงแค่วิชาจีโนเดียว ซึ่งก็คือคัมภีร์นภาอำพัน เขาคาดเดาว่าที่คัมภีร์นภาอำพันสามารถใช้งานได้ปกติ นั่นเป็นเพราะว่าเดิมทีมันเป็นของโลกใบนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หานเซิ่นเชื่อว่าโลกที่เขาอยู่ในตอนนี้คือโลกปฏิสสาร


 


แต่ถึงคัมภีร์นภาอำพันจะใช้งานได้ แต่ร่างกายของเขาก็ยังถูกจำกัด ด้วยเหตุนั้นการใช้คัมภีร์นภาอำพันจึงไม่มีประโยชน์อะไร จนกว่าเขาจะทำลายกฎของโลกใบนี้ที่จำกัดพลังของเขาเอาไว้ได้


 


ขณะที่คัมภีร์นภาอำพันเริ่มทำงาน เครื่องหมายสีแดงประหลาดก็เรืองแสงขึ้นบนผิวของหานเซิ่น มันกำลังสว่างขึ้นเรื่อยๆ เลือดในร่างกายของของเขาเริ่มเดือดปุดๆ


 


โกสต์คิลล์พยายามอย่างเต็มที่ที่จะต่อสู้กับบลัดโกสต์สปิริต แต่เธอไม่สามารถต่อกรกับมันได้ ตอนนี้ผิวหนังของเธอถูกปกคลุมไปด้วยลมปราณสีม่วง และแม้แต่เครื่องหมายโลหิตชีพจรเทพสปิริตบนหน้าผากของเธอก็ถูกครอบงำโดยลมปราณสีม่วง มันไม่มีแสงแห่งเทพแม้แต่นิดเดียวให้เห็น


 


โกสต์คิลล์กำลังสิ้นหวัง เธอรู้ตัวว่าครั้งนี้คงจะไม่รอด ตามร่างกายของเธอเต็มไปด้วยรอยกรงเล็บที่ปกคลุมด้วยลมปราณสีม่วง แม้แต่ชุดสีดำของเธอก็ถูกย้อมเป็นสีม่วงเช่นกัน


 


บลัดโกสต์สปิริตกระโดดไปตรงหน้าโกสต์คิลล์ กรงเล็บของมันถูกยกขึ้นสูงและแทงลงมาใส่หัวของโกสต์คิลล์


 


โกสต์คิลล์นั้นไม่สามารถหลบหลีกการโจมตีได้อีกแล้ว เธอได้แต่มองดูกรงเล็บของบลัดโกสต์สปิริตที่แทงลงมา เธอรู้ตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน


 


“ไม่อยากเชื่อเลยว่าข้า หลี่ปิงหยู หนึ่งในเก้าผู้นำของพระราชวังเต๋าจะต้องตายอยู่ที่นี่”


หลี่ปิงหยูคร่ำครวญใจ เธอต้องการหลับตาลง แต่ทันใดนั้นที่ด้านหลังของบลัดโกสต์สปิริตมีเปลวเพลิงสีแดงระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนกับภูเขาไฟปะทุ มันทำให้ทั้งห้องโถงถูกย้อมเป็นสีแดง


 


เกือบจะในเวลาเดียวกัน หลี่ปิงหยูเห็นร่างกายที่ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีแดงเหมือนกับปีศาจที่จุติลงมาปรากฎที่ด้านหลังของบลัดโกสต์สปิริต

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)