Super God Gene 3047-3051
ตอนที่ 3047 มองดูนางฟ้า
เด็กชายชุดขาวตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขารีบไปหลบที่ด้านหลังของหานเซิ่น
หานเซิ่นอยากจะโยนเด็กคนนี้ทิ้งไป ในเมื่อพวกเขาไม่ได้รู้จักกัน เขาไม่รู้ว่าเด็กชายคนนี้เป็นคนดีหรือคนไม่ดี และเขาก็ไม่ต้องการเป็นโล่ป้องกันให้กับอีกฝ่าย
ผู้หญิงที่ดูเหมือนกับนางฟ้าที่งดงามบินลงมาจากท้องฟ้า ใบหน้าของเธอดูเย็นชาราวกับว่าเธอไม่ได้สนใจอะไรในโลกใบนี้ เธอชี้ดาบยาวในมือมาที่หานเซิ่น ไม่นานก็มีสายฟ้าที่น่ากลัวผ่าลงมาจากท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่าเธอพยายามจะเปลี่ยนหานเซิ่นและเด็กชายชุดขาวที่อยู่ด้านหลังให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
หานเซิ่นไม่ต้องการจะสร้างปัญหา แต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้คนอื่นมารังแกเขาได้เช่นกัน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงชกหมัดออกไปใส่สายฟ้าที่ผ่าลงมา
พีชฟูลที่อยู่ข้างๆตะโกนขึ้นมา “ระวัง! นางมีพลังของเหยี่ยวบิ๊กสเปชธันเดอร์ก็อตที่เป็นยีนเรซระดับเทพเจ้า! สายฟ้าของมันทำลายได้ทุกอย่างและเดินทางไกลเป็นพันไมลล์! อย่าได้ดูถูกมัน!”
สายฟ้าผ่าลงมารวดเร็วเกินไป ก่อนที่พีชฟูลจะพูดจบ หมัดของหานเซิ่นก็ปะทะเข้ากับสายฟ้าที่น่ากลัวเรียบร้อยแล้ว
Boom!
สายฟ้าระเบิดออกภายใต้หมัดของหานเซิ่น มันไม่สามารถทำร้ายอะไรหานเซิ่นหรือผ่านไปทำร้ายเด็กชายชุดขาวที่อยู่ด้านหลังได้แม้แต่นิดเดียว
พีชฟูลอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ การปะทะกับสายฟ้าของเหยี่ยวบิ๊กสเปชธันเดอร์ก็อตได้ตรงๆโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียวนั้นเป็นอะไรที่น่าตกใจมากๆ เธอแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้เห็น
ผู้หญิงที่ดูเหมือนกับนางฟ้าเองก็ดูตกใจเช่นกัน แต่เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ในวินาทีต่อมาเธอก็แกว่งดาบยาวอีกครั้ง และสายฟ้าก็เริ่มผ่าลงไปใส่หานเซิ่น
“ดูเหมือนว่าโลกนี้จะยังมียอดฝีมืออยู่” ถึงแม้สายฟ้านั้นจะอะไรหานเซิ่นไม่ได้ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกชาเล็กน้อย
เมื่อเห็นสายฟ้าผ่าลงมาเพิ่มอีก หานเซิ่นก็แกว่งหมัดออกไปต้อนรับพวกมัน หนึ่งหมัดต่อสายฟ้าหนึ่งลูก เขาทำลายสายฟ้าที่ผ่าลงมาจนระเบิดเป็นประกายไฟกระจัดกระจายไปทั่ว มันเหมือนกับเทศกาลดอกไม้ไฟ
เมื่อเห็นแบบนั้นมิสเตอร์หยางและพีชฟูลก็อึ้งไป พีชฟูลเริ่มจะเชื่อว่าหานเซิ่นนั้นไม่ใช่มนุษย์ ในทางกลับกันเด็กชายชุดขาวที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหานเซิ่นนั้นดูดีใจอย่างมาก หลังจากที่มาหลบอยู่ด้านหลังของหานเซิ่น เขาก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป เขาพูดขึ้นว่า
“หานเซิ่น เจ้าต้องการสาวใช้ไม่ใช่หรอ? รีบไปจัดการผู้หญิงคนนั้น! และข้าจะมอบนางกับพีชฟูลเป็นสาวใช้ของเจ้า!”
ในตอนที่หานเซิ่นได้ยินเด็กชายขุดขาวพูดแบบนั้น เขาก็คิดว่ามันน่าขำ ถ้าหานเซิ่นต้องการ เขาก็สามารถหาผู้หญิงมารับใช้ได้ไม่ยากเย็นอะไร แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องแบบนั้น
แถมถ้าเขาจัดการกับผู้หญิงที่เหมือนกับนางฟ้าคนนั้นได้ เขาก็ไม่เห็นจำเป็นต้องให้เด็กชายชุดขาวมอบนางให้กับเขา
พีชฟูลที่อยู่ไม่ไกลออกไปสีหน้าดูย้ำแย่ขึ้นมา เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กชายชุดขาวจะยังจำเรื่องแบบนั้นได้
หลังจากที่หานเซิ่นป้องกันสายฟ้าอีกหลายสิบลูก มันก็ดูเหมือนว่ามือของเขาถูกสายฟ้าช็อตจนบวม ถึงอย่างนั้นผู้หญิงที่ดูเหมือนกับนางฟ้าก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดมือ หานเซิ่นคิดว่าสถานการณ์ต้องแย่แน่ๆ ถ้าเกิดเขาปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ดังนั้นเขาจึงกระโดดขึ้นไปหาผู้หญิงคนนั้น
หานเซิ่นไม่มีทางเลือกอื่น ร่างกายของเขาถูกปฏิเสธโดยโลกใบนี้ เขาไม่สามารถบินได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนั้นเขาจึงต้องใช้การกระโดดแทน แต่ยิ่งเขาต้องกระโดดสูงมากเท่าไหร่ พลังที่เขาต้องใช้ก็มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเขาจะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันของโลกใบนี้มากขึ้นเช่นกัน
ร่างกายของหานเซิ่นเป็นเหมือนกับปืนใหญ่ที่ถูกยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า ผู้หญิงที่เหมือนกับนางฟ้ากระพือปีกและบินหนีขึ้นไปสูงยิ่งกว่าเดิม หานเซิ่นไม่สามารถจับตัวเธอได้และร่วงกลับลงมาบนพื้น
ผู้หญิงที่ดูเหมือนกับนางฟ้านั้นไม่รอให้เขาร่วงลงถึงพื้น เธอแกว่งดาบยาวของเธออย่างไร้ความรู้สึก สายฟ้าผ่าลงไปใส่หานเซิ่นอีกครั้ง
‘ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วหรือยังไง! เธอมาที่นี่และพยายามจะฆ่าเราโดยไม่พูดอะไรสักคำ ฉันไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับไอ้เด็กคนนั้นสักหน่อย’
หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ เนื่องจากเขาไม่สามารถบินได้ ทำให้เขาไม่มีทางหลบการโจมตีของเธอได้ สายฟ้าผ่ามาถูกแผ่นหลังของเขา มันทำให้ร่างกายของเขาสั่นไหว มันเหมือนกับว่าเขาถูกฟาดด้วยแส้
ถึงแม้พลังนั้นจะไม่สามารถทำร้ายร่างกายของเขาได้ แต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่รู้สึกดี
หานเซิ่นขมวดคิ้ว ถึงแม้โลกใบนี้จะปฏิเสธพลังของเขา แต่เขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าผู้หญิงบ้าคนนั้น แต่เนื่องจากเธอบินสูงอยู่บนท้องฟ้า ทำให้หานเซิ่นไม่สามารถแตะต้องตัวเธอได้
ขณะที่หานเซิ่นกำลังรู้สึกหดหู่ จู่ๆแมวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ร้องเหมียวขึ้นมา หลังจากนั้นหานเซิ่นก็เห็นแสงสีแดงส่องสว่างออกมาจากตัวของแมวน้อย แสงสีแดงนั้นไหลเข้าไปในร่างกายของเขา
ทันใดนั้นหานเซิ่นรู้สึกว่าราวกับว่ามีพลังที่อบอุ่นพลุ่งพล่านในร่างกายของเขา มันทำให้หานเซิ่นไม่สามารถทนต่อไปได้ และวินาทีต่อมาเขาก็คำรามขึ้นสู่ท้องฟ้า “เหมียว!”
หลังจากที่เสียงแมวสั่นสะเทือนทั้งท้องฟ้าและผืนดิน บนหัวของหานเซิ่นก็มีหูแมวสีแดงงอกขึ้นมา และหางแมวก็งอกออกมาจากด้านหลังของเขา แม้แต่ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนกับแมวน้อย
“ในที่สุดเขาก็ใช้พลังของยีนเรซ!” พีชฟูลจับจ้องไปที่หานเซิ่น เธออยากรู้ว่ายีนเรซที่หานเซิ่นใช้นั้นจะเป็นยีนเรซแบบไหนกัน
มิสเตอร์หยางนั้นอ้าปากค้างราวกับว่าไข่เข้าไปติดคอของเขา ใบหน้าของเขาดูแปลกๆ
“ไม่… นั่นเป็นไปไม่ได้… เขาเป็นยีนเรซไม่ใช่หรอ… ยีนเรซจะใช้ยีนเรซได้ยังไงกัน?” มิสเตอร์หยางรู้สึกสับสนเกินกว่าที่จะรวบรวมความคิดได้
หานเซิ่นมองผู้หญิงที่อยู่บนท้องฟ้า พลังประหลาดมารวมกันอยู่ในดวงตาของเขา มันทำให้ดวงตาของเขาดูแดงมากๆ
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าหานเซิ่นรวมกับยีนเรซและเปลี่ยนร่าง พลังสายฟ้าของเธอก็เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม เธอฟันดาบยาวในมือออกไปใส่หานเซิ่น สายฟ้าถูกปล่อยออกไปเหมือนกับนกประหลาด มันพุ่งตรงออกไปใส่หานเซิ่น
Pang!
ดวงตาของหานเซิ่นแว็บด้วยแสงสีแดง ลำแสงสีแดงถูกปล่อยออกไปจากดวงตาทั้งสองของเขา มันระเบิดเหยี่ยวสายฟ้าของคู่ต่อสู้และพุ่งต่อขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเหมือนกับแสงเลเซอร์
ลำแสงสีแดงสองเส้นพุ่งทะลุผ่านร่างกายของผู้หญิงที่ดูเหมือนกับนางฟ้า เธอส่งเสียงร้องออกมาและมองมาที่หานเซิ่นด้วยความโกรธ เธอกระพือปีกและกลายเป็นสายฟ้าที่บินหนีไป
หลังจากที่ดวงตาของหานเซิ่นปล่อยลำแสงออกไป เขาก็รู้สึกว่าพลังประหลาดภายในตัวลดน้อยลง เขาไม่สามารถปล่อยลำแสงออกมาอีกครั้งได้
ในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นหายตัวไป พลังภายในตัวของหานเซิ่นก็หายไปเช่นกัน แสงสีแดงไหลออกมาจากตัวของเขา และรวมตัวกันกลับไปเป็นแมวน้อยอีกครั้ง
ในตอนนี้แมวน้อยดูอ่อนแรงอย่างมาก มันใช้อุ้งเท้าจับชุดบริเวณอกของหานเซิ่นเอาไว้และร้องออกมา “เหมียว”
หานเซิ่นรู้สึกดีใจ เขากอดแมวน้อยในอ้อมแขนของเขาและเอยชมมัน
“ไม่เลว ไม่เลว การรับเจ้ามาเลี้ยงเป็นไอเดียที่ไม่เลวจริงๆด้วย เจ้าดีกว่าเฒ่าแมวเวรนั่นเป็นไหนๆ”
“ดูเหมือนว่าเราจะใช้พลังของโลกใบนี้ได้”
หานเซิ่นสังเกตร่างกายของแมวน้อยและเห็นว่ามันแค่อ่อนแรงเท่านั้น เขาจึงไม่ได้กังวลอะไรมาก ในตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองจะใช้ยีนเรซไม่ได้ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นแบบนั้น
ตอนที่ 3048 องค์รัชทายาทฉินไป๋
“องค์รัชทายาท ขออภัยที่พวกเรามาช้า พวกเราสมควรตาย”
มีเสียงที่แหลมดังขึ้นมา หลังจากนั้นก็มีเงานับสิบปรากฏตัวขึ้น พวกเขาคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กชายชุดขาว ผู้นำของพวกเขาก้มหัวขออภัยอย่างต่อเนื่อง
“พวกไร้ประโยชน์!” เด็กชายชุดขาวขึ้นเสียงอย่างเกรี้ยวโกรธ
“ถ้าหานเซิ่นไม่ช่วยข้าเอาไว้ ข้าก็คงจะกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว พวกเจ้ามันไร้ประโยชน์จริงๆ”
“พวกเราสมควรตาย” คนสิบกว่าคนไม่กล้าจะโต้เถียงอะไร พวกเขาแค่ก้มหัวขออภัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“นี่มันอะไรกัน? นี่พวกเขากำลังถ่ายภาพยนตร์อยู่อย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นอึ้งไปขณะที่เขามองดูสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้จักรวาลนี้จะยังอยู่ในยุคของจักรวรรดิ มันก็ไม่ควรจะดูเวอร์ถึงขนาดนี้
เด็กชายชุดขาวเมินเฉยต่อพวกเขาและหันมาพูดกับหานเซิ่น
“หานเซิ่น เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ทำไมเจ้าไม่มาที่วังของข้า? ข้าจะได้ตอบแทนเจ้า”
“ข้าขอถามได้ไหมว่าเจ้ามาจากอาณาจักรไหน?” หานเซิ่นมองไปที่เด็กชายชุดขาวด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
“ที่นี่เป็นดินแดนของอาณาจักรฉิน และข้าก็เป็นรัชทายาทของอาณาจักรฉิน”
เด็กชายชุดขาวพูดอย่างโอ้อวด “ชื่อสกุลของข้าคือฉิน แต่ชื่อของข้าคือไป๋ เจ้าจะเรียกชื่อของข้าตรงๆก็ได้”
ใบหน้าของหานเซิ่นดูซับซ้อน เขาคิดกับตัวเอง ‘ฉินซิวเป็นยอดคน ทำไมเขาถึงได้มีลูกหลานที่บ้าบอแบบนี้ได้? ดูเหมือนว่ากรรมพันธุ์จะเป็นสิ่งที่พึ่งพาไม่ได้’
“องค์รัชทายาท ข้าจะไม่ไปที่วัง ถ้าองค์รัชทายาทต้องการจะตอบแทนข้า แค่มอบไข่ยีนระดับสูงให้ข้าก็พอ” หานเซิ่นพูด
เมื่อได้ยินหานเซิ่นพูดแบบนั้น ฉินไป๋ก็ครุ่นคิดอยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาและถามด้วยความดีใจ
“เจ้าต้องการไข่ยีนระดับสูงอย่างนั้นหรอ? นั่นไม่ใช่เรื่องยากอะไร ในวังมีบ่อน้ำที่มีไข่ยีนระดับสูงอยู่ ข้าเชื่อว่าระดับของมันต้องสูงมากๆ เจ้ามากับข้าและข้าจะมอบไข่ยีนให้กับเจ้า”
ก่อนที่หานเซิ่นจะได้พูดตอบ ใบหน้าของพวกคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็เปลี่ยนไป
“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาทจะทำแบบนั้นไม่ได้ สิ่งนั้นเป็นสิ่งสะกดชะตากรรมของอาณาจักรฉิน องค์รัชทายาทจะเคลื่อนย้ายมันไม่ได้ ถ้าองค์ราชารู้เข้า ท่านต้องโกรธแน่ๆ”
หลังจากที่ฉินไป๋ได้ยินคนรับใช้ของเขาพูดถึงองค์ราชาขึ้นมา เขาก็ดูหวาดกลัว เขาเปลี่ยนโทนเสียงและพูดขึ้นว่า
“จะยังไงก็ตาม ตราบใดที่เจ้ามากับข้า ข้าจะมอบไข่ยีนระดับสูงให้กับเจ้า”
“ขอบคุณในความเมตตาขององค์รัชทายาท แต่ข้ายังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ”
หานเซิ่นยังคงไม่คุ้นเคยกับโลกใบนี้ เขาจึงยังไม่คิดจะไปที่พระราชวังของอาณาจักรฉินในตอนนี้
ถ้าร่างกายของหานเซิ่นไม่ได้ถูกปฏิเสธโดยโลกใบนี้ เขาก็จะไม่ต้องอะไรกลัว แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องพยายามทำตัวไม่ให้เห็นจุดเด่น
ถึงฉินไป๋อยากจะให้หานเซิ่นไปด้วย แต่ในเมื่อหานเซิ่นยืนกรานว่าจะไม่ไป เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ในตอนที่เขาจะจากไป เขาก็หันกลับมามองหานเซิ่นซ้ำๆและบอกกับหานเซิ่นว่าถ้าหานเซิ่นได้มีโอกาสไปที่พระราชวัง ก็ให้หานเซิ่นไปหาเขา และเขาจะเตรียมไข่ยีนที่ดีที่สุดให้กับหานเซิ่น
ฉินไป๋กลับไปพร้อมกับคนอื่นๆ แต่พีชฟูลยังไม่ได้ไป
พีชฟูลมองมาที่หานเซิ่นและถาม “หานเซิ่น เจ้าสนใจจะทำการแลกเปลี่ยนกับข้าไหม?”
หานเซิ่นหยิบร่างของโอเวอร์แบริ่งบั๊กขึ้นมาและถาม
“แลกเปลี่ยนอะไร?”
“เจ้าต้องการยีนเรซและไข่ยีนไม่ใช่หรอ?” พีชฟูลถาม
“ข้ารู้จักสถานที่ที่มีไข่ยีนและยีนเรซอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าเจ้าและมิสเตอร์หยางไปกับข้า เจ้าต้องพึงพอใจต่อรางวัลที่ได้กลับไปอย่างแน่นอน”
หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไร เขาแค่หันไปมองที่มิสเตอร์หยาง
มิสเตอร์หยางไอและพูด “ท่านหญิงพีชฟูลคงจะไม่ได้หมายถึงสมบัติของราชาฉินหรอกใช่ไหม? บอกตามตรงก่อนหน้านี้มิสเตอร์เหมิงได้มาจ้างข้าให้ช่วยตามหาสมบัติของราชาฉิน แต่ไม่เพียงแค่พวกเราจะหาสมบัติไม่เจอ มิสเตอร์เหมิงยังหายตัวไปและตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา ข้าไม่รู้ว่าเขายังอยู่หรือตาย”
พีชฟูลส่ายหัว “มิสเตอร์หยางเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้กำลังตามหาสมบัติของราชาฉิน ข้ากำลังตามหาชีพจรพระเจ้าลี้ลับ พวกเราได้คำนวณตำแหน่งคร่าวๆของชีพจรพระเจ้านั่น แต่พวกเรายังระบุตำแหน่งที่แน่นอนของมันไม่ได้ ด้วยเหตุนั้นพวกเราจึงต้องการความช่วยเหลือของมิสเตอร์หยาง พวกเราจะตอบแทนอย่างงามหลังจากที่งานสำเร็จ”
“ท่านหญิงพีชฟูลหมายถึงชีพจรพระเจ้าลี้ลับที่อยู่ในภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อตอย่างนั้นหรอ?”
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น มิสเตอร์หยางก็ดูแปลกใจ เขามองไปที่พีชฟูลอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่แล้ว มันอยู่ในภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต” พีชฟูลพูดพร้อมกับพยักหน้า
“ข้าแน่ใจว่ามิสเตอร์หยางคงจะรู้สึกตัวว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีชีพจรพระเจ้าปรากฎขึ้นมามากกว่าปกติ และในชีพจรพระเจ้าพวกนั้นก็มักจะมีไข่ยีนอยู่เป็นจำนวนมาก ชีพจรพระเจ้าที่ข้าพูดถึงนี้เพิ่งจะปรากฎขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ พวกเราสัมผัสถึงชีพจรของมันได้ แต่พวกเรายังระบุตำแหน่งของมันไม่ได้ ถ้ามิสเตอร์หยางหามันเจอ พวกเราก็จะตอนแทนอย่างงาม”
มิสเตอร์หยางดูจะสนใจข้อเสนอนี้อย่างมาก แต่เขาไม่ได้ตอบตกลงในทันที เขาหันมามองที่หานเซิ่นที่เป็นเจ้านาย
“ชีพจรพระเจ้าลี้ลับคืออะไร?” หานเซิ่นถาม
มิสเตอร์หยางพยายามอธิบายให้หานเซิ่นฟัง ชีพจรพระเจ้าธรรมดาทั่วไปนั้นสามารถผลิตไข่ยีนได้สองถึงสามใบเท่านั้น แต่ชีพจรพระเจ้าลี้ลับนั้นสามารถมีไข่ยีนมากถึงร้อยใบหรือบางทีอาจจะมากยิ่งกว่านั้น
เมื่อดูจากคำอธิบายของมิสเตอร์หยาง ชีพจรพระเจ้าลี้ลับก็เป็นเหมือนกับเหมืองที่มีแร่อยู่เป็นจำนวนมาก
เมื่อได้ยินแบบนั้น หานเซิ่นก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที หลังจากที่เขาได้รู้ว่าตัวเองสามารถรวมร่างกับยีนเรซได้ เขาก็อยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับพวกมันมากยิ่งขึ้น
แต่หลังจากที่ได้ต่อสู้กับผู้หญิงคนนั้น หานเซิ่นก็สังเกตได้ว่าร่างกายของเขาถูกจำกัดโดยกฎของโลกใบนี้มากเกินไป ถ้าเขามียีนเรซที่ทรงพลังช่วยเหลือ อะไรหลายๆอย่างก็จะง่ายขึ้นอย่างมาก
ความแข็งแกร่งของผู้หญิงคนนั้นทำให้หานเซิ่นระวังตัวยิ่งกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่ามันยังมียอดฝีมือที่น่ากลัวอีกมากมายเท่าไหร่ที่ซ่อนตัวอยู่ในอาณาจักรทั้งเจ็ด ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ หานเซิ่นคิดว่าตัวเองยังไม่สามารถเอาชนะยอดฝีมือระดับท็อปของอาณาจักรทั้งเจ็ดได้
“ฉินซิวเข้าไปในจักรวาลของเราได้ยังไงกัน?”
พลังของหานเซิ่นนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าฉินซิว แต่ภายใต้ข้อกำจัดของโลกใบนี้ การจะผ่ามิติอวกาศเพื่อกลับไปนั้นดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้
พีชฟูลเอ่ยข้อเสนอของเธอ “ถ้าพวกเจ้าทั้งคู่ยีนดีที่จะช่วยข้าหาชีพจรพระเจ้าลี้ลับ พวกเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งกันคนละสิบเปอร์เซ็นต์เป็นยังไง?”
“ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ นั่นจะไม่น้อยเกินไปหน่อยหรอ?” หานเซิ่นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
พีชฟูลส่ายหัว “เจ้ายังไม่รู้อะไร ชีพจรพระเจ้าลี้ลับนั้นเป็นสถานที่ที่อันตรายมากๆ มันไม่ใช่สถานที่ที่คนแค่สองคนจะเข้าไปได้ ข้าต้องร่วมมือกับคนอื่นๆอีก ในที่สุดแล้วข้าจะได้รับส่วนแบ่งแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนพวกเจ้าได้ส่วนแบ่งยี่สิบเปอร์เซ็นต์ และคนอื่นๆจะได้รับส่วนแบ่งห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
หานเซิ่นไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงหันไปมองที่มิสเตอร์หยาง
มิสเตอร์หยางพยักหน้าและพูด “ชีพจรพระเจ้าลี้ลับนั้นเต็มไปด้วยอันตราย มันมักจะมียีนเรซที่ฝักตัวเรียบร้อยแล้วอาศัยอยู่ ถ้าชีพจรพระเจ้านั้นปรากฏขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว พวกยีนเรซที่ฝักออกมาก่อนก็จะไปกินไข่ยีนที่ยังไม่ฝักตัวเข้าไปและเติบโตขึ้น มันจะเป็นปัญหาอย่างมากถ้าเป็นแบบนั้น”
“ก็ได้ ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็ยี่สิบเปอร์เซ็นต์” หานเซิ่นสัมผัสได้ว่ามิสเตอร์หยางนั้นอยากจะไป ดังนั้นเขาจึงตกลงกับข้อเสนอของพีชฟูล
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามข้ากลับไปที่เมือง” พีชฟูลพูดด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะแนะนำตัวพวกเจ้ากับคนอื่นๆ”
ตอนที่ 3049 โลหิตชีพจรที่สมบูรณ์
ถึงแม้หานเซิ่นคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะขอแบ่งส่วนแบ่งจากการเดินทางในครั้งนี้ แต่พีชฟูลก็ยังคงพาพวกเขากลับไปที่เมืองและแนะนำตัวพวกเขากับคนอื่นๆ คนพวกนั้นดีใจอย่างมากที่ได้พบกับมิสเตอร์หยาง และพวกเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เมื่อรู้ว่าพวกเขาต้องเสียส่วนแบ่งยี่สิบเปอร์เซ็นต์เพื่อแลกกลับความช่วยเหลือ
ในตอนที่กลับไปถึงห้อง หานเซิ่นก็มองไปที่มิสเตอร์หยางด้วยรอยยิ้มและพูด
“มิสเตอร์หยาง ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีชื่อเสียงมากถึงขนาดนี้”
มิสเตอร์หยางยิ้มแห้งๆออกมา “ในบางครั้งมันก็เป็นเรื่องแย่ที่มีชื่อเสียงมากเกินกว่าความสามารถของตัวเอง ถึงแม้ข้าจะมีความรู้ในเรื่องของการตามหาชีพจรพระเจ้า แต่ข้าไม่มีพลังพอที่จะปกป้องตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลที่บ่อยครั้งข้ามักจะถูกบังคับให้ช่วยค้นหาชีพจรพระเจ้า ถ้าไม่มีนายท่านอยู่ พีชฟูลก็ไม่มีทางจะดีกับข้าแบบนี้ ข้ากลัวว่านางจะบังคับให้ข้าทำงานให้กับนางโดยที่ไม่ได้ส่วนแบ่งด้วยซ้ำ”
ขณะที่หานเซิ่นกำลังพูดคุยกับมิสเตอร์หยาง เขาก็เอาร่างของโอเวอร์แบริ่งบั๊กเข้าไปในเตาอบเพื่อทำมันเป็นอาหาร พวกเขาอยู่โรงแรมภายในเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต ดังนั้นมันจึงไม่สะดวกที่หานเซิ่นจะก่อไฟ แต่เตาอบของโรงแรมก็ถือว่าดีมากๆ
แมวน้อยนั่งรออยู่ข้างๆเตาอบ มันมองผ่านกระจกของเตาอบไปและจ้องไปที่เนื้อของโอเวอร์แบริ่งบั๊ก มันอยากะกินสิ่งที่อยู่ข้างในมากจนมีน้ำลายไหลออกมา ในตอนที่อบเสร็จแล้ว หานเซิ่นก็แบ่งเนื้อออกเป็นสามส่วน เขามอบเนื้อหนึ่งส่วนให้กับมิสเตอร์หยาง แต่มิสเตอร์หยางรีบส่ายหัว
“ร่างกายของคนแก่อย่างข้าทนรับเนื้อของยีนเรซไม่ได้ นายท่านกินให้สบายเถอะ”
“มนุษย์คนอื่นๆเองก็ไม่กินเนื้อยีนเรซเหมือนกันอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามด้วยความสงสัย
“ผู้คนจะกินอะไรแบบนั้นก็ต่อเมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็จะไม่กินมากจนเกินไป เนื้อของยีนเรซนั้นมีพลังงานประหลาดอยู่เป็นจำนวนมาก ร่างกายของมนุษย์จึงทนรับพลังงานนั้นไม่ได้ มีเพียงแค่ยีนเรซที่จะกินมัน” มิสเตอร์หยางพูด
เขามองดูหานเซิ่นกินเนื้อของโอเวอร์แบริ่งบั๊กเข้าไป และเขาคิดกับตัวเอง
‘นี่เขาเป็นตัวอะไรกันแน่? ปริมาณของเนื้อที่เขากินเข้าไปนั้นเกินกว่าที่มนุษย์จะรับได้ มันทำให้เขาเป็นเหมือนกับยีนเรซ แต่ถ้าเขาเป็นยีนเรซ เขารวมร่างกับยีนเรซอื่นได้ยังไงกัน?’
หานเซิ่นและแมวน้อยกินเนื้อของโอเวอร์แบริ่งบั๊กเข้าไปจนหมด แมวน้อยถึงแม้จะตัวเล็ก แต่มันก็กินเนื้อของโอเวอร์แบริ่งบั๊กที่น้ำหนักเท่าวัวเข้าไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร หลังจากที่กินเสร็จ มันก็ยื่นเท้าหลังออกไปขณะที่นอนเอนหลังอย่างสบายตัว ท้องมันป่องเล็กน้อย ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
หานเซิ่นกินเนื้อของโอเวอร์แบริ่งบั๊กเข้าไปพอสมควร แต่มันไม่ได้มีเสียงประกาศดังขึ้นมา ซึ่งทำให้เขารู้สึกผิดหวัง
มิสเตอร์หยางต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นท้องฟ้าในยามค่ำคืนส่องสว่างขึ้นมา
หานเซิ่นและมิสเตอร์หยางรีบมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นลำแสงสีม่วงพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า มันเหมือนกับเสาแห่งแสงที่เชื่อมระหว่างท้องฟ้าและผืนดิน
“นั่นคือตำแหน่งของวิหารอีวิลโลตัสก็อต เกิดอะไรขึ้นที่นั่น” หานเซิ่นขมวดคิ้วขณะที่มองไปที่แสงสีม่วงจากริมหน้าต่าง
มิสเตอร์หยางมองไปทางแสงสีม่วงอยู่สักพักก่อนที่จะพูดด้วยความอิจฉา
“ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนได้รับโลหิตชีพจรที่สมบูรณ์ของอีวิลโลตัสก็อต ไม่คิดเลยว่าในเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตจะมีอัจฉริยะแบบนั้นอยู่”
หานเซิ่นมองไปที่มิสเตอร์หยางและถาม “เจ้าหมายความว่ายังไง?”
มิสเตอร์หยางอธิบาย “คนปกติจะได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตที่ไม่สมบูรณ์ เหมือนกับที่นายท่านได้เห็นในพิธีเปิดโลหิตชีพจรที่ผู้คนจะได้รับดอกบัวแสงสีม่วงหนึ่งหรือสองดอก หรืออย่างมากที่สุดก็สี่ดอก พวกเขาเหล่านั้นจะได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตที่ไม่สมบูรณ์ ปรากฎการณ์ประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้หมายความว่ามีคนที่ได้รับโลหิตชีพจรที่สมบูรณ์ของอีวิลโลตัสก็อต คนๆนั้นจะมีพรสวรรค์เหนือผู้อื่น และมันเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะทำให้ยีนเรซยอมเชื่อฟัง”
หลังจากนั้นมิสเตอร์หยางก็ถอนหายใจและพูดต่อ
“คนเราแต่ละคนเกิดมาไม่เท่าเทียมกันจริงๆ ข้าต้องการโลหิตชีพจรเทพสปิริตแค่ดอกเดียว แต่ข้ากลับไม่ได้มัน ขณะที่คนอื่นได้อะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ อัจฉริยะแบบนั้นข้ากลัวว่าแม้แต่เจ้าเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตก็คงจะต้องการตัวเขา”
“โลหิตชีพจรเทพสปิริตสำคัญขนาดนั้นเลย?” หานเซิ่นไม่เข้าใจแนวคิดนี้จริงๆ
ในสถานที่ที่หานเซิ่นจากมานั้น การเติบโตของแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับความพยายามและพลังของคนๆนั้น ถ้าพวกเขามีพลัง พวกเขาก็จะใช้พลังนั้นเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของตัวเองในก็อตแซงชัวรี่ แต่โลกใบนี้ดูเหมือนจะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ในโลกนี้โลหิตชีพจรเทพสปิริตนั้นดูเหมือนจะกำหนดชะตากรรมของทุกคน ถ้าไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริต คนๆนั้นก็จะไม่มีโอกาสแข็งแกร่งขึ้น
“พวกมันสำคัญมาก” มิสเตอร์หยางพูดอย่างขื่นขม
“สำหรับคนที่ได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตหนึ่งดอก การจะทำให้ยีนเรซระดับบารอนยอมเชื่อฟัง พวกเขาจำเป็นต้องสื่อสารกับมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมไม่มีอะไรมารับประกันว่าพวกเขาจะทำได้สำเร็จ ขณะที่คนที่ได้โลหิตชีพจรเทพสปิริตที่สมบูรณ์นั้นทำให้ยีนเรซระดับราชันยอมเชื่อฟังได้ นายท่านลองคิดดู ถ้าเด็กชายอายุแค่สิบขวบคนหนึ่งรวมร่างกับยีนเรซระดับราชันเพื่อต่อสู้ได้ เขาก็จะกลายเป็นยอดฝีมือของเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตในชั่วข้ามคืน อนาคตของเขาจะสดใส แบบนั้นโลหิตชีพจรเทพสปิริตจะไม่สำคัญได้ยังไง?”
สำหรับมิสเตอร์หยางแล้ว การที่เขาไม่ได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตมานั้นทำให้เขาต้องเจ็บปวดและเสียเปรียบทุกวินาทีของชีวิต
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน แสงสีม่วงก็แพร่กระจายออกเหมือนกับดอกบัว มันก่อให้เกิดดอกบัวแสงสีม่วงขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าหลายนาที ก่อนที่จะหายไป
ตอนนี้หานเซิ่นเริ่มรู้สึกสนใจวิหารพระเจ้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาอยากรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาทำการทดสอบ
“อีวิลโลตัสก็อตจะมอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตให้กับเราไหมนะ?” หานเซิ่นมองวิหารอีวิลโลตัสก็อตด้วยความสนใจ
น่าเสียดายที่มันมีกฎของการเข้ารับการทดสอบเพื่อรับโลหิตชีพจรเทพสปิริต ซึ่งหานเซิ่นไม่ต้องการทำตามอย่างกฎที่ต้องสวดภาวนาต่ออีวิลโลตัสก็อต มันไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรแบบนั้น
ในห้องของโรงแรมมีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ เทคโนโลยีของโลกใบนี้ดูทันสมัยมากๆ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคอมพิวเตอร์ของโลกที่หานเซิ่นจากมา หานเซิ่นจึงใช้เวลาว่างไปในชุมชนเสมือนเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม เขาต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ให้มากขึ้น
มันเป็นอย่างที่มิสเตอร์หยางพูด ในโลกใบนี้สิ่งที่เป็นตัวกำหนดระดับของคนแต่ละคนคือโลหิตชีพจรเทพสปิริตของพวกเขา ไม่ว่าจะในอาณาจักรไหน คนที่มีฐานะต้อยต่ำที่สุดก็คือคนที่ไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริต ซึ่งคนเหล่านั้นจะถูกปฏิบัติเหมือนกับทาส
ยิ่งคนๆหนึ่งได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตมากเท่าไหร่ ฐานะทางสังคมของคนๆนั้นก็จะสูงขึ้นมากเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด การมียีนเรซที่ทรงพลังก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ไม่อย่างนั้นถึงมีโลหิตชีพจรเทพสปิริตไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ราชาของแต่ละอาณาจักรนั้นต่างก็มีโลหิตชีพจรเทพสปิริตระดับแอนนิฮิเลชั่น นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาสามารถปกครองคนอื่นๆได้ แต่สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นรู้สึกแปลกๆก็คือการที่เขาไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับเทพสปิริตหรือวิหารพระเจ้าขั้นรีบูทได้ มันเหมือนกับว่าไม่เคยมีคนที่ได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตขั้นรีบูทมาก่อน
“เทพสปิริตขั้นรีบูทควรจะอยู่ในจีโนฮอลล์ แต่โลกใบนี้ดูเหมือนจะไม่มีจีโนฮอลล์ นั่นเป็นอะไรที่แปลกจริงๆ”
ขณะที่หานเซิ่นค้นหาข้อมูลในชุมชนเสมือนอยู่นั้น เขาก็ไปพบกับฟังก์ชั่นที่น่าสนใจของชุมชนเสมือนเข้า
มันเป็นฟังก์ชั่นสำหรับทดสอบระดับของโลหิตชีพจรเทพสปิริต
ตอนที่ 3050 ทดสอบระดับโลหิตชีพจรเทพสป...
หานเซิ่นยังไม่เข้าใจหลักการในการทดสอบ แต่วิธีการทดสอบนั้นเป็นอะไรที่ง่ายมากๆ เขาแค่จำเป็นต้องนั่งอยู่ในชุมชนเสมือน หลังจากนั้นห้องทรงกลมก็จะเริ่มหมุน มันจะหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ
บนกำแพงที่กำลังหมุด มันมีตัวอักษรบางอย่างปรากฏขึ้นมา ผู้ทดสอบจำเป็นต้องจดจำตัวอักษรเหล่านั้น ยิ่งพวกเขาจำตัวอักษรได้มากเท่าไหร่ โลหิตชีพจรเทพสปิริตของพวกเขาก็จะทรงพลังมากเท่านั้น
มนุษย์ที่ไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริตเองก็สามารถเข้ารับการทดสอบนี้ได้เช่นเดียวกัน แต่ในตอนที่ห้องเริ่มหมุน พวกเขาจะไม่เห็นตัวอักษร
หานเซิ่นนั้นอยากรู้อยากเห็นและนี่ก็เป็นแค่การทดสอบในชุมชนเสมือน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเลือกทำการทดสอบและนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องเสมือน
หลังจากที่หานเซิ่นนั่งลง เก้าอี้ก็เริ่มลอยตัวขึ้นสู่อากาศ และห้องที่เหมือนกับโดมก็เริ่มจะหมุน
ก่อนที่ห้องจะเริ่มหมุน หานเซิ่นไม่เห็นตัวอักษรใดๆบนกำแพง แต่ในตอนที่ห้องเริ่มหมุน เขาเห็นตัวอักษรวูบวาบบนกำแพง ตัวอักษรเหล่านั้นเป็นภาษาของจักรวาลที่หานเซิ่นจากมา หานเซิ่นรู้จักตัวอักษรพวกนั้น ซึ่งทำให้เขาสามารถจดจำพวกมันทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่ห้องหมุนเร็วขึ้น ตัวอักษรก็ปรากฏเพิ่มขึ้นมาอีก แต่มันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับหานเซิ่น เขายังสามารถจดจำพวกมันทั้งหมดได้อย่างสบายๆ
“เนื้อหาของตัวอักษรบนกำแพงนั้นค่อนข้างแปลก”
หานเซิ่นมองดูพวกมันอยู่สักพักและสังเกตเห็นว่าพวกมันดูคล้ายคลึงกับวิชาจีโน แต่มันแตกต่างไปจากวิชาจีโนของจักรวาลที่เขาจากมา มันดูไม่เหมือนสิ่งที่มนุษย์จะเรียนรู้ได้
หานเซิ่นพยายามจดจำและศึกษาเกี่ยวกับมัน เขาคิดว่ามันไม่ควรจะถูกเรียกว่าวิชาจีโน มันเป็นเหมือนกับวิชาเทพสปิริตมากกว่า มีแค่ผู้คนที่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริตเท่านั้นที่จะเรียนรู้วิชานี้ได้
ขณะที่หานเซิ่นศึกษาเกี่ยวกับวิชาเทพสปิริต ภายในพระราชวังของอาณาจักรฉิน ชายแก่กำลังจ้องมองไปที่แท็บเล็ตภายในเครื่องจักรบางอย่าง
แผนกเลือดพระเจ้านั้นเป็นแผนกที่อาณาจักรฉินตั้งขึ้นมาใหม่ มันเป็นแผนกที่มีหน้าที่บันทึกจำนวนและระดับโลหิตชีพจรของคนที่อยู่อาศัยอยู่ในอาณาจักร ในอดีตพวกเขาจำเป็นต้องทำสำมะโน ซึ่งจำเป็นต้องใช้แรงงานและทรัพยากรจำนวนมาก
แต่หลังจากที่ระบบทดสอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตแบบเสมือนถูกสร้างขึ้นมา งานของแผนกเลือดพระเจ้าก็ลดลงไปอย่างมาก เพราะข้อมูลของผู้ทำการทดสอบนั้นจะถูกส่งเข้าไปในฐานข้อมูลโดยตรง
ด้วยเหตุนั้นนอกจากบุคคลสำคัญแล้ว คนส่วนใหญ่ในแผนกเลือดจึงต้องตกงาน ตอนนี้ทั้งแผนกเลือดพระเจ้าจึงเหลือคนอยู่เพียงแค่สามสิบคนเท่านั้น โดยที่มีประธานหนึ่งคนและผู้จัดการอีกสาม
คนที่รับหน้าที่เกี่ยวกับระบบทดสอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตของชุมชนเสมือนนั้นคือหนึ่งในผู้จัดการ ชื่อของเขาคือ หม่ากั๋วเฉิน จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้มีอะไรพิเศษ เขาชงกาแฟและนั่งอ่านข่าวอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจ
แต่ทันใดนั้นระบบฐานข้อมูลของเซิร์ฟเวอร์ก็แสดงบางสิ่งที่ไม่ปกติ ซึ่งทำให้หม่ากั๋วเฉินประหลาดใจ เซิร์ฟเวอร์นั้นถูกสร้างขึ้นมานานกว่าสามพันปี ระบบของมันทำงานเป็นปกติมาโดยตลอด มันไม่เคยมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
มันไม่ใช่ว่าระบบฐานข้อมูลนั้นถูกทำลายไม่ได้ เพียงแต่ว่าเซิร์ฟเวอร์นั้นจะถูกเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ให้ใหม่และมีสภาพดีอยู่เสมอ
ถ้ามันมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น มันก็มีฮาร์ดแวร์สำรองที่สามารถเปลี่ยนได้ในทันที ดังนั้นถ้าระบบฐานข้อมูลมีปัญหา คอมพิวเตอร์ก็จะเปลี่ยนไปใช้ฮาร์ดแวร์สำรอง
แต่ตอนนี้มันมีปัญหาเกิดขึ้น ระบบฐานข้อมูลส่งเสียงเตือนขึ้นมา และเขาไม่สามารถหยุดมันได้ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันทำให้หม่ากั๋วเฉินตกใจอย่างมาก เขารีบเปิดกล้องเพื่อดูห้องควบคุม
ขณะที่มองดู หม่ากั๋วเฉินก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ส่วนต่างๆของระบบทดสอบชีพจรโลหิตเทพสปิริตนั้นสามารถถูกเปลี่ยนได้ แต่มันมีอยู่ส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ ซึ่งมันก็คือแท็บเล็ตเทพสปิริตที่เป็นแกนกลางของระบบทดสอบโลหิตชีพจรเทพสปิริต
ทุกอาณาจักรจะมีระบบทดสอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตอยู่ แต่วิธีการการทดสอบของแต่ละอาณาจักรนั้นจะแตกต่างกัน การทดสอบของอาณาจักรฉินนั้นพึ่งพาแท็บเล็ตเทพสปิริต
ตำนานบอกว่าแท็บเล็ตเทพสปิริตอยู่มาตั้งแต่สมัยที่อาณาจักรฉินถูกก่อตั้งขึ้นมา มันเป็นแท็บเล็ตประหลาดที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัย มันก็ยังไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าแท็บเล็ตเทพสปิริตนั้นคืออะไรและสามารถใช้ทำอะไรได้
ต่อมามีนักวิจัยคนหนึ่งได้ลองรวมแท็บเล็ตเทพสปิริตกับระบบโลกเสมือนและพบว่าแท็บเล็ตเทพสปิริตนั้นสามารถใช้บนโลกเสมือนของอินเตอร์เน็ตได้ และทำให้มันแสดงตัวอักษรออกมา
หลังจากการวิจัยอีกหลายปี ระบบทดสอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตเสมือนจริงก็ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อสามพันปีก่อน ซึ่งเมื่อเทียบกับระบบทดสอบของอาณาจักรอื่นๆแล้ว ความแม่นยำในการทดสอบของอาณาจักรฉินนั้นถือว่าสูงมากๆ มันแทบจะไม่เคยมีข้อผิดพลาดอะไร
หม่ากั๋วเฉินนั้นอยู่ในแผนกเลือดพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว และเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาเห็นแท็บเล็ตเทพสปิริตที่ใส่อยู่ในระบบทดสอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตเริ่มจะเรืองแสงขึ้นมา ตัวอักษรบนแท็บเล็ตนั้นเรืองแสงอย่างประหลาด มันทำให้ทั้งห้องสว่างไสว ขณะที่แท็บเล็ตเทพสปิริตดูเหมือนกับโลหะที่ถูกความร้อนและกลายเป็นบางสิ่งที่กึ่งโปร่งใส
“เกิดอะไรขึ้น?” หม่ากั๋วเฉินคิดว่านี่มันแย่แล้ว เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อติดต่อฝ่ายซ่อมบำรุง เขาต้องการบอกให้ฝ่ายซ่อนบำรุงมาตรวจเช็คเครื่องมือภายในห้องเพื่อดูว่ามันมีอะไรผิดปกติหรือไม่
แต่ไม่นาน หม่ากั๋วเฉินก็รู้สึกตัวว่าโทรศัพท์นั้นไม่มีสัญญา เครื่องจักรทุกอย่างนั้นเริ่มจะพังและมีควันสีขาวลอยขึ้นมา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หม่ากั๋วเฉินจำเป็นต้องรีบทำอะไรสักอย่าง เขากดปุ่มฉุกเฉินและดึงคันโยกลง เขาตัดพลังงานทั้งห้องเพื่อทำให้เครื่องมือทุกอย่างหยุดทำงาน
หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับมาสงบอีกครั้ง เมื่อครู่นี้แท็บเล็ตเทพสปิริตนั้นดูเหมือนกับว่าจะระเบิดได้ทุกเมื่อ แต่ตอนนี้มันหยุดเรืองแสงไป มันกลับไปดูเหมือนกับแผ่นหินสีเทาธรรมดาๆ
หลังจากที่ทุกอย่างกลับเป็นปกติ หม่ากั๋วเฉินก็รีบติดต่อไปหาประธานและสมาชิกคนอื่นๆของแผนกเลือดพระเจ้า และเขาก็ติดต่อคนของฝ่ายซ่อมบำรุงด้วยเช่นกัน
หลังจากที่คนอื่นๆมาถึง พวกเขาก็เห็นเครื่องมือหลายอย่างภายในห้องมีควันขึ้น ทุกคนรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น ประธานแผนกเลือดพระเจ้า หลี่ ชิงหยุนขมวดคิ้วและถามหม่ากั๋วเฉินว่าเกิดอะไรขึ้น
หม่ากั๋วเฉินพยายามอธิบายสถานการณ์ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครที่เชื่อคำพูดของเขา หลี่ชิงหยุนออกคำสั่งฝ่ายซ่อมบำรุงให้ทำการซ่อมแซมห้องและดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
มันมีเครื่องจักรหลายอย่างที่ได้รับความเสียหาย แต่โชคดีที่ส่วนประกอบหลายอย่างของเซิร์ฟเวอร์นั้นสามารถสับเปลี่ยนได้ ในเวลาเพียงครึ่งวัน เซิร์ฟเวอร์ก็กลับมาทำงานปกติอีกครั้ง
แต่พวกเขายังคงไม่พบสาเหตุว่าทำไมมันถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หลังจากที่พยายามตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่หลายวัน ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบบางสิ่ง
ฝ่ายซ่อมบำรุงเขียนรายงานการค้นพบส่งไปให้กับหลี่ชิงหยุน
“ในเวลาที่เกิดเรื่องขึ้น ดูเหมือนว่าข้อมูลจากเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตที่ต้องประมวลผลนั้นจะมีมากกว่าปกติ แต่เนื่องจากว่าฐานข้อมูลได้รับความเสียหาย พวกเราจึงระบุไม่ได้ว่าข้อมูลนั้นมาจากที่ไหนของเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต”
ตอนที่ 3051 เข้าไปในภูเขาแอนเชี่ยนท์บ...
หานเซิ่นรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เริ่มการทดสอบจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขายังไม่รู้สึกถึงอาการตามที่ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบอกกับเขาเลย
จากคำบรรยายของผู้ทดสอบคนอื่นเกี่ยวกับการทดสอบของพวกเขา มนุษย์ที่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริตระดับต่ำนั้นจะรู้สึกมึนหัวได้ง่าย และพวกเขาหลายคนถึงกลับหมดสติไประหว่างการทดสอบ
แม้แต่ขุนนางที่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริตที่สมบูรณ์ก็ไม่สามารถทนรับการทดสอบได้นานเกินกว่าครึ่งชั่วโมง แต่ในตอนนี้หานเซิ่นรับการทดสอบมากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่รู้สึกอะไร
ตัวอักษรที่วูบวาบบนกำแพงนั้นเริ่มจะซ้ำของเดิม และทันใดนั้นจู่ๆทุกอย่างก็มืดมิดไปก่อนที่เขาจะถูกส่งออกไปจากห้องทดสอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตเสมือน
“มันจบแล้วอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นรู้สึกสับสน เขายังไม่ได้เห็นผลการทดสอบเลย แต่เขากลับถูกส่งออกมาจากห้องทดสอบเรียบร้อยแล้ว
ในตอนที่เขาพยายามเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของระบบทดสอบอีกครั้ง มันบอกว่ามันไม่มีเซิร์ฟเวอร์อยู่ เขาไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบทดสอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตในโลกเสมือนได้
“นี่ระบบทดสอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตล่มอย่างนั้นหรอ? เซิร์ฟเวอร์ของโลกนี้ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ”
หานเซิ่นรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เขาอยากรู้ว่าตัวเขาเองอยู่ในระดับไหน แต่ตอนนี้แม้แต่จะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ก็ยังทำไม่ได้
แต่เนื่องจากไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้ หานเซิ่นจึงตัดสินใจค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้ต่อ
หานเซิ่นพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับชีพจรพระเจ้า แต่เนื่องจากข้อมูลพวกนั้นมีอยู่อย่างจำกัด แม้แต่เหล่าขุนนางก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกมันมากนัก
ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการผสมระหว่างเรื่องแต่งและทฤษฎี มันทำให้ข้อมูลซับซ้อนและไม่ชัดเจน ซึ่งมันซับซ้อนยิ่งกว่าการจะทำความเข้าใจวิชาเคมีซะอีก
อย่างน้อยๆในวิชาเคมีก็มีสูตรให้เรียนรู้ แต่ชีพจรพระเจ้านั้นไม่มีสูตรที่ตายตัว มันมีเหตุผลต่างๆนาๆที่สามารถทำให้ชีพจรพระเจ้าปรากฎขึ้นมาหรือเกิดความเปลี่ยนแปลง แถมด้วยเหตุผลบางอย่าง บางคนจะสัมผัสถึงมันได้ ขณะที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ มันไม่ได้ถูกอธิบายเอาไว้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
ด้วยเหตุนั้นการจะเรียนรู้เกี่ยวกับชีพจรพระเจ้าจึงเป็นเรื่องยาก มันจำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และคนที่เรียนจำเป็นต้องเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆทีละนิดๆ นั่นเป็นเหตุผลที่เหล่าขุนนางมักจะจ้างผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับชีพจรพระเจ้าแทน พวกเขาไม่ได้มีเวลามากพอที่จะมาเรียนรู้เรื่องแบบนี้
หานเซิ่นค่อนข้างสนใจในเรื่องของการหาชีพจรพระเจ้า หลังจากที่อ่านข้อมูลไปสักพัก เขาก็พบว่ามันคล้ายคลึงกับอภิปรัชญาที่มิสเตอร์ไวท์สอนให้กับเขา มันเป็นอะไรที่น่าสับสนมากๆ มันทำให้สมองของเขารู้สึกเหนื่อยล้า และสุดท้ายหานเซิ่นก็ต้องยอมแพ้ในที่สุด
พีชฟูลจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมการ และพวกเขาจะออกเดินทางในอีกสองวัน ด้วยเหตุนั้นเนื่องจากหานเซิ่นไม่มีอะไรจะทำ เขาจึงเริ่มศึกษาเกี่ยวกับตัวอักษรที่ได้เรียนรู้ในระหว่างการทดสอบโลหิตชีพจรเทพสปิริต
ตัวอักษรบนกำแพงนั้นบันทึกวิชาที่เรียกว่าวิชาก็อตเอ็กซ์โพลด์ หรือวิชาเทพสปิริต การใช้วิชาก็อตเอ็กซ์โพลด์นั้นเป็นเรื่องง่าย ผู้ใช้เพียงแค่จำเป็นต้องมีโลหิตชีพจรเทพสปิริตและยีนเรซ
หลังจากที่รวมร่างกับยีนเรซ การใช้วิชาก็อตเอ็กซ์โพลด์จะทำให้พลังของยีนเรซที่รวมเข้ากับพลังของผู้ใช้ถูกปลดปล่อยออกไปในคราวเดียว และหลังจากการโจมตีครั้งนั้น พลังชีวิตของยีนเรซก็จะเหือดแห้งไป พวกมันจะสลายกลายเป็นผุยผง พลังของยีนเรซที่ถูกปลดปล่อยออกไปในคราวเดียวโดยวิชาก็อตเอ็กซ์โพลด์นั้นจะเหนือกว่าพลังไหนๆที่คนๆหนึ่งจะใช้ได้ในตอนที่พวกเขารวมร่างกับยีนเรซ
“เป็นวิชาที่โหดร้ายอะไรแบบนี้ ทุกครั้งที่เราใช้มัน เราต้องสังเวยชีวิตของยีนเรซ มีเพียงแค่คนที่ร่ำรวยเท่านั้นที่จะใช้วิชาแบบนี้ได้”
หานเซิ่นไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริต และเขาก็ไม่ต้องการจะสังเวยแมวน้อย ดังนั้นถึงเขาจะเรียนรู้มัน แต่เขาก็ไม่ต้องการจะใช้มัน
บนดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งที่กำลังลอยไปตามดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นๆ เมื่อมองดูจากด้านนอก มันก็ไม่ได้ดูมีอะไรพิเศษ แต่ภายในของมันจริงๆแล้วมีฐานทัพซ่อนอยู่
หลังจากที่ไล่ล่าองค์รัชทายาทฉินไป๋และต่อสู้กับหานเซิ่น ผู้หญิงในชุดขาวที่ดูเหมือนกับนางฟ้าก็หนีกลับมาที่ฐานทัพบนดาวเคราะห์น้อยนั่น บนหลังของเธอไม่ได้มีปีกนางฟ้าอีกต่อไป ใบหน้าและออร่าของเธอแตกต่างไปจากตอนที่เธอเปลี่ยนร่าง ถึงแม้หานเซิ่นจะมาเห็นเธอในตอนนี้ เขาก็จดจำเธอไม่ได้
“ท่านหัวหน้า ทำไมท่านถึงเอาตัวเองไปเสี่ยงทำอะไรแบบนั้น?”
ดวงตาของซูหลิงเอ๋อเบิกกว้างขณะที่เขามองไปที่ผู้หญิงชุดขาว
ผู้หญิงชุดขาวตอบกลับอย่างเย็นชา “มันหาได้ยากที่องค์รัชทายาทฉินไป๋จะอยู่ตามลำพัง โอกาสดีๆแบบนั้นข้ากลับทำไม่สำเร็จ จากนี้ไปการจะลงมือฆ่าเขาก็คงจะยากยิ่งกว่าเดิม จากข้อมูลที่พวกเราได้มา ฉินไป๋ต้องการจะพาหานเซิ่นกลับไปที่วัง แต่เขาถูกปฏิเสธ ถึงอย่างนั้นฉินไป๋ก็คงจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ที่สุดแล้วหานเซิ่นต้องไปเยือนพระราชวังของอาณาจักรฉิน ดังนั้นพวกเราแค่ต้องคอยจับตาดูเขาเอาไว้ และพวกเราก็จะมีโอกาสฆ่าฉินไป๋อีกครั้ง”
“แต่ท่านหัวหน้า ท่านไม่เห็นจำเป็นต้องทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แค่ส่งใครสักคนไปทำก็พอแล้ว” ซูหลิงเอ๋อรีบพูด
ผู้หญิงชุดขาวส่ายหัว “หานเซิ่นคนนี้เป็นคนที่ลึกลับ เขาไม่ใช่คนธรรมดา แม้แต่ข้าก็ต่อกรกับเขาไม่ได้ ถ้าข้าทำไม่ได้ พวกเจ้าก็ทำไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจะลงมือเอง”
หลังจากที่หยุดไปชั่วครู่ ผู้หญิงชุดขาวก็ถามขึ้นว่า “เจ้าทำตามที่ข้าบอกแล้วหรือยัง?”
“ข้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว โกสต์คิลล์นั้นจากโลกนี้ไปเรียบร้อยแล้ว” ซูหลิงเอ๋อพูดอย่างจริงจัง
“ดีมาก พวกเราจะทำตามแผนที่วางเอาไว้” ผู้หญิงชุดขาวพูดพร้อมกับพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
…
หานเซิ่นรอจนกระทั่งถึงวันเดินทาง พีชฟูลนำสมาชิกใหม่มาเพิ่มอีกสองคน หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงที่สวมชุดสีดำและใส่หน้ากากผี ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายที่สวมใส่ชุดเกราะที่งดงาม
ในตอนที่พีชฟูลแนะนำตัวพวกเขา เธอบอกว่าผู้หญิงชุดดำนั้นมีชื่อว่าโกสต์คิลล์ เธอจ้างนางมาในราคาที่สูง
และในตอนที่พีชฟูลแนะนำคนหนุ่มที่สวมชุดเกราะที่งดงาม หานเซิ่นและคนอื่นๆก็ต้องประหลาดใจ
ชายหนุ่มคนนั้นคือคนที่ได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตที่สมบูรณ์เมื่อสองวันก่อน
หานเซิ่นได้รู้ว่าชื่อของเขาคือโอหยางชิวซาน เขามาจากตระกูลโอหยางของเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต เขาจะร่วมเดินทางไปสู่ภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อตในครั้งนี้ด้วย
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมพีชฟูลถึงพาเขามาด้วยนั้นเป็นบางสิ่งที่หานเซิ่นไม่มีสิทธิ์จะรู้
ชายหนุ่มที่ชื่อโอหยางชิวซานนั้นมีโลหิตชีพจรเทพสปิริตที่สมบูรณ์ ถึงแม้เขาจะดูมีมารยาทและมีการศึกษาดี แต่เขาก็ไม่สามารถซ่อนความอวดดีที่ฝังอยู่ในกระดูกของเขาได้
โอหยางชิวซานดูจะสนใจแค่พีชฟูลเพียงคนเดียว คนอื่นๆนั้นดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา
แต่หานเซิ่นเองก็ไม่ได้สนใจอะไรในตัวโอหยางชิวซานเช่นกัน ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีโลหิตชีพจรที่สมบูรณ์ของอีวิลโลตัสก็อต แต่อีวิลโลตัสก็อตนั้นเคยพ่ายแพ้หานเซิ่นอย่างราบคาบมาแล้ว
เมื่อแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางไปที่ภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต แต่หลังจากเดินทางไปถึงจุดๆหนึ่ง พวกเขาก็หยุดเพื่อให้มิสเตอร์หยางได้ทำการคำนวณหาตำแหน่งที่แน่นอนของชีพจรพระเจ้า
เส้นทางที่พวกเขาใช้ในการเดินทางเข้าไปในภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อตในครั้งนี้แตกต่างไปจากเส้นทางที่หานเซิ่นเคยออกมา ซึ่งทำให้มิสเตอร์หยางรู้สึกโล่งใจ ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าพีชฟูลนั้นไม่ได้กำลังตามหาสมบัติของราชาฉิน
หลังจากที่พวกเขาเดินทางไปบนภูเขาได้ไม่นาน มันก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นมา มันฟังดูเหมือนกับเสียงเด็กร้องและเสียงกรีดร้องของแมวป่า มันทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ
พีชฟูลพูด “ภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อตไม่มีผู้คนอยู่อาศัย มันมียีนเรซจำนวนมากที่ฟักตัวจากชีพจรพระเจ้าและซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ลึกเข้าไปในภูเขานี้ ไม่รู้ว่ามันจะมียีนเรซที่น่ากลัวอยู่มากมายเท่าไหร่ ทุกคนต้องระวังตัวให้ดีและคอยช่วยเหลือกันและกัน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น