Super God Gene 3038-3046
ตอนที่ 3038 วิหารอีวิลโลตัสก็อต
หานเซิ่นต้องการอธิบายว่าเขาไม่ใช่มิสเตอร์หยาง แต่มิสเตอร์หยางเดินเข้ามาพอดี เขาโค้งคำนับหานเซิ่นและพูด
“มิสเตอร์ มีบางสิ่งผิดปกติในสวน เจ้าควรจะไปดู”
หลังจากนั้นมิสเตอร์หยางก็หันไปมองพีชฟูลและพูดอย่างเป็นธรรมชาติ
“คุณหญิงพีชฟูล ได้โปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ เดี๋ยวข้ามา”
พีชฟูลพยักหน้า เธอดูไม่รังเกียจที่จะต้องรอ
หานเซิ่นตามมิสเตอร์หยางเข้าไปในสวน ทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าลงเพื่อกราบหานเซิ่นและพูด “มิสเตอร์ได้โปรดช่วยข้าด้วย”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” หานเซิ่นคาดเดาว่าที่มิสเตอร์หยางพูดแบบนี้นั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับพีชฟูล
มิสเตอร์หยางรีบพูด “พีชฟูลคนนั้นเป็นลูกของเจ้าเมืองดราก้อนซอง ข้าได้ยินมาจากมิสเตอร์เหมิงว่าเจ้าเมืองดราก้อนซองหมายตาไข่ยีนที่ราชาฉินทิ้งเอาไว้ ที่นางมาหาข้าคงจะเพราะนางได้ยินข่าวนี้ นางคงต้องการให้ข้าช่วยหารังของมังกรโลหิต แต่ว่ามันไม่มีไข่ยีนอยู่อีกแล้ว ถ้าข้าพาพวกเขาไปที่นั่นและหาไข่ไม่พบ พวกเขาก็จะฆ่าข้า ดังนั้นมิสเตอร์ได้โปรดช่วยชีวิตข้าด้วย”
“ถ้าเจ้าไม่อยากไป เจ้าก็ปฏิเสธพีชฟูลได้หนิ” หานเซิ่นพูด
มิสเตอร์หยางส่ายหัว “มิสเตอร์ยังไม่รู้ ขุนนางมีสิทธิ์ที่จะฆ่าสามัญชน เลือดของข้านั้นไม่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้รับโลหิตชีพจรจากเทพสปิริต ข้าจึงเป็นเพียงแค่สามัญชน ถึงข้าจะเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์เพื่อเอาตัวรอด แต่ฐานะของข้าก็ยังต้อยต่ำ ขุนนางอย่างเจ้าเมืองดราก้อนซอง ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นผู้นำของเมืองแห่งนี้ แต่เขาก็ฆ่าคนอย่างข้าได้โดยไม่ต้องรับความผิดอะไร เจ้าเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตนั้นไม่กล้าจะขัดแย้งกับเจ้าเมืองดราก้อนซองเพื่อเพราะสามัญชนคนหนึ่ง แบบนั้นข้าจะตอบปฏิเสธไปได้ยังไง? ข้าจำเป็นต้องพึ่งความช่วยเหลือจากเจ้า ข้ายินดีที่จะเป็นข้ารับใช้ของเจ้า ถ้าเจ้าช่วยชีวิตของข้า” หลังจากนั้นเขาก็ก้มกราบหานเซิ่นอีกครั้ง
เมื่อได้ยินแบบนั้นหานเซิ่นก็ขมวดคิ้ว อาณาจักรฉินค่อนข้างทันสมัย แต่กฎหมายของพวกเขายังล้าสมัย มันแย่ๆมากเมื่อเทียบกับในสหพันธ์ มันคล้ายคลึงกับในจักรวาลจีโน
แต่ทว่าอาณาจักรทั้งเจ็ดล้วนแต่เป็นอาณาจักรของมนุษย์ ดูเหมือนว่าจักรวาลนี้จะถูกปกครองโดยมนุษย์อย่างสมบูรณ์ แม้แต่ฉินซิวก็เป็นมนุษย์บริสุทธิ์
นั่นทำให้หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับอะไรหลายๆอย่าง โลกปฏิสสารเป็นโลกของมนุษย์ ขณะที่จักรวาลจีโนไม่มีเผ่ามนุษย์อยู่จนกระทั่งฉินซิวเข้าไปในจักรวาลจีโน มนุษย์เริ่มจะปรากฎตัวในก็อตแซงชัวรี่หลังจากที่ฉินซิวให้คริสตัลไลเซอร์ผสมยีนของเขาเข้ากับสิ่งมีชีวิตอื่น
เทพสปิริตมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่ามนุษย์ แต่พวกเขาต้องการจะฆ่ามนุษย์ทั้งหมด ถ้านั่นเป็นเพราะฉินซิว มันก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่
มันมีเผ่าพันธุ์อีกมากที่ต้องการจะฆ่าเทพสปิริตของจักรวาลจีโน แต่ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนที่ได้รับความเกลียดชังจากเทพสปิริตเหมือนอย่างเผ่ามนุษย์
ส่วนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรฉินนั้นดูเหมือนจะเป็นตอนที่หว่านเอ๋อตาย ฉินซิวใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อจะชุบชีวิตหว่านเอ๋อขึ้นมา แต่เธอมีชีวิตอยู่ในจักรวาลจีโนที่หานเซิ่นจากมา ด้วยเหตุนั้นมันจึงดูจะไม่สมเหตุสมผล
สิ่งที่แปลกยิ่งกว่าก็คือหานหยี่เฟยบอกกับหานเซิ่นว่าฉินหว่านเอ๋อนั้นเป็นสมาชิกของเผ่าวิทช์ เธอไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับฉินซิว นั่นทำให้มันยิ่งไม่สมเหตุสมผลกว่าเดิม มันต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่หานเซิ่นยังไม่รู้ ถึงแม้หานเซิ่นจะมีข้อสันนิษฐานอยู่หลายอย่าง แต่เขาก็ยังหาบทสรุปไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าข้อสันนิษฐานของตัวเองนั้นถูกหรือผิด
“ข้าจะช่วยเจ้าได้ยังไง?” หานเซิ่นคิดว่าถ้าเขาต้องการจะเรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ในเวลาอันสั้น การมีคนท้องถิ่นคอยติดตามถือเป็นเรื่องดี ดังนั้นถ้ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไร หานเซิ่นก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยมิสเตอร์หยาง
มิสเตอร์หยางพูดด้วยสีหน้าอึดอัด “ข้าย้ายมาจากเมืองอื่น มันมีผู้คนไม่มายนักที่เคยเห็นหน้าของข้า ข้าไม่คิดว่าพีชฟูลและเจ้าเมืองดราก้อนซองนั้นจะรู้ว่าข้ามีหน้าตาเป็นยังไง ถ้าเจ้าต้องการจะช่วยข้า เจ้าแต่ต้องสวมรอยเป็นข้าเพื่อปฏิเสธพวกเขา แต่ถ้าเจ้าทำแบบนั้น เจ้าต้องมีปัญหากับพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย”
“เจ้านี่ฉลาดจริงๆ จะให้ข้าเป็นแพะรับบาปแทนแบบนั้น แต่แล้วยังไงต่อ? เจ้าจะหนีไปซ่อนตัวอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพูด
“แน่นอนว่าไม่ ข้ารู้ว่าเจ้ามีพลังที่ไร้ขีดจำกัด” มิสเตอร์หยางพูดด้วยความกลัว
“เจ้าฆ่ามิสเตอร์เหมิงได้ในหมัดเดียว และถึงเจ้าเมืองดราก้อนซองจะเก่งกว่ามิสเตอร์เหมิง แต่เขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก เขาไม่มีทางทำอะไรเจ้าได้ ถ้าเจ้ายินดีจะให้ข้ารับใช้ ข้าก็ยินดีจะเป็นข้ารับใช้ของเจ้า ข้าจะติดตามเจ้าไปตลอดการ”
มิสเตอร์หยางเป็นคนฉลาด เขาสัมผัสได้ว่าหานเซิ่นไม่ใช่ฆาตกรที่จะฆ่าคนไม่เลือกหน้า ด้วยเหตุนั้นเขาจึงพูดเรื่องทั้งหมดนี้ออกมา
“ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปปฏิเสธพีชฟูลด้วยตัวเอง ถ้านางต้องการใช้กำลังบังคับเจ้า แน่นอนว่าข้าในฐานะเจ้านายจะยื่นมือเข้าช่วย” หานเซิ่นพูด
“ขอบคุณนายท่าน” มิสเตอร์หยางดีใจ เขาก้มลงกราบอีกครั้งด้วยความซาบซึ้ง
หลังจากที่กลับไปที่ห้องนั่งเล่น มิสเตอร์หยางก็เดินเข้าไปหาพีชฟูลและอธิบายว่าเขาคือมิสเตอร์หยาง
“เจ้าคือมิสเตอร์หยาง?” พีชฟูลพยักหน้าก่อนที่จะเหลียวไปมองหานเซิ่น แต่เธอไม่ได้พูดอะไรมาก เธอแค่หันกลับไปพูดกับมิสเตอร์หยางว่า
“มิสเตอร์หยาง ข้าต้องการจ้างเจ้าไปที่ภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อตเพื่อตามหาชีพจรพระเจ้า ถ้าเจ้าสะดวก ได้โปรดมากับข้า”
มิสเตอร์หยางมองหานเซิ่นก่อนที่จะตอบกลับไปว่า “ข้าต้องขออภัยนายหญิงพีชฟูล เจ้านายของข้ายังมีงานที่ต้องทำ ข้าจึงออกไปจากเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตไม่ได้”
“เจ้านายของเจ้าเป็นใคร?” พีชฟูลถามพร้อมกับขมวดคิ้ว เธอมองไปที่หานเซิ่นและตรวจเช็คเขา
“นี่คือเจ้านายของข้า” เป็นอย่างที่พีชฟูลคาดเดา มิสเตอร์หยางขยับเข้าไปใกล้หานเซิ่นและแนะนำตัว
พีชฟูลมองไปที่หานเซิ่นและถาม “ข้าจะขอยืมตัวมิสเตอร์หยางไปหน่อยได้ไหม?”
เธอสัมผัสออร่าของโลหิตชีพจรจากตัวหานเซิ่นไม่ได้เลย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอเข้าใจผิดไปว่าหานเซิ่นคือมิสเตอร์หยาง
ตอนนี้เมื่อมิสเตอร์หยางบอกว่าหานเซิ่นคือเจ้านายของเขา นั่นก็หมายความว่าหานเซิ่นต้องเป็นขุนนาง
ฐานะของมิสเตอร์ไม่ได้สูงเหมือนอย่างขุนนาง มันแค่สูงกว่าสามัญชนทั่วๆไป การที่ทำให้มิสเตอร์หยางเป็นคนรับใช้ได้ คนๆนั้นก็ต้องเป็นขุนนาง
มันมีความเป็นไปได้สองอย่างที่พีชฟูลสัมผัสถึงออร่าจากตัวหานเซิ่นไม่ได้ อย่างแรกคือหานเซิ่นไม่ใช่ขุนนาง อย่างที่สองคือโลหิตชีพจรของเขาเหนือกว่าเธอ
“ข้าจะไม่ส่งเขาออกไปนอกเมือง ถ้าเจ้าไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้ว เจ้าก็ออกไปได้แล้ว” หานเซิ่นพูดอย่างเย็นชา
พีชฟูลรู้ว่าท่าทางของหานเซิ่นนั้นไม่ปกติ เขาดูสบายๆ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ดูน่าเกรงขามมากๆ เธอคิดว่าหานเซิ่นคงจะเป็นขุนนางระดับสูง ด้วยเหตุนั้นเธอจึงไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านั้น
หานเซิ่นคิดว่ามันอาจจะเกิดปัญหาขึ้น แต่พีชฟูลกลับยอมออกไปแต่โดยดี เธอแค่ถามชื่อของเขาก่อนที่เธอจะจากไป
“นายท่านต้องไม่ประมาท พีชฟูลแค่ไม่รู้ว่านายท่านเป็นใคร ด้วยเหตุนั้นนางจึงยอมกลับไปแต่โดยดี แต่นางต้องกลับมาอีกครั้งแน่” มิสเตอร์หยางพูดเตือน
หานเซิ่นหลี่ตาและพูดอย่างสบายใจว่า “นั่นจะไม่เป็นปัญหาอะไร”
หลังจากที่พีชฟูลกลับไปที่บ้าน เธอเริ่มทำการตรวจสอบที่มาของหานเซิ่น แต่หลังจากที่เธอเรียกคนของเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตมาถาม เธอก็ยังไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับหานเซิ่น พีชฟูลคิดว่านั่นเป็นอะไรที่แปลก
หานเซิ่นพักอยู่ที่บ้านของมิสเตอร์หยางเป็นเวลาสองวันก่อนที่วันเปิดโลหิตชีพจรจะมาถึง เมื่อถึงเวลาหานเซิ่นก็ตามมิสเตอร์หยางไปที่วิหารอีวิลโลตัสก็อต
ตอนนี้ประตูของวิหารอีวิลโลตัสก็อตเปิดออก หานเซิ่นก็เห็นรูปปั้นที่ตั้งอยู่บนแท่นบูชาภายในวิหารพระเจ้า ใบหน้าของรูปปั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเหมือนกับอีวิลโลตัสก็อตที่เขาเคยพบ
ตอนที่ 3039 โลหิตชีพจรเทพสปิริต
‘เป็นวิหารพระเจ้าของอีวิลโลตัสก็อตจริงๆด้วย ทำไมโลกนี้ถึงได้มีวิหารพระเจ้าของอีวิลโลตัสก็อตอยู่? โลกทั้งสองมีความสัมพันธ์กันยังไง?’ หานเซิ่นคิด
มิสเตอร์หยางบอกหานเซิ่นว่าทุกเมืองในอาณาจักรของจักรวาลมีวิหารพระเจ้าอยู่ เหตุผลที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าวิหารพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว ขณะที่เมืองของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นรอบๆวิหารพระเจ้าในภายหลัง
ในโลกใบนี้วิหารพระเจ้านั้นมีพลังพิเศษ ไม่ใช่เพียงแค่พวกมันจะปกป้องเมืองของมนุษย์เท่านั้น พวกมันยังมอบพลังของโลหิตชีพจรให้กับมนุษย์อีกด้วย
ขณะที่หานเซิ่นกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เขาเห็นสามัญชนเข้าแถวเรียงต่อกันอยู่ตรงหน้า ภายใต้สายตาของทหาร สามัญชนที่อยู่หน้าสุดได้รับอนุญาตให้เดินเข้าไปในวิหาร ในตอนที่คนๆนั้นอยู่ตรงหน้ารูปปั้นของอีวิลโลตัสก็อต เขาก็จะลงไปคุกเข่าภาวณาต่อเทพสปิริตจากใจจริง
สามัญชนคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายที่อายุไม่มากนัก หลังจากที่ภาวณาเสร็จ เขาก็เฉือนนิ้วตัวเองและหยดเลือดลงไปบนเตาหินสีม่วง หลังจากนั้นเขาก็มองเตาหินสีม่วงอย่างเป็นกังวล
แต่หลังจากผ่านไปสักพัก เตาหินก็ยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง ในตอนแรกชายหนุ่มเต็มไปด้วยความหวัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปความหวังก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ร่างกายของเขาเริ่มจะสั่นและขาอ่อนลงไป เขาเกือบที่จะล้มลงไปกับพื้น
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่ข้าจะไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริต… มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ… มันต้องมีอะไรผิดพลาด…”
ชายหนุ่มดูเหมือนกับคนบ้า หลังจากนั้นเขาก็ใช้มีดเฉือนแขนตัวเองหลายต่อหลายครั้งเพื่อหยดเลือดทั้งหมดลงไปบนเตาหินสีม่วง
แต่เตาหินสีม่วงก็ยังคงไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆต่อเลือดของชายหนุ่ม ชายหนุ่มดูเหมือนจะเสียสติ เขาตัดข้อมือและเส้นเลือดของตัวเองจนขาด มันทำให้เลือดในร่างกายของเขาไหลลงไปบนเตาหินเหมือนกับน้ำตก
“ข้าต้องมีโลหิตชีพจรเทพสปิริต… ข้าต้องมี…”
ดวงตาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวขณะจ้องไปที่เตาหินสีม่วง
เตาหินยังคงนิ่งสนิทไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ ที่สุดแล้วชายหนุ่มก็เสียเลือดมากจนล้มลงไปบนพื้น เขาหมดสติไปขณะที่เลือดของเขายังคงไหลออกมาเรื่อยๆ ทุกคนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีใครคนไหนดูประหลาดใจ พวกเขาดูจะเคยชินกับเหตุการณ์แบบนี้และไม่มีใครที่เป็นห่วงชีวิตของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มที่หมดสตินั้นถูกพาตัวออกไปจากวิหารพระเจ้าโดยทหาร เขาถูกลากตัวออกไปไม่ต่างจากสุนัขที่เสียชีวิต ทหารโยนเขาทิ้งไว้บนพื้น ไม่มีใครรู้ว่าเขาตายไปแล้วหรือว่ายังมีชีวิตอยู่
คนที่สองที่เข้าไปในวิหารเป็นเด็กสาวที่สวมเสื้อผ้าหลายชั้น เธอดูหวาดกลัวมาก ร่างกายของเธอสั่นรัว ขณะที่เธอเดินเข้าไปในวิหารพระเจ้า แต่เธอดูต่างไปจากชายหนุ่มคนก่อนหน้า มันมีสมาชิกในครอบครัวหลายคนที่คอยให้กำลังใจเธอจากด้านนอก หลังจากที่เด็กสาวรวบรวมความกล้าได้ เธอก็เดินไปอยู่ตรงหน้าแท่นบูชา เธอคุกเข่าลงและภาวณาต่อหน้ารูปปั้นของอีวิลโลตัสก็อตเหมือนกับชายหนุ่ม ก่อนที่จะนำเอาเข็มออกมาจิ้มนิ้วมือเพื่อหยดเลือดลงไปบนเตาหินสีม่วง
หลังจากที่เด็กสาวหยดเลือดลงไป ไม่นานเตาหินสีม่วงก็เรืองแสงแห่งเทพออกมา แสงสีม่วงสว่างขึ้นเรื่อยๆและเริ่มก่อตัวเป็นดอกบัวแสงสีม่วงเหนือเตาหิน
เด็กสาวดูดีใจอย่างมากเมื่อเห็นดอกบัวแสงสีม่วง เธอร้องไห้ออกมา สมาชิกในครอบครัวของเธอที่อยู่ข้างนอกเองก็ปลาบปลื้มใจเช่นกัน พวกเขาคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณต่ออีวิลโลตัสก็อต
ดอกบัวแสงสีม่วงลอยออกมาจากเตาหินไปที่หน้าผากของเด็กสาว มันแทรกซึมเข้าไปในตัวเธอและกลายสัญลักษณ์ดอกบัวแสงบนหน้าผาก หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆจางหายไป
“ยินดีด้วย เจ้ามีโลหิตชีพจรของอีวิลโลตัสก็อต”
ทหารที่ก่อนหน้านี้ดูเลือดเย็นยิ้มออกมา เขาส่งเด็กสาวกลับไปอย่างมีมารยาทต่างจากที่เขาทำกับชายหนุ่มก่อนหน้านี้
“มิสเตอร์หยาง นี่หมายความว่าเด็กสาวได้รับโลหิตชีพจรจากอีวิลโลตัสก็อตอย่างนั้นใช่ไหม? วิหารพระเจ้าของเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตอยู่ในระดับไหนอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
มิสเตอร์หยางตอบ “วิหารพระเจ้ามีอยู่ด้วยกันสี่ระดับ เดสทรัคชั่น ดิแซสเตอร์ แอนนิฮิเลชั่นและรีบูท ยิ่งระดับของวิหารพระเจ้าสูงมากเท่าไหร่ โลหิตชีพจรที่ได้รับก็จะทรงพลังมากเท่านั้น อีวิลโลตัสก็อตเป็นเทพสปิริตขั้นเดสทรัคชั่น ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นการได้รับโลหิตชีพจรก็เปิดโอกาสให้คนนั้นๆฝึกวิชาได้ นี่ถือเป็นเงื่อนไขจำเป็นที่จะกลายเป็นขุนนาง”
หลังจากนั้นมิสเตอร์หยางก็ถอนหายใจและพูด “ถึงมันดูไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ผ่านขั้นตอนนี้ มันเหมือนกับเส้นแบ่งระหว่างสวรรค์กับนรก”
หานเซิ่นพยักหน้า เขามองไปที่เด็กสาว ถึงแม้เธอจะได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตของอีวิลโลตัสก็อต แต่ร่างกายของเธอก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ พลังของเธอไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น
โลหิตชีพจรเทพสปิริตนั้นจริงๆแล้วเป็นเหมือนกับกุญแจ มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความแข็งแกร่งของมนุษย์ สิ่งที่ตัดสินความแข็งแกร่งของมนุษย์คือไข่ยีนและยีนเรซ
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็เห็นชายแก่ผมขาวเดินเข้าไปในวิหาร เขาจึงถามด้วยความสงสัย “ทำไมถึงมีคนแก่เข้าทดสอบการเปิดโลหิตชีพจรด้วย?”
มิสเตอร์หยางอธิบาย “นั่นเป็นเพราะวิหารพระเจ้าทั้งหมดมีพลังที่แตกต่างกัน เกณฑ์การถูกเลือกจึงแตกต่างกันไปด้วย ถึงคนๆหนึ่งจะไม่ได้รับโลหิตชีพจรจากวิหารของอีวิลโลตัสก็อต พวกเขาก็ไปลองอีกครั้งที่วิหารพระเจ้าอื่นได้ แต่โอกาสสำเร็จนั้นน้อยมากๆ เพราะเทพสปิริตส่วนใหญ่จะมีเกณฑ์ที่ใกล้เคียงกัน”
หานเซิ่นมองดูอยู่อีกสักพัก นอกจากเด็กสาวคนก่อนหน้านี้ มีมนุษย์อีกหลายคนที่เข้าไปในวิหาร แต่พวกเขาไม่ได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริต
‘เมื่อก่อนฉินซิวเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริต แต่หว่านเอ๋อมอบโลหิตชีพจรเทพสปิริตของตัวเองให้กับเขา ในโลกใบนี้ดูเหมือนว่ามนุษย์ที่ไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริตจะฝึกวิชาไม่ได้ นั่นเป็นอะไรที่น่าเศร้า’ หานเซิ่นคิดขณะที่มองดู เขาไม่เข้าใจว่าโลหิตชีพจรเทพสปิริตกับการฝึกวิชาของมนุษย์นั้นมีความเกี่ยวข้องกันยังไง
ทันใดนั้นมิสเตอร์หยางก็เห็นหานเซิ่นเดินไปเข้าคิว เขาถามด้วยความตกใจ “นายท่านกำลังทำอะไร?”
“นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ข้าจึงอยากลองทดสอบดู” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
“นายท่าน…” มิสเตอร์หยางต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขารีบห้ามตัวเองเอาไว้
หลังจากที่เข้าคิวอยู่สักพัก มันมีเสียงตื่นเต้นดังขึ้นมา มีชายคนหนึ่งร้องตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจ เลือดของเขาเผยให้เห็นดอกบัวแสงสีม่วงบนเตาหินสองดอก
‘พลังของอีวิลโลตัสก็อตจะมีปฏิกิริยาแบบไหนกับเลือดของฉันกัน’ หานเซิ่นคิด
ไม่ไกลออกไปจากวิหารพระเจ้า พีชฟูลกำลังมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เมื่อเธอเห็นหานเซิ่นกำลังเข้าคิวอยู่ เธอก็ดูประหลาดใจ หลังจากนั้นเธอก็หัวเราะกับตัวเอง
“ไม่รู้ว่าข้าจะหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาได้ยังไง แต่ตอนนี้เขากลับมาที่วิหารพระเจ้าเพื่อรับการทดสอบ นี่ถือว่าช่วยได้มาก”
ตอนที่ 3040 ไม่คุกเข่าคำนับเทพสปิริต
โอกาสที่มนุษย์จะได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตนั้นไม่ได้ต่ำอย่างที่หานเซิ่นคิดเอาไว้ในตอนแรก ดูเหมือนว่ามันจะมีโอกาสสำเร็จในอัตราส่วนหนึ่งต่อห้า
มนุษย์ส่วนใหญ่จะได้รับดอกบัวแสงสีม่วงแค่หนึ่งดอกเท่านั้น การได้รับดอกบัวแสงสีม่วงสองดอกถือว่าหาได้ยากมากๆ แต่มันมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ได้รับดอกบัวแสงสีม่วงถึงสี่ดอกด้วยกัน
มันเกือบที่จะถึงตาของหานเซิ่น มิสเตอร์หยางอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
“นายท่าน นี่นายท่านต้องการรับการทดสอบจริงๆอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นหันมามองเขาและถาม “มันมีปัญหาหรือยังไง?”
มิสเตอร์หยางมองซ้ายขวา ก่อนที่จะขยับเข้ามาใกล้หานเซิ่นและกระซิบ
“นายท่าน เทพสปิริตนั้นจะมอบโลหิตชีพจรให้กับมนุษย์เท่านั้น”
หานเซิ่นเข้าใจว่ามิสเตอร์หยางพยายามจะบอกอะไร มิสเตอร์หยางคิดว่าหานเซิ่นเป็นยีนเรซ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกกังวล
“ถ้ายีนเรซหยดเลือดของพวกเขาลงไปบนเตาหิน มันจะเกิดอะไรขึ้น?” หานเซิ่นถามด้วยรอยยิ้ม
“มันคงจะไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น” มิสเตอร์หยางพูดหลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่
“ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะไม่มีปัญหาอะไร” หานเซิ่นพูดปลอบใจเขา
“ถ้ามันไม่มีปฏิกิริยาอะไร มันก็แค่หมายความว่าข้าไม่ได้รับโลหิตชีพจร เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องกังวล”
มิสเตอร์หยางคิดว่าที่หานเซิ่นพูดนั้นสมเหตุสมผล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงที่มาอันแปลกประหลาดของหานเซิ่น ถ้ามันมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น มันก็จะส่งผลกระทบต่อเขาด้วย
พวกเขารอคิวอยู่อีกสักพัก และในที่สุดมันก็ถึงตาของหานเซิ่น หานเซิ่นเดินเข้าไปในวิหารพระเจ้าอย่างสบายใจ ขณะที่หัวใจของมิสเตอร์หยางเต้นตึกตัก พีชฟูลมองดูจากระยะไกลอย่างใจจดใจจ่อ เธอตั้งตารอจะได้เห็นผลลัพธ์จากการทดสอบของหานเซิ่น
หลังจากที่เข้าไปในวิหารพระเจ้า หานเซิ่นก็เดินตรงเข้าไปหาเตาหินสีม่วงในทันที เขาต้องการจะหยดเลือดลงไป แต่ทันใดนั้นทหารสองคนรีบเข้ามาหยุดเขาเอาไว้
“นี่เจ้ายังไม่ได้คุกเข่าต่อหน้าเทพสปิริต”
หานเซิ่นขมวดคิ้วเมื่อได้ยินพวกเขา เขาเคยฆ่าอีวิลโลตัสมาก่อน ตอนนี้เมื่อทหารทั้งสองต้องการให้เขาคุกเข่าลงต่อหน้ารูปปั้นของอีวิลโลตัส มันก็ไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรแบบนั้น
“รีบคุกเข่าลง” ทหารพูดอย่างใจร้อน
หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมัน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจจะหันกลับ เขาก็แค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น จริงๆแล้วการรับการทดสอบไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับเขา การต้องคุกเข่าต่อหน้าอีวิลโลตัสก็อตนั้นเป็นบางสิ่งที่เขาไม่อยากทำ
เมื่อเห็นหานเซิ่นหันกลับ ทหารที่เฝ้าวิหารอีวิลโลตัสก็อตก็ประหลาด พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี
ในตอนที่หานเซิ่นเกือบจะออกไปจากวิหารพระเจ้า มีชายคนหนึ่งเข้ามาขวางหน้าเขาเอาไว้ “เจ้าจะจากไปง่ายๆแบบนั้นอย่างงั้นหรอ?”
“ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญต้องไปทำ ข้าจะยังไม่ทดสอบในวันนี้” หานเซิ่นพูด
“ไม่เป็นอะไรถ้าเจ้าไม่ต้องการรับการทดสอบ แต่เมื่อเจ้าเข้ามาในวิหารพระเจ้า อย่างน้อยเจ้าก็ต้องคุกเข่า ไม่อย่างนั้นมันจะถึงว่าเป็นการดูหมิ่นต่อเทพสปิริต” ชายคนนั้นไม่หลีกทางและพูดกับหานเซิ่นอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินอย่างนั้นทหารที่เฝ้าวิหารพระเจ้าก็เริ่มรู้สึกตัวว่าควรจะทำยังไง พวกเขารีบเข้ามาล้อมหานเซิ่นเอาไว้
มิสเตอร์หยางรีบวิ่งเข้ามาและพูด “นายน้อยซือป๋อ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพื่อนของข้าคนนี้เดินทางมาจากภูเขา เขาไม่รู้กฎระเบียบของที่นี่ ถ้าเขาไปล่วงเกินนายน้อย ได้โปรดเห็นแก่ข้าและปล่อยเขาไปด้วยเถอะ”
เขาไม่ได้กลัวว่าหานเซิ่นจะถูกทำร้าย แต่เขากลัวว่าซือป๋อจะไปทำให้หานเซิ่นโกรธ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ถ้าหานเซิ่นลงมือฆ่าซือป๋อ
ซือป๋อเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต ถ้าเขาถูกฆ่าตาย เจ้าเมืองก็ไม่มีทางอยู่เฉยแน่ และถ้าเกิดหานเซิ่นไปฆ่าเจ้าเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตเข้าอีกคน เรื่องนี้ก็จะลามไปทั่วทั้งอาณาจักรฉิน
ในสายตาของซือป๋อ ไม่ว่าหานเซิ่นจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน เขาก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง มันไม่มีทางที่เขาจะต่อสู้กับยีนเรซชั้นสูงของอาณาจักรฉินได้
“ถ้าเขามาจากภูเขา มันก็สมเหตุสมผล” ซือป๋อพูดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเข้าใจ แต่หลังจากนั้นเขาก็พูดอย่างเย็นชา
“แต่ข้าไม่สนใจว่าเขาจะมาจากที่ไหน ความผิดฐานดูหมิ่นเทพสปิริตคือโทษตาย ถ้าเขาคุกเข่าในตอนนี้ ข้าไว้ชีวิตของเขา ไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาก็ต้องรับโทษ”
ก่อนที่ซือป๋อจะพูดจบ หานเซิ่นก็พูดขัดขึ้นมา “ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าก็ไม่คุกเข่า”
“เจ้าไม่คุกเข่าก็ไม่เป็นไร” ซือป๋อเย้ยหยัน เขาชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า วินาทีต่อมามีเสียงบูมดังขึ้นมา มีสิ่งมีชีวิตเปลือกสีดำขนาดยักษ์หล่นลงมาตรงหน้าของเขา มันทำให้ทั้งลานกว้างสั่นสะเทือน
หานเซิ่นมองไปที่สิ่งมีชีวิตเปลือกสีดำนั่น มันดูเหมือนกับด้วง เปลือกสีดำของเขาเรืองแสงออกมา ปีกของมันกลับหัวกลับหาง มันดูพร้อมที่จะเขมือบใครสักคนเข้าไป
“ถ้าเจ้าอยากจะกลายเป็นอาหารของโอเวอร์แบริ่งบั๊ก เจ้าก็ไม่ต้องรับโทษที่ดูหมิ่นต่อเทพสปิริต” ซือป๋อพูดอย่างเย้ยหยัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอวดดี
“นี่คือโอเวอร์แบริ่งบั๊กของนายน้อยซือป๋อ ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นยีนเรซระดับราชัน มันมีพลังโจมตีและป้องกันที่สุดยอด”
“ถ้าข้ามียีนเรซที่ทรงพลังแบบนั้น ข้าก็คงจะสุขสบายไปตลอดชีวิต”
ผู้คนในลานกว้างมองไปที่โอเวอร์แบริ่งบั๊กด้วยความอิจฉา พวกเขาไม่ได้รู้สึกสงสารหานเซิ่น
ในมุมมองของพวกเขา หานเซิ่นก็เป็นแค่คนมาจากภูเขาที่กล้ามาดูหมิ่นเทพสปิริตและยังล่วงเกินคนอย่างซือป๋อ นั่นไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย
มิสเตอร์หยางตื่นตระหนก แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ เขาได้แต่รู้สึกร้อนรนและเป็นกังวล
ซือป๋อมองไปที่หานเซิ่นอย่างอวดดี “ตอนนี้เจ้าพร้อมจะคุกเข่าแล้วหรือยัง? หรือว่าเจ้าต้องการจะเป็นอาหารของโอเวอร์แบริ่งบั๊กจริงๆ?”
“ข้าแค่ต้องการจากไป” หานเซิ่นพูดและเดินผ่านโอเวอร์แบริ่งบั๊กเพื่อจะออกไปจากวิหาร
“เจ้ากล้าดียังไง!” ซือป๋อโกรธ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับหน้าที่เป็นคนรับผิดชอบพิธีเปิดโลหิตชีพจร เขาจึงไม่ต้องการจะฆ่าใครคนไหน แต่ใครจะรู้ว่าหานเซิ่นจะหัวแข็งถึงขนาดนี้ มันทำให้ซือป๋อไม่สนใจอะไรอีกต่อไป
โอเวอร์แบริ่งบั๊กกรีดร้อง ปากของมันเต็มไปด้วยฟันที่แหลมคม มันตรงเข้าไปหาหานเซิ่น
ซือป๋อยืนกอดอกขณะที่มองไปที่หานเซิ่นด้วยสายตาเย็นชา เขาเตรียมตัวที่จะได้เห็นหานเซิ่นถูกฉีกเป็นชิ้นๆโดยโอเวอร์แบริ่งบั๊ก
พีชฟูลขมวดคิ้วขณะที่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เข้าใจว่าหานเซิ่นพยายามจะทำอะไรกันแน่ ในสายตาของเธอ มันดูเหมือนว่าเขาหาเรื่องใส่ตัว
ไม่ว่าจะในอาณาจักรไหนๆ การคุกเข่าต่อเทพสปิริตถือเป็นธรรมเนียมพื้นฐานที่ต้องทำ แต่หานเซิ่นกลับเข้าไปในวิหารพระเจ้าโดยที่ไม่คิดจะคุกเข่าต่อหน้าเทพสปิริต มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ซือป๋อจะโกรธ
“ก็ดี แบบนี้เราจะได้เห็นพลังของเขา” พีชฟูลคิด
เมื่อเห็นโอเวอร์แบริ่งบั๊กกำลังจะกินหานเซิ่น แต่หานเซิ่นไม่ได้เรียกยีนเรซออกมา เขายกหมัดขึ้นและชกใส่หัวของโอเวอร์แบริ่งบั๊ก
พีชฟูลอึ้งไป ซือป๋อเองก็มองหานเซิ่นราวกับว่าเขากำลังมองคนที่โง่เง่า
อีกฝ่ายไม่ได้ใช้ยีนเรซหรือโลหิตชีพจรเทพสปิริต ทุกคนคิดว่าถ้าหานเซิ่นบ้าไปแล้วที่คิดจะใช้แค่พลังทางกายภาพเพื่อต่อสู้กับยีนเรซอย่างโอเวอร์แบริ่งบั๊ก
แต่ในตอนที่หมัดของหานเซิ่นปะทะเข้าที่หัวของโอเวอร์แบริ่งบั๊ก ทุกคนก็อ้าปากค้างไป
ตอนที่ 3041 ขุดไข่ยีน
โอเวอร์แบริ่งบั๊กที่เป็นยีนเรซระดับราชันนั้นตัวระเบิดโดยหมัดของหานเซิ่น เปลือกของมันกระจัดกระจายไปทั่ว และเลือดของมันก็ย้อมบริเวณรอบๆเป็นสีแดง
ความเงียบเข้าปกคลุมลานกว้างแห่งนั้น แม้แต่นกก็ไม่กล้าจะส่งเสียงร้องออกมา ดวงตาของทุกคนเบิกกว้าง พวกเขาแข็งทื่อไปขณะที่มองหานเซิ่นที่อยู่ในวิหารพระเจ้า
โอเวอร์แบริ่งบั๊กนั้นเป็นยีนเรซระดับราชัน ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดของยีนเรซ ถึงแม้โอเวอร์แบริ่งบั๊กจะยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่พลังของมันก็เหนือกว่ายีนเรซส่วนใหญ่
ถึงอย่างนั้นโอเวอร์แบริ่งบั๊กที่แข็งแกร่งก็ตัวระเบิดโดยหมัดเพียงหมัดเดียว
ทุกคนเริ่มจะมองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ พวกเขามองหานเซิ่นเหมือนกับว่าพวกเขากำลังมองไปที่สัตว์ประหลาด
ถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตาตัวเอง พวกเขาไม่มีทางเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงๆ
ซือป๋อดูตกใจในตอนแรก แต่หลังจากนั้นความโกรธก็เข้าครอบงำตัวเขา เขารู้สึกโกรธ เกลียดชังและเคียดแค้น แต่ท่ามกลางอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นเขายังรู้สึกหวาดกลัว มันเป็นความรู้สึกที่ฝังลึกเข้าไปในหัวใจของเขา
หานเซิ่นไม่ได้ใช้โลหิตชีพจรเทพสปิริต เขาใช้แค่หมัดๆเดียวเพื่อจะฆ่ายีนเรซระดับราชัน ซือป๋อนั้นไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ซือป๋อไม่เคยคาดฝันว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้
เมื่อเห็นหานเซิ่นก้าวออกมาข้างหน้า ซือป๋อก้าวถอยออกไปด้านหลังโดยสัญชาตญาณ หน้าผากของเขามีเหงื่อไหลออกมา เขาถามอย่างตื่นตระหนก “เจ้าต้องการจะทำอะไร?”
หานเซิ่นหันไปมองซือป๋ออยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเลิกสนใจและเดินผ่านไป ผู้คนในลานกว้างนั้นรีบถอยออกไปเพื่อเปิดทางให้กับหานเซิ่น
หานเซิ่นเคยชินกับสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นเขาไม่ได้สนใจอะไร เขาเดินจากไปท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมาที่เขา ราวกับว่าพวกเขากำลังมองเห็นผี
มิสเตอร์หยางกัดฟันและรีบตามหานเซิ่นไป ไม่มีใครกล้าเข้ามาหยุดพวกเขา แม้แต่ซือป๋อหรือทหารของเมืองก็ไม่กล้าจะพูดอะไรขึ้นมา
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หานเซิ่นเป็นบุคคลที่สามารถทำลายโอเวอร์แบริ่งบั๊กในหมัดเดียว แบบนั้นใครมันจะกล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อหยุดเขาเอาไว้? เพียงแค่มองไปที่เศษซากของโอเวอร์แบริ่งบั๊กที่กระจัดกระจายไปทั่ว มันก็ทำให้ทุกคนนั้นขาอ่อนลงไป
“น่าสนใจ โดยไม่ใช้ยีนเรซ เขาก็ระเบิดร่างของโอเวอร์แบริ่งบั๊กได้ในหมัดเดียว นั่นหมายความเขามีโลหิตชีพจรติดตัวตั้งแต่กำเนิดอย่างนั้นหรอ?” พีชฟูลที่มองดูสถานการณ์จากระยะไกลมีสีหน้าแปลกๆ
นอกจากมนุษย์ที่มีโลหิตชีพจรตั้งแต่กำเนิดแล้ว พีชฟูลไม่สามารถคิดหาเหตุผลอื่นมาอธิบายได้ว่าทำไมคนๆหนึ่งถึงทรงพลังขนาดนี้
“คนของเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตที่มีโลหิตชีพจรตั้งแต่กำเนิด นี่เป็นอะไรที่แปลก เราต้องนำเรื่องนี้กลับไปรายงาน” เมื่อหานเซิ่นหายลับไปแล้ว พีชฟูลก็รีบออกไปจากลานกว้าง
มิสเตอร์หยางรู้สึกโล่งใจมากๆ โชคดีที่หานเซิ่นไม่ได้ชกซือป๋อให้แหลกสลายกลายเป็นผุยผง ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่านี้
ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่ได้ดีอะไรมากนัก โอเวอร์แบริ่งบั๊กเป็นยีนเรซหายากที่มีอยู่แค่ไม่กี่ตัวในเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต ตอนนี้เมื่อหานเซิ่นฆ่ามันตาย เจ้าเมืองก็คงจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
มิสเตอร์หยางบอกหานเซิ่นเกี่ยวกับความกังวลของเขา แต่หานเซิ่นแค่ยิ้มและพูด “นั่นไม่เป็นปัญหาอะไร ถ้าพวกเขาต้องการจะมา ก็ให้พวกเขามา”
หานเซิ่นไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ถึงพลังของเขาจะถูกจำกัดโดยกฎของโลกใบนี้ ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถใช้พลังของตัวเองได้อย่างเต็มที่ แต่เขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าเจ้าเมืองคนหนึ่งมาก
หานเซิ่นมองไปที่มิสเตอร์หยางและถามด้วยความอยากรู้
“ว่าแต่มิสเตอร์หยาง นี่ข้าจะไปหายีนเรซได้จากที่ไหนอย่างนั้นหรอ? และข้าจะใช้ยีนเรซได้ยังไงกัน?”
“ยีนเรซจะฝักออกมาจากไข่ยีน และโดยปกติไข่ยีนจะมาจากใต้ดินที่ไหนสักแห่ง ไม่ว่าใครคนไหนก็มียีนเรซได้ แต่มีแค่มนุษย์ที่ได้รับโลหิตชีพจรเทพสปิริตเท่านั้นที่จะรวมโลหิตชีพจรกับยีนเรซได้” มิสเตอร์หยางพูด
“ข้าจะรวมโลหิตชีพจรได้ยังไง?” หานเซิ่นรู้สึกสนใจยิ่งกว่าเดิม
มิสเตอร์หยางมีรอยยิ้มแห้งๆ เขาส่ายหัวและพูด “ข้าไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริต ข้าคงจะแสดงให้นายท่านดูไม่ได้ ข้ารู้แค่ว่าการรวมโลหิตชีพจรกับยีนเรซจะทำให้คนๆนั้นใช้พลังของยีนเรซได้ ยิ่งโลหิตชีพตรเทพสปิริตของคนๆนั้นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะรวมโลหิตชีพจรของยีนเรซได้สำเร็จก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น”
“ยกตัวอย่างถ้านายท่านได้รับโลหิตชีพจรของอีวิลโลตัสก็อตที่เป็นเทพสปิริตขั้นเดสทรัคชั่น นายท่านก็จะรวมยีนเรซระดับบารอนหรือไวเคานต์ได้ไม่ยากอะไร แต่ถ้านายท่านต้องการรวมกับโลหิตชีพจรของยีนเรซที่ระดับสูงกว่านั้น มันก็เป็นเรื่องยาก นั่นก็เพราะว่าจิตวิญญาณของยีนเรซระดับสูงนั้นแข็งแกร่ง พวกมันจะไม่ยอมง่ายๆ แต่ถ้านายท่านมีโลหิตชีพจรเทพสปิริตระดับสูง ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นมาก”
ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจถึงจุดประสงค์ของโลหิตชีพจรเทพสปิริตแล้ว เขาคิดกับตัวเอง ‘สิ่งที่เรียกว่าโลหิตชีพตรเทพสปิริตนี้จริงๆเป็นพลังที่ใช้สยบจิตใจของยีนเรซ’
“เจ้าเก่งเรื่องการมองหาบริเวณที่มีไข่ยีนอยู่ไม่ใช่หรอ พาข้าไปที่นั่น ข้าอยากจะลองขุดไข่ยีนขึ้นมาดู”
หานเซิ่นต้องการจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังของโลกใบนี้ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเขาต้องการรู้ว่าตัวเองจะใช้พลังของโลกใบนี้ได้ไหม
มิสเตอร์หยางมีสีหน้าแปลกๆขณะที่ถามขึ้นว่า “นายท่านใช้ยีนเรซได้อย่างนั้นหรอ?”
เขาคิดว่าหานเซิ่นเป็นยีนเรซ เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับยีนเรซที่สามารถรวมกับอีกยีนเรซหนึ่งมาก่อน
“ข้าแค่อยากจะลองดู” หานเซิ่นพูด ถ้าเขารู้คำคำตอบนั้น เขาก็คงจะไม่ขอให้มิสเตอร์หยางช่วยเขาขุดหาไข่ยีน
“แค่ต้องการจะลองดู?” ในหัวใจของมิสเตอร์หยางเชื่อว่านั่นเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากและพาหานเซิ่นออกไปจากเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต
ที่มิสเตอร์หยางยอมตกลงอย่างรวดเร็ว นั้นเป็นเพราะเขากำลังกลัวว่าซือป๋อจะส่งยอดฝีมือมาตามล่าหานเซิ่น ด้วยเหตุนั้นเขาจึงคิดว่าการไปซ่อนตัวนอกเมืองนั้นถือเป็นการกระทำที่ปลอยภัยกว่า
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องการจะพาหานเซิ่นไปซ่อนตัว เขาก็คงจะไม่ยอมตกลงที่จะพาหานเซิ่นไปขุดหาไข่ยีน ถึงแม้เขาจะไม่สามารถใช้ไข่ยีนได้ แต่ในเมื่อเขามีความสามารถที่จะหาที่ซ่อนของพวกมัน มันก็แน่นอนว่าเขาเคยขุดไข่ยีนขึ้นมา ถึงแม้พวกมันจะไม่ใช่ยีนระดับสูง แต่เขาก็มีไข่ยีนระดับต่ำที่จะมอบให้กับหานเซิ่นได้
พวกเขาทั้งสองคนเดินทางออกไปจากเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อต แต่มิสเตอร์หยางไม่ได้พาหานเซิ่นไปที่ภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต พวกเขาไปที่ทุ่งหญ้าที่อยู่อีกด้านหนึ่งแทน
“ชีพจรของผืนดินเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าชีพจรพระเจ้า ทุกสิ่งมีพระเจ้าอยู่ ชีพจรพระเจ้าจึงเป็นสถานที่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างมารวมตัวกัน มีแค่สถานที่แบบนี้ที่จะมีไข่ยีนอยู่” มิสเตอร์หยางอธิบายขณะที่เขาเดินนำทางไป
“ชีพจรพระเจ้าคืออะไร?” หานเซิ่นถาม
มิสเตอร์หยางเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะตอบว่า “นั่นเป็นอะไรอธิบายได้ยาก นายท่านคิดซะว่ามันเป็นบรรยากาศที่เหมือนกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า มันจะลอยไปตามความเปลี่ยนแปลงของโลก มันจะไม่คงอยู่กับที่ ดังนั้นการจะหาชีพจรพระเจ้าเพื่อขุดไข่ยีนขึ้นมาจึงเป็นการเรียนรู้ ไม่ได้เป็นการขุดหาแบบมั่วๆ”
“นายท่านเห็นเนินเขาเล็กๆข้างหน้านั่นไหม? มันเป็นสถานที่ที่ออร่ามารวมตัวกันอยู่ มันต้องมีไข่ยีนอยู่ข้างใต้นั่น แต่เมื่อดูจากออร่าที่ค่อนข้างอ่อน ระดับของไข่ยีนก็คงจะไม่สูงมากนัก”
มิสเตอร์หยางชี้ไปที่เนินเขาเล็กๆที่สูงเพียงเจ็ดถึงแปดเมตร
ตอนที่ 3042 น้ำพุอีวิลสปิริต
หานเซิ่นเดินไปอยู่ต่อหน้าเนินเขาและยกหมัดขึ้นเพื่อเตรียมจะชกใส่มัน แต่มิสเตอร์หยางรีบเข้ามาหยุดเขาเอาไว้
“นายท่านอย่าทำแบบนั้น! ไข่ยีนที่ยังไม่ฝักตัวนั้นบอบบางมากๆ นายท่านจะใช้แรงมากเกินไปไม่ได้ ถ้าไข่แตกขึ้นมา ยีนเรซที่อยู่ภายในก็จะไร้ประโยชน์”
หานเซิ่นดึงหมัดกลับ เขามองไปที่มิสเตอร์หยางและถาม “ข้าจะขุดไข่ยีนขึ้นมาได้ยังไง?”
มิสเตอร์หยางพูด “นายท่านได้โปรดรออยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าจะไปขุดไข่ยีนขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
มิสเตอร์หยางรู้สึกแย่มากๆ ถึงเขาจะเป็นแค่มิสเตอร์ที่ไม่มียีนเรซเป็นของตัวเอง โดยปกติแล้วในตอนที่ผู้คนมาจ้างให้เขาช่วยหาชีพจรพระเจ้า พวกเขาจะไม่ได้ใช้ให้มิสเตอร์หยางทำงานที่ใช้กำลัง
แต่มิสเตอร์หยางไม่มีทางเลือกอื่น ในตอนนี้หานเซิ่นเป็นเจ้านายของเขา เขาไม่สามารถปล่อยให้หานเซิ่นทำงานใช้กำลังได้ เขาจำเป็นต้องทำมันด้วยตัวเอง
มิสเตอร์หยางรู้สึกดีใจที่เลือกจะไม่พาหานเซิ่นไปที่ภูเขาแอนเชี่ยนท์บิ๊กก็อต ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยก้อนหินที่แข็งมากๆ ถ้าเป็นที่นั่น เขาก็คงจะเหนื่อยตายซะก่อนที่จะหาไข่ยีนเจอ
เมื่อเทียบกันแล้วที่นี่มีแค่ดินและหญ้า การขุดที่นี่จึงเป็นอะไรที่ง่ายกว่ามาก
มิสเตอร์หยางเดินวนอยู่หลายรอบก่อนที่จะนำเอาพลั่วขนาดเล็กออกมาและเริ่มขุดดินเพื่อตรวจสอบ เขาใช้ทั้งจมูกดมและลิ้นเลีย มันทำให้หานเซิ่นอึ้งไป
ที่สุดแล้วมิสเตอร์หยางเลือกตำแหน่งที่เขาคิดว่าน่าจะใช่และใช้พลั่วขนาดเล็กขุดลึกลงไป เนื่องจากมิสเตอร์หยางเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนแอ การขุดของเขาจึงเป็นไปอย่างช้าๆ แถมพลั่วของเขาก็ยังมีขนาดเล็ก
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ยังขุดลงพื้นไปได้แค่สองฟุตเท่านั้น ใบหน้าของเขาซีดเผือก เขานั่งลงไปกับพื้นและพยายามหายใจทางปาก
หานเซิ่นยิ้มและถาม “มิสเตอร์หยาง มิสเตอร์ทุกคนเป็นเหมือนกับเจ้าอย่างนั้นหรอ?”
เมื่อมิสเตอร์หยางได้ยินคำถามของหานเซิ่น เขาหายใจเข้าลึกก่อนที่จะตอบว่า
“ไม่ว่าใครก็เรียนรู้วิธีการมองหาชีพจรพระเจ้าได้ โดยปกติแล้วขุนนางที่ใช้ยีนเรซได้นั้นจะเรียนรู้ได้ง่ายกว่า ข้าเป็นแค่มิสเตอร์ที่ไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริต จึงเรียนรู้การมองหาชีพจรพระเจ้าเพื่อความอยู่รอด”
“ข้าขุดให้เอาไหม?” หานเซิ่นเห็นว่ามิสเตอร์หยางนั้นเหนื่อยล้ามากแค่ไหน เขาแทบจะลุกกลับขึ้นมาไม่ได้ หน้าผากของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเสนอขึ้นมา
“นายท่านแค่นั่งรออยู่เฉยๆก็พอ” มิสเตอร์หยางพูดพร้อมกับส่ายหัว
“ชีพจรพระเจ้าของที่นี่อ่อนมากๆ มันคงจะฝังอยู่ไม่ลึกนัก อีกไม่นานข้าก็คงจะขุดมันขึ้นมาได้สำเร็จ นายท่านแค่ต้องรออีกนิดหนึ่ง”
หานเซิ่นเห็นว่ามิสเตอร์หยางยืนกรานที่จะทำแบบนี้ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาแค่มองดูมิสเตอร์หยางขุดด้วยความสนใจ
Katcha!
หลังจากที่มิสเตอร์หยางขุดไปเรื่อยๆ จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงที่เหมือนการแตกของแก้ว ใบหน้าของมิสเตอร์หยางเปลี่ยนไปทันที
“นี่ข้าทำไข่ยีนแตกอย่างนั้นหรอ? ไม่มีทาง! จากการคาดเดาของข้า มันควรจะต้องขุดลึกลงไปอีกครึ่งฟุต ข้าไม่มีทางมองผิดไปได้”
ขณะที่มิสเตอร์หยางคิดแบบนั้น เขาก็ดึงพลั่วกลับขึ้นมา ในจังหวะที่เขาดึงพลั่วขึ้นจากพื้น มีน้ำพุพุ่งขึ้นมาจากรอยแยก
น้ำพุนั้นดูค่อนข้างแปลก มันมีสีม่วงเข้ม น้ำที่พุ่งออกมานั้นพุ่งสูงขึ้นไปกว่าหนึ่งเมตร หลังจากที่มันตกลงมา มันเริ่มเติมเต็มหลุมที่มิสเตอร์หยางขุด
ขณะที่น้ำสีม่วงพุ่งขึ้นมาจากพื้นมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของมิสเตอร์หยางก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เขามองของเหลวสีม่วงที่พุ่งขึ้นมาเหมือนกับน้ำพุและร้องตะโกนด้วยความตกใจ
“น้ำพุอีวิลสปิริต! มันมีน้ำพุอีวิลสปิริตอยู่ที่นี่ได้ยังไง…”
หานเซิ่นเห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าของมิสเตอร์หยาง เขาโยนพลั่วในมือทิ้งขณะที่รีบถอยออกมาจนล้มลงไปกับพื้น หานเซิ่นยื่นมือไปช่วยพยุงขึ้นมาและถาม
“น้ำพุอีวิลสปิริตคืออะไร? เจ้าบอกว่าที่นี่มีไข่ยีนอยู่ไม่ใช่หรอ?”
ใบหน้าของมิสเตอร์หยางดูซีดเผือก เขาพูดอย่างตื่นตระหนกว่า
“รีบหนีไปจากที่นี่ พวกเราจะขุดต่อไปไม่ได้ ถ้าพวกเราขุดต่อ พวกเราทั้งคู่จะต้องตาย”
“เจ้าต้องบอกข้ามาก่อนว่าทำไม ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะเป็นอะไร ทำไมตอนนี้เจ้าถึงบอกว่าพวกเราขุดต่อไปไม่ได้?” หานเซิ่นไม่ร้อนรน เขายังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
มิสเตอร์หยางต้องการจะหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่หานเซิ่นไม่ต้องการจะทำแบบนั้น ดังนั้นเขาจึงรีบพูดขึ้นว่า
“ข้าคงจะมองผิดไป ข้าคิดว่าที่นี่เป็นแค่เนินเขาที่มีชีพจรเทพเจ้าอ่อนๆ แต่ที่นี่กลับมีน้ำพุอีวิลสปิริตอยู่ ถ้าพวกเราไม่รีบหนีไป หายนะจะเกิดขึ้นกับพวกเรา”
“น้ำพุอีวิลสปิริตมันมีปัญหาอะไร?” หานเซิ่นยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องหนีไปจากที่นี่ เขาจับแขนมิสเตอร์หยางเอาไว้ ขณะที่มองน้ำพุสีม่วงที่ยังคงพุ่งขึ้นมาเรื่อยๆ
มิสเตอร์หยางอยากจะหยิบพลั่วขึ้นมาและใช้มันตีหัวของหานเซิ่นให้สลบเพื่อลากเขาหนีไปยังที่ที่ปลอดภัย
แต่มิสเตอร์หยางรู้ว่าตัวเองไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำอะไรแบบนั้น ตราบใดที่หานเซิ่นจับมือของเขาเอาไว้ เขาก็หนีไปไหนไม่ได้ เขารีบตอบว่า “นายท่านจำที่ข้าบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีพระเจ้าอยู่ได้ไหม? ไข่ยีนเกิดจากการรวมกันของพระเจ้า”
“ข้าจำได้” หานเซิ่นพูดพร้อมกับพยักหน้า
“พูดง่ายๆก็คือพระเจ้าคือสปิริต ทุกอย่างมีสปิริตอยู่ ในตอนที่สปิริตเหล่านั้นมารวมตัวกัน ไข่ยีนก็จะก่อตัวขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทั้งสิ่งดีและสิ่งร้าย ดังนั้นสปิริตที่มารวมตัวกันก็เป็นทั้งสิ่งดีและสิ่งร้ายเช่นเดียวกัน โดยปกติแล้วถ้านายท่านเห็นลมปราณสีม่วงในชีพจรพระเจ้า นั่นก็หมายความว่ามันมีอีวิลสปิริตอยู่ ชีพจรของสนามรบสมัยโบราณที่เคยมีผู้คนเสียชีวิตมากมายนั้นมักจะเป็นชีพจรอีวิลสปิริต”
หลังจากที่หยุดไปชั่วครู่ มิสเตอร์หยางพูดต่อไปว่า “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าที่แห่งนี้เคยเป็นสนามรบสมัยโบราณ ข้าจึงไม่คาดคิดว่ามันจะมีลมปราณของอีวิลสปิริตอยู่ นอกจากนั้นอีวิลสปิริตยังก่อให้เกิดน้ำพุขึ้นมา นั่นหมายความว่ามันต้องมีบางสิ่งที่ชั่วร้ายอยู่ใต้ดินแดนแห่งนี้ ถ้าพวกเราไม่รีบหนีไป พวกเราจะได้รับผลกระทบจากน้ำพุอีวิลสปิริต มันจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับพวกเรา พวกเราควรรีบหนีไปจากที่นี่”
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น หานเซิ่นก็มองไปที่มิสเตอร์หยางและถาม
“จากสิ่งที่เจ้าบอกกับข้า ถ้ามันมีน้ำพุอีวิลสปิริตอยู่ที่นี่ นั่นหมายความว่าชีพจรพระเจ้าของที่นี่จะต้องรุนแรงมากๆไม่ใช่หรอ? ถ้าเป็นแบบนั้น ไข่ยีนที่อยู่ที่นี่ก็ต้องเป็นไข่ยีนระดับสูงถูกไหม?”
“นายท่านพูดถูกแล้ว แต่ถ้านายท่านถูกนำพุอีวิลสปิริตเข้า นายท่านจะประสบกับหายนะ นอกจากนั้นไข่ยีนที่มาจากชีพจรอีวิลสปิริตจะเป็นบางสิ่งที่ชั่วร้าย โลหิตชีพจรเทพสปิริตธรรมดาไม่มีทางสยบมันได้ ถ้านายท่านฝืนที่จะรวมกับมัน มันก็อาจจะเข้าครอบงำนายท่าน ยิ่งไข่ยีนทรงพลังมากเท่าไหร่ มันก็เป็นภัยต่อเจ้านายมากเท่านั้น ข้าจึงขอแนะนำว่าอย่าแตะต้องมัน”
มิสเตอร์หยางเห็นว่ารูที่เขาขุดเอาไว้เต็มไปด้วยของเหลวสี ตอนนี้เขาต้องการจะหนีไปจากที่นี่เหนือสิ่งอื่นใด
“ข้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้เจ้ากลับบ้านไปได้” หานเซิ่นปล่อยมือจากมิสเตอร์หยางและเริ่มจะเดินเข้าไปหาน้ำพุ
มิสเตอร์หยางต้องการจะวิ่งหนีไป แต่เมื่อเขาเห็นหานเซิ่นเดินเข้าไปหาน้ำพุอีวิลสปิริต เขาก็รีบตะโกนขึ้นว่า “นายท่านต้องการจะทำอะไร?”
“ตอนนี้เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปหาเจ้าทีหลัง”
หลังจากที่พูด หานเซิ่นก็หยิบพลั่วขนาดเล็กที่มิสเตอร์หยางโยนทิ้งไปขึ้นมา เขาย่อตัวลงข้างหลุมและเริ่มทำการขุด
“นายท่านได้โปรดอย่าทำแบบนั้น! จากที่ข้ารู้แค่สัมผัสกับน้ำพุอีวิลสปิริตก็จะนำเรื่องร้ายมาสู่คนๆนั้น เจ้าเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตคนก่อนเคยขุดน้ำพุอีวิลสปิริตและสัมผัสกับมัน เขาถูกเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดตาสีม่วงที่ฆ่าทุกคนที่เห็น เขาไม่ได้ขุดไข่ยีนขึ้นมาด้วยซ้ำ!” มิสเตอร์หยางพยายามโน้มน้าวหานเซิ่น
“ข้าจะระวังตัว เจ้ากลับไปได้แล้ว” หานเซิ่นเมินเฉยต่อคำโน้มน้ามของมิสเตอร์หยางและใช้พลั่วขุดรูต่อไป
แม้แต่เทพสปิริตเขายังไม่กลัว แบบนั้นอีวิลสปิริตจะทำให้เขากลัวได้ยังไง
ตอนที่ 3043 ปรากฎการณ์ชีพจรพระเจ้าประ...
พละกำลังของหานเซิ่นไม่ใช่บางสิ่งที่มิสเตอร์หยางจะเทียบได้ ถึงหานเซิ่นจะพยายามควบคุมพละกำลังของตัวเอง แต่เขาก็ขุดรวดเร็วเหมือนกับเครื่องจักร ในเวลาอันสั้นหานเซิ่นใช้พลั่วขนาดเล็กขุดร่องให้ของเหลวสีม่วงไหลออกมา
มันเป็นอะไรที่น่าแปลก หานเซิ่นไม่รู้ว่าของเหลวสีม่วงนั่นคืออะไร แต่หลังจากที่มันไหลออกมา มันก็จะระเหยไปในทันที มีควันโขมงขึ้นรอบๆบริเวณที่หานเซิ่นขุด ก่อนที่มันจะถูกปัดเป่าไปโดยสายลม
มิสเตอร์หยางไม่กล้าเข้าไปใกล้ และเขาก็ไม่กล้าหนีไปเช่นกัน เขาหยุดดูอยู่จากระยะไกล เขาได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นกับหานเซิ่น มันไม่ใช่ว่าเขาเป็นห่วงหานเซิ่น แต่ถ้าไม่มีหานเซิ่น เขาก็จะตกอยู่ในอันตราย มันมีโอกาสสูงที่พีชฟูลจะยังตามหาตัวเขา และซือป๋อเองก็อาจจะไม่ยกโทษให้เขาเช่นกัน
“นี่ชาติก่อนเราทำความผิดอะไรเอาไว้ เราถึงได้พบกับสิ่งที่อันตรายแบบนี้?” มิสเตอร์หยางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
หานเซิ่นขุดให้ของเหลวสีม่วงไหลออกมา แต่น้ำพุสีม่วงยังคงพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่องๆ มันไม่ได้ชะลอลงเลยแม้แต่น้อย เขาจำเป็นต้องกระโดดลงไปในน้ำเพื่อขุดต่อ
มิสเตอร์หยางมองดูหานเซิ่นกระโดดลงไปในน้ำพุด้วยสีหน้าย่ำแย่ ดวงตาของเขากระตุกขณะที่เขาพูดกับตัวเอง “รนหาที่ตาย… เจ้านี่กำลังรนหาที่ตาย…”
ตอนนี้หานเซิ่นยืนอยู่ในน้ำพุ เขารู้สึกว่าน้ำพุสีม่วงนั้นค่อนข้างเย็น มันเหมือนกับว่าเขาถูกกับแอลกอฮอล์
แต่ของเหลวสีม่วงนี้ระเหยรวดเร็วกว่าแอลกอฮอล์ ด้วยเหตุนั้นถึงมันจะพุ่งขึ้นมาจากพื้นเรื่อยๆ มันก็ไม่ได้ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น มันไม่ได้ท่วมเข่าของหานเซิ่นด้วยซ้ำ
หานเซิ่นเห็นว่ามิสเตอร์หยางยังคงไม่ได้จากไป เขาจึงตะโกนถามขึ้นว่า “มิสเตอร์หยาง ไข่ยีนอยู่ลึกแค่ไหนอย่างนั้นหรอ?”
ก่อนหน้านี้มิสเตอร์หยางบอกว่าไข่ยีนที่ยังไม่ฝักนั้นจะบอบบางมากๆ หานเซิ่นจึงกังวลว่าถ้าเขาขุดเร็วเกินไป เขาอาจจะไปทำให้ไข่ยีนแตก
ตาของมิสเตอร์หยางกระตุก เขาตอบกลับไปว่า “จากการคาดเดาของข้าก่อนหน้านี้ มันควรจะลึกลงไปอีกแค่ครึ่งฟุตเท่านั้น แต่ในเมื่อมันมีน้ำพุสปิริตอีวิลอยู่ข้างล่างนั่น การคาดเดาของข้าก็คงจะไม่ถูกต้อง มันจึงยากที่จะคำนวณความลึกของไข่ยีนได้ แต่น่าจะลึกเกินกว่าเก้าฟุต”
หลังจากที่ได้ยินมิสเตอร์หยางพูด หานเซิ่นก็ใช้พลั่วแทงลงไปในพื้นดินใต้น้ำพุ พลังที่น่ากลัวถูกส่งลงไปและก่อให้เกิดรูที่ลึกเก้าฟุตพอดิบพอดี ถึงหานเซิ่นจะไม่ได้ใช้ออร่าตงเสวียนเพื่อสแกนสิ่งที่อยู่ข้างล่าง แต่เขาก็ยังคงมีพลังที่จะควบคุมสิ่งต่างๆและขุดรูในพื้นที่ลึกเก้าฟุตได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
ในตอนที่เขาขุดลึกลงไป น้ำพุอีวิลสปิริตที่เคยมีขนาดๆพอกับแขนของทารกก็ระเบิดออกเหมือนกับภูเขาไฟที่ปะทุ มันพุ่งขึ้นสูงกว่าสามสิบฟุต ทำให้หานเซิ่นเปียกไปทั้งตัว
มิสเตอร์หยางเห็นว่าในน้ำพุที่พุ่งขึ้นมานั้นมีเงาสีม่วงที่เบลอๆลอยขึ้นมา มันดูเหมือนกับอสูรยักษ์ที่น่ากลัว เงาของอสูรยักษ์นั่นคำรามและเปลี่ยนเป็นลมปราณสีม่วงที่ลอยหายไปในท้องฟ้า มันย้อมท้องฟ้าด้วยสีม่วง ซึ่งทำให้เหมือนกับท้องฟ้ายามค้ำคืน
“นี่มัน… นี่มัน… ปรากฏการณ์ชีพจรพระเจ้าประหลาด… แอนเชี่ยนท์อีวิลบีสต์…”
มิสเตอร์หยางตกใจจนล้มลงไป ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับว่าเขากำลังเห็นผี
หานเซิ่นเองก็เห็นปรากฏการณ์ประหลาดตรงหน้าและได้ยินเสียงคำรามเช่นเดียวกัน แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
การระเบิดของน้ำพุสปิริตอีวิลก่อนหน้านี้ เหมือนกับการปลดปล่อยของเหลวสีม่วงทั้งหมดออกมา ตอนนี้มันไม่มีของเหลวพุ่งขึ้นมาอีกแล้ว และของเหลาสีม่วงที่พุ่งออกมาก่อนหน้านี้ก็ระเหยไปอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่วินาทีมันไม่เหลือของเหลวสีม่วงอยู่บนพื้นแม้แต่นิดเดียว มันยังคงมีลมปราณสีม่วงอยู่รอบๆตัวของเขา แต่หลังจากที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงมา พวกมันก็จางหายไป
หานเซิ่นขุดลึกลงไปอีกสามฟุตก่อนที่จะเขาสัมผัสกับอะไรบางอย่าง เขารู้สึกดีใจและคิดกับตัวเอง ‘บางทีเราอาจจะพบมันแล้ว!’
หานเซิ่นรีบใช้มือขุดลงไปในพื้นดิน และวัตถุโลหะสีดำก็ปรากฏออกมาให้เห็น เขาคิดว่ามันคงจะเป็นไข่ยีน แต่หลังจากที่ขุดไปเรื่อยๆ เขาก็พบว่ามันไม่ใช่ไข่ยีน
“สิ่งนี้คืออะไรกัน?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่ขุดขึ้นมาได้
ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับไข่ยีน แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่มีทางเป็นไข่ยีนไปได้ มันมีไข่ประเภทไหนที่เป็นเหมือนกับแท่งขนาดใหญ่
สิ่งที่หานเซิ่นขุดเจอคือเสาโลหะสีดำ ด้านบนของเสามีขนาดพอๆกับถ้วนชาม เขาขุดลึกลงไปอีกสามฟุต แต่มันก็ยังคงมีส่วนของเสาโลหะที่จมอยู่ในพื้นดิน เขาไม่รู้ว่ามันยาวขนาดไหนกันแน่
ส่วนของเสาที่แสดงออกมาให้เห็นนั้นมีสีดำ และมันมีรอยแกะสลักของภาษาและสัญลักษณ์ที่หานเซิ่นไม่เข้าใจ มันดูเหมือนกับท่อเหล็กที่เต็มไปด้วยรอยแกะสลัก
หานเซิ่นหันไปหามิสเตอร์หยางและพูด “มิสเตอร์หยาง มาดูนี่เร็วเข้า ทำไมข้าถึงขุดเจอท่อเหล็กจากชีพจรพระเจ้า?”
มิสเตอร์หยางดูจะหวาดกลัว เมื่อเขาได้ยินที่หานเซิ่นพูด เขาลุกขึ้นมาจากพื้นและเดินเข้ามาใกล้ เขาโค้งตัวลงไปมองในรูที่หานเซิ่นขุด
หลังจากนั้นใบหน้าของมิสเตอร์หยางก็ดูซีดเผือกยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนกับว่าวิญญาณของเขาหลุดออกจากร่าง เขาพึมพำกับตัวเอง
“มันจบสิ้นแล้ว ทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว… พวกเราจะประสบกับหายนะครั้งใหญ่…”
“ดูเหมือนเจ้าจะรู้สินะว่าสิ่งนี้คืออะไร ในเมื่อข้าขุดมันขึ้นมาได้ ทำไมเจ้าไม่บอกข้ามาว่าสิ่งนี้คืออะไร?” หานเซิ่นดูจะสนในของสิ่งนี้มาก
หานเซิ่นเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่มาถึงจุดนี้ได้ ยิ่งมิสเตอร์หยางมีท่าทางเหมือนกับว่าท้องฟ้าจะตกลงมาใส่เขา มันก็ทำให้หานเซิ่นอยากรู้มากขึ้น เขาต้องการจะรู้ได้ให้ว่าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่
“ทั้งหมดมันเป็นเพราะข้าไม่รู้ว่ามันมีน้ำพุสปิริตอีวิลอยู่ที่นี่ ที่นี่มีสิ่งที่จะสะกดชีพจร พวกเราจะประสบกับความโชคร้ายแปดชั่วโคตร ถ้าข้ารู้ว่ามันมีสิ่งสะกดชีพจรอยู่ ข้าก็คงจะไม่พยายามขุดหาไข่ยีนที่นี่” มิสเตอร์หยางรู้สึกเสียใจ
“มิสเตอร์หยาง ถ้าเจ้ายังเอาแต่พูดแบบนั้น ข้าจะเอาท่อเหล็กแทงใส่ร่างกายของเจ้า” หานเซิ่นมองมิสเตอร์หยางด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร
หานเซิ่นไม่ชอบคนที่กลัวจนเกินเหตุและพูดจาอะไรแบบนั้น
เมื่อเห็นสายตาที่เย็นชาของหานเซิ่น มิสเตอร์หยางก็รู้สึกหนาวขึ้นมา
“นายท่านอย่าเพิ่งโกรธ ข้าแค่ตกใจไปหน่อยเท่านั้นเอง ท่อเหล็กนี้ควรจะเป็นสิ่งสะกดชีพจร ซึ่งผู้คนในอดีตมักจะใช้มันเพื่อสะกดชีพจรในผืนดิน”
“ทำไมพวกเขาต้องสะกดชีพจรของผืนดิน?” เมื่อเห็นว่าในที่สุดมิสเตอร์หยางก็พูดรู้เรื่อง สีหน้าของหานเซิ่นก็ดูเป็นมิตรขึ้น
มิสเตอร์หยางถอนหายใจและพูดต่อ “ชีพจรของผืนดินบริเวณนี้มียีนเรซที่ชั่วร้ายมากๆอยู่ ในตอนที่ผู้คนในอดีตมาพบเข้า มันก็แน่นอนว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ยีนเรซที่อยู่ภายในนั้นมีโอกาสได้กำเนิดขึ้นมา แต่เนื่องจากพวกเขาไม่มีพลังพอจะทำลายมัน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้สิ่งของเพื่อสะกดชีพจรในผืนดินเอาไว้ และทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครคนไหนมาทำให้ยีนเรซกำเนิดขึ้นมาได้”
ตอนที่ 3044 แอนเชี่ยนท์อีวิลบีสต์
“นั่นหมายความว่ามันมียีนไข่ที่ทรงพลังมากๆฝังอยู่ข้างล่างนี่ใช่ไหม?”
หานเซิ่นดีใจอย่างมาก เขาใช้สองมือจับเสาเหล็กสีดำเอาไว้ เขาต้องการจะดึงมันขึ้นมาเพื่อดูว่ามีไข่ยีนแบบไหนอยู่กันแน่
หานเซิ่นเคยเป็นใหญ่ในโลกก่อน เขาจึงไม่สนใจไข่ยีนธรรมดาๆ เมื่อไข่ยีนที่น่าสนใจมาอยู่ตรงหน้าของเขา เขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้มันหลุดมือไป
ส่วนเรื่องที่มันจะดุร้ายหรือไม่นั้นหานเซิ่นไม่สนใจ
มิสเตอร์หยางดูตกใจ เขากลัวจนวิญญาณเกือบจะหลุดออกจากร่างไป เขารีบตะโกนขึ้นมา “นายท่านอย่าทำแบบนั้น! ถ้ายีนเรซนั่นกำเนิดขึ้นมา มันจะเป็นหายนะสำหรับทุกชีวิต”
แต่ก่อนที่มิสเตอร์หยางจะพูดจบ สิ่งสะกดชีพจรที่ดูเหมือนกับท่อเหล็กก็ถูกหานเซิ่นดึงขึ้นมากว่าหนึ่งฟุตแล้ว ท่อเหล็กนั้นดูหนักมากๆ แต่ภายใต้พละกำลังของหานเซิ่น มันไม่เท่าไหร่ ในชั่วพริบตาเขาก็ดึงเสาโลหะสีดำที่ยาวยี่สิบฟุตขึ้นมาจากพื้นได้สำเร็จ
ตูม! ตูม!
ในตอนที่เสาโลหะถูกดึงขึ้นมา พื้นดินก็สั่นสะเทือนเป็นวงกว้าง แม้แต่เมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนนั้น มันทำให้ผู้คนคิดว่ามันเกิดแผ่นดินไหวขึ้น
แต่หลังจากการสั่นสะเทือนแรก ทุกอย่างก็เงียบสงบอีกครั้ง มันทำให้ผู้คนต่างก็สงสัยและเกาหัวของพวกเขา
มิสเตอร์หยางล้มลงไปกับพื้นจากแรงสั่นสะเทือน เขามองไปที่หานเซิ่นด้วยความตกใจ เขาตกใจมากซะจนเขาลืมที่จะวิ่งหนีไป
หานเซิ่นขี้เกียจเกินกว่าจะไปสนใจมิสเตอร์หยาง เขามองลงไปในหลุมที่ถูกทิ้งเอาไว้ เขาเห็นแสงสีม่วงที่กระพริบเหมือนกับไข่มุกราตรีในความมืดมิด
รูนั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไรมาก ดังนั้นเขาจึงมองเห็นแค่บางส่วนของวัตถุสีม่วงเท่านั้น แต่มันก็พอจะบอกได้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของไข่ยีน
“มันมีไข่ยีนอยู่จริงๆด้วย!” หานเซิ่นดีใจ หลังจากที่เขายืนยันตำแหน่งของไข่ยีนได้แล้ว เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป เขาแกว่งออกไป
พื้นดินถูกตัดเปิดออกโดยมือของหานเซิ่น ตอนนี้ทุกอย่างที่อยู่ข้างใต้นั้นเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
หานเซิ่นจ้องมองไปที่มัน เขาเห็นว่าในดินมีไข่ผิวหยกขนาดใหญ่กว่าสามฟุตอยู่ ภายใต้แสงของอาทิตย์มันเรืองแสงสีม่วงประหลาดออกมา บนไข่นั้นมีลวดลายมากมาย พวกมันดูเหมือนกับสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่าง
“มิสเตอร์หยาง ข้าจะทำให้ไข่ยีนนี้ฝักตัวได้ยังไง?”
หานเซิ่นลงไปข้างๆไข่ยีนและยื่นมือออกไปสัมผัสเปลือกของไข่ สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นประหลาดใจที่สุดคือความจริงที่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจโดยการสัมผัสเพียงแค่เปลือกของไข่
มิสเตอร์หยางถอนหายใจและพูด “ถ้านายท่านมีโลหิตชีพจรเทพสปริตร นายท่านก็แค่ต้องสัมผัสมัน เพียงแค่นั้นมันก็จะตอบสนองต่อหัวใจของนายท่าน ถ้ามันยินดีที่จะเชื่อฟังนายท่าน มันก็จะส่งข้อความให้กับนายท่าน แต่นายท่าน…”
ก่อนที่มิสเตอร์หยางจะพูดจบ หานเซิ่นก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไร
“ถ้าไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริต มันไม่มีทางอื่นที่จะทำให้ยีนเรซยอมรับข้าเลยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นนั้นไม่มีโลหิตชีพจรเทพสปิริต ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่สามารถสื่อสารกับมันได้
“ถ้ามันยังมีวิธีอื่นอยู่ โลหิตชีพจรเทพสปิริตก็คงจะไม่มีคุณค่าในสายตาของทุกคนมากขนาดนั้น”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ มิสเตอร์หยางก็พยายามจะโน้มน้าวหานเซิ่น “นายท่าน ในเมื่อนายท่านใช้มันไม่ได้ ทำไมนายท่านไม่นำสิ่งสะกดชีพจรกลับไปไว้ที่เดิม”
หานเซิ่นเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “นั่นไม่ถูกสิ เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าไม่ว่าใครก็เลี้ยงยีนเรซได้”
“แน่นอนว่านายท่านเลี้ยงยีนเรซได้ แต่นายท่านรวมโลหิตชีพจรเข้ากับมันไม่ได้ นายท่านก็เลี้ยงมันเหมือนกับสัตว์เลี้ยงธรรมดาๆได้ ถ้านายท่านพบยีนเรซที่เชื่อง นายท่านก็อาจจะนำมันมาเลี้ยงได้ แต่ถ้านายท่านพบกับยีนเรซที่ชั่วร้าย มันก็เป็นไปไม่ได้ที่นายท่านจะเลี้ยงมัน ไข่ยีนนี้ต้องเป็นยีนเรซที่ชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ถ้ามันเกิดฝักขึ้นมาล่ะก็…”
ก่อนที่มิสเตอร์หยางจะพูดจบ มันก็มีเสียงแตกของอะไรบางอย่างดังขึ้นมา เปลือกของไข่ยีนเริ่มแตกร้าวจากด้านบนสุด รอยร้าวที่เหมือนกับใยแมงมุมแพร่กระจายไปทั่วผิวไข่อย่างรวดเร็ว มันทำให้มิสเตอร์หยางตกใจจนอ้าปากค้าง
หานเซิ่นมองไข่ยีนที่กำลังแตกร้าวด้วยความสนใจ รอยแตกของเปลือกไข่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และในเวลาเพียงชั่วครู่ทั่วทั้งผิวไข่ก็เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว มีหัวขนปุกปุยโผล่ออกมาจากไข่
เมื่อหานเซิ่นได้เห็นมัน เขาก็ดูประหลาดใจอย่างมาก
ยีนเรซที่ออกมาจากภายในไข่ยักษ์สีม่วงนั้นมีขนาดเล็กแค่พอๆกับกำปั้นเท่านั้น ร่างกายของมันดูกลมๆ มันดูเหมือนกับลูกบอลขนปุกปุย
ขนของมันเรืองแสงสีแดงและหางของมันขดงอ หูของมันแหลม ดวงตาของมันเพิ่งจะเปิดขึ้นและดูเหมือนว่าจะเป็นสีแดงเช่นกัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันคือแมว
มันไม่ใช่เพราะขนาดที่ทำให้หานเซิ่นตกใจ แต่มันเป็นเพราะแมวตัวนี้ดูคุ้นเคยอย่างมาก ไม่ว่าหานเซิ่นจะมองดูยังไง มันก็ดูเหมือนกับแมวเก้าชีวิต แต่แมวน้อยตัวนี้มีขนาดเล็กกว่าแมวเก้าชีวิตที่เขาเคยรู้จักมาก มันดูค่อนข้างน่ารัก มันไม่ได้ดูชั่วร้ายเหมือนอย่างเฒ่าแมว
ถึงอย่างนั้นมันก็มีอยู่หลายส่วนที่พวกมันทั้งสองดูเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นโดยทั่วไปแมวปกติจะไม่มีหางที่ใหญ่มากนัก แต่หางของแมวน้อยตัวนี้ใหญ่เหมือนกับหางของจิ้งจอก หูของมันก็แหลมกว่าแมวธรรมดาทั่วไป ทำให้เจ้าแมวน้อยดูคล้ายคลึงกับจิ้งจอก แต่ในขณะเดียวกันเจ้าแมวน้อยก็มีหลายส่วนที่เหมือนกับแมวปกติทั่วๆไป ด้วยเหตุนั้นมันจึงดูคล้ายคลึงกับแมวเก้าชีวิตอย่างมาก มันเป็นสิ่งที่ดูเหมือนแมว แต่ก็ไม่ใช่แมวซะทีเดียว และมันก็ดูเหมือนจิ้งจอก แต่ก็ไม่ใช่จิ้งจอกซะทีเดียว
“เหมียว” แมวน้อยออกมาจากไข่และวิ่งเข้ามาหาหานเซิ่นพร้อมกับร้องเหมียว มันพยายามใช้อุ้งเท้าปีนป่ายกางเกงของหานเซิ่น มันทำแบบนั้นด้วยความยากลำบาก
หานเซิ่นยื่นมือไปจับที่คอของมันและยกมันขึ้นมาไว้ตรงหน้า เขาตรวจเช็คยีนเรซที่เกิดมาใหม่อย่างละเอียด ใบหน้าของมันกลมโตและดูไร้เดียงสามากๆ มันยื่นลิ้นสีชมพูออกมาและร้องเหมียวใส่หานเซิ่น เขาต้องยอมรับว่ามันค่อนข้างน่ารัก แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดูเหมือนกับเฒ่าแมว
หานเซิ่นมองไปที่แมวน้อยและคิดในใจ “ไม่น่าเป็นไปได้ เฒ่าแมวนั้นตายไปแล้ว ถึงแม้มันจะยังมีชีวิตอยู่ มันก็ไม่มีทางจะย้อนวัยของตัวเองและกลับมาเป็นไข่ยีน”
หานเซิ่นกระโดดออกมาจากหลุมพร้อมกับเจ้าแมว ก่อนที่จะมองไปที่มิสเตอร์หยางและถาม
“มิสเตอร์หยาง นี่น่ะหรอยีนเรซชั่วร้ายที่เจ้าพูดถึงน่ะ?”
มิสเตอร์หยางดูอึ้งไป ขณะที่เขาจ้องไปที่แมวน้อยที่อยู่ในมือของหานเซิ่น เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
หลังจากผ่านไปสักพัก มิสเตอร์หยางก็พูดขึ้นว่า “ความชั่วร้ายของยีนเรซนั้นตัดสินโดยรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ ไม่ว่ายังไงมันก็ถูกสะกดด้วยสิ่งสะกดชีพจร มันเป็นแอนเชี่ยนท์อีวิลบีสต์ที่ก่อให้เกิดปรากฎการณ์ชีพจรพระเจ้าประหลาด เพราะฉะนั้นมันต้องเป็นอสูรที่ชั่วร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย…”
“ปรากฎการณ์ชีพจรพระเจ้าประหลาดและแอนเชี่ยนท์อีวิลบีสต์คืออะไร?”
หานเซิ่นเคยได้ยินมิสเตอร์หยางพูดเกี่ยวกับมันก่อนหน้านี้ ตอนนี้เมื่อเขาพูดอีกครั้ง หานเซิ่นก็รู้สึกว่าควรจะถามให้รู้คำตอบ
มิสเตอร์หยางตอบ “คนทั่วไปรู้แค่ว่ายีนเรซนั้นมีอยู่ด้วยกันหกระดับ ได้แก่ระดับราชัน ดยุก มาร์ควิส เอิร์ล ไวเคานต์และบารอน พวกเขาไม่ได้รู้ว่ามันมียีนเรซระดับที่สูงกว่านั้นอยู่ ในตอนที่ยีนเรซระดับนั้นกำเนิดขึ้นมา มันจะมีปรากฎการณ์โลหิตชีพจรประหลาดและเงาของแอนเชี่ยนท์อีวิลบีสต์เกิดขึ้น ตำนานบอกว่ามันเป็นสัญญาณในการกำเนิดของซีโน่เจเนอิคที่ชั่วร้ายที่สุด”
ตอนที่ 3045 ได้เป็นคนรับใช้
“ฟังดูทรงพลัง นี่เจ้าแมวน้อยตัวนี้เป็นยีนเรซที่ทรงพลังจริงๆอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นยกเจ้าแมวน้อยมาอยู่ตรงหน้า นอกจากความจริงที่ว่ามันดูคล้ายคลึงกับเฒ่าแมวแล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
ขณะที่หานเซิ่นมองไปที่เจ้าแมวน้อย เจ้าแมวน้อยเองก็มองมาที่หานเซิ่นด้วยดวงตาที่กลมโตและไร้เดียงสา แววตาของมันดูเหมือนกับสิ่งมีชีวิตน้อยๆที่ไม่รู้ประสีประสา
“เกี่ยวกับเรื่องนั้น โดยปกติแล้วยีนเรซที่เกิดมาพร้อมกับปรากฎการณ์ชีพจรพระเจ้าประหลาดจะค่อนข้างแข็งแกร่ง”
มิสเตอร์หยางพูดด้วยความลังเล “แต่ตอนนี้ตัวของมันยังเล็กเกินไป มันคงจะใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่มันจะเติบโต”
ถึงแม้ยีนเรซนี้อาจจะเป็นอสูรที่ชั่วร้าย แต่รูปลักษณ์ของมันตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ที่อสูรชั่วร้ายควรจะมี มันดูไม่เข้ากันเลยสักนิดจนทำให้แม้แต่มิสเตอร์หยางก็เริ่มจะสงสัยในตัวเอง
โดยปกติแล้วมันจะมีหายนะตามมาหลังจากที่ยีนเรซที่มีสัญญาณของอสูรที่ชั่วร้ายถือกำเนิดขึ้นมา แต่ตอนนี้มันดูจะไม่เป็นแบบนั้น
หานเซิ่นมองไปที่แมวน้อยขณะที่ถามขึ้นว่า “ข้าจะทำให้มันเติบโตได้ยังไง? ข้าต้องป้อนอาหารแมวให้กับมันอย่างนั้นหรอ?”
“ยีนเรซจำเป็นต้องกินไข่ยีนหรือกินยีนเรซตัวอื่นเพื่อจะวิวัฒนาการ อาหารปกตินั้นไม่ได้ทำให้มันเติบโต” มิสเตอร์หยางตอบ
“นั่นดูเป็นอะไรที่ยุ่งยาก ข้าจะไปหายีนเรซจำนวนมากมาป้อนให้กับมันได้จากที่ไหน?” หานเซิ่นดูลำบากใจ
การขุดหาไข่ยีนนั้นเป็นอะไรที่น่ารำคาญโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหานเซิ่นต้องการยีนเรซเป็นจำนวนมาก เขาคิดว่าไม่ว่าทางไหนมันก็เป็นอะไรที่ยากลำบาก
“ตอนนี้มันตัวเล็กมากๆ ดังนั้นแค่ไข่ยีนและยีนเรซระดับต่ำก็น่าจะเพียงพอสำหรับมันแล้ว แต่หลังจากที่นายท่านทำให้มันวิวัฒนาการและตัวมันใหญ่ขึ้นแล้ว ไข่ยีนและยีนเรซธรรมดาก็อาจจะไม่เพียงพอ มันจำเป็นต้องใช้ไข่ยีนและยีนเรซระดับสูงเพื่อจะวิวัฒนาการต่อไป”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ มิสเตอร์หยางก็ถามขึ้นว่า “นี่นายท่านต้องการจะเลี้ยงมันจริงๆอย่างนั้นหรอ? มันเป็นอสูรที่ชั่วร้าย และนายท่านไม่ได้ทำพันธสัญญากับมัน ถ้านายท่านเลี้ยงมันแบบธรรมดาๆ การที่มันจะทรยศก็เป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ”
“ไม่เป็นอะไร ข้าก็แค่จะเก็บมันไว้เล่นด้วย”
หานเซิ่นยกแมวน้อยขึ้นสูง เขามองไปที่มันและถาม “ข้าจะเรียกเจ้าว่าแมวน้อย?”
หานเซิ่นไม่เก่งเรื่องการตั้งชื่อ ในเมื่อมันดูเหมือนจะเป็นสายพันธุ์เดียวกันกับเฒ่าแมว ดังนั้นมันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะตั้งชื่อมันว่าแมวน้อย แบบนี้เฒ่าแมวก็ยังเป็นเฒ่าแมว นั่นจะช่วยขจัดปัญหาไปได้เยอะ
“เหมียว” แมวน้อยดูเหมือนจะเข้าใจ มันร้องเหมียวตอบหานเซิ่นราวกับว่ามันดีใจกับชื่อที่มันได้รับ
“มิสเตอร์หยางช่วยหาชีพจรพระเจ้าให้ข้าเพิ่มอีก ข้าต้องการหาไข่ยีนเพื่อมาป้อนให้กับแมวน้อย”
หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าตัวเองไม่สามารถรวมกับโลหิตชีพจรของไข่ยีนได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจไข่ยีนอีกต่อไป เขาแค่ต้องการไข่ยีนเพื่อป้อนให้กับแมวน้อย
“โอเค” มิสเตอร์หยางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้า เขามองไปที่แมวน้อยด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“ไม่กี่ปีมานี้ไม่รู้ว่าทำไม แต่จำนวนของชีพจรพระเจ้านั้นเพิ่มสูงขึ้นมาก เมื่อก่อนนั้นแค่จะหาไข่ยีนสักใบก็เป็นอะไรที่ยากมากๆแล้ว แต่เดี๋ยวนี้การจะหาไข่ยีนสามถึงสี่ใบนั้นไม่ใช่เรื่องยาก มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่ข้าจะหาไข่ยีนระดับต่ำให้กับนายท่าน ถ้าเป็นในอดีตละก็ มันจะเป็นเรื่องที่ยากมากๆ”
หานเซิ่นหันไปมองเสาโลหะที่ยาวยี่สิบสี่ฟุตและเดินไปข้างๆมัน เขายกมันขึ้นพาดไหล่ มันเหมือนกับว่าเขากำลังแบกไม้อยู่
“สิ่งนี้ควรจะมีมูลค่าพอสมควร บางทีอาจจะนำมันไปแลกกับไข่ยีนได้” หานเซิ่นพูด
มิสเตอร์หยางมองเขาอย่างแปลกๆก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “สิ่งสะกดชีพจรนั้นมีมูลค่าสูงมากๆ แต่เจ้าของของมันคงจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงและทรงพลัง ถ้าเจ้าของมาพบว่านายท่านนำมันไปขาย มันก็อาจจะนำปัญหามาให้นายท่านอีก”
หานเซิ่นไม่สนใจและยังคงถือเสาโลหะต่อไป เขาให้มิสเตอร์หยางเริ่มนำทางเขาไปหาชีพจรพระเจ้าเพื่อขุดไข่ยีนเพิ่มอีก
เหมือนอย่างที่มิสเตอร์หยางพูด ชีพจรพระเจ้านั้นหาได้ไม่ยากอะไร หลังจากที่เดินไปเป็นระยะทางสิบไมล์ พวกเขาก็มาถึงชีพจรพระเจ้าอีกแห่งหนึ่ง ครั้งนี้มันไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายอะไรเกิดขึ้น พวกเขาขุดไข่ยีนสีขาวที่มีขนาดพอๆกับกำปั้นขึ้นมาจากพื้นได้อย่างรวดเร็ว
มิสเตอร์หยางตรวจเช็คมันและบอกว่ามันเป็นไข่ของยีนเรซงูพิษระดับบารอน มันเป็นยีนเรซที่หาได้ทั่วไป ผู้คนในเมืองแอนเชี่ยนท์ก็อตหลายคนมักจะใช้มันเป็นยีนเรซของพวกเขา
ในเมื่อมันเป็นยีนเรซที่ไม่ได้พิเศษอะไร หานเซิ่นจึงไม่ได้สนใจอะไรมัน เขามอบไข่ของงูพิษให้กับแมวน้อย เขาวางมันตรงหน้าของเจ้าแมว แมวน้อยดูตื่นเต้นอย่างมากและมันยื่นลิ้นออกมาเลียที่ด้านข้างของไข่ มันเลียไปและส่งเสียงร้องเหมียวๆออกมา ดูมันจะชอบไข่ยีนมากๆ
หัวของแมวน้อยไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่กระเพาะของมันกว้างมาก มันกินไข่ของงูพิษที่มีขนาดเท่ากำปั้นเข้าไปในคำเดียว และท้องของมันก็ไม่ได้ดูฟองขึ้นมาหลังจากที่กินเข้าไป ความจริงแล้วมันดูเหมือนว่าเจ้าแมวน้อยนั้นต้องการเพิ่มอีก
หานเซิ่นจึงจำเป็นต้องให้มิสเตอร์หยางพาเขาไปหาไข่ยีนเพิ่มอีก แต่หลังจากที่พวกเขาเดินไปได้อีกไม่นาน พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง
พวกเขาหันไปและเห็นโอเวอร์แบริ่งบั๊กขนาดใหญ่กำลังวิ่งเข้ามาหาพวกเขา มิสเตอร์หยางดูตกใจ เขาหวาดกลัวและตะโกนขึ้น “นี่ซือป๋อส่งคนมาแก้แค้นอย่างนั้นหรอ?”
“ไม่ใช่ซือป๋อ มันคือพีชฟูกับผู้ชายอีกคนที่ดูเด็กยิ่งกว่านาง”
ดวงตาของหานเซิ่นนั้นทรงพลัง ถึงแม้พวกเขาจะยังคงอยู่ในระยะไกล แต่หานเซิ่นก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใครที่อยู่บนหลังของโอเวอร์แบริ่งบั๊ก
แน่นอนว่าในตอนที่โอเวอร์แบริ่งบั๊กเข้ามาใกล้ มิสเตอร์หยางเองก็เห็นได้ว่าที่อยู่บนหลังของมันคือพีชฟูล และข้างๆเธอมีเด็กผู้ชายรูปงามที่สวมใส่ชุดสีขาว
ในตอนที่โอเวอร์แบริ่งบั๊กอยู่ห่างจากหานเซิ่นน้อยกว่าสิบห้าฟุต มันก็หยุดอยู่แค่นั้น เด็กชายในชุดสีขาวที่ดูอายุราวๆสิบสามถึงสิบสี่ปีมองมาที่หานเซิ่นด้วยความสนใจและถาม
“พีชฟูล เขาก็คือชายที่ใช้มือเปล่าเพื่อฆ่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กอย่างนั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว นายน้อยไวท์” พีชฟูลตอบอย่างมีมารยาท
มิสเตอร์หยางดูตกใจ พีชฟูลเป็นหลานสาวของเจ้าเมืองดราก้อนซอง ฐานะของเธอจึงค่อนข้างสูง แต่ตอนนี้เธอดูมีมารยาทกับเด็กผู้ชายคนนี้อย่างมาก มันบ่งบอกว่าเขามีฐานะที่สูงยิ่งกว่าเธอซะอีก
“นี่เจ้าใช้มือเปล่าเพื่อฆ่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กจริงๆอย่างนั้นหรอ?”
เด็กชายในชุดสีขาวถามขณะที่เขากระโดดลงมาจากหลังของโอเวอร์แบริ่งบั๊ก เขาเดินเข้ามาหาหานเซิ่น
“ใช่” หานเซิ่นพยักหน้า เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าฆ่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กตัวนี้ได้ไหม?” เด็กชายชุดขาวถามขณะที่เขาชี้ไปที่โอเวอร์แบริ่งบั๊กที่พวกเขาขี่มา
ถึงแม้โอเวอร์แบริ่งบั๊กตัวนี้จะเพิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ แต่มันก็แข็งแกร่งกว่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กของซือป๋อมาก
“ข้ากับเจ้าไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกัน ทำไมข้าต้องฆ่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กของเจ้าด้วย?” หานเซิ่นพูด
“นี่ไม่ใช่โอเวอร์แบริ่งบั๊กของข้า มันเป็นของนาง ข้าอยากเห็นว่าเจ้าฆ่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กด้วยมือเปล่าได้จริงๆหรือไม่” เด็กชายชุดขาวชี้ไปที่พีชฟูลขณะที่พูด
สีหน้าของพีชฟูลดูไม่ค่อยดีนัก แต่เธอไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าเธอหวาดกลัวเด็กชายชุดขาวคนนี้
“ทำไมข้าต้องแสดงให้เจ้าดูด้วย? ข้าจะได้ประโยชน์อะไรจาการฆ่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กตัวนี้?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว เด็กผู้ชายคนนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น เด็กชายชุดขาวก็ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ถ้าเจ้าฆ่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กได้ด้วยมือเปล่าจริงๆ ข้าจะให้เจ้าเป็นคนรับใช้ของข้า”
เด็กผู้ชายชุดขาวพูดราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับว่ามันถือเป็นความโชคดีของหานเซิ่นที่จะได้เป็นคนรับใช้ของเขา
เมื่อได้ยินแบบนั้น มิสเตอร์หยางก็รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา เขารู้ว่าหานเซิ่นเป็นคนยังไง มันไม่มีทางที่คนอย่างหานเซิ่นจะยอมรับในเรื่องนี้
ตอนที่ 3046 เด็กชายชุดขาว
ใครจะคาดคิดว่าปฏิกิริยาของหานเซิ่นนั้นทำให้มิสเตอร์หยางต้องประหลาดใจ เขาไม่ได้โกรธ จริงๆแล้วเขากำลังหัวเราะออกมา
หานเซิ่นชี้ไปที่โอเวอร์แบริ่งบั๊กและถาม “ข้าไม่ต้องการเป็นคนรับใช้ของเจ้า แต่ถ้าข้าฆ่ามันได้ ข้าขอร่างกายของมันได้ไหม?”
หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่มิสเตอร์หยางและถาม “มิสเตอร์หยาง ยีนเรซนั่นเป็นอาหารของแมวน้อยได้ใช่ไหม?”
“มันก็ได้อยู่…” สีหน้าของมิสเตอร์หยางดูแปลกๆ การใช้ยีนเรซระดับราชันเป็นอาหารให้กับยีนเรซที่เพิ่งจะเกิดมานั้นดูเป็นอะไรที่เกินไปหน่อย ถึงแม้มันจะเป็นไปได้ แต่มันดูเป็นอะไรที่สิ้นเปลือง
“ได้แน่นอน” เด็กชายชุดขาวรีบพยักหน้า
พีชฟูลดูแย่มากๆ เธออยากจะคัดค้าน แต่ทั้งหมดที่เธอทำได้ก็คือพึมพำกับตัวเอง
เด็กชายชุดขาวมองไปที่พีชฟูลและเร่งให้เธอเริ่มสักที
“พีชฟูล รีบสั่งให้โอเวอร์แบริ่งบั๊กของเจ้าโจมตีเขา ข้าอยากเห็นว่าเขาจะฆ่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กได้ด้วยมือเปล่าจริงๆหรือไม่”
ดวงตาของพีชฟูลกระตุก ดูเหมือนเธอไม่อยากทำตามคำขอนั้น แต่ที่สุดแล้วเธอก็ทำตามที่เด็กชายชุดขาวบอก เธอสั่งให้โอเวอร์แบริ่งบั๊กโจมตีหานเซิ่น
โอเวอร์แบริ่งบั๊กตัวนี้แตกต่างไปจากโอเวอร์แบริ่งบั๊กของซือป๋อ เปลือกของมันมีสีดำ แต่เปล่งประกายสีทอง พลังและความเร็วของมันเหนือกว่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กของซือป๋อมาก
“เจ้าต้องการใช้โอเวอร์แบริ่งบั๊กของข้าเป็นอาหารแมวอย่างนั้นหรอ? ไปลงนรกซะเถอะ!” พีชฟูลสาปแช่งในใจ เธอหวังว่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กจะกลืนหานเซิ่นเข้าไปในอึกเดียว
ร่างกายของโอเวอร์แบริ่งบั๊กนั้นใหญ่โตมากๆ แต่ความเร็วของมันค่อนข้างน่ากลัว ร่างกายของมันเบลอเล็กน้อย ขณะที่มันเทเลพอร์ตไปปรากฎตรงหน้าหานเซิ่น
ปากของมันเต็มไปด้วยฟันที่พยายามจะกลืนกินหานเซิ่นเข้าไป แต่หานเซิ่นยกแขนขึ้นสูงและชกหมัดใส่มัน
ตูม!
หัวของโอเวอร์แบริ่งบั๊กถูกชกจมลงไปบนพื้น สมองของมันกระจัดกระจายไปทั่ว มันถูกฆ่าตายในทันที
ดวงตาของพีชฟูลเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า ก่อนหน้านี้หานเซิ่นสามารถฆ่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กวัยเด็กได้ในหมัดเดียว แต่โอเวอร์แบริ่งบั๊กของเธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็สามารถบดขยี้สมองของมันได้ มันเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ
เด็กชายชุดขาวดูประหลาดใจ เขาปรบมือและพูดขึ้นว่า
“น่าสนใจมาก เจ้าฆ่าโอเวอร์แบริ่งบั๊กได้ด้วยมือเปล่าจริงๆ เจ้าแข็งแกร่งขนาดนั้นได้ยังไงกัน?”
หานเซิ่นมองไปที่เด็กชายและถาม “เจ้าจะรักษาสัญญาใช่ไหม?”
“แน่นอน พีชฟูล มอบร่างกายของโอเวอร์แบริ่งบั๊กให้กับเขา”
เด็กชายชุดขามพูดก่อนที่จะเดินเข้ามาหาหานเซิ่นและถาม “ชื่อของเจ้าคือหานเซิ่นใช่ไหม? นายกำเนิดมาโดยที่มีโลหิตชีพจรอยู่แล้วอย่างนั้นหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นเจ้ามีโลหิตชีพจรอะไรกัน? เจ้าทรงพลังขนาดนั้นได้ยังไง?”
หลังจากนั้นเด็กชายในชุดขาวก็ยื่นมือออกไปสัมผัสกล้ามเนื้อของหานเซิ่น เขาดูอยากรู้อยากเห็น
“นายน้อย…ไม่…” ก่อนที่มือของเด็กชายชุดขาวจะสัมผัสหานเซิ่น มีเงาปรากฎตัวต่อหน้าของเขาเพื่อห้ามไม่ให้เขาเข้าใกล้หานเซิ่น
“นี่ข้าบอกพวกเจ้าว่าห้ามตามข้ามาไม่ใช่หรอ? ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
เด็กชายชุดขาวดูไม่พอใจ เขามองไปที่คนๆนั้นด้วยความโกรธ
“ขออภัยด้วย” ชายคนนั้นคุกเข่าลงต่อหน้าเด็กชายชุดขาว แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะหลีกทางให้ เขาก้มหัวและพูด
“คนๆนี้อันตรายเกินไป นายน้อยได้โปรดอย่าเอาตัวเองไปเสี่ยง”
เด็กชายชุดขาวขึ้นเสียง “ข้าแค่ต้องการจะพูดกับเขา! มันจะมีอันตรายอะไรได้? ถอยออกไปเดี๋ยวนี้!”
“นายน้อยได้โปรดไตร่ตรองอีกทีด้วย” ชายคนนั้นยังคงขวางหน้าเด็กชายชุดขาวเอาไว้
“ข้าเอาโอเวอร์แบริ่งบั๊กไปล่ะนะ” หานเซิ่นรู้ว่าเด็กชายชุดขาวคนนั้นต้องเป็นบุคคลที่พิเศษ แต่นั่นไม่สำคัญอะไรสำหรับเขา เขาโบกมือให้กับเด็กชายชุดขาวและเดินเข้าไปหยิบร่างของโอเวอร์แบริ่งบั๊กขึ้นมาก่อนที่จะเดินจากไป
“ไอ้คนน่ารำคาญ! หลีกทางไปเดี๋ยวนี้” เด็กชายในชุดสีขาวหมดความอดทน เขาเตะใส่ชายที่กำลังคุกเข่าและเดินเข้ามาหาหานเซิ่น
“หานเซิ่น ถ้าเจ้ากลับไปกลับข้า ข้าให้สัญญาว่าเจ้าจะได้รับทรัพย์สินมากมายเป็นการตอบแทน” เด็กชายชุดขาวพูด
“ทำไมเจ้าถึงต้องการให้ข้าไปกับเจ้ามากถึงขนาดนั้น?” หานเซิ่นถามขณะที่เขายังคงเดินต่อไป
“พี่สาวของข้ามียีนเรซที่ทรงพลังมากๆอยู่”
เด็กชายชุดขาวพูดขณะที่กัดฟัน “ข้าพ่ายแพ้ให้กับนางซ้ำๆและถูกนางรังแก ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้าเอาชนะยีนเรซของนางเพื่อที่ข้าจะได้แก้แค้น”
หานเซิ่นกรอกตาและพูด “ข้าเป็นมนุษย์ ข้าไม่ใช่ยีนเรซ”
“ข้ารู้ แต่มันไม่มีกฎที่ห้ามไม่ให้มนุษย์เข้าร่วมการประลอง” เด็กชายชุดขาวพูดอย่างจริงจัง
“ข้าไม่ไป” หานเซิ่นพูด เขาไม่แม้แต่จะหันไปมองเด็กชายชุดขาว
“เจ้าต้องการร่างกายของยีนเรซไม่ใช่หรอ?” เด็กชายชุดขาวรีบพูด
“ถ้าเจ้าฆ่ายีนเรซของพี่สาวข้าได้ ศพของมันจะตกเป็นของเจ้า”
“ไม่สนใจ” หานเซิ่นไม่แม้แต่จะคิดซ้ำสองก่อนที่จะปฏิเสธข้อเสนอนั้น เขาไม่ได้จำเป็นต้องใช้ร่างของยีนเรซอะไรมากขนาดนั้น
“ข้าจะมอบไข่ยีนให้เจ้าสิบใบ… ไม่สิ… ข้าจะมอบให้เจ้ายี่สิบใบ…”
เด็กชายชุดขาวเพิ่มข้อเสนอขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆ
หานเซิ่นเมินเฉยต่อเขาและยังคงเดินต่อไป
เด็กชายชุดขาวไม่คิดจะยอมแพ้ และยังคงตามหลังหานเซิ่นไปเพื่อพยายามจะโน้มน้าวอีกฝ่าย
พีชฟูลและองครักษ์ตามเด็กชายชุดขาวไปจากด้านหลัง พวกเขาระมัดระวังและจ้องมองไปที่หานเซิ่นตาไม่กระพริบ พวกเขากลัวว่าหานเซิ่นอาจจะทำอะไรไม่ดีกับเด็กชายชุดขาว
หานเซิ่นเริ่มจะรู้สึกรำคาญ เขาชี้ไปที่พีชฟูลและพูด
“ก็ได้ ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าเข้าร่วมการประลองอะไรนั่น ให้นางมาเป็นทาสรับใช้ของข้า”
พีชฟูลโกรธและถามขึ้นว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เด็กชายชุดขาวดูดีใจอย่างมาก เขามองไปที่หานเซิ่นและถามขึ้นว่า “พูดจริงอย่างนั้นหรอ?”
“ข้าพูดจริง” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
“พีชฟูล” เด็กชายในชุดขาวหันไปพูดกับพีชฟูล
สีหน้าของหานเซิ่นและพีชฟูลเปลี่ยนไปทันที หานเซิ่นคิดในใจว่า
‘โอ้มายก็อด เด็กบ้าคนนี้มาจากที่ไหนกัน? ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะยอมตกลงจริงๆ’
พีชฟูลเป็นหลานสาวของเจ้าเมืองดราก้อนซอง คนปกตินั้นไม่มีทางที่จะตอบตกลงกับเงื่อนไขของหานเซิ่น แม้แต่ราชาของอาณาจักรฉินก็คงจะไม่ยอมให้ลูกหลานของเขาต้องเสียเกียรติแบบนั้น
แต่เด็กชายชุดขาวกลับตอบตกลงในทันที นี่เขาต้องบ้าถึงขนาดไหนถึงสามารถพูดอะไรแบบนั้นออกมา?
พีชฟูลคุกเข่าลงและพูดเกรี้ยวโกรธว่า “นายน้อย… ได้โปรดมอบความตายให้กับข้า…”
แม้แต่องค์รักษ์ก็มองเด็กชายชุดขาวอย่างแปลกๆ แต่เขาไม่กล้าจะพูดอะไรออกมา
เมื่อได้ยินว่าพีชฟูลต้องการจะตาย เด็กชายชุดขาวก็ดูจะชะงักไป เขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆองครักษ์ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “นายน้อยระวัง!”
หลังจากนั้นร่างกายขององครักษ์ก็เรืองแสงที่ประหลาดออกมา ปีกปรากฏออกมาจากด้านหลังของเขา และมีเขาประหลาดงอกออกมาจากหัวของเขา เขาชกหมัดขึ้นสู่ท้องฟ้า
มีสายฟ้าฝ่าลงมาจากท้องฟ้า มันแผดเผาองครักษ์คนนั้นจนไหม้เกรียม เขาล้มลงไปกับพื้นและเสียชีวิตไป
หานเซิ่นหันไปมองและเห็นผู้หญิงที่งดงามในชุดสีขาวที่มีปีกสีขาวอยู่ด้านหลัง รอบๆตัวของเธอเต็มไปด้วยสายฟ้า เธอดูเหมือนกับนางฟ้าที่จุติลงมาจากท้องฟ้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น