Super God Gene 2974-2978
ตอนที่ 2974 ปริศนาเกี่ยวกับเลือดสีฟ้า
ก่อนที่หานเซิ่นจะได้ตามไนน์เทาซันด์คิงไปที่ระบบจักรวาลร้าง ก็มีใครบางคนมาหาเขา ซึ่งคนที่มาก็คือเทพแห่งผลกรรม หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ เขาไม่รู้ว่าเทพแห่งผลกรรมมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร
ในตอนที่เทพแห่งผลกรรมเห็นหานเซิ่น เขาก็มองหานเซิ่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “เจ้ากำลังมองอะไร?”
“เจ้าถูกพระเจ้าชั่วพริบตาที่เป็นถึงเทพสปิริตขั้นแอนนิฮิเลชั่นเล่นงานขนาดนั้น แต่เจ้ากลับไม่เป็นอะไร ดูเหมือนว่าก็อดฟาเธอร์หานจะเก่งสมคำล่ำลือจริงๆ” เทพแห่งผลกรรมพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นอะไรซะที่ไหนล่ะ? ข้าเพิ่งจะหายดีเมื่อไม่นานมานี้เอง”
หานเซิ่นหยุดไปชั่วครู่และมองไปที่เทพแห่งผลกรรมก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้าเป็นคนที่ยุ่งมากๆ แบบนั้นมาหาข้าด้วยเรื่องอะไรกัน?”
“ข้าอยากจะแวะมาเพื่อร่วมกินร่วมดื่มกับเจ้า แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลา หลังจากที่ข้าออกมาจากก็อตแซงชัวรี่ ทั้งหมดที่ข้าทำก็คือฝึก ฝึกและก็ฝึก ข้าไม่มีแม้แต่เวลาจะหยุดพัก ถึงอย่างนั้นข้าก็แค่ทัดเทียมกับขั้นพริมิทีฟเท่านั้น ขณะที่เจ้าเป็นขั้นทรูก็อตเรียบร้อยแล้ว เจ้าทำให้คนอย่างข้ารู้สึกอิจฉา”
เทพแห่งผลกรรมถอนหายใจและพูดต่อ “ครั้งนี้ข้ามาที่นี่ด้วยคำสั่งของพยุหะโลหิต พวกเราต้องการให้เจ้ามาที่พยุหะ ประมุขของพวกเราบอกว่าเขาต้องการจะพบกับเจ้า”
“ประมุขของพยุหะที่เจ้าพูดถึงคือคนไหนกัน?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาจำได้ว่าเขาเคยเจอกับคุณลี่ที่อ้างตัวว่าประมุขของพยุหะโลหิตที่ขังตัวเองอยู่ในโรงศพที่ก็อตแซงชัวรี่
“มันไม่ใช่คนที่เจ้ากำลังคิด คนที่ต้องการเจอกับเจ้าคือผู้ก่อตั้งพยุหะโลหิต เจ้าเรียกเขาว่าจักรพรรดิมนุษย์” คำตอบของเทพแห่งผลกรรมทำให้หานเซิ่นสะดุ้ง
หานเซิ่นอยากจะถามรายละเอียด แต่เทพแห่งผลกรรมบอกว่าเขาไม่ได้รู้อะไรมาก เขาบอกว่าถ้าหานเซิ่นมีคำถามอะไรก็ให้ไปถามกับประมุขของพยุหะโลหิตโดยตรงเลย
หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมันและตัดสินใจจะไปที่พยุหะโลหิต เขามีคำถามมากมายเกี่ยวกับพยุหะโลหิตที่อยากจะได้คำตอบ
หานเซิ่นไม่รู้ว่าหานจิงจื่อทำอะไรในตอนที่เขาถูกพยุหะโลหิตพาตัวไป และเขาไม่รู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงบอกว่าโหลวเลี่ยของพยุหะโลหิตเป็นมนุษย์ตัวจริง เขายังมีคำถามอีกหลายคำถามเกี่ยวกับวิชาโลหิตชีพจร
เป็นไปได้สูงที่ประมุขของพยุหะโลหิตที่เรียกตัวเองว่าจักรพรรดิมนุษย์จะมอบคำตอบให้กับเขาได้
ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงให้ไนน์เทาซันด์คิงกลับไปที่ระบบจักรวาลร้างตามลำพัง ขณะที่เขาไปที่พยุหะโลหิตพร้อมกับเทพแห่งผลกรรมแทน
หานเซิ่นไม่เชื่อใจพยุหะโลหิต ยังไงซะผู้คนของพยุหะโลหิตก็มีเลือดสีฟ้า พวกเขาแตกต่างไปจากมนุษย์ พยุหะโลหิตนั้นอยู่ในจักรวาลนี้มาเป็นเวลานาน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่เคยทำอะไรเพื่อมนุษยชาติ
แค่สองข้อนี้ก็มากพอที่จะทำให้หานเซิ่นไม่วางใจพยุหะโลหิต และความจริงที่ประมุขพยุหะโลหิตเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิมนุษย์ทำให้เขารู้สึกกังวล ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เพื่อจะได้คำตอบของคำถามเหล่านั้น หานเซิ่นก็จำเป็นจะต้องไป
เทพแห่งผลกรรมพาหานเซิ่นขึ้นยานประหลาดลำหนึ่ง ภายในยานอวกาส ออร่าตงเสวียนของหานเซิ่นไม่สามารถใช้งานได้ นั่นทำให้หานเซิ่นขมวดคิ้ว
เทพแห่งผลกรรมดูเหมือนจะรู้หานเซิ่นไม่ไว้วางใจพวกเขา เขาจึงพูดขึ้นว่า
“พยุหะโลหิตของพวกเราถูกไล่ล่าโดยเทพสปิริตมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปี ด้วยเหตุนั้นพวกเราจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ยานลำนี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับเจ้า พวกเราแค่ไม่ต้องการให้เทพสปิริตแกะรอยพวกเราได้”
“ทำไมเทพสปริตรถึงต้องการจะฆ่าคนของพยุหะโลหิต?” หานเซิ่นถาม
“นั่นเป็นเพราะพวกเราทุกคนเป็นมนุษย์” เทพแห่งผลกรรมพูด มันเป็นคำตอบที่ซื่อตรง แต่มันทำให้หานเซิ่นหวาดระแวงยิ่งกว่าเดิม
“ข้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน และในสเปชการ์เด้นก็มีมนุษย์อยู่หลายคน แต่ทำไมถึงไม่มีเทพสปิริตมาหาเรื่องอะไรพวกเรา?” หานเซิ่นถามอย่างจริงจัง
เทพแห่งผลกรรมเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ข้าไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น มีคนเคยถามคำถามเดียวกันนี้กับข้า แต่ข้าไม่เคยแน่ใจว่าจะตอบพวกเขายังไง ข้าได้แต่คาดเดาว่ามันเกี่ยวข้องกับเลือดสีฟ้า”
“เลือดสีฟ้า” หานเซิ่นพึมพำกับตัวเอง
กุญแจของคำถามทั้งหมดดูเหมือนจะนำไปสู่จุดเริ่มต้น สมาชิกของพยุหะโลหิตนั้นมีเลือดสีฟ้า และแหล่งที่มาของเลือดสีฟ้าก็มาจากยีนของมนุษย์เอง
พลังของยีนเลือดสีฟ้าเป็นสิ่งที่จะทำงานหลังจากที่หลายต่อหลายรุ่นฝึกฝนวิชาโลหิตชีพจร หานเซิ่นเป็นรุ่นแรกที่เริ่มฝึกวิชาโลหิตชีพจร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีเลือดสีฟ้า
แม้แต่เสี่ยวฮวาและหลิงเอ๋อที่เป็นรุ่นที่สองก็ไม่มีเลือดสีฟ้าเช่นกัน
มันจึงเห็นได้ชัดว่าเลือดสีฟ้าไม่ได้แสดงออกมาในรุ่นที่สอง มันต้องใช้เวลาหลายต่อหลายรุ่นถึงจะทำให้เลือดของพวกเขาเริ่มกลายเป็นสีฟ้า
หานเซิ่นฝึกฝนวิชาโลหิตชีพจร แต่เขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงพลังของเลือดสีฟ้าที่วิชาโลหิตชีพจรจะมอบให้กับเขา มันแค่ทำให้ยีนของเขาดีขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
ก่อนหน้านี้หานเซิ่นได้ตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้หลายอย่าง จากข้อสันนิษฐานของหานเซิ่น ร่างกายมนุษย์ควรจะมียีนเลือดสีฟ้าซ่อนอยู่ แต่โอกาสที่มันจะทำงานขึ้นมานั้นต่ำมากๆ ด้วยเหตุนั้นมันจึงไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายของมนุษย์ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องฝึกวิชาโลหิตชีพจรหลายต่อหลายรุ่นกว่าที่ยีนเลือดสีฟ้าจะทำงานขึ้นมา ด้วยการทำแบบนั้นยีนเลือดสีฟ้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของยีนมนุษย์
ถ้าข้อสันนิษฐานนี้ของหานเซิ่นถูกต้อง แหล่งที่มาของยีนเลือดสีฟ้าก็ไม่ควรจะเป็นคริสตัลไลเซอร์ เพราะคริสตัลไลเซอร์นั้นไม่ได้มีเลือดสีฟ้า พวกเขามีเลือดสีแดงเหมือนกับมนุษย์
มันยังมีหลักฐานอย่างอื่นที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่าคริสตัลไลเซอร์นั้นไม่มียีนเลือดสีฟ้า นั่นคือเรื่องที่เทพแห่งผลกรรมและพวกพ้องของเขาไม่เหมือนกับมนุษย์ธรรมดา พวกเขาไม่สามารถดูดซับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่นได้
สมาชิกของพยุหะโลหิตที่มีเลือดสีฟ้าจำเป็นต้องวิวัฒนาการด้วยตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่สามารถรวมยีนของตัวเองกับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่นได้ มันเป็นแบบนั้นในก็อตแซงชัวรี่ ดังนั้นมันจะต้องเป็นเหมือนกันในจักรวาลจีโนนี้
เทพแห่งผลกรรมบอกว่าตอนนี้เขาทัดเทียมกับระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟ แต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาเป็นขั้นพริมิทีฟ
ไม่สำคัญว่าคนที่มีเลือดสีฟ้าจะอยู่ในก็อตแซงชัวรี่หรือในจักรวาลจีโน พวกเขาก็ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษ พวกเขาเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกเหนือกฎของจักรวาล แต่พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ธรรมดาๆ นั่นเป็นสิ่งที่หานเซิ่นยังคงสับสน
ซึ่งคริสตัลไลเซอร์ไม่ใช่แบบนั้น คริสตัลไลเซอร์เป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาของจักรวาล พวกเขาเหมือนกับมนุษย์ในก็อตแซงชัวรี่ พวกเขาต้องทำตามกฎของจักรวาลจีโนเพื่อจะวิวัฒนาการ นั่นแตกต่างไปจากคนที่มีเลือดสีฟ้า ดังนั้นมันไม่มีทางที่ยีนเลือดสีฟ้าจะมาจากคริสตัลไลเซอร์ไปได้
หานเซิ่นคิด ‘สเตย์อัพเลทบอกว่ามนุษย์เป็นผลลัพธ์จากการที่คริสตัลไลเซอร์ใช้ยีนของตัวเองรวมเข้ากับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่น ยีนสีฟ้าควรจะมาจากสิ่งมีชีวิตนั้น แต่สิ่งมีชีวิตนั้นคืออะไรกัน?’
สิ่งหนึ่งที่หานเซิ่นรู้ก็คือกระบวนการทำงานของวิชาโลหิตชีพจรนั้นคือการทำให้ยีนเลือดสีฟ้ากลายเป็นยีนหลักของร่างกายมนุษย์
หานเซิ่นไม่รู้ว่านั่นถือเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่ และเขาก็ไม่รู้ว่ายีนเลือดสีฟ้านั้นมาจากสิ่งมีชีวิตแบบไหน
เหตุผลที่หานเซิ่นรู้ว่าวิชาโลหิตชีพจรเป็นวิชาที่แข็งแกร่งมากๆ นั่นเพราะมันสามารถทำให้คนรุ่นต่อจากเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่ได้อนุญาตให้คนในครอบครัวของเขาฝึกวิชาโลหิตชีพจร แม้แต่เสี่ยวฮวาและหลิงเอ๋อก็ไม่ได้ฝึกมัน
ยานเคลื่อนที่ออกจากสเปชการ์เด้นและมาปรากฏอยู่ในบริเวณที่มีดวงดาวหลายดวง หนึ่งในนั้นเป็นดาวแคระสีแดง
ตอนที่ 2975 ไม่มีวันรู้
ในที่สุดหานเซิ่นก็ได้เห็นจักรพรรดิมนุษย์ จักรพรรดิมนุษย์ที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้นั้นเกือบจะดูเหมือนกับรูปปั้น เขาเป็นชายวัยกลางคนที่สง่างาม ใบหน้าของเขาดูหนุ่มเหมือนกับคนอายุยี่สิบปี แต่ออร่าของเขาบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาแก่กว่านั้นมาก
หลังจากที่เข้ามาในดาวแคระสีแดง หานเซิ่นก็เห็นสมาชิกของพยุหะโลหิตหลายคน พวกเขาเป็นเหมือนกับเทพแห่งผลกรรมที่ระดับพลังไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆในจักรวาล แต่หานเซิ่นก็ไม่ได้คิดว่าพวกเขาอ่อนแอ
ในความจริงแล้วหานเซิ่นรู้สึกแปลกใจเมื่อได้เห็นสมาชิกของพยุหะโลหิต นอกจากเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่ทรงอำนาจอย่างเอ็กซ์ตรีมคิง เวรี่ไฮและปราสาทนภาแล้ว หานเซิ่นก็ไม่คิดว่าจะมีเผ่าพันธุ์ไหนที่แข็งแกร่งเหมือนอย่างพยุหะโลหิต
ถึงหานเซิ่นจะไม่รู้ถึงระดับพลังของพวกเขาแต่ละคน แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงออร่าที่อันตรายจากสมาชิกของพยุหะโลหิตทุกคน
“ในที่สุดเจ้าก็มาถึงที่นี่ ลูกหลานของข้า” จักรพรรดิมนุษย์กำลังนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์และมองมาที่หานเซิ่นด้วยความสนใจ
หานเซิ่นคิดว่ามันฟังดูแปลกๆ แต่จักรพรรดิมนุษย์เป็นอัลฟ่าของเผ่ามนุษย์ หานเซิ่นจึงสันนิษฐานไปว่าที่อีกฝ่ายเรียกเขาว่าลูกหลานนั้นเป็นพฤติกรรมปกติ แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็คิดว่ามันค่อนข้างแปลกอยู่ดี
“เจ้าควรเรียกข้าว่าหานเซิ่น” หานเซิ่นพูดขณะที่คิดกับตัวเอง
‘ถึงแม้นายจะเป็นจักรพรรดิมนุษย์ แต่นายก็ไม่ได้สร้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว มันต้องมีอัลฟ่าของเผ่ามนุษย์คนอื่นอยู่ มันไม่แน่เสมอไปว่าฉันและนายจะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน’
จักรพรรดิมนุษย์ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่หานเซิ่นกำลังคิด เขาพูดอย่างเป็นกันเองว่า
“ในอดีตคริสตัลไลเซอร์สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมามากมายด้วยการใช้ยีนของตัวเองรวมเข้ากับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่น มนุษย์เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาสร้างขึ้นมา เมื่อก่อนนั้นพวกเขาสร้างมนุษย์ขึ้นมาสิบสามคน และข้าเป็นหนึ่งในนั้น ข้าเป็นหนึ่งในสิบสามอัลฟ่าของมนุษย์ มันมีผู้ชายสามคนและผู้หญิงสิบคน เท่าที่ข้ารู้ผู้ชายอีกสองคนไม่รอด พวกเขาจึงให้กำเนิดลูกหลานไม่ได้”
จักรพรรดิมนุษย์หัวเราะออกมาเสียงดังและถาม “แบบนั้นข้ามีสิทธิ์ที่จะเรียกเจ้าว่าเป็นลูกหลานของข้าถูกไหม?”
หานเซิ่นไม่ตอบคำถาม เขาถามกลับไปแทนว่า “ทำไมเจ้าถึงอยากจะพบกับข้า?”
หานเซิ่นไม่สามารถปฏิเสธเรื่องที่จักรพรรดิมนุษย์อาจจะเป็นบรรพบุรุษได้ แต่ตอนนี้หานเซิ่นกุมชะตากรรมของชีวิตมากมายในสเปชการ์เด้น และเขายังไม่รู้ว่าจักรพรรดิมนุษย์ต้องการอะไรกันแน่ หานเซิ่นจึงไม่ต้องการเอาชีวิตของทุกคนในสเปชการ์เด้นมาเสี่ยงเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นบรรพบุรุษของเขา เขาจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
จักรพรรดิมนุษย์ยังคงมองหานเซิ่นด้วยความสนใจ เขามองเหมือนกับว่ากำลังตรวจเช็คของเล่นใหม่
หลังจากผ่านไปสักพัก จักรพรรดิมนุษย์ก็พูดขึ้นว่า “เจ้าฝึกประตูแห่งชีวิต?”
“ใช่ แทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของวิชาโลหิตชีพจร ทำไมมันถึงได้ถูกแยกออกมาเป็นประตูแห่งชีวิตแทน?”
หานเซิ่นสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนั้นมาโดยตลอด หลังจากที่เขาฝึกประตูแห่งชีวิต เขาก็รู้ว่ามันเป็นประโยชน์ต่อวิชาโลหิตชีพจรของเขา แต่เขาไม่รู้ว่ามันส่งผลอะไร
“ทั้งวิชาโลหิตชีพจรและประตูแห่งชีวิตถูกข้าสร้างขึ้นมา มันแตกต่างกันตรงที่ว่าวิชาโลหิตชีพจรมาจากประสบการณ์ของข้า ขณะที่ประตูแห่งชีวิตคือสิ่งที่ข้าคิดขึ้นมา มันเป็นความล้มเหลว ดังนั้นในพยุโลหิตจึงไม่มีใครที่เปิดประตูแห่งชีวิตได้ จนถึงตอนนี้มันมีเพียงแค่ข้ากับเจ้าเท่านั้นที่เปิดประตูแห่งชีวิตของตัวเอง”
“อะไรนะ?” หานเซิ่นแปลกใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะที่มองไปที่จักรพรรดิมนุษย์ เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้
จักรพรรดิมนุษย์ดูเหมือนจะพึงพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของหานเซิ่น เขาหัวเราะและพูดต่อ “เจ้าควรจะรู้สึกถึงมันได้ วิชาโลหิตชีพจรของเจ้านั้นแตกต่างไปจากวิชาโลหิตชีพจรของคนอย่างเทพแห่งผลกรรม เจ้ามีพลังมากมายที่เทพแห่งผลกรรมและคนอื่นๆไม่มี อย่างเช่นการที่เจ้าใช้วิชาโลหิตชีพจรของเจ้าเพื่อปรับปรุงยีนของสิ่งมีชีวิตอื่นและช่วยให้พวกเขาวิวัฒนาการ”
“ไม่แปลกใจเลยที่ข้าถึงรู้สึกว่าวิชาโลหิตชีพจรของข้าแตกต่างไปจากของเทพแห่งผลกรรม” หานเซิ่นพูดพร้อมกับพยักหน้า เขาคาดเดาเอาไว้แล้วว่ามันคงจะเป็นแบบนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นแค่การยืนยันข้อสันนิษฐานของเขาเท่านั้น
ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ยังรู้สึกสับสน เขามองไปที่จักรพรรดิมนุษย์และถาม
“ถ้าประตูแห่งชีวิตทรงพลังขนาดนั้น ทำไมเจ้าถึงบอกว่ามันเป็นความล้มเหลวล่ะ? ทำไมเจ้าถึงไม่ให้สมาชิกของพยุหะโลหิตคนอื่นๆฝึกมัน?”
จักรพรรดิมนุษย์ไม่ได้ตอบคำถามของหานเซิ่น เขามองมาที่หานเซิ่นและยิ้ม
“เจ้าฝึกมันมานาน เจ้าคงจะรู้ถึงการทำงานของวิชาโลหิตชีพจรใช่ไหม? ทำไมเจ้าไม่ลองบอกข้ามา?”
หานเซิ่นไม่รู้ว่าทำจักรพรรดิมนุษย์ถึงถามแบบนั้น แต่เขาตอบไปว่า “ถ้าให้ข้าคาดเดา วิชาโลหิตชีพจรจะสกัดยีนบางอย่างที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ออกมา”
เมื่อได้ยินแบบนั้น จักรพรรดิมนุษย์ก็พยักหน้าและพูด
“ถูกต้อง ข้าสร้างวิชาโลหิตชีพจรขึ้นมาเพื่อที่มนุษย์จะกลับไปสู่ต้นกำเนิดของพวกเขา ข้าต้องการทำให้เลือดของมนุษย์กลับไปบริสุทธิ์อีกครั้ง แต่ประตูแห่งชีวิตนั้นไม่บริสุทธิ์ มันจะส่งผลตรงกันข้ามกับสิ่งที่ข้าต้องการ ด้วยเหตุนั้นประตูแห่งชีวิตจึงถือเป็นความล้มเหลว”
ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าประตูแห่งชีวิตไม่ได้เป็นความล้มเหลวจริงๆ มันแค่ไม่ใช่สิ่งที่จักรพรรดิมนุษย์ต้องการ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพูดว่ามันเป็นความล้มเหลว
“เจ้าจะบอกว่าต้นกำเนิดของมนุษย์คือยีนเลือดสีฟ้าอย่างนั้นหรอ? ทำไมมนุษย์ที่มีเลือดสีฟ้าถึงถูกบอกว่าเป็นมนุษย์ที่แท้จริง?”
จักรพรรดิมนุษย์มองไปที่หานเซิ่นและตอบ “มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นจากยีนของคริสตัลไลเซอร์รวมเข้ากับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่น ถ้าเจ้าคาดเดาการทำงานของวิชาโลหิตชีพจร เจ้าก็ควรจะรู้ว่าทำไมยีนสีฟ้าถึงเป็นยีนของมนุษย์ที่แท้จริง”
“เจ้าหมายความว่ายีนมนุษย์เป็นผลลัพธ์จากยีนของคริสตัลไลเซอร์และยีนเลือดสีฟ้ารวมเข้าด้วยกันอย่างนั้นใช่ไหม? ยีนเลือดฟ้านั่นมาจากสิ่งมีชีวิตไหนกัน?” หัวใจของหานเซิ่นเริ่มเต้นรัว เขาต้องการจะรู้คำตอบ
“เจ้าได้รับสปิริตศักดิ์สิทธิ์ของฉินซิว แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าเลือดของฉินซิวเป็นสีฟ้าอย่างนั้นหรอ?” จักรพรรดิมนุษย์หลี่ตาขณะที่มองไปที่หานเซิ่น
“อะไรนะ?” หานเซิ่นร้องตะโกนอย่างตกใจ
“เจ้าจะบอกว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาจากยีนของคริสตัลไลเซอร์ผสมเข้ากับยีนของผู้นำเซเคร็ด?”
ทันใดนั้นหานเซิ่นก็เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเทพสปิริตถึงได้พยายามไล่ล่ามนุษย์ และมันก็อธิบายว่าทำไมพระเจ้าถึงบอกว่าคนที่มีเลือดสีฟ้าคือมนุษย์ที่แท้จริง ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะฉินซิวที่เป็นผู้นำเซเคร็ด
ดูเหมือนว่าจักรพรรดิมนุษย์จะชอบที่ได้เห็นหานเซิ่นตกใจ เขาหัวเราะและพูด
“เมื่อก่อนในตอนที่เซเคร็ดถูกทำลาย คริสตัลไลเซอร์โชคดีได้รับหยดเลือดหยดหนึ่งของฉินซิวมา พวกเขานำมันไปทำการวิจัย ในตอนที่พวกเขาหนีเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่ พวกเขารวมเลือดนั่นเข้ากับยีนของตัวเองและสร้างมนุษย์สิบสามคนขึ้นมา”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ จักรพรรดิมนุษย์ก็พูดต่อ “แต่ยีนของฉินซิวมีอยู่น้อยเกินไป มันจึงเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆของยีนมนุษย์ ข้าสร้างวิชาโลหิตชีพจรขึ้นมาก็เพื่อจะสกัดยีนอันน้อยให้แสดงออกมา แบบนั้นมนุษย์ก็จะเข้าใกล้ยีนของฉินซิว”
หลังจากนั้นจักรพรรดิมนุษย์ถอนหายใจและพูด
“ข้าไม่เคยคาดคิดว่าวิชาโลหิตชีพจรที่ข้าสร้างขึ้นมาจะทำไม่สำเร็จ ขณะที่ประตูแห่งชีวิตที่ข้าเชื่อว่าเป็นความล้มเหลวกลับช่วยให้เจ้าให้กำเนิดเสี่ยวฮวาที่มีร่างกายที่เหมือนกับของฉินซิวขึ้นมาได้สำเร็จ เว้นแต่ว่าเขาไม่มีเลือดสีฟ้า”
ตอนที่ 2976 เหนือกว่าขั้นทรูก็อต
“เจ้ารู้จักเสี่ยวฮวาอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นขมวดคิ้วและมองไปที่จักรพรรดิมนุษย์ เสี่ยวฮวาถูกแมวเก้าชีวิตพาตัวไปอยู่ในเซเคร็ดเมื่อนานมาแล้ว นอกจากการปรากฏตัวในการประลองของบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนแล้ว มันไม่เคยมีใครได้เห็นเสี่ยวฮวาอีก
ถึงอย่างนั้นจักรพรรดิมนุษย์กลับรู้จักเสี่ยวฮวา และเขาดูเหมือนจะรู้อีกว่าเสี่ยวฮวามีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ แมวเก้าชีวิตนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพยุหะโลหิต มันทำให้หานเซิ่นเริ่มจะคิดอะไรหลายๆอย่าง
จักรพรรดิมนุษย์มองหานเซิ่นอย่างแปลกๆขณะที่ถามขึ้นว่า
“เจ้าอยากจะรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับแมวเก้าชีวิตไหม?”
หานเซิ่นพยักหน้า แต่เขาไม่ได้พูดอะไร
จักรพรรดิมนุษย์หัวเราะกับตัวเอง “บอกตามตรงข้าเป็นเหมือนกับเจ้า พวกเราถือเป็นสิ่งล้มเหลวที่ถูกแมวเก้าชีวิตทอดทิ้ง”
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าหมายความว่ายังไง” หานเซิ่นพูด
“แมวเก้าชีวิตเป็นผู้พิทักษ์ก็อตแซงชัวรี่” จักรพรรดิมนุษย์พูด
“ถ้าไม่มีความช่วยเหลือของมัน เจ้าคิดว่าคริสตัลไลเซอร์จะเข้าไปซ่อนตัวในก็อตแซงชัวรี่ได้อย่างนั้นหรอ? ข้าสันนิษฐานว่าที่คริสตัลไลเซอร์ได้รับเลือดของฉินซิวและหนีเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่ได้นั้น ทั้งหมดเป็นเพราะความร่วมมือจากแมวเก้าชีวิตและฉินซิว บางทีคนที่พยายามจะหาผู้สืบทอดอาจจะเป็นตัวฉินซิวเอง”
หลังจากนั้นจักรพรรดิมนุษย์ก็มองไปที่หานเซิ่นและพูดต่อ
“เจ้าและข้าเป็นความล้มเหลวที่แมวเก้าชีวิตเคยเฝ้ามองอยู่หลายปี มีเพียงแค่เสี่ยวฮวาลูกชายของเจ้าที่ได้รับการยอมรับจากแมวเก้าชีวิต เขาจะกลายเป็นผู้สืบทอดของฉินซิว”
ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าจักรพรรดิมนุษย์หมายความว่ายังไง พูดง่ายๆก็คือจักรพรรดิมนุษย์เป็นเหมือนกับเขา พวกเขาทั้งคู่เคยได้รับความสนใจจากแมวเก้าชีวิต แต่พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้ถูกเลือก
จักรพรรดิมนุษย์หลี่ตาขณะที่จ้องไปที่หานเซิ่น
“เจ้าอย่าได้คิดว่าการเป็นผู้สืบทอดของฉินซิวเป็นเรื่องที่ดี ความจริงแล้วมันตรงกันข้าม ถ้าเกิดฉินซิวเลือกลูกชายของข้าเป็นผู้สืบทอด ข้าก็จะใช้พลังทั้งหมดเพื่อฉีกเขาเป็นชิ้นๆและทำลายเศษซากของเขาจนไม่มีเหลือ”
หานเซิ่นเห็นด้วยกับสิ่งที่จักรพรรดิมนุษย์พูด แต่เขายังคงอยากจะรู้ว่าทำไมจักรพรรดิมนุษย์ถึงรู้สึกแบบนั้น ด้วยเหตุนั้นเขาจึงถามว่า “ทำไม?”
“ถ้าเขาตั้งใจจะส่งลูกชายของข้าไปตาย มันก็เป็นเหตุผลมากพอที่ข้าจะฆ่าทั้งครอบครัวของเขาเป็นหมื่นครั้ง” จักรพรรดิมนุษย์พูด
“เจ้าจะบอกว่าแผนการของฉินซิวจะไม่สำเร็จ?” หานเซิ่นถาม
จักรพรรดิมนุษย์มองไปที่หานเซิ่นและพูด “ถ้าเขาทำสำเร็จ เซเคร็ดก็คงจะไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ เจ้ามีสปิริตศักดิ์สิทธิ์ที่ฉินซิวสร้างขึ้นมาใช่ไหม? เจ้าคิดว่าพลังของสปิริตศักดิ์สิทธิ์นั่นเป็นยังไง?”
“มันแข็งแกร่งมากๆ” หานเซิ่นพูด
“จริงอย่างนั้นหรอ?” จักรพรรดิมนุษย์ยิ้มออกมา
“เจ้าลองใช้สปิริตศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าทรงพลังมากๆนั่นโจมตีใส่ข้า ข้าอยากจะเห็นว่าสิ่งที่ฉินซิวสร้างขึ้นมานั้นจะทรงพลังสักแค่ไหนกัน?”
“ได้สิ” หานเซิ่นเรียกสปิริตศักดิ์สิทธิ์ของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ออกมาบนมีดเหตุและผล สปิริตศักดิ์สิทธิ์ของกิเลนศักดิ์สิทธิ์สามารถสิงสถิตบนอะไรก็ได้ตราบใดที่มันเป็นอาวุธ
หานเซิ่นเองก็อยากจะรู้เหมือนกับว่าจักรพรรดิมนุษย์จะแข็งแกร่งสักแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธคำขอของจักรพรรดิมนุษย์ เขารู้ว่าจักรพรรดิมนุษย์จะใช้โอกาสนี้เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของเขาเช่นกัน ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปฏิเสธ
หานเซิ่นมองไปที่จักรพรรดิมนุษย์ ขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์บนใบมีดมีพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันดูเหมือนกับเปลวเพลิงปีศาจ
จักรพรรดิมนุษย์ยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ เขาสังเกตหานเซิ่นและมีดด้วยความสนใจ
“ขอเสียมารยาท…” หานเซิ่นฟันออกไปใส่จักรพรรดิมนุษย์ มีดแสงเป็นเหมือนกับเลเซอร์ที่สามารถตัดโลกใบนี้ออกเป็นสองส่วนได้ มันพุ่งตรงเข้าไปหาจักรพรรดิมนุษย์
จักรพรรดิมนุษย์ไม่ได้ขยับเขยื้อน เขายังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ต่อไป แต่ทันใดนั้นจู่ๆมือของเขาก็ไปปรากฏใต้มีดแสง นิ้วกลางและนิ้วชี้ของเขาจับมีดแสงของหานเซิ่นเอาไว้ และมีดแสงก็ถูกทำลายอย่างง่ายโดยด้วยนิ้วมือของเขา
สีหน้าของหานเซิ่นเปลี่ยนไป ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดในการฟันครั้งนี้ แต่เขาก็ใช้พลังไปกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ พลังที่น่ากลัวของกิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถฆ่าซีโน่เจเนอิคขั้นทรูก็อตระดับท็อปได้ แต่ทว่ามันไม่สามารถเอาชนะนิ้วมือสองนิ้วของจักรพรรดิมนุษย์ได้
จักรพรรดิมนุษย์ลดมือลงและมองมาที่หานเซิ่น “เจ้าสุภาพเกินไปแล้ว ถ้าเป็นข้าล่ะก็ ข้าจะโจมตีอย่างสุดแรง”
ก่อนที่หานเซิ่นจะได้พูดอะไร จักรพรรดิมนุษย์ก็ถามขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าพลังของข้าเป็นยังไง?”
“มันแข็งแกร่งมากๆ” หานเซิ่นใช้แค่คำพวกนั้นเพื่อบรรยาย เขายังไม่สามารถบอกได้ว่าจักรพรรดิมนุษย์แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่
“ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่ากับฉินซิว เมื่อคำนึงถึงสิ่งที่ฉินซิวต้องการจะทำในสมัยอดีต เจ้าคิดว่าสปิริตศักดิ์สิทธิ์พวกนี้จะทำในสิ่งที่แม้แต่ตัวฉินซิวเองยังทำไม่สำเร็จได้อย่างนั้นหรอ?” จักรพรรดิมนุษย์พูดด้วยสีหน้าดูถูก
“เดี๋ยวก่อนนะ… ทำไมพลังของเจ้าถึง…” หานเซิ่นรู้สึกว่าพลังของจักรพรรดิมนุษย์เหนือกว่าที่สิ่งมีชีวิตขั้นทรูก็อตจะมีได้ หานเซิ่นรู้สึกว่าจักรพรรดิมนุษย์นั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพระเจ้าชั่วพริบตาเลย
“ทำไมข้าถึงได้แข็งแกร่งกว่าขั้นทรูก็อตอย่างนั้นหรอ?” จักรพรรดิมนุษย์หัวเราะและมองไปที่หานเซิ่น
“เจ้าควรจะรู้คำตอบนั้น เลือดสีฟ้าเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ก้าวข้ามทุกสิ่งมีชีวิตในจักรวาลจีโนและไปต่อสู้กับเทพสปิริตได้ ถ้าเจ้าต้องการ ข้าทำให้เจ้ามีเลือดสีฟ้าได้ มันจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน เจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ บางทีมันอาจจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าฉินซิวในอดีต”
หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไร เขาปฏิเสธข้อเสนอของจักรพรรดิมนุษย์ด้วยความเงียบ ข้อเสนอนั่นอาจจะดูยั่วยวน แต่หานเซิ่นยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องกลับไปคิดก่อน
ถ้ายีนเลือดสีฟ้าสุดยอดขนาดนั้นจริง ฉินซิวก็คงจะไม่เป็นฝ่ายแพ้
เมื่อลองคิดในอีกมุมมองหนึ่ง ถ้าฉินซิวคิดว่าเลือดของเขาสามารถเอาชนะเทพสปิริตได้ ทำไมเขาไม่ได้พยายามจะให้กำเนินสายเลือดของเขาต่อไป
ถึงแม้เขาจะให้กำเนิดลูกไม่ได้ แต่ด้วยเทคโนโลยีของเซเคร็ด พวกเขาควรจะสร้างสิ่งมีชีวิตโดยใช้ยีนของฉินซิวขึ้นมา นั่นไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับพวกเขา
แต่ฉินซิวกลับไม่ได้ทำแบบนั้น มันต้องมีเหตุผลบางอย่างอยู่
“การบอกความลับทั้งหมดนี่กับข้าคงจะไม่ใช่จุดประสงค์เพียงอย่างเดียวที่เจ้าต้องการพบข้า เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?” หานเซิ่นยังคงไม่รู้ว่าทำไมจักรพรรดิมนุษย์ถึงต้องการพบกับเขา
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้กับข้า” จักรพรรดิมนุษย์พูด
“เจ้าเป็นมนุษย์ ลูกของเจ้าเป็นมนุษย์ พวกเจ้าเป็นลูกหลานของข้า ไม่ว่าเจ้าจะยินดีหรือไม่ เจ้าก็เป็นปฏิปักษ์กับเทพสปิริต มันไม่มีความจำเป็นที่ข้าจะต้องขอให้เจ้าทำอะไร”
หานเซิ่นยังคงไม่เข้าใจ เนื่องจากความจริงที่ว่าฉินซิวต้องการจะทำลายปราสาทของพระเจ้าและฆ่าเทพสปิรต เทพสปิริตจึงต้องการจะฆ่าทุกคนที่มีสายเลือดของฉินซิว
นั่นดูเป็นอะไรที่สมเหตุสมผล แต่หานเซิ่นคิดว่ามันมีปัญหาอยู่ที่ไหนสักแห่ง เขาแค่ยังไม่รู้ว่าปัญหานั้นคืออะไร
“ที่ข้าต้องการพบกับเจ้าก็เพื่อจะเตือนเจ้าว่าไม่ควรไปเชื่อใจฉินซิว และเจ้าก็ไม่ควรไปพึ่งพาสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ รักษาตัวตนของเจ้าในฐานะเผ่าคริสตัลไลเซอร์ต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าได้บอกตัวตนที่แท้จริงของเจ้ากับใคร เจ้าจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปและเจ้าจะมีโอกาส” จักรพรรดิมนุษย์ดูจริงจัง
ตอนที่ 2977 มงกุฎสกายก็อต
หานเซิ่นได้รับคำตอบมากมายจากจักรพรรดิมนุษย์ แต่มันก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขายังไม่เข้าใจ เหมือนอย่างที่จักรพรรดิมนุษย์ไม่ได้ขอให้หานเซิ่นทำอะไรให้ มันเหมือนกับว่าเขาแค่ต้องการเตือนหานเซิ่นว่าอย่าได้เปิดเผยว่าตัวเองเป็นมนุษย์
จักรพรรดิมนุษย์ยังมอบส่วนสุดท้ายของวิชาโลหิตชีพจรให้กับหานเซิ่น จักรพรรดิมนุษย์บอกว่าถ้าหานเซิ่นเปลี่ยนใจ ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือฝึกส่วนสุดท้ายของวิชาโลหิตชีพจรและเลือดของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้า ถึงแม้วิธีการนี้จะไม่บริสุทธิ์เหมือนอย่างการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น แต่มันก็ยังมอบพลังเลือดสีฟ้าให้กับหานเซิ่น
ราคาที่หานเซิ่นต้องจ่ายคือการสูญเสียวิชาจีโนทั้งหมดไป เขาจะใช้ไม่ได้แม้แต่วิญญาณอสูร ทั้งหมดที่เขาจะใช้ได้ก็คือพลังของเลือดสีฟ้า
จักรพรรดิมนุษย์ไม่ได้บังคับให้หานเซิ่นทำแบบนั้น เขาปล่อยให้หานเซิ่นเป็นคนตัดสินใจเอง
หานเซิ่นได้ถามจักรพรรดิมนุษย์เกี่ยวกับหานจิงจื่อ แต่จักรพรรดิมนุษย์บอกว่าหานจิงจื่อไม่ได้เป็นสมาชิกของพยุหะโลหิต และเขาก็ไม่ได้มีเลือดสีฟ้า แต่นอกจากเรื่องนั้นแล้วจักรพรรดิมนุษย์ไม่ได้บอกอะไรอย่างอื่นเกี่ยวกับหานจิงจื่อ
ในระหว่างทางกลับ หานเซิ่นครุ่นคิด ‘จักรพรรดิมนุษย์บอกเราหลายเรื่อง แต่ดูเหมือนเขาจะยังปกปิดรายละเอียดสำคัญหลายอย่างเอาไว้’
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? จักรพรรดิมนุษย์บอกว่าหานจิงจื่อไม่ใช่สมาชิกของพยุหะโลหิตและไม่มีเลือดสีฟ้า แต่ทำไมผู้คนของทีมที่เจ็ดถึงบอกว่าหานจิงจื่อมีเลือดสีฟ้าล่ะ?” หานเซิ่นรู้สึกสับสนอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในตอนแรกเขาคิดว่าการไปเยือนพยุหะโลหิตจะทำให้เขาได้รับคำตอบเกี่ยวกับเรื่องของหานจิงจื่อ แต่มันกลับไม่มีประโยชน์อะไร และเขาก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหานจิงจื่อ
จักรพรรดิมนุษย์อาจจะรู้เรื่องบางอย่าง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการจะพูดเกี่ยวกับเรื่องของหานจิงจื่อ
ในตอนที่หานเซิ่นกลับไปถึงสเปชการ์เด้น ไนน์เทาซันด์คิงก็ยังไม่กลับมาจากระบบจักรวาลร้าง แต่มันมีแขกคู่หนึ่งมาหาเขา
โกรวเลอร์สีเขียวและกาน่าหญิงมาที่สเปชการ์เด้น ในตอนที่หานเซิ่นเห็นพวกเขา อสูรขนเขียวก็ย่อตัวลงและก้มหัวให้กับเขาก่อนที่จะพูดขึ้นมา
“ข้าขอโทษที่ล่วงเกินเจ้า เจ้าจะเอาชีวิตของข้าไปก็ได้ แต่ได้โปรดช่วยผู้นำเมาท์เทนน้อยด้วย”
“ลุกขึ้น” หานเซิ่นพูดพร้อมกับโบกมือ
“ข้าจะไปช่วยโกลเด้นโกรวเลอร์แน่ แต่พวกเจ้าน่าจะรู้ว่าพลังของข้าในตอนนี้ยังไม่พอจะต่อสู้กับพระเจ้าชั่วพริบตา ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมตัวอีกสักพัก”
“ถ้ามีบางสิ่งที่เจ้าต้องการ ได้โปรดบอกกับพวกเรา ถ้ามันช่วยผู้นำเมาท์เทนน้อยได้ พวกเราจะทำทุกอย่าง” กาน่าหญิงพูด
“ถ้าพวกเจ้าต้องการจะช่วยโกลเด้นโกรวเลอร์จากพระเจ้าชั่วพริบตา ลำพังแค่พลังของพวกเรายังไม่พอ ข้าจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเพื่อทำให้พวกพ้องของข้าแข็งแกร่งขึ้น ถ้าพวกเจ้ามียีนซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า มอบมันให้กับข้าได้ไหม?” หานเซิ่นคิดว่าเอมตี้เมาท์เทนนั้นต้องมีของดีอยู่เป็นจำนวนมาก บางทีเขาอาจจะได้ทรัพยากรจากพวกเธอ
“เอมตี้เมาท์เทนมียีนซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าอยู่ ข้าจะไปนำมันมาให้กับเจ้า” กาน่าหญิงพูด
ในตอนนี้พวกเขาไม่สามารถไปขอความช่วยเหลือจากใครได้ หานเซิ่นเป็นคนเดียวที่พวกเขาจะพึ่งพาได้ อย่างน้อยพวกเขาก็รู้ว่าหานเซิ่นต้องการจะช่วยโกลเด้นโกรวเลอร์เช่นกัน
“ดอลลาร์คนนั้นแย่จริงๆ” โกรวเลอร์สีเขียวพูดด้วยความโมโห
“ผู้นำเมาท์เทนน้อยมอบอันดับที่หนึ่งของบัญชีรายชื่อเทพเจ้าจีโนให้กับเขา แต่ตอนนี้เมื่อผู้นำเมาท์เทนน้อยตกอยู่ในวิกฤต เขากลับไม่ปรากฏตัวออกมา”
หานเซิ่นยิ้มแห้งๆและคิดในใจว่าที่ดอลลาร์ไม่ได้ปรากฏตัวนั้นเป็นเพราะว่าดอลลาร์ก็คือเขาเอง แต่สิ่งที่โกรวเลอร์สีเขียวพูดขึ้นมาช่วยเตือนหานเซิ่นว่าโกลเด้นโกรวเลอร์ได้มอบอันดับที่หนึ่งของบัญชีรายชื่อเทพเจ้าจีโนให้กับดอลลาร์ แบบนั้นถ้าดอลลาร์ยังไม่แสดงตัวออกมา มันก็อาจจะทำให้เขาดูแย่
ถึงแม้ด้วยการที่เผ่าพันธุ์ของดอลลาร์แตกต่างไปจากหานเซิ่น มันจึงไม่มีใครคาดคิดว่าดอลลาร์คือหานเซิ่น แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกผิดอยู่ดี
หลังจากที่ส่งโกรวเลอร์สีเขียวและกาน่าสาวกลับไป หานเซิ่นก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่สักพัก ที่สุดแล้วเขาก็ตัดสินใจจะท้าสู้กับเทพสปิริตด้วยตัวตนของดอลลาร์
ครั้งนี้เทพสปิริตที่หานเซิ่นตัดสินใจจะท้าสู้ไม่ใช่พระเจ้าชั่วพริบตา แต่เป็นโนเวิลด์ก็อตที่เป็นเทพสปิริตขั้นดิแซสเตอร์
หานเซิ่นได้ยินปีศาจสาวบอกว่าพลังของโนเวิลด์ก็อตนั้นสามารถต้านทานพลังการเวลาได้ระยะหนึ่ง ถ้าเขาได้อาวุธประจำตัวพระเจ้าของโนเวิลด์ก็อตมา มันก็จะช่วยเขาอย่างมากในการต่อสู้กับพระเจ้าชั่วพริบตา
ในตอนที่ไม่มีใครอยู่รอบๆ หานเซิ่นก็เข้าสู่โหมดซีโน่เจเนอิคและสวมใส่ชุดเกราะตงเสวียน หลังจากนั้นเขาก็เอามงกุฎสกายก็อตออกมา
มงกุฎสกายก็อตนั้นเป็นอาวุธประจำตัวพระเจ้าขั้นแอนนิฮิเลชั่น มันระดับสูงกว่าหอกสกายไวน์แรดิชก็อตถึงสองขั้น มันเป็นอาวุธประจำตัวพระเจ้าที่อยู่ขั้นเดียวกับพระเจ้าชั่วพริบตา
แต่หานเซิ่นไม่เคยใช้มงกุฎสกายก็อตมาก่อน เขาจึงไม่รู้ว่าพลังของมันคืออะไร
ถึงเขาจะมีวิญญาณอสูรดอกบัวไลท์เวลล์ที่เป็นวิญญาณระดับสูงอยู่ แต่พลังในการรักษาของมันไม่ใช่ว่าจะมีประโยชน์ในทุกสถานการณ์ ในการต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตายนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก
‘เมื่อก่อนพระเจ้าบอกว่ามงกุฎสกายก็อตจะทำให้เราเข้าออกจีโนฮอลล์ได้อย่างอิสระ ตอนนี้เมื่อจีโนฮอลล์ถูกเปิดเผยออกมาแบบนี้ มงกุฎสกายก็อตจะยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกไหมนะ?’ หลังจากที่หานเซิ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจจะสวมมงกุฎสกายก็อต
ในจังหวะที่หานเซิ่นสวมมงกุฎสกายก็อต มันก็มีแสงแห่งเทพที่เหมือนกับสายรุ้งลงมาปกคลุมร่างกายของเขา
หานเซิ่นเห็นฟันเฟืองจักรวาลตรงหน้าเริ่มหมุน มันเหมือนกับว่าประตูเครื่องจักรขนาดยักษ์กำลังเปิดออกตรงหน้าของเขา นี่เหมือนกับการเปิดประตูสู่คอร์แอเรียหรือก็อตแอเรีย
ประตูนั้นไม่ได้เปิดเพราะหานเซิ่น แต่มันเป็นเพราะมงกุฎสกายก็อตที่อยู่บนหัวของเขา
หานเซิ่นมองไปที่ประตูอวกาศและเห็นเพียงแค่หมอกแสงสีรุ้งกับโซ่สสารที่เชื่อมต่อกัน เขาไม่สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้
หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วครู่ หานเซิ่นก็เดินเข้าไปในประตู หลังจากที่ร่างกายของเขาเดินผ่านประตูไปแล้ว ประตูก็ปิดลงและหายลับไป เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นก็หายไปเช่นกัน
“ที่นี่คือ…วิหารพระเจ้า…” หานเซิ่นขมวดคิ้วเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
มันเป็นวิหารที่ทำขึ้นมาจากหินหยก ใต้เท้าของหานเซิ่นเห็นได้ชัดว่าเป็นแท่นหินที่เขาเคยเห็นสกายไวน์แรดิชก็อตกำเนิดขึ้นมาใหม่ มันต้องไม่ผิดแน่ๆ เขากำลังยืนอยู่บนแท่นของวิหารพระเจ้าจริงๆ
“วิหารพระเจ้าขั้นแอนนิฮิเลชั่นถูกเปิดออก ได้โปรดตั้งชื่อวิหารพระเจ้า”
มีเสียงดังก้องทั่ววิหาร และมีธงพระเจ้าบินมาทางหานเซิ่น
“เกิดอะไรขึ้น? นี่เรากลายเป็นเทพสปิริตอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นขมวดคิ้วขณะที่มองธงพระเจ้าที่ว่างเปล่า ธงพระเจ้าที่เขาเคยเห็นนั้นจะมีชื่ออยู่ แต่ธงตรงหน้าเขาตอนนี้ว่างเปล่า
หานเซิ่นไม่ต้องการจะกลายเป็นเทพสปิริต ถึงแม้มันจะเป็นเทพสปิริตขั้นแอนนิฮิเลชั่น เขาก็ไม่ต้องการมัน
“ในที่สุดเจ้าก็มา” ขณะที่หานเซิ่นกำลังลังเล ประตูของวิหารพระเจ้าก็เปิดออกและมีเด็กสาวเดินเข้ามา เด็กสาวคนนั้นก็คือกู่หว่านเอ๋อ เมื่อได้ยินโทนเสียงของเธอ หานเซิ่นก็รู้ว่าคนที่พูดขึ้นมาไม่ใช่กู่หว่านเอ๋อ แต่เป็นพรเจ้าที่กำลังสิงร่างของเธอ
ตอนที่ 2978 อำนาจพิเศษของเทพสปิริต
หานเซิ่นมองไปที่พระเจ้าและพูด “เจ้ามาได้จังหวะพอดี ทำไมข้าถึงกลายเป็นเทพสปิริตเพียงเพราะสวมใส่มงกุฎสกายก็อตนี่?”
พระเจ้าหัวเราะและพูด “เจ้าไม่ได้กลายเป็นเทพสปิริต มันเป็นเพราะเจ้าสวมมงกุฎสกายก็อต เจ้าจึงมีอำนาจเสมือนเป็นเทพสปิริตชั่วคราว ถ้าเจ้าถอดมงกุฎสกายก็อต อำนาจนั้นก็จะหายไป”
หลังจากได้ยินแบบนั้นหานเซิ่นก็ถอดมงกุฎสกายก็อตออกและออกไปจากวิหารเทพ ในตอนที่เขาสวมมงกุฎสกายก็อตอีกครั้ง เขาก็กลับเข้ามาในวิหารพระเจ้าเดิมและธงพระเจ้าสีขาวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา
“นี่คือทั้งหมดที่มงกุฎสกายก็อตทำได้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นผิดหวัง สำหรับเขาแล้วการกลายเป็นเทพสปิริตดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไร
พระเจ้านั่งลงบนแท่นบูชาและถามอย่างเป็นกันเอง “นั่นยังไม่พอสำหรับเจ้าหรือยังไง? เจ้าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่เทพสปิริตต้องทำ แต่เจ้าจะได้รับประโยชน์เหมือนกับเทพสปิริต เทพสปิริตมากมายอยากจะได้อะไรแบบนั้น”
หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัวขณะที่เขารีบถามขึ้นมา “เทพสปิริตจะได้รับประโยชน์อะไร? และพวกเขามีความรับผิดชอบอะไร”
“ตราบใดที่เจ้าสวมใส่มงกุฎสกายก็อต เจ้าก็จะมีร่างกายที่เป็นอมตะเหมือนกับเทพสปิริตคนอื่นๆ ถึงแม้เจ้าจะถูกฆ่าตาย เจ้าก็จะเกิดใหม่บนแท่นบูชาในวิหารพระเจ้าของเจ้า” พระเจ้าพูด
หานเซิ่นแบะปากและถาม “นั่นจะไปมีประโยชน์อะไร? ข้าไม่ได้ต้องการจะติดอยู่ภายในวิหารพระเจ้าไปตลอดกาล”
“แน่นอนว่ามันมีประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่นถ้าเจ้าต้องการจะต่อสู้กับศัตรูที่เหนือกว่าเจ้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าตัวเองจะถูกฆ่า” พระเจ้าหัวเราะ
หานเซิ่นส่ายหัว “นั่นมันไม่สมเหตุสมผล ถ้าข้าถูกศัตรูฆ่าตาย และเขาเอาธงพระเจ้าของข้าไป แบบนั้นข้าก็ต้องตายสิ”
“นั่นคือพลังของมงกุฎสกายก็อต ถึงแม้จะมีคนอื่นเอาธงของเจ้าไป มันก็แค่จะทำลายมงกุฎสกายก็อตของเจ้า เจ้ายังคงเกิดใหม่ได้ แต่เจ้าจะสูญเสียสิทธิ์ในการเป็นเทพสปิริตไป”
พระเจ้าชี้ไปที่มงกุฎสกายก็อตและพูดต่อ “แถมในตอนที่เจ้าเป็นเทพสปิริต เจ้าจะมีอำนาจของเทพสปิริต มันจะทำให้เจ้าแลกเปลี่ยนกับสิ่งมีชีวิตในจักรวาลและรับเอาอายุขัยของพวกเขามาได้”
หานเซิ่นสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนั้นมาโดยตลอด เทพสปิริตเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะ แล้วแบบนั้นพวกเขาจะเอาอายุขัยของคนอื่นไปทำอะไร?
เมื่อดูจากวิธีการของเทพสปิริตที่หานเซิ่นเคยเจอจะเห็นว่าพวกเขาต่างก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้อายุขัยของสิ่งมีชีวิตอื่น หานเซิ่นไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงต้องทำอะไรแบบนั้น
“สำหรับเทพสปิริตที่เป็นอมตะ การได้อายุขัยเพิ่มจะมีประโยชน์ด้วยหรอ?” หานเซิ่นถาม
“เกี่ยวกับเรื่องนั้นเจ้าจะเข้าใจเองในอนาคต”
พระเจ้าไม่ตอบคำถามของหานเซิ่น เขาหัวเราะและพูดต่อ “สำหรับความรับผิดชอบของเทพสปิริต มันเป็นอะไรง่ายๆ พวกเขามีหน้าที่อย่างเดียว ซึ่งก็คือการปกป้องจีโนฮอลล์และป้องกันมันจากการถูกรุกรานโดยสิ่งมีชีวิตอื่นๆ”
“ปกป้องจีโนฮอลล์?” หานเซิ่นถามด้วยความสับสน
“นี่จีโนฮอลล์จำเป็นต้องปกป้องด้วยหรอ? ยังไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แค่ผู้หญิงที่อยู่ในจีโนฮอลล์ก็ไม่มีใครในจักรวาลนี้จะต่อสู้ได้แล้วไม่ใช่หรอ?”
พระเจ้าส่ายหัว “ผู้หญิงที่เจ้าพูดถึงก็คือหนึ่งในเทพสปิริตขั้นแอนนิฮิเลชั่นทั้งสิบสองคน เทพสปิริตขั้นแอนนิฮิเลชั่นทั้งสิบสองจะผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าจีโนฮอลล์ แต่ความรับผิดชอบของพวกเขาเหมือนกับเทพสปริตคนอื่นๆ”
“นี่ภายในจีโนฮอลล์ไม่มีเทพสปิริตอยู่อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นรีบถาม
พระเจ้าหัวเราะแต่ไม่ได้ตอบคำถามของหานเซิ่น “ในตอนที่เจ้าเข้าไปในจีโนฮอลล์ เจ้าก็จะเข้าใจเอง ตราบใดที่เจ้ามีมงกุฎสกายก็อต เจ้าจะได้รับประโยชน์ของเทพสปิริตโดยปราศจากความรับผิดชอบของเทพสปิริต เจ้าละทิ้งฐานะเทพสปิริตไปได้ทุกเมื่อ เจ้ายังคงไม่พึงพอใจกับของดีๆแบบนี้อย่างนั้นหรอ?”
“นอกจากเรื่องพวกนั้นแล้ว มงกุฎสกายก็อตไม่มีพลังในการต่อสู้เลยจริงๆอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นยังคงคิดว่าการกลายเป็นเทพสปิริตนั้นเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์
พระเจ้าหัวเราะ “มงกุฎสกายก็อตเป็นสิ่งที่ถูกทำลายได้ยากมากๆ ความทนทานของมันเหนือกว่าอาวุธประจำตัวพระเจ้าขั้นแอนนิฮิเลชั่นส่วนใหญ่ซะอีก เจ้าใช้มันเหมือนกับก้อนอิฐได้ แต่ตัวมงกุฎสกายก็อตไม่มีพลังในการต่อสู้อะไร เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าควรจะคิดเกี่ยวกับชื่อได้แล้ว เมื่อเจ้าได้ชื่อพระเจ้าของตัวเอง เจ้าจะได้เพลิดเพลินกับอำนาจของพระเจ้า”
“เจ้าบอกว่ามันมีเทพสปิริตขั้นแอนนิฮิเลชั่นอยู่สิบสองคน” หานเซิ่นพูด
“ถ้าข้าใช้มงกุฎสกายก็อต ข้าจะถูกนับเป็นหนึ่งในพวกเขาและต้องรับหน้าที่เฝ้าจีโนฮอลล์ด้วยไหม?”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรอ? เจ้าไม่ใช่เทพสปิริตจริงๆ เจ้าไม่ต้องรับผิดชอบงานของเทพสปิริต” พระเจ้าตอบ
หานเซิ่นรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้พูดโกหก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงผิดหวัง ถ้าเขาไปที่จีโนฮอลล์ เขาก็จะเห็นว่าข้างในที่แห่งนั้นเป็นยังไงกันแน่
หานเซิ่นครุ่นคิดอยู่สักพักขณะที่จ้องมองไปยังธงพระเจ้าที่ว่างเปล่า
“ข้าจะเรียกตัวเองว่าพระเจ้าแห่งความมั่งคั่ง ข้าชอบชื่อนั้น มันเข้ากันได้ดีกับชื่อดอลลาร์ของข้า”
เมื่อพระเจ้าได้ยินชื่อของหานเซิ่น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขามองไปที่หานเซิ่นและพูด
“ชื่อพระเจ้าของเจ้า…เป็นมงคลมากๆ มันเป็นชื่อที่สร้างสวรรค์จริงๆ”
“ชื่อนี่เป็นชื่อที่เยี่ยมมากๆ!” หานเซิ่นรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้จะหมายความแบบนั้น แต่เขาไม่ได้ใส่ใจอะไร
ตอนนี้ด้านหน้าของธงมีคำว่า “ความมั่งคั่ง” ปรากฏขึ้นมา ส่วนด้านหลังของมันแสดงคำว่า “พระเจ้าแห่ง” ธงส่องสว่างด้วยแสงแห่งเทพขณะที่บินออกไปติดอยู่หน้าประตูวิหารพระเจ้า ในจังหวะที่ธงพระเจ้าไปอยู่ตรงนั้น มงกุฎสกายก็อตบนหัวของหานเซิ่นก็เรืองแสงอย่างสว่างไสว ในเวลาเดียวกับมันก็มีข้อความออกมาจากมงกุฎสกายก็อต ซึ่งทำให้หานเซิ่นเข้าใจสิ่งต่างๆ
“อย่างนี้นี่เอง…” หานเซิ่นรู้ถึงข้อมูลที่มงกุฎสกายก็อตส่งให้กับเขา หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจว่าการเป็นเทพสปิริตนั้นเป็นยังไง
นอกจากที่พระเจ้าพูด เทพสปิริตยังมีพลังอย่างอื่นอีก มันดีกว่าที่หานเซิ่นคาดคิดเอาไว้
ประโยชน์ของการเป็นเทพสปิริตไม่ใช่แค่ความเป็นอมตะเท่านั้น มันยังมีพลังเสริมที่เขาจะได้รับจากการเป็นเทพสปิริต ยิ่งระดับวิหารของพระเจ้าคนนั้นสูงมากเท่าไหร่ พลังเสริมที่เขาจะได้รับก็มากขึ้นเท่านั้น
หานเซิ่นมีวิหารพระเจ้าขั้นแอนนิฮิเลชั่น พลังเสริมที่เขาได้รับจึงทำให้พลังในการต่อสู้ของเขาเพิ่มสูงขึ้นไปอยู่ในอีกระดับหนึ่ง
แต่พลังเสริมนั้นจะมีผลเฉพาะภายในเขตแดนของวิหารพระเจ้าเท่านั้น ถ้าเขาออกไปจากวิหารพระเจ้า พลังเสริมก็จะหายไป
และมันยังมีอำนาจพิเศษของเทพสปิริตอีก เทพสปิริตแต่ละคนจะมีอำนาจพิเศษที่แตกต่างกัน หานเซิ่นไม่รู้ว่าเทพสปิริตคนอื่นนั้นมีอำนาจอะไร แต่อำนาจของเทพสปิริตที่เขาได้รับคือ “ความมั่งคั่ง” ถ้าสิ่งมีชีวิตไหนยินดีจะจ่ายอายุขัยให้ หานเซิ่นก็จะมอบพรให้กับพวกเขาและทำให้พวกเขามั่งคั่งในเวลาอันสั้น
แน่นอนว่าอำนาจของเทพสปิริตจะถูกใช้ก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายยอมจ่ายอายุขัย สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือความมั่งคั่งที่หานเซิ่นจะมอบให้นั้นไม่ได้มาจากใครที่ไหน แต่มันเป็นความมั่งคั่งที่มาจากอนาคตของคนนั้นๆ
ถ้าหานเซิ่นมอบความมั่งคั่งให้เกินกว่าที่คนๆนั้นจะมีได้ สิ่งเลวร้ายก็จะเกิดขึ้นกับคนๆนั้น
——————-
ประกาศจากผู้แปล
เนื่องด้วยตอนนี้ตัวผมมีงานประจำแล้วทำให้มีเวลาแปลงานในแต่ละวันน้อยมากจริง ๆ หลัก ๆ ผมจะว่างแปลแค่เสาร์ – อาทิตย์ ทำให้ช่วงหลัง ๆ แปลงานตุนไว้ได้ไม่เพียงพอที่จะลงได้ครบอาทิตย์
ผมจึงอยากจะขออนุญาตหยุด 3 วันเพื่อตุนงาน- ปรับสต๊อกใหม่
ต้องอภัยนักอ่านทุกท่านที่ติดตามงานของผมมานาน ยังไงผมก็จะพยายามแปลต่อให้จบแน่ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น