Super God Gene 2953-2966

ตอนที่ 2953 หัวแข็ง

 

 


ร่างกายของอสูรไร้ดวงตานั้นมีขนาดใหญ่ แต่มันไม่ได้งุ่มง่าม ในตอนที่มันกลิ้ง มันรวดเร็วยิ่งกว่าปีศาจสาวซะอีก เมื่อเห็นหานเซิ่นและอีแร้งแก่กำลังต่อสู้กัน อสูรยักษ์ไร้ดวงตาก็เป่าคลื่นเสียงออกไปใส่หานเซิ่น ครั้งนี้คลื่นเสียงที่มันเป่าออกไปไม่ได้เปลี่ยนเป็นวงแหวนเสียง แต่มันเป็นเสียงสูงที่ดังก้องแทน


 


หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขากำลังสั่นไหวโดยพลังเสียงและกำลังจะพังทลาย


 


ในเวลาเพียงแค่หนึ่งวินาที สิ่งก่อสร้างรอบๆพวกเขาก็ถล่มลงมาตามๆกัน ไม่ว่าพวกมันจะสร้างขึ้นมาจากหินหรือโลหะ ภายใต้เสียงสูงของอสูรไร้ดวงตา พวกมันทั้งหมดก็กลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา


 


หานเซิ่นไม่สามารถหลบหลีกพลังเสียงที่สร้างความเสียหายกับทุกสิ่งรอบๆได้


 


ชุดเกราะปรากฏขึ้นบนร่างกายของหานเซิ่น ชุดเกราะมนตรานั้นติดกับร่างกายของเขาในตอนที่มันปรากฏออกมา มันทำลายชุดที่หานเซิ่นสวมใส่อยู่โดยเหลือเพียงแค่เสื้อคลุมสีฟ้าเข้ม


 


หลังจากที่เรียกชุดเกราะมนตราออกมา ลวดลายบนชุดเกราะก็เรืองแสงขึ้นมา และพลังอิเทอร์นิตี้ก็เข้าปกคลุมร่างกายของหานเซิ่น มันทำให้พลังเสียงสูงของอสูรไร้ดวงตานั้นสูญเสียประสิทธิภาพไป มันไม่สามารถสั่นคลอนร่างกายของหานเซิ่น


 


หลังจากนั้นในที่สุดปีศาจสาวก็ไล่ตามมาจนทัน เธอเข้ามาล้อมหานเซิ่นเอาไว้ร่วมกับอีแร้งแก่และอสูรยักษ์ไร้ดวงตา


 


“หานเซิ่น นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้า” อาเหมยพูดขณะที่จ้องไปที่หานเซิ่น


“มอบสปิริตศักดิ์สิทธิ์ให้กับข้า และข้าจะปล่อยเจ้าออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย”


 


“ไปพาเสี่ยวฮวามาพบกับข้าก่อน และพวกเจ้าจะได้ทุกอย่างที่พวกเจ้าต้องการ ไม่อย่างนั้นถึงแม้เทพจะลงมาจากท้องฟ้า ข้าก็จะทำลายปราสาทศักดิ์สิทธิ์นี้ให้ย่อยยับ” หานเซิ่นพูด


 


“เจ้ากล้าดียังไงมาพูดอะไรแบบนั้น!” อีแร้งแก่โกรธจัด มันพ่นควันสีดำออกมาอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม ควันสีดำเริ่มดันแสงของโล่เมดูซ่าส์เกซและตรงเข้าไปหาหานเซิ่น


 


“หานเซิ่น เจ้าถือว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง” ปีศาจสาวพูด


“มีน้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จในจักรวาลจีโนมากถึงขนาดนี้ในเวลาอันสั้น ข้ารู้สึกชื่นชมในพรสวรรค์ของเจ้า มันน่าเสียดายที่ถึงแม้เจ้าจะเป็นพ่อของเสี่ยวฮวา แต่ยีนของเจ้ากลับไม่เสถียร ในอนาคตข้างหน้าเจ้าจะไม่ถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ข้าเชื่อว่าเจ้ารู้ในเรื่องนั้น”


 


“นั่นมันก็ไม่แน่หรอก” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังเอง ในก็อตแซงชัวรี่ เจ้าได้ดูดซับยีนของสิ่งมีชีวิตต่างๆเข้าไปและใช้มันเพื่อพัฒนาพลังของเจ้า ในเวลาเดียวกันมันก็ทำให้ยีนในร่างกายของเจ้าได้รับผลกระทบและเกิดความเปลี่ยนแปลง มันทำให้ยีนของเจ้านั้นไม่เสถียร ดังนั้นไม่สำคัญว่ายีนของเจ้าจะวิวัฒนาการสักแค่ไหน ที่สุดแล้วมันก็ยังคงไม่เสถียรอยู่ดี”


 


“เสี่ยวฮวานั้นต่างออกไป ถึงแม้เขาจะมียีนของเจ้า แต่ยีนที่เขารับมาเป็นรากฐานนั้นได้รับการปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว ปัญหาเรื่องความไม่เสถียรจึงหายไป นั่นหมายความว่าเสี่ยวฮวาได้รับประโยชน์จากยีนของเจ้าโดยไม่มีข้อบกพร่อง ดังนั้นเสี่ยวฮวาจึงมีศักยภาพอย่างที่เจ้าไม่อาจจะมีได้”


 


“แล้วมันจะยังไง? ไม่สำคัญว่าลูกชายของข้าจะดีเด่นสักแค่ไหน ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของข้า เขาไม่ใช่เครื่องมือของเซเคร็ด” หานเซิ่นถาม


 


“พวกเราไม่เคยคิดว่าเสี่ยวฮวาเป็นแค่เครื่องมือ เขาเป็นนายน้อยของพวกเรา เขาเป็นผู้นำเซเคร็ดคนใหม่” ปีศาจสาวพูด


 


หานเซิ่นมองเธอด้วยความดูถูก “ถ้าตำแหน่งผู้นำเซเคร็ดทรงเกียรติขนาดนั้น ทำไมไม่มีใครมาแทนที่เขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา? ทำไมตอนนี้มันถึงต้องเป็นของเสี่ยวฮวา?”


 


“ก็ได้ ข้าจะไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ถึงพวกเราจะปล่อยเจ้าไปที่ปราสาทศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็ทำลายที่นั่นไม่ได้อยู่ดี เนื่องจากปราสาทศักดิ์สิทธิ์ไม่มีวันถูกทำลาย ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะถูกทำลายไปในการต่อสู้ครั้งใหญ่นั่น และไม่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้”


ปีศาจสาวหยุดไปชั่วครู่และพูดต่อ “เจ้าต้องเชื่อพวกเรา นายน้อยเป็นบุรุษที่ถูกเลือกโดยเทพเจ้า เขาจะสร้างเซเคร็ดขึ้นใหม่และกลายเป็นราชาของจักรวาล เจ้าเป็นพ่อของเขา เจ้าควรจะภาคภูมิใจในตัวของเขา เจ้าไม่ควรไปขวางเส้นทางความก้าวหน้าของเขา”


 


“ข้าภาคภูมิใจในตัวเสี่ยวฮวา แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นผู้นำเซเคร็ดอะไรนั่น ข้าภาคภูมิใจในตัวเขาก็เพราะเขาคือลูกชายของข้า” หานเซิ่นพูด


 


อีแร้งแก่ยังคงพ่นควันสีดำออกมาขณะที่ตะโกนขึ้นมา “อย่าเสียเวลาพูดกับเขา ฆ่าเขาซะ!”


 


ปีศาจสาวยังคงมองไปที่หานเซิ่นและพูดต่อ “เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ก็ได้ แต่ข้าบอกเจ้าได้อย่างมั่นใจเลยว่าในตอนที่เจ้าไปถึงปราสาทศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะทำอะไรมันไม่ได้ เหมือนอย่างสปิริตศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าขโมยไป ถึงเจ้าจะเอามันไปได้ แต่มันก็เป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ เพราะเจ้าใช้มันไม่ได้ สปิริตศักดิ์สิทธิ์คืออาวุธจีโนที่ผู้นำเซเคร็ดสร้างขึ้นมา มีเพียงแค่คนที่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะใช้มันได้ ถึงคนอื่นจะเอามันไป มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร”


 


หานเซิ่นรู้ว่าที่ปีศาจสาวพูดนั้นเป็นความจริง ถึงแม้เขาจะเอาสปิริตศักดิ์สิทธิ์ของกิเลนศักดิ์สิทธิ์มา เขาก็ไม่สามารถเรียกมันออกมาใช้ได้เหมือนกับวิญญาณอสูรทั่วๆไป


 


หานเซิ่นรู้ว่ากิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้คิดจะต่อต้านเขา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างมันมีช่องว่างระหว่างพวกเขา ถึงแม้กิเลนศักดิ์สิทธิ์จะยินดีถูกใช้ หานเซิ่นก็ไม่สามารถใช้มันได้ พลังของพวกเขาเข้ากันไม่ได้


 


มันเหมือนกับเครื่องจักรที่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าสี่ร้อยวัตต์ ขณะที่หานเซิ่นมอบไฟฟ้าได้แค่สองร้อยวัตต์ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่สามารถเปิดใช้งานเครื่องจักรได้


 


เหตุผลที่หานเซิ่นไม่ได้ลองเรียกสปิริตศักดิ์สิทธิ์ของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ออกมาใช้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ต้องการจะใช้มัน แต่มันเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถเรียกมันออกมาใช้ได้


 


ปีศาจสาวเห็นว่าหานเซิ่นนั้นเชื่อที่เธอพูด เธอจึงพูดต่อว่า “แถมเจ้าก็คือพ่อของเสี่ยวฮวา เจ้าคงไม่คิดจะขโมยของของลูกชายตัวเองหรอกใช่ไหม? สปิริตศักดิ์สิทธิ์นั้นจะตกเป็นของเขาไม่ช้าก็เร็ว แบบนั้นเจ้าหัวแข็งไปทำไม? พวกเราทุกคนต่างก็หวังดีต่อเสี่ยวฮวา แบบนั้นทำไมพวกเราถึงต้องต่อสู้กันด้วย?”


 


ควันสีดำของอีแร้งแก่เกือบจะไปถึงโล่เมดูซ่าส์เกซแล้ว ตอนนี้หานเซิ่นสัมผัสได้ถึงพลังประหลาดของควันสีดำ มันเป็นเหมือนกับวังวนน้อยๆที่ดูดกลืนพลังชีวิตของทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ มันทำให้หานเซิ่นขนลุกไปทั้งตัว


 


แต่ใบหน้าของหานเซิ่นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขามองไปที่ปีศาจสาวและพูด


“ที่เจ้าพูดมามันก็สมเหตุสมผล ถ้าทุกคนต่างก็หวังดีต่อเสี่ยวฮวา พวกเจ้าก็ควรจะปล่อยให้เสี่ยวฮวากลับไปหาพ่อของเขา การที่ลูกชายอยู่กับพ่อเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอ? ถ้าพวกเจ้าต้องการจะพบกับเขา? พวกเธอก็ไปหาเขาได้ ตราบใดที่เสี่ยวฮวายินดีจะพบกับพวกเจ้า ข้าก็จะไม่หยุดพวกเจ้า”


 


“หัวแข็ง” ปีศาจสาวโกรธ เธอยอมพูดถึงขนาดนี้ แต่หานเซิ่นก็ยังคงหัวแข็งจนเธอเริ่มจะหมดความอดทน


 


หานเซิ่นหัวเราะและพูด “ฮ่า! ฮ่า! พวกเจ้าขโมยลูกของเจ้าไป แต่เจ้ากับบอกว่าข้าหัวแข็ง ไม่แปลกใจเลยที่เซเคร็ดยึดครองไปทั่วจักรวาล พวกเจ้ามันพวกเผด็จการ”


 


“ถ้าเจ้ายังยืนกรานที่จะต่อสู้ เจ้าก็จะมาโทษพวกเราไม่ได้” อาเหมยเอาปิ่นปักผมออกมาและชี้มันไปที่หานเซิ่น


 


จุดของแสงดาวปรากฏขึ้นและพุ่งตรงออกไปที่ระหว่างคิ้วของหานเซิ่น


 


“เจ้าควรจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ดีกว่ามัวไปเสียเวลาพูดกับเขา”


อสูรยักษ์ไร้ดวงตาพูด ก่อนที่ร่างกายขนาดใหญ่ของมันจะขยายใหญ่ขึ้นอีก กระดูกสันหลังของมันยื่นออกมาเป็นท่อที่เหมือนกับปล่องไฟบนหลังของมัน


 


เสียงแตรรถดังออกมาจากท่อพวกนั้น คลื่นเสียงที่น่ากลัวถูกปลดปล่อยออกมา และพวกมันทั้งหมดก็พุ่งตรงเข้าไปหาหานเซิ่น

 

 

 


ตอนที่ 2954 พ่อและลูกสาวต่อสู้กับอสูร...

 

นอกจากอีแร้งแก่ที่มีความเร็วเหนือกว่าอาณาเขตกาลเวลาแล้ว อสูรยักษ์ไร้ดวงกับปีศาจสาวได้รับผลกระทบจากอาณาเขตกาลเวลา พลังของพวกเขาช้าลงไปอย่างมาก


 


แต่ถึงอย่างนั้นอาณาเขตกาลเวลาก็ไม่สามารถถ่วงเวลาพวกเขาได้นานนัก ที่สุดแล้วพลังของพวกเขาก็ไปถึงตัวหานเซิ่น


 


“เป่าเอ๋อรับมันไป!” หานเซิ่นโยนกระจกไนน์สปินเดสทินี้ให้กับเป่าเอ๋อ และหยิบเอามีดเหตุและผลออกมา หลังจากนั้นเขาก็โยนมันขึ้นในอากาศและใช้ปากคาบมีดเอาไว้


 


ในเวลาเดียวกันหานเซิ่นก็เอาอาวุธอีกอันออกมา มันคือแส้เหล็กเทพเสน่หา


 


มีดเหตุและผลทรงพลังก็จริง แต่พลังหลักๆของมันก็เหตุและผลแห่งกรรม ด้วยตัวมันเองสร้างความเสียหายได้เพียงเล็กน้อย ในการต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งแบบนี้มีดเหตุและผลดูจะใช้งานได้ยาก หานเซิ่นต้องรอคอยจนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บก่อนที่จะทำการใช้มัน


 


แต่แส้เหล็กเทพเสน่หานั้นต่างออกไป ในตอนที่หานเซิ่นเอาแส้เหล็กเทพเสน่หาออกมา พลังของวิชาโลหิตชีพจรก็ได้ถูกใส่เข้าไปในแส้เหล็กเรียบร้อยแล้ว พลังนั้นไม่ได้ถูกใส่เข้าไปเพื่อควบคุมแส้เหล็กเทพเสน่หา แต่มันถูกใส่เข้าไปเพื่อทำลายผนึกของผู้นำปราสาทนภา


 


ก่อนหน้านี้หานเซิ่นไม่มีพลังพอที่จะควบคุมแส้เหล็กเทพเสน่หาได้ เขาจึงต้องขอให้ผู้นำปราสาทนภาช่วยผนึกแส้เหล็กเทพเสน่หาเอาไว้ แต่ตอนนี้พลังของหานเซิ่นเทียบได้กับขั้นทรูก็อตคนหนึ่ง มันมากพอที่จะใช้อาวุธขั้นทรูก็อตและอาวุธเผ่าพันธุ์ได้ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป


 


ตอนนี้ผิวของแส้เหล็กเทพเสน่หาเป็นสีเทา แต่หลังจากที่ผนึกแตกร้าวด้วยพลังของวิชาโลหิตชีพจร มันก็เริ่มมีแสงสีม่วงเล็ดลอดออกมา แสงสีม่วงของแส้เหล็กที่ส่องออกมาผ่านรอยร้าวนั้นสว่างขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่รอยแพร่กระจายไปทั่วแส้เหล็ก ที่สุดแล้วผิวสีเทาทั้งหมดก็แตกเป็นเสี่ยงๆและเผยให้เห็นแส่เหล็กสีม่วง


 


หานเซิ่นถือแส้เหล็กเทพเสน่หาและแกว่งมันไปใส่ปิ่นปักผมของปีศาจสาว หลังจากการปะทะกัน หานเซิ่นก็กระเด็นออกไปได้หลัง แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เขาแค่พลังน้อยกว่าปีศาจสาวเท่านั้น


 


เป่าเอ๋อกำลังถือตะเกียงหินและกระจกไนน์สปินเดสทินี้อยู่ เธอเล็งมันไปที่อสูรไร้ดวงตาที่ปลดปล่อยพลังเสียงเข้ามา จิ้งจอกสาวเก้าหางในกระจกเรืองแสงสีเงินออกมาป้องกันเอาไว้ คลื่นเสียงนั้นไม่ได้ถูกทำลาย แต่พวกมันถูกสะท้อนออกไป


 


อีแร้งแก่ยังคงพ่นควันสีดำออกมาใส่หานเซิ่นอย่างบ้าคลั่ง โล่เมดูซ่าส์เกซนั้นไม่สามารถป้องกันพวกมันทั้งหมดได้ สุดท้ายหานเซิ่นก็จำเป็นต้องเทเลพอร์ตเพื่อหลบควันสีดำ


 


เดิมทีเนื่องจากแสงสว่างของตะเกียงหินนั้นไม่กว้างมาก หานเซิ่นจึงไม่สามารถเทเลพอร์ตเพื่อหลบหลีกควันสีดำได้ แต่เมื่ออสูรยักษ์ไร้ดวงตาเข้ามาใกล้หานเซิ่น เขาก็จงใจเทเลพอร์ตไปข้างๆอสูรยักษ์ไร้ดวงตา เขาใช้ร่างกายที่ใหญ่โตของมันเพื่อป้องกันการโจมตี อีแร้งแก่กังวลว่าอสูรยักษ์ไร้ดวงตาจะถูกโจมตีไปด้วย ด้วยเหตุนั้นมันทำให้การโจมตีของอีแร้งแก่ต้องเปลี่ยนทิศทางในจังหวะสุดท้าย


 


พ่อและลูกสาวต่อสู้ร่วมกัน พวกเขาต่อสู้กับศัตรูทั้งสามได้อย่างสูสี และศัตรูทั้งสามก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้


 


กระจกไนน์สปินเดสทินี้สามารถสะท้อนการโจมตีที่เข้ามา และแส้เหล็กเทพเสน่หาที่รู้จักกันในอีกชื่อว่าแส้เหล็กคิวปิดนั้นถึงจะดูเหมือนทำอะไรไม่ได้มาก แต่จริงๆแล้วมันช่วยหานเซิ่นอย่างมากในการต่อสู้กับศัตรูทั้งสาม มันทำให้พลังที่ศัตรูทั้งสามปล่อยออกมาเบาลงไปโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว มันเหมือนกับว่าลึกๆแล้วพวกเขาไม่ต้องการฆ่าหานเซิ่น


 


หานเซิ่นและเป่าเอ๋อใช้ตะเกียงหิน กระจกไนน์สปินเดสทินี้ แส้เหล็กเทพเสน่หาและโล่เมดูซ่าส์เกซเพื่อป้องกันการโจมตีของศัตรูทั้งสามได้ทั้งหมด มันบอกไม่ได้ว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ


 


“เวรเอ้ย! ไร้ตา เจ้าอย่ามาขวางทางข้าได้ไหม แบบนี้ข้าจะโจมตีได้ยังไง!” อีแร้งแก่ตะโกน การโจมตีส่วนใหญ่ของมันถูกบล็อกโดยอสูรยักษ์ไร้ดวงตา ซึ่งเป็นอะไรที่น่าโมโห


 


ปีศาจสาวถือปิ่นปักผมหยกสองอันอยู่ในมือ ร่างกายของเธอเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวแว็บหายไป แต่เธอก็ยังคงไม่สามารถทำอะไรหานเซิ่นได้


 


หานเซิ่นสะบัดหัวเพื่อใช้มีดเหตุและผลที่คาบเอาไว้ป้องกันการโจมตีจากปิ่นปักผมของปีศาจสาว ร่างกายของเขากระเด็นไปด้านหลังและกระอักเลือดออกมา


 


ปีศาจสาว อสูรไร้ดวงตาและอีแร้งแก่นั้นต่างก็ทรงพลังกว่าหานเซิ่นกันทั้งนั้น เขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายแบบตัวต่อตัวได้ แต่หานเซิ่นไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวที่ต้องต่อสู้กับศัตรูทั้งสามพร้อมๆกัน


 


ถ้าสู้กันตัวต่อตัว หานเซิ่นอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปีศาจสาว แต่สามต่อหนึ่งเป็นอะไรที่ง่ายสำหรับหานเซิ่น มันทำให้เขารู้สึกเบาใจ


 


หานเซิ่นถนัดมากในเรื่องการสู้กับศัตรูเป็นกลุ่ม เนื่องจากเขาสามารถทำให้ศัตรูทั้งสามโจมตีใส่พวกเดียวกันได้


 


พ่อและลูกสาวป้องกันโจมตีทั้งซ้ายและขวา ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็หนีเข้าไปในความมืด ปีศาจสาวและคนอื่นๆไม่สามารถหยุดพวกหานเซิ่นเอาไว้ได้


 


ขณะที่ตามหานเซิ่นเข้าไปในความมืด ปีศาจสาวและคนอื่นก็รู้สึกว่าร่างกายของพวกเขาถูกจำกัดโดยความมืด การต่อสู้กับพลังความมืดนั้นทำให้พวกเขาสูญเสียพลังงาน นอกจากนั้นมันยังมีอาณาเขตการเวลาที่คอยชะลอความเร็วของพวกเขาลงอีก ทำให้มันเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆที่จะหยุดหานเซิ่นเอาไว้


 


“เวรเอ้ย! นี่มันอะไรกันเนี่ย? ทำไมเขาถึงได้มีสิ่งแปลกประหลาดมากมายนัก? มันเหมือนกับว่าของดีๆในโลกนี้มาอยู่กับเขาหมด”


อีแร้งแก่รู้สึกโมโหอย่างมาก พลังของมันเหนือกว่าหานเซิ่น แต่มันกลับไม่สามารถทำอะไรหานเซิ่นได้เลย


 


“ถ้าเขาไม่มีตะเกียงเผ่าพันธุ์มาช่วยเสริมพลังของกระจกไนน์สปินเดสทินี้ล่ะก็ ข้าก็คงจะทำลายกระจกเฮงซวยนั่นได้ไปแล้ว!” อสูรยักษ์ไร้ดวงตารู้สึกหดหู่


 


“ไม่แปลกใจเลยที่เขาเป็นพ่อของนายน้อย” ปีศาจสาวพูด


“ถึงยีนของเขาจะไม่เสถียร แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นน่ากลัวมากๆ เขาทำให้พวกเราทำร้ายพวกเดียวกัน พวกเจ้าถอยออกไปก่อน ข้าจะหาทางหยุดเขาเอง”


 


“เอางั้นก็ได้” อีแร้งแก่พูด ก่อนที่จะกระพือปีกเพื่อบินออกจากสนามต่อสู้ไป


 


อสูรยักษ์ไร้ดวงตาก็กลิ้งออกไปด้านข้างเช่นกัน มันคิดจะอ้อมไปดักรอหานเซิ่นอยู่ที่หน้าปราสาทศักดิ์สิทธิ์


 


หานเซิ่นจะไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้น ตอนนี้เขาเป็นเหมือนกับเงาที่ตามติดอสูรยักษ์ไร้ดวงตาอย่างไม่ห่าง เขาจะไม่ปล่อยให้มันออกจากสนามต่อสู้ไปได้


 


“เจ้าหยุดตามข้าเดี๋ยวนี้!” อสูรไร้ดวงตาตะโกนอย่างโมโห มันไม่สามารถสลัดหานเซิ่นหลุดไปได้ ความเร็วของมันไม่ได้สูงเหมือนอย่างอีแร้งแก่


 


หานเซิ่นใช้อาณาเขตการเวลาเพื่อประกบคู่กับอสูรไร้ดวงตาไป และทำให้มันไม่สามารถหนีออกไปจากสนามต่อสู้ได้


 


“ไร้ตา! ที่เจ้ากำลังอะไรอยู่? ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้” การโจมตีของปีศาจสาวถูกบล็อคเอาไว้โดยอสูรยักษ์ไร้ดวงตา มันทำให้เธอรู้สึกโกรธ


 


“ข้าเองก็อยากจะออกไปเหมือนกัน” ตอนนี้อสูรไร้ดวงตารู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิม


 


อสูรยักษ์ไร้ดวงตานั้นพยายามจะกลิ้งไปทั้งซ้ายและขวา แต่มันก็ไม่สามารถสลัดหานเซิ่นหลุดไปได้


 


อีแร้งแก่กระพือปีกและบินข้างๆอสูรยักษ์ไร้ดวงตา กรงเล็บของมันยื่นมาจับร่างกายของอสูรไร้ดวงตาเอาไว้ มันคิดจะพาอสูรไร้ดวงตาหนีไปจากอาณาเขตกาลเวลาของหานเซิ่น


 


“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?” เป่าเอ๋อตะโกนอย่างร่าเริง กระจกไนน์สปินเดสทินี้ในมือของเธอส่องแสงผ่านเปลวเพลิงของตะเกียงหิน แสงที่ถูกย้อมเป็นสีขาวพุ่งไปถูกร่างกายของอีแร้งแก่ และทำให้ร่างกายของอีแร้งแก่สั่นรัวราวกับว่ามันถูกไฟฟ้าช็อต อีแร้งแก่จำใจต้องปล่อยอสูรไร้ดวงตาและบินหนีเข้าไปในความมืด

 

 

 


ตอนที่ 2955 สเปชชาร์ม

 

 


ขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงดังมาจากในความมืด เห็นได้ชัดว่าสเปชชาร์มถูกดึงดูดมาที่นี่โดยการต่อสู้ แต่สเปชชาร์มนั้นหวาดกลัวแสงสว่างจากตะเกียงหิน ดังนั้นพวกมันจึงไม่กล้าเข้ามาใกล้


 


เป่าเอ๋อส่องแสงของกระจกไนน์สปินเดสทินี้ไปใส่อีแร้งแก่ ดูเหมือนมันจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่ไม่รู้ว่าทำไมหลังจากที่ถูกแสงของกระจกไนน์สปินเดสทินี้เข้าไป อีแร้งแก่ก็ไม่กล้าจะเข้ามาใกล้อีก


 


มันกลายเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทันใดนั้นปีศาจสาวก็ตะโกนขึ้นมา “ไร้ตา กลิ้งไปทางตรงกันข้ามกับปราสาทศักดิ์สิทธิ์!”


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น อสูรยักษ์ไร้ดวงตาก็เปลี่ยนทิศทางและเริ่มกลิ้งไปอีกด้านหนึ่ง ปีศาจสาวรู้ว่าเป้าหมายของหานเซิ่นก็คือปราสาทศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการบอกให้อสูรไร้ดวงตากลิ้งไปในทางตรงกันข้าม นอกซะจากหานเซิ่นจะยอมล้มเลิกความคิดจะไปที่ปราสาทศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไม่สามารถใช้อสูรยักษ์ไร้ดวงตาเป็นที่กำบังได้


 


โดยที่ไม่ลังเลหานเซิ่นเลิกตามติดอสูรยักษ์ไร้ดวงตาและมุ่งหน้าไปทางปราสาทศักดิ์สิทธิ์


 


“ตอนนี้มาดูกันสิว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้อีก” ปีศาจสาวไล่ตามหานเซิ่นไป พร้อมกับถือปิ่นปักผมหยกเอาไว้เหมือนกับว่าพวกมันเป็นส้อม ปิ่นปักผมหยกเริ่มจะสั่นไหว แต่พวกมันไม่ได้สร้างเสียงขึ้นมา


 


“มาดูกันสิว่าเจ้าจะหนีจากสนามพลังของข้าได้ไหม” อาเหมยพูดขณะที่นำปิ่นปักผมหยกมาประกบกันเป็นรูปกากบาท หลังจากนั้นพวกมันก็เริ่มบินออกมาจากมือของอาเหมยและลอยตัวอยู่ในอากาศ


 


มันเหมือนกับว่ามิติอวกาศภายใต้ปิ่นปักผมหยกนั้นถูกพลิกผัน มีเงามากมายเคลื่อนที่ออกมาจากปิ่นปักผมหยก ซึ่งพวกมันก็คือสเปชชาร์ม


 


เดิมทีสเปชชาร์มนั้นหวาดกลัวแสงไฟจากตะเกียงหิน แต่ตอนนี้สเปชชาร์มที่ออกมาจากปิ่นปักผมหยกนั้นดูเหมือนจะไร้ซึ่งความหวาดกลัวต่อแสงไฟของตะเกียงหิน พวกมันเป็นเหมือนกับแฟรี่ที่บินเข้ามาล้อมหานเซิ่นเอาไว้


 


สเปชชาร์มที่เข้ามานั้นมีสีขาว พวกมันดูแตกต่างสเปชชาร์มสีฟ้าที่หานเซิ่นเคยเห็นในความมืด แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าพวกมันมีความแตกต่างกันยังไง


 


หานเซิ่นใช้โล่เมดูซ่าส์เกซเพื่อส่องแสงไปใส่สเปชชาร์ม แต่มันไม่ได้ผล แสงจากโล่นั้นทะลุผ่านร่างกายของพวกมันไปโดยที่ไม่ได้ทำให้ร่างกายของพวกมันถูกแช่แข็ง


 


หานเซิ่นลองใช้วิชาจีโนหลายวิชาติดต่อกัน แต่ไม่มีวิชาไหนที่ได้ผลกับสเปชชาร์มเช่นกัน แม้แต่อาณาเขตกาลเวลาของเขาก็ไม่สามารถหยุดพวกมันได้


 


เป่าเอ๋อกำลังถือกระจกไนน์สปินเดสทินี้และส่องแสงของมันไปใส่พวกสเปชชาร์ม ซึ่งพวกสเปชชาร์มนั้นหลบแสงของกระจกอย่างน่าประหลาด ดูเหมือนกับว่าเหล่าสเปชชาร์มนั้นหวาดกลัวแสงจากกระจกไนน์สปินเดสทินี้


 


แต่ทว่ากระจกไนน์สปินเดสทินี้ส่องแสงออกไปได้แค่ทิศทางเดียวเท่านั้น มันมีสเปชชาร์มเข้ามาหาพวกเขาจากทุกด้าน ในตอนที่เป่าเอ๋อใช้กระจกไนน์สปินเดสทินี้ในทิศทางหนึ่ง สเปชชาร์มจากทางอื่นก็จะเข้ามาหาพวกเขา


 


สเปชชาร์มดูน่าดึงดูด พวกมันเป็นเหมือนกับแฟรี่ที่กำลังบินไปบินมา พวกมันมีรอยยิ้มที่ทำให้หานเซิ่นอยากจะเข้าไปกอดพวกมัน


 


แต่หานเซิ่นรู้ว่าสเปชชาร์มดูน่าดึงดูดแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น เพราะยังไงซะพวกมันก็ดูเหมือนกับแฟรี่ เขารู้ว่าถ้าเข้าไปใกล้พวกมัน พวกมันก็จะกลายเป็นอสูรร้ายที่จะกลืนกินเขาเข้าไป


 


ไนน์เทาซันด์คิงนั้นเป็นขั้นทรูก็อตระดับท็อป และเขาก็มีชุดเกราะที่เป็นอาวุธประจำตัวพระเจ้าอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหวาดกลัวสเปชชาร์มและไม่กล้าจะเข้าไปใกล้พวกมัน แค่ความจริงในเรื่องนั้นก็บ่งบอกถึงความน่ากลัวของพวกมัน


 


ตอนนี้มันมีสเปชชาร์มเป็นสิบๆตัวที่เข้ามาล้อมพวกเขาจากทุกทิศทาง เมื่อดูจากตำแหน่งของตัวเองแล้ว หานเซิ่นก็รู้ว่ามันไม่มีหนทางให้เขาหนีไปไหนแล้ว


 


นอกจากนั้นมันยังมีสเปชชาร์มออกมาจากปิ่นปักผมอีกเรื่อยๆ เขาไม่รู้จริงๆแล้วสเปชชาร์มพวกนี้มาจากที่ไหนกันแน่


 


“ผู้หญิงบ้ากาม ถึงเจ้าจะไม่ได้ใช้พลังนี้ซะนาน แต่มันก็ยังคงน่ากลัวเหมือนเดิม” อีแร้งแก่พูดกับปีศาจสาว


“แต่เจ้าทำเกินไปแล้ว หลังจากที่สนามพลังของเจ้าสิ้นสุดลง สเปชชาร์มพวกนี้ก็คงจะยังอยู่ในความมืดและสร้างปัญหาให้กับพวกเรา”


 


“ในตอนนี้ข้าไม่มีเวลามาสนใจเรื่องแบบนั้น” ปีศาจสาวพูด


“ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องจัดการเขาให้ได้ พวกเราจะปล่อยให้เขาเอาสปิริตศักดิ์สิทธิ์ไปไม่ได้”


 


อสูรยักษ์ไร้ดวงตากลิ้งเข้ามาและพูด “ด้วยสนามพลังของเจ้า แม้แต่เทพสปิริตก็หนีไปไม่ได้ เด็กคนนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง”


 


ปีศาจสาวพูด “ถ้ามันไม่มีกระจกไนน์สปินเดสทินี้ที่หยุดยั้งเหล่าสเปชชาร์มได้ล่ะก็ เขาก็คงจะตกมาอยู่ในมือของข้าเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่มีทางที่เขาจะหนีจากสเปชชาร์มด้วยกระจกไนน์สปินเดสทินี้ได้”


 


ทุกอย่างเป็นไปตามการคาดการณ์ของปีศาจสาว เป่าเอ๋อพยายามใช้กระจกไนน์สปินเดสทินี้เพื่อทำให้สเปชชาร์มหลายตัวต้องถอยออกไป แต่เธอไม่สามารถทำลายพวกมันได้โดยสมบูรณ์ เธอไม่สามารถหยุดสเปชชาร์มทั้งหมดได้


 


สุดท้ายสเปชชาร์มตัวหนึ่งก็เล็ดลอดมาจนถึงตรงหน้าหานเซิ่น หลังจากนั้นใบหน้าที่งดงามของมันก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่น่ากลัว มันกำลังจะกัดขาของหานเซิ่น


 


หานเซิ่นรีบใช้แส้เหล็กเทพเสน่หาฟาดใส่หัวของสเปชชาร์ม แต่แส้เหล็กนั้นเคลื่อนที่ทะลุผ่านหัวของมันไป


 


หานเซิ่นรีบเทเลพอร์ตถอยออกไป แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ฟันของสเปชชาร์มยังคงกัดถูกขาของหานเซิ่น เขารู้สึกเจ็บปวดไปถึงกระดูก มันเหมือนกับว่ากระดูกของเขาถูกตัดออกไป ในตอนที่หานเซิ่นก้มหัวดู เขาไม่เห็นเลือดหรือบาดแผลอยู่บนขาของเขา


 


ทันใดนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่าเสื้อคลุมสีฟ้าได้ช่วยป้องกันฟันของสเปชชาร์มให้กับเขา แต่ถึงฟันของสเปชชาร์มจะถูกป้องกัน แต่พลังของมันก็ยังคงอยู่ พลังนั้นเข้ามาถูกขาของเขาและเกือบจะทำให้กระดูกของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ


 


หานเซิ่นคิด ‘โชคดีที่เสื้อคลุมนี้ป้องกันฟันของสเปชชาร์มได้ พวกมันไม่ได้ฝังเข้ามา ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะกัดขาของเราขาดไปแล้ว’


 


สเปชชาร์มยังคงโผล่ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นพยายามเทเลพอร์ตหนี ขณะที่เป่าเอ๋อใช้กระจกไนน์สปินเดสตินี้ส่องแสงใส่เหล่าสเปชชาร์ม พวกเขายังคงเอาชีวิตรอดได้ แต่สถานการณ์ของพวกเขากำลังเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ


 


“เสื้อคลุมนั้นป้องกันการกัดของสเปชชาร์มได้ ดูเหมือนมันจะเป็นสมบัติที่ดีมากๆ นี่เขาออกมาจากก็อตแซงชัวรี่ได้กี่ปีกันเชียว? ทำไมเขาถึงได้มีสมบัติระดับท็อปมากมายขนาดนี้?”


อีแร้งแก่เห็นว่าหานเซิ่นไม่ได้รับบาดเจ็บจากการกัดของสเปชชาร์ม เขาจึงรู้ว่ามันมีบางสิ่งผิดปกติ


 


ปีศาจสาวพูดขึ้นว่า “เขาไม่ธรรมดาจริงๆ แต่เขาไม่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ เขาใช้อาวุธสปิริตศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเทียบกับนายน้อยแล้ว เขาก็เป็นเหมือนกับสินค้าที่เสร็จครึ่งเดียว”


 


“ใช่แล้ว มีแค่นายน้อยเท่านั้นที่จะทำให้ชื่อเสียงของเซเคร็ดกลับคืนมาอีกครั้ง” อสูรยักษ์ไร้ดวงตาพยักหน้าเห็นด้วย


 


ในตอนนี้สนามพลังของปีศาจสาวนั้นเรียกสเปชชาร์มออกมาถึงสามสิบตัว หานเซิ่นและเป่าเอ๋อกำลังเหนื่อยล้าที่ต้องรับมือกับพวกมัน พวกเขาคงจะทนได้อีกไม่นาน หานเซิ่นถูกกัดไปหลายครั้ง ถึงเสื้อคลุมจะช่วยปกป้องเขา และทำให้ร่างกายของเขาไม่เป็นอะไร แต่เขาก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี


 


หานเซิ่นต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นแว่นกัดแดดที่เป่าเอ๋อกำลังสวมใส่อยู่ก็มีแสงกระพริบขึ้นมา หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนร่างเป็นสเปชชาร์ม

 

 

 


ตอนที่ 2956 เข้าไปในปราสาทศักดิ์สิทธิ์

 

 


หานเซิ่นรับตะเกียงหินและกระจกไนน์สปินเดสทินี้ที่เป่าเอ๋อปล่อยทิ้งไป เธอได้เปลี่ยนร่างกลายเป็นสเปชชาร์มเรียบร้อยแล้ว


 


เมื่อไม่มีพลังของกระจกไนน์สปินเดสทินี้ กลุ่มของสเปชชาร์มก็ถาโถมเข้ามาราวกับคลื่น


 


แต่ในจังหวะต่อมาเป่าเอ๋อที่กลายเป็นสเปชชาร์มก็ส่งเสียงร้องออกมา ในตอนที่เสียงร้องนั้นแพร่กระจายออกไป สเปชชาร์มที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาหานเซิ่นก็หยุดชะงักไป พวกมันหันไปมองเป่าเอ๋อที่กลายเป็นสเปชชาร์มด้วยความสับสน


 


เป่าเอ๋อยังคงส่งเสียงร้องไห้ออกมาอีก หลังจากที่ส่งเสียงร้องไปได้สักพัก เธอก็หันมาพูดกับหานเซิ่น “พ่อ ปิดไฟ”


 


หานเซิ่นแปลกใจ แต่เขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเธอหมายถึงอะไร เขาเก็บตะเกียงหินไปและปล่อยให้ความมืดเข้าปกคลุม ตอนนี้มีเพียงแค่ปิ่นปักผมของปีศาจสาวที่ยังคงปลดปล่อยแสงประหลาดออกมา


 


Sob! Sob!


เป่าเอ๋อร้องไห้อีกครั้ง เสียงร้องไห้นั้นแพร่กระจายออกไปในความมืดมิด ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นจากทุกหนทุกแห่งในความมืด สเปชชาร์มมากมายที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเริ่มบินเข้ามาในตำแหน่งของพวกเขา


 


อีแร้งแก่และอสูรยักษ์ไร้ดวงตาอึ้งไป พวกเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ปีศาจสาวเองก็ดูสับสนเช่นกัน เธอไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่สามารถเปลี่ยนเป็นสเปชชาร์มได้


 


ทันใดนั้นสีหน้าของปีศาจสาวและคนอื่นๆก็เปลี่ยนไป สเปชชาร์มสีขาวของปีศาจสาวและสเปชชาร์มสีฟ้าที่ออกมาจากความมืดนั้นกำลังส่งเสียงร้องไห้ร่วมกัน หลังจากนั้นพวกมันก็บินมาทางพวกเขา


 


พลังของปีศาจสาวนั้นให้กำเนิดสเปชชาร์มขึ้นมากว่าสามสิบตัว แต่กลุ่มของสเปชชาร์มที่กำลังเข้ามาหาพวกเขานั้นมีมากยิ่งกว่านั้น มันทำให้แม้แต่อีแร้งแก่ก็เริ่มมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดี


 


“นี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ยัยผู้หญิงบ้ากาม ทำไมสเปชชาร์มของเจ้าถึงได้ก่อกบฏ?” อสูรยักษ์ไร้ดวงตาตะโกนถามขึ้นมา เมื่อเห็นสเปชชาร์มกำลังตรงเข้ามาหามัน


 


สีหน้าของปีศาจสาวดูย่ำแย่ เธอได้พยายามใช้พลังอย่างเต็มที่แล้ว แต่เธอก็ไม่สามารถควบคุมสเปชชาร์มได้อีกต่อไป


 


เป่าเอ๋อส่งเสียงร้องต่อไป และเสียงร้องไห้ของเธอก็ดึงดูดสเปชชาร์มมามากขึ้นเรื่อยๆ สเปชชาร์มจำนวนมากบินตรงเข้าไปหาพวกปีศาจสาวและเริ่มทำการโจมตีพวกเขา


 


“พ่อ! พวกเรารีบไปกันเถอะ” ขณะที่พวกปีศาจสาวกำลังต่อสู้กับสเปชชาร์ม เป่าเอ๋อที่ยังคงเป็นสเปชชาร์มก็ดึงมือของหานเซิ่นไปทางปราสาทศักดิ์สิทธิ์ เธอบินไปพร้อมกับส่งเสียงร้องไปด้วย มันทำให้สเปชชาร์มบินเข้าไปหาปีศาจสาวกับคนอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ


 


“หยุดพวกเขาเอาไว้!” ปีศาจสาวทั้งตกใจและโกรธ เธอต้องการจะเข้าไปหยุดพวกเขาเอาไว้ แต่สเปชชาร์มจำนวนมากกำลังขวางทางเธออยู่ เธอไม่สามารถตามพวกหานเซิ่นไปได้


 


อีแร้งแก่นั้นรวดเร็วที่สุด แต่สเปชชาร์มก็ได้ล้อมมันเอาไว้เช่นเดียวกัน หลังจากที่มันต้องพยายามกำจัดเหล่าสเปชชาร์มที่มาขวางทาง มันก็ไม่สามารถไล่ตามพวกหานเซิ่นทันอีกแล้ว


 


ปีศาจสาว อีแร้งแก่และอสูรไร้ดวงตาพยายามไล่ตามพวกหานเซิ่นไปจากด้านหลัง แต่หานเซิ่นและเป่าเอ๋อกำลังวิ่งอย่างรวดเร็ว ขณะที่เป่าเอ๋อกำลังส่งเสียงร้องไห้ ซึ่งทำให้สเปชชาร์มพากันบินเข้าไปหาปีศาจสาวและคนอื่น มันหยุดพวกเขาจากการไล่ตามพ่อและลูกสาว ทำให้พวกเขาไม่สามารถไล่ตามสองพ่อลูกได้ทัน


 


โดยปกติแล้วถ้าไม่มีแสงสว่างจากตะเกียงหิน หานเซิ่นก็พบว่ามันยากที่จะป้องกันพลังของความมืดได้ แต่เนื่องจากเป่าเอ๋อมีพลังของสเปชชาร์ม พลังของความมืดจึงไม่สามารถทำร้ายอะไรหานเซิ่น


 


สเปชชาร์มสามารถเต้นระบำในความมืดได้อย่างสนุกสนาน แต่ปีศาจสาวและคนอื่นๆได้รับผลกระทบจากพลังของความมืด ทำให้มันเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดิมที่พวกเขาจะไล่ตามหานเซิ่นให้ทัน


 


เป่าเอ๋อดึงแขนของหานเซิ่นมุ่งหน้าผ่านความมืดไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังจากพวกเขาก็เห็นแสงสว่างสลัวๆในความมืดมิด มันเป็นแสงจากตะเกียง


 


“ที่นี่ควรจะเป็นปราสาทศักดิ์สิทธิ์ เสี่ยวฮวาจะอยู่ในนี้ไหมนะ”


หานเซิ่นไม่ได้เชื่อเรื่องที่ปีศาจสาวและคนอื่นๆบอก เขาจะเชื่อเสี่ยวฮวาไม่อยู่ที่นี่ก็ต่อเมื่อเขาเห็นมันด้วยตาตัวเอง


 


“พ่อไม่ต้องกังวลไป พวกเราจะได้พบกับเสี่ยวฮวาน้องชาย” เป่าเอ๋อพูด ขณะที่เธอยังคงดึงมือของหานเซิ่นไปข้างหน้า


 


เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้แสงสว่าง ในมุมหนึ่งของโลกอันมืดมืด หานเซิ่นก็เห็นปราสาทที่ดูเหมือนกับวิหารของเทพเจ้าสมัยโบราณ และลานกว้างขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหน้า


 


บนลานกว้างนั้นมีตะเกียงอยู่ทั่งสี่มุม แต่แค่เพียงพอที่จะทำให้ลานกว้างสว่างขึ้นมา


 


หานเซิ่นเคยเห็นที่แห่งนี้มาก่อนจากในวีดีโอที่แมวเก้าชีวิตส่งมาให้กับเขา เสี่ยวฮวาเคยใช้เวลาฝึกฝนวิชาจีโนอยู่ในลานกว้างนี้


 


“ที่นี่แหละ! ที่นี่คือสถานที่ในวิดีโอ! เสี่ยวฮวา…” หานเซิ่นตะโกนชื่อลูกชายของเขาออกไป แต่เขาไม่ได้รับเสียงตอบกลับ


 


เป่าเอ๋อพาหานเซิ่นไปที่ลานกว้าง ขณะที่เธอยังคงเป็นสเปชชาร์ม ในตอนที่ร่างกายของเธอสัมผัสกับแสงสว่าง ร่างกายของเธอก็สร้างควันสีขาวขึ้นมา มันเหมือนกับว่าเธอกำลังระเหย


 


เป่าเอ๋อรีบกลับสู่ร่างเดิมของเธอและผลกระทบนั้นก็หายไป


 


“เสี่ยวฮวา… น้องเสี่ยวฮวา…” หานเซิ่นและเป่าเอ๋อบินตรงไปที่ปราสาทขณะที่ตะโกนเรียกชื่อของเสี่ยวฮวา แต่สถานที่แห่งนี้นั้นเงียบสนิท มันไม่มีแม้แต่เสียงสะท้อนของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงของตัวเอง


 


หานเซิ่นไม่ได้สนใจอะไรปราสาทมากนัก มันจะถือเป็นเรื่องดีถ้าเสี่ยวฮวาอยู่ข้างในนั้น แต่ถ้าไม่อยู่ มันก็ไม่เป็นอะไร หานเซิ่นคิดจะพังปราสาทเฮงซวยนี่เพื่อที่เซเคร็ดจะได้ไม่มีวันถูกสร้างขึ้นมาใหม่


 


“หยุดเดี๋ยวนี้! ใครก็ตามที่เข้าไปในปราสาทศักดิ์สิทธิ์จะต้องตาย!”


อีแร้งแก่ อสูรยักษ์ไร้ดวงตาและปีศาจสาวตะโกน แต่พวกเขายังคงถูกขวางเอาไว้โดยสเปชชาร์ม พวกเขาไม่สามารถไล่ตามพวกหานเซิ่นได้ทัน


 


หานเซิ่นและเป่าเอ๋อไปถึงประตูหน้าของปราสาทศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว มันเป็นประตูหินที่ดูเก่าแก่มากๆ มันเหมือนกับว่าทุกฝุ่นผงบนประตูนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน


 


แต่หานเซิ่นกับเป่าเอ๋อไม่ได้สนใจอะไรมันมาก พวกเขาบินตรงเข้าไปและใช้เท้าเหยียบลงบนประตู


 


มีเสียงบูมดังขึ้นมา ประตูหินทั้งซ้ายและขวาถูกถีบเปิดออกโดยพ่อและลูกสาว เมื่อประตูถูกถีบเปิดออกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างข้างในปราสาทก็เผยออกมาให้เห็น


 


“พวกเจ้า… พวกเจ้าสมควรตาย…” อีแร้งแก่โกรธจนตัวสั่น ในดวงตาของมันเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่มันยังคงอยู่ห่างจากปราสาทศักดิ์สิทธิ์ไปพอสมควร ถึงมันจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่มันก็ช้าเกินกว่าที่จะหยุดหานเซิ่นกับเป่าเอ๋อได้


 


หานเซิ่นเข้าไปในปราสาทขนาดใหญ่และสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ


 


สิ่งแรกที่เขาเห็นคือรูปปั้นหิน มันมีรูปปั้นตั้งอยู่บนแท่นหินที่อยู่ท้ายห้องโถง รูปปั้นนั่นดูเหมือนกับราชาที่สามารถปกครองทั้งโลกได้


 


หานเซิ่นรู้ว่านั่นคือรูปปั้นของฉินซิวที่เป็นผู้นำเซเคร็ด


 


มันเป็นเพียงแค่รูปปั้น แต่มันก็ยังคงมีออร่าที่ดูสูงส่ง ถ้าสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจอ่อนแอมามองดูรูปปั้น พวกมันก็คงจะต้องคุกเข่าลงไปกับพื้น


 


ด้านข้างของรูปปั้นฉินซิวมีรูปปั้นอยู่อีกข้างละสองรูป รูปปั้นข้างซ้ายนั้นเป็นรูปปั้นของฟินิกซ์และกิเลนศักดิ์สิทธิ์ รูปปั้นข้างขวานั้นเป็นรูปปั้นของโกสต์คาร์และแมวเก้าชีวิต พวกมันคือสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเซเคร็ด


 


และลงมาหน่อยจะเห็นรูปปั้นของขุนพลทั้งสิบของเซเคร็ด มันมีทั้งเพอเพิลไฟต์ โกสต์โบนและผีเสื้อเนตรม่วง แต่ละรูปนั้นต่างก็มีเอกลักษณ์และมีออร่าของตัวเอง มันเหมือนกับว่ารูปปั้นนั้นมีชีวิตขึ้นมา


 


Boom!


ในจังหวะที่พ่อและลูกสาวเข้าไปใกล้รูปปั้นหิน ห้องโถงที่เดิมมืดสนิทก็สว่างไสวขึ้นมาด้วยแสงสว่างของตะเกียงที่เรียงแถวกันอยู่ ขณะเดียวกันรูปปั้นของหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของหานเซิ่นก็เริ่มร้อนขึ้นมา มันเหมือนกับว่ารูปปั้นจะกระโดดออกไปจากอกของเขา

 

 

 


ตอนที่ 2957 แอสทรอลอินสทรูเมนท์

 

รูปปั้นหยกของหว่านเอ๋อร์นั้นถูกสร้างขึ้นมาจากเขาของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ และมันก็มีดวงวิญญาณของฉินซิวอยู่ภายใน ในตอนที่วิญญาณของฉินซิวจางหายไป รูปปั้นหยกก็ย่อขนาดเล็กลงจนพอมาอยู่ในมือของหานเซิ่น ฉินซิวบอกให้หานเซิ่นนำรูปปั้นไปที่ปราสาทศักดิ์สิทธิ์


 


หานเซิ่นสงสัยมาโดยตลอดว่าฉินซิวต้องการให้เขาเอารูปปั้นหยกมาที่นี่เพราะอะไร ในตอนที่รูปปั้นหยกต้องการจะบินออกไปจากอกของเขา หานเซิ่นก็รู้ว่ามันมีบางสิ่งไม่ปกติ


 


หานเซิ่นอยากจะเอารูปปั้นหยกออกมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่อีแร้งแก่นั้นมาถึงปราสาทศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว มันมาพร้อมกับควันสีดำ ขณะที่มันพุ่งเข้าไปหาหานเซิ่นเหมือนกับสายลม


 


หานเซิ่นเทเลพอร์ตไปหลบด้านหลังรูปปั้นของฉินซิว อีแร้งแก่โมโหอย่างมาก แต่มันต้องยับยั้งพลังของตัวเองเอาไว้ มันไม่ต้องการจะสร้างความเสียหายกับรูปปั้นของฉินซิว


 


“ออกมาจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้!” อีแร้งแก่ตะโกนอย่างเกรี้ยวโกรธ ขนนกสีดำของมันบินออกไปเหมือนกับลูกธนูและตรงเข้าไปหาหานเซิ่น


 


หานเซิ่นไม่ได้ตอบกลับ เขาเคลื่อนที่ไปรอบๆรูปปั้นเพื่อหลบการโจมตี แต่ขนนกสีดำนั้นเหมือนกับมีชีวิต มันสามารถเปลี่ยนทิศทางการบินได้อย่างอิสระและไล่ตามหานเซิ่นไปเรื่อยๆ มันบินโค้งรอบรูปปั้นอย่างสมบูรณ์แบบ


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่เคยเห็นมาก่อนว่าฉินซิวมีหน้าตาเป็นยังไง แต่ออร่าที่รูปปั้นปลดปล่อยออกมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางที่เขาจะลืมไปได้ ออร่าพิเศษนั้นเหมือนกับวิญญาณของฉินซิว มันไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะลอกเลียนแบบได้


 


แต่หานเซิ่นยังคงรู้สึกแปลกๆ เนื่องจากในตำนานกล่าวว่าผู้นำเซเคร็ดนั้นสวมใส่ชุดเกราะและไม่มีใครเห็นใบหน้าของเขา แต่รูปปั้นหินนี้สวมใส่เสื้อผ้าและใบหน้าก็เผยออกมาให้เห็น


 


หานเซิ่นเทเลพอร์ตไปมารอบๆรูปปั้น ด้วยการที่อีแร้งแก่ไม่ต้องการจะสร้างความเสียหายกับรูปปั้น มันจึงระมัดระวังอย่างมาก ซึ่งทำให้มันไม่สามารถทำอะไรหานเซิ่นได้


 


“อย่าได้สร้างความเสียหายกับรูปปั้น!” ปีศาจสาวบินเข้ามาในปราสาทพร้อมกับอสูรยักษ์ไร้ดวงตา


 


“แน่นอนว่าข้าจะไม่ทำแบบนั้น!” อีแร้งแก่ตะโกนด้วยโทนเสียงรำคาญ


 


ถ้าไม่ใช่เพราะรูปปั้น อีแร้งแก่ก็คงจะกดหานเซิ่นลงกับพื้นและไม่ปล่อยให้เขาเทเลพอร์ตไปมาแบบนี้ ซึ่งทำให้มันรู้สึกโมโห


 


ปีศาจสาวและอสูรไร้ดวงตามาเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย แต่หานเซิ่นถนัดเรื่องการต่อสู้กับศัตรูเป็นกลุ่ม แถมเขายังมีรูปปั้นที่สามารถใช้เป็นที่กำบังได้ ดังนั้นถึงปีศาจสาวและคนอื่นจะแข็งแกร่ง พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับหานเซิ่นได้ มันทำให้พวกเขารู้สึกหดหู่อย่างมาก


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกปราสาท “ข้ามีหนทางจะช่วยพวกเจ้าจับตัวหานเซิ่น พวกเจ้าสนใจไหม?”


 


พวกปีศาจสาวหันไปมองและเห็นว่าคนที่พูดขึ้นมาก็คือราชครูกู่เยวียนของเอ็กซ์ตรีมคิง หลังจากที่หนีไปนั้นราชครูกู่เยวียนไม่ได้ออกไปจากที่นี่ ราชครูกู่เยวียนนั้นสะกดรอยตามพวกเขาจนมาถึงปราสาทศักดิ์สิทธิ์


 


ราชครูกู่เยวียนไม่ได้เข้ามาในปราสาท เขาแค่ยืนอยู่ข้างนอก


 


ก่อนที่ปีศาจสาวจะได้พูดอะไร ราชครูกู่เยวียนก็พูดขึ้นมาก่อน


“ข้ามีสมบัติที่จะช่วยแก้ปัญหาในตอนนี้ของพวกเจ้า แต่ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง นั่นฟังดูเป็นยังไง?”


 


“เจ้าต้องการจีโนฟลูอิดร่างกายศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?” ปีศาจสาวพูดขณะที่มองไปที่ราชครูกู่เยวียน


 


ราชครูกู่เยวียนพูดอย่างจริงจัง “เจ้าคงจะรู้สินะว่าร่างกายแห่งราชันของเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงนั้นเป็นแค่ตัวทดลองในการทำจีโนฟลูอิดร่างกายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา และมันเป็นตัวทดลองที่ล้มเหลว สำหรับข้าแล้ว การทำให้ร่างกายแห่งราชันสมบูรณ์แบบคือความปรารถนาเดียวของข้า”


 


“น่าเสียดายที่ข้าต้องทำให้เจ้าผิดหวัง” ปีศาจสาวพูด


“จีโนฟลูอิดร่างกายศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เคยถูกผลิตขึ้นมา ในตอนที่เซเคร็ดถูกทำลาย จีโนฟลูอิดร่างกายศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงไม่เสร็จสมบูรณ์”


 


“ข้าไม่ได้คาดหวังที่จะได้รับจีโนฟลูอิดร่างกายศักดิ์สิทธิ์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว” ราชครูกู่เยวียนพูด


“ข้าแค่หวังจะได้รับข้อมูลของจีโนฟลูอิดร่างกายศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้นำเซเคร็ดเคยทำการทดลอง เพื่อที่เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงจะได้นำไปพัฒนาต่อ พวกเจ้าคงจะให้กับข้าได้สินะ”


 


“ถ้าเจ้าช่วยพวกเราจัดการหานเซิ่น ข้าจะมอบข้อมูลเกี่ยวกับจีโนฟลูอิดร่างกายศักดิ์สิทธิ์ให้กับเจ้า” ปีศาจสาวพูด


“แต่อย่าได้คาดหวังกับมันมาก หลังจากการต่อสู้นั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายไป มันจึงเหลือข้อมูลแค่บางส่วนเท่านั้น”


 


“ขอบคุณพวกเจ้าที่ยอมตกลงในเรื่องนี้” ราชครูกู่เยวียนพูดพร้อมกับโค้งคำนับ


 


“เจ้าจะช่วยพวกเราจับตัวเขาได้ยังไง?” อีแร้งตะโกนถามขึ้นมาขณะที่พยายามไล่จับหานเซิ่น


 


ราชครูกู่เยวียนเอาของบางอย่างออกมาจากในเสื้อ เขาโยนมันให้กับปีศาจสาวและพูด


“ด้วยสมบัติชิ้นนี้ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะฆ่าหรือจับตัวเขาได้อย่างง่ายดาย”


 


ปีศาจสาวรับสิ่งนั้นมาและสังเกตเห็นว่ามันคือลูกบอลที่ดูเหมือนกับโมเดลของดาวเคราะห์


 


ปีศาจสาวจดจำได้ในทันทีว่ามันคืออะไร “แอสทรอลอินสทรูเมนท์ นี่ทาสรับใช้คนนั้นขโมยมันไปจากห้องทดลองอย่างนั้นหรอ?”


 


สีหน้าของราชครูกู่เยวียนไม่เปลี่ยนแปลง เขาพูดขึ้นว่า


“เมื่อก่อนในตอนที่เซเคร็ดล่มสลาย บรรพบุรุษของพวกเราต้องการจะเก็บรักษาพลังของผู้นำเซเคร็ดจากการถูกทำลายโดยสมบูรณ์ เขาหวังว่าวันหนึ่งจะได้รับใช้เซเคร็ดอีกครั้ง เมื่อเซเคร็ดถูกสร้างขึ้นมาใหม่”


 


ถึงแม้ปีศาจสาวจะรู้ว่าราชครูกู่เยวียนพูดจาไร้สาระ แต่เธอไม่มีอารมณ์จะมาโต้เถียงกับเขา เธอแค่พูดขึ้นว่า “ถ้าสิ่งนี้จับตัวหานเซิ่นได้ ข้ารับประกันได้เลยว่าเจ้าจะได้รับสิ่งที่เจ้าต้องการ”


 


“ขอบคุณพวกเจ้าอย่างมาก” ราชครูกู่เยวียนโค้งคำนับอีกครั้ง


 


หานเซิ่นรู้อยู่แล้วว่าราชครูกู่เยวียนเป็นบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจ เขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยที่ราชครูกู่เยวียนทรยศเขา แต่เขาไม่รู้ว่าแอสทรอลอินสทรูเมนท์คืออะไร และมันมีพลังแบบไหนกันแน่


 


ปีศาจสาวถือแอสทรอลอินสทรูเมนท์เอาไว้และมองดูมันเรืองแสงเหมือนกับดวงดาว มันกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว


 


แอสทรอลอินสทรูเมนท์เป็นเหมือนกับแสงไฟที่หมุนไปมาในผับ มันส่องแสงไปทั่วทั้งปราสาทศักดิ์สิทธิ์ มันทำให้เซิ่นรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบๆตัวเขากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน


 


เขากำลังอยู่ในปราสาทศักดิ์สิทธิ์ แต่ด้วยเห็นบางอย่าง เขาไปปรากฏตัวอยู่ในอากาศ ทุกสิ่งทุกอย่างในปราสาทศักดิ์สิทธิ์นั้นหายไป


 


ทันใดนั้นหานเซิ่นก็เข้าใจว่าแอสทรอลอินสทรูเมนท์คือสมบัติธาตุอวกาศ มันสามารถดึงสิ่งมีชีวิตมาสู่อวกาศได้ นอกซะจากเขาจะทำลายแอสทรอลอินสทรูเมนท์ในมือของอาเหมยได้ เขาก็จะถูกขังอยู่ในอวกาศนั้นตลอดไป


 


“เด็กน้อย ทีนี้เจ้าจะหนีไปที่ไหนอีกล่ะ?” อีแร้งแก่เย้ยหยันหานเซิ่น ก่อนหน้านี้ในปราสาท มันกลัวว่าพลังของมันจะไปสร้างความเสียหายให้กับรูปปั้น ตอนนี้เมื่อมาอยู่ในอวกาศ มันก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป มันสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้อย่างเต็มที่


 


เมื่อเห็นควันสีดำที่เหมือนกับเมฆดำบนท้องฟ้ากำลังเคลื่อนที่เข้ามาหา หานเซิ่นก็ไม่ได้หนีไปไหน เขาเอาขวดไวน์ออกมาและดื่มมันจนหมดในครั้งเดียว


 


“ถ้าพวกเจ้าต้องการจะต่อสู้ อย่างนั้นพวกเราก็มาสู้กัน!” ออร่าของหานเซิ่นเป็นเหมือนกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุ มันปกคลุมทั้งอวกาศ


 


ในหัวของหานเซิ่นมีเสียงประกาศดังขึ้นมา “ยีนระดับเทพเจ้า+1… ยีนระดับเทพเจ้าเต็มหนึ่งร้อยยีน… ร่างกายต่อสู้เริ่มการวิวัฒนาการ…”

 

 

 


ตอนที่ 2958 วิวัฒนาการไปสู่ขั้นทรูก็อต

 

 


ถึงแม้หานเซิ่นจะมีโอกาสเพิ่มระดับขึ้นในสวนศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาไม่อยากให้คนอื่นเห็นโหมดซีโน่เจเนอิคของเขา ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเลือกจะยังไม่เลื่อนไปสู่ขั้นทรูก็อต


 


หานเซิ่นกลัวว่าถ้าเขาเลื่อนระดับขึ้นโดยไม่อยู่ในโหมดซีโน่เจเนอิค มันอาจจะมีแค่ร่างต่อสู้เดียวที่เพิ่มระดับขึ้น แบบนั้นมันจะเป็นอะไรที่สิ้นเปลือง


 


ตอนนี้หานเซิ่นไม่มีทางเลือกอีกต่อไป เขาจำเป็นต้องเลื่อนไปสู่ขั้นทรูก็อตเพื่อเอาชนะศัตรู แต่เขาเลือกจะไม่เข้าสู่โหมดซีโน่เจเนอิค เขาใช้เพียงแค่วิชากายหยกในการวิวัฒนาการ เขาต้องการจะเลื่อนระดับของวิชากายหยกไปสู่ขั้นทรูก็อตก่อนเป็นอันดับแรก


 


แต่ทันทีที่เขาเริ่มการวิวัฒนาการ ร่างกายต่อสู้ทั้งสี่ของเขาก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง


 


‘ดูเหมือนว่าถึงเราจะไม่ได้อยู่ในโหมดซีโน่เจเนอิค เราก็ยังเลื่อนระดับร่างกายต่อสู้ทั้งสี่พร้อมๆกัน’


หานเซิ่นรู้สึกดีใจ ถึงเขาจะคิดว่าการเพิ่มระดับร่างกายต่อสู้แค่ร่างเดียวจะเป็นอะไรที่สิ้นเปลือง แต่เขาไม่ต้องการจะเปิดเผยโหมดซีโน่เจเนอิคของเขา ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเลือกจะเลื่อนระดับแค่วิชากายหยก แต่ตอนนี้ร่างกายต่อสู้ทั้งสี่ของเขากำลังวิวัฒนาการพร้อมๆกัน นั่นถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ


 


เซลล์ในร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยีนของเขาก็ถูกปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ร่างกายทั้งร่างของหานเซิ่นเหมือนกับว่าได้เกิดใหม่


 


เนื่องจากทั้งร่างกายของหานเซิ่นถูกห่อหุ้มด้วยชุดเกราะมนตรา และเสื้อคลุมสีน้ำเงินก็ห่อหุ้มชุดเกราะมนตราอีกชั้นหนึ่ง ผู้คนจึงจะเห็นแค่หัว ใบหน้า มือและชุดเกราะมนตราของเขาเท่านั้น


 


ถึงอย่างนั้นคนอื่นๆก็เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ ลวดลายที่อยู่บนชุดเกราะมนตราสีขาวเรืองแสงขึ้นมาเหมือนกับลาวา ดูเหมือนกับว่าพวกมันกำลังละลายเข้าไปในชุดเกราะ ซึ่งทำให้ทั้งชุดเกราะสว่างขึ้นมาและกลายเป็นอะไรที่โปร่งใสเหมือนกับคริสตัล มันถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นโลหะโปร่งใสที่กำลังลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ


 


เมื่อหันมองไปควันสีดำที่ปกคลุมท้องฟ้า มันก็เหมือนกับปีศาจที่กำลังลงมาบนโลกใบนี้ หานเซิ่นกำหมัดเอาไว้แน่นและชกออกไปใส่ควันสีดำที่ปกคลุมทั้งท้องฟ้าและผืนดิน


 


ปีศาจสาวขมวดคิ้ว ควันสีดำของอีแร้งแก่นั้นไม่ใช่แค่ทรงพลังเท่านั้น พลังของมันไม่ได้เป็นอะไรที่ตรงไปตรงมา มันมีพลังที่จะทำลายวิญญาณของศัตรู ถึงแม้ร่างกายจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่การสัมผัสกับควันสีดำก็จะนำไปสู่ความตายอยู่ดี


 


ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ไม่ได้ใช้สมบัติอะไร เขาใช้หมัดของตัวเองเพื่อต่อสู้กับควันสีดำของอีแร้งแก่ ในสายตาของปีศาจสาว สิ่งที่หานเซิ่นทำไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย


 


“จับเป็นเขา!” ปีศาจสาวตะโกนบอกอีแร้งแก่ เธอกลัวว่าอีแร้งแก่จะเผลอไปฆ่าหานเซิ่น ถ้าเป็นแบบนั้นสปิริตศักดิ์สิทธิ์ก็จะหายไปด้วย


 


แต่อีแร้งแก่ไม่ได้ฟังเสียงตะโกนของปีศาจสาว ก่อนหน้านี้มันโมโหมากที่ไม่สามารถทำอะไรหานเซิ่นได้ ตอนนี้มันจึงไม่สามารถควบคุมสติตัวเองได้อีกต่อไป มันสายเกินไปแล้วที่ปีศาจสาวจะห้ามมันเอาไว้


 


ปีศาจสาวเห็นว่าอีแร้งแก่นั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารและรู้ตัวว่ามันต้องแย่แน่ๆ ไม่เพียงแค่สปิริตศักดิ์สิทธิ์จะถูกทำลายไปพร้อมกับหานเซิ่น เมื่อเสี่ยวฮวารู้ความจริงขึ้นมา พวกเขาก็จะไม่สามารถอธิบายอะไรได้


 


ในจักรวาลนี้ถึงมันจะมีฟีนิกซ์และกิเลนตัวอื่นอยู่อีก แต่พวกเขาไม่มีทางหาซีโน่เจเนอิคที่เหมือนกับสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเซเคร็ดมาได้อีกแล้ว ถึงพลังของปีศาจสาว อีแร้งแก่และอสูรไร้ดวงตาจะไม่ได้แย่ไปกว่าสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์มาก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถมาแทนที่สี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ได้


 


มันมีเหตุผลว่าทำไมอสูรศักดิ์สิทธิ์ของเซเคร็ดถึงมีแค่สี่ตัว และมันก็ไม่ใช่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ของเซเคร็ดก็ได้ ที่สี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ถูกเรียกว่าสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็เพราะว่าเดิมทีพวกมันเป็นอาวุธขั้นสุดยอดที่ผู้นำเซเคร็ดจะใช้เพื่อฆ่าพระเจ้า


 


แต่ในบรรดาอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ มีเพียงแค่กิเลนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่กลายเป็นอาวุธสปิริตศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ ส่วนฟีนิกซ์ โกสต์คาร์และแมวเก้าชีวิตนั้นยังไม่ได้กลายเป็นสปิริตศักดิ์สิทธิ์ในตอนที่เซเคร็ดล่มสลาย


 


ตอนนี้โกสต์คาร์และฟีนิกซ์นั้นหายสาบสูญไป ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าพวกมันยังอยู่หรือตายไปแล้ว ส่วนแมวเก้าชีวิตก็คอยเฝ้าก็อตแซงชัวรี่ ดังนั้นอาวุธสปิริตศักดิ์สิทธิ์จึงเหลือแค่กิเลนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ถ้ามันถูกทำลายไป มันก็จะเป็นผลเสียอย่างมากต่อแผนการสร้างเซเคร็ดขึ้นมาใหม่ พวกเขาจะขาดอาวุธที่จำเป็นไป


 


ความคิดมากมายหลายอย่างพุดขึ้นมาในหัวของปีศาจสาว แต่เธอไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้แม้แต่อย่างเดียว เพราะควันสีดำและหมัดของหานเซิ่นปะทะกันเรียบร้อยแล้ว


 


ในจังหวะต่อมา ปีศาจสาวก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ หมัดของหานเซิ่นระเบิดควันสีดำของอีแร้งแก่เหมือนกับว่าควันสีดำนั้นเป็นแค่ควันธรรมดาๆ มันถูกทำลายอย่างง่ายดาย


 


หานเซิ่นชกควันสีดำจนเกิดเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ตรงกลาง หานเซิ่นเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างนั้นและไปปรากฏตัวตรงหน้าอีแร้งแก่


 


อีแร้งแก่ไม่ได้ตื่นตะหนก ในอดีตมันเป็นซีโน่เจเนอิคขั้นทรูก็อตที่ไร้เทียมทานในจักรวาล นอกจากผู้นำเซเคร็ดแล้วในจักรวาลนี้มันไม่เคยก้มหัวให้กับผู้ใด


 


เสียงร้องของนกสั่นสะเทือนทั้งอวกาศ อีแร้งแก่กระพือปีกและส่งกรงเล็บที่แหลมคมออกไปปะทะกับหมัดของหานเซิ่น


 


หมัดและกรงเล็บปะทะกัน กรงเล็บของอีแร้งแก่นั้นสามารถฉีกทุกอย่างในจักรวาลนี้ได้ แต่มันกลับถูกทำลายโดยหมัดของหานเซิ่น นอกจากนั้นพลังหมัดของหานเซิ่นยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันพุ่งต่อไปใส่อกของอีแร้งแก่


 


 


ปัง!


ร่างกายของอีแร้งแก่ถูกส่งกระเด็นออกไปเหมือนกับลูกปืนใหญ่ มันไปชนเข้ากับดาวดวงหนึ่งและแรงกระแทกที่เกิดขึ้นก็ทำให้ดาวดวงนั้นถูกทำลาย และมันยังคงกระเด็นต่อไปเรื่อยๆและชนเข้ากับดวงดาวอีกหลายดวง มันทำให้ดวงดาวในอวกาศระเบิดไปตามๆกัน


 


“นั่น…นั่น…นั่นเป็นไปได้ยังไง?” อสูรไร้ดวงตาตกใจอย่างมาก โชคดีที่ว่ามันไม่มีดวงตา ไม่อย่างนั้นดวงตาของมันก็คงจะหลุดออกมาจากเบ้า


 


อสูรยักษ์ไร้ดวงตารู้ดีว่าอีแร้งแก่นั้นแข็งแกร่งแค่ไหน มันไม่ได้อ่อนแอ่ไปกว่าฟีนิกซ์หรือโกสต์คาร์ที่เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์เลย มันแข็งแกร่งเท่าที่ขั้นทรูก็อตจะแข็งแกร่งได้


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะกลายเป็นขั้นทรูก็อต เขาก็เพิ่งจะกลายเป็นขั้นทรูก็อตได้แค่แป๊บเดียว พลังของเขายังไม่ควรจะเทียบชั้นกับอีแร้งแก่ได้ แต่หมัดที่เขาปล่อยออกไปไม่เพียงแต่จะทำลายกรงเล็บของอีแร้งแก่เท่านั้น มันยังส่งอีแร้งแก่กระเด็นออกไปอีก เขามีพลังที่น่ากลัวถึงขนาดนั้นได้ยังไง


 


ปีศาจสาวเองก็ไม่อยากจะเชื่อในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน หมัดของหานเซิ่นสามารถทำลายกรงเล็บของอีแร้งแก่ได้ ในจักรวาลแห่งนี้พลังแบบนั้นมีแค่ผู้นำเซเคร็ดเท่านั้นที่จะทำได้


 


“พวกเจ้าต้องการสู้กับข้าไม่ใช่หรอ? ตอนนี้รีบเข้ามาสิ!”


ร่างกายของหานเซิ่นแว็บหายไป เขาเทเลพอร์ตไปอยู่เหนืออสูรไร้ดวงตาและชกหมัดออกไปใส่หลังของมัน


 


อสูรยักษ์ไร้ดวงตาส่งเสียงคำรามออกมา มันเกร็งร่างกายซึ่งทำให้กระดูกที่เหมือนกับฟันปลางอกออกมาจากด้านหลัง พวกมันหมุนอย่างรวดเร็วเหมือนกับใบเลื้อย พวกมันเข้าปะทะกับหมัดของหานเซิ่น


 


กระดูกที่เหมือนกับใบเลื้อยแตกกระจายเป็นชิ้นๆ และเปลือกบนหลังของอสูรยักษ์ไร้ดวงตาก็ถูกชกโดยหานเซิ่น มันเกิดเป็นรูเลือดขนาดใหญ่และมีเลือดทะลักออกมาราวกับภูเขาไฟ ร่างกายของมันถูกส่งกระเด็นออกไป


 


“นั่นเป็นไปได้ยังไง? ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งขนาดนั้น…”


ปีศาจสาวไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เธอคิดว่าพละกำลังขนาดนั้นมีแค่ขั้นทรูก็อตที่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะมีได้ แต่หานเซิ่นไม่ได้มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ ถึงอย่างนั้นร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งถึงระดับนี้ มันเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ


 


“เจ้าต้องการสปิริตศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?” เสียงของหานเซิ่นดังเข้ามาในหูของปีศาจสาว เขาเทเลพอร์ตมาอยู่ตรงหน้าเธอและชกหมัดเข้าใส่ปีศาจสาว


 


“ร่างกายหัวใจปีศาจหญิงงาม!” ทันใดนั้นร่างกายของปีศาจสาวก็เกิดความเปลี่ยนแปลง เสื้อผ้าทั้งหมดของเธอฉีกขาดและเผยให้เห็นร่างกายที่งดงามของเธอ


 


มันสมบูรณ์แบบจนสามารถขโมยดวงวิญญาณของคนที่มองได้ ร่างกายทั้งร่างของปีศาจสาวปลดปล่อยออร่าที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนจะทนได้ออกมา แม้แต่เทพเจ้าก็ยังต้องตกหลุมรักเธอ พวกเขาจะยอมตายเพื่อเธอโดยที่ไม่รู้สึกเสียใจ


 


ตูม!


ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ยังคงชกไปใส่อกของปีศาจสาวและหมักก็ผ่านร่างกายของเธอไป เลือดสีแดงสดและผิวสีขาวเหมือนกับหิมะนั้นตัดกันทำให้เกิดเป็นภาพที่ทั้งน่ากลัวและสวยงาม

 

 

 


ตอนที่ 2959 ต้องการอะไร

 

แอสทรอลอินสทรูเมนท์ร่วงจากมือของอาเหมย หานเซิ่นยื่นมือออกไปคว้ามันเอาไว้ หลังจากนั้นอวกาศที่เต็มไปด้วยดวงตาก็หายไป หานเซิ่นพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในปราสาทศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง อีแร้งแก่ อสูรไร้ดวงตาและอาเหมยได้รับบาดเจ็บหนักและล้มลงไปกับพื้นของห้องโถง


 


ราชครูกู่เยวียนรอให้อาเหมยและคนอื่นๆจัดการกับหานเซิ่นอยู่นอกปราสาทศักดิ์สิทธิ์ หลังจากผ่านไปไม่นานเขาก็เห็นมิติภายในปราสาทศักดิ์สิทธิ์เกิดความเปลี่ยนแปลง


 


เมื่อมองเข้าไปในห้องโถง ราชครูกู่เยวียนก็รู้สึกตกใจอย่างที่สุดกับสิ่งที่ได้เห็น เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง


 


หานเซิ่นกำลังยืนถือแอสทรอลอินสทรูเมนท์อยู่ในมือ ขณะที่อีแร้งแก่ อสูรไร้ดวงตาและอาเหมยนั้นนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น พวกเขาดูได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


นี่เป็นภาพที่น่าตกใจอย่างมาก มันทำให้ราชครูกู่เยวียนพูดอะไรไม่ออก เขาต้องการจะหันกลับหลังและหนีเข้าไปในความมืด


 


“ราชครู นี่ราชครูคิดจะจากไปโดยไม่บอกลาสักคำอย่างนั้นหรอ?”


หานเซิ่นมาปรากฏตัวต่อหน้าราชครูกู่เยวียนอย่างกะทันหัน


 


ราชครูกู่เยวียนรู้ว่าถึงจะพูดอะไรออกไปมันก็ไม่มีประโยชน์ เขาต้องฝ่าหานเซิ่นไปให้ได้ ถ้าเขาต้องการจะมีชีวิตรอด ร่างกายของเขาสั่นไหว ทันใดนั้นก็มีร่างโคลนของเขาแปดร่างปรากฏออกมาและแยกกันหนีออกไปแปดทิศทาง


 


หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่สามารถบอกได้ว่าร่างไหนคือราชครูกู่เยวียนตัวจริงกันแน่ ร่างโคลนทั้งแปดร่างนั้นมีออร่าของราชครูกู่เยวียนเหมือนกันหมด


 


“ราชครู ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนจากไป” หานเซิ่นพูดขณะที่หยิบมีดเหตุและผลออกมา เขาฟันมีดแสงออกไปแปดทิศทาง พวกมันตรงเข้าไปหาร่างโคลนทั้งแปดของราชครูกู่เยวียน


 


วิชามีดที่หานเซิ่นใช้เป็นวิชาเดิมที่เขาใช้ทุกครั้ง แต่การเลื่อนไปสู่ขั้นทรูก็อตนั้นทำให้หานเซิ่นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก เขาสามารถฟันออกไปแปดครั้งในชั่วพริบตา เสมือนกับว่าเขาฟันออกไปเพียงครั้งเดียวและมีดแสงก็แยกออกไปแปดทิศทางเอง


 


ร่างโคลนเจ็ดร่างถูกทำลาย ขณะที่ร่างหนึ่งเอาโล่เต่าออกมาป้องกันมีดแสงของหานเซิ่นเอาไว้


 


พลังเขี้ยวปะทะเข้ากับโล่เต่าและเกิดเป็นรอยลึก โล่เต่านั้นเกือบจะถูกตัดขาด แรงกระแทกที่เกิดขึ้นนั้นส่งราชครูกู่เยวียนกระเด็นออกไปพร้อมกับกระอักเลือดออกมา


 


สุดท้ายโล่เต่าก็ขาดครึ่ง ถึงแม้การฟันของหานเซิ่นจะไม่ได้ตัดโล่จนขาด แต่ด้วยพลังในการฉีกขาดของพลังเขี้ยว โล่นั้นก็ถูกทำลายในที่สุด


 


ราชครูกู่เยวียนโยนโล่เต่าที่ขาดครึ่งทิ้งไป ขณะที่ร่างกายของเขาบินไปหาความมืดด้วยการใช้แรงจากการปะทะ


 


“ราชครูกู่เยวียนเก่งมาก” หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะเอยชมเขา เขาคู่ควรที่ได้เป็นราชครูของเอ็กซ์ตรีมคิง


 


“แต่ถ้าราชครูคิดว่าจะหนีไปจากข้าได้ล่ะก็ ราชครูประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว”


หานเซิ่นใช้แอสทรอลอินสทรูเมนท์ที่เขาเพิ่งจะได้รับมา ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงของดวงดาว เขาดึงราชครูกู่เยวียนเข้ามาในดินแดนของแอสทรอลอินสทรูเมนท์


 


“ราชครู ข้าต้องขอขอบคุณราชครูสำหรับแอสทรอลอินสทรูเมนท์นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ราชครูก็คงจะหนีไปได้” หานเซิ่นมองไปที่ราชครูกู่เยวียนและยิ้มออกมา


 


ราชครูกู่เยวียนยิ้มแห้งๆและพูด “ถ้าข้ารู้ว่าน้องหานแข็งแกร่งถึงขนาดที่เอาชนะฟิชเบิร์ดและปีศาจไร้ดวงตาได้ง่ายๆแบบนี้ ข้าก็คงจะไม่ทำแบบนั้น”


 


“เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้ราชครูมีแผนจะทำอะไร?” หานเซิ่นยิ้ม


 


เมื่อได้ยินหานเซิ่น ราชครูกู่เยวียนก็มองเขาด้วยความประหลาดใจและถาม “นั่นหมายความว่าเจ้าไม่คิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรอ?”


 


“นั่นคือสิ่งที่ราชครูจำเป็นต้องถามตัวเอง” หานเซิ่นพูด


 


“เจ้าต้องการอะไร?” ราชครูกู่เยวียนถาม


 


“ทุกอย่างที่ราชครูรู้” หานเซิ่นมีคำถามมากมายเกี่ยวกับเอ็กซ์ตรีมคิง คนที่น่าจะตอบคำถามของเขาได้ก็คงมีแค่ราชครูกู่เยวียนกับราชาไป๋เท่านั้น


 


“ข้าไม่ได้รู้อะไรมากนัก ข้าแค่ทำทุกอย่างที่ท่านราชาสั่งให้ทำ”


ขณะที่เขากำลังพูด จู่ๆมือของราชครูกู่เยวียนก็ถูกพลิกและมีเหรียญประหลาดปรากฏในมือของเขา ในตอนที่เขาพลิกฝ่ามือ มิติอวกาศรอบๆบิดเบี้ยวและร่างกายของเขาก็ถูกดูดเข้าไปข้างใน


 


“ไว้พบกันใหม่ น้องหาน!” ราชครูกู่เยวียนพูดขณะที่หนีเข้าไปในช่องว่างของอวกาศที่บิดเบี้ยว


 


“นี่ข้าอนุญาตให้ราชครูไปจากที่นี่แล้วอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นเห็นราชครูกู่เยวียนกำลังจะหายเข้าไปในอวกาศที่บิดเบี้ยว เขาก็เรียกปืนมนตราออกมาและยิงไปใส่อวกาศที่บิดเบี้ยวนั้น


 


ปัง!


กระสุนยิงไปถูกอวกาศที่บิดเบี้ยวและทำให้มันถูกแช่แข็งไป ราชครูกู่เยวียนติดแหง็กอยู่ในช่องว่างของอวกาศ เขาไม่สามารถเข้าไปหรือกลับออกมาได้


 


สีหน้าของราชครูกู่เยวียนเปลี่ยนไป เขามีเหรียญอวกาศหยินหยางขั้นทรูก็อตอยู่ เขาสามารถใช้พลังของมันเทเลพอร์ตไปที่ไหนก็ได้ น่าเสียดายที่การจะใช้เหรียญอวกาศหยินหยางนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา ด้วยเหตุนั้นเขาจึงพูดกับหานเซิ่นเพื่อซื้อเวลา


 


ในตอนที่เหรียญอวกาศหยินหยางเริ่มทำงาน แม้แต่พลังธาตุอวกาศหรือธาตุกาลเวลาก็ไม่สามารถหยุดการทำงานของมันได้ แต่พลังของหานเซิ่นกลับสามารถแช่แข็งช่องว่างของอวกาศได้ นั่นเป็นอะไรที่เหนือจินตนาการ


 


เมื่อราชครูกู่เยวียนรู้ว่าไม่สามารถหนีไปได้ ดังนั้นเขาจึงรีบพูดขึ้นมา


“น้องหานอยากจะรู้เรื่องอะไร น้องหานก็ถามมาได้เลย ถ้าข้ารู้ ข้าจะบอกกับน้องหานทุกอย่าง”


 


“ราชครูเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่มีลูกไม้มากมาย ข้าไม่กล้าจะถามคำถามราชครูที่นี่” หานเซิ่นยกมือขึ้นและมีหอคอยโลหะปรากฏออกมาเพื่อจะดูดราชครูกู่เยวียนเข้าไปข้างใน


 


ราชครูกู่เยวียนต้องการจะขัดขืน แต่หานเซิ่นยิงใส่เขาอีกครั้งและทำให้เขาไม่สามารขยับเขยื้อนได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงถูกดูดเข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตา


 


เมื่อเห็นว่าราชครูกู่เยวียนถูกขังอยู่บนชั้นเจ็ดของหอคอยแห่งโชคชะตาเรียบร้อยแล้ว หานเซิ่นก็หยุดใช้แอสทรอลอินสทรูเมนท์และกลับไปที่ลานกว้างของปราศักดิ์สิทธิ์


 


อีแร้งแก่ อสูรไร้ดวงตาและปีศาจสาวยืนอยู่ข้างหน้าห้องโถง พวกเขากำลังมองมาที่หานเซิ่นอย่างแปลกๆ


 


หานเซิ่นรีบร้อนไปไล่ตามจับตัวราชครูกู่เยวียนด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีไปได้ ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้สนใจปีศาจสาวกับคนอื่นๆ หานเซิ่นไม่ได้คาดคิดว่าบาดแผลของพวกเขาจะฟื้นตัวรวดเร็วถึงขนาดนี้ พวกเขาเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงเป็นซีโน่เจเนอิคขั้นทรูก็อตระดับท็อป


 


หานเซิ่นเดินกลับมาที่ปราสาทศักดิ์สิทธิ์และถาม “เสี่ยวฮวาอยู่ที่ไหน?”


 


“เสี่ยวฮวาไม่ได้อยู่ที่ปราสาทจริงๆ เฒ่าแมวพาเขาไปที่ก็อตแซงชัวรี่เพื่อเก็บสะสมยีน” อาเหมยตอบคำถามของหานเซิ่น ท่าทางของเธอแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ คำตอบของเธอก็ต่างไปจากเดิมเช่นกัน


 


“จริงอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่เดินเข้าไปหาปราสาทศักดิ์สิทธิ์ต่อ


 


“พวกเราบอกเจ้าไปแล้วยังไงว่าเสี่ยวฮวาไม่ได้อยู่ที่นี่!  เจ้ายังต้องการจะทำอะไรอีก?” อสูรไร้ดวงตาพูด


 


“ข้าต้องการจะทำอะไร? ข้าบอกพวกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าต้องการทำอะไร”


หานเซิ่นเดินต่อไป เขายกมีดเหตุและผลแห่งกรรมขึ้นเหนือหันและฟันลงมา มีดลมปราณที่น่ากลัวพุ่งตรงเข้าไปหาปราสาทศักดิ์สิทธิ์ “วันนี้ข้าจะทำลายปราสาทศักดิ์สิทธิ์นี่”

 

 

 


ตอนที่ 2960 ตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ด

 

ปีศาจสาวและอีแร้งแก่มองหน้ากัน ปีศาจสาวสะบัดมือและมีตะเกียงหินปรากฏออกมา ปีศาจสาวไม่ได้พยายามหลบ เธอถือยกตะเกียงหินมารับมีดแสงสีม่วงที่น่ากลัวของหานเซิ่น


 


มีดแสงสีม่วงถูกหยุดเอาไว้โดยแสงของตะเกียงหิน เปลวไฟในตะเกียงหินเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งราวกับว่าเปลวไฟที่ถูกลมพัด แต่ที่สุดแล้วมันก็ป้องกันมีดแสงของหานเซิ่นเอาไว้ได้สำเร็จ


 


อีแร้งแก่และอสูรยักษ์ไร้ดวงตาส่งเสียงคำรามออกมา หลังจากนั้นพวกมันทั้งคู่ก็คายตะเกียงหินออกมา พวกมันเรียงแถวกันอยู่หน้าปราสาทศักดิ์สิทธิ์ร่วมกับปีศาจสาว แสงสว่างจากตะเกียงหินปกคลุมทั้งปราสาทศักดิ์สิทธิ์


 


หานเซิ่นมองไปที่ตะเกียงหินทั้งสามและสังเกตเห็นว่าพวกมันดูคล้ายกับตะเกียงหินที่เขาครอบครองอยู่มากๆ มันเหมือนกับว่าพวกมันทั้งหมดถูกทำขึ้นมาด้วยช่างคนเดียวกัน


 


‘แปลกจริงๆ พวกเขาบอกว่าตะเกียงหินนั้นคือตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดไม่ใช่หรอ แบบนั้นทำไมมันถึงได้มีอยู่หลายอันนัก?’ หานเซิ่นสงสัย


 


อีแร้งแก่ตะโกนอย่างเกรี้ยวโกรธใส่หานเซิ่น


“หานเซิ่น เจ้าอย่าได้อวดดีจนเกินไป! ถ้าสมบัติและสิ่งประจำตัวพระเจ้าของข้าไม่ได้ถูกทำลายไปในอดีต เจ้าก็คงจะไม่ได้มายืนอยู่ในตอนนี้!”


 


หานเซิ่นไม่สนใจว่าอีแร้งแก่จะพูดอะไร เขาฟันออกไปอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้หานเซิ่นใช้พลังมากกว่าเดิม แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ได้ดีเหมือนกับครั้งที่แล้ว


 


แสงจากตะเกียงหินทั้งสามแค่สั่นไหวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตะเกียงหินทั้งสามนั้นสนับสนุนกันและกัน


 


หานเซิ่นลองฟันอีกหลายครั้ง ถึงแม้มีดแสงแต่ละครั้งจะทำให้เปลวไฟของตะเกียงหินทั้งสามสั่นไหว แต่พวกมันก็ไม่สามารถทำลายการป้องกันของตะเกียงหินทั้งสามได้


 


ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงรู้ว่าตะเกียงหินของพวกเขานั้นแตกต่างไปจากตะเกียงหินที่เขาครอบครองอยู่


 


ตะเกียงหินของหานเซิ่นสามารถเสริมพลังให้กับพลังต่างๆได้ แต่มันไม่ได้มีพลังป้องกันอะไร


 


ส่วนตะเกียงหินของปีศาจสาวและคนอื่นๆนั้นมีพลังในการป้องกัน แต่ทว่าพวกมันดูเหมือนจะไม่สามารถเสริมพลังได้ ดูเหมือนว่าทั้งหมดที่พวกมันทำได้ก็คือสร้างโล่ป้องกัน


 


“หานเซิ่น เจ้าอย่าเสียเวลาเลย” อีแร้งแก่พูด


“ด้วยการป้องกันจากตะเกียงเผ่าเซเคร็ดพวกนี้ ถึงแม้เทพสปิริตจะมาอยู่ที่นี่ พวกเขาก็เข้ามาในปราสาทศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้”


 


“สิ่งที่เจ้าพูดมันเหลวไหลสิ้นดี ตะเกียงทั้งสามอันเป็นตะเกียงเผ่าพันธุ์ และตะเกียงหินที่ข้ามีอยู่ก็เป็นตะเกียงเผ่าพันธุ์ เจ้าจะบอกว่าเซเคร็ดมีตะเกียงเผ่าพันธุ์ถึงสี่อันหรือยังไงกัน?” หานเซิ่นเย้ยหยัน


 


“มันไม่ใช่แค่สี่อัน พวกเรามีตะเกียงเผ่าพันธุ์อยู่ห้าอัน” ปีศาจสาวพูด


 


“ทุกเผ่าพันธุ์มีตะเกียงเผ่าพันธุ์แค่หนึ่งเดียว แต่เจ้าจะบอกว่าเซเคร็ดมีตะเกียงเผ่าพันธุ์ถึงห้าอันอย่างนั้นหรอ? พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่หรือยังไง?” หานเซิ่นมองพวกเขาด้วยความดูถูก


 


“นั่นเป็นความโง่เขลาของเจ้า ตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเผ่าอื่นไม่อาจจะมาเทียบกับตะเกียงเผ่าพันธุ์เซเคร็ดของพวกเราได้” อีแร้งแก่ตอบกลับด้วยความดูถูก


 


ปีศาจสาวพูด “ตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเผ่าพันธุ์อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้อยู่แล้ว พวกเขาก็แค่โชคดีที่ได้จุดดวงไฟในตะเกียงเผ่าพันธุ์พวกนั้น แต่ตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้นำเซเคร็ด พวกมันเหนือกว่าตะเกียงที่เผ่าพันธุ์อื่นเป็นเจ้าของ พวกมันจะฉายแสงให้กับเผ่าพันธุ์ที่สนับสนุนเซเคร็ด ทุกสายพันธุ์ของเซเคร็ดจะได้รับความรุ่งเรืองของเผ่าพันธุ์ นายน้อยจะกลายเป็นผู้นำของจักรวาล เจ้าเป็นพ่อของเขา เจ้าจะได้รับเกียรติศักด์สิทธิ์ไปด้วย ถ้าเจ้ายินดี เจ้าช่วยสนับสนุนการขึ้นเป็นใหญ่ของนายน้อยร่วมกับพวกเราได้”


 


หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ หานเซิ่นก็พูด “ถ้าตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดไม่ใช่ของจีโนฮอลล์ แต่เป็นสิ่งที่ผู้นำเซเคร็ดสร้างขึ้นมา แบบนั้นตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดจะได้รับการยอมรับจากจีโนฮอลล์และมอบการป้องกันให้กับผู้คนของเซเคร็ดได้ยังไงกัน?


 


“มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้รับการยอมรับจากจีโนฮอลล์ ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องทำก็คือเข้าไปในจีโนฮอลล์และวางตะเกียงเผ่าพันธุ์บนจุดสูงสุด แบบนั้นมันจะอยู่เหนือเผ่าพันธุ์อื่นๆทั้งหมด ใครมันจะกล้าคัดค้านในเรื่องนั้น?” อีแร้งแก่พูดอย่างภาคภูมิ


 


หานเซิ่นรู้สึกนับถือในหัวใจของเขา แต่เขาไม่ได้นับถืออีแร้งแก่ ที่เขารู้สึกนับถือคือฉินซิวที่เป็นผู้นำเซเคร็ด เผ่าพันธุ์อื่นนั้นแค่จุดดวงไฟในตะเกียงเพื่อจะได้รับตำแหน่งในหมู่เผ่าพันธุ์ชั้นสูง


 


แต่ทว่าฉินซิวเลือกที่จะทำตะเกียงขึ้นมาด้วยตัวเองและนำมันไปวางเอาไว้เหนือเผ่าพันธุ์อื่นๆ มันไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะทำอะไรแบบนั้นได้ แต่ดูเหมือนว่าแผนการของฉินซิวจะล้มเหลว เขาไม่สามารถนำตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดไปวางเอาไว้บนจุดสูงสุดของจีโนฮอลล์ได้


 


“หานเซิ่น เจ้าและนายน้อยเป็นพ่อลูกกัน พวกเจ้าน่าจะทำงานร่วมกัน ร่วมมือกับพวกเราและช่วยนายน้อยทำให้เซเคร็ดกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ปีศาจสาวพยายามที่จะโน้มน้ามหานเซิ่น


 


หานเซิ่นมองเธอด้วยความดูถูกและฟันออกไปใส่แสงของทั้งสามตะเกียง


 


“หานเซิ่น นี่เจ้าไม่มีหูหรือยังไง? พวกเราต่างก็ต้องการช่วยเหลือนายน้อยเหมือนกับเจ้า” อสูรยักษ์ไร้ดวงตาดูโมโห


 


หานเซิ่นฟันใส่แสงของตะเกียงซ้ำๆและพูด “ข้าบอกพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรอว่าเสี่ยวฮวาไม่ใช่เครื่องมือของเซเคร็ด ถึงเซเคร็ดต้องการจะนำตะเกียงเผ่าพันธุ์ของตัวเองเข้าไปในจีโนฮอลล์ มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฮวา ถ้าพวกเจ้าต้องการจะทำแบบนั้น พวกเจ้าก็ต้องทำมันด้วยตัวของพวกเจ้าเอง อย่าได้ใช้ประโยชน์จากเสี่ยวฮวาของข้า”


 


“แถมพวกเจ้ายังขโมยเสี่ยวฮวาไปจากข้า พวกเจ้าแยกครอบครัวออกจากกัน พวกเจ้าจะต้องชดใช้ มันไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรอีก”


หลังจากที่พูดจบ หานเซิ่นก็ฟันใส่ตะเกียงทั้งสามและทำให้ดวงไฟของตะเกียงสั่นไหวอย่างไม่หยุด ถึงแม้โล่แสงจะไม่ถูกตัดจนเปิดออก แต่มันก็ทำให้ปีศาจสาวและคนอื่นหวั่นใจ


 


“ร่างกายของหานเซิ่นแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นได้ยังไง? ข้าคิดว่าเขาเกือบจะเทียบได้กับท่านผู้นำได้เลย” ปีศาจสาวตกตะลึง


 


มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าสิ่งมีชีวิตจากก็อตแซงชัวรี่วิวัฒนาการไปถึงขั้นนั้นได้ยังไง


 


ถึงแม้สิ่งมีชีวิตในก็อตแซงชัวรี่จะกลืนกินสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของตัวเอง แต่การเพิ่มระดับขึ้นด้วยวิธีแบบนั้นจะช่วยทายาทของพวกเขามากกว่าช่วยตัวเอง มันจะทำให้ยีนของรุ่นต่อๆไปนั้นดีขึ้น


 


เหมือนอย่างเสี่ยวฮวาที่สืบทอดยีนมาจากหานเซิ่น เขาถือเป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด เขาไม่ได้มียีนที่ไม่เสถียรเหมือนอย่างหานเซิ่น


 


การที่หานเซิ่นพัฒนาจนกลายเป็นขั้นทรูก็อตได้นั้นเป็นอะไรที่น่าตกใจ แถมตอนนี้เขาก็แข็งแกร่งจนน่ากลัว เขาเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตขั้นทรูก็อตระดับท็อปส่วนใหญ่ นั่นเป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจได้


 


“หานเซิ่น เจ้าอย่าเสียแรงเปล่าเลย” อีแร้งแก่พูด


“ถึงแม้ความแข็งแกร่งของเจ้าจะเป็นที่สุดของขั้นทรูก็อต แต่เจ้าก็ทำลายการป้องกันจากตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งสามไม่ได้อยู่ดี”


 


“จริงอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพูด เขายกมีดเหตุและผลขึ้น และทันใดนั้นท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยมีดแสงที่มารวมตัวกัน


 


“พวกเจ้าทุกคนเป็นแค่หมากบนกระดาน ข้าไม่เชื่อว่ามันจะมีเกมส์หมากรุกที่ข้าทำลายไม่ได้” หานเซิ่นฟันลงมา จากนั้นมีดแสงทั้งหมดก็พุ่งลงมาเหมือนกับกาแล็กซี่ถูกพลิกกลับ

 

 

 


ตอนที่ 2961 หนึ่งหลักและสี่รอง

 

มีดแสงนับไม่ถ้วนบินออกไปจู่โจมแสงไฟจากตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งสามอย่างต่อเนื่อง ทำให้เปลวไฟของตะเกียงทั้งสามเล็กลงไปเรื่อยๆ จนเหมือนกับว่าไฟพร้อมที่จะมอดได้ทุกเมื่อ


 


โล่แสงของตะเกียงก็ถูกกดดันด้วยสายธารมีดแสงและรัศมีการป้องกันของมันก็เล็กลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันไม่สามารถปกป้องทั้งปราสาทศักดิ์สิทธิ์ได้ กำแพงบางส่วนของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ถูกสายธารของมีดแสง และมีรอยมีดขึ้นมาทีละรอย


 


ไม่รู้ว่ากำแพงหินของปราสาทศักดิ์สิทธิ์นั้นทำขึ้นมาจากอะไรกันแน่ แม้แต่มีดแสงของหานเซิ่นก็สามารถทิ้งเอาไว้ได้แค่รอยบางๆเท่านั้น


 


ถึงอย่างนั้นภายใต้สายธารของมีดแสงที่โจมตีเข้าไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด รอยมีดบนกำแพงหินก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พวกมันตัดกันไปมาจนดูเหมือนกับว่ากำแพงหินนั้นจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ


 


ปีศาจสาวและคนอื่นๆตกใจ เมื่อก่อนมันมีตะเกียงเผ่าพันธุ์อยู่ที่นี่ห้าอัน ดังนั้นในตอนที่เกิดการต่อสู้ขึ้น ปราสาทศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ถูกทำลาย


 


ตอนนี้ถึงมันจะมีตะเกียงเผ่าพันธุ์แค่สามอันที่กำลังปกป้องปราสาทศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่หานเซิ่น เขาไม่ใช่เทพสปิริต


 


หานเซิ่นโจมตีใส่โล่แสงของตะเกียงเผ่าพันธุ์ตามลำพัง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูเหมือนว่าเขามีพลังพอที่จะเอาชนะพลังป้องกันของตะเกียงเผ่าพันธุ์สามอันที่ถูกใช้ร่วมกันได้ นั่นเป็นอะไรที่น่าตกใจเกินไป


 


เมื่อเห็นว่าดวงไฟของตะเกียงหินทั้งสามกำลังจะดับลง ปีศาจสาว อีแร้งแก่และอสูรไร้ดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ


 


ในสายตาของพวกเขา สิ่งมีชีวิตในก็อตแซงชัวรี่นั้นเป็นเพียงแค่ตัวทดลองที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยผู้นำเซเคร็ด นอกจากเสี่ยวฮวาที่มีร่างกายถึงเกณฑ์ที่กำหนดจนถือว่าเป็นตัวทดสองที่ประสมความสำเร็จแล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นของก็อตแซงชัวรี่นั้นถูกมองว่าเป็นผลการทดลองที่ล้มเหลว


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะได้รับสปิริตศักดิ์สิทธิ์ของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ไป แต่ในสายตาของพวกเขา หานเซิ่นก็แค่ได้มันไปเพราะโชคช่วยเท่านั้น เขาแค่บังเอิญมีวิญญาณที่หนักเป็นพิเศษ


 


ความหนักของวิญญาณนั้นไม่ได้ส่งผลต่อพรสวรรค์ในการฝึกวิชาและความเร็วในการวิวัฒนาการ มันจึงไม่มีความสำคัญพอที่จะทำให้ปีศาจสาวและคนอื่นๆให้ความสนใจ


 


หานเซิ่นไม่สามารถใช้สปิริตศักดิ์สิทธิ์ได้ ซึ่งนั่นพิสูจน์ว่าเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นเป็นผู้นำเซเคร็ดคนใหม่ เขาจึงถูกคำนึงว่าเป็นตัวทดลองที่ล้มเหลว


 


ใครจะไปรู้ว่าตัวทดลองที่ล้มเหลวจะสามารถเอาชนะพลังของตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งสามได้ด้วยมีดเล่มเดียว? เขากำลังจะทำลายการป้องกันด่านสุดท้ายของปราสาทศักดิ์สิทธิ์


 


ถ้าปราสาทศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลาย ความหวังในการสร้างเซเคร็ดขึ้นมาใหม่ก็จะจบสิ้น ถ้าไม่มีปราสาทศักดิ์สิทธิ์อยู่ ถึงแม้เสี่ยวฮวาจะมีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ที่เลื่อนไปสู่ขั้นทรูก็อตได้สำเร็จและแข็งแกร่งเหมือนอย่างผู้นำเซเคร็ดคนก่อน ประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอยเดิมอยู่ดี


 


ปีศาจสาวและคนอื่นๆรู้ว่าจำเป็นต้องมีปราสาทศักดิ์สิทธิ์ แบบนั้นพวกเขาถึงจะต่อสู้กับเทพสปิริตและกอบกู้ชื่อเสียงของเซเคร็ดกลับคืนมาได้


 


“ถ้าข้ายอมพูดกับเขาดีๆ บางทีเรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น”


ปีศาจสาวรู้สึกเศร้าใจ แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าหานเซิ่นนั้นแน่วแน่ที่จะทำลายปราสาทศักดิ์สิทธิ์ให้ได้


 


สายธารของมีดแสงเป็นเหมือนกับกาแล็กซี่ที่ตกลงมา มันเกือบจะทำให้ตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งสามดับลง รัศมีของแสงสว่างที่เหลืออยู่นั้นเล็กมากๆ มันส่องสว่างแค่บริเวณประตูของปราสาทศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น กำแพงรอบๆปราสาทศักดิ์สิทธิ์ถูกสายธารของมีดแสงโจมตีใส่อย่างไม่หยุด พวกเขากำลังมองดูความหวังสุดท้ายของเซเคร็ดถูกทำลายโดยสายธารมีดแสงของหานเซิ่น


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามดังขึ้นมา มันเป็นเสียงคำรามของเสือไม่ก็สิงโต มันกำลังเข้ามาหาพวกเขา เงาสีแดงปรากฏตัวออกมาจากความมืดด้วยความเร็วสูง


 


ปีศาจสาว อีแร้งแก่และอสูรไร้ดวงตาดีใจอย่างมากเมื่อได้เห็นสิ่งที่กำลังเข้ามา ซึ่งมันก็คือเรดโกสต์


 


“เรดโกสต์ เจ้ารีบใช้ตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเจ้าปกป้องปราสาทศักดิ์สิทธิ์เร็วเข้า!”


 


เรดโกสต์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่มันเห็นหานเซิ่นกำลังโจมตีใส่ปีศาจสาวและคนอื่นๆ แม้แต่กำแพงหินของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกฟันจนยับเยินและพร้อมที่จะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ มันจึงอ้าปากขึ้นและคายตะเกียงหินออกมา ก่อนที่มันรีบเข้าไปอยู่ข้างหน้าปราสาทศักดิ์สิทธิ์


 


เมื่อตะเกียงหินทั้งสี่มาอยู่ร่วมกัน ดวงไฟที่เกือบจะมอดไปแล้วก็ลุกโชนขึ้นมาเหมือนกับว่ามันได้รับเชื้อเพลิงอีกครั้ง ความสว่างไสวของพวกมันปกคลุมทั้งปราสาท


 


เมื่อหานเซิ่นใช้สายธารมีดแสงโจมตีใส่แสงสว่างนั่นอีกครั้ง แต่เขาไม่สามารถทำให้ดวงไฟของตะเกียงหินทั้งสี่สั่นคลอนได้ พลังของตะเกียงหินสี่ตะเกียงนั้นเหนือกว่าตะเกียงหินสามตะเกียงอย่างมาก ดูเหมือนกับว่าพวกมันได้รับพลังเสริมพิเศษบางอย่าง


 


อีแร้งแก่เห็นว่าหานเซิ่นไม่สามารถทำลายการป้องกันของตะเกียงเผ่าพันธุ์ได้ มันจึงพูดเย้นหยันขึ้นมา


“หานเซิ่น มันไม่สำคัญว่าร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน ถ้าไม่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็ไม่มีทางจะใช้อาวุธสปิริตศักดิ์สิทธิ์หรือตะเกียงเผ่าพันธุ์ได้ เจ้าไม่มีทางประสมความสำเร็จเหมือนอย่างผู้นำเซเคร็ด ยังไงซะเจ้าก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง”


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่มันเป็นอย่างที่อีแร้งแก่พูด พลังของเขาไม่พอที่จะทำลายการป้องกันของตะเกียงเผ่าพันธุ์สี่อัน


 


ถ้าแม้แต่สายธารมีดแสงของวิชามีดใต้นภายังทำไม่สำเร็จ วิชาจีโนอื่นก็ยิ่งไม่มีโอกาสสำเร็จเข้าไปใหญ่ เขาไม่สามารถเจาะทะลวงการป้องกันของโล่แสงได้


 


‘นี่เราจำเป็นต้องใช้โหมดซีโน่เจเนอิคจริงๆอย่างนั้นหรอ?’


ตอนนี้หานเซิ่นมีหนทางเดียวที่จะเพิ่มพลัง การใช้โหมดซีโน่เจเนอิคจะทำให้ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันมากพอที่จะทำลายการป้องกันของตะเกียงเผ่าพันธุ์สี่อันไหม


 


“หานเซิ่น เจ้ากำลังครอบครองตะเกียงหลักของเซเคร็ดอยู่ เจ้าน่าจะลองใช้มัน” เสียงของผู้อาวุโสหนึ่งดังขึ้นมาจากระยะที่ไม่ไกลออกมา เขาออกมาจากความมืดและมายืนอยู่ในลานกว้าง


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาพูด สีหน้าของปีศาจสาวและคนอื่นๆก็เปลี่ยนไปทันที


 


หานเซิ่นหันไปมองผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาและถาม “เจ้าหมายความว่ายังไง?”


 


“เท่าที่ข้ารู้ เซเคร็ดมีตะเกียงเผ่าพันธุ์อยู่ห้าอัน อันหนึ่งเป็นตะเกียงหลัก ขณะที่อีกสี่อันเป็นตะเกียงรอง ในตอนที่เซเคร็ดถูกทำลาย ผู้นำเซเคร็ดได้ใช้ตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งห้าเพื่อปกป้องปราสาทศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ มันทำให้เทพสปิริตทำอะไรไม่ได้ และมันก็ทำให้เซเคร็ดยังคงมีความหวังเหลืออยู่”


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภามองไปที่ตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งสี่และพูดต่อ “ตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดนั้นแตกต่างไปจากตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเผ่าอื่นๆ เซเคร็ดนั้นมีตะเกียงเผ่าพันธุ์รองอยู่สี่อันและตะเกียงหลักหนึ่งอัน ตะเกียงเผ่าพันธุ์รองทั้งสี่จะใช้เพื่อป้องกันเท่านั้น มีเพียงแค่ตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักเท่านั้นที่จะเสริมพลังให้กับผู้ใช้ นอกจากนั้นมันยังใช้เพื่อควบคุมตะเกียงเผ่าพันธุ์รองทั้งสี่ได้ ตอนนี้ตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักของเซเคร็ดอยู่ในมือเจ้า ถ้าเจ้าควบคุมมันได้ เจ้าก็จะควบคุมตะเกียงเผ่าพันธุ์รองทั้งสี่ได้ด้วย แบบนั้นการจะทำลายปราสาทศักดิ์สิทธิ์ก็ควรจะเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับเจ้า”


 


สีหน้าของปีศาจสาวและคนอื่นๆเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาจะรู้เกี่ยวกับตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดมากขนาดนั้น


 


“เจ้า… เจ้าจะต้องเป็นสุนัขรับใช้ของเทพสปิริต เมื่อก่อนนั้นนอกจากยอดฝีมือของเซเคร็ดอย่างข้าและคนอื่นๆแล้ว มีเพียงแค่เทพสปิริตที่ได้เห็นถึงพลังของตะเกียงเผ่าพันธุ์” อีแร้งแก่ตะโกนด้วยความโกรธ


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาไม่คิดจะโต้เถียงกับอีแร้งแก่หรือทำการอธิบายอะไร เขาแค่พูดกับหานเซิ่นต่อ


“ในตอนนี้เจ้าต้องลองดูว่าเจ้าควบคุมตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักของเซเคร็ดได้ไหม ถ้าเจ้าทำได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เป็นไปได้”


 


หานเซิ่นมองไปที่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาและถาม “เรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อเจ้ายังไง?”


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาตอบ “ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่าพวกเราปราสาทนภานั้นไม่ต้องการเห็นการกลับมาอีกครั้งของเซเคร็ด นี่เป็นความจริง เจ้าไม่จำเป็นต้องถามข้าว่าทำไม เพราะข้าจะไม่บอกเจ้า”

 

 

 


ตอนที่ 2962 ผู้กอบกู้เพียงหนึ่งเดียว

 

หานเซิ่นไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภามีความเกี่ยวข้องกับเทพสปิริตหรือไม่ แต่เขารู้ว่าที่ผู้อาวุโสหนึ่งพูดนั้นไม่ผิด


 


“หนึ่งตะเกียงหลักและสี่ตะเกียงรอง?” หานเซิ่นเอาตะเกียงหินออกมา เขาและเป่าเอ๋อสามารถใช้ตะเกียงหินได้ แต่นั่นเป็นแค่การพึ่งพาเปลวไฟของตะเกียงเพื่อเสริมพลังที่พวกเขาปล่อยออกไปเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถควบคุมตะเกียงหินได้


 


แต่ตอนนี้หานเซิ่นเพิ่งจะวิวัฒนาการขึ้นมาสู่ขั้นทรูก็อต บางทีครั้งนี้เขาอาจจะควบคุมตะเกียงหินได้


 


ใบหน้าของปีศาจสาวและคนอื่นๆดูไม่ค่อยดีนัก ในตอนแรกที่พวกเขาไม่ใช้ตะเกียงเผ่าพันธุ์ นั่นก็เพราะตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักอยู่ในมือของหานเซิ่น แต่เมื่อพวกเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องที่หานเซิ่นไม่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็เชื่อว่าหานเซิ่นไม่มีทางใช้พลังของตะเกียงหลักได้ นั่นทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยขึ้น


 


หานเซิ่นมองไปที่ปีศาจสาวและคนอื่นๆ หลังจากนั้นเขาก็ใส่พลังของตัวเองเข้าไปในตะเกียงหิน เขาต้องการจะควบคุมพลังของตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักของแซเคร็ด


 


ในตอนที่หานเซิ่นลองใส่พลังเข้าไปในตะเกียงหินก่อนหน้านี้ ตะเกียงหินไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย แต่ตอนนี้พลังของเขาเหนือกว่าตอนที่เขาเป็นขั้นบัตเตอร์ฟลายมาก


 


พลังมหาศาลถูกใส่เข้าไปในตะเกียงหิน และทำให้เปลวไฟของตะเกียงนั้นสว่างไสวขึ้นมา เดิมทีเปลวไฟของตะเกียงหินนั้นสว่างพอๆกับคบเพลิงเท่านั้น แต่ตอนนี้เปลวไฟของมันสว่างยิ่งกว่าเปลวไฟของตะเกียงรองทั้งสี่รวมกันซะอีก มันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆสว่างไสวขึ้นมา


 


ปีศาจสาว อีแร้งแก่ อสูรไร้ดวงตาและเรดโกสต์ตกใจ เมื่อเห็นเปลวไฟของตะเกียงหลักสว่างไสวขึ้นมา และตะเกียงรองทั้งสี่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง พวกมันสั่นไหวขณะที่เปลวไฟของพวกมันโค้งลงราวกับถูกลมพัด พวกมันโค้งไปในทิศทางของตะเกียงหินของหานเซิ่นราวกับว่าพวกมันกำลังก้มหัวให้กับเขา


 


เมื่อเห็นภาพนี้มันก็ทำให้ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาดีใจอย่างมาก ถึงเขาจะพูดไปแบบนั้น แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าหานเซิ่นจะควบคุมตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักของเซเคร็ดได้จริงๆ


 


แต่ในวินาทีต่อมาตะเกียงหินก็สั่นอย่างรุนแรงและหนีออกไปจากมือของหานเซิ่น มันบินเข้าไปหาปราสาทศักดิ์สิทธิ์


 


มือของหานเซิ่นเต็มไปด้วยเลือด เห็นได้ชัดว่าเขาถูกตะเกียงหลักทำร้าย


 


สีหน้าของทุกคนกลับตาลปัตร ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาดูตกใจ ขณะที่ปีศาจสาวและคนอื่นๆนั้นดูดีใจขึ้นมา


 


หานเซิ่นมองไปที่มือของตัวเองและขมวดคิ้ว ถึงจะด้วยพลังของเขาในตอนนี้ เขาก็ยังไม่สามารถควบคุมตะเกียงหินได้ มันพาตัวเองหนีไปจากมือของเขาได้สำเร็จ การที่มันทำแบบนั้นได้ แสดงให้เห็นว่าพลังของตะเกียงหินนั้นน่ากลัวขนาดไหน


 


มีเพียงแค่หานเซิ่นที่เข้าใจถึงเรื่องนั้น ในตอนที่เขาใส่พลังเข้าไปในตะเกียงหิน พลังของเขาไม่ได้ควบคุมตะเกียงหิน แต่พลังของตะเกียงหินถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาและเริ่มต่อสู้กับพลังของเขาแทน


 


ตูม!


ตะเกียงหินบินไปอยู่บนหลังคาของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ ตะเกียงเผ่าพันธ์หลักหนึ่งอันและตะเกียงเผ่าพันธุ์รองสี่อันร่วมกันส่องแสงออกมา ตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งห้าปัดเป่าความมืดมิดทั้งหมดออกไปและทำให้พื้นที่โดยรอบสว่างไสวเหมือนกับเป็นตอนกลางวัน


 


หานเซิ่นเห็นสเปชชาร์มที่เคยซ่อนตัวอยู่ในความมืดได้อย่างชัดเชน และเขายังมองเห็นจุดที่ศิลาจารึกแห่งชะตากรรมเคยอยู่ ไนน์เทาซันด์คิงและพวกปลาทองยังคงอยู่ที่นั่นและมองมาทางเขา


 


ในตอนแรกหานเซิ่นคิดว่าที่เรดโกสต์กลับมาก็เพราะว่าเขาฆ่าไนน์เทาซันด์คิงได้สำเร็จ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นแบบนั้น สถานการณ์ของพวกเขาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ตาย


 


ตูม! ตูม! ตูม!


ปราสาทศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในแสงสว่างเริ่มสั่นสะเทือน มันไม่ใช่แค่ภาพลวงตาเช่นกัน มันกำลังสั่นไหวจริงๆ หลังคาของปราสาทศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเหมือนกับดอกบัวที่กำลังบานออก และรูปปั้นที่อยู่ข้างในก็เผยออกมาให้เห็น


 


หลังจากนั้นตะเกียงหินก็ค่อยๆบินเข้าไปหารูปปั้นหินของฉินซิว หานเซิ่นจำได้ว่าตอนแรกรูปปั้นหินของฉินซิวนั้นอยู่ในท่ามือประกบกัน แต่ตอนนี้รูปปั้นกำลังยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เห็นได้ชัดว่ามันกำลังอยู่ในท่วงท่าที่แตกต่างออกไปจากเดิม


 


แต่ทว่าเมื่อหานเซิ่นพยายามองดูดีๆ เขาไม่คิดว่ารูปปั้นนั้นจะมีชีวิตขึ้นมา มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ


 


ตะเกียงหินบินลงไปบนรูปปั้นหินของฉินซิว และทำให้ทั้งรูปปั้นลุกเป็นไฟขึ้นมา


 


ตะเกียงเผ่าพันธุ์ในมือของปีศาจสาว อสูรไร้ดวงตา เรดโกสต์และอีแร้งแก่เริ่มสั่นไหว และบินเข้าไปในปราสาทศักดิ์สิทธิ์


 


ตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งสี่บินไปอยู่บนหัวของรูปปั้นของฟินิกซ์ โกสต์คาร์ แมวเก้าชีวิตและกิเลนศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นรูปปั้นของอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก็ลุกไหม้เหมือนกับรูปปั้นของฉินซิว


 


เปลวไฟจากรูปปั้นทั้งห้าลามไปทั่วทั้งปราสาทศักดิ์สิทธิ์และทำให้ทั้งปราสาทตกอยู่ภายใต้เปลวไฟ มันทำให้รูปปั้นหินของสิบขุนพลลุกไหม้ตามไปด้วย ทั้งปราสาทเป็นเหมือนกับเมืองที่กำลังถูกเผาไหม้โดยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์


 


“ฮ่าๆ… หานเซิ่น… ไม่สำคัญว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขนาดไหน ตราบใดที่เจ้าไม่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ด ตอนนี้เมื่อตะเกียงเผ่าพันธุ์กลับมาอยู่ในที่ของมัน ปราสาทศักดิ์สิทธิ์ก็จะเปิดออกอีกครั้ง ตอนนี้พวกเราก็เหลือแค่ต้องรอให้นายน้อยกลายเป็นขั้นทรูก็อต หลังจากนั้นพวกเราก็จะกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง” อีแร้งแก่พูดอย่างตื่นเต้น


 


อสูรไร้ดวงตาพูดเสริม “หานเซิ่น ตอนนี้เจ้าควรเข้าใจว่านายน้อยคือคนที่ถูกลิขิตมาให้เป็นผู้กอบกู้ เขาจะเป็นคนที่ปกครองทั้งจักรวาล ถึงแม้เจ้าจะเป็นพ่อของเขา เจ้าก็ขัดขวางการขึ้นเป็นใหญ่ของเขาไม่ได้”


 


“หานเซิ่น มันยังไม่สายเกินไปที่เจ้าจะมาร่วมมือกับพวกเราเพื่อช่วยนายน้อยทำลายกฎที่ผูกมัดพวกเราโดยเทพสปิริต พวกเรามาช่วยให้เขากลายเป็นผู้ปกครองจักรวาลที่แท้จริง” ปีศาจสาวยิ้มและเชิญชวนหานเซิ่น


 


หานเซิ่นเมินเฉยต่อสิ่งที่ปีศาจสาวและคนอื่นๆพูด เขาหันไปมองปราสาทศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังลุกไหม้อย่างสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ ดวงตาของเขาจ้องไปที่ตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักและรูปปั้นหินของฉินซิว


 


อีแร้งแก่หัวเราะและพูด “หานเซิ่น เจ้าคอยดูให้ดี ชื่อเสียงของเซเคร็ดจะกลับคืนมาอีกครั้งด้วยการนำของนายน้อย”


 


หานเซิ่นมองไปที่มีดในมือและพูด “ข้าไม่รู้ว่าเซเคร็ดจะกู้คืนชื่อเสียงในอดีตกลับคืนมาได้หรือเปล่า และข้าก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวฮวาจะกลายเป็นผู้ปกครองของทั้งจักรวาลหรือไม่ ข้ารู้แค่ว่าเขาคือลูกของข้า พวกเจ้าลักพาตัวลูกชายของข้าไปและให้เขาทำในสิ่งที่อันตรายที่สุดในจักรวาลนี้”


 


“นั่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นายน้อยเกิดมาเพื่อเป็นผู้กอบกู้ เขามีพรสวรรค์เหนือผู้อื่น เจ้าควรจะภาคภูมิใจในตัวเขา” ก่อนที่ปีศาจสาวจะพูดจบ เสียงของหานเซิ่นก็ดังขึ้นมา


 


“หุบปาก!” ดวงตาของหานเซิ่นดูเลือดเย็น และเสียงของเขาก็ฟังดูเย็นชา


“พวกเจ้าเอาแต่พูดเหมือนกับว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก สิ่งที่พวกเจ้าทำเป็นการทำร้ายผู้อื่น แต่พวกเจ้ากลับเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้มีคุณธรรม พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบ่งการชีวิตของเขา เขาเป็นลูกชายของข้า! แม้แต่ข้าก็ยังไม่ต้องการให้เขามาแบกรับความฝันของข้าเลย แต่พวกเจ้ากลับให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อกลายเป็นผู้กอบกู้ พวกเจ้ากล้าดียังไงมาพูดบางสิ่งที่ไร้ยางอายอย่างภาคภูมิแบบนั้น พวกเจ้าก็แค่พวกอ่อนแอและขี้ขลาดที่รักตัวกลัวตาย สิ่งที่พวกเจ้าพูดมันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น”


 


หานเซิ่นเงยหน้าขึ้นและจ้องตรงไปที่รูปปั้นของฉินซิว


“ลูกชายของข้าจะใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวของเขาเอง เขาจะต่อสู้เพื่อความฝันของตัวเอง!”


 


หานเซิ่นยกมีดขึ้นสูง ก่อนที่จะฟันออกไปในทิศทางของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังลุกไหม้อย่างสว่างไสว

 

 

 


ตอนที่ 2963 โชคชะตา

 

ในตอนที่มีดเหตุและผลถูกฟันลงมา มีดแสงนับไม่ถ้วนก็ล้อมตัวหานเซิ่นเหมือนกับทั้งกาแล็กซี่กำลังร่วงหล่น


 


มีดแสงที่น่ากลัวตรงเข้าไปหาปราสาท แต่มันถูกเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์บล็อกเอาไว้ ไม่สำคัญว่ามันจะมีมีดแสงอยู่มากเท่าไหร่ พวกมันก็ผ่านเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไปไม่ได้


 


“ไร้ประโยชน์ ตะเกียงเผ่าพันธุ์กลับคืนสู่ที่ของมันเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้เทพสปิริตจะมาอยู่ที่นี่ พวกเขาก็อะไรไม่ได้อยู่ดี นอกจากนายน้อยที่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไม่มีใครทำอะไรมันได้” อีแร้งแก่พูดด้วยรอยยิ้มที่อวดดี


 


ปีศาจสาวถาม “หานเซิ่น ทำไมเจ้าถึงหัวแข็งนัก? นายน้อยเป็นผู้นำของทุกคนในจักรวาล เจ้าเป็นพ่อของเขา ทำไมเจ้าถึงต้องมาขัดขวางเส้นทางของเขาด้วย?”


 


หานเซิ่นจับมีดเหตุและผลด้วยสองมือขณะที่ฟันมีดแสงเข้าไปใส่แสงศักดิ์สิทธิ์ของปราสาท แต่แรงที่สะท้อนกลับมานั้นทำให้มือของเขาสั่นไหว ผิวหนังระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของเขาแตกร้าวและเริ่มมีเลือดไหลออกมา


 


“เสี่ยวฮวาจะเลือกเดินบนเส้นทางนี้ก็ได้ แต่นั่นต้องเป็นการตัดสินใจของเขาเอง ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าเลือกให้กับเขา เพียงเพราะพวกเจ้ากลัวที่จะต้องเดินไปด้วยตัวเอง พวกเจ้าจึงให้เสี่ยวฮวาเป็นคนเดินบนเส้นทางนี้แทน ทั้งๆเขาเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง ถ้าพวกเจ้าต้องการจะสร้างเซเคร็ดขึ้นใหม่ พวกเจ้าก็ใช้ต้องเลือดของตัวเองเพื่อสร้างมันขึ้นมา พวกเจ้าพูดเหมือนกับว่าการใช้ชีวิตของคนอื่นเพื่อทำความฝันที่ตัวเองทำไม่สำเร็จเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่จริงๆแล้วมันทำให้พวกเจ้าดูน่าสมเพช” คำพูดแต่ละคำของหานเซิ่นเป็นเหมือนกับใบมีดที่แหลมคม


 


“พวกเราต้องอธิบายยังไงเจ้าถึงจะเข้าใจ? ในโลกใบนี้มีเพียงแค่นายน้อยเท่านั้นที่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่ใช้อาวุธสปิริตศักดิ์สิทธิ์และควบคุมตะเกียงเผ่าพันธุ์ได้ ถึงแม้พวกเราจะอยากทำมันด้วยตัวเอง พวกเราก็ทำไม่ได้” อีแร้งแก่พูดอย่างเกรี้ยวโกรธ


 


ปีศาจสาวพูด “หานเซิ่น มันมีบางสิ่งที่ถูกลิขิตเอาไว้อยู่แล้ว เหมือนอย่างที่ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน เจ้าก็ควบคุมตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดไม่ได้ โลกใบนี้ลิขิตให้นายน้อยเป็นผู้กอบกู้ มันจึงเป็นความรับผิดชอบที่เขาต้องแบบรับ เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งที่โชคชะตากำหนดให้เขาทำได้”


 


ดวงตาของหานเซิ่นดูแน่วแน่ เขายังคงใช้มีดเหตุและผลฟันใส่แสงของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ต่อไป ถึงแม้พลังของแสงศักดิ์สิทธิ์จะทำให้มีดเหตุและผลลุกไหม้ และทำให้ร่างกายของหานเซิ่นลุกไหม้ตามไปด้วยก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่ลดละความพยายาม


 


หานเซิ่นดูโกรธมากๆ เขาดึงพลังออกมามากขึ้นเรื่อยๆเพื่อจะทำลายคนของเซเคร็ดพวกนี้ ในที่สุดหานเซิ่นก็เปิดเผยโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดของเขาออกไป


 


“จักรวาลจะดำเนินต่อไป ถึงแม้มันจะสูญเสียคนที่สำคัญหลายคนไป ซึ่งรวมถึงตัวข้าด้วย” หานเซิ่นพูด


“ไม่มีใครที่เกิดมาเป็นผู้กอบกู้ของจักรวาล ไม่ควรมีใครถูกบังคับให้แบกรับภาระที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นตั้งแต่ที่พวกเขาเกิดขึ้นมา เมื่อเทียบกับความตายแล้ว สิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาก็เป็นเพียงแค่ชะตากรรมที่พวกเจ้ากำหนดขึ้นมา ถ้าพวกเจ้ายินดีที่จะแบกรับมัน ไม่ว่าใครก็ทำตามโชคชะตาของตัวเองได้ ผู้นำเซเคร็ดเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในยุคสมัยของเขา เขาสำเร็จทุกอย่าง เขาสั่งการทุกอย่าง เขาควบคุมทุกอย่าง ถึงแม้เขาจะทำความผิด แต่นั่นเป็นโชคชะตาที่เขาต้องแบกรับ ถึงแม้เขาจะสมควรตาย แต่ข้าก็นับถือที่เขามีความกล้าที่จะแบกรักโชคชะตาแบบนั้น ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกน้องของเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ประโยชน์ที่ขาดความกล้าและรักตัวกลัวตาย”


 


เมื่อปีศาจสาว อีแร้งแก่ อสูรไร้ดวงตาและเรดโกสต์ได้ยินคำพูดของหานเซิ่น พวกเขาก็รู้สึกโกรธอย่างมาก แต่พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหานเซิ่น ถึงพวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองถูกเหยียดหยาม พวกเขาก็ไม่กล้าจะออกไปต่อสู้กับหานเซิ่น


 


“เจ้าก็แค่พยายามจะเล่นคำ” อีแร้งแก่พูดอย่างเกรี้ยวโกรธ


“ถ้าเจ้าบอกว่าทุกคนแบกรักโชคชะตาของพวกเขาได้ ทำไมเจ้าไม่มาควบคุมตะเกียงเผ่าพันธุ์และปราสาทศักดิ์สิทธิ์ซะล่ะ? ถ้าเจ้าทำไม่ได้ สิ่งที่เจ้าพูดมามันก็เป็นอะไรที่เหลวไหล มันเป็นแค่คำพูดบ้าๆที่เจ้าพูดออกมาเพราะว่าเจ้าไร้ความสามารถและอิจฉา”


 


ในอดีตพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งอีแร้งแก่ ทุกคนต่างก็หวาดกลัวพวกมัน การที่หานเซิ่นบอกว่ามันขี้ขลาดตาขาวจึงทำให้มันโกรธอย่างมาก


 


“ไม่สำคัญว่าข้าจะทำสำเร็จหรือไม่ แค่ข้าทำอย่างเต็มที่ก็เพียงพอแล้ว” หานเซิ่นดูแน่วแน่ คำพูดของอีแร้งแก่ไม่สามารถเปลี่ยนใจของเขาได้


 


อีแร้งแก่ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มันเห็นเปลวเพลิงสีขาวลุกโชนขึ้นมาจากร่างกายของหานเซิ่น


 


“นี่…เป็นไปไม่ได้… นี่มันเป็นไปไม่ได้…” อีแร้งแก่ตกตะลึงเมื่อเห็นเปลวเพลิงสีขาว มันไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง


 


ปีศาจสาว เรดโกสต์และอสูรไร้ดวงตาต่างก็ตกใจเช่นเดียวกัน พวกมันมองไปที่เปลวเพลิงบนตัวของหานเซิ่นราวกับว่าพวกมันกำลังเห็นผี


 


“เป็นไปไม่ได้… นั่นมันเป็นไปไม่ได้…มีเพียงแค่คนที่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะใช้อาวุธสปิริตศักดิ์สิทธิ์…ทำไมเขาถึงได้…”


ขณะที่เปลวเพลิงรอบๆร่างกายหานเซิ่นสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของปีศาจสาวก็เบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม


 


เสียงคำรามดังขึ้นมา ขณะที่เปลวเพลิงสีขาวบนร่างกายของหานเซิ่นเปลี่ยนเป็นเงาของกิเลน มันคือสปิริตศักดิ์สิทธิ์ของกิเลนศักดิ์สิทธิ์


 


“กิเลนศักดิ์สิทธิ์… เป็นไปไม่ได้… นอกจากนายน้อยที่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไม่มีใครใช้อาวุธสปิริตศักดิ์สิทธิ์ได้อีก ไม่มีทาง…”


เมื่อเห็นเปลวเพลิงสีขาวบนร่างกายของหานเซิ่นเปลี่ยนเป็นรูปร่างของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ อีแร้งแก่ก็ดูเหมือนกับว่าวิญญาณของมันหลุดออกไปจากร่าง


 


ปีศาจสาว เรดโกสต์และอสูรไร้ดวงตาต่างก็ตกตะลึง พวกมันจ้องไปที่เงาแสงของกิเลนศักดิ์สิทธิ์อย่างพูดอะไรไม่ออก


 


ตูม!


สปิริตศักดิ์สิทธิ์ของกิเลนศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนกลับไปเป็นเพลิงสีขาว ขณะที่มันตรงเข้าไปหามีดเหตุและผลของหานเซิ่น แสงศักดิ์สิทธิ์ทำให้มีดเหตุและผลลุกโชนขึ้นมา เปลวเพลิงของมีดนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนเหมือนกับดวงอาทิตย์อันร้อนแรง


 


หลังจากที่สปิริตศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในมีดเหตุและผลแล้ว ใบมีดก็กลายเป็นสิ่งที่โปร่งแสงและมีเครื่องหมายสปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นบนใบมีด


 


หานเซิ่นกำมีดเหตุและผลเอาไว้แน่น เขารู้สึกได้ถึงพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุดกำลังพลุ่งพล่านภายในใบมีด ซึ่งทำให้จิตใจของเขาสงบนิ่ง


 


ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถใช้กิเลนศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ตอนนี้ด้วยเหตุผลบางอย่างมันตอบสนองและเขาสามารถเรียกมันออกมาได้


 


หลังจากที่ได้สัมผัสกับพลังของสปิริตศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุดหานเซิ่นก็เข้าใจว่าทำไมปีศาจสาวและคนอื่นๆถึงเชื่อมั่นว่าอาวุธสปิริตศักดิ์สิทธิ์จะทำให้ความฝันของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมา พลังที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์มอบให้นั้นมากมายมหาศาลขนาดที่คนอื่นไม่มีทางจินตนาการถึงมันได้


 


แม้แต่อาวุธประจำตัวพระเจ้าอย่างหอกสกายไวน์แรดิชก็อตก็ไม่สามารถเทียบชั้นกับพลังจากสปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ได้ มันเหมือนกับการเอาดวงดาวมาเปรียบเทียบกับดวงจันทร์


 


หานเซิ่นฟันออกไปและแสงของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกตัดขาดในทันที หลังจากที่หานเซิ่นเดินเข้าไป สิ่งแรกที่เขาทำลายก็คือประตูของปราสาทศักดิ์สิทธิ์


 


“ไม่… ไม่…” ปีศาจสาว อีแร้งแก่ เรดโกสต์และอสูรไร้ดวงตาดูสิ้นหวัง


 


พลังของตะเกียงเผ่าพันธุ์นั้นไม่ได้ผลกับอาวุธสปิริตศักดิ์สิทธิ์ มันไม่สามารถป้องกันการบุกเข้ามาของหานเซิ่นได้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหานเซิ่นถึงใช้สปิริตศักดิ์สิทธิ์ของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ได้ นั่นควรจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


 


ประตูของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ถูกตัดขาดครึ่ง และทำให้มันล้มลงทั้งสองด้าน หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ถือมีดเหตุและผลเดินเข้าไปข้างใน หานเซิ่นเดินไปถึงตรงหน้ารูปปั้นหินของฉินซิวและสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นเขาก็ยกมีดในมือขึ้นมา

 

 

 


ตอนที่ 2964 ทำลายปราสาทศักดิ์สิทธิ์

 

หานเซิ่นมองไปที่รูปปั้นของฉินซิวและยกมีดในมือขึ้น


“ฉินซิว ข้าดื่มไวน์ของเจ้าสามแก้ว ชีวิตของหว่านเอ๋อร์ข้าจะแบกรับเอาไว้เอง เจ้ากับข้าเดินกันคนละเส้นทาง พวกเราจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อเส้นทางของตัวเอง วันนี้ข้าจำเป็นต้องทำลายเส้นทางของเจ้าเพื่อสร้างเส้นทางของข้า”


 


“หานเซิ่น… เจ้าบังอาจ…” อีแร้งแก่ ปีศาจสาว อสูรไร้ดวงตาและเรดโกสต์คำรามออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาปลดปล่อยพลังที่รุนแรงที่สุดขอตัวเองออกไปโจมตีหานเซิ่น พวกเขาพยายามจะหยุดหานเซิ่นจากการทำลายปราสาทศักดิ์สิทธิ์


 


หานเซิ่นแกว่งมีดและด้วยพลังของสปิริตศักดิ์สิทธิ์ มันก็ตัดพลังทั้งสี่ของปีศาจสาวและคนอื่นอย่างง่ายดาย ปีศาจสาวและคนอื่นๆถูกส่งกระเด็นออกไปนอกปราสาทศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่กระอักเลือกออกมา พวกเขาพยายามจะลุกกลับขึ้นมา แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้


 


“เพื่อเห็นแก่ที่พวกเจ้าดูแลเสี่ยวฮวาเป็นอย่างดี วันนี้ข้าจะยังไม่ฆ่าพวกเจ้า แต่ปราสาทศักดิ์สิทธิ์นี้ต้องถูกทำลาย” หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็ฟันออกไปใส่รูปปั้นของฉินซิว


 


“ไม่!” ปีศาจสาวตะโกนขณะที่นอนกองอยู่บนพื้น เธอไม่สามารถลุกขึ้นมาเพื่อหยุดหานเซิ่นได้


 


อีแร้งแก่ เรดโกสต์และอสูรไร้ดวงตาต่างก็ดูสิ้นหวัง พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าปราสาทศักดิ์สิทธิ์จะถูกทำลาย เพราะแม้แต่เหล่าเทพสปิริตก็ไม่สามารถทำลายปราสาทศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่มันกำลังจะถูกทำลายโดยอาวุธที่ผู้นำเซเคร็ดสร้างขึ้นมา


 


หานเซิ่นฟันมีดออกไป มีดแสงสีขาวตัดผ่ากลางรูปปั้นของฉินซิวจนขาดครึ่ง หลังจากนั้นทั้งสองด้านของรูปปั้นก็ถล่มลงมา


 


แต่ทว่าตะเกียงเผ่าพันธุ์ยังคงลอยตัวอยู่บนอากาศ มันไม่ได้ร่วงลงไปพร้อมกับรูปปั้น


 


ตูม! ตูม! ตูม!


ในจังหวะที่รูปปั้นของฉินซิวพังทลาย รูปปั้นอื่นที่อยู่รอบๆก็พังทลายเช่นเดียวกัน ปราสาทศักดิ์สิทธิ์สั่นไหวและเริ่มจะถล่มลงมา มันเหมือนกับว่าโลกใบนี้กำลังถึงจุดจบ


 


“ไม่!” ปีศาจสาวดูสิ้นหวังมากๆ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าปราสาทศักดิ์สิทธิ์จะพังทลายแบบนั้น ซึ่งความหวังที่จะสร้างเซเคร็ดขึ้นใหม่ก็ถูกทำลายไปพร้อมๆกัน


 


ดวงตาของอีแร้งแก่และคนอื่นๆมีน้ำตาเลือดไหลออกมา ปราสาทศักดิ์สิทธิ์นั้นคือความหวังเดียวของพวกเขาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ตอนนี้ความหวังนั้นถูกพังทลายไปแล้ว มันทำให้พวกเขาหัวใจสลาย


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภามองดูสิ่งที่เกิดขึ้นจากระยะไกล เขารู้สึกโล่งใจอย่างมากและพูดขึ้นว่า


“ในเมื่อมันเป็นอดีตไปแล้ว มันก็ควรจะถูกฝังไปตลอดการ โลกใบนี้โกลาหลมากพอแล้ว พวกเราจะไปทำให้มันโกลาหลมากกว่านี้ไปทำไม?”


 


“มิสเตอร์หาน ทำไมถึงทำอะไรแบบนี้?” ไนน์เทาซันด์คิงตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่หานเซิ่นทำลงไป เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้นำเซเคร็ดจะต้องการให้เขาคุ้มครองหานเซิ่นมาที่นี่เพื่อทำลายปราสาทศักดิ์สิทธิ์ มันทำให้เขารู้สึกสับสนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ เขายืนนิ่งไปอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะทำอะไรต่อไป


 


ขณะที่ทุกคนกำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็เห็นปราสาทศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกทำลายปลดปล่อยแสงออกมา ขณะที่ลำแสงถูกปล่อยออกมาตัดกันมากขึ้นเรื่อยๆ เศษหินของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็ลอยขึ้นจากพื้นและเผยให้เห็นวัตถุคริสตัลขนาดใหญ่ที่เหมือนกับแผ่นดิสก์ที่อยู่ข้างใต้


 


ตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งห้าลอยเข้าไปประจำมุมของแผ่นคริสตัลและเริ่มจะปลดปล่อยแสงสว่างออกมา พวกมันส่องสว่างยิ่งกว่าตอนที่มันอยู่บนรูปปั้นหินซะอีก


 


ในตอนที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ความสิ้นหวังของปีศาจสาวและคนอื่นๆก็ถูกเปลี่ยนเป็นความแปลกใจ พวกเขาจ้องมองไปที่แผ่นคริสตัลด้วยความงุนงง เนื่องจากไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


หานเซิ่นขมวดคิ้วและมองไปที่แผ่นคริสตัล ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งออกมาจากอกของเขาและบินไปที่ศูนย์กลางของแผ่นคริสตัล ซึ่งมันก็คือรูปปั้นของหว่านเอ๋อร์


 


รูปปั้นหยกของหว่านเอ๋อร์บินลงไปบนแผ่นคริสตัลและใส่ตัวเองเข้าไปในช่องว่างที่อยู่ตรงใจกลาง หลังจากนั้นรูปปั้นหยกที่มีขนาดเท่าฝ่ามือก็ขยายใหญ่ขึ้น มันกลับคืนสู่ขนาดเดิมที่หานเซิ่นเคยเห็นในสวนศักดิ์สิทธิ์


 


บนแผ่นคริสตัลมีลวดลายประหลาดมากมายปรากฏขึ้นมา และหลังจากที่รูปปั้นหยกเข้าไปอยู่ที่จุดศูนย์กลาง แสงที่ตัดกันไปมาก็ทำให้เกิดเป็นสัญลักษณ์ประหลาดอย่างหนึ่ง


 


ทันใดนั้นรูปปั้นหยกก็เหมือนกับว่ามีชีวิตขึ้นมา มันมองมาที่หานเซิ่น


“ข้ารู้ว่าเจ้าก็คือบุคคลที่ข้าต้องการ”


 


“ข้าไม่ใช่ผู้กอบกู้” หานเซิ่นพูดขณะที่มองไปที่ฉินซิว


 


“ข้าไม่ได้ต้องการผู้กอบกู้” เสียงของฉินซิวดังขึ้นมาจากรูปปั้นหยก


“ข้าไม่ได้จะปกป้องโลกใบนี้ และข้าไม่ได้มองหาคนที่จะเดินตามเส้นทางของข้า ทั้งหมดที่ข้าต้องการก็คือผู้เบิกทาง ข้าต้องการคนที่จะทำลายกฎที่ถูกตั้งเอาไว้”


 


“ท่านผู้นำ!” ไนน์เทาซันด์คิงรีบเข้ามาคุกเข่าคำนับ


 


ปีศาจสาว เรดโกสต์ อีแร้งแก่และอสูรไร้ดวงตาเองก็พยายามจะลุกขึ้นมาเพื่อโค้งคำนับให้กับฉินซิว พวกเขาดูทั้งดีใจและประหลาดใจ


 


“ข้าไม่ใช่คนที่เจ้าต้องการ นอกจากเรื่องของหว่านเอ๋อร์ ข้าจะไม่ทำอะไรให้กับเจ้า” หานเซิ่นขมวดคิ้ว


 


“ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าทำอะไรให้กับข้า เจ้าแค่ต้องทำตามหัวใจของตัวเอง เจ้ากับข้านั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่มีข้า เจ้าก็จะไปถึงจุดหมายที่เจ้าแสวงหา ข้าก็แค่จะทำให้เจ้าไปถึงเส้นทางนั้นเร็วขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น”


หลังจากที่พูดจบ รูปปั้นหยกก็ส่องสว่างออกมา ลวดลายบนแผ่นคริสตัลเชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ และดูเหมือนกับว่ารูปปั้นหยกกำลังยืนอยู่บนดวงจันทร์ที่สว่างไสว


 


ก่อนที่หานเซิ่นจะได้พูดอะไร ฉินซิวก็มองไปที่พวกปีศาจสาวก่อนที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม


“ขอบคุณพวกเจ้าที่ทำงานอย่างหนัก พวกเจ้าทำได้ดีมาก จากนี้ต่อไปพวกเจ้าเป็นอิสระแล้ว พวกเจ้าจะทำอะไรก็ได้ที่พวกเจ้าต้องการ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคอยเฝ้าที่นี่อีกต่อไป”


 


“นายท่าน ทั้งหมดนี่มันหมายความว่ายังไง? ข้าคิดว่านายท่านบอกว่ามีแค่คนที่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะเป็นผู้นำคนใหม่ของเซเคร็ด ทำไมเขาที่ไม่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ถึง…” ปีศาจสาวเต็มไปด้วยความสับสน


 


“คนที่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้นำคนใหม่ของเซเคร็ด แบบนั้นเซเคร็ดก็จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่นั่นเป็นแค่ความต้องการขั้นต่ำสุดเพื่อจะรักษาความหวังสุดท้ายเอาไว้ แต่สิ่งที่จำเป็นจริงๆนั้นเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ข้าต้องการคนที่จะเดินไปได้ไกลกว่าข้า ข้าต้องการคนที่จะประสบความสำเร็จมากยิ่งกว่า…”


 


ฉินซิวยืนบนแผ่นคริสตัลและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาของเขาเริ่มจะขาดโฟกัส ขณะที่แขนของเขาค่อยๆยกขึ้นไป มันเหมือนกับว่าเขาพยายามจะคว้าท้องฟ้าเอาไว้


 


“ให้ข้าแนะนำโลกที่น่าสนใจนี้ให้เจ้ารู้จัก” ฉินซิวยิ้ม


 


หานเซิ่นต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นแผ่นคริสตัลก็ส่องสว่างจนแสบตาและแผ่นคริสตัลก็หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ในตอนที่ฉินซิวยกแขนขึ้นจนสุด แสงของแผ่นคริสตัลก็ปะทุเหมือนกับภูเขาไฟ มันกลายเป็นลำแสงที่พุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า


 


ตูม!


ทั้งจักรวาลเริ่มสั่นสะเทือน ดวงดาวและระบบจักรวาลต่างๆเริ่มสั่นไหว เผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนรู้สึกตกใจขณะที่พวกเขาพากันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขามองไปที่เสาแห่งแสงเหมือนกับว่ามันเป็นที่ยึดเหนี่ยวของจักรวาลนี้


 


ที่ปลายสุดของเสาแห่งแสง ดูเหมือนว่าน้ำแข็งสีดำกำลังละลายและโลกที่อยู่เบื้องหลังก็กำลังเผยออกมาให้เห็น


 


มันมีวิหารลึกลับมากมายปรากฏออกมา ในตอนแรกพวกมันดูเหมือนกับเงาลางๆ แต่ยิ่งความมืดถูกละลายหายไปเรื่อยๆโดยเสาแห่งแสง ทุกอย่างก็ชัดเจนและเหมือนจริงมากขึ้นเรื่อยๆ


 


“นี่…มันคือจีโนฮอลล์” หานเซิ่นหลี่ตาและมองไปที่สิ่งก่อสร้างลึกลับในอวกาศ

 

 

 


ตอนที่ 2965 ดินแดนของพระเจ้า

 

 


สิ่งมีชีวิตมากมายทั่วจักรวาลต่างพากันมองไปที่สิ่งก่อสร้างลึกลับบนท้องฟ้าด้วยความตกใจ หลายคนจดจำจีโนฮอลล์ได้ แต่ในครั้งนี้จีโนฮอลล์เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ มันมีวิหารมากมายอยู่ใต้จีโนฮอลล์


 


ในอดีตตอนที่จีโนฮอล์ปรากฏออกมา มันดูเหมือนกับดวงจันทร์ในกระจก ถึงแม้ทุกคนจะมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ใช่ของจริง แต่ตอนนี้ทุกคนรู้สึกว่าจีโนฮอลล์และวิหารมากมายที่ปรากฏออกมานั้นเป็นของจริง มันเหมือนกับว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นสามารถตกลงมาจากท้องฟ้าได้ทุกเมื่อ


 


“วิหารเกราะนภา… วิหารสกายไวน์แรดิช… วิหาร…” ยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ต่างๆเห็นตัวอักษรที่อยู่เหนือประตูของวิหารเหล่านั้น


 


สิ่งก่อสร้างทั้งหมดเรียงต่อกันเป็นเหมือนกับพีระมิดขนาดยักษ์ ชั้นล่างสุดมีวิหารอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะชั้นบนสุดมีเพียงแค่จีโนฮอลล์


 


“มันผ่านมานานแล้ว แต่ตอนนี้ในที่สุดบาเรียอวกาศก็ถูกทำลาย ยุคสมัยของการต่อสู้กับพระเจ้ามาถึงแล้ว นี่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเซเคร็ดจะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างนั้นหรอ?”


ผู้นำปราสาทนภายืนอยู่บนยอดของปราสาทก้อนเมฆและจ้องมองไปที่ปราสาทพระเจ้าอันลึกลับ สีหน้าของเขาดูซับซ้อนมากๆ


 


“บาเรียอวกาศถูกทำลาย เวลาของพวกเรามาถึงแล้ว” ในก้นบึ้งของความมืดมิด สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวส่งเสียงคำรามออกมา


 


“ในที่สุดมันก็เกิดขึ้น” บนถนนบนดวงดาวที่พังพินาศ หมอดูคนหนึ่งที่กำลังถือธงอยู่ถอนหายใจ ขณะที่มองไปที่ปราสาทของพระเจ้า


 


“ในที่สุดวันที่พวกเรารอคอยก็มาถึง ผู้นำเซเคร็ดไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ เขามีหนทางอยู่จริงๆ เขาทำลายบาเรียอวกาศได้อีกครั้งแล้ว”


ในปราสาทบนดาวแคระสีแดง ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เหมือนกับราชันพูดขึ้นมา เขามองไปที่ปราสาทของพระเจ้าด้วยความสนใจ


 


โหลวเลี่ยโค้งคำนับและพูด “ท่านประมุข บาเรียอวกาศถูกทำลายแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด ท่านประมุขได้โปรดให้ข้าไปต่อสู้ ข้าจะชิงวิหารพระเจ้ามาให้กับพยุหะโลหิตให้ได้”


 


สมาชิกของพยุหะโลหิตอีกสองคนคุกเข่าลงและแสดงความปรารถนาที่จะต่อสู้ออกไปทันที “ท่านประมุขได้โปรดให้พวกเราไปต่อสู้”


 


“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน มันยังมีคนอื่นที่รีบร้อนยิ่งกว่าพวกเรา” ประมุขพยุหะโลหิตมองไปที่วิหารพระเจ้าและยิ้มออกมา


 


เสียงของนกดังขึ้นในอวกาศ และมันทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจ้องมองไปที่จีโนฮอลล์ ทันใดนั้นก็มีนกยักษ์ประหลาดขนสีดำที่มีหัวเก้าหัวบินฉีกมิติของอวกาศออกมา มันปลดปล่อยออร่าที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ขณะที่มันบินเข้าไปหาปราสาทของพระเจ้า


 


“โกสต์คาร์…” หานเซิ่นจดจำมันได้ นกตัวนี้ดูเหมือนกับโกสต์คาร์ที่หานเซิ่นได้มาจากซีโน่เจเนอิคแผ่นหิน แต่นกตัวนี้ไม่ได้เป็นธาตุหิน มันเป็นโกสต์คาร์ตัวจริงๆ


 


โกสต์คาร์นั้นถูกเรียกกันว่าฟินิกซ์เก้าหัว ตำนานบอกว่ามันเป็นฟินิกซ์ที่เกิดมาผิดปกติ มันควรจะมีฟินิกซ์ทารกเก้าตัวกำเนิดขึ้นมา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทารกในครรภ์ทั้งเก้ารวมกันและเกิดเป็นมาฟินิกซ์เก้าหัวที่ผิดปกติ


 


โกสต์คาร์นั้นมีธาตุที่แตกต่างไปจากฟินิกซ์ทั่วๆไป แทนที่ร่างกายจะห่อหุ้มไปด้วยเพลิงของฟินิกซ์ ร่างกายของมันกลับเต็มไปด้วยควันสีดำที่ดูไม่ร้อนเลยสักนิดแทน


 


ท่ามกลางสายตาของทุกเผ่าพันธุ์ โกสต์คาร์เดินทางผ่านอวกาศและมาอยู่ตรงหน้าปราสาทของพระเจ้า มันมุ่งหน้าตรงไปยังวิหารหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างสุดและบินลงไปยังลานกว้างของวิหาร


 


“เจ้าสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อย เจ้ากล้าดียังไงมาที่วิหารพระเจ้าของข้า” มีเสียงดังออกมาจากภายในวิหาร


 


เมื่อได้ยินเสียงของพระเจ้า หัวทั้งเก้าของโกสต์คาร์ก็หัวเราะอย่างแปลกๆและหัวหนึ่งพูดออกมา


“บาเรียอวกาศถูกทำลายแล้ว พระเจ้าก็ไม่ใช่พระเจ้าอีกต่อไป วันนี้ข้าจะกลืนสิ่งประจำตัวพระเจ้าของเจ้า ข้าจะดึงธงพระเจ้าของเจ้าลงมาและเอาวิหารพระเจ้าของเจ้ามาเป็นของข้า”


 


หลังจากนั้นโกสต์คาร์ก็กระพือปีกและยื่นหัวออกไปงับธงของพระเจ้าสายฟ้าที่อยู่ในวิหาร


 


“เจ้ากล้าดียังไง!” เสียงของพระเจ้าฟังดูเกรี้ยวโกรธ มันดังเหมือนกับเสียงฟ้าร้อง ประตูของวิหารเปิดออกและเผยให้เห็นเทพสปิริตที่เหมือนกับยักษ์ภายใน เทพสปิริตที่ห่อหุ้มด้วยสายฟ้าเดินออกมาจากวิหารและปล่อยสายฟ้านับหมื่นออกไปใส่โกสต์คาร์ทันที


 


“การกินเทพสปิริตนั้นเป็นบางสิ่งที่ข้าเคยทำเมื่อนานมาแล้ว ทำไมข้าจะไม่กล้า?”


โกสต์คาร์หัวเราะอย่างแปลกๆ มันไม่ได้หวาดกลัวต่อสายฟ้าที่พุ่งเข้ามา ในจังหวะที่สายฟ้ากำลังจะมาถึงตัวมัน โกสต์คาร์ก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นฝุ่นควัน


 


ฝุ่นควันนั้นไม่ได้กระจายออกและสลายไป มันจับกลุ่มกันเป็นก้อนเมฆควันสีดำที่พุ่งเข้าไปหาร่างกายของเทพสปิริต มันห่อหุ้มเทพสปิริตเอาไว้ภายในควันสีดำ


 


ทุกเผ่าพันธุ์จับจ้องไปที่หน้าวิหารพระเจ้าเพื่อดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เทพสปิริตนั้นถูกห่อหุ้มเอาไว้โดยควันสีดำ ซึ่งทำให้ไม่มีใครมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน


 


เสียงฟ้าผ่าดังมาจากภายในควันสีดำและตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของเทพสปิริต เมื่อดูจากเสียงร้องแล้ว สถานการณ์ของเทพสปิริตจะต้องเลวร้ายมากๆ


 


ไม่นานเสียงฟ้าฝ่าและเสียงกรีดร้องก็หายไป หลังจากนั้นควันสีดำก็เปลี่ยนกลับมาเป็นโกสต์คาร์อีกครั้ง


 


เทพสปิริตที่เหมือนกับยักษ์ถูกเปลี่ยนเป็นกองกระดูกสีขาว กระดูกนั้นไม่มีเนื้อติดอยู่แม้แต่นิดเดียว เหมือนกับว่าพวกมันถูกกินจนหมดเกลี้ยง


 


ปัง!


กระดูกสีขาวแตกกระจายในสายลมและเปลี่ยนเป็นสายฟ้ามากมาย หลังจากนั้นพวกมันก็ก่อตัวกันเป็นตรีศูลสายฟ้าในอากาศ


 


โกสต์คาร์อ้าปากและดูดตรีศูลเข้าไป ก่อนที่จะเงยหัวขึ้นและหัวเราะ


 


หลังจากนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากจีโนฮอลล์ที่อยู่ชั้นบนสุด


“เจ้าเอาชนะพระเจ้าสายฟ้าได้สำเร็จ เจ้าแค่ต้องนำธงลงมาเพื่อที่เจ้าจะได้แทนที่พระเจ้าสายฟ้าในฐานะเทพสปิริตคนใหม่ เจ้าจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ เจ้ายินดีจะรับตำแหน่งนั้นไหม?”


 


หานเซิ่นยังคงจำตอนที่โกลเด้นโกรวเลอร์โจมตีจีโนฮอลล์ได้ มันเป็นเสียงเดียวกับตอนนั้น


 


“ข้าเดินทางไปทั่วจักรวาลกินใครก็ตามที่ข้าต้องการ ข้าไม่ใช่สุนัขเฝ้าบ้านตัวหนึ่ง วันนี้ข้าอิ่มแล้ว วันหน้าข้าจะกลับมากินอีก” โกสต์คาร์หัวเราะและกระพือปีกบินหายไปในอวกาศ


 


หลังจากที่เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ สิ่งมีชีวิตของเผ่าพันธุ์ต่างๆก็ตกตะลึง สิ่งมีชีวิตธรรมดานั้นไม่เคยรู้เกี่ยวกับโกสต์คาร์มาก่อน ทุกคนจึงตกใจที่ได้เห็นว่ามันกินเทพสปิริตคนหนึ่งเข้าไปอย่างง่ายดาย


 


ทันใดนั้นก็มีอสูรตัวใหญ่ที่ดูเหมือนกับลิงแม็กแคกปรากฏตัวออกมา มันตรงเข้าไปในวิหารพระเจ้าที่โกสต์คาร์เพิ่งจะบินจากไป มันไปอยู่ต่อหน้าวิหารและยื่นอุ้งมือออกไปเพื่อคว้าธงของวิหารมา


 


“เจ้าอาจไม่ต้องการเป็นพระเจ้า แต่ข้าต้องการ ให้ข้าเป็นเทพสปิริตที่ไม่มีวันตาย”


แม็กแคกยักษ์เต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า ในจังหวะที่มือของมันกำลังจะสัมผัสกับธงพระเจ้า ประตูของวิหารพระเจ้าก็เปิดออก มีเทพสปิริตเดินออกมาขณะที่ร่างกายห่อหุ้มไปด้วยสายฟ้า เขาพุ่งออกไปและเปลี่ยนแม็กแคกยักษ์ให้กลายเป็นผุยผง


 


เมื่อทุกสิ่งมีชีวิตเห็นว่าเทพสปิริตที่ออกมาจากวิหารพระเจ้านั้นดูเหมือนกับเทพสปิริตที่เพิ่งจะถูกโกสต์คาร์กินเข้าไปไม่มีผิด พวกเขาก็รู้สึกแปลกใจ “นี่เทพสปิริตไม่มีวันตายจริงๆหรอเนี่ย?”


 


หานเซิ่นรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เทพสปิริตในวิหารพระเจ้านั้นเป็นอมตะ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่ได้ประหลาดใจอะไร


 


“ดูเหมือนว่ารอบนี้เราจะเป็นฝ่ายแพ้” หานเซิ่นมองไปที่แผ่นคริสตัลและรูปปั้นหยกที่กลายเป็นเสาแห่งแสง เขามีรอยยิ้มแห้งๆขณะที่หยิบเอาตะเกียงหินทั้งห้าที่ไม่มีแสงสว่างอีกแล้วขึ้นมา


 


เขาตั้งใจจะทำลายแผนการของผู้นำเซเคร็ดโดยหวังว่านั่นจะทำให้เสี่ยวฮวาหลุดพ้นจากเกมส์ของผู้นำเซเคร็ด แต่สิ่งที่เขาทำกลับเป็นการช่วยผู้นำเซเคร็ดทำลายบาเรียอวกาศ เขากลายเป็นตัวหมากที่ช่วยให้วิหารของพระเจ้าเผยออกมา

 

 

 


ตอนที่ 2966 ทำลายหรือไม่?

 

 


หานเซิ่นมองไปที่ปราสาทของพระเจ้าในอวกาศ ปราสาทของพระเจ้านั้นมีขนาดใหญ่มหึมา มันประกอบไปด้วยวิหารที่งดงามจำนวนมาก พื้นที่ของมันกว้างใหญ่เหมือนกับอวกาศในระบบจักรวาล


 


บางทีมันอาจจะเป็นเพราะแม็กแคกยักษ์เพิ่งจะถูกเทพสปิริตฆ่าไป มันจึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นที่ปรากฏตัวออกมาเพื่อต่อสู้กับเทพสปิริตอีก


 


ปราสาทของพระเจ้าจึงลอยอยู่ในอวกาศอย่างเงียบๆ มันดูเหมือนกับสิ่งที่อยู่ระหว่างความเป็นจริงและความฝัน ทั้งๆที่มันเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่โตขนาดนั้น มันกลับไม่กินพื้นที่ของจักรวาลเลยแม้แต่นิดเดียว


 


นอกจากวิหารของพระเจ้าสายฟ้าที่ถูกเปิดออกก่อนหน้านี้แล้ว ประตูของวิหารพระเจ้าอื่นๆยังคงปิดสนิทเช่นเดียวกับประตูของจีโนฮอลล์ที่อยู่ด้านบนสุด


 


“มันยากที่จะหนีจากความโกลาหล ที่สุดแล้วบาเรียอวกาศก็ทำลายโดยผู้นำเซเคร็ด แต่ตอนนี้ผู้นำเซเคร็ดไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว ถ้ามันเกิดการต่อสู้กับพระเจ้าขึ้นอีกครั้ง ใครจะหยุดเทพสปิริตจากการจุติลงมา?” ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาถอนหายใจ


 


หานเซิ่นมองไปที่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาและถาม “นั่นมันหมายความว่ายังไง?”


 


ผู้อาวุโสหนึ่งพูด “เมื่อปราสาทของพระเจ้าอยู่ที่นี่ พวกเขาจะถูกจำกัดโดยกฎของจักรวาล ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงถูกขังอยู่ในวิหารพระเจ้าของตัวเอง พวกเขายังออกมาจากวิหารเพื่อไปฆ่าฟันสิ่งมีชีวิตในจักรวาลไม่ได้”


 


“นั่นเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรอ?” หานเซิ่นถาม


 


ผู้อาวุโสหนึ่งส่ายหัว “มันจะเป็นเรื่องดีถ้าพวกเขาออกมาไม่ได้จริงๆ แต่สิ่งมีชีวิตของจักรวาลนั้นต้องการจะกลายเป็นพระเจ้า พวกเขาต้องการเข้าไปแทนที่เทพสปิริตคนปัจจุบัน ในทางกลับกันเทพสปิริตก็จะเข้าสิงสิ่งมีชีวิตที่ไปยังวิหารของพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็จะเดินทางไปทั่วจักรวาลเพื่อทำการฆ่าฟัน ในตอนนี้วิหารของเทพสปิริตทั้งหมดนั้นปิดอยู่ แต่ถ้ามีสิ่งมีชีวิตพยายามจะท้าสู้กับพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆและเกิดถูกเข้าสิง มันก็จะเกิดความโกลาหลขึ้น”


 


“เมื่อก่อนเซเคร็ดได้บังคับให้ปราสาทของพระเจ้าเผยตัวเองออกมา ยอดฝีมือของยุคสมัยนั้นเข้าคิวกันเพื่อจะสังหารเทพสปิริต ซึ่งทำให้เทพสปิริตทำการโต้กลับ เทพสปิริตเข้าสิงผู้คนเพื่อจุติลงมา นั่นเป็นวิธีการที่พวกเขาทำลายเซเคร็ดจนกลายเป็นระบบจักรวาลร้างเหมือนอย่างทุกวันนี้ โชคดีที่เมื่อก่อนเซเคร็ดนั้นแข็งแกร่งมากๆ พวกเขาช่วยกันฆ่าเทพสปิริตที่เข้าสิงผู้คนและปกป้องจักรวาลเอาไว้ได้ แต่ตอนนี้ผู้นำเซเคร็ดไม่อยู่แล้ว ในจักรวาลนี้มันไม่มีฝ่ายไหนที่จะแข็งแกร่งเหมือนอย่างเซเคร็ดในอดีต ถ้าเทพสปิริตจุติลงมา ใครกันที่จะหยุดพวกเขา? จักรวาลนี้จะต้องล่มสลายเป็นแน่”


 


ปีศาจสาวพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้นและพูดอย่างไม่เห็นด้วย


“ที่เจ้าพูดมาทั้งหมดมันไร้สาระสิ้นดี เจ้าจะบอกว่าพวกเราไม่ควรทำลายบาเรียอวกาศเพื่อฆ่าเทพสปิริตอย่างนั้นหรอ? ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะหลุดพ้นจากกฎของจักรวาลนี้ได้ยังไง? มีเพียงแค่การฆ่าเทพสปิริตและเอาอาวุธประจำของพวกเขามาเท่านั้น พวกเราถึงจะมีอิสรภาพ พวกเราจะไม่ถูกผูกพันโดยประสงค์ของเทพสปิริต พวกเราแค่จำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น พวกเราไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเทพสปิริตพวกนั้น ผู้คนบอกว่าพวกเขากลัวเทพสปิริตที่จุติลงมาทำลายโลกใบนี้ แต่นั่นก็เป็นแค่ข้ออ้างของผู้คนที่หวาดกลัวและไร้ประโยชน์”


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาโต้แย้ง “จักรวาลนี้มีกฎ กฎของจักรวาลเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่ทุกคนจะได้มีชีวิตอยู่อย่างปกติ ถ้าพวกเจ้าไปทำลายกฎเหล่านั้น สมดุลของจักรวาลก็จะถูกทำลายไปด้วย หลังจากนั้นความโกลาหลก็จะตามมา”


 


“ถ้าพวกเราไม่ทำลายกฎ มันก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” อีแร้งแก่พูด


“พวกเราจำเป็นต้องทำลายกฎเพื่อจะสร้างกฎของตัวเอง พวกเราควรจะควบคุมชะตากรรมของตัวเอง”


 


ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นที่ต่างกัน และไม่มีฝ่ายไหนที่โน้มน้ามอีกฝ่ายได้


 


ไนน์เทาซันด์คิงพาปลาทองทั้งสองเข้ามา เขาเข้ามาโค้งคำนับหานเซิ่นและพูด “นายท่าน”


 


หานเซิ่นชี้ไปที่ปีศาจสาว อีแร้งแก่ อสูรไร้ดวงตาและเรดโกสต์


“จับพวกเขามัดเอาไว้และพาตัวพวกเขาไป พวกเราจะแลกเปลี่ยนกับแมวเก้าชีวิตโดยใช้ชีวิตของพวกเขา”


 


“ไม่มีความจำเป็นที่นายท่านต้องลำบากทำอะไรแบบนั้น” ปีศาจสาวพูดด้วยรอยยิ้ม


“ถ้านายท่านถูกเลือกโดยท่านผู้นำ พวกเราก็ยินดีจะช่วยเหลือนายท่านอย่างเต็มความสามารถ พวกเราจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยนายท่านทำลายเหล่าเทพสปิริต ตอนนี้ชีวิตของพวกเราเป็นของนายท่านแล้ว ถ้านายท่านอยากจะเห็นพวกเราตาย ทั้งหมดที่นายท่านต้องทำก็คือเอยปากออกมา”


 


หลังจากที่หยุดไปชั่วครู่ ปีศาจสาวก็พูดต่อ “ถึงแม้นายท่านจะไม่ต้องการพวกเรา แต่ข้าต้องขอบอกว่าการจับตัวพวกเราเป็นตัวประกันนั้นไร้ประโยชน์ เฒ่าแมวนั้นยินดีจะสละทุกอย่างเพื่อเสี่ยวฮวา เขาไม่มีทางยอมแลกนายน้อยเพื่อกับชีวิตของพวกเรา แต่นายท่านไม่จำเป็นต้องกังวล ด้วยคำพูดของผู้นำเซเคร็ด เฒ่าแมวนั้นจะมอบนายน้อยคืนให้กับนายท่าน”


 


ทันใดนั้นผู้อาวุโสหนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมา “ถ้าเจ้าใช้วิชามีดใต้นภาได้ เจ้าก็คงจะมีความสัมพันธ์กับปราสาทนภา มันมีคำกล่าวว่าของพวกเราที่ข้าหวังว่าเจ้าจะลองคิดเกี่ยวกับมัน กฎของจักรวาลและปราสาทพระเจ้าไม่ควรถูกทำลาย ไม่อย่างนั้นจักรวาลจะตกอยู่ในความโกลาหล”


 


“นายท่านอย่าไปฟังที่เขาพูด” ปีศาจสาวรีบพูดขึ้นมา


“ในตอนที่นายท่านฆ่าเทพสปิริตทั้งหมดได้แล้ว นายท่านก็จะเป็นคนที่กำหนดกฎของจักรวาลนี้ ใครมันจะกล้าขัด?”


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หานเซิ่นยกมือขึ้นเพื่อหยุดเขาเอาไว้


“เนื่องจากผู้นำปราสาทนภานั้นดีกับข้า ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น เจ้าไปจากที่นี่ซะ”


 


“ได้โปรดคิดดูดีๆ” ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาพูด แต่เขาสัมผัสได้ว่าหานเซิ่นจะไม่เปลี่ยนใจ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจและจากไป


 


“นายท่าน เขารู้ความลับเกี่ยวกับปราสาทศักดิ์สิทธิ์มากมาย เขาต้องเป็นสายลับที่เทพสปิริตส่งมาแน่ นายท่านไม่ควรไว้ชีวิตเขา” อีแร้งแก่พูดขึ้นมา


 


หานเซิ่นมองอีแร้งแก่อย่างเย็นชา “ผู้นำเซเคร็ดก็คือผู้นำเซเคร็ด ข้าก็คือข้า ข้าไม่ใช่เจ้านายของพวกเจ้า และข้าจะไม่ทำอะไรก็ตามที่เจ้านายของพวกเจ้าต้องการให้ข้าทำ ไนน์เทาซันด์คิง พาตัวพวกเขาไป”


 


ไนน์เทาซันด์คิงดูลังเล แต่เมื่อหานเซิ่นออกคำสั่ง เขาก็ไม่กล้าขัด ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเข้าไปมัดตัวปีศาจสาวและคนอื่นๆเอาไว้


 


ปีศาจสาวและคนอื่นๆไม่ได้ขัดขืน พวกเขาดูเหมือนจะยอมรับมัน ไนน์เทาซันด์คิงจึงมัดตัวของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย


 


อสูรยักษ์ไร้ดวงตาพูด “ไม่ว่านายท่านต้องการให้พวกเราทำอะไร พวกเราก็จะทำ พวกเราจะทำทุกอย่าง”


 


หานเซิ่นยิ้มแห้งๆ เขารู้ว่าปีศาจสาวและคนอื่นๆไม่ได้จงรักภักดีต่อเขา พวกเขาแค่จงรักภักดีต่อฉินซิว


 


หานเซิ่นคิด ‘ไม่แปลกใจเลยที่ฉินซิวเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในยุคสมัยนั้น ถึงแม้เขาจะตายไปแล้ว สิ่งมีชีวิตระดับท็อปก็ยังยินดีจะตายเพื่อเขา อิทธิพลของเขานั้นยากจะหยั่งถึงได้’


 


หานเซิ่นมีแผนจะกลับไปที่สเปชการ์เด้นเพื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ ถึงตอนนี้เขาจะได้รู้อะไรมากขึ้น แต่เขาก็ยังคงไม่รู้ถึงต้นกำเนิดของเรื่องทั้งหมด มันยังมีเรื่องอีกมากที่เขาต้องหาคำตอบ เขาไม่ต้องการจะด่วนตัดสินใจในทันที


 


ด้วยพลังของฉินซิว การมีชีวิตอยู่อย่างยาวนานเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา ตราบใดที่เขาไม่ทำอะไรโง่ๆ เทพสปิริตนั้นจะไม่มายุ่งอะไรกับเขา


 


แต่ฉินซิวตัดสินใจจะต่อสู้กับเทพสปิริต มันต้องมีเหตุผลที่ทำให้เขาทำแบบนั้น ก่อนที่หานเซิ่นจะรู้ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา เขาจะไม่สุ่มสี่สุ่มห้าไปต่อสู้กับเทพสปิริต


 


“พระเจ้านั่นหมายความว่ายังไง…” หานเซิ่นนึกย้อนไปถึงพระเจ้าที่เคยสิงร่างของกู่หว่านเอ๋อ ขณะที่มองขึ้นไปยังจีโนฮอลล์ที่อยู่บนจุดสูงสุดของปราสาทของพระเจ้า


 


ทันใดนั้นดวงตาของหานเซิ่นก็เป็นประกายขึ้นมา ในลานกว้างของหนึ่งในวิหารพระเจ้า เขาเห็นรูปปั้นสีทองอยู่


 


ไม่ใช่ มันเป็นอะไรที่มากกว่ารูปปั้นสีทอง มันคือโกลเด้นโกรวเลอร์ที่เข้าไปในจีโนฮอลล์ก่อนหน้านี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)