Super God Gene 2941-2952

ตอนที่ 2941 หานหยี่เฟย

 

 


หานเซิ่นเคยเห็นชื่อนั้นมาก่อน แต่มันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังจำมันได้ดี ในม้วนกระดาษที่เขาเคยได้รับมา มันมีชื่อของคนที่เคยฆ่าพระเจ้าบันทึกเอาไว้อยู่หลายคน และชื่อของหานหยี่เฟยก็อยู่ในนั้นด้วย แต่ความผิดของเธอที่ถูกบันทึกเอาไว้ไม่ใช่การฆ่าพระเจ้า แต่มันเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าแทน บทลงโทษสำหรับการดูหมิ่นต่อพระเจ้านั้นเป็นอะไรที่เลวร้ายยิ่งการฆ่าพระเจ้า นั่นเป็นเหตุผลที่หานเซิ่นจำมันได้เป็นอย่างดี


 


มันยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาจดจำมันได้ ผู้หญิงคนนั้นมีนามสกุลหานเหมือนกับเขา  นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาจดจำชื่อนั้นได้


 


“หานหยี่เฟยเป็นคนจากเผ่าพันธุ์ไหน? นางมีตำแหน่งอะไรในเซเคร็ด?” หานเซิ่นถาม


 


ไนน์เทาซันด์คิงส่ายหัวและพูด “ข้าไม่รู้ มันไม่มีใครรู้ว่าหานหยี่เฟยเป็นคนของเผ่าพันธุ์ไหน นางเป็นผู้หญิงที่ลึกลับมากๆ แม้แต่ผู้นำเซเคร็ดก็ปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดี เขาทำทุกอย่างที่นางบอกให้เขาทำ ท่านผู้นำนั้นมีการทดลองลับมากมาย และผู้หญิงคนนั้นก็คอยรับผิดชอบหลายการทดลอง ตำนานบอกว่าหานหยี่เฟยวิจัยเกี่ยวกับพลังเซเคร็ดของท่านผู้นำและค้นพบวิธีที่จะทำลายมัน แต่นั่นก็เป็นแค่ตำนานเท่านั้น ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ แต่ถึงมันจะเป็นความจริง มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรพวกเรา พวกเราคงจะหาตัวหานหยี่เฟยจากที่นี่ไม่ได้”


 


“หานหยี่เฟยคนนั้นมีหน้าตาเป็นยังไง?”


หลังจากที่หานเซิ่นได้ยินสิ่งที่ไนน์เทาซันด์คิงพูด หัวใจของเขาก็เต้นรัว ‘หานหยี่เฟยคนนี้ฟังดูคุ้นๆ เธอจะใช่ผู้หญิงที่ถูกขังอยู่ในภูเขาสองโลกไหมนะ?’


 


หานเซิ่นเชื่อว่าการสันนิษฐานของเขาน่าจะถูกต้อง ผู้หญิงบนภูเขาสองโลกนั้นทำงานวิจัยร่วมกับผู้นำเซเคร็ด และเธอก็ถูกขังอยู่บนภูเขาสองโลกโดยที่ไม่สามารถตายได้ บทลงโทษที่บันทึกเอาไว้บนม้วนกระดาษก็พูดถึงอะไรทำนองนั้น


 


“ข้าไม่รู้ นอกจากผู้นำเซเคร็ดและคนสำคัญอีกไม่กี่คน คนอื่นๆไม่เคยมีโอกาสได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง โดยปกตินางจะสวมใส่หน้ากากประหลาดเอาไว้ แม้แต่ขั้นทรูก็อตที่มีวิชาจีโนในการมองทะลุสิ่งต่างๆก็มองไม่เห็นใบหน้าที่อยู่ใต้หน้ากาก นอกจากผู้นำเซเคร็ดแล้ว คนที่น่าจะเคยเห็นใบหน้าของนางก็คงจะเป็นขุนพลเพอเพิลไฟต์ ผู้นำเซเคร็ดให้ขุนพลเพอเพิลไฟต์คอยคุ้มครองหานหยี่เฟย”


ไนน์เทาซันด์คิงหยุดพูดและกลับมาดูบูดบึ้งอีกครั้ง เขาพูดต่อ “มันไร้ประโยชน์ที่จะมาพูดถึงเรื่องพวกนั้นในตอนนี้ เจ้ามีวิชาจีโนที่ลดระดับของขั้นทรูก็อตได้ไม่ใช่หรอ? เจ้าใช้มันเพื่อทำลายพลังเซเคร็ดได้ไหม?”


 


หานเซิ่นส่ายหัวและพูด “พลังของข้าใช้ได้ผลกับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น สวนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ดังนั้นวิชาจีโนของข้าจึงใช้ไม่ได้ผล”


 


มันไม่ใช่ว่าคัมภีร์นภาอำพันจะไร้ประโยชน์ซะทีเดียว แต่ถึงมันจะมีประโยชน์ หานเซิ่นก็คิดจะไม่ทำลายพลังที่ควบคุมสวนศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ เขาต้องการจะล้วงความลับจากไนน์เทาซันด์คิงให้มากกว่านี้


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าไนน์เทาซันด์คิงนั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรจริงๆหรือว่ามันเป็นเพราะเขาหวาดกลัวเกินกว่าจะบอกทุกสิ่งทุกอย่าง


 


ดวงตาของหยางยวิ๋นเซิงค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นมองไปที่หยางยวิ๋นเซิงและคิด


‘ดูเหมือนว่าไทม์ลูปจะส่งผลกับสิ่งที่อยู่ในสวนศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้วเท่านั้น คนนอกอย่างพวกเราไม่ได้รับผลกระทบจากไทม์ลูป อย่างน้อยร่างกายของพวกเราก็ไม่ได้ถูกย้อนกลับไป’


 


“ส่วนเนื้อที่เรากินเข้าไปนั้น… ยีนระดับเทพเจ้าที่เราได้รับก็หายไปเช่นกัน นั่นหมายความว่าถ้าบางสิ่งถูกเอาออกไปจากที่นี่ พวกมันก็จะกลับคืนสภาพเดิมเช่นกัน” หานเซิ่นมองไปที่รูปปั้นของหว่านเอ๋อร์


“ถ้ารูปปั้นนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อหว่านเอ๋อร์ และนางเคยอาศัยอยู่ที่นี่ บางทีเธออาจจะรู้วิธีที่จะหนีออกไป”


 


แต่สำหรับตอนนี้หานเซิ่นยังไม่คิดจะปลุกหว่านเอ๋อร์ให้ตื่นขึ้นมา เขาหันไปมองไนน์เทาซันด์คิงที่กำลังเดินไปเดินมา เขาเดินออกประตูหน้าและกลับเข้ามาจากประตูหลัง สวนศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเหมือนกับคุกที่น่ากลัว มันเป็นคุกที่พวกเขาไม่มีวันถูกปล่อยออกไป


 


ไนน์เทาซันด์คิงไปยืนอยู่ในศาลา แต่จู่ๆเขาก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา ขณะที่มองไปที่รูปปั้นของหว่านเอ๋อร์


 


“เจ้าพบอะไรอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นรีบวิ่งเข้ามา เขามองตามสายตาของไนน์เทาซันด์คิงและเห็นว่ารูปปั้นยังคงดูเหมือนเดิม มันไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไร


 


หานเซิ่นเคยตรวจสอบรูปปั้นนั่นหลายรอบแล้ว แต่เขาก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรพิเศษเกี่ยวกับรูปปั้น


 


ไนน์เทาซันด์คิงดูตื่นเต้นมากๆ เขาชี้ไปที่รูปปั้นและพูด


“รูปปั้นนี่… รูปปั้นนี่จะต้องเป็นกุญแจเพื่อออกไปจากสวนศักดิ์สิทธิ์”


 


“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดแบบนั้น?” หานเซิ่นไม่เข้าใจ


 


“รูปปั้นนี้สวมใส่เสื้อผ้าอยู่ ข้าจึงไม่ได้สังเกตมาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อข้ามองดูดีๆ ข้าเห็นว่ารูปปั้นนั้นเชื่อมต่อกับทั้งศาลา และรูปปั้นนี้…” ไนน์เทาซันด์คิงตื่นเต้นเกินกว่าที่จะพูดอะไรมากกว่านั้น


 


“รูปปั้นนี้มีอะไร?” หานเซิ่นถาม


 


“ถ้าข้าดูไม่ผิดล่ะก็ รูปปั้นหยกนี่ทำขึ้นมาจากเขาของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ จริงๆแล้วนี่ไม่ใช่รูปปั้น มันคืออาวุธขั้นทรูก็อต”


ไนน์เทาซันด์คิงดูประหลาดใจและพูดต่อไปว่า “ในสวนศักดิ์สิทธิ์นี้อย่างอื่นเป็นสิ่งธรรมดา ไม่ว่าจะดอกไม้หรือต้นหญ้าในสวน มันมีเพียงแค่รูปปั้นที่เป็นสมบัติขั้นทรูก็อต มันจะต้องเป็นจุดรวมพลังเซเคร็ดที่ขังพวกเราเอาไว้ไม่ผิดแน่”


 


ที่ไนน์เทาซันด์คิงพูดฟังดูมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่หานเซิ่นไม่ได้เห็นด้วยซะทีเดียว


 


จากสิ่งที่ไนน์เทาซันด์คิงพูด ผู้นำเซเคร็ดนั้นดีกับน้องสาวของเขามากๆ ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมเขาถึงได้สร้างรูปปั้นของหว่านเอ๋อร์และใช้มันเป็นจุดรวมพลังเซเคร็ด


 


ถ้าเป็นหานเซิ่น เขาจะไม่มีวันสร้างรูปปั้นของเป่าเอ๋อหรือหลิงเอ๋อขึ้นมาเพื่อจะให้คนอื่นมาแตะต้องมัน


 


ไนน์เทาซันด์คิงไม่สนใจ เขาเชื่อว่ารูปปั้นนั้นคือปมของปัญหา เขาคิดว่ามันคือจุดศูนย์กลางของพลังเซเคร็ดที่ขังพวกเขาเอาไว้ แต่เขาไม่กล้าจะแตะต้องรูปปั้นหยกด้วยตัวเอง เขาหันไปมองหยางยวิ๋นเซิงและพูด


“เจ้า! มาเคลื่อนย้ายรูปปั้นนี้”


 


“เจ้าฆ่าทหารได้ แต่เจ้าจะลดเกียรติพวกเขาไม่ได้ ฆ่าข้า ถ้าเจ้าต้องการ แต่ไม่มีทางที่ข้าจะยอมเสี่ยงเพื่อเจ้า” หยางยวิ๋นเซิงพูด ร่างกายของเขาปลดปล่อยพลังออกมา เขาต้องการจะต่อสู้กับไนน์เทาซันด์คิง


 


“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้ามีสิทธิ์เลือก” ไนน์เทาซันด์คิงหัวเราะ ดวงตาบนชุดเกราะสีเขียวเข้มเปิดออก มันเหมือนกับสัตว์ประหลาดที่เต็มไปด้วยดวงตา มันปลดปล่อยแสงประหลาดออกมา


 


หยางยวิ๋นเซิงนั้นตาบอด ในตอนที่แสงประหลาดส่องไปที่ตัวของเขา มันก็เหมือนกับว่าเขาสูญเสียวิญญาณไป พลังที่เขาปลดปล่อยออกมาดับลงไป และเขาก็เริ่มเดินเข้ามาในศาลา


 


หานเซิ่นขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ได้หยุดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น หยางยวิ๋นเซิงนั้นไม่ใช่เพื่อนของเขา และเขาก็เกลียดชังเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง มันไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องช่วยหยางยวิ๋นเซิง


 


หานเซิ่นคิด ‘ถึงแม้ราชาไป๋จะมอบผลกระโยชน์หลายอย่างให้กับเรา แต่เขาก็เกือบจะทำให้เราต้องตาย แค่เราไม่ไปล้างแค้นเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง มันก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว’


หานเซิ่นแค่ยืนมองหยางยวิ๋นเซิงที่กำลังเดินเข้าไปหารูปปั้นและยื่นมือออกไปสัมผัสมัน


 


หานเซิ่นไม่คิดจะสัมผัสรูปปั้นก่อนเป็นคนแรก ไนน์เทาซันด์คิงเองก็หวาดกลัวต่อผู้นำเซเคร็ด ดังนั้นเขาจะไม่สัมผัสมันเช่นกัน หยางยวิ๋นเซิงจึงต้องเป็นคนแรกที่สัมผัสรูปปั้น


 


ในตอนที่นิ้วของหยางยวิ๋นเซิงสัมผัสกับเสื้อผ้าของรูปปั้น หยางยวิ๋นเซิงก็กรีดร้องออกมา มันเหมือนกับว่าร่างกายทั้งร่างของเขาถูกผลักออกไปโดยพลังบางอย่าง เขากระเด็นไปชนเข้ากับกำแพงของสวนศักดิ์สิทธิ์จนกระอักเลือดออกมา


 


“ไร้ประโยชน์จริงๆ!” ในตอนที่เห็นแบบนั้น ใบหน้าของไนน์เทาซันด์คิงก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เขาจะไม่ไปแตะต้องรูปปั้นอย่างแน่นอน เขามองไปที่หานเซิ่นกับเป่าเอ๋อ หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ปลาทองตัวใหญ่และพูด


“ในเมื่อพวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว เจ้าก็ควรให้สัตว์เลี้ยงของเจ้าลองดู มันเป็นหนทางเดียว”


 


“ลองดูเองสิ ข้าไม่คิดว่ารูปปั้นจะเป็นต้นตอของพลังเซเคร็ดที่ขังพวกเราเอาไว้” หานเซิ่นพูด

 

 

 


ตอนที่ 2942 หนึ่งวินาทีคือหนึ่งพันปี

 

 


ไนน์เทาซันด์คิงปลดปล่อยจิตสังหารออกมา ดวงตาทั้งหมดบนชุดเกราะเปิดออก มันมีแสงแห่งเทพประหลาดในดวงตาพวกนั้น มันเป็นเหมือนกับวงแหวนสีเขียวที่ทั้งดูแปลกประหลาดและงดงาม


 


หานเซิ่นรู้สึกหนาวขึ้นมา และจู่ๆดวงตาของเขาก็เริ่มปิดลงโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ มันแตกต่างไปจากความรู้สึกในตอนที่เขาเผชิญหน้ากับดาบไนน์อายด์ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เขาลืมตาไม่ขึ้นเท่านั้น แม้แต่จิตใจของเขาก็ดูเหมือนจะเบลอๆไปด้วยเช่นกัน


 


“ไม่แปลกใจเลยที่มันเป็นอาวุธประจำตัวพระเจ้า มันทรงพลังกว่าดาบไนน์อายด์นั่นมาก”


จิตใจของหานเซิ่นแข็งดังเหล็กกล้า มันไม่ง่ายที่อาวุธประจำตัวพระเจ้าของไนน์เทาซันด์คิงจะควบคุมจิตใจของเขาได้ แต่ปลาทองตัวใหญ่นั้นได้รับผลกระทบจากพลังพิษสุนัขบ้าอยู่ก่อนแล้ว จิตใจของมันจึงไม่โปรดโปร่ง และมันก็เริ่มว่ายเข้าไปหาศาลาหิน


 


“ไนน์เทาซันด์คิง เจ้าคิดว่าข้าหานเซิ่นเป็นแค่เศษสวะคนหนึ่งอย่างนั้นหรอ?”


ใบหน้าของหานเซิ่นยังคงดูสงบนิ่ง เกือบจะในเวลาเดียวกันเขาก็หายตัวไป ในจังหวะต่อมาเขาก็ไปปรากฏตัวตรงหน้าไนน์เทาซันด์คิง พร้อมกับใช้มีดแทงเข้าไปที่คอของอีกฝ่าย


 


ถึงแม้ไนน์เทาซันด์คิงจะค่อนข้างหวาดกลัวหานเซิ่น แต่เขาหวาดกลัวผู้นำเซเคร็ดยิ่งกว่า เขาเลือกจะต่อสู้กับหานเซิ่นดีกว่าที่ต้องเสี่ยงแตะต้องวัตถุที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยผู้นำเซเคร็ด


 


ไนน์เทาซันด์คิงยกแขนขึ้นมาเพื่อบล็อกมีดของหานเซิ่น ด้วยชุดเกราะต่อสู้เทาซันด์อาย เขาไม่จำเป็นต้องกลัวมีดของหานเซิ่น ขณะเดียวกันเขาก็ชกกำปั้นอีกข้างไปที่ท้องของหานเซิ่น


 


แต่ทันใดนั้นไนน์เทาซันด์คิงก็สังเกตเห็นว่าแขนซ้ายและกำปั้นข้างขวาของเขายังคงอยู่ห่างไปจากหานเซิ่น เขาไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้


 


มีดของหานเซิ่นฟันไปถูกคอที่ไร้การป้องกันของไนน์เทาซันด์คิง ทำให้เกิดเป็นบาดแผลที่เผยให้เห็นกระดูกที่อยู่ภายใน


 


หานเซิ่นคิด ‘ไม่แปลกใจเลยที่เขาเป็นถึงขั้นทรูก็อตระดับท็อป ถึงเราจะทุ่มสุดกำลังก็ตัดได้แค่ผิวหนังของเขาเท่านั้น’


 


หานเซิ่นไม่ได้หยุดมือเพียงแค่นั้น เขาเป็นเหมือนกับเทพปีศาจขณะที่เขากวัดแกว่งมีดเหตุและผลออกไป มีดแสงทั้งหมดพุ่งออกไปเพื่อจะตัดคอของไนน์เทาซันด์คิง


 


ไนน์เทาซันด์คิงทั้งพยายามบล็อคและหลบหลีกมีดแสงของหานเซิ่น แต่เขาค้นพบว่าไม่สำคัญว่าเขาจะเคลื่อนไหวรวดเร็วสักแค่ไหน เขาก็หลบหรือบล็อกการโจมตีที่เข้ามาไม่ได้ มันเหมือนกับว่าตอนนี้เขาเชื่องช้ามากๆ


 


“อาณาเขตกาลเวลา!” ไนน์เทาซันด์คิงตกใจเมื่อรู้ถึงพลังที่หานเซิ่นกำลังใช้


 


หานเซิ่นดูเยือกเย็น เขาฟันต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา บาดแผลบนคอของไนน์เทาซันด์คิงลึกขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเปลวไฟสีม่วงบนบาดแผลนั้นกำลังแพร่กระจายออกไป และทำให้เลือดหลั่งไหลออกมาอย่างไม่หยุด มันคือพลังเขี้ยวของวิชามีดเขี้ยวดาบ


 


ชุดเกราะของไนน์เทาซันด์คิงยังคงวูบวาบด้วยแสงประหลาดจากดวงตา แต่ในอาณาเขตกาลเวลานั้น ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่ฟุต แต่มันก็ไม่มีอะไรที่มาถึงตัวหานเซิ่นได้อยู่ดี


 


สุดท้ายไนน์เทาซันด์คิงก็ตะโกนถามอย่างเกรี้ยวโกรธ


“หานเซิ่น เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเจ้าจะทำอะไรก็ได้ด้วยอาณาเขตกาลเวลานั่น? วันนี้ข้าจะแสดงให้เจ้าดูว่าทำไมข้าถึงถูกเรียกว่าไนน์เทาซันด์คิง”


 


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็เห็นไนน์เทาซันด์คิงปล่อยเงาประหลาดออกมา มันเหมือนกับเงาของปีศาจที่คลานออกมาจากขุมนรก มันทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเพียงแค่ได้เห็น


 


ในตอนที่เงาปีศาจที่บ้าคลั่งนั้นออกมา ร่างกายของไนน์เทาซันด์คิงก็เป็นเหมือนกับภูเขาไฟที่ปะทุ ออร่าที่น่ากลัวเข้าปกคลุมทั้งสวนศักดิ์สิทธิ์


 


“หนึ่งวินาทีคือหนึ่งพันปี!” ไนน์เทาซันด์คิงตะโกนอย่างคุ้มคลั่ง ดวงตาประหลาดทั้งหมดบนชุดเกราะของเขาเบิดออก แสงสีเขียวจากดวงตาพุ่งผ่านอาณาเขตกาลเวลาเพื่อไปจู่โจมหานเซิ่น


 


“มันทำลายข้อจำกัดของอาณาเขตกาลเวลาได้? นั่นเป็นวิชาจีโนแบบไหนกัน?” หานเซิ่นแปลกใจ เขาเทเลพอร์ตถอยห่างจากไนน์เทาซันด์คิงเพื่อหลบหลีกแสงนั่น


 


“หนึ่งวินาทีคือหนึ่งพันปี ข้าเปลี่ยนหนึ่งพันปีให้เป็นหนึ่งวินาทีได้ มันไม่สำคัญว่าอาณาเขตกาลเวลาของเจ้าจะทรงพลังขนาดไหน มันก็หยุดวิชาหนึ่งวินาทีคือหนึ่งพันปีของข้าไม่ได้”


ไนน์เทาซันด์คิงมองไปที่หานเซิ่น ขณะที่ร่างกายของเขาก็ระเบิดแสงออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้แสงบนชุดเกราะของเขาเป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์ มันส่องสว่างออกไปทั่วทั้งสวนศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหานเซิ่นไม่ออกไปจากสวน เขาก็ต้องถูกแสงนั่นเข้า


 


หานเซิ่นรู้ว่าที่ไนน์เทาซันด์คิงบอกว่าเขาสามารถเปลี่ยนหนึ่งพันปีให้กลายเป็นหนึ่งวินาทีได้นั้นคงจะเป็นแค่คำขู่เท่านั้น เขาคงจะเปลี่ยนหนึ่งปีให้กลายเป็นหนึ่งวินาทีได้เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สามารถผ่านอาณาเขตกาลเวลาของเขามาได้


 


ในตอนที่แสงสีเขียวถูกปลดปล่อยออกมา มันก็ไม่มีที่ให้เขาหนีไปหลบได้อีก หานเซิ่นไม่สามารถออกไปจากสวนศักดิ์สิทธิ์ได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือพึ่งพาการป้องกันของโล่เมดูซ่าส์เกซ


 


ปลาทองทั้งสองไปถึงที่ศาลาหินแล้ว แต่ศาลาหินไม่สามารถบล็อกแสงเอาไว้ได้ พวกมันทั้งสองจึงถูกควบคุมโดยชุดเกราะต่อสู้เทาซันด์อาย ดวงตาของพวกมันกลายเป็นเหมือนกับหลอดไฟสีเขียว และร่างกายของมันก็กำลังขยับเข้าไปหารูปปั้นของหว่านเอ๋อร์


 


หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาใช้โล่เมดูซ่าส์เกซเพื่อป้องกันแสงเอาไว้ แต่เขาปกป้องได้แค่ตัวเองกับเป่าเอ๋อเท่านั้น เขาไม่สามารถปกป้องปลาทองทั้งสองได้


 


ยิ่งไปกว่านั้นหยางยวิ๋นเซิงกำลังได้รับบาดเจ็บหนักและนอนกองอยู่กับพื้น เมื่อเขาถูกแสงจากชุดเกราะต่อสู้เทาซันด์อาย ดวงตาของเขาก็กลายเป็นเหมือนหลอดไฟ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาโดยเมินเฉยต่ออาการบาดแผลและเดินเข้ามาในศาลาหิน


 


ปัง! ปัง! ปัง!


มันมีเสียงดังขึ้นสามครั้ง ปลาทองทั้งสองและหยางยวิ๋นเซิงแค่แตะชุดของรูปปั้นนิดเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะถูกส่งกระเด็นออกไปชนเข้ากับกำแพงของสวนศักดิ์สิทธิ์


 


หยางยวิ๋นเซิงได้รับบาดเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม ถึงเขาจะยังถูกควบคุมโดยชุดเกราะต่อสู้เทาซันด์ แต่เขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด ปลาทองทั้งสองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน แต่พวกมันไม่ได้สาหัสเหมือนอย่างหยางยวิ๋นเซิง


 


“หนึ่งวินาทีคือหนึ่งฟันปี!” ไนน์เทาซันด์คิงตะโกน ชุดเกราะต่อสู้เทาซันด์เริ่มปลดปล่อยแสงออกมาจากดวงตาอีกครั้ง


 


หานเซิ่นสังเกตเห็นว่าเส้นผมของไนน์เทาซันด์คิงที่เดิมเป็นสีเงินเริ่มจะซีดลงไปและผิวก็เริ่มมีรอยเหี่ยวย่น หานเซิ่นเข้าใจในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น


“วิชาหนึ่งวินาทีคือหนึ่งฟันปีของชายแก่คนนี้เร่งเวลาของตัวเขาเองไปด้วย ยิ่งเขาเร่งความเร็วของกาลเวลามากเท่าไหร่ เขาก็จะแก่ตัวมากเท่านั้น วิชาจีโนนี้จะใช้อายุขัยของเขา ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้เขาเลือกจะไม่ใช้มัน เขาจะใช้มันเฉพาะในจังหวะสำคัญเท่านั้น”


 


เป็นอย่างที่หานเซิ่นคิด วิชาหนึ่งวินาทีคือหนึ่งพันปีของไนน์เทาซันด์คิงนั้นจะเร่งเวลาของคนอื่นพร้อมๆกับเวลาของตัวเอง ถ้าเขายังใช้วิชาหนึ่งวินาทีคือหนึ่งพันปีไปเรื่อยๆ ถึงหานเซิ่นจะไม่ได้ทำอะไร ชายคนนั้นก็จะแก่ตายไปเอง


 


“แปลกจริงๆ พลังดั้งเดิมของไนน์เทาซันด์คิงไม่ใช่ธาตุกาลเวลา เขาใช้วิชาจีโนธาตุกาลเวลาแบบนั้นได้ยังไง?” หานเซิ่นเริ่มจะคิดว่ามันแปลกๆ ดังนั้นเขาจึงตรวจเช็คไนน์เทาซันด์คิงอย่างละเอียด


 


ภายใต้พลังและอิทธิพลของชุดเกราะต่อสู้เทาซันด์อาย ปลาทองทั้งสองว่ายไปหารูปปั้นอีกครั้ง ครั้งนี้ไนน์เทาซันด์คิงใช้พลังมากกว่าเดิม ปลาทองตัวใหญ่ไม่ควรจะถูกควบคุมง่ายๆ แต่เนื่องจากมันถูกพิษสุนัขบ้าเข้าไป ทำให้จิตใจของมันไม่ปลอดโปร่ง มันจึงถูกควบคุมได้ง่ายยิ่งกว่าปลาทองน้อยซะอีก มันว่ายเข้าไปหารูปปั้นอย่างรวดเร็ว


 


ปัง!


เมื่อปลาทองตัวใหญ่ชนเข้ากับรูปปั้น รูปปั้นก็ขยับเล็กน้อย ขณะที่ปลาทองตัวใหญ่ถูกส่งกระเด็นออกไปอีกครั้งหนึ่ง


 


ในเวลาเดียวกันนั้นรูปปั้นก็ปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์บางอย่างออกมา

 

 

 


ตอนที่ 2943 ฉินซิว

 

 


หานเซิ่นตกตะลึงขณะที่มองไปที่รูปปั้น จากที่ไนน์เทาซันด์คิงบอก มันไม่ใช่รูปปั้นหยกจริงๆ แต่มันเป็นเขาของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกนำมาทำเป็นอาวุธขั้นทรูก็อต แต่ไม่สำคัญว่ามันจะดีสักแค่ไหน มันก็ควรจะเป็นแค่วัตถุที่ไม่มีชีวิต แต่หลังจากที่รูปปั้นปลดปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา รูปปั้นก็เริ่มจะดูเหมือนกับคนจริงๆขึ้นมา


 


มันไม่ได้แค่ดูเหมือนเท่านั้น มันมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ดวงตาของรูปปั้นดูมีชีวิตชีวาและร่างกายของรูปปั้นก็ดูอ่อนนุ่ม รูปปั้นยืนขึ้นและหันมองไปทุกคน


 


ไนน์เทาซันด์คิงมองไปที่รูปปั้นหยกด้วยความตกใจ ร่างกายของเขาสั่นรัว ดวงตาบนชุดเกราะต่อสู้เทาซันด์อายค่อยๆปิดลงและแสงบนชุดเกราะก็ดับลงไป เขาไม่ได้ดูน่ากลัวอีกต่อไปแล้ว เขาคุกเข่าลงต่อหน้ารูปปั้นและก้มหันลงไปแตะกับพื้น เขาไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมา


“ข้ารับใช้หมายเลขเก้าคารวะท่านหญิงหว่านเอ๋อ ร์ ท่านหญิงหว่านเอ๋อร์ยังจำข้าน้อยได้ไหม?”


 


หานเซิ่นคิด ‘ไอ้แก่ไนน์เทาซันด์คิงนี่รู้ว่าน้องสาวของผู้นำเซเคร็ดชื่อว่าหว่านเอ๋อร์ แต่เขากลับไม่ยอมบอกเรา’


 


รูปปั้นมองไปที่ไนน์เทาซันด์คิงที่กำลังก้มหัวลงกับพื้นและสั่นด้วยความกลัว หลังจากนั้นเธอก็ยกแก้วไวน์ในมือขึ้นมาและดื่มไวน์ทั้งหมดที่อยู่ข้างในเข้าไป


 


“หมายเลขเก้า เป็นเจ้าอย่างนั้นรึที่ต้องการจะทำลายรูปปั้น?”


หลังจากที่รูปปั้นดื่มไวน์เข้าไป มันก็เริ่มพูดขึ้นมา เสียงของมันไม่ได้เป็นเสียงของผู้หญิง แต่มันเป็นเสียงของผู้ชาย


 


ในตอนที่ไนน์เทาซันด์คิงได้ยินเสียงนั่น เขาก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว เขามองไปที่รูปปั้นราวกับว่าเขาเห็นผี เขาหยุดมองแค่แว็บเดียวก่อนที่จะตบหน้าตัวเองในทันทีและพูดขึ้นว่า


“มันเป็นความผิดของข้าน้อยเอง ข้าน้อยเป็นข้ารับใช้ที่ไม่ดี ข้าน้อยสมควรตาย”


 


หานเซิ่นยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความแปลกใจ ไนน์เทาซันด์คิงไม่ได้แค่ตบหน้าตัวเองเล่นๆ เขาตบอย่างรุนแรงจนกระดูกบริเวณแก้มของเขาหัก ด้วยการตบไม่กี่ครั้ง ใบหน้าของเขาก็ปกคลุมไปด้วยเลือด ไนน์เทาซันด์คิงตบตัวเองซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด มันแรงพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตายแบบหนึ่ง


 


รูปปั้นหยกไม่ได้หยุดดูไนน์เทาซันด์คิงที่กำลังตบหน้าตัวเอง มันมองไปที่หานเซิ่น ซึ่งทำให้หานเซิ่นรู้สึกหนาวขึ้นมาทันที เขารวบรวมพลังอย่างลับๆ เมื่อดูจากท่าทางของไนน์เทาซันด์คิง เขาก็สันนิษฐานว่ารูปปั้นหยกนี้คงจะเป็นผู้นำเซเคร็ด


 


รูปปั้นมองไปที่หานเซิ่นและยิ้มขณะที่ถามขึ้นว่า “เจ้าชื่ออะไร?”


 


ถึงแม้ร่างกายของเขาจะดูเหมือนกับหว่านเอ๋อร์ แต่ออร่าของเขาโดดเด่นเกินไป แค่สัมผัสก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ


 


“คริสตัลไลเซอร์หานเซิ่น เจ้าล่ะชื่ออะไร?”


หานเซิ่นสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ประมาณ เขายังคงระมัดระวังตัว


 


“ชื่ออย่างนั้นหรอ นั่นเป็นความทรงจำที่ห่างไกลจนข้าเกือบจะลืมไปแล้ว”


ชายคนนั้นหัวเราะ หลังจากที่หยุดคิดอยู่นาน เขาก็พูดขึ้นว่า “ชื่อของข้าคือฉินซิว”


 


ก่อนที่หานเซิ่นจะได้พูดอะไร ฉินซิวก็พูดต่อว่า “หานเซิ่น เจ้าจะมาดื่มเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้ไหม?”


 


ฉินซิวนั่งลงในศาลา เขายกขวดไวน์ขึ้นมาและเทไวน์ใส่แก้วสองแก้ว


 


“ถ้าไม่รังเกียจ ข้าก็ยินดีจะร่วมดื่มกับเจ้า” หานเซิ่นพูดขณะที่เดินเข้าไปในศาลา เขานั่งลงข้างๆและยกแก้วไวน์ที่ฉินซิวเทให้ขึ้นมา


 


ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ไนน์เทาซันด์คิงก็ยังคงตบหน้าของตัวเองต่อไป เขาไม่กล้าจะหยุด แต่เขาดูสับสน


 


เขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าชายที่กลับมามีชีวิตผ่านรูปปั้นนั้นใช่เจ้านายของเขาจริงๆหรือเปล่า และเขาก็ยังไม่รู้อีกว่าชายคนนี้มีชีวิตจริงๆหรือว่าเป็นแค่วิญญาณกันแน่


 


แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ไนน์เทาซันด์คิงก็ไม่กล้าจะหยุดมือ คนอย่างผู้นำเซเคร็ดนั้นถึงแม้จะเหลือเพียงแค่วิญญาณ เขาก็ไม่ใช่คนที่ไนน์เทาซันด์คิงจะต่อกรด้วยได้


 


เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตัวเองเชิญหานเซิ่นไปร่วมดื่ม ไนน์เทาซันด์คิงก็ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้หานเซิ่นจะเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อเทียบกับเจ้านายของเขาแล้ว ไนน์เทาซันด์คิงคิดว่าหานเซิ่นนั้นไม่สามารถเทียบกับเส้นผมเส้นหนึ่งของเจ้านายได้ด้วยซ้ำ


 


ในจักรวาลเมื่อสมัยก่อนนั้น ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือที่น่ากลัวมากมายเท่าไรที่ต้องมาอยู่ในตำแหน่งคนรับใช้ เมื่อมาอยู่ต่อหน้าผู้นำเซเคร็ดผู้ยิ่งใหญ่ มีเพียงแค่เทพสปิริตที่คู่ควรพอจะร่วมดื่มกับผู้นำเซเคร็ด แต่ตอนนี้ผู้นำเซเคร็ดนั้นเชิญหานเซิ่นไปดื่มด้วย นอกจากนั้นเขายังเรียกหานเซิ่นด้วยชื่อ นี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อที่สุดในชีวิตของไนน์เทาซันด์คิง


 


“ในจักรวาลแห่งนี้ คนที่ท่านผู้นำจะเรียกด้วยชื่อนั้นต้องเป็นผู้ทรงอำนาจ นี่หานเซิ่นคู่ควรกับมันอย่างนั้นหรอ?” ไนน์เทาซันด์คิงแปลกใจ


 


ฉินซิวยกแก้วไวน์ขึ้นและพูด “ข้าขอดื่มให้กับเจ้า”


 


“ทำไมเจ้าถึงดื่มให้กับข้า?” หานเซิ่นมองไปที่ฉินซิวอย่างสับสน มันไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้นำเซเคร็ดหรือไม่ ปัญหามันอยู่ที่ท่าทางเป็นกันเองของเขา


 


‘นี่เขาเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับหว่านเอ๋อร์อย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิด


 


ฉินซิวหัวเราะ เขาดื่มไวน์จนหมดแก้วและพูดขึ้นว่า


“เมื่อก่อนข้าสร้างสวนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้และตัดขาดมันจากอวกาศและกาลเวลาเพื่อทำให้มันหยุดอยู่ในช่วงหนึ่งของกาลเวลา ข้าทำให้เวลาในสวนศักดิ์สิทธิ์ย้อนกลับทุกๆชั่วโมง ในที่แห่งนี้เจ้าจะไม่มีวันแก่เฒ่า ไม่มีวันตาย ในที่แห่งนี้เจ้าจะมีชีวิตอยู่ไปตลอดการ”


 


‘ฉินซิวคือผู้นำเซเคร็ดจริงๆ’ หานเซิ่นคิด


 


ฉินซิวมองไปรอบๆสวนศักดิ์สิทธิ์และถอนหายใจ


“ข้าอยากให้หว่านเอ๋อร์อยู่ที่นี่เพื่อที่นางจะได้มีชีวิตอยู่ตลอดไป นางจะได้มองดูวิวโปรดของนาง กินเนื้อโปรดของนางและดื่มไวน์โปรดของนาง แต่นางบอกกับข้าว่านางยอมตายดีกว่าที่ต้องมีชีวิตอยู่ในลูปที่ไม่มีที่สิ้นสุด”


 


ฉินซิวเทไวน์เพิ่มและดื่มมันเข้าไปจนหมด ก่อนที่เขาจะหลับตาลงราวกับว่าเขากำลังนึกถึงคนที่เขาเคยรักมากๆ


 


“ข้าได้ตัดเขาของกิเลนศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำรูปปั้นของนาง ถ้าวิญญาณของนางอยู่ในรูปปั้นนี้ นางก็จะมีชีวิตอยู่ไปตลอดการและไม่ต้องประสบกับการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด นางแค่จะออกไปจากสวนศักดิ์สิทธิ์นี่ไม่ได้”


ฉินซิววางแก้วลงและยิ้มก่อนที่จะพูดต่อ “แต่หว่านเอ๋อร์บอกกับข้าว่ามันเหมือนกับการถูกขังคุก ด้วยเหตุนั้นนางจึงปฏิเสธ”


 


หานเซิ่นพบว่าเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจ ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นว่า “แล้วต่อจากนั้นล่ะ?”


 


ฉินซิวดูเหมือนกับว่ากำลังยิ้ม แต่เขาไม่ได้ยิ้ม เขาไม่ได้ตอบคำถามของหานเซิ่น เขาเทไวน์ให้ตัวเองอีกแก้วและมองไปที่แก้วไวน์ในมือหานเซิ่น


 


หานเซิ่นหลงใหลกับเรื่องราวที่ได้ฟัง ดังนั้นเขาจึงลืมดื่มไวน์ที่อยู่ในมือไป ด้วยเหตุนั้นเขาจึงรีบดื่มจนหมดแก้วในอึกเดียว


 


ฉินซิวยกขวดไวน์ขึ้นมาเทให้กับหานเซิ่นอีกแก้วหนึ่ง เขายกแก้วขึ้นและพูด “ข้าจะดื่มให้กับเจ้าอีกแก้ว”


 


ครั้งนี้หานเซิ่นไม่ได้ถามว่าทำไม เขารู้ว่าฉินซิวคงจะต้องรู้ว่าหว่านเอ๋อร์อยู่กับเขา ไม่อย่างนั้นฉินซิวที่เป็นถึงผู้นำเซเคร็ดก็คงจะไม่มาดื่มให้กับคนที่เขาไม่รู้จักแบบนี้


 


ไนน์เทาซันด์คิงที่ยังคงคุกเข่าอยู่นอกศาลานั้นอึ้งไป ตั้งแต่ที่เขามีชีวิตอยู่มา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้นำเซเคร็ดดื่มให้กับคนอื่น

 

 

 


ตอนที่ 2944 ชีวิตสั้นเกินไป

 

ในตอนที่หานเซิ่นดื่มไวน์แก้วที่สองจนหมด ฉินซิวก็เทไวน์ให้หานเซิ่นอีกแก้วหนึ่ง


“ข้าขอดื่มให้กับเจ้าอีกแก้ว”


 


หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ดื่มไวน์ที่ฉินซิวเทให้กับเขา หานเซิ่นเข้าใจคนอย่างฉินซิว ถ้าเขายินดีจะเล่าให้ฟัง เขาก็จะบอกกับหานเซิ่นเอง มันไม่มีประโยชน์อะไรในการถามซ้ำอีก


 


“ยีนระดับเทพเจ้า +1”


 


หานเซิ่นได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นมาในหัว แต่เขาไม่ได้สนใจอะไร เพราะในตอนที่เวลาถูกย้อนกลับ ยีนระดับเทพเจ้าที่เขาได้รับก็จะถูกเอากลับคืนไป


 


ฉินซิวดื่มไวน์จนหมด เขาวางแก้วไวน์ลงและพูด


“น่าเสียดายที่นี่เป็นแค่สปิริตของข้า ข้าจึงมีเวลาไม่มาก หลังจากที่ข้าไปแล้ว ไทม์ลูปและสเปชลูปของสวนศักดิ์สิทธิ์นั้นจะสิ้นสุดลง เจ้าเอารูปปั้นนี้ไปและออกไปทางประตูหลังของสวน หลังจากนั้นถ้าเจ้าตรงต่อไปเรื่อยๆ เจ้าก็จะไปถึงปราสาทศักดิ์สิทธิ์”


 


หลังจากนั้นก่อนที่หานเซิ่นจะได้พูดอะไร ฉินซิวก็หันไปมองไนน์เทาซันด์คิงที่กำลังตบหน้าตัวเองซ้ำๆ ใบหน้าของเขากำลังจะถูกขยี้จนเละ


 


“หมายเลขเก้า จากนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องติดตามหานเซิ่น” ฉินซิวพูด


“ถ้าเขาต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่ เจ้าก็ต้องมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าเขาต้องการให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตาย”


 


ไนน์เทาซันด์คิงแปลกใจ แต่เขาไม่กล้าจะโต้แย้งอะไร เขาแค่ตอบในทันทีว่า “ข้าน้อยทราบแล้ว”


 


หลังจากที่ฉินซิวพูดออกไป เขาไม่ได้หยุดมองกระทั่งไนน์เทาซันด์คิงตอบรับคำสั่ง เขาหันมามองที่หานเซิ่นด้วยสายตาที่ดูเหมือนกับว่าเขาสามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง


 


“น่าเสียดายที่ชีวิตสั้นเกินไป ข้าจึงดูแลเจ้าไม่ได้”


ฉินซิวถอนหายใจและพูด เขามองไปหานเซิ่น ขณะที่มีแสงศักดิ์สิทธิ์รั่วไหลออกมาจากร่างกายของเขา


 


ขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์เริ่มจางหายไป พลังชีวิตของรูปปั้นก็เริ่มอ่อนลง ร่างกายของเขาเริ่มจะกลับไปดูเหมือนกับหยกอีกครั้ง


 


รูปปั้นหยกนั้นหดเล็กลงไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปสักพักรูปปั้นหยกก็ไม่มีพลังชีวิตเหลืออยู่อีก และมันก็กลายเป็นรูปปั้นเล็กๆในมือของหานเซิ่น


 


หานเซิ่นรับรูปปั้นหยกเอาไว้และรู้สึกว่าสวนศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันแตกต่างไปจากเดิมยังไง


 


ไนน์เทาซันด์คิงลุกขึ้นและมองไปรอบๆ หลังจากนั้นเขาก็รีบร้อนวิ่งไปที่ประตูของสวนศักดิ์สิทธิ์ราวกับคนบ้า ครั้งนี้ในตอนที่เขาวิ่งออกไป เขาไม่ได้ปรากฏตัวอีกครั้งทางประตูหลัง เขาออกไปยืนอยู่ด้านนอกของประตู


 


“พลังเซเคร็ดหายไปแล้ว” ไนน์เทาซันด์คิงทั้งประหลาดใจและดีใจ ในตอนที่เขาหันมามองที่หานเซิ่น อารมณ์ที่ซับซ้อนก็แสดงออกมาในดวงตาของเขา


 


‘เด็กคนนี้มีความเกี่ยวข้องยังไงกับท่านผู้นำ? สิ่งสุดท้ายที่ท่านผู้นำบอกหมายความว่ายังไง? ทำไมเขาถึงพูดอะไรแบบนั้น?’ ไนน์เทาซันด์คิงพยายามคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น


 


“พลังของสวนศักดิ์สิทธิ์ที่กักขังพวกเราหายไปแล้ว พวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่” หานเซิ่นหยิบหม้อหิน ขวดไวน์และแก้วไวน์ขึ้นมา


 


ก่อนหน้านี้เนื่องจากพลังเซเคร็ด ทำให้สวนศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในไทม์ลูป แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว หานเซิ่นจึงไม่คิดจะปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดมือไป


 


หลังจากที่หยิบพวกมันขึ้นมา หานเซิ่นก็อุ้มเป่าเอ๋อและเรียกปลาทองทั้งสองมาเพื่อที่พวกเขาจะได้เดินออกไปทางประตูหลังของสวนศักดิ์สิทธิ์


 


ฉินซิวบอกว่าประตูหลังนั้นจะพาไปที่ปราสาทศักดิ์สิทธิ์ นั่นจะต้องเป็นสถานที่ที่คนของเซเคร็ดอยู่อาศัย ไม่ว่าฉินซิวจะมีจุดประสงค์อะไร หานเซิ่นก็ตั้งใจจะไปที่นั่นอยู่แล้ว


 


หานเซิ่นเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ไนน์เทาซันด์คิงก็เทเลพอร์ตมาปรากฏตัวด้านหลังของหานเซิ่น


 


หานเซิ่นเตรียมตัวรับมือและมองไปที่ไนน์เทาซันด์คิง เขาไม่ได้คาดคิดว่าไนน์เทาซันด์คิงจะก้มหัวให้กับเขาและพูด


“ท่านผู้นำขอให้ข้าปกป้องมิสเตอร์หาน นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องทำ ข้าจะทำให้แน่ใจว่ามิสเตอร์หานนั้นปลอดภัย”


 


“นั่นก็เป็นแค่สปิริตของเขาเท่านั้น ตอนนี้เมื่อสปิริตนั่นหายไปแล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องทำตามที่เขาบอกอย่างจริงจัง”


หานเซิ่นไม่คิดว่าคนอย่างไนน์เทาซันด์คิงจะจงรักภักดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฉินซิวไม่อยู่แล้ว


 


“มิสเตอร์หานพูดแบบนั้นได้ยังไง?” ไนน์เทาซันด์คิงถามอย่างจริงจัง


“ข้าเป็นข้ารับใช้ของผู้นำเซเคร็ด ถ้านี่คือคำสั่งของท่านผู้นำ ถึงแม้มันจะนำไปสู่ความตาย ข้าก็จะทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่”


 


“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ทั้งข้าและเจ้าต่างก็รู้ดีว่าด้วยการที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า ข้าจะตกอยู่ในอันตราย” หานเซิ่นหัวเราะ


 


ไนน์เทาซันด์คิงดูจริงจัง เขายิ้มแห้งๆและพูด “บอกตามตรงถ้าท่านผู้นำไม่ได้มอบคำสั่งแบบนี้ ข้าก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อฆ่าเจ้า แต่ตอนนี้ทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ไม่สำคัญว่าข้าจะมีความกล้ามากขนาดไหน ข้าก็จะไม่มีวันทำร้ายเจ้า”


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ไนน์เทาซันด์คิงก็พูดต่อ “จะเชื่อข้าหรือไม่ก็ได้ แต่ข้าจะไม่มีวันขัดคำสั่งที่ท่านผู้นำมอบให้กับข้า ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาจะเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย”


 


“สปิริตหายไปแล้ว เจ้ายังจะกลัวอะไรอีก?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าที่ไนน์เทาซันด์คิงพูดเป็นความจริงหรือไม่ แต่เมื่อดูจากท่าทางของไนน์เทาซันด์คิงแล้ว มันดูไม่เหมือนว่าเขากำลังพูดโกหก


 


“ไม่สำคัญว่าเจ้าจะคิดยังไง ข้าก็จะทำตามที่ท่านผู้นำบอก ถึงแม้ข้าจะต้องเสี่ยงชีวิตของตัวเอง” ไนน์เทาซันด์คิงยืนกรานที่จะติดตามหานเซิ่น


 


หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับท่าทางของไนน์เทาซันด์คิง ในตอนที่รูปปั้นเริ่มเคลื่อนไหว เขารู้ว่าไนน์เทาซันด์คิงนั้นหวาดกลัวผู้นำเซเคร็ดอย่างแท้จริง ดังนั้นบางทีความรู้สึกนี้ของเขาอาจจะเป็นของจริง


 


หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไรอีก ถ้าไนน์เทาซันด์คิงยืนกราน เขาก็ไม่รังเกียจที่จะมีคนมาเป็นโล่กำบัง ขณะที่อุ้มเป่าเอ๋อเอาไว้ พวกเขาทั้งหมดก็เดินออกจากสวนศักดิ์สิทธิ์


 


ไนน์เทาซันด์คิงรู้ว่าหานเซิ่นกำลังจะไปที่ไหน ดังนั้นเขาจึงรีบพูดขึ้นมา


“ข้าจะนำทางให้เอง”


 


หลังจากที่พูดแบบนั้นไนน์เทาซันด์คิงก็มาอยู่ข้างหน้าหานเซิ่น เขาทำเหมือนกับว่าเขาเป็นแค่คนรับใช้คนหนึ่ง


 


หลังจากที่ออกมาจากสวน นอกจากบริเวณประตูที่มีแสงไฟจากตะเกียงแล้ว รอบๆนั้นมืดสนิท หานเซิ่นถามไนน์เทาซันด์คิง


“เจ้าจะเดินผ่านความมืดมิดไปยังไงกัน?”


 


ไนน์เทาซันด์คิงรีบตอบอย่างมีมารยาท “เรียนมิสเตอร์หาน ข้ามีชุดเกราะต่อสู้เทาซันด์อายที่คอยปัดเป่าพลังความมืด ตราบใดที่พวกเราไม่ไปพบกับสเปชชาร์ม พวกเราก็จะไม่ตกอยู่ในอันตราย”


 


“สเปชชาร์มคืออะไร?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว


 


“สเปชชาร์มคือซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่ง แต่มันแตกต่างไปจากซีโน่เจเนอิคทั่วๆไป มันปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เกิดหายนะขึ้นกับเซเคร็ด มันอยู่เฉพาะภายในความมืดในเซเคร็ดเท่านั้น มันมีพลังที่น่ากลัวมากๆ แม้แต่ขั้นทรูก็อตระดับท็อปก็ต่อสู้กับสเปชชาร์มไม่ได้ โชคดีที่สเปชชาร์มจะเดินทางในความมืดเท่านั้น มันจะไม่เข้ามาใกล้บริเวณที่มีแสงไฟของตะเกียงอยู่”


ไนน์เทาซันด์คิงมองไปที่ความมืดข้างหน้าและพูด “ดูเหมือนว่าหนทางข้างหน้าจะไม่มีแสงไฟจากตะเกียงอยู่ ข้าจะนำทางให้กับมิสเตอร์หานเอง ถ้าเกิดว่าพวกเราไปเจอกับสเปชชาร์ม มิสเตอร์หานต้องรีบหนีไป อย่าได้เป็นห่วงความปลอดภัยของข้า”


 


หานเซิ่นคิดว่าไนน์เทาซันด์คิงดูซื่อตรงมากๆ แต่หานเซิ่นไม่รู้ว่ามันมาจากหัวใจของเขา หรือว่าเขาแค่แสแสร้ง


 


ไนน์เทาซันด์คิงมีชุดเกราะต่อสู้เทาซันด์อาย ซึ่งสามารถปัดเป่าพลังของความมืดได้ แต่พวกปลาทองทำแบบนั้นไม่ได้ ดังนั้นหานเซิ่นจึงต้องเรียกตะเกียงหินออกมาและถือมันเอาไว้ขณะที่เดินทางต่อ


 


ไนน์เทาซันด์คิงเห็นหานเซิ่นถือตะเกียงหินที่สามารถผลักความมืดมิดถอยออกไปได้ มันทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ


‘ตะเกียงหินนี่ผลักความมืดของเซเคร็ดได้ สมบัติแบบนี้จะต้องมาจากท่านผู้นำแน่ เราเข้าใจไม่ผิด ความสัมพันธ์ของท่านผู้นำกับหานเซิ่นนั้นไม่ปกติ’


 


เมื่อคิดได้แบบนั้นใบหน้าของไนน์เทาซันด์คิงก็ดูแปลกๆ นั่นเป็นเพราะว่าเขาคิดเกี่ยวกับประโยคสุดท้ายที่ฉินซิวพูดก่อนที่จะจากไป


 


“น่าเสียดายที่ชีวิตนั้นสั้นเกินไป ข้าจึงดูแลเจ้าไม่ได้”


ไนน์เทาซันด์คิงมีสีหน้าแปลกๆขณะที่คิดกับตัวเอง ‘นี่ท่านผู้นำเป็นเกย์อย่างนั้นหรอ’

 

 

 


ตอนที่ 2945 ศิลาจารึกแห่งโชคชะตา

 

ภายใต้แสงไฟจากตะเกียงหิน พวกเขาเห็นสิ่งก่อสร้างที่พังทลายมากมาย สิ่งก่อสร้างกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเซเคร็ดนั้นถูกเปลี่ยนเป็นซากปรักหักพังจากการต่อสู้ มันมีเพียงแค่สถานที่พิเศษอย่างสวนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสภาพที่ดี


 


ขณะที่เดินทางไปบนซากปรักหักพังแห่งความมืดมิด หานเซิ่นก็ไปตามที่ฉินซิวบอก เขาเดินเป็นเส้นตรงจากประตูหลังของสวนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาผ่านสิ่งก่อสร้างหลังแล้วหลังเล่าที่เป็นเหมือนกับกองขยะ ตลอดการเดินทางเขาไม่เห็นแม้แต่วี่แววของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ที่ฉินซิวพูดถึง


 


ทันใดนั้นท่ามกลางซากปรักหักพัง หานเซิ่นก็เห็นรูปปั้นที่ยังคงอยู่ในสภาพดี มันเป็นรูปปั้นของโกสต์คาร์


 


หานเซิ่นชี้ไปที่รูปปั้นและถาม “สิ่งนี้คือ… หนึ่งในอสูรศักดิ์สิทธิ์โกสต์คาร์หนิ?”


 


“เรียนมิสเตอร์หาน นี่คือรูปปั้นของโกสต์คาร์” ไนน์เทาซันด์คิงรีบตอบ


“รูปปั้นนี้ควรจะอยู่ที่ใจกลางของลานกว้างในปราสาทศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่รู้ว่าทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้”


 


ในความมืดมิด เสียงร้องไห้ของผู้หญิงดังขึ้นอีกครั้ง มันทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกขนลุกขึ้นมา


 


“หมายเลขเก้า เจ้ารู้ไหมว่าเสียงร้องไห้นี่มาจากที่ไหนกัน?”


หานเซิ่นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว ตั้งแต่มาที่นี่ เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงหลายต่อหลายครั้ง


 


“เรียนมิสเตอร์หาน เสียงร้องไห้นั้นมาจากสเปชชาร์ม” ไนน์เทาซันด์คิงตอบ


“มันเป็นเสียงที่สเปชชาร์มจะทำขึ้นมาในตอนที่นางกำลังหิว สเปชชาร์มนั้นกำลังหมายตาพวกเรา แต่เนื่องจากมิสเตอร์หานมีตะเกียงนี้อยู่ นางจึงไม่กล้าจะเข้ามาใกล้จนเกินไป”


 


“สเปชชาร์มนั่นเป็นซีโน่เจเนอิคแบบไหนกัน?” หานเซิ่นถาม


 


ไนน์เทาซันด์คิงยิ้มและพูด “เรื่องนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ สิ่งนั้นอาศัยอยู่ในความมืดของเซเคร็ดเท่านั้น นางไม่เคยเข้ามาใกล้แสงไฟจากตะเกียง ทั้งหมดที่จะเห็นได้ก็คือเงาของนาง นางเหมือนกับแฟรี่ที่บินได้”


 


“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ตะเกียงหินของมิสเตอร์หานนี่สุดยอดจริงๆ ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับบางสิ่งที่สว่างไสวในความมืด นอกจากตะเกียงพวกนั้นมาก่อนเลย” ไนน์เทาซันด์คิงพยายามเลียแข้งเลียขาหานเซิ่นเพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าตะเกียงหินนั่นมาจากไหนกันแน่


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไร เขาแค่เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆขณะที่ถือตะเกียงหินเอาไว้ ทันใดนั้นหานเซิ่นก็เห็นแสงสว่างข้างหน้า มันเป็นเหมือนกับแสงของหิ่งห้อยตัวเล็กๆ มันยังคงมีระยะห่างไกลพอสมควรระหว่างเขากับแสงสว่างนั่น


 


หานเซิ่นรู้สึกดีใจและรีบเดินไปหาแสงสว่าง ไนน์เทาซันด์คิงติดตามเขามาอย่างใกล้ชิด


 


ในตอนที่พวกเขาเข้าไปใกล้แสงสว่าง หานเซิ่นก็เห็นศิลาจารึกขนาดยักษ์ที่สองข้างมีตะเกียงอยู่ ตะเกียงทั้งสองนั้นมีขนาดใหญ่กว่าตะเกียงที่พวกเขาเคยเห็นก่อนหน้านี้มาก พวกมันส่องสว่างไปรอบๆศิลาจารึกหลายร้อยฟุต พวกมันเป็นเหมือนกับโล่แสงที่คอยป้องกันความมืด


 


ตรงหน้าศิลาจารึก หานเซิ่นเห็นคนหลายคนยืนอยู่ ราชครูกู่เยวียนและเอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าอีกสามคนก็อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกับ นอกจากนั้นมันยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ในตอนที่หานเซิ่นเห็นคนๆนั้น เขาก็รู้สึกแปลกใจอย่างมาก เนื่องจากอีกฝ่ายคือผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา ซึ่งเป็นคนที่เขาเคยเห็นที่ประตูของก็อตแซงชัวรี่”


 


เมื่อก่อนผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาต้องการจะรับตัวเสี่ยวฮวาไปเป็นศิษย์ แต่หานเซิ่นหนีมาได้ ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่เคยได้เห็นคนๆนี้อีกเลย


 


หานเซิ่นเคยไปอาศัยอยู่ในปราสาทนภาหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยได้พบกับผู้อาวุโสหนึ่ง หานเซิ่นไม่ได้คาดคิดว่าจะได้มาเจอกับผู้อาวุโสหนึ่งที่นี่


 


หานเซิ่นต้องการจะปิดบังใบหน้าของตัวเอง แต่มันสายเกินไปแล้วที่จะทำแบบนั้น ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา ราชครูกู่เยวียนและคนอื่นๆได้มองมาในทิศทางของเขาเรียบร้อยแล้ว


 


หานเซิ่นขมวดคิ้ว ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภานั้นรู้ว่าเขามาจากก็อตแซงชัวรี่ ถ้าตัวตนที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผย มันก็จะไม่เป็นเรื่องดีสำหรับเขา


 


ในตอนที่ราชครูกู่เยวียนและคนอื่นๆเห็นหานเซิ่น พวกเขาก็รู้สึกแปลกใจ พวกเขาจ้องมองไปที่ตะเกียงหินของหานเซิ่นด้วยความประหลาดใจ ตะเกียงหินของหานเซิ่นนั้นคล้ายกับตะเกียงที่คอยส่องสว่างในเซเคร็ด แต่มันให้แสงสว่างมากกว่าตะเกียงอื่นๆมาก ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงรู้สึกตกใจ


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาเองก็ประหลาดใจเช่นกัน แต่สิ่งที่เขาประหลาดใจที่สุดนั้นแตกต่างไปจากคนอื่น


 


หานเซิ่นเดินนำไนน์เทาซันด์คิงและปลาทองทั้งสองมาตรงหน้าศิลาจารึก เขาเก็บตะเกียงหินไปและกำลังจะพูดทักทายราชครูกู่เยวียน แต่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน


“น้องหาน เจ้าไม่ควรเข้ามาใกล้พวกเรา”


 


“ราชครูหมายความว่ายังไง?” หานเซิ่นถามด้วยความประหลาดใจ


 


ราชครูกู่เยวียนพูด “ถึงแม้มันจะมีแสงสว่างของตะเกียง แต่ที่นี่เป็นกับดัก พวกเราทั้งหมดถูกขังอยู่ที่นี่”


 


หานเซิ่นคิด ‘ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมไม่บอกข้าให้มันเร็วกว่านี้? มาบอกในตอนที่ข้าเข้ามาแล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร?’


 


ราชครูกู่เยวียนไม่ได้เป็นมิตรสหายของหานเซิ่น ดังนั้นมันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องพูดเตือนหานเซิ่น แต่หานเซิ่นไม่ได้คาดหวังว่าราชครูกู่เยวียนจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว เขาแค่ถามขึ้นว่า


“ถ้ามันเป็นกับดักที่ขังราชครูได้ แบบนั้นมันก็ต้องเป็นกับดักน่ากลัวมากๆอย่างนั้นสินะ?”


 


ราชครูกู่เยวียนชี้ไปที่ศิลาจารึกและพูด “เมื่อเจ้าได้ดูศิลาจารึกนี่ เจ้าก็จะเข้าใจเอง”


 


หานเซิ่นหันหน้าไปมองศิลาจารึก ในตอนที่เขามองผ่านผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา เขาก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาจริงเอาจริง แต่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาไม่ได้พยายามทำอะไร


 


หานเซิ่นจ้องไปที่ศิลาจารึกและเห็นอักษรขนาดใหญ่ที่เขียนเอาไว้บนศิลาจารึก


 


“ศิลาจารึกแห่งโชคชะตา” หานเซิ่นอ่านตัวอักษรบนศิลาจารึก แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงถูกขังอยู่ที่นี่


 


ในตอนที่ราชครูกู่เยวียนเห็นใบหน้าของหานเซิ่น เขาก็รู้ว่าหานเซิ่นไม่เข้าใจว่าศิลาจารึกแห่งโชคชะตาคืออะไร เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า


“ศิลาจารึกแห่งโชคชะตานี่คือสมบัติของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเซเคร็ด ศิลาจารึกนั้นตัดสินโชคชะตาของคนได้ ถ้ากิเลนศักดิ์สิทธิ์ใช้มัน มันก็ไม่มีใครในจักรวาลที่จะเอาชนะมันได้ ตอนนี้เมื่อศิลาจารึกมาอยู่ที่นี่ ถึงแม้กิเลนศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้ควบคุมมัน แต่พลังแห่งโชคชะตาก็ยังคงอยู่ ถ้าเจ้าเกิดเข้ามาในรัศมีของศิลาจารึกแห่งโชคชะตา เจ้าก็จะได้รับผลกระทบจากมัน ชีวิตของเจ้าจะถูกล็อคเอาไว้ในที่แห่งนี้ ถ้าเจ้าหนีออกไปจากศิลาจารึกแห่งโชคชะตา เจ้าก็จะต้องตาย”


 


“เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้ยังไง?” หานเซิ่นมองไปที่ศิลาจารึกแห่งโชคชะตาด้วยความแปลกใจ


 


“มันเป็นไปได้” ไนน์เทาซันด์คิงพูดอย่างมีมารยาทกับหานเซิ่น


“ถ้ามิสเตอร์หานมองที่ด้านหลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตา มิสเตอร์หานก็จะเห็นโชคชะตาของตัวเอง”


 


ราชครูกู่เยวียนและคนอื่นตกใจ การที่ไนน์เทาซันด์คิงติดตามหานเซิ่นมานั้นเป็นอะไรที่น่าตกใจพอแล้ว แต่หลังจากที่ได้ยินวิธีการพูดของไนน์เทาซันด์คิง มันเหมือนกับว่าเขาเป็นข้ารับใช้ของหานเซิ่นหรืออะไรทำนองนั้น


 


ไนน์เทาซันด์คิงนำทางหานเซิ่นไปที่ด้านหลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตา เอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าคนหนึ่งพูดกับราชครูกู่เยวียน


“ดูเหมือนว่าไนน์เทาซันด์คิงจะร่วมเดินทางมากับหานเซิ่น นี่เป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ หานเซิ่นทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าแบบนั้นยอมเชื่อฟังได้ยังไง?”


 


ราชครูกู่เยวียนส่ายหัว แต่ไม่ได้พูดอะไร ในตอนที่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาได้ยิน เขาก็ขมวดคิ้ว


 


“เด็กคนนี้คือคนที่เราเห็นที่ประตูของก็อตแซงชัวรี่ ถึงแม้เขาจะมาจากก็อตแซงชัวรี่ แต่เขาก็ไม่ควรจะแข็งแกร่งขึ้นเร็วขนาดนี้ มันเพิ่งจะผ่านมาแค่ไม่กี่ปีเอง แต่เขาก็เป็นระดับเทพเจ้าเรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นเขายังทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างไนน์เทาซันด์คิงยอมเชื่อฟังได้อีก ในช่วงเวลาหลายปีที่เราถูกขังอยู่ที่นี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภามองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ

 

 

 


ตอนที่ 2946 น้ำหนักของวิญญาณ

 

หานเซิ่นตามไนน์เทาซันด์คิงไปที่ด้านหลังศิลาจารึกแห่งโชคชะตา ที่นั่นเขาเห็นเงาหลายเงาอยู่บนศิลาจารึก มันเหมือนกับว่าเงาบนศิลาจารึกนั้นมาจากแสงของเทียนไขที่ริบหรี่ หานเซิ่นขมวดคิ้วเมื่อได้เห็นพวกมัน นั่นเป็นเพราะว่าเงาบนศิลาจารึกนั้นเป็นรูปปลาทองตัวใหญ่และปลาทองตัวน้อย นอกจากนั้นมันยังมีเงาของคนตัวใหญ่และคนตัวเล็กที่ไม่ว่าดูยังไงก็เป็นเงาของหานเซิ่นกับเป่าเอ๋อ เงาของคนอื่นๆอย่างราชครูกู่เยวียน ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาเองก็อยู่บนศิลาจารึกเช่นกัน มันไม่ได้ขาดไปแม้แต่คนเดียว


 


หานเซิ่นกลับไปหาราชครูกู่เยวียนและถาม “ราชครู ด้วยพลังของราชครู ราชครูทำลายพลังของศิลาจารึกนี่ไม่ได้อย่างนั้นหรอ?”


 


“ศิลาจารึกแห่งโชคชะตานั้นไม่ใช่สิ่งที่จะใช้กำลังทำลายได้”


ราชครูกู่เยวียนยิ้มแห้งๆ “ตอนนี้เมื่อโชคชะตาของพวกเราไปอยู่บนศิลาจารึกเรียบร้อยแล้ว ถ้าพวกเราใช้กำลังโจมตีใส่ศิลาจารึก โชคชะตาของพวกเราก็จะได้รับความเสียหายไปด้วย ถึงพวกเราจะทำลายศิลาจารึกแห่งโชคชะตาได้สำเร็จ แต่ชีวิตของพวกเราก็จะถูกทำลายไปพร้อมๆกัน พวกเราทุกคนจะต้องตาย”


 


“สิ่งนี้มหัศจรรย์ขนาดนั้นเชียว?” หานเซิ่นมองไปที่ศิลาจารึกด้วยความแปลกใจ


 


“คุณหาน ที่เขาพูดนั้นถูกต้อง” ไนน์เทาซันด์คิงพูดเสริมขึ้นมา


“ศิลาจารึกแห่งโชคชะตานั้นไม่ไช่สิ่งที่จะใช้กำลังทำลายได้ ถ้ากิเลนศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ ศิลาจารึกนี้ก็จะถูกควบคุมได้ แต่ตอนนี้เมื่อกิเลนศักดิ์สิทธิ์ตายไปแล้ว ศิลาจารึกแห่งโชคชะตาจึงทำตามสัญชาตญาณของมัน แต่บางทีมันอาจจะยังมีวิธีอยู่”


 


ในตอนที่ได้ยินไนน์เทาซันด์คิงพูดกับหานเซิ่นเหมือนกับเป็นคนรับใช้คนหนึ่ง ราชครูกู่เยวียนและผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาก็มีสีหน้าแปลกๆ


 


“วิธีแบบไหนกัน?” หานเซิ่นถาม


 


ไนน์เทาซันด์คิงไม่ตอบ เขามองไปที่ราชครูกู่เยวียน ผู้อาวุโสหนึ่งและคนอื่นๆที่อยู่รอบๆอย่างลังเล เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากให้คนอื่นได้ยินสิ่งที่เขากำลังจะพูด


 


ผู้อาวุโสหนึ่งมองด้วยความดูถูกและพูด “เจ้ามันก็แค่คนรับใช้ของเซเคร็ด เจ้าจะรู้วิธีอะไรได้? เจ้าคงคิดจะใช้ฟังก์ชั่นคอลล์ออฟเฟทของศิลาจารึกอย่างนั้นสินะ?”


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น ไนน์เทาซันด์คิงก็ไม่คิดจะปิดบังอีก เขาตอบกลับอย่างแดกดันว่า


“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าศิลาจารึกมีฟังก์ชั่นคอลล์ออฟเฟทอยู่ ชีวิตของเจ้าคงจะถูกเกินไปอย่างนั้นสินะ?”


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาไม่ได้รู้สึกโกรธ เขาแค่มองไปที่ไนน์เทาซันด์คิงและพูด


“ชีวิตของข้านั้นหนักมากๆ มันมีน้ำหนัก 9818 กิโลกรัม ข้าอยากรู้จริงๆว่าชีวิตของเจ้าจะหนักสักเท่าไหร่กันเชียว พวกเรามาตัดสินกันว่าชีวิตของใครกันแน่ที่ถูกกว่า”


 


“นี่เจ้ากล้าดียังไง!” ไนน์เทาซันด์คิงโกรธ ดวงตาบนชุดเกราะของเขาเปิดออก ดูเหมือนว่าเขาเตรียมจะทำการต่อสู้แล้ว


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาจ้องไปที่ไนน์เทาซันด์คิงขณะที่ปล่อยพลังออกมา เขาเองก็เตรียมตัวจะต่อสู้เช่นเดียวกัน


 


หานเซิ่นมองไปที่ไนน์เทาซันด์คิงและถาม “หมายเลขเก้า คอลล์ออฟเฟทที่ว่าคืออะไร?”


 


ไนน์เทาซันด์คิงยังคงมองไปที่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาด้วยความโกรธ หลังจากนั้นเขาก็หันมาโค้งคำนับและพูด


“เรียนคุณหาน คอลล์ออฟเฟทคือพลังที่เป็นรากฐานของศิลาจารึกแห่งโชคชะตา มันเหมือนกับการใช้ทองหรือหินกดศัตรูคนหนึ่งเอาไว้ ยิ่งศัตรูคนนั้นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ทองหรือหินที่จำเป็นต้องนำมาใช้ถ่วงก็ต้องหนักขึ้นเท่านั้น”


 


“พลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาก็เหมือนกัน แต่มันเป็นการกดดวงวิญญาณไม่ใช่ร่างกาย เราจึงใช้พลังธรรมดาๆหนีไปจากการกดของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาไม่ได้ ดวงวิญญาณของแต่ละคนนั้นมีน้ำหนักอยู่ โดยปกติแล้วพวกเราจะสัมผัสมันไม่ได้ แต่ศิลาจารึกแห่งโชคชะตานั้นวัดน้ำหนักดวงวิญญาณของแต่ละคนได้ มันจะวัดออกมาเป็นหน่วยกิโลกรัม เมื่อไม่มีกิเลนศักดิ์สิทธิ์คอยควบคุม ศิลาจารึกแห่งโชคชะตานั้นก็จะกดวิญญาณของทุกสิ่งมีชีวิตที่มีน้ำหนักน้อยกว่าหนึ่งหมื่นกิโลกรัมเอาไว้ ถ้าวิญญาณของคุณหานมีหนักมากกว่าหนึ่งหมื่นกิโลกรัม คุณหานก็จะหนีออกไปจากพลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาได้ นอกจากนั้นคุณหานอาจจะควบคุมศิลาจารึกแห่งโชคชะตาและกลายเป็นเจ้านายคนใหม่ของมันได้อีกด้วย”


 


หานเซิ่นคิดว่านี่มันน่าสนุก เขายิ้มและถาม “จริงอย่างนั้นหรอ? แต่น้ำหนักของวิญญาณนั้นวัดมาจากอะไร? ความสำเร็จ? พรสวรรค์? หรือบางทีระดับของคนๆนั้น?”


 


ไนน์เทาซันด์คิงส่ายหัว “มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสำเร็จ พรสวรรค์หรือระดับพลัง น้ำหนักวิญญาณของทุกสิ่งมีชีวิตนั้นถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่กำเนิดขึ้นมา มันจะไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับต่ำก็มีวิญญาณที่หนักถึงหนึ่งหมื่นกิโลกรัมได้ และวิญญาณของยอดฝีมือขั้นทรูก็อตเองก็เบาราวกับขนนกได้เช่นกัน”


 


“โอ้ ถ้าเป็นอย่างนั้นผลกระทบจากน้ำหนักของวิญญาณคืออะไรกัน?” หานเซิ่นถาม


 


“ข้าเองก็ไม่รู้” ไนน์เทาซันด์คิงรีบพูด


“น้ำหนักของวิญญาณนั้นไม่ได้ส่งผลต่อพรสวรรค์ และมันก็ไม่ได้ส่งผลต่ออายุขัยเช่นกัน นอกจากส่งผลต่อศิลาจารึกแห่งโชคชะตาแล้ว ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่าน้ำหนักของวิญญาณจะส่งผลต่ออะไรอย่างอื่นอีก”


 


“นั่นก็เพราะว่าเจ้ามันโง่เขลา” ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาทำเหมือนกับว่าเขามีความบาดหมางกับไนน์เทาซันด์คิง เขามองไนน์เทาซันด์คิงด้วยความดูถูก


 


ใบหน้าของไนน์เทาซันด์คิงดูโกรธ ดวงตาบนชุดเกราะของเขาจ้องไปที่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา ขณะที่เขาพูดขึ้นว่า


“ในเมื่อเจ้าไม่ได้โง่เขลา ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาสิว่าน้ำหนักของวิญญาณส่งผลต่ออะไร?”


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาพูด “น้ำหนักของวิญญาณคือรากฐานของชีวิต ถ้ามันเบา ชีวิตของคนๆนั้นก็จะถูก ถ้ามันหนัก ชีวิตของคนๆนั้นก็จะแพง มันวัดโชคชะตาของแต่ละคน แบบนั้นมันจะไร้ประโยชน์ได้ยังไง?”


 


ไนน์เทาซันด์คิงพูดอย่างดูถูก “ไร้สาระสิ้นดี เจ้าจะบอกว่าบารอนและไวเคานต์ที่มีวิญญาณหนักหนึ่งหมื่นกิโลกรัมนั้นมีความสำคัญมากกว่าสิ่งมีชีวิตขั้นทรูก็อตอย่างนั้นหรอ”


 


ผู้อาวุโสหนึ่งหลี่ตา “น้ำหนักหรือคุณค่าของชีวิตนั้นไม่ได้วัดกันที่ระดับพลังของคนๆนั้น คนอย่างเจ้าคงจะไม่มีวันเข้าใจในเรื่องนั้น”


 


ไนน์เทาซันด์คิงกำลังจะโต้เถียงกับผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา แต่หานเซิ่นพูดขัดขึ้นมา “ข้าจะใช้ฟังก์ชั่นคอลล์ออฟเฟทนี้ได้ยังไง? มันมีอันตรายไหม?”


 


“คุณหานแค่จำเป็นต้องหยดเลือดลงไปบนศิลาจารึก และมันก็จะวัดน้ำหนักวิญญาณของคุณหานเอง” ไนน์เทาซันด์คิงรีบพูด


 


หานเซิ่นมองไปที่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ราชครูกู่เยวียนเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน หานเซิ่นจึงสันนิษฐานว่าที่ไนน์เทาซันด์คิงพูดนั้นถูกต้อง


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้ลองดูด้วยตัวเอง เขาเอาเลือดมาจากบาดแผลของปลาทองตัวใหญ่และโยนมันไปใส่ศิลาจารึกแห่งโชคชะตา


 


หยดเลือดเป็นเหมือนกับลาวาในตอนที่มันสัมผัสกับศิลาจารึกแห่งโชคชะตา มันแพร่กระจายออกไปเหมือนกับสีที่ตกลงในน้ำ มันย้อมทั้งศิลาจารึกเป็นสีแดง


 


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็เห็นตัวเลขศูนย์สี่ตัวปรากฏขึ้นที่ด้านบนของศิลาจารึก พวกมันเริ่มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยเริ่มจาก 0001


 


หานเซิ่นรู้ว่าตัวเลขพวกนั้นหมายถึงน้ำหนักของวิญญาณ การที่มีเลขศูนย์สี่ตัวนั้นหมายความว่าตัวเลขสูงสุดของมันก็คือ 9999 ถ้าน้ำหนักถึงหนึ่งหมื่น ซึ่งสูงกว่าเลขสี่หลัก นั่นก็หมายความว่าวิญญาณของคนๆนั้นหนักเกินขีดจำกัดของศิลาจารึกแห่งโชคชะตา


 


หานเซิ่นมองไปตัวเลขบนศิลาจารึกแห่งโชคชะตาและคิด ‘การทำงานของศิลาจารึกแห่งโชคชะตานี้เหมือนกันกับดวงตาแห่งกฎ’


 


หานเซิ่นคิดว่าตัวเลขบนศิลาจารึกแห่งโชคชะตาจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะยังไงซะชีวิตของซีโน่เจเนอิคขั้นทรูก็อตไม่สามารถจะเบาจนเกินไป


 


แต่ตัวเลขบนศิลาจารึกแห่งโชคชะตาเพิ่มขึ้นไปถึงเลข 26 ก่อนที่จะหยุดลง มันไม่เพิ่มขึ้นไปมากกว่านั้น


 


“วิญญาณของปลาทองตัวใหญ่หนักแค่ 26 กิโลกรัม?” หานเซิ่นแปลกใจ นั่นเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง


 


วิญญาณของผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภานั้นหนักมากกว่า 9000 กิโลกรัม ปลาทองตัวใหญ่นี้ก็เป็นขั้นทรูก็อตเหมือนกัน แต่วิญญาณของมันหนักแค่ 26 กิโลกรัม ความแตกต่างมันมากจนเกินไป

 

 

 


ตอนที่ 2947 ชีวิตที่แพง

 

“ระดับพลังไม่มีความเกี่ยวข้องกับน้ำหนักจริงๆสินะ”


หานเซิ่นลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเอาเลือดของปลาทองตัวน้อยไปโยนใส่ศิลาจารึกแห่งโชคชะตา เหมือนกับก่อนหน้านี้หลังจากที่ศิลาจารึกดูดซับเลือดของปลาทองน้อยเข้าไป ด้านบนของศิลาจารึกก็แสดงตัวเลขออกมาและเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว


 


หานเซิ่นไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เพราะยังไงซะแม่ของมันก็มีวิญญาณที่มีน้ำหนักเพียงแค่ 26 กิโลกรัมเท่านั้น


 


แต่ตัวเลขบนศิลาจารึกแห่งโชคชะตานั้นเพิ่มไปจนถึงหลักที่สาม และมันก็ยังเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วินาทีต่อมามันก็เพิ่มขึ้นไปถึงหลักที่สี่


 


“วิญญาณนี้แปลกจริงๆ พวกมันเกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่น้ำหนักวิญญาณของพวกมันแตกต่างกันอย่างมาก” หานเซิ่นแปลกใจ


 


ไนน์เทาซันด์คิงที่อยู่ใกล้ๆพูดขึ้นมา “วิญญาณนั้นโดยปกติแล้วเป็นสิ่งที่ยากจะมองเห็นได้ มีเพียงแค่สมบัติซีโน่เจเนอิคอย่างศิลาจารึกแห่งโชคชะตาเท่านั้นที่จะมองเข้าไปในวิญญาณ น้ำหนักของวิญญาณนั้นเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย คนที่มีระดับต่ำก็อาจจะมีวิญญาณที่หนักมากๆได้เช่นกัน ถึงแม้คนสองคนจะกำเนิดมาจากแม่เดียวกัน แต่วิญญาณของพวกเขาก็แตกต่างกันได้ มันยากที่จะบอกถึงหลักเกณฑ์ในการกำหนดน้ำหนักของวิญญาณ”


 


หานเซิ่นพยักหน้า เขามองไปที่ตัวเลขของปลาทองน้อยที่ยังคงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปสักพักตัวเลขน้ำหนักวิญญาณของปลาทองน้อยก็ไปหยุดที่ 7,493


 


ไนน์เทาซันด์คิงถอนหายใจออกมา “7000 กิโลกรัมอย่างนั้นหรอ? มันยังห่างจากหนึ่งหมื่นอยู่พอสมควรเลย”


 


ราชครูกู่เยวียนพูด “น่าเสียดาย ถ้าหนึ่งในพวกเรามีน้ำหนักวิญญาณถึงหนึ่งหมื่น บางทีพวกเราอาจจะออกไปจากที่นี่ได้”


 


หานเซิ่นหันไปมองราชครูกู่เยวียนและถาม “ราชครู ราชครูลองทดสอบดูหรือยัง?”


 


“พวกเราทุกคนลองทดสอบดูเรียบร้อยแล้ว มันมีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน แต่ไม่มีใครที่ถึงหนึ่งหมื่น ถ้าหนึ่งในพวกเรามีน้ำหนักวิญญาณถึงหนึ่งหมื่น พวกเราก็คงจะไม่ติดอยู่ที่นี่”


ราชครูกู่เยวียนหยุดไปชั่วครู่ ก่อนที่จะพูดกับหานเซิ่นว่า “ตอนนี้มันเหลือแค่เจ้ากับลูกสาวเท่านั้นที่ยังไม่ได้ทำการทดสอบ ข้าหวังว่าเจ้าจะมีวิญญาณหนักเกินหนึ่งหมื่นกิโลกรัมเพื่อที่พวกเราจะได้ออกไปจากที่นี่”


 


หานเซิ่นพยักหน้า เขายกนิ้วขึ้นมาและบีบเอาหยดเลือดหยดหนึ่งออกมา หลังจากนั้นเขาก็โยนมันไปใส่ศิลาจารึกแห่งโชคชะตา


 


เลือดของหานเซิ่นเป็นสีแดง มันแดงเหมือนกับทับทิม เมื่อมันไปสัมผัสกับศิลาจารึกแห่งโชคชะตา ศิลาจารึกก็ดูดซับมันเข้าไป ไม่นานทั้งศิลาจารึกก็เปลี่ยนเป็นคริสตัลสีทับทิม


 


ตัวเลขปรากฏขึ้นบนศิลาจารึก พวกมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไปถึงเลขสามหลักในเวลาเพียงไม่นาน


 


เมื่อไนน์เทาซันด์คิงเห็นว่าวิญญาณของหานเซิ่นหนักเกินหนึ่งพัน เขาก็ดูอิจฉาขณะที่พูดขึ้นว่า


“คุณหานมีชีวิตที่แพงมากๆ น้ำหนักวิญญาณของคุณหานเพิ่มขึ้นถึงเลขสี่หลักอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าการจะถึงหนึ่งหมื่นนั้นคงจะไม่ยากเกินไป”


 


“เจ้าประเมินเขาสูงเกินไปแล้ว” ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาพูดขึ้นมา


 


คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่เขารู้ดีว่าหานเซิ่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากก็อตแซงชัวรี่ และเขาก็เคยเห็นพรสวรรค์ในตัวหานเซิ่นมาก่อน ยีนของหานเซิ่นนั้นไม่เสถียรและพรสวรรค์ก็ธรรมดาๆ


 


ถึงแม้น้ำหนักของวิญญาณจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับยีนหรือพรสวรรค์ของคนๆนั้น แต่กฎของก็อตแซงชัวรี่ก็จะทำล้ายวิญญาณของคนที่อยู่ข้างใน มันมีคนไม่มากนักที่รู้ถึงเรื่องนี้


 


ผู้อาวุโสหนึ่งเคยพยายามเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่ และเขาก็เคยถูกทำร้ายโดยกฎของก็อตแซงชัวรี่มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้เกี่ยวกับมันเป็นอย่างดี


 


ยอดฝีมือของหลายเผ่าพันธุ์รู้ว่าคริสตัลไลเซอร์นั้นได้หนีเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่ ภายใต้กฎของที่นั่น พวกเขาเชื่อว่าวิญญาณของคริสตัลไลเซอร์ไม่มีทางเกินกว่าหนึ่งหมื่นเมื่อพวกเขาออกมา


 


ราชครูกู่เยวียนและคนอื่นๆจ้องไปที่ตัวเลขบนศิลาจารึกแห่งโชคชะตา พวกเขาหวังว่าวิญญาณของหานเซิ่นจะหนักเกินหนึ่งหมื่น


 


ไนน์เทาซันด์คิงรู้สึกโกรธเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสหนึ่งพูด เขาพูดขึ้นว่า “ชีวิตของคุณหานนั้นแพงมากๆ มันเป็นสิ่งที่คนชีวิตถูกๆอย่างเจ้าไม่มีทางเทียบได้”


 


“โอ้ จริงอย่างนั้นหรอ? ข้าอยากเห็นจริงๆว่าชีวิตของเขาจะแพงสักแค่ไหนกัน”


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาพูดอย่างอ่อนโยน แต่ใบหน้าของเขาทำให้ไนน์เทาซันด์คิงโกรธมากๆ ไนน์เทาซันด์คิงต้องการจะฆ่าเขาด้วยมือของตัวเอง


 


“5000 …” เอ็กซ์ตรีมคิงคนหนึ่งเห็นว่าน้ำหนักวิญญาณของหานเซิ่นเพิ่มขึ้นสูงกว่า 5000 ซึ่งทำให้พวกเขามีความหวัง


 


“8000…” ดวงตาของราชครูกู่เยวียนเริ่มจะเปลี่ยนแปลง


 


หลังจากที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นไปถึง 9000 แม้แต่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาก็ดูแปลกๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากจะเชื่อว่าหานเซิ่นที่มาจากก็อตแซงชัวรี่จะมีวิญญาณที่หนักขนาดนั้น


 


‘แปลกจริงๆ กฎของก็อตแซงชัวรี่ควรจะลดวิญญาณของคนที่อยู่ภายใน เขาออกมาจากก็อตแซงชัวรี่ แบบนั้นทำไมเขาถึงมีวิญญาณที่หนักขนาดนั้นได้?’ ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาขมวดคิ้ว


 


ตัวเลยยังคงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ มันเข้าใกล้ 9999 มากขึ้นเรื่อยๆ เอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าหลายคนกลั้นหายใจ ขณะที่จ้องมองไปที่ตัวเลขบนศิลาจารึก พวกเขาหวังว่าตัวเลขบนนั้นจะเพิ่มขึ้นเกินขีดจำกัดไป


 


ท่ามกลางสายตาของทุกคน ในที่สุดตัวเลขสี่หลักบนศิลาจารึกก็เพิ่มขึ้นจนถึงขีดจำกัด ซึ่งก็คือ 9999 ในเวลาเดียวกันตัวเลขบนศิลาจารึกแห่งโชคชะตาก็หยุดไป มันหยุดไปแค่ชั่วครู่ แต่ในสายตาของทุกคนนั้น มันนานเป็นศตวรรษ


 


ในจังหวะต่อมาตัวเลขบนศิลาจารึกก็ก้าวกระโดด ครั้งนี้ตัวเลขไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่มันกลับมากลายเป็นเลขศูนย์แทน


 


ทุกคนตกใจ เอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าคนหนึ่งพูดขึ้นมา


“เกิดอะไรขึ้น? ข้าคิดว่าเมื่อมีคนที่มีน้ำหนักวิญญาณถึงหนึ่งหมื่นกิโลกรัม คนๆนั้นก็จะหลุดพ้นจากพลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาได้ ทำไมจู่ๆน้ำหนักของวิญญาณถึงได้กลับมาอยู่ที่เลขศูนย์?”


 


“ไม่มีทางที่น้ำหนักวิญญาณของหานเซิ่นจะแค่ 9999 เขาต้องการอีกแค่หนึ่งกิโลกรัมเพื่อจะไปถึงหนึ่งหมื่น”


 


“ไปดูข้างหลังศิลาจารึกกัน ดูสิว่าวิญญาณของหานเซิ่นยังอยู่ที่นั่นไหม”


 


ทุกคนอ้อมไปดูด้านหลังของศิลาจารึก ทันใดนั้นศิลาจารึกแห่งโชคชะตาก็ส่องสว่างขึ้นมา ศิลาจารึกแห่งโชคชะตาที่ย้อมเป็นสีแดงเพราะเลือดของหานเซิ่นนั้นปล่อยแสงหนึ่งหมื่นดวงออกมา


 


พื้นดินก็เริ่มจะสั่นไหว แสงหนึ่งหมื่นดวงออกมาจากศิลาจารึกแห่งโชคชะตาและลอยตัวอยู่ในอากาศ


 


“Roar!”


ทุกคนตกใจเมื่อได้ยินศิลาจารึกแห่งโชคชะตาทำเสียงที่เหมือนกับการคำราม มันเหมือนกับเสียงคำรามของเสือหรือมังกร หลังจากนั้นทุกคนก็เห็นศิลาจารึกแห่งโชคชะตาสีแดงเปลี่ยนเป็นสีขาวศักดิ์สิทธิ์ มีกิเลนหยกที่ห่อหุ้มด้วยแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกมา แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างออกจากตัวของมันเหมือนกับดวงอาทิตย์ มันทำให้ดินแดนที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดนั้นสว่างไสวขึ้นมา


 


พื้นที่แตกร้าว…สิ่งก่อสร้างที่พังทลาย…เครื่องจักรที่แตกหัก… ทุกอย่างถูกเปิดเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยแสงสว่างจากกิเลนศักดิ์สิทธิ์


 


นอกจากซากปรักหักพังแล้วมันยังมีเงาที่ดูเหมือนกับแฟรี่ลอยตัวอยู่ ร่างกายของแฟรี่พวกนั้นกึ่งโปร่งใส พวกมันดูเหมือนกับเยลลี่สีฟ้า


 


“พวกมันคือสเปชชาร์ม” หานเซิ่นจดจำคำบรรยายของไนน์เทาซันด์คิงได้

 

 

 


ตอนที่ 2948 กิเลนศักดิ์สิทธิ์

 

สเปชชาร์มนั้นหวาดกลัวแสงสว่างจากตะเกียง แต่ภายใต้แสงสว่างของกิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้น พวกมันดูไม่ได้หวาดกลัว จริงๆแล้วพวกมันดูดีใจ พวกมันอาบแสงสว่างและเต้นระบำกันอย่างมีความสุข


 


ในส่วนลึกของเซเคร็ดที่ห่างไกลออกไปจากศิลาจารึกแห่งโชคชะตา มันยังคงมีบริเวณที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด แต่มันไม่ได้มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลย


 


“แร้งเฒ่า เกิดอะไรขึ้นข้างนอก? ทำไมความมืดรอบๆปราสาทศักดิ์สิทธิ์ถึงได้ลดน้อยลงไปกว่าเดิม?”


ในมุมมืดของปราสาท อสูรสีแดงที่มีดวงตาเหมือนกับขุมนรกมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพูด


 


บนหลังคา อสูรตัวใหญ่ที่ไม่มีดวงตาถามขึ้นมา “นี่ดวงตาของเจ้ากำลังเล่นตลกหรือยังไง? เซเคร็ดจะสว่างขึ้นมาได้ยังไง?”


 


นกประหลาดสีดำจ้องมองไปในความมืดและพูด “มันก็ดูสว่างขึ้นจริงๆนั่นแหละ”


หลังจากนั้นมันก็หันไปหาผู้หญิงที่งดงามและพูด “ยัยเฒ่าบ้ากาม เจ้าเห็นไหมว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?”


 


“เจ้าเรียกข้าว่าผู้หญิงบ้ากาม ข้ายอมได้ แต่ถ้าเจ้าเรียกข้าว่ายายเฒ่าอีกครั้ง ข้าจะฉีกหัวของเจ้า” หลังจากที่ผู้หญิงที่งดงามพูดแบบนั้น เธอก็มองออกไปในความมืดที่ห่างไกล


 


“แปลกจริงๆ มันดูจะสว่างขึ้นจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” อาเหมยประหลาดใจ


 


“ดวงตาของข้าไม่มีทางเล่นตลก ความมืดรอบๆโถงศักดิ์สิทธิ์นั้นเบาบางลงไปจริงๆ มันต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นในเซเคร็ด” อสูรสีแดงเริ่มเคลื่อนไหว ดูเหมือนว่ามันต้องการจะออกไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


“มันจะมีเรื่องอะไรได้? พวกเทพสปิริตนั้นมาที่นี่ไม่ได้ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเซเคร็ดได้ยังไง?”


อาเหมยทำสีหน้าดูถูก เธอถอยหายใจและพูดต่อ “นายน้อยจากไปนานแล้ว ทำไมเขายังไม่กลับมาอีก เจ้าคิดว่ามันจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า?”


 


“ยัยผู้หญิงบ้ากาม เจ้าอย่าได้กังวลไป” อสูรยักษ์ไร้ดวงตาพูด


“ด้วยพลังของนายน้อย ในก็อตแซงชัวรี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่จะต่อสู้กับเขาได้ แถมแมวเฒ่าก็ติดตามนายน้อยไปด้วย ถึงแมวเฒ่านั่นจะไม่เอาไหน แต่มันก็เป็นหนึ่งในสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ มันจะไม่ปล่อยให้มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับนายน้อย”


 


“ใครจะรู้ว่าแมวเฒ่านั่นจะพึ่งพาได้จริงๆหรือเปล่า?” อาเหมยพูด


 


“นั่นมันไม่ถูกสิ ทำไมบริเวณนั้นถึงมีแสงสว่างขึ้นมาได้? ข้าคิดว่าข้าเห็นแสงสว่าง” อสูรสีแดงมองไปในความมืด


 


อีแร้งแกจ้องออกไปในความมืดเช่นกัน ในความมืดนั้นมีแสงสว่างที่กำลังขยายตัวออก ถึงแม้มันจะส่องมาไม่ถึงปราสาทศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกเขาก็เห็นแสงสว่างนั้น


 


อาเหมยมองไปในทางที่มีแสงสว่างด้วยความแปลกใจ


“เกิดอะไรขึ้น? แสงสว่างนั่นส่องสว่างในความมืดของเซเคร็ด มันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกกันแน่?”


 


อีแร้งแก่นั้นมีสายตาดีที่สุดในหมู่พวกเขา ขณะที่มันมองออกไป มันก็ร้องตะโกนขึ้นมา


“กิเลนศักดิ์สิทธิ์… มันคือกิเลนศักดิ์สิทธิ์… นั่นคือแสงสว่างที่สปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ปลดปล่อยออกมา”


 


“นั่นเป็นไปได้ยังไง? สปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายในศิลาจารึกแห่งโชคชะตาไม่ใช่หรอ? นายน้อยยังไม่ได้ไปที่ศิลาจารึกแห่งโชคชะตา แบบนั้นสปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้นมาได้ยังไง?” อสูรสีแดงพูด


 


“เป็นไปไม่ได้… นอกจากนายน้อยแล้ว ไม่ควรมีคนอื่นที่ปลุกสปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ให้ตื่นขึ้นมาได้” สีหน้าของอาเหมยเปลี่ยนไป


 


“ทำไมพวกเรายังมัวเสียเวลาคุยกันอยู่ที่นี่อีก? รีบไปที่นั่นกันเถอะ สปิริตของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ควรจะเป็นของนายน้อย เราจะปล่อยให้คนอื่นแย่งมันไปไม่ได้” อสูรสีแดงพูดและกระโดดออกไปสู่ความมืด


 


ร่างกายของมันสัมผัสกับความมืดก่อให้เกิดเสียงที่เหมือนกับเสียงแตกหักของฟันเฟือง เปลวเพลิงสีแดงบนร่างกายของมันปะทะกับความมืด ทุกก้าวของมันเหมือนกับโลกกำลังพังทลาย


 


“พลังความมืดเวร…” อสูรสีแดงสบถขณะที่พยายามเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ไม่ว่ามันจะสบถมากสักแค่ไหน มันก็เคลื่อนที่ไปได้แค่ทีละก้าว


 


อีแร้งแกกระพือปีกและบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด ดูเหมือนกับว่าท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดำ หลังจากที่มันเข้าไปในความมืด มันก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา สายฟ้าจำนวนมากเกิดขึ้นรอบๆตัวของมัน ขณะที่มันพยายามต่อสู้กับความมืด


 


อาเหมยและอสูรยักษ์ไร้ดวงตาก็เข้าไปในความมืดเช่นกัน พวกเขาเดินทางผ่านความมืดไปอย่างช้าๆ ถึงพวกเขาจะรีบร้อน แต่พวกเขาก็ผ่านความมืดไปถึงแสงสว่างของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ในทันทีไม่ได้


 


ราชครูกู่เยวียนและผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภามองไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์ด้วยความตกใจ


 


หานเซิ่นเองก็จ้องไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ยิ่งเขามองดูมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น


 


ในตอนนี้กิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่ซีโน่เจเนอิค ออร่าของมันเหมือนกับ…


 


“วิญญาณอสูร!” หานเซิ่นเกือบจะร้องตะโกนออกมา กิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้นดูเหมือนกับวิญญาณอสูรไม่ใช่ซีโน่เจเนอิค


 


ขณะที่แสงจากร่างกายของกิเลนศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวขึ้น แสงของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาก็อ่อนลงไป ดูเหมือนกับว่าพลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาจะย้ายไปอยู่ในกิเลนศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ร่างกายของกิเลนศักดิ์สิทธิ์จะยังไม่เป็นรูปธรรม แต่ร่างกายของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นตัวเป็นตนมากขึ้นเรื่อยๆ


 


“เกิดอะไรขึ้น? กิเลนศักดิ์สิทธิ์ตายไปแล้วไม่ใช่หรอ? เขาของมันถูกนำไปใช้ทำรูปปั้นและเนื้อของมันก็ถูกนำไปต้มเป็นอาหาร วิญญาณของมันจะยังอยู่ได้ยังไงกัน? ถ้าวิญญาณอสูรคือสปิริต เมื่อร่างกายของมันหายไปแล้ว สปิริตของมันจะยังอยู่ได้ด้วยหรอ?” จิตใจของหานเซิ่นเต็มไปด้วยคำถาม


 


ศิลาจารึกแห่งโชคชะตาสูญเสียแสงสว่างทั้งหมดไปและแตกกระจายกลายเป็นผุยผงที่ปลิวไปกับสายลม ตอนนี้กิเลนศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ แต่ร่างกายของมันยังคงดูเหมือนกับวิญญาณอสูร มันไม่ได้กลายเป็นรูปธรรมอย่างเต็มที่


 


แสงบนตัวกิเลนศักดิ์สิทธิ์เริ่มมัวลงไป บริเวณโดยรอบที่สว่างไสวเริ่มถูกความมืดเข้าปกคลุมอีกครั้ง ตะเกียงทั้งสองยังคงส่องสว่างด้วยแสงไฟของพวกมัน


 


“กิเลนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นหนึ่งในสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ตาย!” เอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าพูดขึ้นมาด้วยความตกตะลึง


 


“ไม่ใช่ การปรากฏตัวของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ในสถานการณ์นี้ไม่ได้หมายความว่ามันยังมีชีวิตอยู่” ราชครูกู่เยวียนจ้องไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์และขมวดคิ้ว


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาจ้องไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เขาเอามือออกมาจากแขนเสื้อ ดูเหมือนเขาตั้งท่าเตรียมจะโจมตีแล้ว แต่เขายังไม่ได้ทำ ดูเหมือนเขากำลังหวาดกลัว


 


กิเลนศักดิ์สิทธิ์มองไปที่หานเซิ่น ขาทั้งสี่ของมันเริ่มเคลื่อนที่เข้าไปหาหานเซิ่น


 


หานเซิ่นคิด ‘มันต้องการจะทำอะไร? มันโผล่ออกมาก็เพราะเราทำลายพลังของศิลาจารึกแห่งโชคชะตาและตอนนี้มันก็ต้องการจะสู้กับเราอย่างนั้นใช่ไหม? หรือบางทีมันอาจจะอยากเขาของมันกลับคืนไป?’


 


ขณะที่หานเซิ่นกำลังคาดเดา กิเลนศักดิ์สิทธิ์ก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่ดูเหมือนกับว่ามันไม่ได้ต้องการทำอะไร กิเลนศักดิ์สิทธิ์มาหยุดอยู่ตรงหน้าหานเซิ่น มันใกล้ซะจนทำให้หานเซิ่นอยากจะถอยออกไปด้านหลัง แต่ทันใดนั้นกิเลนศักดิ์ก็ส่งเสียงร้องออกมา มันลดหัวตรงหน้าของหานเซิ่น


 


“นั่นหมายความว่าอะไร?” หานเซิ่นมองไปที่กิเลนศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่รู้ว่ากิเลนศักดิ์สิทธิ์นั้นต้องการอะไรกันแน่


 


เมื่อกิเลนศักดิ์สิทธิ์เห็นว่าหานเซิ่นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มันก็ส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นมันก็เอาหัวเข้ามาใกล้หานเซิ่นยิ่งกว่าเดิม


 


ในที่สุดหานเซิ่นก็เข้าใจบางสิ่ง เขายื่นมือออกไปสัมผัสหัวของกิเลนศักดิ์สิทธิ์

 

 

 


ตอนที่ 2949 ผู้คุ้มกันปราสาทศักดิ์สิทธิ์

 

เมื่อมือของหานเซิ่นไปสัมผัสกับหัวของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ก็ละลายกลายเป็นแสงและเข้าไปในมือของหานเซิ่น มันไหลไปตามแขนและเข้าไปอยู่ในจิตของเขา


 


“คุณได้รับสปิริตศักดิ์สิทธิ์กิเลนศักดิ์สิทธิ์”


 


เกือบจะในเวลาเดียวกันที่เสียงประกาศดังขึ้น หานเซิ่นก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวโกรธ “หยุดเดี๋ยวนี้!”


 


ทันใดนั้นหานเซิ่นก็เห็นอสูรตัวสีแดงที่กำลังตรงเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางอาฆาต มันพ่นแสงสีแดงออกมาใส่เขา แสงสีแดงนั้นไม่ใช่เปลวเพลิง แต่มันเป็นเหมือนกับแสงเลเซอร์ มันมาถึงตรงหน้าหานเซิ่นในพริบตา


 


“เรดโกสต์ เจ้ายังมีชีวิตอยู่…” ไนน์เทาซันด์คิงรู้สึกแปลกใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รีบเทเลพอร์เข้ามาตรงหน้าหานเซิ่น ดวงตาบนชุดเกราะของเขาเปิดออก และเขาก็ปลดปล่อยแสงสีเขียวออกมาปะทะกับแสงสีแดงของเรดโกสต์ ขณะที่ตะโกนขึ้นว่า “เรดโกสต์ เจ้าห้ามทำร้ายมิสเตอร์หาน!”


 


เรดโกสต์มองไปที่ไนน์เทาซันด์คิงและถาม


“นึกว่าใครซะอีก ที่แท้เจ้าก็คือคนรับใช้เทาซันด์อาย? นี่คนรับใช้อย่างเจ้าไม่ใช่แค่ยังไม่ตาย แต่เจ้ายังได้เจ้านายคนใหม่อีกอย่างนั้นหรอ?” โทนเสียงของเรดโกสต์เต็มไปด้วยความดูถูก


 


“หุบปาก! ท่านผู้นำสั่งให้ข้าปกป้องมิสเตอร์หาน เจ้าอย่าได้พยายามทำอะไร”


ไนน์เทาซันด์คิงพูดด้วยความโกรธ แต่ผู้คนสามารถบอกได้ว่าเขานั้นเกรงกลัวเรดโกสต์


 


เรดโกสต์หัวเราะ “เทาซันด์อาย เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร เขาอายุเท่าไหร่กัน ในตอนที่ท่านผู้นำยังอยู่ที่นี่ หลานของท่านผู้นำยังไม่กำเนิดขึ้นมาด้วยซ้ำ เจ้าจะบอกว่าท่านผู้นำขอให้เจ้าปกป้องเขาเนี่ยนะ? จะพูดเพ้อเจ้ออะไรก็ให้มันมีขีดจำกัดหน่อย”


 


ไนน์เทาซันด์คิงต้องการจะอธิบาย แต่เรดโกสต์พูดขึ้นอย่างเกรี้ยวโกรธ


“หยุดพูดจาไร้สาระ ข้าไม่สนว่าคนรับใช้อย่างเจ้าจะไปหาเจ้านายคนใหม่นี้มาจากที่ไหน บอกให้เจ้านายของเจ้าส่งสปิริตศักดิ์สิทธิ์มา ไม่อย่างนั้นเจ้าและเจ้านายของเจ้าก็เตรียมตัวตายไปพร้อมๆกัน”


 


หลังจากนั้นเรดโกสต์ก็พ่นแสงสีแดงออกไปทางหานเซิ่น แต่ไนน์เทาซันด์คิงยืนขวางมันเอาไว้


 


“เรดโกสต์ เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าอย่างนั้นหรอ?”


ไนน์เทาซันด์คิงกัดฟันและไม่ถอยออกไป ร่างกายของเขาปลดปล่อยแสงสีเขียวที่เหมือนกับเงาผีออกมา เขาใช้วิชาหนึ่งวินาทีคือหนึ่งฟันปี แต่ถึงอย่างนั้นไนน์เทาซันด์คิงก็แทบจะป้องกันแสงสีแดงเอาไว้ไม่ได้


 


“หนึ่งวินาทีคือหนึ่งฟันปี และหนึ่งพันปีคือหนึ่งวินาที” เรดโกสต์พูด


“เจ้ายินดีจะใช้อายุขัยหลายปีของตัวเองเพื่อเจ้านายคนนี้อย่างนั้นหรอ? ถ้าแบบนั้นก็มาดูกันว่าเจ้าจะทนได้นานสักแค่ไหน”


 


แสงสีเขียวบนร่างกายของไนน์เทาซันด์คิงได้รับพลังสนับสนุนจากวิชาหนึ่งวินาทีคือหนึ่งพันปี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้แค่ป้องกันการโจมตีที่เข้ามา ใบหน้าของเขาดูแก่ลงไปเรื่อยๆและเส้นผมของเขาก็ขาวยิ่งกว่าเดิม


 


ไนน์เทาซันด์คิงป้องกันแสงสีแดงลูกต่อไปขณะที่ตะโกนขึ้นว่า “มิสเตอร์หานรีบหนีไป!”


 


หานเซิ่นประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าไนน์เทาซันด์คิงจะทำเพื่อเขาถึงขนาดนี้


 


หานเซิ่นต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นบางสิ่งออกมาจากก้อนเมฆสีดำบนท้องฟ้า


“หนีไป? เจ้าจะหนีไปไหนได้? ถ้าเจ้าไม่ส่งสปิริตศักดิ์สิทธิ์มาให้กับพวกเรา เจ้าก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดไปได้”


 


“พิชเบิร์ด? เจ้าเองก็ยังมีชีวิตอยู่!” ใบหน้าของไนน์เทาซันด์คิงดูแย่ยิ่งกว่าเดิม


 


“ไม่ใช่แค่พวกเขาที่ยังคงมีชีวิตอยู่” เสียงผู้หญิงที่เย็นชาดังมาจากในความมืด หลังจากนั้นก็มีผู้หญิงที่งดงามคนหนึ่งเดินออกมา


 


อีกด้านหนึ่งก็มีอสูรที่ไร้ดวงตาคลานออกมาจากความมืดเช่นกัน มันมาขวางทางราชครูกู่เยวียนและคนอื่นๆที่กำลังจะหนีไปเอาไว้


 


“โนอาย…เดม่อนเกิร์ล… พวกเจ้าก็ยังอยู่ที่นี่…” ไนน์เทาซันด์คิงพูด ขณะที่มองไปยังสิ่งมีชีวิตทั้งสี่


 


“พวกเรารับหน้าที่ปกป้องปราสาทศักดิ์สิทธิ์ ในเมื่อปราสาทศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ พวกเราจะตายได้ยังไง?”


เดม่อนเกิร์ลกรอกตา เธอมองไปที่หานเซิ่นและพูด “เจ้าเป็นแค่คนรับใช้คนหนึ่ง แต่เจ้ากลับยังมีชีวิตอยู่ และดูเหมือนว่าเจ้าจะได้เจ้านายคนใหม่มาอีกด้วย นั่นเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ”


 


ไนน์เทาซันด์คิงพยายามต้านแสงสีแดงของเรดโกสต์เอาไว้ขณะที่ตะโกนขึ้นมา


“ข้าไม่ได้ทรยศท่านผู้นำ! ท่านผู้นำสั่งให้ข้าคอยปกป้องมิสเตอร์หาน”


 


“เจ้ายังกล้าพูดจาแบบนี้อีกอย่างนั้นหรอ? ข้าจะฆ่าคนรับใช้อย่างเจ้าก่อนเป็นคนแรก หลังจากนั้นข้าค่อยไปจัดการเจ้าเด็กที่กล้ามาขโมยสปิริตศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา” อีแร้งแก่พูด หลังจากนั้นมันก็พ่นควันสีดำบางอย่างออกมา


 


ควันสีดำนั้นไม่ได้รุนแรงอะไร แต่มันแปลกประหลาด มันเป็นเหมือนกับงูพิษสีดำที่ตรงเข้าไปหาไนน์เทาซันด์คิง


 


ไนน์เทาซันด์คิงใช้พลังทั้งหมดไปกับการป้องกันการโจมตีของเรดโกสต์ เขาไม่มีพลังเหลือพอจะมาใช้ป้องกันควันสีดำที่กำลังเข้ามา ใบหน้าของเขาดูหวาดกลัว มันไม่มีหนทางที่เขาจะป้องกันควันสีดำนั้นได้


 


แต่ทันใดนั้นไนน์เทาซันด์คิงก็รู้สึกราวกับว่าเขาถูกดึงไปด้านหลังโดยพลังบางอย่าง มันช่วยเขาหลบจากควันสีดำและออกจากระยะการโจมตีของแสงสีแดง


 


เมื่อเขารู้สึกตัวอีกที เขาก็เห็นว่าหานเซิ่นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา และตอนนี้แสงสีแดงกับควันสีดำก็ตรงเข้ามาหาหานเซิ่นแทน


 


“มิสเตอร์หานระวัง!” ไนน์เทาซันด์คิงแปลกใจ เขาต้องการจะเข้าไปช่วยหานเซิ่น แต่เขารู้สึกราวกับว่ามิติอวกาศรอบๆตัวเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น แสงสีแดงและควันสีดำนั้นช้าลงไปอย่างมาก พวกมันไม่สามารถเข้ามาใกล้ตัวหานเซิ่นได้


 


“อาณาเขตกาลเวลาของไทม์โกสต์!” เรดโกสต์และฟิชเบิร์ดแปลกใจ พวกเขาดึงพลังของตัวเองกลับและหยุดโจมตี


 


“อาณาเขตกาลเวลานี้ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น” ฟิชเบิร์ดกระพือปีกและเตรียมตัวจะบินตรงเข้าไปหาหานเซิ่น


 


“แร้งเฒ่าหยุดก่อน” เดม่อนเกิร์ลอาเหมยพูดขึ้นมา เธอหยุดอีแร้งแก่จากการเข้าไปโจมตีหานเซิ่น


 


ฟิชเบิร์ดกรอกตาและหันมาถามอาเหมย “มีอะไร?”


 


“จัดการคนอื่นที่อาจจะขัดจังหวะพวกเราก่อน หลังจากนั้นพวกเราค่อยจัดการกับเขา” อาเหมยพูด


 


“เอางั้นก็ได้” ฟิชเบิร์ดพ่นควันสีดำออกมา มันตรงเข้าไปหาราชครูกู่เยวียนและเอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าทั้งสามคน


 


ขณะเดียวกันอสูรยักษ์ไร้ดวงตาที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็กลิ้งเข้าไปหาผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา


 


ราชครูกู่เยวียนพยายามรวบรวมพลัง แต่เขาต้านควันสีดำของอีแร้งแก่เอาไว้ไม่ได้ เขาถอยออกไปด้านหลังเรื่อยๆขณะที่ตะโกนขึ้นว่า


“ได้โปรดหยุดก่อน! ข้ามีบางสิ่งจะพูด!”


 


ส่วนทางด้านเอ็กซ์ตรีมระดับเทพเจ้าทั้งสามนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างราชครูกู่เยวียน ทันทีที่สัมผัสกับควันสีดำ พวกเขาก็ล้มลงไปนอนกับพื้นราวกับว่าวิญญาณของพวกเขาหลุดออกจากร่าง


 


“ถ้าเจ้ามีบางสิ่งจะพูด ก็ไปพูดมันในนรกแล้วกัน” อีแร้งแก่พูดก่อนที่จะกระพือปีกและบินตรงเข้าไปหาราชครูกู่เยวียน


 


อสูรไร้ดวงตาตัวใหญ่กลิ้งตรงเข้าไปหาผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา แต่ทันใดนั้นมันก็เห็นผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาประสานฝ่ามือ หลังจากนั้นทิศทางที่อสูรยักษ์ไร้ดวงตากำลังกลิ้งไปก็เกิดเปลี่ยนแปลง มันหันไปร้อยแปดสิบองศาและกำลังกลิ้งเข้าไปในความมืด


 


“ข้าคือผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อล่วงเกินใคร ทุกท่านได้โปรดฟังที่พวกเราจะพูดได้หรือไม่?”


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภานั้นแข็งแกร่งมากๆ แต่เขาไม่กล้าจะเสี่ยงในสถานการณ์แบบนี้ เขาเลือกจะพูดอย่างมีมารยาท


 


แต่ไม่มีใครสนใจที่ผู้อาวุโสหนึ่งพูด อสูรยักษ์ไร้ดวงตากลิ้งกลับออกมาจากความมืดและตรงเข้าไปหาผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาอีกครั้ง

 

 

 


ตอนที่ 2950 บรรยากาศแปลกๆ

 

ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาใช้วิชาพลิกท้องฟ้าและผืนดินเพื่อจะเปลี่ยนทิศทางการกลิ้งของอสูรยักษ์ไร้ดวงตา แต่ครั้งนี้อสูรยักษ์ไร้ดวงตาไม่ได้รับผลกระทบจากพลังของเขา


 


ถึงแม้มิติของอวกาศจะถูกเปลี่ยนแปลงโดยพลังของผู้อาวุโสหนึ่ง แต่อสูรยักษ์ไร้ดวงตาก็ยังคงกลิ้งตรงเข้ามาหาเขาอยู่ดี มันกลิ้งเร็วขึ้นเรื่อยๆและมันมาถึงตรงหน้าผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาในชั่วพริบตา


 


สีหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งเปลี่ยนไป เขารีบสะบัดแขนเสื้อออกไปข้างหน้า ซึ่งในแขนเสื้อของเขาดูเหมือนจะมีหลุมดำอยู่ เขาพยายามจะดูดอสูรยักษ์ไร้ดวงตาเข้าไปข้างใน


 


แต่ในจังหวะที่อสูรยักษ์ไร้ดวงตากำลังจะไปถึงแขนเสื้อ มันก็หยุดกลิ้งอย่างกะทันหัน ปากของมันเปลี่ยนเป็นเหมือนแตรที่เป่าลมออกไปใส่ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภา


 


เสียงที่ดังขึ้นมานั้นเหมือนกับเสียงหวูดเรือ ในจังหวะที่เสียงดังขึ้นมา ทุกคนก็เห็นคลื่นกระแทกออกมาจากปากของอสูรยักษ์ไร้ดวงตา พวกมันเหมือนกับคลื่นที่ซัดเข้าไปหาผู้อาวุโสหนึ่ง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นวงแหวนเสียงที่รัดร่างกายของเขาเอาไว้


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาพยายามระเบิดพลังออกมา แต่เขาไม่สามารถทำลายวงแหวนเสียงที่รัดตัวของเขาเอาไว้ได้


 


อสูรยักษ์ไร้ดวงตาหันกลับและใช้วงแหวนเสียงนั้นลากตัวผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภากลับไปหาปีศาจสาว


 


อีกด้านหนึ่งราชครูกู่เยวียนนั้นไม่แม้แต่จะได้พูด ฟิชเบิร์ดนั้นรวดเร็วเกินไปและการโจมตีอย่างต่อเนื่องของมันก็ทำให้ราชครูกู่เยวียนรับมือไม่ทัน ร่างกายของเขาได้รับบาดแผลจำนวนมาก สุดท้ายแล้วราชครูกู่เยวียนก็ต้องเทเลพอร์ตหนีเข้าไปในความมืด ฟิชเบิร์ดพยายามจะไล่ตามไป แต่ไม่นานมันก็กลับออกมา เมื่อดูจากสีหน้าของมันแล้ว ทุกคนก็รู้ว่าฟิชเบิร์ดนั้นตามจับตัวราชครูกู่เยวียนไม่สำเร็จ


 


“วิชาจีโนของเขาแปลกประหลาดมาก เขาเดินทางภายในพลังของความมืดได้!” พิชเบิร์ดพูดหลังจากที่กลับออกมา


 


“ไม่เป็นอะไร มันคาดเดาได้ยากว่าคนของเอ็กซ์ตรีมคิงมาทำอะไรที่นี่ ไม่ต้องไปสนใจเขา” ปีศาจสาวพูด


 


ทุกคนหันความสนใจกลับมาที่หานเซิ่น ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภากำลังดิ้นรน แต่เขาไม่สามารถหนีไปจากวงแหวนเสียงที่รัดตัวของเขาได้


 


ปีศาจสาวจ้องไปที่หานเซิ่นและพูด “มอบสปิริตศักดิ์สิทธิ์มาให้กับข้า และข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่อไป”


 


หานเซิ่นไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาแค่จ้องมองปีศาจสาวและคนอื่นๆ ในรูปภาพที่แมวเก้าชีวิตเคยส่งมาให้กับเขา หานเซิ่นได้เห็นปีศาจสาวและคนอื่นๆ เขารู้ว่าตัวเองมาถูกที่แล้ว


 


“ทำไมเจ้ายังมัวยืนเฉยอยู่อีก? รีบส่งสปิริตศักดิ์สิทธิ์มาเดี๋ยวนี้!” อีแร้งแก่ตะโกนด้วยความโกรธ


 


ไนน์เทาซันด์คิงรีบเทเลพอร์ตมาอยู่ด้านหน้าหานเซิ่น เขามองไปที่ปีศาจสาวและพูด


“พวกเจ้าต้องเชื่อข้า ท่านผู้นำนั้นทิ้งวิญญาณของเขาเอาไว้ในรูปปั้นภายในสวนศักดิ์สิทธิ์ และเขาก็สั่งให้ข้าปกป้องหานเซิ่นจริงๆ”


 


“เจ้ายังพยายามแต่งเรื่องหลอกพวกเราอีกอย่างนั้นหรอ?”


เรดโกสต์พูด “รูปปั้นในสวนศักดิ์สิทธิ์นั้นคือสิ่งที่ท่านผู้นำเตรียมให้กับท่านหญิงหว่านเอ๋อร์ วิญญาณของเขาจะไปอยู่ข้างในนั้นได้ยังไงกัน?”


 


ไนน์เทาซันด์คิงอึ้งไป เขาบ่นในใจ ‘ท่านผู้นำนะ ท่านผู้นำ ข้าทำทุกอย่างเพื่อท่านและคนที่ท่านรัก แต่การต้องมาตายด้วยฝีมือพวกเดียวกันแบบนี้… มันเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุด ท่านผู้นำ ท่านเป็นคนที่ชาญฉลาด ทำไมท่านถึงไม่รู้ก่อนล่วงหน้าว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น’


 


ไนน์เทาซันด์คิงทำการตัดสินใจและพูดกับหานเซิ่น “มิสเตอร์หานควรรีบหนีไปจากที่นี่ ข้าจะถ่วงเวลาพวกเขาเอาไว้เอง”


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น อีแร้งแก่และเรดโกสต์ก็หัวเราะออกมา


“ถ่วงเวลาพวกเราเอาไว้? ยังไงกันล่ะ? โดยการวิชาหนึ่งวินาทีคือหนึ่งพันปีของเจ้าน่ะหรอ? ถึงแม้เจ้าจะใช้อายุขัยที่เหลืออยู่จนหมด เจ้าจะถ่วงเวลาพวกเราได้นานสักแค่ไหนกันเชียว?”


 


“เทาซันด์อาย เจ้านี่จงรักภักดีกับเจ้านายคนใหม่ซะจริงๆ” ปีศาจสาวพูด


 


“หมายเลขเก้า เจ้าถอยออกไปก่อน” หานเซิ่นพูดกับไนน์เทาซันด์คิง


 


“มิสเตอร์หาน…” ไนน์เทาซันด์คิงต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หานเซิ่นหยุดเขาเอาไว้


 


หานเซิ่นทำท่าทางบอกให้ไนน์เทาซันด์คิงถอยออกไป เขามองไปที่ปีศาจสาวและถาม “เจ้าคืออาเหมยอย่างนั้นสินะ?”


 


ปีศาจสาวและคนอื่นๆตกใจ ชื่ออาเหมยนั้นไม่ใช่ชื่ออย่างเป็นทางการ มันไม่ควรมีใครที่รู้ถึงชื่อนั้น ชื่ออาเหมยเป็นสิ่งที่ปีศาจสาวเพิ่งเริ่มใช้ในตอนที่เสี่ยวฮวามาอยู่ด้วย มันมีแค่เสี่ยวฮวาเท่านั้นที่เรียกเธอแบบนั้น ส่วนอีแร้งแก่และคนอื่นๆจะเรียกเธอว่าผู้หญิงบ้ากาม


 


“เจ้ารู้จักข้าอย่างนั้นหรอ?” ปีศาจสาวขมวดคิ้วและมองไปที่หานเซิ่น ตอนนี้เมื่อเธอลองสังเกตดูดีๆ เขาก็ดูคุ้นๆอยู่บ้าง


 


“ข้าคือหานเซิ่น ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาเสี่ยวฮวา พวกเจ้าได้โปรดให้ข้าพบกับลูกชายอีกครั้ง”


หานเซิ่นโค้งคำนับให้กับอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท ถ้ามันไม่ได้ผล เขาก็จำเป็นต้องใช้กำลัง


 


“เจ้าคือหานเซิ่น!” อาเหมยและคนอื่นๆตกใจเมื่อได้ยินชื่อนั้น


 


พวกเขารู้ว่าพ่อทางสายเลือดของเสี่ยวฮวาก็คือหานเซิ่น แต่สำหรับพวกเขาแล้ว มันไม่ได้สำคัญว่าพ่อของเสี่ยวฮวาจะเป็นใคร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สนใจว่าหานเซิ่นจะมีหน้าตาเป็นยังไง ด้วยเหตุนั้นถึงแม้พวกเขาจะไปเจอกับหานเซิ่นเข้าโดยบังเอิญ พวกเขาก็จำหานเซิ่นไม่ได้


 


ดวงตาของอีแร้งแก่เบิกกว้างขณะที่มันมองไปที่หานเซิ่นด้วยความตกใจ


“เจ้าคือ… พ่อของนายน้อย?”


 


ไนน์เทาซันด์คิงอึ้งไป เขาไม่รู้ว่าจะประมวลผลกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยังไง


‘นี่มันหมายความว่ายังไง? พิชเบิร์ดบอกว่าหานเซิ่นคือพ่อของนายน้อย นั่นหมายความว่าพิชเบิร์ดมีเจ้านายคนใหม่ และเจ้านายคนใหม่ก็คือลูกชายของหานเซิ่น เดี๋ยวก่อนนะ…’


 


ดวงตาของไนน์เทาซันด์คิงเป็นประกายขึ้นมา จู่ๆเขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาตบขาตัวเองและคิดต่อ


‘ข้าเข้าใจแล้ว… มิน่าล่ะท่านผู้นำถึงได้ส่งให้เรามาปกป้องหานเซิ่น… ที่แท้มันก็เป็นอย่างนี้นี่เอง…’


 


‘คาดไม่ถึงจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าท่านผู้นำกับมิสเตอร์หานจะมีลูกด้วยกัน ด้วยนิสัยของพิชเบิร์ดและเดม่อนเกิร์ล ถ้าไม่ใช่ลูกของท่านผู้นำ พวกเขาก็ไม่มีทางจะรับเด็กคนหนึ่งมาเป็นเจ้านายคนใหม่ ไม่ผิดแน่ ท่านผู้นำคงจะต้องการให้ข้าปกป้องพ่อของนายน้อย… เดี๋ยวก่อนนะ… ไม่สิ… พ่อ?… ผู้ชายสองคนจะมีลูกด้วยกันได้ยังไง? ช่างเถอะ… ด้วยพลังของท่านผู้นำ เขาทำได้ทุกอย่าง!’ ไนน์เทาซันด์คิงเชื่อว่าที่เขาคิดถูกต้องแล้ว


 


หลังจากที่ไนน์เทาซันด์คิงคิดได้แบบนั้น เขาก็เริ่มหัวเราะและพูดขึ้นว่า


“ในเมื่อเจ้านายคนใหม่ของพวกเจ้าและเจ้านายคนใหม่ของข้าเป็นพ่อลูกกัน แบบนั้นทำไมพวกเรายังต้องต่อสู้กันอีก? รีบพามิสเตอร์หานเข้าไปในปราสาทศักดิ์สิทธิ์เร็วเข้า”


 


ปีศาจสาวและคนอื่นๆมองหน้ากัน พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าพ่อของเสี่ยวฮวาที่ออกมาจากก็อตแซงชัวรี่ตามลำพังจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ นอกจากนั้นเขายังทำให้คนอย่างไนน์เทาซันด์คิงยอมเชื่อฟัง และตอนนี้เขาก็มายืนอยู่ในเซเคร็ดเพื่อเอาตัวลูกชายของเขากลับคืนไป นี่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาถูกจับตัวอยู่นั้นคิดจะหนีไปในจังหวะที่คนอื่นๆต่อกัน ใครจะรู้ว่าสถานการณ์จะกลายเป็นแบบนี้ไปได้? เขาตกใจกับความจริงที่ว่าหานเซิ่นนั้นเป็นพ่อของผู้นำเซเคร็ดคนใหม่


 


‘นี่หมายความว่าเด็กคนนั้นกลายเป็นผู้นำคนใหม่ของเซเคร็ด…’


ผู้อาวุโสหนึ่งเคยต้องการจะพาตัวเสี่ยวฮวาไป แต่เขานั้นปล่อยให้หานเซิ่นหนีไปได้ เขาไม่ได้คาดคิดว่าเด็กคนนั้นจะกลายเป็นผู้นำคนใหม่ของเซเคร็ด


 


บรรยากาศในตอนนี้กลายเป็นอะไรที่แปลกประหลาด และไม่มีใครพูดอะไรออกมา


 

 

 


ตอนที่ 2951 เปิดเซเคร็ด

 

อีแร้งแก่พูดขึ้นมาเป็นคนแรก “ถึงแม้เจ้าจะมีสายเลือดของนายน้อย เจ้าก็ไม่สิทธิที่จะขโมยสปิริตของนายน้อยไป เจ้าต้องมอบสปิริตศักดิ์สิทธิ์คืนมาให้กับพวกเรา”


 


“ใช่แล้ว สปิริตศักดิ์สิทธิ์ต้องถูกคืนกลับมา” เรดโกสต์พูดขณะที่จ้องไปที่หานเซิ่น


 


“นี่พวกเจ้าคิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรอ?” สีหน้าของไนน์เทาซันด์คิงเปลี่ยนไป


 


อาเหมยหัวเราะและพูดกับหานเซิ่น “เจ้าเป็นพ่อของนายน้อย ดังนั้นจึงถือว่าเจ้าเป็นแขกของเซเคร็ด แต่สปิริตศักดิ์สิทธิ์นั้นสำคัญมากๆ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ต้องการจะขโมยสิ่งที่เป็นของลูกชายตัวเองหรอกใช่ไหม? ข้าหวังว่าเจ้าจะยินดีคืนสปิริตศักดิ์สิทธิ์มา”


 


“ข้าจะคืนสปิริตศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกเจ้าต้องพาเสี่ยวฮวามาพบกับข้าก่อน และข้าจะคืนมันให้กับเขา” หานเซิ่นพูด


 


“ในตอนนี้เสี่ยวฮวาไม่ได้อยู่ในเซเคร็ด” อาเหมยพูด


“เจ้าควรจะฝากสปิริตศักดิ์สิทธิ์เอาไว้กับข้า และข้าจะเป็นคนนำมันไปมอบให้กับนายน้อยเอง”


 


“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรอจนกว่าเขาจะกลับมา” หานเซิ่นตอบ


 


“ถ้ามิสเตอร์หานจะมอบมันคืนให้กับลูกของเขา ทำไมมิสเตอร์หานต้องฝากมันเอาไว้กับพวกเจ้าด้วย?”


ไนน์เทาซันด์คิงตะโกนจากด้านข้างของหานเซิ่น “รีบนำทางให้กับมิสเตอร์หาน ให้มิสเตอร์หานไปรอนายน้อยของพวกเจ้าในปราสาทศักดิ์สิทธิ์”


 


“เขาเข้าไปในปราสาทศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้” เรดโกสต์พูด


 


“มิสเตอร์หานเป็นพ่อทางสายเลือดของนายน้อย ทำไมเขาจะเข้าไปในปราสาทศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้?” ไนน์เทาซันด์คิงถามอย่างไม่พอใจ


 


เรดโกสต์มองไปที่ไนน์เทาซันด์คิงและพูด “หยุดตะโกนสักที ผีเสื้อเติบโตมาจากหนอนผีเสื้อ ผีเสื้อนั้นบินได้ แล้วหนอนผีเสื้อล่ะบินได้ไหม?”


 


“นั่นหมายความว่ายังไง?” ไนน์เทาซันด์คิงโกรธ


 


“ก็หมายความตามที่ข้าบอก มอบสปิริตศักดิ์สิทธิ์มาและไสหัวไปซะ! ในตอนที่นายน้อยจำเป็นต้องใช้มัน มันจะตกเป็นของเขาเอง” เรดโกสต์และไนน์เทาซันด์คิงจ้องหน้ากัน


 


“เจ้ากล้าดียังไงมาเมินเฉยต่อมิสเตอร์หานแบบนี้! เขาถูกบอกให้มาที่ปราสาทศักดิ์สิทธิ์โดยท่านผู้นำ นี่พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งของท่านผู้นำอย่างนั้นหรอ?” ไนน์เทาซันด์คิงโกรธจัดจนตัวสั่น


 


“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรอ?” เรดโกสต์ถามด้วยความดูถูก


 


ไนน์เทาซันด์คิงต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ปีศาจสาวพูดขึ้นมาก่อน


“เทาซันด์อาย ปราสาทศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เหมือนกับที่อื่น ที่นั่นคือความหวังสุดท้ายของเซเคร็ด มีเพียงแค่นายน้อยเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปข้างใน ถ้าเจ้ายังคงภักดีต่อเซเคร็ด อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะเข้าใจในเรื่องนั้น”


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ อาเหมยก็หันมาพูดหับหานเซิ่น


“แมวเก้าชีวิตคงจะเคยบอกกับเจ้าเกี่ยวกับสถานการณ์ของนายน้อยอย่างนั้นสินะ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ พวกเราก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี เขาจะไม่เป็นอันตรายใดๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนั้น ในตอนนี้นายน้อยกำลังจะเลื่อนไปสู่ระดับเทพเจ้า ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็จะสร้างเซเคร็ดกลับขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นประตูของเซเคร็ดก็จะเปิดออก และเจ้าจะเข้ามาพบกับเขาในฐานะแขกอย่างเป็นทางการของเซเคร็ด”


 


“ส่วนสปิริตศักดิ์สิทธิ์นั่นเป็นสิ่งที่นายน้อยจำเป็นต้องใช้ ไม่อย่างนั้นในตอนที่เซเคร็ดเปิดออกอีกครั้ง นายน้อยก็จะไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับภัยอันตราย เจ้าเป็นพ่อของนายน้อย เจ้าคงไม่อยากเห็นนายน้อยต้องเป็นอะไรไปอย่างนั้นใช่ไหม?”


ปีศาจสาวหลี่ตาและพูดต่อ “ที่ข้าบอกกับเจ้ามากขนาดนี้ ก็เพราะเจ้าเป็นพ่อของนายน้อย ถ้าเป็นคนอื่นละก็ พวกเราจะไม่มัวเสียเวลาพูดแบบนี้ พวกเราเคารพเจ้าในฐานะพ่อของนายน้อยและหวังว่าเจ้าจะเข้าใจในเรื่องนี้”


 


“จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เซเคร็ดเปิดออกอีกครั้ง? อันตรายแบบไหนที่เสี่ยวฮวาต้องเจอ?” หานเซิ่นขมวดคิ้วขณะที่มองไปที่อาเหมย


 


“นั่นเป็นเรื่องของเซเคร็ด! มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า” อีแร้งแก่พูด


 


หานเซิ่นมีสีหน้าที่มืดมัว “เรื่องของเซเคร็ด? เสี่ยวฮวาคือลูกชายของข้า เจ้าจะบอกว่าเรื่องของลูกชายข้า ไม่ใช่ธุระของข้าอย่างนั้นหรอ?”


 


“เด็กน้อย อย่าทำให้พวกเราต้องลงมือกับเจ้า ถ้าพวกเราจำเป็นต้องต่อสู้กับเจ้าเพื่อแย่งสปิริตศักดิ์สิทธิ์มา พวกเราก็จะไม่ยั้งมือเพียงเพราะเห็นว่าเจ้าเป็นพ่อของนายน้อย”


ร่างกายของเรดโกสต์ปลดปล่อยออร่าที่น่ากลัวออกมา มันพยายามจะกดดันหานเซิ่น


 


หานเซิ่นเป็นคนที่หัวแข็งมากๆ นอกจากนั้นเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเสี่ยวฮวา เขาไม่คิดจะยอมถอยให้กับอีกฝ่าย


 


“ข้ากลัวว่าพวกเจ้าจะไม่มีความสามารถพอ” หานเซิ่นพูด เขาหยิบมีดเหตุและผลออกมา และถือโล่เมดูซ่าส์เกซในมืออีกข้างหนึ่ง


 


ถึงแม้สปิริตศักดิ์สิทธิ์กับวิญญาณอสูรจะมีชื่อที่ต่างกัน แต่แก่นแท้แล้วพวกมันเหมือนกัน ถ้าหานเซิ่นใช้กำลังเพื่อแย้งชิงวิญญาณอสูรจากคนอื่นไม่ได้ เขาก็ใช้กำลังเพื่อแย้งชิงสปิริตศักดิ์สิทธิ์จากคนอื่นไม่ได้เช่นเดียวกัน ถ้าเจ้าของตายไป สปิริตศักดิ์สิทธิ์ก็จะหายไปด้วย หานเซิ่นไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอาสปิริตไปจากเขาได้ ไม่อย่างนั้นปีศาจสาวก็คงจะโจมตีเขาไปนานแล้ว เธอคงจะไม่เสียเวลาพูดกับเขามากขนาดนี้


 


สีหน้าของเรดโกสต์ อีแร้งแก่และคนอื่นๆเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าหานเซิ่นจะมีปฏิกิริยาแบบนั้น


 


ในยุคสมัยของเซเคร็ด พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้เทียมทาน มีผู้คนไม่มากนักที่จะต่อกรกับพวกเขาได้ และในยุคสมัยนี้พวกเขาคู่ควรกับคำว่าไร้เทียมทานยิ่งกว่าเมื่อก่อนซะอีก


 


แม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาที่ถูกบอกว่าเป็นที่สุดของที่สุดในจักรวาลก็ยังถูกอสูรยักษ์ไร้ดวงตาจับตัวอย่างง่ายดาย


 


หานเซิ่นเป็นแค่สิ่งมีชีวิตจากก็อตแซงชัวรี่ และเขาก็เป็นแค่ขั้นบัตเตอร์ฟลายเท่านั้น ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็กล้าขึ้นเสียงกับพวกเขา พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น


 


“เป็นอะไรไป?” หานเซิ่นดูสงบนิ่ง เขามองผ่านอีแร้งแก่เข้าไปในความมืดมิด หานเซิ่นกำลังมองไปในตำแหน่งที่เรดโกสต์ปรากฏตัวออกมา ถ้าการสันนิษฐานของเขาถูกต้อง ที่นั่นก็คือที่ที่ปราสาทศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่


 


“ข้าไม่สนใจว่าที่นี่คือที่ไหน ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าเป็นใคร ข้าไม่สนใจเกี่ยวกับการเปิดเซเคร็ดขึ้นอีกครั้ง เซเคร็ดนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรในสายตาของข้า ถ้าปราสาทศักดิ์สิทธิ์นั่นเป็นบางสิ่งที่จะนำภัยมาสู่เสี่ยวฮวาล่ะก็ ข้าก็จะทำลายมันให้ย่อยยับ”


หลังจากที่หานเซิ่นพูดแบบนั้น เขาก็ส่งตะเกียงหินไปให้กับเป่าเอ๋อและพูด “เป่าเอ๋อ หนูถือตะเกียงนี้ให้กับพ่อ พวกเราจะทำลายปราสาทศักดิ์สิทธิ์เฮงซวยนี่ เซเคร็ดเคยล่มสลายมาครั้งหนึ่งแล้ว เราจะทำให้มันเป็นแค่ประวัติศาสตร์ในหน้าหนังสือไปตลอดการ”


 


เป่าเอ๋อนั่งลงบนไหล่ของหานเซิ่น เธอถือตะเกียงหินและตะโกนอย่างตื่นเต้น “ทำลายมัน! ทำลายมัน!”


 


“เจ้ายังไม่มีความสามารถพอ” เรดโกสต์พูดด้วยความดูถูก


 


ปีศาจสาวมองไปที่ตะเกียงหินด้วยความตกใจ “ทำไมตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดถึงมาอยู่ในมือของพวกเจ้า?”


 


“อะไรนะ? ตะเกียงเผ่าพันธุ์?” เรดโกสต์ อีแร้งแก่และอสูรไร้ดวงตาตกตะลึง พวกมันมองไปที่ตะเกียงหินในมือของเป่าเอ๋อ


 


เรดโกสต์ตะโกนขึ้นมา “ตะเกียงเผ่าพันธุ์… มันคือตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดจริงๆ! มันมาอยู่ในมือของเขาได้ยังไง?”


 


“ในเมื่อตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดยังอยู่ที่นี่… นั่นก็หมายความว่า…” อีแร้งแก่ตื่นเต้นจนตัวสั่น


 


หานเซิ่นได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดและรู้สึกแปลกๆเกี่ยวกับการที่ตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดนั้นไม่ได้อยู่ในจีโนฮอลล์ แต่มาอยู่ในจักรวาลจีโนแทน แต่หานเซิ่นไม่มีเวลาที่จะมาสนใจในเรื่องนั้น เขากระโดดเข้าไปความมืดเพื่อมุ่งหน้าตรงไปที่ปราสาท


 


“ข้าไม่สนใจว่ามันจะเป็นตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ดหรือเผ่าพันธุ์ไหน อะไรก็ตามที่เป็นภัยต่อลูกชายของข้าจะต้องถูกทำลาย”


หานเซิ่นโกรธมากๆ เขาใช้วิชาโลหิตชีพจรและกายหยกจนถึงขีดสุด มันทำให้ร่างกายของเขากลายเป็นหยกน้ำแข็งกึ่งโปร่งใส

 

 

 


ตอนที่ 2952 ปะทะ

 

“เจ้านี่มันบ้าไปแล้ว!” อีแร้งแก่กระพือปีกและมาปรากฏตัวตรงหน้าหานเซิ่นในชั่วพริบตา หานเซิ่นใช้อาณาเขตกาลเวลาเรียบร้อยแล้ว แต่ภายในอาณาเขตกาลเวลา อีแร้งแก่ก็ยังคงรวดเร็วดั่งสายฟ้า มันเหมือนกับว่าอาณาเขตกาลเวลานั้นไม่ได้ส่งผลต่อมันเลยสักนิดเดียว


 


หานเซิ่นรู้ว่าอาณาเขตกาลเวลานั้นไม่ได้ไร้ประโยชน์ แต่เป็นเพราะอีแร้งแก่รวดเร็วเกินไป มันรวดเร็วเกินกว่าที่อาณาเขตกาลเวลาจะหยุดมันได้


 


นี่เป็นครั้งแรกที่หานเซิ่นเห็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถใช้ความเร็วเพื่อทำลายพลังของอาณาเขตกาลเวลาได้ ในเรื่องความเร็วของอีแร้งแก่นั้นถือเป็นที่สุดในจักรวาลนี้ ไม่มีใครที่สามารถเทียบชั้นกับมันในเรื่องนั้นได้


 


อีแร้งแก่เป็นเหมือนกับเมฆดำที่ปกคลุมท้องฟ้า การกระพือปีกของมันทำให้เกิดมีดสุญญากาศจำนวนมากขึ้นมา พวกมันเป็นเหมือนกับวังวนที่ล้อมหานเซิ่นเอาไว้ มีดสุญญากาศทั้งหมดนั้นมีพลังที่เหมือนจะฉีกมิติของอวกาศได้ ถึงแม้คนที่ถูกมีดสุญญากาศพวกนั้นเข้าจะเป็นยอดฝีมือขั้นทรูก็อต พวกเขาก็คงจะไม่รอดอยู่ดี


 


มีดสุญญากาศพวกนั้นแค่ล้อมหานเซิ่นเอาไว้ พวกมันไม่ได้เข้ามาใกล้มากกว่านั้นเพื่อจะฆ่าเขา


 


“หานเซิ่น เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเจ้ากับนายน้อย ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งเท่านั้น!”


อีแร้งแก่พูด “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้า!”


 


“ข้าจะมอบโอกาสให้กับเจ้าเช่นกัน ไปพาเสี่ยวฮวามาพบกับข้า”


หานเซิ่นพูดก่อนที่จะเทเลพอร์ตออกไปจากวังวนของมีดสุญญากาศ


 


“เลิกเสียเวลาพูดกับเขา!” เรดโกสต์รีบตามเข้าไปในความมืด ดวงตาสีแดงของมันเรืองแสงขึ้นมา มันเตรียมตัวจะโจมตีใส่หานเซิ่น แต่มันได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง


 


“ไม่ว่าใครก็ห้ามทำร้ายมิสเตอร์หาน!” ไนน์เทาซันด์คิงลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจะไล่ตามมา ดวงตาบนชุดเกราะของเขาเปิดออก พวกมันปลดปล่อยแสงสีเขียวนับหมื่นไปหยุดเรดโกสต์เอาไว้


 


“เจ้ามันก็แค่คนรับใช้คนหนึ่ง เหตุผลเดียวที่ข้าเลือกจะไม่ฆ่าหานเซิ่น ก็เพราะความสัมพันธ์ของเขากับนายน้อย เจ้าคิดว่าข้าจะยอมยั้งมือและไม่ฆ่าเจ้าอย่างนั้นหรอ?”


เรดโกสต์โกรธ ร่างกายของมันระเบิดแสงสีแดงออกมาเพื่อต่อสู้กับแสงสีเขียวของไนน์เทาซันด์คิง


 


ปากของอสูรยักษ์ไร้ดวงตาเปลี่ยนไปรูปร่างเหมือนแตร มันเป่าคลื่นกระแทกออกไปใส่หานเซิ่น คลื่นกระแทกเปลี่ยนเป็นวงแหวนเสียงจำนวนมากที่พยายามจับตัวหานเซิ่นเอาไว้ วงแหวนเสียงนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และมันไม่ใช่สิ่งที่หานเซิ่นจะหลีกเลี่ยงได้


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้ชะลอความเร็วลง ถึงแม้ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาจะถูกจับตัวโดยวงแหวนเสียงที่น่ากลัวพวกนี้ก็ตาม


 


หานเซิ่นตะโกน “เป่าเอ๋อ ตะเกียงหิน!”


 


เขายกโล่เมดูซ่าส์เกซขึ้นมา ดวงตาบนโล่เปิดออกและปล่อยแสงที่น่ากลัวออกไปปะทะกับพลังเสียง เป่าเอ๋อนั่นรีบยื่นตะเกียงหินมาตรงหน้าของโล่เมดูซ่าส์เกซ หลังจากที่แสงประหลาดของโล่ผ่านเปลวเพลิงของตะเกียง มันก็ถูกย้อมเป็นสีขาว


 


เมื่อแสงสีขาวปะทะกับพลังเสียง พลังเสียงที่เหมือนกับคลื่นก็ถูกแช่แข็งในอากาศ มันดูแปลกประหลาดมากๆ มันเหมือนกับคลื่นทะเลถูกแช่แข็งอยู่ในอวกาศ


 


หานเซิ่นเทเลพอร์ตอีกครั้ง ในจังหวะที่เขากำลังจะไปถึงความมืด ปีศาจสาวก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของเขาและยิ้ม


 


เธอดูงดงามมากๆ แต่เธอไม่ได้ยิ้มบ่อยนัก เธอเป็นคนที่เย็นชามากๆ เธอเป็นเหมือนกับภูเขาน้ำแข็ง ตอนนี้เมื่อเธอยิ้มออกมา มันก็เหมือนกับน้ำพุร้อนพุ่งออกมาเพื่อละลายหิมะที่ปกคลุมภูเขาและดอกไม้ก็บานสะพรั่งขึ้นมา รอยยิ้มที่น่าตกตะลึงของเธอนั้นยากที่จะบรรยายได้


 


รอยยิ้มของเธอเป็นอะไรที่งดงาม แต่สำหรับหานเซิ่นแล้ว ทั้งหมดนี้ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว ภายใต้รอยยิ้มนั้นหานเซิ่นรู้สึกสับสน เขามีความรู้สึกว่าอยากจะตายเพื่อผู้หญิงคนนี้ เขาต้องการเข้าในอ้อมแขนของเธอ ความจริงแล้วร่างกายของเขากำลังเคลื่อนที่เข้าไปหาปีศาจสาวโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมได้


 


ทันใดนั้นก็มีกระจกหินปรากฏขึ้นในมือของหานเซิ่น แสงสีเงินส่องออกมาจากกระจกหินนั้นและมีเงาของจิ้งจอกเก้าหางปรากฏขึ้นบนผิวของกระจก


 


ในจังหวะที่จิ้งจอกสาวปรากฏตัวออกมา มิติของอวกาศรอบๆที่สงบนิ่งก็เกิดการกระเพื่อมราวกับการแปรปรวนของคลื่นในทะเล


 


ปีศาจสาวขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ เธอมองไปที่กระจกและพูด


“กระจกไนน์สปินเดสทินี้ของเผ่าจิ้งจอก”


 


ทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่ความจริงแล้วมันเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หานเซิ่นหลบหลีกการโจมตีทั้งหมดและหนีหายเข้าไปในความมืด


 


ปีศาจสาวและคนอื่นๆไม่ได้คาดคิดว่าหานเซิ่นจะมีลูกไม้แบบนี้ซ่อนอยู่ ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่พวกเขาจะหยุดหานเซิ่น


 


“ไล่ตามเขาไป!” อีแร้งแก่ตะโกน มันกระพือปีกและบินเข้าไปในความมืด ท้องฟ้าของความมืดเกิดสายฟ้าขึ้นมานับไม่ถ้วนจนทำให้มันดูเหมือนกับว่านกเทพสายฟ้ากำลังบินผ่านท้องฟ้า


 


นอกจากเรดโกสต์ที่กำลังต่อสู้กับไนน์เทาซันด์คิง ปีศาจสาวและอสูรยักษ์ไร้ดวงตาก็รีบตามเข้าไปในความมืดเพื่อจะหยุดหานเซิ่น


 


ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาใช้จังหวะนั้นเพื่อทำลายวงแหวนเสียงที่รัดตัวของเขาเอาไว้


 


“ไม่คิดว่าคนที่ออกมาจากก็อตแซงชัวรี่จะเพิ่มระดับขึ้นได้ถึงขนาดนั้น บางทีมันอาจจะยังคงมีความหวังอยู่” ผู้อาวุโสหนึ่งไม่ได้เลือกที่จะหนีไป เขาวิ่งตามเข้าไปในความมืด


 


หลังจากที่หานเซิ่นวิ่งเข้าไปในความมืดได้ไม่นาน อีแร้งแก่ก็ไล่ตามเขามาจนทัน อีแร้งแก่นั้นยังคงรวดเร็วเกินไป แม้ในความมืดที่น่ากลัวนี้ ความเร็วของมันก็ยังน่าตกใจ


 


“เจ้ารนหาที่ตายเอง” อีแร้งแก่โกรธอย่างมาก ในยุคสมัยของเซเคร็ด ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนถูกมันกลืนกินเข้าไป มันถูกกล่าวขานว่าเป็นอสูรที่เก่งกาจที่สุดในยุคนั้น


 


ตลอดทั้งชีวิตของมัน มีแค่ผู้นำเซเคร็ดเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มันยอมสวามิภักดิ์ด้วย แม้แต่คนอย่างปีศาจสาวที่เป็นผู้พิทักษ์ปราสาทศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นคนที่มันปฏิบัติเหมือนกับเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น


 


ตอนนี้เมื่อหานเซิ่นต้องการจะตีฝ่าพวกมันเข้าไปในปราสาทศักดิ์สิทธิ์ หัวใจของอีแร้งแก่ก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร มันอ้าปากและพ่นควันสีดำออกมา ควันสีดำนั้นปกคลุมทั้งท้องฟ้าและผืนดิน พวกมันตรงเข้าไปหาหานเซิ่น ควันสีดำนั้นเป็นเหมือนกับมังกรพิษที่น่ากลัว


 


“อย่าฆ่าเขา! พวกเราจำเป็นต้องจับเป็น!” ปีศาจสาวตะโกน เธอยังอยู่ห่างจากพวกเขาไปพอสมควร ในบรรดาพวกเขาทั้งสี่คน เธอเป็นคนที่มีความรู้สึกนึกคิดมากที่สุด คนอื่นๆนั้นรู้จักแค่การฆ่าฟัน


 


ปีศาจสาวไม่ต้องการให้หานเซิ่นถูกฆ่าตาย ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไปอธิบายกับเสี่ยวฮวาได้ยังไง? เรื่องแบบนี้ปกปิดได้แค่ช่วงหนึ่ง มันไม่ใช่สิ่งที่จะปกปิดได้ตลอดไป


 


แต่เมื่ออีแร้งแก่เริ่มลงมือแล้ว มันก็ไม่คิดจะฟังใครทั้งนั้น


“ข้าจะกลืนกินเนื้อหนังและวิญญาณของเขา! หลังจากนั้นเขาก็จะไม่ได้ไปผุดไปเกิดอีก! เขาจะหายไปจากจักรวาลนี้! จักรวาลนี้จะไม่มีใครรู้จักชื่อของเขาอีก!”


 


หลังจากนั้นควันสีดำก็พุ่งตรงเข้าไปเพื่อเขมือบหานเซิ่นเหมือนกับปากของมังกรพิษ


 


ในความมืดมิดนั้น ฟันเฟืองจักรวาลพังทลาย หานเซิ่นจึงเทเลพอร์ได้แค่ภายในรัศมีของแสงสว่างจากตะเกียงหินเท่านั้น เขาไม่สามารถหนีจากควันสีดำได้ เขาจึงยกโล่เมดูซ่าส์เกซขึ้นมาและต่อสู้กับควันสีดำของอีแร้งแก่ตรงๆ


 


เป่าเอ๋อยื่นตะเกียงหินมาข้างหน้าดวงตาของเมดูซ่า แสงประหลาดที่ปล่อยออกไปถูกเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีขาวและปะทะเข้ากับควันสีดำ แต่มันไม่สามารถแช่แข็งควันสีดำทั้งหมดได้ มันแช่แข็งได้แค่ควันสีดำที่อยู่ข้างหน้า ควันสีดำที่เหลือยังคงโจมตีเข้ามา มันทำลายควันสีดำข้างหน้าและพุ่งตรงเข้ามาปะทะกับแสงของโล่เมดูซ่าส์เกซอีก ก่อนที่จะถูกแช่แข็งไป สถานการณ์ดูเหมือนจะวนลูปอย่างนั้นไปเรื่อยๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)