Super God Gene 2904-2910
ตอนที่ 2904 เด็กผู้หญิงผมทอง
“วิธีนี้ได้ผล พี่ใหญ่ขว้างลูกประคำไปใส่ไข่นั่นอีกและทำให้มันเผยสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา” ไป๋อู๋ฉางพูดอย่างตื่นเต้น
ไป๋ว่านเจี้ยเห็นด้วย เขายังคงขว้างลูกประคำออกไปใส่ไข่ยักษ์เรื่อยๆ ไข่ยักษ์ส่องสว่างและโปร่งใสมากกว่าเดิม ใบหน้าของเด็กผู้หญิงที่อยู่ภายในไข่เริ่มจะกลายเป็นอะไรที่ชัดเจน
หานเซิ่นมองไปที่ไข่ยักษ์พร้อมกับขมวดคิ้ว เขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างภายในไข่อย่างชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว เขาเห็นว่าเด็กสาวผมทองที่อยู่ข้างในนั้นกำลังจะตื่นขึ้นมา นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกกังวลใจ
‘ทำไมทางเอ็กซ์ตรีมคิงถึงได้ส่งองค์ชายและองค์หญิงของพวกเขามาที่นี่ พวกเขาต้องการอะไรกันแน่? มันไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ว่าข้างในนี้มีอะไรอยู่? แต่ถ้าพวกเขารู้อยู่แล้ว ทำไมพวกเขาถึงยังส่งองค์ชายและองค์หญิงเข้ามาโดยที่ไม่พูดอะไร นั่นเป็นอะไรที่แปลกเกินไป’ ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิด เขาก็ได้ยินไป๋หลิงซวงพูดขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าจะมีเด็กผู้หญิงผมสีทองอยู่ข้างใน” ไป๋หลิงซวงพูดขณะที่มองไปที่ไข่ยักษ์
ไป๋ว่านเจี้ยโยนลูกประคำไปกว่าเจ็ดสิบเม็ด ซึ่งทำให้ไข่ยักษ์นั้นดูโปร่งใสราวกับคริสตัล คนที่อยู่รอบๆนั้นเกือบจะเห็นใบหน้าของเด็กผู้หญิงที่อยู่ภายในไข่ได้ แต่มันยังคงไม่ชัดเจนซะทีเดียว
“นี่มันแปลกจริงๆ” ไป๋อู๋ฉางพูด
“สิ่งมีชีวิตภายในไข่ใบนี้ดูเหมือนกับหนึ่งในเอ็กซ์ตรีมคิง แต่เผ่าพันธุ์ของพวกเราไม่มีใครเกิดมาจากไข่ถูกไหม?”
ไป๋หลิงซวงกรอกตาและพูด “เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เกิดมาจากไข่ เจ้าเคยเห็นสิ่งมีชีวิตไหนเกิดมาพร้อมกับชุดนอนบ้างล่ะ?”
“เจ้าพูดถูก” ไป๋อู๋ฉางพูด “นั่นหมายความว่ามีใครบางคนขังนางเอาไว้ข้างใน บททดสอบของพวกเราคือการช่วยนางออกมาอย่างนั้นหรอ?”
“มันบอกได้ยากว่าพวกเราต้องช่วยหรือต้องฆ่านาง บางทีนางอาจจะเป็นอันเดดระดับสูงสุด”
ไป๋ว่านเจี้ยพูดขณะที่เขายังคงโยนลูกประคำใส่ไข่ยักษ์ต่อไป
ทุกคนจ้องมองไปยังเด็กผู้หญิงที่อยู่ในไข่ ยิ่งลูกประคำถูกโยนไปมากเท่าไหร่ ใบหน้าของเด็กผู้หญิงก็เผยออกมาให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ เธองดงามราวกับนางฟ้า
ตอนนี้เธอกำลังขมวดคิ้วเหมือนว่าเธอกำลังไม่พอใจ ทุกคนกำลังจ้องไปที่เธอขณะที่ดวงตาของเธอเปิดออก มันทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจ
เธอไม่ได้เหมือนกับคนธรรมดาที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นหลังจากที่ตื่นจากการหลับไหล ดวงตาของเธอนั้นเปิดออกกว้างในทันที ม่านตาสีทองของเธอทำให้ดูเหมือนกับว่าเธอไม่มีตาดำ ถึงแม้เธอจะลืมตาขึ้นมา แต่ดวงตาของเธอนั้นขาดการโฟกัสราวกับคนที่กำลังเหม่อลอย มันดูแปลกประหลาดมากๆ และมันทำให้พวกเขารู้สึกหนาวขึ้นมา
ตอนนี้ไข่ยักษ์ดูเหมือนกับคริสตัลที่กำลังจะแตกร้าว ในชั่วพริบตาไข่ทั้งใบก็แตกกระจายราวกับแก้ว มันกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยที่ร่วงลงมาราวกับสายฝน เด็กผู้หญิงผมทองที่อยู่ข้างในถูกเผยออกมาให้เห็นอย่างสมบูรณ์
เด็กผู้หญิงผมทองลอยตัวอยู่ในภูเขา มันดูเหมือนว่ามีสายลมพัดขึ้นมาจากด้านล่างของภูเขา และทำให้เส้นผมสีทองของเธอปลิวไสว
โดยที่ไม่มีไข่ยักษ์คอยบดบัง ในที่สุดหานเซิ่นก็สัมผัสได้ถึงออร่าของเด็กผู้หญิงผมทองคนนั้น มันทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ออร่าของเด็กผู้หญิงผมทองคนนี้แตกต่างไปจากหว่านเอ๋อโดยสิ้นเชิง แม้จะในตอนที่หว่านเอ๋อกำลังบ้าคลั่ง ออร่าของเธอก็จะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง และการกระทำของเธอเป็นสิ่งที่เธอทำไปโดยที่ไม่ได้รู้สึกตัว
แต่ออร่าของเด็กผู้หญิงผมทองคนนี้ทำให้หานเซิ่นคิดถึงคำสองคำ
“ออร่าของนางเหมือนกับเทพสปิริต” หานเซิ่นจ้องไปที่เด็กผู้หญิงผมทอง
หานเซิ่นเคยฆ่าสกายไวน์แรดิช อีวิลโลตัสและพระเจ้าเกราะนภามาก่อน เด็กผู้หญิงผมทองคนนี้ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับพวกเขา
ออร่าของพวกเขาเป็นอะไรที่ไม่ชัดเจน ออร่าของราชาจุนและพระเจ้านั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนี้ นี่เป็นความรู้สึกที่จะถูกปลดปล่อยออกมาโดยเทพสปิริตที่รวมเข้ากับสิ่งมีชีวิตของจักรวาล
ตอนนี้เด็กผู้หญิงผมทองตรงหน้าทำให้หานเซิ่นมีความรู้สึกแบบนั้น
“นี่เด็กผู้หญิงผมทองคนนี้เป็นเทพสปิริตที่รวมเข้ากับสิ่งมีชีวิตของจักรวาลอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นมองไปที่เด็กผู้หญิงผมทอง ขณะที่ความคิดแล่นผ่านหัวของเขา
ไป๋ว่านเจี้ยและคนอื่นๆรวบรวมพลังของตัวเองและเตรียมตัวจะต่อสู้ ดูเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงออร่าที่น่ากลัวของเด็กผู้หญิงผมทอง
เด็กผู้หญิงผมทองค่อยๆลอยตัวขึ้นมาจากภูเขา ผมสีทองและชุดนอนสีขาวของเธอปลิวไสวไปกับสายลม
“รีบหนีเร็วเข้า!” หานเซิ่นตะโกน
ถึงแม้หานเซิ่นจะบอกไม่ได้ว่าเด็กผู้หญิงผมทองคนนี้แข็งแกร่งแค่ไหน แต่ออร่าของเธอเป็นของเทพสปิริตไม่ผิดแน่ ไม่ว่าเทพสปิริตคนหนึ่งจะอ่อนแอแค่ไหน มันก็ยังเหนือกว่าไป๋ว่านเจี้ยและคนอื่นๆที่เป็นแค่ระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟอยู่ดี
“พวกเรามาถึงที่นี่เรียบร้อยแล้ว ทำไมพวกเราถึงไม่ลองดูสักตั้งก่อนที่พวกเราจะหนี? ข้าไม่ได้สนใจในบัลลังก์ แต่การทดสอบสนุกๆแบบนี้เป็นสิ่งที่ข้าจะไม่ยอดพลาดเด็ดขาด”
เมื่อเห็นเด็กผู้หญิงผมทองลอยขึ้นมา ไป๋อู๋ฉางก็หัวเราะออกมา ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นโหมดภูตผีในทันที เขาปล่อยมีดแสงออกใส่เด็กผู้หญิงผมทอง
เด็กผู้หญิงผมทองทำเหมือนกับว่าเธอยังไม่ตื่น เธอลอยตัวอยู่เหนือภูเขาด้วยดวงตาที่ขาดการโฟกัส เธอไม่ได้มองไป๋อู๋ฉางที่กำลังโจมตีใส่เธอด้วยซ้ำ
มีดแสงของไป๋อู๋ฉางนั้นทรงพลัง มันพุ่งเข้าไปฟันใส่เด็กผู้หญิงผมทอง ชุดนอนของเธอถูกตัดขาดและมีดแสงก็พุ่งไปถูกผิวของเธอ แต่ทันใดนั้นมีดแสงก็ละลายหายไปโดยที่ไม่ทิ้งแม้แต่รอยแดงเอาไว้บนผิวของเธอ
หลังจากนั้นดวงตาที่ขาดการโฟกัสของเด็กผู้หญิงผมทองก็หันมามองที่ไป๋อู๋ฉางในทันที
ไป๋อู๋ฉางตั้งใจจะโจมตีอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นในจังหวะที่ทุกคนกระพริบตา พวกเขาก็รู้สึกตัวว่าเด็กผู้หญิงผมทองได้หายตัวไปแล้ว
สีหน้าของหานเซิ่นเปลี่ยนไป เขารีบหันไปมองและเห็นไป๋อู๋ฉางที่อยู่ในโหมดภูติผีนั้นกำลังถูกเด็กผู้หญิงผมทองจับที่คอและยกให้ลอยขึ้นจากพื้น
ดวงตาของเด็กผู้หญิงผมทองยังคงขาดการโฟกัส เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เธอใช้มือข้างเดียวเพื่อยกไป๋อู๋ฉาง มันเหมือนกับว่าเธอแค่ยกไก่ตัวหนึ่งขึ้นด้วยการจับคอของมัน
ไป๋อู๋ฉางดูเหมือนกับว่าคนที่กำลังจมน้ำ เขาพยายามดิ้นรน แต่เขาทำอะไรไม่ได้ เขาแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่วินาทีเส้นผมของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเทา
“เจ้ากล้าดียังไง!” ไป๋ว่านเจี้ยทั้งตกใจและโกรธ เขาเปิดใช้ร่างกายแห่งราชันและเรียกค้อนขนาดใหญ่ออกมาทุบใส่เด็กผู้หญิงผมทอง
ไป๋หลิงซวงหยิบดาบน้ำแข็งของเธอออกมา ขณะที่ไป๋เวยเองก็ใช้หมัดช็อกกิ้งสกายเช่นกัน คนหนึ่งโจมตีเด็กผู้หญิงผมทองจากทางด้านซ้าย ขณะที่อีกคนโจมตีจากทางด้านขวา พวกเธอเองก็ต้องการจะช่วยไป๋อู๋ฉาง
ปัง!
ค้อนทุบไปที่ด้านหลังศีรษะของเด็กผู้หญิงผมทอง แต่นั่นแค่ทำให้คอของเธอขยับเพียงเล็กน้อย มันไม่ได้ทำให้เธอกระเด็นออกไปแม้แต่นิดเดียว
ไป๋หลิงซวงและไป๋เวยโจมตีศัตรูพร้อมๆกัน แต่การโจมตีของพวกเธอทำได้แค่สร้างความเสียหายกับชุดของอีกฝ่ายเท่านั้น บนผิวหนังของเด็กผู้หญิงผมทองไม่มีแม้แต่รอยแดง
เด็กผู้หญิงผมทองยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาสัมผัสค้อนขนาดใหญ่ และทำให้อาวุธระดับเทพเจ้านั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ
ตอนที่ 2905 ต่อสู้กับเด็กผู้หญิงผมทอง
หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขารู้ว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง คนอื่นๆก็จะถูกฆ่าตายกันหมด แถมเขายังอยากจะรู้ว่าเด็กผู้หญิงผมทองคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับหว่านเอ๋อหรือเปล่า ซึ่งเมื่อดูจากพลังที่เธอใช้แล้ว มันดูแตกต่างไปจากพลังของหว่านเอ๋อ เธอไม่ได้มีพลังสีทองที่สามารถลบล้างพลังจากร่างเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดของหานเซิ่น แต่เธอดูเหมือนจะมีพลังที่สามารถดูดซับหรือช่วงชิงพลังชีวิต
ในเวลาอันสั้นผมสีดำของไป๋อู๋ฉางก็เปลี่ยนเป็นสีขาวและเขาก็กลับมาอยู่ในร่างจริงของตัวเองอีกครั้ง ถ้าเกิดยังเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่ถึงสิบวินาที เขาก็คงจะต้องตาย
หานเซิ่นไม่ได้สนใจว่าไป๋อู๋ฉางจะอยู่หรือตาย แต่เขาต้องการจะช่วยไป๋เวย และเมื่อคำนึงถึงข้อตกลงของเขากับราชาไป๋ ถ้าเขาต้องการจะใช้ชีวิตอยู่ที่เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงต่อ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยคนพวกนี้
หลังจากที่เด็กผู้หญิงผมทองระเบิดค้อนระดับเทพเจ้าของไป๋ว่านเจี้ยไปแล้ว เธอก็เอื้อมมือไปหาไป๋เวยคนที่อยู่ใกล้ที่สุด
ไป๋เวยนั้นใช้วิชาหมัดช็อกกิ้งสกายของเอ็กซ์ตรีมคิง ดังนั้นเธอไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าประชิดเด็กผู้หญิงผมทอง
ร่างกายของไป๋เวยบินไปหามือของเด็กผู้หญิงผมทองอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ไป๋เวยไม่ได้ตื่นตระหนก ร่างกายของเธอมีวงแหวนส่องสว่างออกมาทำให้ร่างกายของเธอหมุน เธอต้องการจะใช้แรงหมุนนั้นเพื่อกำจัดแรงดูดของเด็กผู้หญิงผมทอง
เธอหมุนตัวได้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ก่อนที่เธอจะถูกดูดไปอยู่ในมือของเด็กผู้หญิงผมทอง เด็กผู้หญิงผมทองจับคอของเธอเอาไว้
ไป๋เวยนั้นแข็งแกร่งกว่าไป๋อู๋ฉาง ในจังหวะที่เธอถูกจับคอ เธอพยายามจะเทเลพอร์ตหนีไปด้วยวิชาก็อตส์วอนเดอร์ของเผ่าเวรี่ไฮ แต่การเทเลพอร์ตของเธอถูกหยุดเอาไว้เหมือนกับดอกไม้ไฟที่ถูกดับด้วยน้ำ เธอไม่สามารถเทเลพอร์ตหนีไปได้
ไป๋หลิงซวงและไป๋ว่านเจี้ยตกตะลึง มันไม่มีใครคาดคิดว่าอันเดดระดับสุดท้ายจะน่ากลัวขนาดนี้
พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร พวกเขาแค่หันหลังกลับเพื่อจะวิ่งหนีไป พวกเขาไม่ได้สนใจชีวิตของไป๋อู๋ฉางและไป๋เวยอีกต่อไป พวกเขารีบตรงไปที่สะพาน
มันจะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ เด็กผู้หญิงผมทองคนนี้แข็งแกร่งเกินไป พวกเขาไม่สามารถทำอะไรเธอได้ ถ้าพวกเขายังอยู่ต่อ พวกเขาก็คงจะมีจุดจบที่เหมือนกัน
ไป๋เวยรู้ว่าสถานการณ์นั้นกำลังคับขันสุดๆ และเธอก็รู้ว่าตัวเองคงจะต้องตายในอีกไม่นาน มันมีบางสิ่งถูกดูดออกมาจากร่างกายของเธอและเข้าไปในมือของเด็กผู้หญิงผมทอง
ในตอนที่พลังของเธอถูกดูดไป ไป๋เวยก็รู้สึกว่าเธอไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะดิ้นรน ร่างกายของเธอสั่นภายในกำมือของเด็กผู้หญิงผมทอง
“ข้าจะต้องตายอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรอ? ข้ายังไม่ได้เอาชนะเขาเลย!”
เงาของคนๆหนึ่งแว็บเข้ามาในหัวของไป๋เวย ถึงแม้เธอกำลังจะต้องตาย แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว เธอกำลังรู้สึกผิดหวัง
ทันใดนั้นไป๋เวยก็ได้ยินเสียงดังขึ้นใกล้ๆหูของเธอ และก่อนที่ไป๋เวยจะรับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันก็มีพลังบางอย่างดึงตัวเธอออกห่างจากเด็กผู้หญิงผมทอง
ปัง! ปัง!
ไป๋เวยและไป๋อู๋ฉางร่วงลงกับพื้น พวกเขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นโฮลี่เบบี้ยืนอยู่ระหว่างพวกเขา เขากำลังจ้องไปที่เด็กผู้หญิงผมทองราวกับเทพที่ลงมาจากท้องฟ้า
ขณะที่ไป๋ว่านเจี้ยและไป๋หลิงซวงพยายามจะหนีไป พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง พวกเขาหันกลับไปมองและเห็นโฮลี่เบบี้ช่วยไป๋เวยกับไป๋อู๋ฉางมาจากเด็กผู้หญิงผมทอง มันเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ
พวกเขาชะงักไป ถ้าไป๋เวยและไป๋อู๋ฉางถูกฆ่าตาย พวกเขาก็จะสามารถกลับไปรายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้
แต่ตอนนี้ไป๋อู๋ฉางและไป๋เวยยังคงมีชีวิตอยู่ ถ้าพวกเขาพยายามจะหนีไปทั้งๆแบบนี้ มันก็จะส่งผลทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเขาแย่ลงไป มันมีโอกาสสูงที่ราชาไป๋จะไม่พอใจกับการตัดสินใจของพวกเขา
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้พยายามหนีไปแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้กลับเข้ามาช่วย พวกเขาแค่มองดูจากระยะไกล
“พวกเจ้าควรรีบไปจากที่นี่” หานเซิ่นพูดกับไป๋อู๋ฉางและไป๋เวย แต่สายตาของเขานั้นจับจ้องไปที่เด็กผู้หญิงผมทอง
ไป๋เวยพยุงไป๋อู๋ฉางที่หมดเรี่ยวแรงขึ้นมา พวกเขาทั้งคู่มองไปที่หานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนและถอยออกไปตามที่หานเซิ่นบอก
ตอนนี้บนเกาะเหลือเพียงแค่หานเซิ่นกับเด็กผู้หญิงผมทอง เด็กผู้หญิงผมทองมองไปที่หานเซิ่นอย่างไร้ความรู้สึก ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็หายไป ในตอนที่เธอปรากฏตัวอีกครั้ง เธอก็ไปโผล่ตรงหน้าของหานเซิ่นและพยายามจะจับคอของเขา
หานเซิ่นยกมือของตัวเองขึ้นมาเพื่อชกใส่มือของเด็กผู้หญิงผมทอง ก่อนหน้านี้หานเซิ่นชกใส่เด็กผู้หญิงผมทองไปรอบหนึ่งแล้ว ซึ่งพลังของพวกเขานั้นทัดเทียมกัน แต่เมื่อพวกเขาปะทะกันอีกครั้ง หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงพลังดึงดูดจากมือของเด็กผู้หญิงผมทอง มันทำให้เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งถูกดูดออกไปจากร่างกายของเขาและเข้าไปในตัวของเด็กผู้หญิงผมทอง
แต่สิ่งที่ถูกดูดไปนั้นไม่ใช่พลังชีวิตหรืออายุขัยของเขา มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
“วิชาช่วงชิงสปิริต!” หานเซิ่นรู้สึกตัวว่าเด็กผู้หญิงผมทองพยายามจะเอาอะไรไปจากเขา
เด็กผู้หญิงผมทองนั้นไม่ได้เอาพลังชีวิตของเขา เธอช่วงชิงสปิริตของสิ่งมีชีวิต ไม่แปลกใจเลยที่ไป๋อู๋ฉางยังคงมีใบหน้าที่ดูหนุ่มทั้งๆที่เส้นผมของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทา
พลังชีวิตของเขายังคงเป็นเหมือนเดิม แต่หลังจากที่จิตใจเสื่อมถอยจากการถูกชิงสปิริต มันก็ทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาสูญเสียพลังชีวิต แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่
‘นี่หมายความว่าซีโน่เจเนอิคในปราสาทไนท์ดีเฟ้นส์ถูกเด็กคนนี้ช่วงชิงสปิริตไปอย่างนั้นหรอ?’
ความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาในหัวของหานเซิ่น แต่เขาไม่ได้หยุดมือ อาณาเขตตงเสวียนถูกผลักดันจนถึงขีดสุด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถหยุดสปิริตตัวเองจากการออกไปจากร่างได้
หานเซิ่นค้นพบว่าสปิริตนั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของฟันเฟืองจักรวาล ถึงแม้เขาจะใช้อาณาเขตตงเสวียนเพื่อหยุดการหมุนของฟันเฟืองจักรวาลทั้งหมด เขาก็ไม่สามารถหยุดเด็กผู้หญิงผมทองจากการช่วงชิงสปิริตได้
หานเซิ่นลองใช้พลังต่างๆ แต่ไม่มีพลังที่จะหยุดเด็กผู้หญิงผมทองจากการช่วงชิงสปิริตได้
หานเซิ่นขมวดคิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพลังแบบนี้ เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับศัตรูแบบนี้มาก่อน
หานเซิ่นตัดสินใจใช้วิชาเรื่องราวของยีน เขาใช้พลังของอีเทอร์นิตี้เพื่อหยุดสปิริตของตัวเองจากการรั่วไหลออกไป
ในตอนที่พลังแช่แข็งของอีเทอร์นิตี้ทำงาน หานเซิ่นก็รู้สึกว่าพลังดูดของเด็กผู้หญิงผมทองนั้นหายไป สปิริตหยุดรั่วไหลออกไปจากร่างกายของเขา
“เรื่องราวของยีนใช้ได้ผล! ไม่แปลกใจเลยที่ผู้นำเซเคร็ดคิดค้นมันขึ้นมาเพื่อรับมือกับเทพสปิริต มันเป็นพลังที่มีผลต่อสปิริต”
หานเซิ่นรู้สึกดีใจ เขาแค่ลองดูเผื่อจะได้ผล เขาไม่ได้คาดคิดว่ามันจะได้ผลจริงๆ
เด็กผู้หญิงผมทองยังคงจับมือของหานเซิ่นเอาไว้ แต่เธอไม่สามารถช่วงชิงสปิริตไปจากเขาได้ ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเธอดูสับสน ดวงตาสีทองของเธอโฟกัสมาที่หานเซิ่น
ตอนที่ 2906 ติดอยู่ในภูเขา
หานเซิ่นบิดแขนของเด็กผู้หญิงผมทองและทำให้เธอหันกลับไปอีกด้าน หลังจากนั้นเขาก็กดเธอไปติดกับกำแพงของภูเขา ไป๋ว่านเจี้ยและคนอื่นๆรู้สึกตกใจ พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าผลจะออกมาเป็นแบบนั้น
“ไม่แปลกใจเลยที่ท่านพ่อรับเขาเป็นลูกศิษย์ เขาไม่ได้ทำตัวโอ้อวดทั้งๆที่เขามีพลังมากขนาดนั้น” ไป๋ว่านเจี้ยพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
ไป๋หลิงซวงพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าการคาดเดาของพวกเราจะไม่ถูกต้อง โฮลี่เบบี้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อคอยดูความสามารถของพวกเราเท่านั้น ท่านพ่อคงจะต้องสั่งให้เขาคอยปกป้องพวกเรา”
หลังจากที่พูดแบบนั้น เธอก็ถอนหายใจและพูดต่อ “ถ้าข้ารู้ว่าจะเป็นแบบนั้น ข้าก็คงจะไม่หนีมาแบบนี้”
“ใครจะรู้ว่าโฮลี่เบบี้มีพลังถึงขนาดนั้น? มันโทษพวกเราไม่ได้ที่วิ่งหนีเอาตัวรอด ถึงเขาจะไปรายงานกับท่านพ่อ มันก็จะไม่เป็นอะไร” ไป๋ว่านเจี้ยไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง
ไป๋เวยและไป๋อู๋ฉางมองไปที่หานเซิ่นด้วยความตกใจ พวกเขาทำอะไรเด็กผู้หญิงผมทองไม่ได้ แต่โฮลี่เบบี้กลับสามารถกดเธอติดกำแพงด้วยมือข้างเดียว พลังขนาดนั้นเป็นอะไรที่น่าตกใจ
ขณะที่หานเซิ่นกดเด็กผู้หญิงผมทองติดกับกำแพงของภูเขา เขาก็ถามเบาๆว่า “เจ้าคือใครกัน?”
เขาอยากจะรู้ว่าเด็กผู้หญิงผมทองมาจากที่ไหน เธอสามารถช่วงชิงสปิริตของสิ่งมีชีวิตอื่นได้ แถมเธอยังดูเหมือนกับหว่านเอ๋อ และเธอยังมีออร่าของเทพสปิริต มันเป็นอะไรที่แปลกมากๆ
เด็กผู้หญิงผมทองนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ มันเหมือนกับว่าเธอไม่ได้ยินสิ่งที่หานเซิ่นพูด เธอหันกลับมาหาหานเซิ่น เธอไม่ได้สนใจเลยว่าแขนของเธอถูกหานเซิ่นจับเอาไว้ เธอหักแขนของตัวเองเพื่อหันหน้ากลับมา เธอมองไปที่หานเซิ่นและใช้แขนอีกข้างเพื่อจับที่เอวของเขา
ตูม!
ทั้งหมดที่หานเซิ่นเห็นก็คือแสงสีทองแว็บขึ้นต่อหน้าเขา จังหวะต่อนั้นเขาและเด็กผู้หญิงผมทองก็หายเข้าไปในภูเขาด้วยกัน เครื่องจักรคริสตัลภายในภูเขาเรืองแสงขึ้นมาพร้อมกัน มันสร้างแสงคริสตัลที่ห่อหุ้มหานเซิ่นและเด็กผู้หญิงผมทองเอาไว้ภายใน
หานเซิ่นรู้สึกตกใจ เขาต้องการจะเทเลพอร์ตออกไปจากภูเขา แต่เขารู้สึกว่าอวกาศรอบๆตัวถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ เขาไม่สามารถเทเลพอร์ตออกไปได้
แสงคริสตัลเริ่มแข็งตัวกลายเป็นคริสตัล มันกลายเป็นคริสตัลทรงกลมที่ดูเหมือนกับไข่ยักษ์ก่อนหน้านี้
หานเซิ่นชกใส่เด็กผู้หญิงผมทอง แต่ภายในคริสตัล พลังของเด็กผู้หญิงผมทองดูเหมือนจะเพิ่มสูงขึ้นถึงระดับที่น่ากลัว พลังหมัดของหานเซิ่นดูเหมือนกับหมัดของสามัญชนที่ชกใส่กำแพงเหล็ก เขาไม่สามารถทำอะไรเด็กผู้หญิงผมทองได้
เปลือกคริสตัลปกคลุมทั้งคู่เอาไว้ภายใน มันเหมือนกับไข่คริสตัลที่หานเซิ่นเห็นในตอนแรก
แขนที่หักของเด็กผู้หญิงผมทองฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ เธอจับตัวหานเซิ่นและพลังที่น่ากลัวก็รุกรานเข้าไปในร่างกายของเขา มันพยายามที่จะช่วงชิงสปิริตของหานเซิ่นไป
ด้วยพลังของอิเทอร์นิตี้ เด็กผู้หญิงผมทองไม่สามารถช่วงชิงสปิริตของหานเซิ่นไปได้ แต่หานเซิ่นก็ไม่สามารถหนีไปจากการจับกุมของเด็กผู้หญิงผมทองได้เช่นกัน พวกเขาทั้งคู่ติดแหง็กอยู่ภายในไข่ยักษ์
หานเซิ่นคิด ‘นี่ราชาไป๋ดีกับเราก็เพื่อหลอกให้เรามาที่นี่และให้เด็กผู้หญิงผมทองช่วงชิงสปิริตของเราอย่างนั้นหรอ?’
ด้วยพลังประหลาดของเด็กผู้หญิงผมทองและด้วยความช่วยเหลือจากเครื่องจักรคริสตัลภายในภูเขา แม้แต่ยอดฝีมือขั้นทรูก็อตก็ไม่สามารถต่อสู้กับเธอได้
แต่ถ้าราชาไป๋จะหลอกให้เขาติดกับโดยการส่งเขามาที่นี่เพื่อปกป้ององค์ชายและองค์หญิง มันก็ดูจะไม่ถูกเท่าไหร่
เพราะถึงราชาไป๋จะหลอกหานเซิ่นจริง เขาก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าหานเซิ่นจะต่อสู้กับเด็กผู้หญิงผมทองเพื่อปกป้องเหล่าองค์ชายและองค์หญิงตามที่ถูกสั่งหรือเปล่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะควบคุมได้ หานเซิ่นสามารถละทิ้งหน้าที่และหนีไปได้ เหตุผลที่เขาตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ต่อ นั่นก็เป็นเพราะเขาสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเด็กผู้หญิงผมทอง
ราชาไป๋ไม่สามารถรู้ได้ว่าหานเซิ่นจะสนใจในตัวเด็กผู้หญิงผมทอง ดังนั้นสิ่งที่หานเซิ่นคิดจึงไม่สมเหตุสมผล
ภายใต้พลังเสริมจากไข่คริสตัล เด็กผู้หญิงผมทองก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายทั้งร่างของเธอเป็นเหมือนกับปลาหมึกที่จับตัวหานเซิ่นเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
หานเซิ่นพยายามชกใส่เธอ แต่เขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเธอถูกปกป้องโดยชั้นของคริสตัล เขาไม่สามารถเจาะทะลวงมันได้
ภายในภูเขาของสตาร์ทเตอร์คิงส์แลนด์ หานเซิ่นถูกเด็กผู้หญิงผมทองจับตัวเอาไว้ในไข่คริสตัลยักษ์ มันเหมือนกับว่าหานเซิ่นและเด็กผู้หญิงผมทองถูกแช่ในน้ำแข็ง เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
หานเซิ่นใช้แม้กระทั่งหอกสกายไวน์แรดิชก็อต แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรเด็กผู้หญิงผมทองได้ เธอแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆและหานเซิ่นก็รู้สึกร่างกายของเขากำลังเกิดการรั่วไหล เขาไม่สามารถทนต่อพลังดูดของเด็กผู้หญิงผมทองได้
“ดูเหมือนว่าเราจำเป็นต้องใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด”
หานเซิ่นถูกบังคับให้ต้องใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด เขาต้องการจะใช้จังหวะนั้นเพื่อหนีออกไปจากที่นี่
แต่ทว่าในตอนที่หานเซิ่นใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด พลังของเขาก็ไปกระตุ้นหว่านเอ๋อคนที่หลับไหลอยู่ในหอคอยแห่งโชคชะตา มันทำให้ร่างกายของเธอส่องสว่างแสงสีทองออกมา
ในตอนแรกหานเซิ่นคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเหมือนกับทุกครั้ง เขาคิดว่าพลังของหว่านเอ๋อจะลบล้างพลังของโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตั้งใจจะหนีออกไปก่อนที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
ใครจะรู้ว่าในครั้งนี้ จู่ๆหว่านเอ๋อก็ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล
ไป๋ว่านเจี้ยและคนอื่นๆเห็นแค่ว่ามีแสงสีทองแว็บขึ้นมาก่อนที่หานเซิ่นและเด็กผู้หญิงผมทองจะหายตัวไป หลังจากนั้นแสงคริสตัลในภูเขาก็ปะทุขึ้นไปสู่ท้องฟ้าราวกับภูเขาไฟระเบิด
พวกเขาไม่กล้าจะเข้าไปใกล้ภูเขา พวกเขารอคอยจากระยะไกล แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน พวกเขาก็ยังไม่เห็นหานเซิ่นออกมาจากภูเขา แสงคริสตัลยังคงปะทุขึ้นมาจากภูเขา
เหล่าองค์ชายและองค์หญิงคนอื่นๆได้ยินเรื่องทั้งหมดจากไป๋ว่านเจี้ย พวกเขาหันไปมองไป๋อู๋ฉางที่ตอนนี้มีผมสีขาว พวกเขาจึงไม่กล้าจะไปที่เกาะต่อไป
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ในที่สุดสตาร์ทเตอร์คิงส์แลนด์ก็เปิดขึ้นอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ยังไม่ออกมาจากภูเขา เหล่าองค์ชายและองค์หญิงกลับไปที่กระดูกของมังกรปีศาจอวกาศและเทเลพอร์ตออกไปจากสตาร์ทเตอร์คิงส์แลนด์
ไป๋ว่านเจี้ย ไป๋เวย ไป๋หลิงซวงและไป๋อู๋ฉางถูกเรียกตัวไปพบโดยราชาไป๋ พวกเขารายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับโฮลี่เบบี้ให้ราชาไป๋ฟังโดยที่ไม่ปกปิดอะไรแม้แต่นิดเดียว
ไป๋ว่านเจี้ยและไป๋หลิงซวงกลัวว่าราชาไป๋อาจจะต่อว่าพวกเขาหลังจากที่ได้ยินเรื่องทั้งหมด แต่ราชาไป๋ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากปกติหลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมด ราชาไป๋ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาแค่ถามคำถามเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงผมทองและโฮลี่เบบี้อีกไม่กี่คำถาม ก่อนที่จะบอกให้ไป๋ว่านเจี้ยและคนอื่นๆออกไปได้
“โชคดีที่ท่านพ่อส่งโฮลี่เบบี้มาคอยปกป้องพวกเรา ไม่อย่างนั้นใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?” ไป๋ว่านเจี้ยพูด
“ท่านพ่อฉลาดจริงๆ” ไป๋หลิงซวงพูด “โฮลี่เบบี้ที่ท่านพ่อรับเป็นลูกศิษย์นั้นช่วยชีวิตของอู๋ฉางและน้องเวยเอาไว้”
หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว ราชาไป๋ก็ขมวดคิ้ว หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็พูดกับตัวเอง
“เขาไม่ควรจะแพ้ ถ้าเขาฆ่าพระเจ้าเกราะนภาได้ ทำไมเขาถึงเอาชนะผลจากการทดลองนั่นไม่ได้? นี่ผลจากการทดลองนั่นทรงพลังยิ่งกว่าเทพสปิริตอย่างนั้นหรอ?”
ตอนที่ 2907 กลับเข้าไปในก็อตแอเรีย
หานเซิ่นดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ มันเป็นอะไรที่อยู่เหนือจินตนาการของเขา หลังจากที่หว่านเอ๋อตื่นขึ้นมา แสงสีทองของเธอก็ขยายออกไปและสร้างปฏิกิริยาที่รุนแรงกับโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด มันบังคับให้หานเซิ่นต้องปล่อยเธอออกมา ไม่อย่างนั้นร่างกายของพวกเขาทั้งคู่ก็จะถูกฉีกขาด
หลังจากที่หว่านเอ๋อปรากฏตัวออกมา แสงคริสตัลรอบๆก็ถูกหยุด ภายใต้แสงสีทองของหว่านเอ๋อ ไข่คริสตัลยักษ์นั้นละลายอย่างรวดเร็วเหมือนกับน้ำแข็งใต้แสงอาทิตย์
ไม่ใช่แค่ไข่คริสตัลยักษ์เท่านั้นที่ละลาย แม้แต่เด็กผู้หญิงผมทองที่ดูเหมือนกับหว่านเอ๋อก็ละลายเช่นกัน ร่างกายของเธอเป็นเหมือนกับรูปปั้นน้ำแข็งที่ค่อยๆละลายภายใต้ความร้อน ที่สุดแล้วเธอก็กลายเป็นของเหลวไหลลงไปสู่กงล้อคริสตัลที่อยู่ที่ก้นของภูเขา
สิ่งที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือหลังจากที่ร่างกายของเด็กผู้หญิงผมทองละลายไปแล้ว มันทิ้งเงาที่ดูเหมือนกับวิญญาณเอาไว้ หานเซิ่นเห็นว่าเงานั้นมีใบหน้าของหว่านเอ๋อ มันเหมือนกับสปิริตที่ลอยตัวอยู่ตรงหน้าของเธอ
หว่านเอ๋อยื่นมือออกมาเพื่อจะสัมผัสมัน และเงานั่นก็ค่อยๆหายเข้าไปในมือของหว่านเอ๋อ
หลังจากที่หว่านเอ๋อดูดกลืนเงานั่นเข้าไป ร่างกายของเธอก็ค่อยๆมัวลง เธอหันมามองที่หานเซิ่นและเรียกเขาว่า “พี่ชาย” ด้วยเสียงที่แผ่วเบาก่อนที่จะสลบไป
โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดของหานเซิ่นก็จางหายไปเช่นกัน เขารีบรับตัวหว่านเอ๋อที่หมดสติเอาไว้ เขารู้สึกว่าพลังชีวิตของเธอกลับไปเหมือนกับตอนแรกที่เขาพบกับเธอ พลังชีวิตของเธอดูยุ่งเหยิงและอ่อนแอมากๆ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หานเซิ่นเอาหว่านเอ๋อกลับไปไว้ในหอคอยแห่งโชคชะตา เขารู้สึกสับสนอย่างมาก
จากสิ่งที่หานเซิ่นรู้ในตอนนี้ เขาคิดว่าหว่านเอ๋อน่าจะเกี่ยวข้องกับเซเคร็ด แต่เขาไม่คิดว่าผู้นำเซเคร็ดนั้นจะเป็นพี่ชายที่หว่านเอ๋อพูดถึง
ถ้าผู้นำเซเคร็ดเป็นพี่ชายของเธอจริงๆ และหว่านเอ๋อดูจะรักพี่ชายของเธอมากขนาดนี้ ผู้นำเซเคร็ดจะใช้เธอเป็นตัวทดลองได้ยังไงกัน?
ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงผมทองในไข่ยักษ์คืออะไร แต่สิ่งที่เขารู้ก็คือเด็กผู้หญิงผมทองคนนั้นมีสปิริตของหว่านเอ๋ออยู่ ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกควบคุมโดยหว่านเอ๋อ
“ดูเหมือนว่าคนของเซเคร็ดจะใช้สปิริตของหว่านเอ๋อเพื่อทำการทดลอง หว่านเอ๋อถึงตกอยู่ในสภาวะที่ไม่เสถียรภาพแบบนี้ การทดลองนี้ทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไรกัน? พวกเขาคิดจะสร้างเทพสปิริตขึ้นมาอย่างนั้นหรอ? แต่ทำไมถึงได้ใช้สปิริตของหว่านเอ๋อล่ะ?”
หานเซิ่นพยายามจะคาดเดา แต่เขาไม่สามารถคิดหาคำตอบที่สมเหตุสมผลได้ มีหลายเรื่องเกินไปที่ต้องทำการคาดเดาและผลจากการคาดเดานั้นก็เป็นแค่สมมุติฐานเท่านั้น
ขณะที่หานเซิ่นกำลังครุ่นคิด เขาเห็นกงล้อคริสตัลเริ่มหมุน เขารู้สึกแปลกใจ เขาคิดไปว่าเด็กผู้หญิงผมทองที่ละลายไปนั้นจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
โชคดีที่สิ่งที่หานเซิ่นคิดไม่เป็นความจริงขึ้นมา หลังจากที่กงล้อคริสตัลหมุนที่ศูนย์กลางของกงล้อก็เผยให้เห็นบ่อน้ำที่มีของเหลวกึ่งโปร่งใสอยู่ครึ่งหนึ่ง
ในตอนกงล้อคริสตัลหยุดหมุน บ่อของเหลวกึ่งโปร่งใสก็เผยออกมาให้เห็นอย่างสมบูรณ์
“ยีนซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าถูกค้นพบ… ยีนซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าถูกค้นพบ…” ในหัวของหานเซิ่นมีเสียงประกาศดังขึ้นอย่างรัวๆ
“ของเหลวในบ่อน้ำนี้… คงจะไม่ได้เป็นยีนซีโน่เจเนอิคทั้งหมดหรอกใช่ไหม…” หานเซิ่นรู้สึกทั้งตกใจและดีใจ เขารีบบินไปหาบ่อน้ำ
หานเซิ่นเก็บของเหลวในบ่อขึ้นมา และเขาก็ได้ยินเสียงประกาศว่าเขาได้รับยีนซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าดังขึ้นมาในทันที
“ยีนซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าจำนวนมากขนาดนี้ มันจะใช้ได้ผลกับเราไหมนะ?” หานเซิ่นกลัวว่ายีนระดับเทพเจ้าพวกนี้จะมีระดับต่ำเกินไป
หานเซิ่นลองดื่มของเหลวนั่นเข้าไป และเขาก็รู้สึกตัวอย่างรวดเร็วว่าความกังวลของเขาไม่เป็นความจริง เขาดื่มของเหลวภายในบ่อเข้าไปเล็กน้อย ในหัวของเขาก็มีเสียงประกาศว่า “ยีนระดับเทพเจ้า+1” ดังขึ้นมา
“ได้ผล… มันได้ผล… ฉันใช้มันเพื่อกลายเป็นขั้นทรูก็อต…”
หานเซิ่นรู้สึกดีใจและดื่มของเหลวกึ่งโปร่งใสในบ่อเข้าไปอย่างไม่หยุด
ทันใดนั้นหานเซิ่นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ‘พวกมันทั้งหมดนี่คงจะถูกเตรียมไว้ให้กับหว่านเอ๋อ? เพราะนอกจากเธอแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือขั้นทรูก็อตก็ยากจะเอาชนะเด็กผู้หญิงผมทองคนนั้นได้’
หานเซิ่นคิดว่าตัวเองคิดถูกแล้ว “ยังไงซะเธอก็ใช้มันไม่ได้ ตอนนี้ให้ฉันใช้มันแทนเธอละกัน แถมเธอยังอาศัยอยู่ภายในตัวฉันเป็นเวลานาน เธอจำเป็นต้องจ่ายค่าเช่า”
หานเซิ่นคิดจะเอาของเหลวกึ่งโปร่งใสทั้งหมดไป แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัวว่าถ้าออกของเหลวออกไปจากบ่อ พวกมันก็จะเน่าเสียอย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่สามารถขนย้ายมันไปได้ เขาจำเป็นต้องอยู่ที่นี่เพื่อดึ่มของเหลวกึ่งโปร่งใสเข้าไปจนหมด
หลังจากที่หานเซิ่นดึ่มของเหลวกึ่งโปร่งใสภายในบ่อเข้าไปจนหมดแล้ว เขาก็ได้ยีนระดับเทพเจ้า
“น่าเสียดาย! เราขาดอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น” หานเซิ่นเลียริมฝีปากของเขาและบินออกจากภูเขา
หลังจากที่บินออกมา เขาก็ไม่เห็นองค์ชายและองค์หญิงอยู่เลยสักคน เขานับเวลาที่อยู่ภายในหุบเขาและรู้สึกตัวว่าเวลาหนึ่งเดือนนั้นผ่านไปเรียบร้อยแล้ว
“ไม่รู้ว่าเครื่องเทเลพอร์ตที่กระดูกของมังกรปีศาจอวกาศจะยังใช้ได้อยู่ไหม”
หานเซิ่นกลับไปที่เกาะแรกสุด “ถ้าเราใช้มันไม่ได้ เราก็คงจะต้องใช้ลูกบาศก์สี่แกะเพื่อออกไปจากที่นี่”
“จริงๆด้วย หลังจากผ่านเวลาที่ถูกกำหนดไป มันก็ใช้งานไม่ได้อีกแล้ว”
หานเซิ่นกลับไปที่โครงกระดูกของมังกรปีศาจอวกาศและค้นพบว่าเครื่องเทเลพอร์ตไม่สามารถใช้งานได้ เขาไม่สามารถเปิดใช้งานมันจากข้างในได้
“ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าราชาไป๋พยายามจะหลอกเราหรือเปล่า เราไม่ควรกลับไปที่เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงอีก เราควรใช้โอกาสนี้เพื่อหนีไปจากเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงซะเลย”
ก่อนหน้านี้หานเซิ่นไม่ต้องการไปจากเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงก็เพราะทรัพยากรที่พวกเขามีอยู่ แต่ตอนนี้หานเซิ่นเกือบจะเลื่อนไปสู่ขั้นทรูก็อตได้แล้ว การอยู่ที่เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงจึงไม่ได้สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไป
“เสียดายก็แต่เรามีแผนที่จะพากิเลนโลหิตออกมาจากเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงด้วยกัน ตอนนี้เราทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว เราจำเป็นต้องคิดหาวิธีอื่น”
หานเซิ่นใช้ลูกบาศก์สี่แกะเพื่อออกไปจากสตาร์ทเตอร์คิงส์แลนด์
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ใช้กาแล็กซี่เทเลพอร์ตเทชั่นเพื่อกลับไปที่สเปชการ์เด้น เขาใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบที่นั่นอยู่สักพักหนึ่ง เขาต้องการยีนระดับเทพเจ้าอีกแค่หกยีนเพื่อเลื่อนไปสู่ขั้นทรูก็อต โชคร้ายที่มันต้องใช้ยีนจากซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าขั้นบัตเตอร์ฟลายขึ้นไปเพื่อจะเพิ่มยีนระดับเทพเจ้าของเขาตอนนี้ ซึ่งภายในสเปชการ์เด้นนั้นไม่มีพืชซีโน่เจเนอิคที่มีระดับสูงขนาดนั้น หานเซิ่นจึงต้องหามันจากที่อื่น
‘เราต้องการยีนระดับเทพเจ้าอีกแค่หกยีนเท่านั้น การฆ่าซีโน่เจเนอิคขั้นบัตเตอร์ฟลายอีกสามตัวก็คงจะเพียงพอ บางทีเราควรจะลองกลับเข้าไปในก็อตแอเรีย ที่นั่นเราอาจจะหาพวกมันได้’
เมื่อคิดได้แบบนั้น หานเซิ่นก็เปิดประตูเข้าไปในก็อตแอเรียโดยที่ใช้ฐานะของหานเซิ่น
“ก็อตฟาเธอร์หาน!” ในจังหวะที่หานเซิ่นมาถึงก็อตแอเรีย เขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขาปรากฏตัว ระดับเทพเจ้าคนหนึ่งสังเกตเห็นหานเซิ่นและเขาก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ มันทำให้ระดับเทพเจ้าคนอื่นๆหันมามองที่หานเซิ่น
ตอนที่ 2908 ซีโน่เจเนอิคแปลกๆ
สมญานามก็อตฟาเธอร์หานที่เขาได้รับนั้นยังคงเป็นที่พูดถึงกันไปทั่วจักรวาล เขาทำให้ผู้นำเผ่าเดสทรอยเยอร์ลดระดับจากขั้นทรูก็อตมาอยู่ขั้นบัตเตอร์ฟลาย และเขาก็ลดระดับของเบิร์นนิ่งแลมปจากขั้นบัตเตอร์ฟลายให้กลายเป็นสามัญชนคนหนึ่ง เรื่องนั้นเป็นอะไรที่น่าตกใจเกินไปและทำให้ผู้คนทั้งจักรวาลเอาแต่พูดถึงมัน
ถึงแม้ตอนนี้หานเซิ่นจะเป็นแค่ระดับเทพเจ้าขั้นบัตเตอร์ฟลาย แต่ในจักรวาลนี้ไม่มีใครกล้าจะปฏิบัติกับเขาเหมือนกับระดับเทพเจ้าขั้นบัตเตอร์ฟลายคนหนึ่ง
หานเซิ่นหันไปมองกลุ่มคนที่ตะโกนขึ้นมาและสังเกตว่าพวกเขามีกันอยู่แปดคน พวกเขาเป็นระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟที่มาจากเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน
พวกเขาแต่ละคนนั้นดูคุ้นๆ หานเซิ่นเคยเห็นพวกเขาในการประลองบัญชีรายชื่อเทพเจ้าจีโน แต่ผลงานของพวกเขาไม่ได้โดดเด่นอะไร นั่นทำให้หานเซิ่นไม่สามารถจำชื่อพวกเขาได้
‘คนพวกนี้ไม่ใช่คนเผ่าพันธุ์เดียวกัน พวกเขามาทำอะไรกันที่นี่?’ หานเซิ่นคิด
ยอดฝีมือระดับเทพเจ้ามักจะร่วมมือกันอยู่บ่อยๆ แต่โดยปกติแล้วมันจะเป็นการร่วมมือกันของมิตรสหายสามถึงห้าคน มันถือว่าหาได้ยากที่จะเห็นระดับเทพเจ้าจากหลายเผ่าพันธุ์มาอยู่ด้วยกันมากขนาดนี้
ระดับเทพเจ้าทุกคนจดจำหานเซิ่นได้ พวกเขาจึงเข้ามาทักทายหานเซิ่น
ระดับเทพเจ้าที่ดูเหมือนกับหนูพูดขึ้นว่า
“ก็อตฟาเธอร์หาน มันถือเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้พบกับก็อตฟาเธอร์หานที่นี่ นี่คือวันที่โชคดีของข้า…”
ขณะที่เขาพูด หางที่เล็กแต่ยาวของเขาก็โบกไปมา มันทำให้ผู้คนรู้สึกรำคาญที่ได้เห็นมัน
หลังจากที่หยุดไปชั่วครู่ ระดับเทพเจ้าที่ดูเหมือนกับหนูก็พูดต่อว่า
“ข้าอยากจะขอให้ก็อตฟาเธอร์หานช่วยอวยพรให้กับข้า ข้าอยากรู้ว่าก็อตฟาเธอร์หานจำเป็นต้องใช้สิ่งของอะไรเพื่อจะอวยพรให้กับข้าบ้าง?”
ทุกสิ่งมีชีวิตรู้ว่าหานเซิ่นไม่ได้จำเป็นต้องใช้สิ่งของอะไรเพื่อจะอวยพรให้กับคนอื่น ที่เขาถามออกไปแบบนั้นเหมือนกับเป็นการถามว่าการอวยพรของหานเซิ่นนั้นราคาเท่าไหร่
หานเซิ่นหัวเราะและพูด “การอวยพรให้กับเจ้าเป็นเรื่องง่าย แค่สมบัติขั้นทรูก็อตหนึ่งชิ้น ข้าก็จะอวยพรให้กับเจ้า แต่ข้าไม่รับประกันว่าเจ้าจะเพิ่มระดับขึ้น”
หานเซิ่นตั้งราคาที่สูงก็เพื่อเป็นการปฏิเสธแบบอ้อมๆ มันไม่มีใครจะยอมมอบสมบัติขั้นทรูก็อตเพื่อการอวยพรของเขา หานเซิ่นนั้นไม่ได้ต้องการจะใช้วิชาโลหิตชีพจร
สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าทั้งหมดดูผิดหวัง พวกเขาเป็นแค่ระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟ ดังนั้นพวกเขาไม่มีสมบัติขั้นทรูก็อตที่จะมอบให้กับหานเซิ่น
แต่พวกเขาก็ไม่กล้าจะโต้แย้งอะไร พวกเขาไม่ต้องการจะยั่วโมโหหานเซิ่น พวกเขาฝึกฝนอย่างหนักกว่าจะเลื่อนมาสู่ระดับเทพเจ้า ถ้าพวกเขาต้องกลับกลายเป็นสามัญชน มันก็จะเป็นอะไรที่น่าเศร้า ไม่ใช่แค่กับตัวของพวกเขา มันจะส่งผลกระทบต่อตั้งเผ่าพันธุ์ของพวกเขา
มันเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเผ่าบุดด้าและเผ่าเดสทรอยเยอร์ บุดด้านั้นแทบจะรักษาบุดด้าคิงดอมเอาไว้ไม่ได้ ส่วนเผ่าเดสทรอยเยอร์ก็กำลังถูกรุกรานโดยศัตรูเก่า
หานเซิ่นมองไปที่พวกเขาและถาม “พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่?”
ระดับเทพเจ้าที่ดูเหมือนกับหนูรีบตอบในทันที “ก่อนหน้านี้มันเพิ่งจะเกิดก็อตสปิริตสตอร์มขึ้น ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าตัวหนึ่งปรากฏออกมาจากก็อตสปิริตสตอร์มนั้น พวกเราคิดว่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าตัวนั้นประหลาดมากๆ พวกเรายังกำลังพูดถึงเรื่องของมัน”
“มันแปลกประหลาดยังไง?” หานเซิ่นถาม
ทุกคนอธิบายเกี่ยวกับซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่พวกเขาพบให้หานเซิ่นฟัง ระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟในที่นี่อยู่ในบริเวณเดียวกันในตอนที่เกิดก็อตสปิริตสตอร์มขึ้น
ซีโน่เจเนอิคในก็อตแอเรียนั้นจะปรากฏตัวมาออกมาพร้อมกับก็อตสปิริตสตอร์ม
แต่ทว่าซีโน่เจเนอิคที่พวกเขาเห็นภายในก็อตสปิริตสตอร์มนั้นแตกต่างไปจากปกติ ซีโน่เจเนอิคตัวนั้นเป็นแผ่นหินที่มีความสูงสามสิบฟุต แผ่นหินแผ่นนั้นห่อหุ้มไปด้วยแสงสว่าง แม้แต่คนตาบอดก็มองเห็นมันได้จากระยะไกลเป็นพันไมล์
พวกเขารีบเข้าไปตรงหน้าแผ่นหิน แต่แผ่นหินนั้นไม่ได้มีตัวอักษรหรือสัญลักษณ์อะไรเขียนเอาไว้ มันไม่มีรูปภาพถูกวาดเอาไว้เช่นกัน มันมีเพียงแค่รอยสามรอย
รอยสามรอยนั้นเรียงลำดับความใหญ่จากด้านบนลงด้านล่าง รอยแรกนั้นเป็นรอยฝ่ามือของมนุษย์ที่ดูใหญ่กว่าปกติ
รอยที่สองเป็นอุ้งเท้าของแมวที่ขนาดเล็กลงมา แต่มันก็ยังคงใหญ่กว่าปกติเช่นเดียวกัน
รอยที่สามเป็นรอยเท้าวัว แต่ทว่ารอยเท้าวัวนี้มีขนาดปกติ มันเป็นรอยเท้าเล็กๆ
รอยประทับทั้งสามบนแผ่นหินนั้นปลดปล่อยแสงที่สว่างไสวออกมา
ภายในก็อตแอเรียนั้น ซีโน่เจเนอิคทั้งหมดเป็นอะไรที่แปลกประหลาด มันจึงไม่ได้ถือว่าแปลกอะไรที่ซีโน่เจเนอิคจะเป็นหิน ระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟพวกนี้ต้องการจะทำลายแผ่นหินเพื่อจะดูว่าพวกเขาจะได้รับยีนซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้ากลับไปไหม
แต่ในตอนที่พวกเขาโจมตีใส่แผ่นหิน พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรแผ่นหินได้ แต่แสงบนแผ่นหินนั้นสว่างยิ่งกว่าเดิม แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แผ่นหินไม่ได้ตอบโต้อะไรการโจมตีของพวกเขา
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง? นี่แผ่นหินซีโน่เจเนอิคนั้นยังอยู่แถวๆนี้ไหม?”
ซีโน่เจเนอิคที่ออกมาจากก็อตสปิริตสตอร์มบางตัวนั้นจะยังไม่หายไปในตอนที่ก็อตสปิริตสตอร์มสิ้นสุด ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่หานเซิ่นถามออกไปแบบนั้น
“มันยังคงอยู่แถวๆนี้ แต่แผ่นหินไม่ได้เรืองแสงอีกแล้ว ถ้าพวกเราไม่เห็นมันเรืองแสงออกมา มันก็คงจะไม่มีใครคิดว่านั่นคือซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า ถ้าก็อตฟาเธอร์หานเห็นมัน ก็อตฟาเธอร์หานก็คงจะคิดว่ามันเป็นแค่แผ่นหินธรรมดาๆ”
สิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับหนูหยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ก็อตฟาเธอร์หาน ถ้าก็อตฟาเธอร์หานสนใจ พวกเราจะพาก็อตฟาเธอร์หานไปดูมัน”
“รบกวนด้วย” หานเซิ่นกังวลว่าจะหาซีโน่เจเนอิคระดับสูงไม่ได้ เมื่อเขาได้ยินเกี่ยวกับซีโน่เจเนอิคที่แปลกประหลาดนี้ เขาก็คิดว่ามีโอกาสสูงที่แผ่นหินนี่จะเป็นซีโน่เจเนอิคระดับสูง
หานเซิ่นบินตามคนอื่นๆไปกว่าสามพันไมล์ และที่สุดแล้วเขาก็ได้เห็นแผ่นหินที่คนอื่นพูดถึง
แผ่นหินนั้นดูไม่มีอะไรพิเศษ มันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ไม่มีรอยแกะสลักอะไรอยู่บนผิว มันดูเหมือนกับแผ่นหินขนาดใหญ่ธรรมดาๆแผ่นหนึ่ง
หานเซิ่นมองที่แผ่นหินและเห็นรอยสามรอยที่คนอื่นพูดถึง พวกมันเป็นเหมือนกับที่พวกเขาบรรยายให้ฟัง
แต่นอกจากแผ่นหินแล้ว มันมีคนๆหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างหน้ารอยทั้งสามรอย คนๆนั้นก็คือไป๋อู๋ซาง เขาเป็นหนึ่งในเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงที่เข้าร่วมการประลองของบัญชีรายชื่อเทพเจ้าจีโน
หานเซิ่นได้ยินว่าไป๋อู๋ซางเป็นคนที่เหนือกว่าราชาไป๋ซะอีก เขาเป็นคนจากยุคสมัยเดียวกับราชาเป่า เขาติดอันดับหนึ่งในสิบในการประลองของบัญชีรายชื่อเทพเจ้าจีโน
หานเซิ่นไม่ได้ดูการต่อสู้ของไป๋อู๋ซาง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับไป๋อู๋ซางมากนัก
ก่อนที่จะถึงการต่อสู้จัดอันดับท็อปหนึ่งร้อย หานเซิ่นไม่ได้ดูการต่อสู้ของคนอื่นมากนัก เขาจึงไม่มีโอกาสได้เห็นความสามารถของไป๋อู๋ซาง และในการต่อสู้จัดอันดับท็อปหนึ่งร้อย มันก็ไม่มีใครกล้าท้าสู้กับไป๋อู๋ซาง และไป๋อู๋ซางก็ไม่ได้ท้าสู้กับใครคนไหน
ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงรู้แค่ว่าเขาเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่แข็งแกร่งขนาดไหนนั้น หานเซิ่นไม่อาจจะรู้ได้
ระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟหลายคนเข้าไปโค้งคำนับไป๋อู๋ซาง ไม่มีใครกล้าจะเสียมารยาทกับเขา
หานเซิ่นแค่ยืนดูอยู่เฉยๆ ตัวตนของเขาในตอนนี้คือหานเซิ่นที่มีความบาดหมางกับเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง เขาจะไม่พูดคุยกับระดับเทพเจ้าจากเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง
ไป๋อู๋ซางไม่ได้สนใจเหล่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าที่เข้าไปทำความเคารพ เขาแค่จ้องมองไปที่แผ่นหิน
ถึงจะถูกเมินเฉย แต่เหล่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆออกมา พวกเขาแค่ถอยกลับออกมา
ไป๋อู๋ซางมองไปที่แผ่นหินอยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็ยกหมัดขึ้นและชกใส่แผ่นหิน
เขาใช้วิชาหมัดช็อกกิ้งสกายของเอ็กซ์ตรีมคิง มันเป็นหมัดที่ดูเรียบง่าย แต่พลังของมันสามารถสยบได้ทั้งท้องฟ้าและผืนดิน
ตูม!
เขาชกไปถูกแผ่นหินและทำให้ผิวของแผ่นหินยุบลงไปเป็นรูปร่างกำปั้น
ในจังหวะที่ไป๋อู๋ซางดึงหมัดกลับไป รอยกำปั้นบนแผ่นหินก็เรืองแสงสีรุ้งขึ้นมา
ตอนที่ 2909 นกแผ่นหิน
แสงสว่างสีรุ้งถูกปล่อยออกมาจากรอยกำปั้นและตรงเข้าไปหาไป๋อู๋ซาง
หานเซิ่นและระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟคนอื่นๆจ้องไปที่แสงนั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟนั้นอยากรู้อยากเห็นมากเป็นพิเศษ พวกเขาเคยโจมตีใส่แผ่นหินเป็นเวลานาน แต่มันก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้น
แต่ในตอนที่ไป๋อู๋ซางชกใส่แผ่นหิน ทำไมดูเหมือนกับว่าแผ่นหินนั้นตอบโต้? สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าทั้งหมดเบิกตากว้าง พวกเขาอยากจะเห็นว่าแผ่นหินนั้นมีพลังแบบไหนกันแน่
ในจังหวะต่อมาระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟทุกคนก็ต้องแปลกใจ หานเซิ่นเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
แสงสีรุ้งที่บินออกมาจากรอยหมัดนั้นเปลี่ยนเป็นเหยี่ยวขาวที่บินเข้าไปหาไป๋อู๋ซาง
มันไม่ได้จู่โจมไป๋อู๋ซาง มันกระพือปีกและบินลงบนไหล่ของไป๋อู๋ซาง มันงอคอเพื่อลูบกับผมของไป๋อู๋ซางอย่างสนิทสนม
“นี่เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้มีเหยี่ยวซีโน่เจเนอิคอีกตัวอยู่ภายในแผ่นหิน? และทำไมมันถึงได้ดูสนิทสนมกับไป๋อู๋ซาง?” ระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟทุกคนรู้สึกสับสน
ขณะที่พวกเขากำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ไป๋อู๋ซางก็ผลิกฝ่ามือและจับที่คอของเหยี่ยว หลังจากนั้นเขาก็ฉีกเหยี่ยวจนขาดครึ่งและโยนลงไปบนพื้น
เหยี่ยวขาวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ในตอนที่มันร่วงลงบนพื้น มันก็กลายเป็นก้อนหินสองก้อน ไม่นานหลังจากนั้นมันก็กลายเป็นผุยผงที่บินกลับไปหาแผ่นหินและกลบรอยหมัดที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยไป๋อู๋ซาง รอยหมัดนั้นหายไปโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆเอาไว้
‘น่าสนใจ แผ่นหินนี่เป็นซีโน่เจเนอิคที่พิเศษมากๆ’ หานเซิ่นคิดขณะที่มองไปที่แผ่นหินด้วยความสนใจ
หลังจากที่ทำลายเหยี่ยวขาวแล้ว ไป๋อู๋ซางก็มองไปที่แผ่นหินอีกครั้ง เปลวเพลิงสีทองบนตัวเขาเป็นเหมือนกับภูเขาไฟปะทุ ขณะที่เขายกหมัดขึ้นมา
เขายังคงใช้หมัดช็อคกิ้งสกายของเอ็กซ์ตรีมคิง ครั้งนี้หมัดช็อกกิ้งสกายของไป๋อู๋ซางเรืองแสงสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ เขาปลดปล่อยคลื่นพลังที่รุนแรงออกมา ทำให้สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟที่อยู่รอบๆถูกซัดกระเด็นออกไป
สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าที่ดูอยู่นั้นถูกพัดออกไปหลายร้อยไมล์ พวกเขาทั้งหมดดูซีดเซียวและกระอักเลือดออกมา พวกเขาดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ
นั่นเป็นเพียงแค่คลื่นกระแทกจากหมัดที่ไป๋อู๋ซางปลดปล่อยออกไป ถ้าพวกเขาเป็นคนที่รับหมัดนั่นล่ะก็ พวกเขาก็คงจะสลายกลายเป็นผุยผง
หานเซิ่นยังคงนั่งดูอยู่ใกล้ๆ เขาไม่ได้ถูกพัดกระเด็นออกไปเหมือนกับคนอื่นๆ แขนเสื้อของเขาปลิวไสวราวกับว่าพวกมันถูกพัดด้วยลมแรง
ตูม!
ไป๋อู๋ซางชกอีกหมัดใส่แผ่นหิน ครั้งนี้รอยหมัดที่ถูกทิ้งเอาไว้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม พวกมันใหญ่กว่ารอยอุ้งเท้าแมวและวัวมาก แต่มันยังคงเล็กกว่ารอยฝ่ามือมนุษย์ที่อยู่บนสุด
ในตอนที่หมัดนั้นสิ้นสุด ไป๋อู๋ซางก็ดึงหมัดของเขากลับไป เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ารอยหมัดของเขายังคงเล็กกว่ารอยฝ่ามือ
หลังจากที่ดึงหมัดกลับไป รอยหมัดของไป๋อู๋ซางก็เรืองแสงสีรุ้งอีกครั้ง ครั้งนี้แสงสีรุ้งนั้นเข้ามากกว่าแสงสีรุ้งครั้งก่อนหลายเท่า
หานเซิ่นเห็นนกสีทองตัวใหญ่บินออกมาจากรอยหมัด มันกระพือปีกและบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า มันกรีดร้องเสียงดังพอจะฉีกมิติอวกาศ ร่างกายของมันมีขนสีทองที่สว่างไสวจนแสบตาราวกับดวงอาทิตย์
“โกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิรด์” หานเซิ่นมองไปที่นกสีทองตัวใหญ่ด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นใบหน้าของมัน เขาก็จำได้ว่ามันคือโกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิรด์ในตำนาน มันถูกกล่าวขานว่าเป็นซีโน่เจเนอิคระดับท็อป
ถ้าสังเกตดูดีๆจะบอกได้ว่ามันแตกต่างออกไป แต่หานเซิ่นไม่เคยเห็นโกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิรด์ตัวจริงๆมาก่อน
โกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิรด์ที่ออกมาจากรอยหมัดนั้นเป็นธาตุหิน และมันก็มีคลื่นพลังที่เหมือนกับหมัดช็อกกิ้งสกายของไป๋อู๋ซาง
โกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิรด์บินลงไปหาไป๋อู๋ซาง มันลดหัวลงไปใกล้กับเขาและดูเหมือนกับว่ามันต้องการจะทำให้เขามีความสุข
หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘แผ่นหินนี่น่าสนใจจริงๆ มันรับพลังการโจมตีเต็มกำลังของไป๋อู๋ซางได้ มันจะต้องเป็นซีโน่เจเนอิคขั้นทรูก็อตอย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนมันจะโจมตีไม่ได้ มันพึ่งพาการยอมตัดส่วนหนึ่งออกไปเพื่อการอยู่รอด นั่นเป็นอะไรที่น่าสนใจ
ส่วนหนึ่งของแผ่นหินถูกตัดออกไปและกลายเป็นนกซีโน่เจเนอิคธาตุหินที่จะมอบให้กับศัตรูโดยหวังว่าศัตรูนั้นจะยอมจากไป วิธีการเอาชีวิตรอดของมันเหมือนกับตุ๊กแก
นกซีโน่เจเนอิคธาตุหินที่ออกมานั้นเป็นซีโน่เจเนอิคที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง พลังของโกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิรด์นั้นไม่ด้อยไปกว่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าชั้นสูง
นอกจากนั้นโกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิรด์ยังดูดซับพลังหมัดช็อกกิ้งสกายของไป๋อู๋ซางเข้าไป มันเป็นซีโน่เจเนอิคที่มีสองธาตุ ด้วยการที่มีซีโน่เจเนอิคนั่นคอยติดตาม มันจะช่วยคนๆนั้นได้มาก
เมื่อเห็นแบบนั้นเหล่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟต่างก็รู้สึกอิจฉา พวกเขาไม่มีพลังพอจะทิ้งแม้แต่รอยขีดข่วนเอาไว้บนแผ่นหิน อย่าว่าแต่โกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิรด์เลย พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะทำให้นกกระจอกเกิดขึ้นมาได้
ทุกคนรู้ว่ายิ่งแผ่นหินได้รับบาดแผลมากเท่าไหร่ นกซีโน่เจเนอิคธาตุหินที่ออกมาก็จะแข็งแกร่งมากเท่านั้น
เหมือนอย่างเหยี่ยวขาวก่อนหน้านี้ที่ไป๋อู๋ซางฉีกจนขาดครึ่ง มันอ่อนแอกว่าโกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิรด์ตัวนี้มาก
ขณะที่ทุกคนกำลังอิจฉา ไป๋อู๋ซางก็ยื่นมือออกไปข้างหน้าและฉีกหัวของโกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิรด์จนขาด
โกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิรด์กลับกลายเป็นก้อนหินและบินกลับไปหาแผ่นหิน มันไปเติมเต็มรอยหมัดของไป๋อู๋ซางและทำให้แผ่นหินกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
หานเซิ่นคิด ‘ดูเหมือนว่ารอยทั้งสามรอยจะถูกทิ้งเอาไว้โดยใครบางคนที่เอานกซีโน่เจเนอิคธาตุหินติดตัวไปด้วย”
ทุกคนจับจ้องไปที่ไป๋อู๋ซาง เขาฉีกหัวของโกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิรด์ขาดไป ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะใช้พลังที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมเพื่อโจมตีใส่แผ่นหิน
แต่ไป๋อู๋ซางไม่ได้โจมตีใส่แผ่นหินอีกครั้ง เขาหันมามองหานเซิ่นที่นั่งดูอยู่ไม่ไกลออกไป หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ พลังของไป๋อู๋ซางนั้นแข็งแกร่งมาก มันดีกว่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตคนไหนๆที่หานเซิ่นเคยเห็น พลังทำลายล้างที่เขามีนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำปราสาทนภาหรือผู้นำเผ่าเวรี่ไฮ
แม้แต่หานเซิ่นเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะไป๋อู๋ซางได้ เพราะยังไงซะเขาก็ยังไม่ถึงขั้นทรูก็อต เขายังไม่อาจเทียบขั้นทรูก็อตที่แข็งแกร่งจริงๆได้
คัมภีร์นภาอำพันสามารถใช้กับระดับเทพเจ้าขั้นเดียวกันหรือต่ำกว่าเพื่อทำให้พวกเขาถูกลดระดับลงไปอย่างถาวรได้ แต่ในตอนที่ใช้กับคู่ต่อสู้ที่มีระดับเหนือกว่า มันจะทำให้พวกเขาถูกลดระดับลงหนึ่งระดับเป็นเวลาชั่วคราวเท่านั้น
ที่สำคัญที่สุดก็คือผู้คนเคยเห็นเขาใช้คัมภีร์นภาอำพันเพื่อเอาชนะผู้นำเผ่าเดสทรอยเยอร์ ด้วยเหตุนั้นคนอื่นจะต้องเตรียมวิธีรับมือกับมันเอาไว้แล้ว มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่อีก
หานเซิ่นเตรียมตัวจะต่อสู้ แต่ไป๋อู๋ซางดูเหมือนไม่ได้ต้องการต่อสู้ เขาชี้ไปที่แผ่นหินและพูด “เจ้ามาลองดู”
หานเซิ่นมองไปที่ไป๋อู๋ซางและตอบกลับไปว่า “เจ้าจะไม่ลองดูอีกครั้งอย่างนั้นหรอ?”
“ข้าทำเต็มที่แล้ว มันไม่มีเหตุผลที่จะลองดูอีกครั้ง” ไป๋อู๋ซางพูด
ตอนที่ 2910 ฟันแผ่นหิน
“เจ้าจะไม่ลองใช้สมบัติดูอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
ไป๋อู๋ซางหันไปมองรอยฝ่ามือที่อยู่ด้านบนของแผ่นหินและพูด “ไม่”
หานเซิ่นเข้าใจและคิดกับตัวเอง ‘ไป๋อู๋ซางเป็นคนที่ทะนงตัว เมื่อเห็นว่ามีคนที่ทำเรื่องนี้ได้ด้วยมือ เขาก็จะไม่ยอมใช้สมบัติช่วย รอยหมัดของเขาไม่ได้ใหญ่เท่ากับรอยฝ่ามือ แต่มันก็ยังถือว่าสุดยอดอยู่ดี ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ต้องการนกซีโน่เจเนอิคธาตุหินที่เขาได้รับ’
หานเซิ่นไม่ได้ทะนงตัวเหมือนกับไป๋อู๋ซาง มันไม่สำคัญว่าเขาจะทิ้งรอยที่ใหญ่ที่สุดเอาไว้ได้หรือไม่ ถ้ามันมีโอกาสที่เขาจะได้รับซีโน่เจเนอิคมา เขาก็ไม่รังเกียจที่จะลองดู
หานเซิ่นเดินเข้าไปตรงหน้าแผ่นหิน เขารวบรวมพลังจำนวนหนึ่งเอาไว้ในฝ่ามือ หลังจากนั้นเขาก็ใช้ฝ่ามือเหมือนกับมีดและฟันออกไปใส่แผ่นหิน หานเซิ่นใช้วิชามีดเขี้ยวดาบของเขา
เหล่าระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟนั้นตัดสินใจจะมองดูจากระยะไกล พวกเขาไม่กล้าเข้ามาใกล้เกินไป พวกเขาไม่ต้องการจะถูกลูกหลงไปด้วย
มีดลมปราณสีม่วงพุ่งออกไปฟันถูกแผ่นหินและทิ้งรอยยาวหนึ่งฟุตเอาไว้ รอยนั้นไม่ได้ใหญ่ไปกว่าอุ้งเท้าวัว ซึ่งเป็นรอยที่มีขนาดเล็กที่สุดบนแผ่นหิน
พลังเขี้ยวนั้นไม่สามารถแพร่กระจายบนแผ่นหินได้ รอยมีดนั้นเรืองแสงสีรุ้งขึ้นและมีนกตัวเล็กบินออกมา
ในตอนที่หานเซิ่นเห็นนกตัวเล็กนั่น เขาก็อยากจะร้องไห้ มันเป็นนกกระจอกสีม่วงที่เล็กมากๆ มันไม่สามารถเทียบกับโกลด์วิงบิ๊กก็อตเบิร์ดของไป๋อู๋ซางได้เลย มันเทียบกับเหยี่ยวไม่ได้ด้วยซ้ำ
หานเซิ่นคิด ‘ดูเหมือนว่าพลังทำลายล้างของเราจะค่อนข้างแย่ เราคงจะทำเหมือนกับที่ไป๋อู๋ซางที่เป็นขั้นทรูก็อตทำไม่ได้’
นกกระจอกสีม่วงตัวเล็กบินรอบๆตัวหานเซิ่นอยู่สักพักก่อนที่จะลงไปบนไหล่ของเขาและใช้หัวของมันลูบกับคอของหานเซิ่น มันดูน่ารักมากๆ
ถึงมันจะดูเหมือนสิ่งมีชีวิตจริงๆ แต่ไม่มีใครก็บอกได้ว่านกกระจอกตัวนี้ทำขึ้นมาจากหินเมื่อได้ลองสัมผัสมัน แม้แต่ขนของมันก็ทำขึ้นมาจากหิน
เหล่าระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟที่มองดูจากระยะไกลซุบซิบกัน
“วิชาจีโนของก็อตฟาเธอร์หานนั้นสุดยอด แต่เขายังเป็นแค่เทพเจ้าขั้นบัตเตอร์ฟลาย เมื่อเทียบพลังกับไป๋อู๋ซางที่เป็นขั้นทรูก็อตแล้ว พลังของเขายังถือว่าด้อยกว่ามาก”
ไป๋อู๋ซางมองไปที่นกกระจอกบนไหล่ของหานเซิ่น แต่เขาไม่ได้พูดอะไร
หานเซิ่นไม่ได้ทะนงตัวเหมือนอย่างไป๋อู๋ซาง ดังนั้นเขาไม่คิดจะหยุดเพียงแค่นี้ เขาเรียกตุ๊กตาสีดำออกมา
มันคือตุ๊กตาเทพที่เขาได้รับมาจากเบิร์นนิ่งแลมป์ มันมีความแข็งแกร่งของขั้นทรูก็อต หานเซิ่นแค่จำเป็นต้องใส่พลังเข้าไปข้างในเพื่อที่จะเปิดใช้พลังขั้นทรูก็อตของมัน
ตุ๊กตาเทพรับคำสั่งของหานเซิ่นและปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา มันชกออกไปในทิศทางของแผ่นหิน
ในจังหวะที่ตุ๊กตาเทพชกถูกแผ่นหิน นกกระจอกก็บินขึ้นจากไหล่ของหานเซิ่น มันกลับไปที่รอยมีดที่หานเซิ่นทิ้งเอาไว้บนแผ่นหินก่อนหน้านี้ ในชั่วพริบตามันก็ละลายเข้าไปในรอยมีดบนแผ่นหิน
หานเซิ่นรู้ว่าสิ่งมีชีวิตหนึ่งจะรับนกซีโน่เจเนอิคธาตุหินไปแค่ตัวเดียวเท่านั้น ถ้าพวกเขาโจมตีใส่แผ่นหินอีกครั้ง นกซีโน่เจเนเอิคตัวก่อนก็จะกลับไปที่แผ่นหิน
ปัง!
ตุ๊กตาเทพทิ้งรอยหมัดเอาไว้บนหิน แต่มันไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก มันไม่ได้ใหญ่ไปกว่าอุ้งเท้าวัวซึ่งเป็นรอยที่มีขนาดเล็กที่สุดบนแผ่นหิน มันพอๆกับรอยมีดที่หานเซิ่นทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้
หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ พลังของตุ๊กตาเทพนั้นเป็นขั้นทรูก็อต ถึงแม้มันจะเป็นขั้นทรูก็อตที่อ่อนแอ แต่มันก็ยังเป็นขั้นทรูก็อตอยู่ดี มันไม่ควรจะทิ้งรอยที่มีขนาดพอๆกับรอยมีดที่เขาทำก่อนหน้านี้
‘ถึงแม้เราจะไม่ใช่ขั้นทรูก็อต แต่ดูเหมือนว่าพลังของเราจะถึงระดับของขั้นทรูก็อตเรียบร้อยแล้ว เราแค่ยังเทียบชั้นกับทรูก็อตระดับท็อปอย่างไป๋อู๋ซางไม่ได้’ หานเซิ่นรู้สึกว่าเขาประเมินความแข็งแกร่งของตัวเองต่ำเกินไป
แค่ร่างปกติของหานเซิ่นก็เทียบกับขั้นทรูก็อตทั่วๆไปได้แล้ว ถ้าเขาเข้าสู่โหมดซีโน่เจเนอิค เขาก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ถึงมันจะยังเทียบกับความสามารถของไป๋อู๋ซางไม่ได้ แต่มันก็ต้องเหนือกว่าขั้นทรูก็อตทั่วไป
รอยหมัดเรืองแสงสีรุ้งออกมาและนกกระจอกอีกตัวก็บินออกมา มันขนาดพอๆกับตัวก่อนหน้านี้ แต่ทว่าครั้งนี้นกกระจอกเป็นสีดำ
“ทรูก็อตระดับท็อปอย่างไป๋อู๋ซางนั้นแข็งแกร่งเกินไป ถึงตุ๊กตาเทพจะเป็นขั้นทรูก็อตเหมือนกัน แต่ความแตกต่างของพลังก็เห็นได้อย่างชัดเจน เขาแข็งแกร่งกว่ามาก”
หานเซิ่นมองไป๋อู๋ซางที่ยืนดูอยู่นิ่งๆ สีหน้าของเขาไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว
“เจ้าไม่ต้องการใช้วิชาวิเศษนั้นอย่างนั้นหรอ?” จู่ๆไป๋อู๋ซางก็ถามขึ้นมา หานเซิ่นไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงวิชาอะไร
หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมันอยู่ชั่วครู่และรู้สึกตัวว่าวิชาที่ไป๋อู๋ซางพูดถึงนั้นคงจะเป็นคัมภีร์นภาอำพัน
บอกตามตรงหานเซิ่นไม่แน่ใจว่าคัมภีร์นภาอำพันนั้นจะได้ผลกับซีโน่เจเนอิคประหลาดนี่หรือเปล่า เพราะคัมภีร์นภาอำพันนั้นมีผลทำให้โลหิตชีพจรกลับตาลปัตร ในตอนที่เขาใช้มัน เขาจะทำให้อีกฝ่ายวิวัฒนาการย้อนกลับได้
หานเซิ่นยังเป็นแค่ขั้นบัตเตอร์ฟลายเท่านั้น พลังของคัมภีร์นภาอำพันจึงแทบจะไม่ทำให้โลหิตชีพจรของขั้นทรูก็อตกลับตาลปัตร ซึ่งส่งผลให้เขาสามารถลดระดับของอีกฝ่ายได้เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น
สำหรับขั้นทรูก็อตที่ทรงพลังอย่างไป๋อู๋ซาง มันเป็นเรื่องยากมากๆที่คัมภีร์นภาอำพันจะมีผลต่อเขา
แต่ถึงไป๋อู๋ซางจะมีพลังมหาศาล เขาก็ไม่สามารถทำลายแผ่นหินนี่ได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าแผ่นหินนี้ต้องเป็นขั้นทรูก็อตที่ทรงพลังเช่นเดียวกัน ซึ่งคัมภีร์นภาอำพันอาจจะไม่มีผลกับมัน
หานเซิ่นได้สร้างภาพว่าคัมภีร์นภาอำพันเป็นพลังที่น่ากลัว มันสามารถทำให้ขั้นทรูก็อตถูกลดลงระดับลงมาได้ ซึ่งมันช่วยทำให้ทุกคนเกรงกลัวเขา แบบนั้นแม้แต่เผ่าพันธุ์สูงสุดทั้งสามก็จะไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปใกล้สเปชการ์เด้นเพื่อรุกรานเผ่าคริสตัลไลเซอร์
ถ้าเกิดมีคนเห็นว่าคัมภีร์นภาอำพันใช้ไม่ได้ผลกับแผ่นหินนี่ ชื่อเสียงของเขาก็จะลดลงไป หานเซิ่นไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
ถ้าไม่มีอะไรมารับประกัน หานเซิ่นก็ไม่คิดจะใช้คัมภีร์นภาอำพันในที่สาธารณะ
“มันก็เป็นแค่แผ่นหิน ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มัน” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
หานเซิ่นคิดว่าไป๋อู๋ซางคงจะอยากเห็นถึงพลังของคัมภีร์นภาอำพัน เขาจะไม่ทำให้อีกฝ่ายได้สมหวัง
หานเซิ่นเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะสะบัดมือของตัวเอง มีของบางอย่างปรากฏขึ้นภายในมือของเขา
มันคือมีดเหตุและผลที่หานเซิ่นได้มาจากเบิร์นนิ่งแลมป์เช่นกัน มีดเหตุและผลนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากมีดเปล่าของหานเซิ่น ถ้ามันถูกหลอมเป็นอาวุธโดยคนธรรมดาๆ มันก็คงจะไม่ได้อาวุธระดับสูงแบบนี้
เบิร์นนิ่งแลมป์สามารถทำให้มีดเหตุและผลกลายเป็นขั้นทรูก็อตได้นั่นก็เพราะว่าเขาใช้ทรัพยากรของเผ่าบุดด้า เขาได้ใช้ทั้งกำลังและทรัพยากรมากมายตลอดเวลาหลายปีเพื่อหลอมมีดเปล่าเล่มนั้น นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถทำให้มีดเหตุและผลกลายเป็นขั้นทรูก็อตได้สำเร็จ
นอกจากนั้นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่ใช้นั้นยังเป็นพระธาตุของเผ่าบุดด้า
พระธาตุที่พูดถึงนั้นคือสิ่งที่ได้มาจากบุดด้าที่ตายไปแล้ว ในตอนที่บุดด้าคนหนึ่งตาย พลังงานภายในร่างกายของพวกเขาจะถูกรวบรวมและเปลี่ยนเป็นของแข็ง นั่นก็คือพระธาตุ
เบิร์นนิ่งแลมป์ใช้พระธาตุของเผ่าบุดด้าจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อทำมีดเหตุและผลขึ้นมา มันเป็นเรื่องยากที่จะทำมีดเหตุและผลขึ้นมาอีกเล่ม เนื่องจากพระธาตุที่เป็นส่วนประกอบหลักถูกใช้ไปจนหมดแล้ว
นอกจากพระธาตุของเผ่าบุดด้าแล้ว มันยังมีวัตถุดิบอื่นที่บุดด้าไม่มีวันหามาได้อีก
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือถึงมีดเหตุและผลจะทรงพลัง แต่พลังในการโจมตีของมันก็ต่ำมากๆ ถึงตัวมีดจะแข็งแรง แต่มันก็ไม่มีคม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น