Super God Gene 2768-2780

ตอนที่ 2768

 

 


หานเซิ่นบินไปเรื่อยๆ ขณะที่ตรวจเช็คแผนที่ที่เพิ่งได้รับมา จากการดูแผนที่คร่าวๆ เขายืนยันได้ว่าระบบจักรวาลที่เขาอยู่ในตอนนี้อยู่ใกล้ๆกับระบบจักรวาลร้างขนาดใหญ่จริงๆ


 


“น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้ไปสำรวจระบบจักรวาลร้างนั่น ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะไปกับพวกเขาแบบฟรีๆ” หานเซิ่นพูดกับตัวเอง


 


แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็พบคนที่คุ้นเคยอีกครั้งหนึ่ง เขาเห็นดราก้อนวันกำลังบินเข้ามา


 


“ดอลลาร์!” ดราก้อนวันรู้สึกแปลกใจที่ได้พบกับหานเซิ่นที่นี่


 


หานเซิ่นไม่มีทางเลือกนอกจากคุยกับดราก้อนวัน ดราก้อนวันกำลังจะตรงไปที่ซีโน่เจเนอิคสเปชที่เพิ่งถูกค้นพบเช่นเดียวกัน แต่มันคงจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเผ่าดราก้อน เพราะเขาเดินทางมาตามลำพัง


 


“ดอลลาร์ เจ้าสนใจไปสำรวจซีโน่เจเนอิคสเปชร่วมกับข้าไหม?”

ดราก้อนวันมีความคิดเหมือนกับบาร์ การมียอดฝีมืออย่างหานเซิ่นไปด้วยนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี


 


“พวกเราไปด้วยกัน แต่พวกเราจะต้องแบ่งรางวัลกันแบบห้าสิบห้าสิบ” หานเซิ่นพูดออกไปตรงๆ เขาไม่อยากจะเสียเวลาพูดอ้อมค้อม


 


ดราก้อนวันไม่ลังเล เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้ว!”


 


เมื่อดราก้อนวันยอมรับข้อตกลงของหานเซิ่น เขาก็เริ่มอธิบายสถานการณ์ภายในซีโน่เจเนอิคสเปชนั่น


 


เนื่องจากมันอยู่ใกล้กับระบบจักรวาลร้าง พื้นที่ส่วนใหญ่ของมันจึงไม่ได้ถูกสำรวจ และมีเผ่าพันธุ์ชั้นสูงไม่มากนักที่จะไปที่นั่น ดังนั้นซีโน่เจเนอิคสเปชนั่นจึงถูกยึดครองโดยเผ่าพันธุ์เล็กๆที่รู้จักกันในชื่อเรดแร็ทส์


 


เรดแร็ทส์เป็นเผ่าพันธุ์ขนาดเล็ก คนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาเป็นเพียงแค่ระดับราชันเท่านั้น พวกเขาไม่มีแม้แต่คนที่เป็นระดับครึ่งเทพอยู่ในเผ่า


 


ในระบบจักรวาลที่พวกเขาอยู่ไม่ได้มีซีโน่เจเนอิคที่น่ากลัวอยู่มากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เป็นอะไร


 


แต่เมื่อไม่นานมานี้ ดาวดวงหนึ่งในระบบจักรวาลก็เกิดระเบิดขึ้นมา หลังจากการระเบิดของดวงดาว เผ่าเรดแร็ทส์ก็ค้นพบว่าดาวดวงนั้นซ่อนทางเข้าสู่ซีโน่เจเนอิคสเปชเอาไว้


 


เผ่าเรดแร็ทส์ดีใจกับเรื่องนี้ และพวกเขาก็ส่งคนเข้าไปสำรวจซีโน่เจเนอิคสเปชนั่น แต่หลังจากนั้นมันก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น


 


สมาชิกกว่าหนึ่งร้อยล้านคนของเผ่าเรดแร็ทส์ถูกส่งเข้าไปสำรวจในซีโน่เจเนอิคสเปช แต่มีเพียงแค่เรดแร็ทส์คนเดียวที่กลับออกมา


 


จากคำให้การของเรดแร็ทส์ที่รอดชีวิตกลับมา ซีโน่เจเนอิคสเปชนั้นเป็นสถานที่ที่น่ากลัวมากๆ มันมีดวงอาทิตย์อยู่นับไม่ถ้วน ซึ่งทำให้ภายในซีโน่เจเนอิคสเปชนั้นร้อนมากๆ พวกเขาพยายามจะเข้าใกล้หนึ่งในดวงอาทิตย์ แต่จู่ๆดวงอาทิตย์ก็ระเบิดขึ้น เรดแร็ทส์นับล้านถูกสลายกลายเป็นผุยผง และมีเรดแร็ทส์เพียงคนเดียวที่รอดกลับมาได้ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงถูกไว้ชีวิต เพราะตามหลักแล้วเขาควรจะตายไปในแรงระเบิดเหมือนกับเรดแร็ทส์คนอื่นๆ


 


ไม่ใช่แค่นั้น เรดแร็ทส์ที่รอดมาได้ยังเป็นแค่ระดับไวเคานท์อีกด้วย เขาไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเรดแร็ทส์คนอื่นที่ตายไป มันจึงยากที่จะจินตนาการว่าเขารอดออกมาได้ยังไง


 


และไม่กี่วันหลังจากนั้นเรดแร็ทส์ที่รอดกลับมาได้ก็วิวัฒนาการ มันเลื่อนจากระดับไวเคานท์ไปสู่ระดับเอิร์ล และมันยังคงเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ การวิวัฒนาการอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนตกใจ


 


ในตอนที่ดราก้อนวันไปถึง เรดแร็ทส์ที่รอดกลับมานั้นเพิ่งจะกลายเป็นระดับราชัน


 


สถานการณ์นี้เป็นอะไรที่แปลกประหลาด และเรดแร็ทส์ที่วิวัฒนาการขึ้นอย่างกะทันหันก็ดึงดูดความสนใจของทุกเผ่าพันธุ์ พวกเขาอยากรู้ความจริงว่าอะไรกันที่เป็นตัวกระตุ้นการวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วของเรดแร็ทส์คนนั้น พวกเขาสงสัยว่าเรดแร็ทส์คนนั้นคงจะได้รับบางสิ่งจากภายในซีโน่เจเนอิคสเปช และนั่นทำให้เขาวิวัฒนาการได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ


 


หลายเผ่าพันธุ์ส่งทีมเข้าไปในซีโน่เจเนอิคสเปช แต่พวกเขาไม่ได้ยินข่าวจากทีมที่ถูกส่งเข้าไปอีกเลย ด้วยเหตุนั้นตอนนี้เผ่าพันธุ์ต่างๆจึงถูกบังคับให้ส่งยอดฝีมือระดับเทพเจ้าไปสำรวจที่นั่น


 


หลังจากที่ได้ยินดราก้อนวันอธิบายเรื่องทั้งหมด หานเซิ่นก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เขาเองก็อยากรู้ว่าทำไมเรดแร็ทส์ที่รอดชีวิตกลับมาถึงวิวัฒนาการได้รวดเร็วขนาดนั้น ในจักรวาลจีโนนี้ความเร็วในการวิวัฒนาการถือเป็นเหมือนกับปาฏิหาริย์


 


หานเซิ่นและดราก้อนวันมุ่งหน้าไปยังทางเข้าของซีโน่เจเนอิคสเปชนั่น ในระหว่างทางดราก้อนวันดูเหมือนจะมีเรื่องบางอย่างที่ยังคาใจอยู่ เขามองไปที่หานเซิ่นอย่างเงียบๆ เขาอดไม่ได้ที่จะไอกลบเกลื่อนและพูดขึ้นว่า

“ดอลลาร์ นี่เจ้าไม่สนใจหรือยังไงว่าทำไมข้าถึงได้เลื่อนเป็นระดับเทพเจ้าได้อย่างรวดเร็ว?”


 


“นี่การกลายเป็นระดับเทพเจ้าเป็นอะไรที่พิเศษหรือยังไง?” หานเซิ่นมองดราก้อนวันด้วยความสับสน


 


ดราก้อนวันพูดอะไรไม่ออก ความเร็วที่เขากลายเป็นระดับเทพเจ้านั้นทำให้เขาเป็นหนึ่งในคนเก่งที่สุดของเผ่าดราก้อน แต่หานเซิ่นทำเหมือนกับว่านั่นเป็นบางสิ่งที่ธรรมดาๆและไม่ได้พิเศษอะไร นั่นทำให้เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อย เขามีเจตนาจะพูดอวดเล็กน้อย แต่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้วในตอนนี้


 


หลังจากที่พวกเขาไปถึงที่หมาย หานเซิ่นก็ไม่สามารถเก็บความประหลาดใจเอาไว้ได้ ทางเข้าของซีโน่เจเนอิคสเปชนั้นเป็นเหมือนกับหลุมดำ มันคงจะกลายเป็นแบบนั้นหลังจากการระเบิดของดวงดาว


 


พวกเขาทั้งคู่มาที่นี่เพื่อสำรวจข้างใน ดังนั้นพวกเขาจะไม่ถอดใจหรือสะพรึงกลัวกับภาพที่ขู่ขวัญ พวกเขามุ่งหน้าเข้าไปในหลุมดำ ทันทีที่พวกเขาทำแบบนั้น หานเซิ่นก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกเทเลพอร์ตผ่านช่องว่างของอวกาศ


 


สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ภายในซีโน่เจเนอิคสเปชนั้นทำให้หานเซิ่นรู้สึกตกใจ ดราก้อนวันบอกว่ามันเต็มไปด้วยดวงอาทิตย์ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าในซีโน่เจเนอิคสเปชนั้นจะเป็นอวกาศ


 


แต่หลังจากที่เข้าไปข้างใน เขาก็รู้สึกตัวว่ามันเป็นผืนดินที่กว้างใหญ่ แผ่นดินนั้นทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา มันมีทั้งภูเขา ก้อนหินและต้นไม้อยู่ทุกหนทุกแห่ง


 


แต่มันแตกต่างไปจากผืนดินปกติ ทั้งภูเขา ก้อนหินและต้นไม้นั้นต่างก็ดูเหมือนกับถ่าน มันเหมือนกับว่าทั้งโลกใบนี้ถูกแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน


 


ทุกอย่างที่มองเห็นได้นั้นถูกย้อมด้วยเฉดสีขาวดำ ทัศนียภาพไม่ได้มีสีสันเหมือนอย่างที่ผืนดินปกติควรจะเป็น ดินแดนโดยรอบเป็นสีดำสนิทสีเดียว


 


อากาศนั้นร้อนอย่างน่าสะพรึงกลัว มันเหมือนกับว่าสถานที่แห่งนี้สามารถติดไฟได้ทุกเมื่อ หานเซิ่นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและสังเกตเห็นสิ่งที่ดราก้อนวันบอกกับเขา ดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่หลายดวงลอยอยู่บนท้องฟ้า พวกมันมีอย่างน้อยเป็นสิบดวง


 


“ดวงอาทิตย์พวกนี้คืออะไรกัน? พวกมันเป็นดาวเคราะห์อย่างนั้นหรอ? หรือว่าพวกมันจะเป็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างกัน?”

หานเซิ่นสงสัย เขาจ้องมองไปที่ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าขณะที่พูด เขาอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์เกินกว่าที่จะสัมผัสอะไรเกี่ยวกับพวกมันได้ เขาสัมผัสได้แค่ความร้อนที่น่ากลัวที่ออกมาจากพวกมันเท่านั้น


 


“ข้าไม่รู้ แต่ที่ข้ารู้แน่ๆก็คือว่าดวงอาทิตย์พวกนี้คงจะไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก” ดราก้อนวันพูด


 


“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?” หานเซิ่นมองไปที่ดราก้อนวันด้วยความสับสน


 


ดราก้อนวันชี้ไปยังภูเขาที่ดำเหมือนกับถ่าน มันถูกเผาจนไหม้เกรียม

“มองดูตรงนั้น มันมีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่บนยอดภูเขาลูกนั้น นั่นหมายความว่ามันเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ที่นี่”


 


หานเซิ่นมองไปตามทางที่ดราก้อนวันชี้ออกไป และเขาก็เห็นว่าท่ามกลางภูเขาที่ไหม้เกรียมนั้นมีหอคอยตั้งอยู่ มันดูเหมือนจะมีเจ็ดชั้น แต่เหมือนกับภูเขา ก้อนหินและต้นไม้ที่อยู่รอบๆ หอคอยนั่นดำเหมือนกับถ่าน


 


พวกเขาทั้งคู่บินไปที่หอคอย ในตอนที่พวกเขาไปถึงที่นั่น พวกเขาก็เห็นสิ่งก่อสร้างอีกมากมายที่ดำเหมือนกับถ่าน พวกเขาดูเหมือนจะมาเจอกับเมืองๆหนึ่งเข้า ถึงแม้พวกเขาจะไม่เห็นสิ่งมีชีวิต แต่เมื่อดูจากขนาดของเมืองแล้ว มันจะต้องมีสิ่งมีชีวิตเคยอาศัยอยู่ที่นี่อย่างน้อยหนึ่งแสนชีวิต


 


แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเมืองๆนี้กลับถูกเผาจนดำเป็นถ่าน มันดูเหมือนจะถูกแผดเผาจนดำเป็นถ่านในเสี้ยววินาที เพราะทุกอย่างยังคงตั้งตรงอย่างสมบูรณ์แบบ แม้แต่ใบไม้ก็ยังคงมีเส้นใบของพวกมันอยู่


 


“สถานที่แห่งนี้ เหมือนเราขะเคยเห็นมันมาก่อนที่ไหนสักแห่ง… เดี๋ยวก่อนนะที่นี่เหมือนกับสถานที่ภายในก็อตแซงชัวรี่ที่เราพบกับนกแดงน้อย ที่นี่คือฟินิกซ์เนอร์วาน่า?” หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ

 

 

 


ตอนที่ 2769

 

สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนกับที่ที่หานเซิ่นเคยพบกับนกแดงน้อยครั้งแรก แม้แต่ภูเขาและก้อนหินก็กลายเป็นเถ้าถ่าน นกแดงน้อยกำเนิดในสถานที่ที่เหมือนกับที่นี่ เว้นก็แต่ดวงอาทิตย์หลายดวงที่อยู่บนท้องฟ้า


 


“นี่เป็นการใช้ธาตุไฟที่น่ากลัวมากๆ มันเปลี่ยนทั้งดินแดนแห่งนี้ให้กลายเป็นเถ้าถ่าน นั่นไม่ใช่บางสิ่งที่ความร้อนธรรมดาจะทำได้” ดราก้อนวันพูดอย่างตกตะลึง


 


หานเซิ่นเงยหัวขึ้นและมองไปยังดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านบน เขาคิดว่าดวงอาทิตย์พวกนั้นคือสิ่งที่น่าสงสัยที่สุดเกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้ บางทีพวกมันอาจจะไม่ใช่ดวงอาทิตย์ด้วยซ้ำ พวกมันอาจจะเป็นซีโน่เจเนอิคธาตุไฟที่น่ากลัวก็ได้


 


‘จากคำให้การของเรดแร็ทส์ที่รอดชีวิต หนึ่งในดวงอาทิตย์ระเบิดและเปลี่ยนพวกเขาทุกคนให้กลายเป็นผุยผง ดังนั้นเป็นไปได้ที่พวกมันจะเป็นสิ่งมีชีวิต’

หานเซิ่นคำนึงถึงความเป็นไปได้นั้น แต่เขาไม่กล้าจะเทเลพอร์ตเข้าไปใกล้ๆดวงอาทิตย์เพื่อตรวจสอบ เขาแค่มาที่นี่เพื่อรับส่วนแบ่งอย่างง่ายๆเท่านั้น เขาไม่อยากจะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็น


 


ดราก้อนวันดมสายลม หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา

“ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นมาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเรา”


 


‘นายเป็นดราก้อน ไม่ใช่สุนัข’ หานเซิ่นคิด

“นี่เจ้าดมกลิ่นในอากาศและบอกว่ามีใครบ้างคนมาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเราได้ยังไง?”


 


ดราก้อนวันไม่ได้ตระหนักถึงความกังขาของหานเซิ่น เขาพูดต่อไป

“เผ่าเดสทรอยเยอร์มาที่นี่ เผ่าจิ้งจอกเองก็เช่นกัน…”


 


ดราก้อนวันพูดชื่อของเผ่าพันธุ์ต่างๆหลายสิบเผ่า หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจกับเรื่องนั้น เขาไม่ได้รู้จักเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ที่ดราก้อนวันพูดถึง แต่บาร์กับผู้อาวุโสนาเดอร์เดินทางมาที่นี่จริงๆ ดังนั้นดราก้อนวันพูดถูกต้องว่ามีคนของเดสทรอยเยอร์มาที่นี่


 


“จมูกของเจ้านี่สุดยอดจริงๆ” หานเซิ่นเอยชม


 


ดราก้อนวันยิ้ม “มันไม่ได้พิเศษอะไร นี่เป็นแค่เคล็ดลับอย่างหนึ่งของข้า ข้าจะวิเคราะห์สสารที่สิ่งมีชีวิตและผู้คนทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง และมันจะทำให้ข้ารู้ว่าพวกเขาเป็นใครกัน”


 


“นั่นเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม” หานเซิ่นพูดอย่างจริงใจ ศาสตร์ตงเสวียนของเขาก็มีความสามารถที่คล้ายกันอยู่ แต่ความสามารถนี้ของดราก้อนวันเป็นอะไรที่ตรงไปตรงมามากกว่า


 


ขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกัน เงาของคนๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา เงานั้นกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางเมืองที่กลายเป็นเถ้าถ่าน


 


หานเซิ่นและดราก้อนวันมองไปที่เงานั่นอย่างระมัดระวัง ในสถานที่แบบนี้พวกเขาต้องระวังตัวเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ลดการป้องกันตัวลงแม้แต่ชั่วครู่


 


“เป่าเหลียน!” หานเซิ่นมองไปที่เงานั้นด้วยความแปลกใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้พบกับเป่าเหลียนที่นี่


 


แต่ในตอนที่หานเซิ่นพบกับเป่าเหลียนก่อนหน้านี้ เขาใช้ฐานะของหานเซิ่น เป่าเหลียนนั้นไม่เคยพบกับดอลลาร์มาก่อน ดังนั้นหานเซิ่นจะต้องเงียบๆเอาไว้


 


“นี่คือระดับเทพเจ้าจากเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง ชื่อของเขาคือเป่าเหลียน” ดราก้อนวันพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน เป่าเหลียนก็บินมาลงบนพื้นไม่ไกลจากพวกเขา เป่าเหลียนสังเกตเห็นพวกเขาทั้งสองคน หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ดราก้อนวันและพูด

“อ้า เจ้าคือมิสเตอร์ดราก้อนนี่น่า ข้าไม่ได้คาดคิดว่าจะได้พบกับเจ้าที่นี่ ในเมื่อพวกเราได้มาพบกันภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ข้าก็ได้แต่คิดว่ามันเป็นชะตากรรม ดราก้อนวัน เจ้าสนใจจะไปสำรวจซีโน่เจเนอิคสเปชนี้ร่วมกับข้าไหม?”


 


เป่าเหลียนมีมารยาทอย่างน่าประหลาดใจ เขาไม่ได้ทำตัวเหมือนกับยอดฝีมือของเอ็กซ์ตรีมคิงทั่วๆไป แม้แต่หานเซิ่นก็ต้องประหลาดใจกับเรื่องนั้น


 


เผ่าดราก้อนเป็นเผ่าพันธุ์ที่กล้าหาญ แต่เมื่อเทียบกับเอ็กซ์ตรีมคิงแล้ว พวกเขามีพรสวรรค์สู้เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงไม่ได้  จริงๆเผ่าดราก้อนนั้นพึ่งพาอำนาจของเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง ในทางหนึ่งเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงก็เป็นเหมือนกับนายจ้างของพวกเขา ด้วยเหตุนั้นมันจึงไม่มีความจำเป็นที่เป่าเหลียนจะต้องปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาทแบบนั้น


 


หานเซิ่นไม่ได้รู้ว่าหลังจากที่ราชาไป๋เป็นผู้ปกครองเผ่าพันธุ์ ตระกูลเป่าก็ตกอยู่ในสภาพที่ยากลำบาก พวกเขาพยายามทำทุกอย่างที่จะชิงความได้เปรียบกับคืนมา ในครั้งนี้พวกเขาได้ส่งเป่าเหลียนมาเพื่อสำรวจซีโน่เจเนอิคสเปชที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่นี้


 


เป่าเหลียนรู้ว่าการเดินทางมาในครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ดังนั้นการร่วมมือกับยอดฝีมืออย่างดราก้อนวันจะเป็นอะไรที่ปลอดภัยมากกว่าการสำรวจตามลำพัง


 


“ข้ายินดี” ดราก้อนวันตอบ ดราก้อนวันเองก็กังวลว่าที่แห่งนี้อาจจะเป็นอันตรายเกินไปเช่นเดียวกัน ดังนั้นในเมื่อพวกเขาคิดเหมือนๆกัน การเป็นพันธมิตรกันก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผล


 


“คนผู้นี้เป็นใครกัน?” เป่าเหลียนถามขณะที่มองไปที่หานเซิ่น


 


ดราก้อนวันแนะนำตัวหานเซิ่นในฐานะดอลล่าร์ เมื่อเป่าเหลียนได้ยิน เขาก็จ้องมองหานเซิ่นด้วยความประหลาดใจ

“เจ้าก็คือดอลลาร์ที่ได้อันดับที่หนึ่งในการประลองบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนหรอเนี่ย? ข้าได้ยินชื่อของเจ้ามาเป็นเวลานานแล้ว น่าเสียดายที่มันใช้เวลานานกว่าที่จะได้มาพบเจ้าในที่สุด เจ้าเป็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง”


 


ถึงแม้เอ็กซ์ตรีมคิงจะไม่ได้ส่งคนของพวกเขาไปเข้าร่วมการประลองในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโน แต่เป่าเหลียนก็ได้ติดตามการต่อสู้ในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนอยู่บ้าง เขาจดจำชื่อของดอลลาร์ได้ แต่เขาไม่ได้รู้สึกดีใจราวกับว่าได้เจอดาราคนหนึ่งเหมือนอย่างที่เขาแสดงออกมา จริงๆแล้วเขาแค่รู้มาว่ามันมีคนชื่อหานเซิ่นที่ถูกว่ากันว่าพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง


 


“เป่าเหลียน เจ้ารอบรู้มากกว่าข้า เจ้าพอจะบอกได้ไหมว่าอารยธรรมไหนกันที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้?” ดราก้อนวันถามเป่าเหลียนหลังจากที่พวกเขาทักทายกันเสร็จแล้ว


 


เป่าเหลียนมองไปที่สิ่งก่อสร้างรอบๆ “สิ่งก่อสร้างพวกนี้ดูค่อนข้างล้าสมัย โดยปกติแล้วเผ่าพันธุ์ต่างๆจะสร้างสิ่งก่อสร้างแบบนี้ในยุคแรก และเนื่องจากวัฒนธรรมยังดูใหม่ๆและด้อยพัฒนา มันจึงระบุได้ยากว่าเผ่าพันธุ์ไหนกันแน่ที่เป็นเจ้าของสิ่งก่อสร้างพวกนี้”


 


หลังจากที่หยุดไปชั่วครู่ เป่าเหลียนก็ชี้ไปที่หอคอยในเมืองและพูดต่อ

“บนกำแพงของหอคอยนี่ เจ้าจะเห็นร่องรอยของการแกะสลัก มันดูเหมือนกับการแกะสลักของฟินิกซ์ และที่แห่งนี้ดูเหมือนจะถูกแผดเผาโดยบางสิ่งที่มีพลังธาตุไฟที่น่าสะพรึงกลัว”


“หรือบางทีมันอาจจะเป็นฟินิกซ์ระดับเทพเจ้าในตำนาน?”

ดราก้อนวันถามด้วยความสงสัย เขารีบมองไปในตำแหน่งที่เป่าเหลียนชี้ออกไปและสังเกตเห็นว่ามันมีการแกะสลักอยู่จริงๆ เพียงแต่ว่ามันเบลอๆ แต่เขาก็พอจะเห็นรูปร่างของนก


 


แต่ดราก้อนวันไม่เคยเห็นหนึ่งในฟินิกซ์ขั้นทรูก็อตในตำนานมาก่อน เขาไม่รู้ว่านั่นคือรูปลักษณ์ของฟินิกซ์จริงๆหรือเปล่า


 


เป่าเหลียนพยักหน้าและพูด “ฟินิกซ์คืออัลฟ่าของธาตุไฟ มันเป็นอะไรที่ยากมากๆที่ฟินิกซ์ขั้นทรูก็อตจะเกิดขึ้นมา และถ้าฟินิกซ์ตัวหนึ่งเกิดขึ้นมา แม้แต่เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงก็ไม่กล้าจะมาล่วงละเมิดมัน ถ้าสถานที่แห่งนี้เกี่ยวข้องกับฟินิกซ์จริงๆ พวกเราจำเป็นต้องระมัดระวังให้มาก พวกเราจะเสี่ยงไปยั่วยุมันไม่ได้”


 


ดราก้อนวันพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากนั้นพวกเขาก็ปรึกษากันว่าควรจะไปต่อยังไง เมื่อพวกเขาตัดสินใจได้แล้ว พวกเขาก็เคลื่อนที่ผ่านตัวเมืองและตรงลึกเข้าไปในซีโน่เจเนอิคสเปช


 


หานเซิ่นแกล้งทำเป็นว่าเขาไม่รู้จักว่าเป่าเหลียนเป็นใคร พวกเขาคุยกันอยู่พอสมควร และเป่าเหลียนก็ดูเหมือนจะชื่นชมเขา เป่าเหลียนยังคงทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน และเขาก็ไม่ได้ทำตัวเหมือนอย่างเอ็กซ์ตรีมคิงที่ยิ่งยโสทั่วๆไป แต่หานเซิ่นรู้ว่าเป่าเหลียนเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง ครั้งก่อนที่พวกเขาต่อสู้กัน หานเซิ่นตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งยากมากๆ


 


หานเซิ่นยังคงไม่รู้ว่าเป่าเหลียนมีพลังแบบไหนกันแน่ ความจริงแล้วเขาเกรงกลัวเป่าเหลียนอยู่เล็กน้อย เขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าพลังของชายคนนี้ทำงานยังไง


 


พวกเขาทั้งคู่ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี พวกเขาพูดคุยกันไปตลอดทางและมันดูเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน


 


“มันมีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างหน้า” ดราก้อนวันพูดขัดขึ้นมา


 


หานเซิ่นและเป่าเหลียนมองไปข้างหน้าและพบว่าตัวเองกำลังมองไปที่ภูเขาลูกใหญ่สองลูก พวกมันมีความสูงกว่าหนึ่งหมื่นเมตร และมีไม้ที่ยืนยาวเป็นสะพานเชื่อมระหว่างยอดของภูเขาทั้งสองลูก ซึ่งที่ใจกลางของสะพานนั้นมีระฆังสีดำขนาดใหญ่ตั้งอยู่


สิ่งมีชีวิตมากมายยืนอยู่ตามสะพานและจ้องมองไปที่ระฆังเหล็กสีดำนั้น

 

 

 


ตอนที่ 2770

 

ฐานของระฆังนั้นกว้างหนึ่งร้อยเมตร มันห้อยอยู่ระหว่างภูเขาทั้งสองลูก ซึ่งเมื่อดูจากน้ำหนักของระฆังก็ทำให้มันเป็นภาพที่น่าทึ่งสำหรับคนที่ได้เห็น


 


รอยแกะสลักลึกลับปกคลุมผิวของระฆัง และเนื่องจากขนาดที่ใหญ่ของระฆัง รอยแกะสลักจึงดูค่อนข้างแปลกประหลาด พวกมันดูเหมือนจะพรรณนาถึงนกตัวหนึ่งที่กำลังบินผ่านอุโมงที่เป็นเกลียวที่ซับซ้อน หานเซิ่นและคนอื่นไม่แน่ใจว่ามันหมายถึงอะไร


 


แต่บนด้านหน้าของระฆังมีการแกะสลักของนกขั้นทรูก็อตอยู่ มันไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับภาพแกะสลักนี้ มันพรรณนาถึงฟินิกซ์ขั้นทรูก็อต


 


สิ่งมีชีวิตมากมายยืนอยู่บนสะพานและมองไปที่ระฆังเหล็กสีดำ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างกลับไม่มีใครต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงมัน พวกเขาแค่จ้องมองไปที่วัตถุอย่างหลงเสน่ห์


 


หานเซิ่นสังเกตเห็นว่าบาร์และผู้อาวุโสนาเดอร์ก็อยู่ในหมู่คนพวกนั้นด้วย พวกเขาจ้องไปที่ระฆังด้วยสีหน้าเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตอื่น พวกเขาไม่ได้พยายามจะเข้าไปเอาระฆังนั่นมาเป็นของตัวเอง พวกเขาเอาแต่ยืนมองไปที่ระฆัง มันเป็นเหตุการณ์ประหลาดสำหรับหานเซิ่นที่จะได้เห็น


 


ดราก้อนวันส่งเสียงเรียกบาร์ แต่บาร์ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเขา สายตาของเดสทรอยเยอร์คนนั้นยังคงจ้องไปที่ระฆัง


 


“มีบางสิ่งผิดปกติ” ดราก้อนวันพูดขึ้นมา เขามองไปที่ระฆังเหล็กสีดำและขมวดคิ้ว


 


แต่มันไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องพูดมันออกมา หานเซิ่นและเป่าเหลียนสังเกตได้ถึงเรื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว บาร์และคนอื่นๆดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงจะไม่เมินเฉยต่อการที่คนอื่นเรียกชื่อของพวกเขา?


 


หานเซิ่นใช้ศาสตร์ตงเสวียนอย่างลับๆ และเขาก็โฟกัสความสนใจไปที่ภูเขาทั้งสองลูก สะพานไม้และระฆังเหล็กสีดำ โดยเขาหวังว่าจับสังเกตอะไรบางอย่างจากพวกมัน


 


ทันทีที่หานเซิ่นทำแบบนั้น เขาก็สังเกตได้ถึงบางสิ่งจริงๆ สะพานระหว่างภูเขาทั้งสองลูกและระฆังเหล็กขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีการเชื่อมต่อกัน พวกมันปลดปล่อยพลังบางอย่างที่ยากจะสัมผัสได้ออกมา มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลก


 


ภูเขา สะพานและระฆัง พวกมันเป็นสามสิ่งที่แตกต่างกัน ในสถานการณ์ปกติ พวกมันไม่ควรจะปลดปล่อยพลังแบบเดียวกันออกมา แต่ตอนนี้พวกมันทำแบบนั้น พลังงานที่เปล่งรัศมีออกมาจากพวกมันมีความยาวคลื่นเดียวกันทั้งหมด


 


“แปลกจริงๆ นี่มันแปลกมากๆ” เป่าเหลียนพึมพำ


 


“เจ้าพบอะไรอย่างนั้นหรอ?” ดราก้อนวันถาม


 


เป่าเหลียนชี้ไปที่ภูเขาลูกใหญ่สองลูกและพูด “เจ้าไม่คิดว่าภูเขาทั้งสองลูกนี้ดูค่อนข้างพิเศษหรอกหรอ?”


 


“พิเศษ? เจ้ากำลังพูดถึงความพิเศษแบบไหน?” ดราก้อนวันมองไปที่ภูเขาทั้งสองลูกอีกครั้ง แต่เขาดูเหมือนจะไม่สามารถสังเกตถึงอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับพวกมัน


 


“รูปร่างของพวกมัน เจ้าไม่คิดว่าภูเขาทั้งสองลูกนี้ดูเหมือนกับวานรยักษ์สองตัวหรอ?” เป่าเหลียนถามพร้อมกับชี้ไปที่ภูเขาทั้งสองลูก


 


หานเซิ่นมองไปที่ภูเขาทั้งสองลูกมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่เขาไม่ได้สังเกตถึงเรื่องนั้น ตอนนี้เมื่อเป่าเหลียนพูดขึ้นมา หานเซิ่นก็สังเกตเห็นว่าภูเขาทั้งสองลูกดูเหมือนกับวานรสองตัวที่กำลังถือสะพานไม้อยู่ พวกมันแบกรับน้ำหนักของระฆังเหล็กสีดำ ซึ่งดูเหมือนพร้อมที่จะร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ


 


หานเซิ่นมีคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เห็น เขารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของมัน แต่เขาไม่ได้ข้อสรุปอะไร ดราก้อนวันมองไปที่มันอยู่สักพัก และไม่นานหลังจากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกว้าง

“วานรสองตัวกำลังถือสะพานไม้ นั่นหมายความว่าพวกเรากำลังมองไปที่ภูเขาสองวานรในตำนานอย่างนั้นหรอ? ไม่มีทาง! ภูเขาสองวานรเป็นของเซเคร็ด และมันถูกทำลายไปนานแล้ว ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”


 


“นี่อาจจะไม่ใช่ภูเขาสองวานรของจริง มันอาจจะเป็นแค่ภูเขาที่ดูคล้ายคลึงกันเท่านั้น”

เป่าเหลียนพูด แต่เขาไม่สามารถละสายตาไปจากภูเขาสองวานรได้ มันยากที่จะบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


 


“ภูเขาสองวานรคืออะไร?” หานเซิ่นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อน เขามองไปที่เป่าเหลียนและดราก้อนวัน


 


“ในตำนานเกี่ยวกับเซเคร็ด มันมีเรื่องเล่าที่บอกถึงภูเขาที่มีชื่อเสียงมากๆอยู่”

ดราก้อนวันอธิบาย “แต่เดิมภูเขาสองวานรเป็นแค่ภูเขาธรรมดาๆ พวกมันไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ต่อมาภายหลัง ผู้นำของเซเคร็ดและสหายที่เขาเชื่อใจเล่นหมากรุกกันเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ที่สุดแล้วเกมส์จบลงด้วยผลเสมอกัน ดังนั้นผู้นำของเซเคร็ดจึงได้ตัดสินใจสร้างสะพานระหว่างภูเขาทั้งสองลูกและสร้างศาลาที่ใจกลางของสะพานเพื่อไว้สำหรับเล่นหมากรุก แบบนั้นเขาก็จะได้เล่นหมากรุกกับสหายคนนั้นได้ตลอดกาล ภูเขาทั้งสองลูกดูเหมือนกับวานร และหลังจากที่สะพานกับศาลาถูกสร้างขึ้น มันก็ดูเหมือนกับว่าวานรสองตัวกำลังแบกเกี้ยวเอาไว้ ด้วยเหตุนั้นในบางครั้งภูเขาสองวานรจึงถูกเรียกว่าภูเขาสองวานรแบกเกี้ยว”


 


เป่าเหลียนเล่าเรื่องต่อไปว่า “ในตำนานกล่าวว่าศาลาถูกใช้เล่นเกมส์หมากรุกหลายเกมส์ระหว่างผู้นำเซเคร็ดและสหายที่เขาเชื่อใจ แต่ในตอนที่เซเคร็ดล่มสลาย ภูเขาสองวานรก็ถูกทำลายไปด้วย สะพานและศาลานั้นหายสาบสูญไป สิ่งที่พวกเรากำลังเห็นอยู่ที่นี่นั้นอาจจะดูคล้ายคลึงกัน แต่มันไม่ใช่ภูเขาสองวานรจริงๆ”


 


ดราก้อนวันพูดต่อ “ถึงแม้การเคลื่อนย้ายภูเขาจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดของภูเขาสองวานรก็คือบันทึกหมากรุกที่อยู่ภายในศาลา และเนื่องจากศาลาที่เก็บบันทึกเหล่านั้นหายสาบสูญไปแล้ว ใครกันจะไปเสียเวลาเคลื่อนย้ายภูเขาสองวานรมาไว้ที่นี่? ตำแหน่งที่ศาลาเคยอยู่นั้นถูกแทนที่ด้วยระฆังขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนั้นข้าไม่คิดว่านี่จะเป็นภูเขาสองวานรที่มาจากเซเคร็ด”


 


หานเซิ่นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดเสริมขึ้นมา เขาแค่ฟังทั้งสองคนอธิบายถึงประวัติของมัน


 


“ใครกันที่เป็นคนเล่นหมากรุกกับผู้นำเซเคร็ด? ข้าเดิมพันว่าสหายของผู้นำเซเคร็ดคนนี้จะต้องมีชื่อเสียงมากๆ เขามีชื่อว่าอะไรและเขามาจากเผ่าพันธุ์ไหนอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


ดราก้อนวันยักไหล่และพูด “นั่นคือทั้งหมดที่ข้ารู้ มันถูกบันทึกอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์พวกเรา แต่ข้าไม่เคยอ่านพวกมันด้วยตัวเอง และหนังสือประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าคนที่เล่นหมากรุกกับผู้นำเซเคร็ดเป็นใคร


 


“เมื่อก่อนนั้น ผู้นำเซเคร็ดปกครองเกือบทั้งจักรวาล เขามีผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งมากมาย เขามีสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์และสิบขุนพลที่ล้วนเป็นยอดฝีมือที่ทรงพลัง มันยากที่จะบอกได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนเล่นหมากรุกกับผู้นำเซเคร็ด” เป่าเหลียนพูด


 


หานเซิ่นอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงระฆังดังขึ้นมา ถึงแม้อากาศรอบๆจะยังคงสงบนิ่งและไร้ซึ่งสายลม แต่ระฆังเหล็กสีดำก็เริ่มสั่นไหวด้วยตัวมันเองและปลดปล่อยเสียงที่ดังกระหึ่มออกมา


 


เสียงระฆังนั้นดูเหมือนจะเป็นเสียงธรรมดาทั่วไป มันไม่ได้มีอะไรพิเศษ และดูเหมือนมันจะไม่ได้แฝงพลังอะไรเอาไว้เช่นกัน


 


แต่วินาทีต่อมา หานเซิ่น เป่าเหลียนและดราก้อนวันก็ต้องตกตะลึง ในจังหวะที่เสียงระฆังดังขึ้นมา จู่ๆรูปลักษณ์ที่เหมือนกับถ่านของต้นไม้และภูเขาก็จางหายไป ไม่นานสีสันก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง


 


รูปลักษณ์ที่เหมือนกับถ่านของต้นไม้หายไป และเฉดสีเขียวกลันคืนมาสู่พวกมันอีกครั้ง ใบไม้งอกขึ้นมาต่อหน้าต่อตาหานเซิ่นและคนอื่นๆ พืชพันธุ์ต่างๆรอบตัวของพวกเขากลับมามีชีวิตอีกครั้งอย่างรวดเร็ว


 


ทั่วภูเขาที่เหมือนกับสองวานร พุ่มไม้และก่อหญ้างอกขึ้นมา สิ่งที่หานเซิ่นและคนอื่นกำลังได้เห็นเป็นอะไรที่แปลกมากๆ มันเหมือนกับคนที่ตายแล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้ง


 


วินาทีต่อมา โลกรอบๆตัวพวกเขาก็เต็มไปด้วยสีเขียว พืชพันธุ์แพร่กระจายออกไปปกคลุมพื้นผิวทั้งหมด แม้แต่ภูเขาทั้งสองลูกก็ดูเป็นสีเขียวเช่นกัน ทุกอย่างในสายตาของพวกเขาดูเหมือนจะเปล่งรัศมีของพลังชีวิต ดินแดนแห่งนี้ดูแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง


 


สิ่งเดียวที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปก็คือระฆังเหล็กสีดำ มันยังดูเหมือนเดิม และเมื่อเสียงของระฆังหยุดไปแล้ว มันก็กลับไปนิ่งสนิทดั่งเดิม

 

 

 


ตอนที่ 2771

 

 


ตัวสะพานเริ่มจะมีกิ่งก้านงอกออกมา และบาร์กับคนอื่นๆก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ พวกเขาทุกคนพยายามจะบินออกไปจากสะพาน แต่เมื่อพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหว กิ่งก้านที่งอกออกมาก็พุ่งเข้ามาหาพวกเขาจากทุกทิศทาง


 


บาร์เป็นระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟ เขาสามารถทำลายดาวทั้งดวงได้ด้วยหมัดเดียว แต่เขาไม่สามารถต่อต้านกิ่งก้านเหล่านั้นได้ และพวกมันเริ่มจะพันรอบตัวของเขา


 


บาร์ไม่ใช่แค่คนเดียวเท่านั้นที่ถูกจับตัว แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นทรานส์มิวเทชั่นอย่างผู้อาวุโสนาเดอร์ก็ไม่สามารถหนีไปได้ เขาปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา แต่ภายใต้แรงของกิ่งไม้ พลังของเขาก็เป็นเหมือนกับหิมะที่ละลายในแสงแดด ความพยายามของเขาไม่มีประโยชน์ และกิ่งไม้ก็จับตัวของเขาเอาไว้แน่น


 


ไม่มีสิ่งชีวิตไหนบนสะพานที่รอดจากเรื่องนี้ พวกเขาทุกคนถูกพันรอบเหมือนกับรังไหมหลากหลายขนาดที่ถูกห้อยต่องแต่งจากสะพาน


 


ขณะที่หานเซิ่นมองพวกเขา หานเซิ่นก็อึ้งกับที่พวกเขาดูเหมือนกับหนอนผีเสื้อ หานเซิ่นเคยพบแมลงเหล่านั้นห้อยจากต้นไม้ใกล้กับบ้านเก่าของเขา พวกมันจะห้อยตัวลงมาจากิ่งไม้อย่างไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว นอกซะจากว่าสายลมจะพัดพวกมันแกว่งไปมา ภาพตรงหน้าของเขาในตอนนี้เป็นอะไรที่คล้ายกันอย่างน่าขนลุก


 


หานเซิ่นยังสังเกตสิ่งมีชีวิตที่ถูกจับตัวขณะที่ถอยออกไปด้านหลัง แม้แต่ผู้อาวุโสนาเดอร์ก็ไม่สามารถต่อต้านการจับกุมของกิ่งก้านได้ และหานเซิ่นก็ไม่คิดว่าตัวเขาแข็งแกร่งไปกว่าผู้อาวุโสนาเดอร์มากนัก ดังนั้นถ้าเขาเข้าไปใกล้ เขาก็อาจจะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน


 


ดราก้อนวันและเป่าเหลียนดูเหมือนจะมีความคิดที่เหมือนกับหานเซิ่น พวกเขาถอยออกไปด้านหลังเช่นเดียวกัน


 


ทันใดนั้นเสียงร้องของนกก็ดังขึ้นอย่างชัดเจนทั่วท้องฟ้า และหนึ่งวินาทีต่อมา หานเซิ่นก็รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่น่ากลัวกำลังโฉมลงมาจากด้านบน มันพุ่งมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ตัวของนกจะยังคงบินอยู่บนฟ้า แต่ออร่าของมันก็มาถึงพื้นด้านล่างและบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างบนผืนผิวในทันที


 


หานเซิ่นพบว่าร่างกายของตัวเองถูกกดลงกับพื้น และเขาไม่สามารถลุกกลับขึ้นมาได้ แรงกดดันที่น่ากลัวค่อยๆกดเขาจมลง เขาไม่สามารถพาตัวเองออกมาได้


 


หานเซิ่นหันไปด้านข้างและพยายามจะมองตามเสียงที่ดังมาจากท้องฟ้า สิ่งที่เขาเหลือบไปเห็นก็คือนกตัวใหญ่ที่ลุกไหม้ด้วยเพลิงสีขาว มันบินสูงอยู่บนท้องฟ้า และแรงกดดันที่น่ากลัวก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของมัน


 


หานเซิ่นไม่สามารถบอกได้อย่างมั่นใจว่ามันเป็นนกชนิดไหนกันแน่ มันทั้งดูสง่า ภาคภูมิ งดงามและสูงส่ง มันดูเหมือนกับเทพที่ลงมาจากท้องฟ้า มันเหมือนกับตำนานที่บรรยายถึงเทพฟินิกซ์ แต่หานเซิ่นไม่เคยเห็นฟินิกซ์ของจริงมาก่อน ดังนั้นเขาไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่ในตอนนี้นั้นใช่เทพฟินิกซ์หรือเปล่า


 


นกตัวใหญ่โบยบินไปมาอยู่เหนือภูเขา และที่ไหนก็ตามที่มันผ่านไป ผืนดินที่อยู่ใต้มันก็กลับมามีชีวิต ทั้งต้นไม้ พุ่มไม้และใบหญ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง


 


นกตัวใหญ่บินเป็นวงกลมอย่างช้าๆ และดูเหมือนกับว่าทั้งโลกนั้นติดตามมันด้วยความหวังที่จะถูกมอบพลังชีวิตอีกครั้ง ต้นไม้สีเขียวมีใบงอกกลับขึ้นมาจนเต็มต้น ดอกไม้โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน ไม่ว่าที่ไหนที่นกบินผ่านไป ดินแดนที่เคยรกร้างก็ถูกเปลี่ยนเป็นสวรรค์เขตร้อน


 


“ฟินิกซ์…มันคือฟินิกซ์จริงๆ…” เป่าเหลียนกำลังนอนอยู่กับพื้นถัดไปจากหานเซิ่น ดูเหมือนเขากำลังตกตะลึงจนไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยายังไง


 


‘ช่วงนี้เรานี่โชคร้ายจริงๆ เราเข้ามาในซีโน่เจเนอิคสเปชที่ยังไม่ถูกพัฒนาและพบกับฟินิกซ์ขั้นทรูก็อตเข้า โอกาสมันต่ำยิ่งกว่าการถูกลอตเตอรี่ซะอีก’ หานเซิ่นบ่นในใจ


 


โชคดีที่ฟินิกซ์ไม่ได้บินมาทางพวกเขา มันบินไปที่สะพานไม้ของภูเขาสองวานร มันบินไปอย่างช้าๆจนกระทั่งไปถึงที่สะพาน


 


หลังจากที่วนเวียนรอบๆสะพานอยู่สามรอบ ฟินิกซ์ที่ลุกโชนด้วยเพลิงสีขาวก็บินลงมาบนสะพานไม้ ไฟของมันไม่ได้แผดเผาสะพานไม้ จริงๆแล้วดูเหมือนมันจะเพิ่มพลังชีวิตให้กับไม้นั่น และทำให้กิ่งก้านงอกออกมาอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม


 


หลังจากนั้นฟินิกซ์ก็ลดหัวลงมาเพื่อมองไปยังหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกจับตัว เท่าที่หานเซิ่นมองเห็นผ่านรังไหมของกิ่งไม้สิ่งมีชีวิตนั่นดูเหมือนกับโกเล็ม มีเพียงแค่หัวของโกเล็มเท่านั้นที่โผล่ออกมาให้เห็น


 


“ตอบคำถามของข้า ถ้าข้าพอใจในคำตอบของเจ้า แบบนั้นข้าก็จะยกโทษให้กับเจ้าที่ล่วงละเมิดข้า”

ฟินิกซ์ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ทุกคนได้ยินเสียงของฟินิกซ์ในจิตใจของพวกเขา


 


“ข้าจะตอบคำถามของท่าน ท่านอยากรู้เรื่องอะไร?” สิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนกับโกเล็มพูด


 


“วันหนึ่งเจ้าและคนรักของเจ้าเผชิญกับอันตราย หนึ่งในพวกเจ้าจำเป็นต้องตายเพื่อให้อีกคนรอดชีวิต เจ้ามีพลังที่จะตัดสินเรื่องนั้น… เจ้าเลือกที่จะตายเพื่อให้คนรักของเจ้ามีชีวิตรอด? หรือเจ้าเลือกที่จะให้คนรักของเจ้าตายเพื่อที่เจ้าจะได้รอดชีวิต?”


 


เสียงของฟินิกซ์ดังก้องและสั่นคลอนจิตใจของพวกเขาขณะที่มันพูด


 


ทุกคนรู้สึกแปลกใจ พวกเขาคาดคิดว่าฟินิกซ์ในตำนานจะถามเกี่ยวกับความลับในอดีตกาลบางอย่าง พวกเขาไม่ได้คิดว่าจะถูกถามอะไรแบบนี้


 


คำถามแบบนี้ไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว คนแต่คนจะมีคำตอบที่ต่างกันออกไป


 


แต่ในเมื่อฟินิกซ์ถามออกมาเรียบร้อยแล้ว โกเล็มก็ไม่สามารถปฏิเสธที่จะตอบได้ มันกลืนน้ำลายก่อนที่จะตอบไปว่า

“ข้าจะเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องคนรัก”


 


“หน้าไหว้หลังหลอก” เสียงที่ฟังดูเหยียดหยามของฟินิกซ์ดังขึ้นในหัวของทุกคน


 


วินาทีต่อมา หานเซิ่นและคนอื่นก็มองเห็นฟินิกซ์ลดหัวลงมา ปากของมันอ้าออกในทิศทางของโกเล็ม


 


แต่ฟินิกซ์ไม่ได้เอาปากงับโกเล็ม มันทำการสูดลมหายใจเข้าไปแทน พลังประหลาดรั่วไหลออกมาจากร่างกายของโกเล็มและหายเข้าไปในปากของฟินิกซ์


 


หลังจากที่พลังประหลาดนั่นถูกเอาไป หัวของโกเล็มก็ดูเหมือนกับเปลือกไม้ที่แห้งเหี่ยว หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็ย่อยสลายเป็นผุยผงที่ปลิวไปกับสายลม


 


ทุกคนจ้องไปยังตำแหน่งที่โกเล็มเคยอยู่อย่างพูดอะไรไม่ออก ถึงแม้โกเล็มนั่นจะเป็นแค่สิ่งมีชีวิตระดับราชัน แต่พลังของมันก็ถูกดูดไปจนร่างกายสลายกลายเป็นผุยผง มันเป็นอะไรที่น่ากลัวเกินไป


 


ฟินิกซ์นั่นดูเหมือนจะไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ทำเป็นเรื่องใหญ่อะไร มันเลิกสนใจรังไหมที่เพิ่งจะว่างเปล่าและหันไปหารังไหมที่อยู่ถัดไป


 


หัวของสิ่งมีชีวิตที่โผล่ออกมาจากรังไหมนี้ดูเหมือนกับปลาหมึก หานเซิ่นจดจำสิ่งมีชีวิตนี้ได้ มันติดตามผู้อาวุโสนาเดอร์มา ดังนั้นมันจะต้องเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของผู้อาวุโสนาเดอร์


 


สิ่งมีชีวิตนั้นซีดไปในตอนที่ฟินิกซ์มองมาที่มัน หลังจากนั้นเสียงของฟินิกซ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“วันหนึ่งเจ้าและคนรักของเจ้าเผชิญกับอันตราย หนึ่งในพวกเจ้าจำเป็นต้องตายเพื่อที่อีกคนจะรอด เจ้ามีพลังที่จะตัดสินเรื่องนั้น… เจ้าเลือกที่จะตายเพื่อให้คนรักของเจ้ารอด? หรือว่าเจ้าเลือกที่จะให้คนรักของเจ้าตายเพื่อที่เจ้าจะได้รอดชีวิต?”


 


สิ่งมีชีวิตนั้นรู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อมันสังเกตได้ว่าคำถามนั้นเหมือนกับก่อนหน้านี้ มันก็ดีใจขึ้นมา


 


โกเล็มนั้นได้เลือกคำตอบหนึ่งไปแล้ว และคำตอบนั้นก็เป็นคำตอบที่ผิด ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนกับปลาหมึกจึงสันนิษฐานไปว่าคำตอบอีกอย่างจะต้องเป็นคำตอบที่ถูกต้อง


 


เมื่อคิดได้แบบนั้น มันก็รีบตะโกนออกไปว่า “ข้าเลือกที่จะรักษาชีวิตของตัวเอง!”


 


“ต่ำช้า” ก่อนที่สิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับปลาหมึกจะได้อธิบายว่าทำไมมันถึงเลือกแบบนั้น เสียงโกรธของฟินิกซ์ก็ดังขึ้นในหัวของทุกคน


 


ฟินิกซ์ลดหัวลงมาและสูดลมหายใจเข้าไป พลังของสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับปลาหมึกก็ถูกดูดออกไปอย่างรวดเร็ว และร่างกายของมันก็กลายเป็นผุยผงที่ถูกสายลมพัดปลิวหายไป


 


ทุกคนรู้สึกหนาวขึ้นมา พวกเขาคิดว่าการมอบคำตอบอีกอย่างหนึ่งจะทำให้พวกเขารอดชีวิต แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคำถามของฟินิกซ์นั้นไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง และทุกอย่างก็ขึ้นอยู่ที่อารมณ์ความรู้สึกของฟินิกซ์

 

 

 


ตอนที่ 2772

 

หานเซิ่น เป่าเหลียนและดราก้อนเหงื่อตก มันไม่มีอะไรในโลกนี้ที่น่ากลัวไปกว่าเทพที่ไม่มีเหตุผล เห็นได้ชัดว่าเทพฟินิกซ์ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเหตุผลเลยสักนิดเดียว


 


“เจ้า ตอบคำถามนี้” ฟินิกซ์หันไปหาขุนนางระดับราชันอีกคน คนๆนั้นเป็นลูกศิษย์ของผู้ผู้อาวุโสนาเดอร์เช่นกัน และเขาได้รับคำถามเดียวกัน


 


“ท่านอาจารย์…” คนๆนั้นดูเหมือนจะร้องไห้ออกมา เขาพูดกับผู้ผู้อาวุโสนาเดอร์ด้วยเสียงสั่นๆ


 


ใบหน้าของผู้ผู้อาวุโสนาเดอร์เปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาพาลูกศิษย์หลายคนมาสำรวจซีโน่เจเนอิคสเปชที่ถูกค้นพบใหม่ก็เพื่อให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะต้องมาเจอกับสิ่งมีชีวิตขั้นทรูก็อต สิ่งมีชีวิตแบบนี้เป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง เขารู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้นั้นเลวร้ายสุดๆ


 


ลูกศิษย์คนนี้ของผู้อาวุโสนาเดอร์เป็นยอดฝีมือระดับราชันที่มีเลือดของเดสทรอยเยอร์ แต่ตอนนี้เขาดูอ่อนแอยิ่งกว่าคนนอกที่ระดับต่ำกว่าซะอีก


 


“ตอบคำถามของข้า” เปลวเพลิงตามร่างของฟินิกซ์ระเบิดออกและเข้าปกคลุมทั้งท้องฟ้าและผืนดิน


 


เดสทรอยเยอร์ระดับราชันคนนั้นตัวซีดไป เขารีบตอบ

“ข้าจะฟังคนรักของข้า ถ้านางอยากให้ข้ามีชีวิตรอด ข้าก็จะมีชีวิตรอด ถ้านางต้องการให้ข้าตาย ข้าก็จะตาย”


 


“ขี้ขลาดตาขาว” ฟินิกซ์ขึ้นเสียง มันอ้าปากและสูดลมหายใจ เหมือนกับสองสิ่งมีชีวิตก่อนหน้าร่างกายของเดสทรอยเยอร์ระดับราชันสลายกลายเป็นผุยผงเช่นเดียวกัน


 


ทุกคนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกท้อแท้ เห็นได้ชัดว่าฟินิกซ์กำลังเล่นตลกกับพวกเขา มันไม่สำคัญว่าพวกเขาจะตอบอะไร พวกเขาก็ต้องตายอยู่ดี


 


“ถ้าเจ้าต้องการจะฆ่าข้า ก็ฆ่าข้าซะเลย ข้าจะไม่ตอบคำถามห่วยๆของเจ้า” ระดับราชันไร้ชื่อคนหนึ่งตะโกนออกมา


 


“ถ้านั่นคือสิ่งที่เจ้าปรารถนา ข้าก็จะทำให้เจ้าสมหวัง”

ฟินิกซ์ยังคงทำตัวสูงส่ง มันลดตัวลงมาและอ้าปากเพื่อสูดลมหายใจ ระดับราชันคนนั้นย่อยสลายกลายเป็นผุยผง


 


หานเซิ่นรู้สึกแย่ เขาหวังว่าคำถามของฟินิกซ์นั้นจะคล้ายคลึงกับการอธิษฐานที่ถูกเสนอโดยคนที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า เขาจึงคิดไปว่าถ้าเขาไม่ตอบคำถาม ฟินิกซ์ก็อาจจะไม่ทำร้ายเขา แต่หลังจากที่ได้เห็นการตายของเหยื่อคนล่าสุดก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น


 


ใบหน้าของดราก้อนวันและเป่าเหลียนดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยเหงื่อ พวกเขารู้สึกสิ้นหวัง


 


ฟินิกซ์ถามคำถามเดิมกับอีกหลายคน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะตอบอะไร ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เหมือนเดิม พวกเขาจะถูกดูดเอาพลังชีวิตของตัวเองออกไปจากร่าง


 


ผู้อาวุโสนาเดอร์เป็นถึงระดับเทพเจ้าขั้นทรานส์มิวเทชั่นที่ทรงพลัง แต่เขาก็ทำได้แต่มองดูเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เขาไม่สามารถต่อต้านหรือทำอะไรกับมันได้


 


ที่สุดแล้วฟินิกซ์ก็มาหยุดอยู่ที่ผู้อาวุโสนาเดอร์ สามหัวและหกตาของผู้อาวุโสนาเดอร์จ้องกลับไปที่ฟินิกซ์ ดูเหมือนกับว่าเขาต้องการจะจู่โจมฟินิกซ์ แต่ร่างกายของเขาถูกรัดแน่นเกินไป เขาไม่สามารถแม้แต่จะขยับเขยื้อนได้ การจะต่อสู้นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาไม่สามารถกระดิกนิ้วได้ด้วยซ้ำ


 


กิ่งไม้นั้นไม่ได้แค่จับร่างกายของเขาเอาไว้ ถ้าสถานการณ์เป็นอะไรที่ง่ายอย่างนั้น เขาที่เป็นถึงระดับเทพเจ้าขั้นทรานส์มิวเทชั่นก็คงจะไม่ถูกทำให้หมดหนทางด้วยการถูกรัดร่างกายเอาไว้แบบนี้


 


แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสนาเดอร์นั้นไม่สามารถปลดปล่อยพลังอะไรออกมาได้ เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะพลังของเขาถูกปิดผนึกเอาไว้หรือถูกดูดออกไปจนหมดกันแน่


 


ขณะที่ทุกคนรอที่ผู้อาวุโสนาเดอร์จะถูกฆ่า จู่ๆฟินิกซ์ก็หันหน้าหนีไป มันหันไปรอบๆและสายตาของมันก็มาหยุดอยู่ที่หานเซิ่นและคนอื่นๆอีกสองคนที่อยู่ข้างๆ


 


หัวใจของทั้งสามคนก็เริ่มจะเต้นรัว ก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ฟินิกซ์ก็กระพือปีกและบินลงมาจากภูเขา


 


“โอ้ไม่นะ” หานเซิ่นรู้สึกแย่ขึ้นมา ทำไมจู่ๆฟินิกซ์ถึงได้เกิดเปลี่ยนใจและเลือกบินมาทางพวกเขาแทน?


 


ใบหน้าของดราก้อนวันและเป่าเหลียนเปลี่ยนเป็นสีเขียว ดราก้อนวันตะโกนใส่เป่าเหลียน

“เป่าเหลียน ถ้าพวกเราไม่สู้ พวกเราก็จะไม่มีโอกาสรอด!”


 


ใบหน้าของเป่าเหลียนดูมืดมัว “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากสู้หรือยังไง? เจ้ามองไม่ออกหรือไงว่าความแตกต่างของพลังมีมากเกินไป ถึงแม้มันจะดูเหมือนว่าร่างกายแห่งราชันของข้าไม่ได้ถูกยับยั้ง แต่ข้าก็ใช้พลังไม่ได้ เจ้าเป็นเผ่าดราก้อนไม่ใช่หรอ? พวกเจ้าบอกว่าตัวเองเป็นเผ่าพันธุ์ที่กล้าหาญที่สุดไม่ใช่หรือยังไง? ไม่ใช่ว่าพวกเจ้ามีความต้านทานที่สูงหรอกหรอ? เจ้าทำลายพลังที่ยับยั้งข้าจากการใช้ร่างกายแห่งราชันได้ไหมล่ะ? บางทีนั่นอาจจะเป็นหนทางที่ทำให้พวกเรารอดไปจากที่นี่”


 


ดราก้อนวันพูดขึ้นว่า “ถ้าข้าปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้ เจ้าคิดว่าข้าจะยังอยู่ที่นี่อีกอย่างนั้นหรอ?”


 


การพูดคุยเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ พวกเขาทั้งสองคนถูกล็อคเอาไว้กับพื้น ดราก้อนวันเห็นว่าเป่าเหลียนนั้นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงหันมาหาหานเซิ่น

“ดอลลาร์ ถ้าเจ้าหนีไปได้ พาพวกเราไปตอนนี้เลย ก่อนที่มันจะสายเกินไป”


 


หานเซิ่นส่ายหัว ถึงแม้เขาจะใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดเพื่อหนีไปได้ แต่มันก็เป็นตัวเลือกสุดท้ายจริงๆ เพราะยังไงซะร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดก็มีเวลาที่จำกัด และเมื่อเวลาหมดลง พลังของฟินิกซ์ก็จะล็อคตัวเขาลงกับพื้นอีกครั้ง แบบนั้นเขาก็จะถูกฆ่าตาย


 


พวกเขาทั้งสามคนไม่สามารถทำอะไรได้ และตอนนี้ฟินิกซ์ก็มาถึงพวกเขาแล้ว มันบินลงบนพื้นที่ห่างจากทั้งสามคนไปเพียงแค่สิบเมตร หลังจากนั้นมันก็มองมาที่หานเซิ่น


 


“ไม่มีทาง มันมีสิ่งมีชีวิตมากมายอยู่ที่นี่ แต่เลือกจะกินข้าเนี่ยนะ? ข้าไม่ใช่พระถังซัมจั๋ง มาจ้องมองข้าเพื่ออะไร?”

หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ เขาเตรียมตัวจะเปิดใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด ถึงแม้โอกาสหนีไปได้จะต่ำ แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลองดู


 


หานเซิ่นจะรอจนกระทั่งฟินิกซ์เริ่มถามคำถาม และทันทีที่มันเริ่มพูด เขาก็จะใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดเพื่อเทเลพอร์ตหนีไป บางทีแบบนั้นเขาอาจจะรอดไปได้


 


แต่ในตอนที่ฟินิกซ์เปิดปาก มันไม่ได้ถามคำถาม มันปล่อยแรงดูดที่น่ากลัวออกมาดึงร่างกายของหานเซิ่น


 


‘โอ้ไม่นะ…มันจบสิ้นแล้ว’ หานเซิ่นคิดด้วยความสิ้นหวัง มันสายเกินไปแล้วที่เขาจะใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดในตอนนี้


 


หานเซิ่นคิดว่าตัวเองจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นผุยผง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น ร่างกายของเขาบินผ่านอากาศเข้าไปหาฟินิกซ์


 


ก่อนที่หานเซิ่นจะรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ฟินิกซ์ก็กระพือปีกและปล่อยลมใส่ตัวหานเซิ่นเพื่อส่งเขาไปบนหลังของมัน


 


หานเซิ่นนั่งอยู่บนเปลวไฟสีขาว แต่เขาไม่ได้รู้สึกร้อน มันรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายแทน เขารู้สึกราวกับว่ากำลังนั่งอยู่ในบ่อพุร้อน ร่างกายของฟินิกซ์ดูเหมือนจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตที่ไม่จำกัด มันไหลผ่านตัวเขาและทำให้ร่างกายของเขารู้สึกราวกับไม้เก่าที่ได้รับชีวิตชีวากลับคืนมาอีกครั้ง


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หานเซิ่นสับสน


 


เป่าเหลียน ดราก้อนวันและสิ่งมีชีวิตอื่นก็ดูสับสนเช่นกัน พวกเขาไม่สามารถเชื่อได้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


 


พวกเขาทั้งหมดคิดว่าหานเซิ่นจะถูกดูดพลังชีวิตจนกลายเป็นผุยผง พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าหานเซิ่นจะถูกพาขึ้นไปนั่งบนหลังของฟินิกซ์ พวกเขาทุกคนจ้องไปที่หานเซิ่นด้วยความแปลกใจ


 


หลังจากที่ฟินิกซ์พาหานเซิ่นไปไว้บนหลังของมัน มันก็กระพือปีกและบินกลับไปที่สะพานไม้


 


หานเซิ่นนั่งอยู่บนหลังของฟินิกซ์และเขาสามารถบอกว่าฟินิกซ์ไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายอะไรต่อเขา


 


เมื่อฟินิกซ์กลับมาที่สะพานอีกครั้ง มันก็ลงมาตรงหน้าของผู้อาวุโสนาเดอร์ที่ยังคงถูกพันเอาไว้ราวกับรังไหม เสียงของฟินิกซ์ดังขึ้นในหัวของทุกคนอีกครั้ง


 


“เจ้ากินสิ่งนี้” ฟินิกซ์พูด ทุกคนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินแบบนั้น


 


ถึงแม้ฟินิกซ์จะไม่ได้เรียกชื่อของผู้อาวุโสนาเดอร์ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฟินิกซ์นั้นคิดว่าเดสทรอยเยอร์เป็นอาหารที่เอร็ดอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ และมันต้องการให้หานเซิ่นกินเขาคนนั้น

 

 

 


ตอนที่ 2773

 

“เจ้าให้ข้ากินเขา?” หานเซิ่นประหลาดใจ


 


“ใช่ เขาคืออาหารที่ดีที่สุดในที่แห่งนี้ เจ้ากังวลว่าเขาจะรสชาติไม่ดีอย่างนั้นหรอ? นั่นไม่เป็นอะไร ถ้าแบบนั้นเจ้าเลือกเองได้ได้ กินอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ ถ้าเจ้าชอบมัน มันก็เป็นของเจ้า” ฟีนิกซ์พูด


 


ผู้อาวุโสนาเดอร์และคนอื่นๆเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ฟีนิกซ์บอกว่าพวกเขาทั้งหมดไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าอาหาร แต่ทว่าดอลลาร์นั้นถูกเชิญให้มากินร่วมกับฟีนิกซ์ ราวกับเป็นแขกผู้มีเกียรติ ถ้าดอลลาร์ต้องการ ดอลลาร์สามารถกินพวกเขาจนกระทั่งอิ่มท้อง


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่รู้ว่าทำไมฟีนิกซ์ถึงปฏิบัติกับเขาต่างจากคนอื่น แต่เขาก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเมื่อรู้แบบนั้น


 


“เจ้าให้พวกเขาทั้งหมดกับข้า?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่ผู้อาวุโสนาเดอร์และคนอื่น


 


“แน่นอน ถ้าเจ้าต้องการพวกเขาล่ะก็นะ”

ฟีนิกซ์ยิ้ม มันเป็นเหมือนกับแม่ที่ชอบเอาอกเอาใจลูก หานเซิ่นไม่อาจจะเข้าใจถึงพฤติกรรมของมันได้ เมื่อคำนึงถึงการที่มันเพิ่งจะเล่นกับชีวิตของคนอื่นเมื่อครู่นี้ มันเปลี่ยนระดับราชันและระดับเทพเจ้าให้กลายเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย


 


“ข้าจะทำอะไรกับพวกเขาก็ได้? ถ้าข้าไม่ต้องการกินพวกเขา ข้าจะปล่อยพวกเขาไปได้ใช่ไหม?” หานเซิ่นถาม


 


“ได้ ตราบใดที่นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการ” ดูเหมือนกับว่าฟีนิกซ์กำลังจะตามใจเขาจริงๆ


 


หานเซิ่นต้องการจะช่วยดราก้อนวัน แต่หลังจากนั้นเขาก็ลังเลขึ้นมา เขาตัดสินใจจะช่วยเป่าเหลียนไปด้วยเลย เขาต้องการจะจัดการกับเป่าเหลียนด้วยตัวเอง


 


“ถ้าอย่างนั้น ปล่อยสองคนนั่นไป” หานเซิ่นชี้ไปที่ดราก้อนวันและเป่าเหลียน


 


ในตอนที่ฟีนิกซ์ได้ยินคำขอของหานเซิ่น มันไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน แต่เป่าเหลียนและดราก้อนวันรู้สึกว่าแรงกดดันที่กดร่างของพวกเขาได้หายไปแล้ว


 


“ขอบคุณเจ้ามากดอลลาร์ ข้าซาบซึ้งในเรื่องนี้”

ดราก้อนวันกล่าว เขายังคงดูค่อนข้างตื่นกลัว ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็รีบบินหนีไป เขาไม่กล้าจะอยู่ที่นี่ต่อเพราะกลัวว่าฟีนิกซ์จะเกิดเปลี่ยนใจ


 


“สิ่งที่เจ้าทำในวันนี้จะถูกตอบแทน ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า” เป่าเหลียนพูดก่อนที่จะรีบตามดราก้อนวันไป


 


“ดอลลาร์ ได้โปรดช่วยข้าด้วย!” เมื่อคนอื่นๆเห็นว่าฟีนิกซ์ยอมปล่อยดราก้อนวันและเป่าเหลียนไปตามคำขอของดอลลาร์ ทุกคนตกใจกับเรื่องนั้น แต่พวกเขากลับมามีหวังอีกครั้ง ระดับราชันหลายคนส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากหานเซิ่น


 


“ข้าจะทำอะไรกับคนพวกนี้ก็ได้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามอีกครั้งขณะที่มองไปที่เทพฟีนิกซ์อย่างไม่ค่อยแน่ใจ


 


“แน่นอน พวกเขาทั้งหมดเป็นของเจ้า” ฟีนิกซ์พูดด้วยรอยยิ้ม


 


หานเซิ่นหลี่ตาและมองไปที่ผู้อาวุโสนาเดอร์กับคนอื่นๆ เขาเงียบอยู่เป็นเวลานาน และความไม่เต็มใจของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกกังวลอย่างมาก


 


“ดอลลาร์ ได้โปรดเมตตาและปล่อยพวกเราไป! ข้ามีครอบครัวที่รอคอยข้าอยู่ที่บ้าน…” ราชันจากเผ่าเล็กๆคนหนึ่งขอร้อง


 


“ข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเจ้า และข้าก็ไม่ได้ร่วมมือกับเจ้าเช่นกัน ทำไมข้าถึงควรต้องช่วยเจ้า?” หานเซิ่นมองไปที่ราชันคนนั้นและพูดอย่างเย็นชา


 


ราชันคนนั้นรีบตอบกลับ “ข้ามีสมบัติและยีนซีโน่เจเนอิคอยู่มากมาย ข้าจะมอบพวกมันทั้งหมดให้กับเจ้า ข้าแค่ต้องการมีชีวิตรอดกลับไปหาครอบครัว ข้าจะเป็นหนี้บุญคุณเจ้าอย่างสูง”


 


“เจ้ายินดีจะทำแบบนั้นจริงๆอย่างนั้นหรอ? ข้าไม่ได้บังคับเจ้า” หานเซิ่นพูดพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ


 


“แน่นอนว่าข้ายินดี! ข้าจะรู้สึกขอบคุณเจ้าไปชั่วชีวิต ถ้าเจ้าปล่อยข้าไป และข้าจะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณ” ราชันคนนั้นพูด


 


“ดอลลาร์ ข้ายินดีจะมอบสมบัติและยีนซีโน่เจเนอิคทั้งหมดของข้าเช่นกัน”


 


“ดอลลาร์ ได้โปรดรับ…”


 


ทันใดนั้นระดับราชันหลายต่างก็เริ่มแย่งกันที่จะมอบสมบัติให้กับหานเซิ่น พวกเขาเพียงแค่ขอให้หานเซิ่นแสดงความเมตตาและปล่อยพวกเขาไป


 


“ถ้าพวกเจ้าจิตใจกว้างแบบนี้ ข้าก็จะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของพวกเจ้า”

หานเซิ่นพูดอย่างเคอะเขินเล็กน้อย เขารีบรับสมบัติและยีนซีโน่เจเนอิคจากเหล่าราชัน พร้อมกับขอให้ฟีนิกซ์ช่วยปล่อยพวกเขาไป


 


เหล่าราชันดีใจอย่างมาก หลังจากที่พวกเขากล่าวขอบคุณหานเซิ่นเสร็จแล้ว พวกเขาก็รีบออกไปจากที่นั่น


 


“ดอลลาร์ นี่คือทั้งหมดที่ข้ามี มันมากพอที่เจ้าจะไว้ชีวิตข้าไหม?” บาร์พูด


 


บาร์ไม่ใช่คนที่จะมีสมบัติอะไรติดตัวมากมาย สิ่งของมีค่าอย่างเดียวที่เขามีอยู่คือมีดใบเลื่อยระดับเทพเจ้า และมันก็เป็นแค่ขั้นพริมิทีฟเท่านั้น


 


“ถ้าเจ้ายินดีจะมอบมันให้กับข้า แบบนั้นข้าก็จะรับมันไว้”

หานเซิ่นพยักหน้าและรับมีดใบเลื่อยของบาร์มา หลังจากนั้นฟีนิกซ์ก็ปล่อยบาร์ไป


 


ในตอนที่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนอื่นเห็นว่าบาร์แค่มอบสมบัติระดับเทพเจ้าชิ้นเดียวเพื่อแลกกับชีวิตของตัวเอง พวกเขาก็ตัดสินใจจะทำตาม พวกเขาคิดจะมอบสมบัติระดับเทพเจ้าเพื่อแลกกับชีวิตของตัวเอง


 


หานเซิ่นหันมาหาระดับเทพเจ้าคนอื่นด้วยรอยยิ้มและพูด

“บาร์และเพื่อนของเขา เดียร็อบเบอร์เป็นนายจ้างเก่าของข้า นั่นเป็นเหตุผลที่เขาได้รับการปฏิบัติพิเศษ ถ้าพวกเจ้าที่เหลือต้องการจะซื้อชีวิตของตัวเอง สมบัติระดับเทพเจ้าเพียงแค่ชิ้นเดียวยังคงไม่พอ”


 


ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าระดับเทพเจ้าที่ถูกจับตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสนาเดอร์ ใบหน้าของเขากำลังบิดเบี้ยวและเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีขาว ขณะที่อารมณ์ความรู้สึกของเขาโอนเอนไปมาระหว่างความรังเกียจและความโกรธ


 


ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าดอลลาร์เป็นแค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง เขาจึงปฏิเสธจะร่วมทีมกับดอลลาร์ ใครจะไปรู้ว่าชีวิตของเขาจะตกมาอยู่ในกำมือของชายคนนี้? เขาไม่ได้มองโลกในแง่ดีพอจะเชื่อว่าโอกาสที่เขาจะถูกปล่อยตัวไปคือห้าสิบห้าสิบ เขาคงจะไม่ถูกปล่อยให้รอดชีวิตกลับไป ถึงแม้เขาจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้กับหานเซิ่นก็ตาม


 


ขณะที่เขามองดูหานเซิ่นหลอกเอาของมีค่าจากระดับเทพเจ้าคนอื่นๆ ความประทับใจแรกพบที่ผู้อาวุโสนาเดอร์มีต่อหานเซิ่นก็ฝังลึกยิ่งกว่าเดิม นี่เป็นคนทีละโมบ ห้าคำนั้นคือคำที่เขาเลือกจะบรรยายถึงหานเซิ่น


 


“เจ้านี่โลภมากจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนเรียกเขาว่าดอลลาร์ ตอนนี้ระดับเทพเจ้าคนอื่นๆถูกบังคับให้มอบของมีค่าทั้งหมดเพื่อแลกเปลี่ยนกับอิสรภาพของตัวเอง พวกเขาเองก็รู้สึกตัวว่าจริงๆแล้วหานเซิ่นเป็นคนยังไง


 


แต่การสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดนั้นยังถือว่าดีกว่าการต้องมาตายอยู่ที่นี่ มันอาจจะเป็นอะไรที่ไม่น่าพอใจ แต่เหล่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ยอมมอบของมีค่าของตัวเองให้กับหานเซิ่นอย่างรวดเร็ว มันไม่มีพวกเขาคนไหนที่กล้าจะต่อรองกับหานเซิ่น


 


ในเวลาเพียงไม่นานหานเซิ่นก็กลายเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง ยอดฝีมือทุกคนที่เคยถูกจับตัวถูกปล่อยไป เว้นก็แต่ผู้อาวุโสนาเดอร์เท่านั้น จนถึงตอนนี้เขายังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ


 


ผู้อาวุโสนาเดอร์ไม่สามารถแม้แต่จะหันหน้าหนี ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเฉดสีแดงที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ แต่เขายังคงไม่พูดอะไร


 


‘ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะปล่อยทุกคนกลับไป แต่ถ้าเจ้ากล้าจะฆ่าข้า การฆ่าข้าต่อหน้าพยานคนอื่นจะเหมือนเป็นการประกาศสงครามกับเผ่าเดสทรอยเยอร์’ ผู้อาวุโสนาเดอร์คิดกับตัวเอง แต่เขายังคงไม่พูดอะไรออกมา


 


“พี่ฟีนิกซ์ ขอบคุณความเมตตาและความใจกว้างของเจ้ามากๆ คนที่เหลือคนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับข้า เจ้ากินเขาได้เลย” หานเซิ่นพูดพร้อมกับโค้งคำนับฟีนิกซ์


 


ผู้อาวุโสนาเดอร์อ้าปากค้าง แต่ก่อนที่เขาจะโต้แย้งอะไรได้ เทพฟีนิกซ์ก็อ้าปากและสูดลมหายใจเข้าไป ผู้อาวุโสนาเดอร์ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นผุยผงทันที


 


ทุกคนจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบสนิท พวกเขาหวาดกลัวกับความจริงที่ระดับเทพเจ้าขั้นทรานส์มิวเทชั่นถูกฆ่าง่ายๆแบบนั้น แต่พวกเขาก็ดีใจที่ตัวเองตัดสินใจได้ถูกต้อง ถ้าพวกเขาไม่ยอมมอบสิ่งของมีค่าให้กับหานเซิ่นแต่โดยดี พวกเขาก็คงจะมีจุดจบเหมือนอย่างผู้อาวุโสนาเดอร์


 


“ผู้อาวุโสนาเดอร์ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านอย่างสันติสุขเป็นเวลานานเกินไป เขาคงจะลืมไปแล้วว่าจักรวาลนี้อันตรายขนาดไหน แม้แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะต้องตาย เขาก็ยังคิดเกี่ยวกับการรักษาชื่อเสียงของตัวเอง”

บาร์ส่ายหัว ถึงแม้เดสทรอยเยอร์จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลัง แต่พวกเขาก็มีระดับเทพเจ้าอยู่ไม่มากนัก การสูญเสียระดับเทพเจ้าขั้นทรานส์มิวเทชั่นไปนั้นถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับพวกเขา


 


แต่ผู้อาวุโสนาเดอร์มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นเวลานานเกินไป แทนที่จะใช้เวลาไปกับการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด เขากลับใช้เวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาไปกับการสอนลูกศิษย์ เขาลืมไปแล้วว่าจักรวาลแห่งนี้โหดร้ายขนาดไหน เขาเป็นห่วงชื่อเสียงของตัวเองมากเกินไป


 


ในตอนที่ทุกคนจากไปแล้ว หานเซิ่นก็โค้งคำนับเทพฟินิกซ์อีกครั้งและพูด

“ขอบคุณพี่ฟีนิกซ์มากๆ ถ้ามีบางสิ่งที่เจ้าต้องการให้ข้าทำ ข้าจะพยายามทำอย่างเต็มความสามารถ แต่ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน”


 


หลังจากที่หานเซิ่นพูดแบบนั้น ฟีนิกซ์ก็จับตัวเขาขึ้นมาด้วยปาก หลังจากนั้นมันก็บินลึกเข้าไปในซีโน่เจเนอิคสเปช

 

 

 


ตอนที่ 2774

 

ในตอนที่ฟีนิกซ์จากไป สะพานไม้ระหว่างภูเขาทั้งสองก็กลับมามีสภาพไร้ชีวิตชีวาดังเดิม กิ่งก้านที่งอกออกมาหดกลับไป และผิวของมันก็เริ่มดูเหมือนถ่านอีกครั้งหนึ่ง ระฆังเหล็กสีดำก็หยุดเคลื่อนไหวเช่นกัน


 


หลังจากที่ฟีนิกซ์ยกตัวหานเซิ่นขึ้นมา มันก็บินไปด้วยความสูง นี่แตกต่างจากการบินอย่างไม่รีบไม่ร้อนของเจ้าฟีนิกซ์ในตอนที่มันเข้ามาหาภูเขาสองวานรครั้งแรก


 


ก่อนที่หานเซิ่นจะได้พูดอะไร เขาก็เห็นว่าตัวเองกำลังตรงเข้าไปหาหนึ่งในดวงอาทิตย์ ขณะที่พวกเขายังคงอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์พอสมควร หานเซิ่นก็คิดว่าความร้อนจากดวงอาทิตย์กำลังจะละลายร่างกายระดับเทพเจ้าของเขา เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาเข้าไปใกล้มากกว่านี้


 


แต่ฟีนิกซ์กระพือปีกและพุ่งผ่านดวงอาทิตย์ไป เมื่อหานเซิ่นมองไปข้างหน้า เขาก็เห็นต้นมะเดื่อขนาดใหญ่ยักษ์ต้นหนึ่งที่กลับหัวกลับหางอยู่ในระยะที่ไกลสุดสายตา


 


หานเซิ่นเคยเห็นต้นไม้ที่แปลกประหลาดมากมายในชีวิต แต่เขาไม่เคยเห็นต้นไม้ที่เติบโตแบบกลับหัวกลับหางมาก่อน


 


ด้านบนของต้นมะเดื่อนั้นอยู่บนพื้น แต่รากของมันชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า รากของมันเป็นเหมือนกับหนวดของมังกรที่พันไปมา เหมือนกับรังนกขนาดใหญ่


 


“ผู้คนบอกว่าฟีนิกซ์นั้นอาศัยอยู่ในต้นมะเดื่อ บางทีฟีนิกซ์ตัวนี้อาจจะไม่ได้อาศัยอยู่บนต้นมะเดื่อ แต่อาศัยอยู่ในรากของต้นมะเดื่อแทน”

หานเซิ่นมองต้นไม้ที่เติบโตอย่างกลับหัวกลับหางด้วยสีหน้าแปลกๆ


 


เทพฟีนิกซ์บินเข้าไปที่รากของต้นไม้ และมันก็อ้าปากเพื่อปล่อยหานเซิ่นลงบนรากของต้นไม้ที่พันกันเหมือนกับรังนก


 


หานเซิ่นค้นพบอย่างรวดเร็วว่าที่แห่งนี้ไม่ได้แค่เหมือนกับรังนก แต่มันเป็นรังนกจริงๆ


 


ในรังนกที่ประกอบขึ้นโดยรากของต้นไม้นั้น หานเซิ่นเห็นไข่ขนาดใหญ่ฟองหนึ่งที่สูงราวๆสิบเมตร ไข่ฟองนั้นลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีขาวที่เหมือนกับเจ้าฟีนิกซ์


 


“ทำไมถึงพาข้ามาที่นี่? เจ้าคงจะไม่ได้คิดว่าข้าดูเหมือนกับฟีนิกซ์หรอกใช่ไหม? อย่าบอกนะว่าเจ้าต้องการเลี้ยงข้าในฐานะลูกหลานคนหนึ่งน่ะ?” หานเซิ่นพูดกับฟีนิกซ์


 


“แน่นอน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่ฟีนิกซ์ ฟีนิกซ์จะไม่ให้กำเนิดลูกหลานที่น่าเกลียดอย่างเจ้า และนี่คือลูกของข้า” ฟีนิกซ์พูดอย่างภาคภูมิ


 


“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงพาข้ามาที่นี่?” หานเซิ่นถอนหายใจออกมา ถ้าเขาถูกเลี้ยงดูโดยฟีนิกซ์ตัวหนึ่ง เขาก็จะกลายเป็นมนุษย์ฟีนิกซ์


 


“ร่างกายของเจ้ามีร่องรอยของสมาชิกเผ่าพันธุ์ฟีนิกซ์อยู่ และข้าต้องขอบอกว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างเด่นชัด ข้าแน่ใจว่าเจ้าต้องใช้เวลาร่วมกับลูกหลานของเผ่าพันธุ์เรามาเป็นเวลานาน” ฟีนิกซ์พูดขณะที่มองไปที่หานเซิ่น


 


“ลูกหลานของฟีนิกซ์?” หานเซิ่นแปลกใจ หลังจากนั้นเขาก็คิดบางสิ่งขึ้นมาได้

‘เขาคงจะไม่ได้พูดถึงนกแดงน้อยหรอกใช่ไหม? แต่นกแดงน้อยเป็นลูกผสม มันไม่ใช่ฟีนิกซ์จริงๆ’


 


ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าทำไมฟีนิกซ์ถึงได้ปฏิบัติกับเขาแตกต่างจากคนอื่น มันเป็นเพราะนกแดงน้อย


 


“พวกเราใช้เวลาร่วมกันอยู่พอสมควร ความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นแน่นแฟ้น พวกเราเหมือนเป็นพี่น้องกัน” หานเซิ่นพูดอย่างจริงจัง


 


หานเซิ่นไม่คิดจะบอกฟีนิกซ์ไปว่าจริงๆแล้วนกแดงน้อยเป็นลูกผสม เพราะถ้าฟีนิกซ์เหยียดลูกผสม การปฏิบัติพิเศษที่เขาได้รับก็จะหายไป


 


เพียงแค่คิดเกี่ยวกับความโหดร้ายของฟีนิกซ์ในตอนที่มันเริ่มกินผู้คน หานเซิ่นก็รู้สึกหนาวขึ้นมา เขาหวังว่าฟีนิกซ์จะไม่เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาและพยายามจะกินเขาเป็นอาหาร


 


“ข้าคิดว่าตัวเองเป็นฟีนิกซ์ตัวเดียวที่หลงเหลืออยู่ในจักรวาลนี้ ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะยังมีฟีนิกซ์อยู่ในจักรวาลนี้อีกตัว”

ฟีนิกซ์ดูมีความสุขมากๆ แต่หลังจากนั้นมันก็พูดขึ้นว่า “ถ้าเจ้าทำได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าด้วยการพาฟีนิกซ์ตัวนั้นมาที่นี่”


 


“ข้ากลัวว่านั่นอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก ข้าแยกทางกับเขามาสักพักหนึ่งแล้ว และข้าก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน… แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ถ้าเจ้าต้องการจะเจอกับเขา ข้าจะทำอย่างเต็มที่เพื่อหาตัวเขาและพาเขามาที่นี่ การได้พบกับครอบครัวอีกครั้งจะเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุด”

หานเซิ่นเห็นว่าสีหน้าของฟีนิกซ์นั้นเริ่มจะแข็งกร้าว ดังนั้นเขาจึงรีบพยายามทำให้เสียงของตัวเองฟังดูมั่นใจ


 


ฟีนิกซ์ดูดีใจอีกครั้ง “อย่าแค่พยายามอย่างเต็มที่ เจ้าต้องพาเขามาที่นี่”


 


“ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าจะพาเขามาที่นี่ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม” หานเซิ่นพูด เขาอยากจะรีบออกไปจากซีโน่เจเนอิคสเปชนี้ให้เร็วที่สุด


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าฟีนิกซ์ตัวนี้จะรับฟีนิกซ์ที่เป็นลูกผสมได้หรือเปล่า เขาไม่อยากจะเสี่ยงโดยการพานกแดงน้อยมาที่นี่


 


ฟีนิกซ์ดูมีความสุขมากที่ได้ยินแบบนั้น มันยื่นปีกข้างหนึ่งออกมาและหานเซิ่นก็เห็นขนนกเส้นหนึ่งที่ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีขาว ขนนกนั้นดูเหมือนจะมีชีวิตในตัวของมันเอง และมันก็บินมาอยู่ตรงหน้าหานเซิ่น


 


“ข้าจะมอบขนนกฟีนิกซ์นี้ให้กับเจ้าในฐานะของขวัญ ทำงานนี้ให้สำเร็จ และข้าจะมอบรางวัลให้กับเจ้าเพิ่มอีก” ฟีนิกซ์พูดอย่างจริงจัง


 


“พี่ฟีนิกซ์ใจกว้างมากๆ ข้ารู้สึกซาบซึ้งที่ได้รับสิ่งนี้มา”

หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็คว้าขนนกที่ลุกเป็นไฟมา มันเป็นขนของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อต ถึงแม้มันจะเป็นแค่ขนนกเส้นหนึ่ง มันก็ถือเป็นอะไรที่มีค่ามากๆ


 


ขนนกนั้นเป็นสีขาวบริสุทธิ์ที่เกือบจะโปร่งใส ขนนกทั้งเส้นดูเหมือนกับว่าถูกสร้างขึ้นมาจากไฟ แต่มันไม่เหมือนกับไฟธรรมดา มันเป็นของแข็งที่จับต้องได้


 


ขนนกไฟนี้ถือเป็นชิ้นส่วนเล็กๆของฟีนิกซ์ตัวหนึ่ง แต่เมื่อมันมาอยู่ในมือของหานเซิ่น มันดูเหมือนกับดาบเพลิงที่มีความยาวหนึ่งเมตร หานเซิ่นยิ้มกว้างออกมา เขาสามารถใช้ขนนกนี่เป็นอาวุธได้


 


ในตอนนี้หานเซิ่นกำลังขาดอาวุธดีๆอยู่ ขนนกไฟนี้ถือเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบสำหรับเขา ยิ่งเขาถือมันนานขึ้น เขาก็ชอบมันมากยิ่งกว่าเดิม


 


‘นี่ควรจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างทรงพลัง’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


หลังจากที่รับของขวัญมาแล้ว หานเซิ่นก็เปลี่ยนเรื่องพูด

“ทำไมเจ้าถึงกำลังมองหาลูกหลานของฟีนิกซ์? ข้าคิดว่าฟีนิกซ์น้อยตัวนั่นอ่อนแอกว่าเจ้ามาก”


 


หานเซิ่นพูดความจริง ฟีนิกซ์ตัวนี้เป็นฟีนิกซ์เต็มตัวและมันก็เป็นซีโน่เจเนอิคที่เป็นระดับเทพเจ้าตั้งแต่กำเนิด นกแดงน้อยเป็นแค่ลูกผสม และมันอ่อนแอมากๆในตอนที่มันถือกำเนิด เมื่อเทียบกับซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตแล้ว มันต่างกันราวฟ้ากับเหว


 


ฟีนิกซ์ถอนหายใจและพูด “การสืบสายพันธุ์ของพวกเราเป็นเรื่องยาก มันมีพวกเราเหลืออยู่ไม่มาก จนกระทั่งถึงตอนนี้ข้าก็ยังหาเผ่าพันธุ์เดียวกันไม่เจอเลย ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะมีลูกหลานของฟีนิกซ์อยู่ในจักรวาลนี้อีก สำหรับข้าและเผ่าพันธุ์ของข้า นี่ถือเป็นข่าวดีมากๆ เมื่อลูกของข้ากำเนิดขึ้นมาแล้ว พวกเขาจะอยู่คู่กัน แบบนั้นพวกเขาก็จะสืบสายพันธุ์ของพวกเราต่อไปได้”


 


หานเซิ่นอึ้งไปเมื่อเขาได้ยินแบบนั้น ฟีนิกซ์ตัวนี้ต้องการจะใช้นกแดงน้อยในฐานะเครื่องจักรสำหรับผลิตลูก มันมีแผนที่จะใช้นกแดงน้อยเพื่อเพิ่มประชากรของฟีนิกซ์


 


‘เดี๋ยวก่อนนะ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านกแดงน้อยนั้นเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย’

หานเซิ่นคิด ‘ถ้าพวกมันมีเพศเดียวกัน พวกมันจะมีลูกกันยังไง?’

หานเซิ่นไม่ได้พูดเรื่องนั้นออกมา เขาเพียงแค่ตอบตกลงและให้สัญญากับฟีนิกซ์ว่าเขาจะพานกแดงน้อยมาที่นี่


 


“ถ้าไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้ว ข้าก็ขอตัวไปตามหาเขาก่อน” หานเซิ่นพูด เขาต้องการจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด


 


“ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน ก่อนที่เจ้าจะไป มันมีบางสิ่งที่สำคัญมากๆที่เจ้าต้องทำ” ฟีนิกซ์พูด หลังจากนั้นมันก็พ่นไฟใส่หานเซิ่น

 

 

 


ตอนที่ 2775

 

เปลวไฟสีขาวของฟีนิกซ์เข้าห่อหุ้มร่างกายของหานเซิ่นในพริบตา มันทำให้หานเซิ่นดูเหมือนกับคบเพลิง แต่มันไม่ได้แผดเผาเขา เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร ถึงแม้เปลวไฟสีขาวจะดูน่ากลัว แต่มันไม่มีความร้อน ภายในเปลวไฟที่ลุกไหม้นั้นชุดเกราะตงเสวียนที่เป็นสีดำของหานเซิ่นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว


 


นอกจากเรื่องนั้นแล้วหานเซิ่นไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไร พลังของชุดเกราะตงเสวียนนั้นไม่ได้ถูกล็อคหรือถูกจำกัดเช่นกัน


 


ในตอนที่ไฟดับไปแล้ว ชุดเกราะตงเสวียนก็กลายเป็นคริสตัลกึ่งโปร่งใสสีขาว มันดูเหมือนความฝันที่ไม่สามารถอยู่ในโลกของความเป็นจริงได้


 


ทันใดนั้นดวงตาของหานเซิ่นก็เบิกกว้าง เขารู้สึกตัวว่าเมื่อเขารวบรวมพลังและเปิดใช้พลังของศาสตร์ตงเสวียน เขาก็จะสามารถใช้เปลวไฟสีขาวของฟีนิกซ์ได้


 


“ตอนนี้เมื่อเจ้ามีพลังของเพลิงฟีนิกซ์ เจ้าจะใช้ขนนกฟีนิกซ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ฟีนิกซ์พูดด้วยรอยยิ้ม


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้ดีใจกับเรื่องนี้ ศาสตร์ตงเสวียนของเขาดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ชุดเกราะตงเสวียนของเขาเชื่อมต่อกับเพลิงเทพฟีนิกซ์ ถ้าเขาใช้ชุดเกราะตงเสวียน มันจะไปกระตุ้นเปลวไฟของฟีนิกซ์ให้ทำงาน


 


นั่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี เพราะไฟของเทพฟีนิกซ์เป็นพลังที่ผู้คนส่วนใหญ่จะต้องยำเกรง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หานเซิ่นเป็นห่วง ถ้าเทพฟีนิกซ์วางเปลวเพลิงเอาไว้บนชุดเกราะตงเสวียนของเขา มันก็คงจะไม่ได้แค่ทำให้เขาใช้ขนนกฟีนิกซ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียว


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะคิดแบบนั้น แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเทพฟีนิกซ์


 


“ไปได้ ถ้าเจ้าพาฟีนิกซ์ตัวนั่นกลับมา ข้าจะให้ผู้คนของเจ้าได้อยู่อาศัยที่นี่และได้รับการปกป้องจากเผ่าพันธุ์ของพวกเรา” ฟีนิกซ์ให้สัญญา


 


‘ที่นี่เป็นดินแดนร้างที่ถูกเผาไหม้จนดำเหมือนกับถ่าน ใครมันจะไปต้องการอยู่อาศัยที่นี่?’

หานเซิ่นคิดกับตัวเอง เงื่อนไขที่ว่าเขาสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้นั้นไม่ได้น่าดึงดูดอะไรเลยสำหรับหานเซิ่น


 


ฟีนิกซ์ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่หานเซิ่นกำลังคิด ฟีนิกซ์จึงอธิบายต่อไปว่า

“ที่นี่คือสถานที่ที่เผ่าพันธุ์ฟีนิกซ์เริ่มต้น แต่ตอนนี้มันเหลือข้าแค่คนเดียว ข้าไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากมายอีกต่อไป ถ้าเจ้าพาฟีนิกซ์ตัวนั้นกลับมาหาข้าได้ ข้าจะให้เจ้าใช้พื้นที่หนึ่งล้านไมล์ เจ้าจะทำอะไรกับพื้นที่เหล่านั้นก็ได้ และถ้าศัตรูปรากฏตัวขึ้นมา ข้าก็จะช่วยเจ้าขับไล่ศัตรูออกไป”


 


หลังจากนั้นฟีนิกซ์ก็มองไปรอบๆโลกที่ดำเหมือนกับถ่านและพูด

“หลังจากที่เรื่องร้ายถึงจุดต่ำที่สุด เรื่องดีก็มักจะเกิดขึ้นมา ที่นี่คือดินแดนที่ถูกแผดเผา แต่มันไม่ใช่ดินแดนที่ไร้ชีวิต มันจะมอบผลประโยชน์ที่เหนือจินตนาการให้กับเจ้า”


 


“ผลประโยชน์แบบไหนกัน?” หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา


 


“มีเพียงแค่สิ่งที่ตายเท่านั้นที่จะมีชีวิต ความตายมาก่อนที่รุ่นใหม่จะเจริญเติบโต ที่นี่เป็นซีโน่เจเนอิคสเปชที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต สิ่งมีชีวิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์หรือซีโน่เจเนอิคจะเติบโตในที่แห่งนี้ได้ดีกว่าโลกภายนอก” ฟีนิกซ์พูด


 


“ทำไมข้าไม่รู้สึกถึงอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับที่นี่เลย?”

หานเซิ่นไม่เชื่อสิ่งที่ฟีนิกซ์พูด เพราะเขาไม่ได้รู้สึกถึงอะไรพิเศษที่เกิดขึ้นภายในตัว และเขาก็ไม่สามารถตรวจจับถึงพลังชีวิตในซีโน่เจเนอิคสเปชนี้ได้อย่างที่ฟีนิกซ์เพิ่งจะบรรยาย


 


“เจ้ามีเมล็ดพืชไหม?” ฟีนิกซ์ถามขณะที่มองไปที่หานเซิ่น


 


“ข้าไม่มีเมล็ด แต่ข้ามีพืชต้นหนึ่งอยู่” หานเซิ่นนำต้นกระบองเพชรต้นหนึ่งออกมาจากหอคอยแห่งโชคชะตา


 


“ปลูกมันลงไปในพื้นดิน” ฟีนิกซ์พูด


 


หานเซิ่นรู้สึกสับสน แต่เขาก็ทำตามที่ฟีนิกซ์บอกและปลูกมันลงไปในพื้นดิน


 


หลังจากนั้นก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ต้นกระบองเพชรที่มีขนาดเท่ากำปั้นเริ่มเติบโตขึ้นต่อหน้าต่อตาหานเซิ่น ไม่กี่วินาทีต่อมามันก็มีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล และมันยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ


 


“ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตอะไรก็ดูดซับพลังชีวิตของซีโน่เจเนอิคสเปชนี้และเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตนี้ สิ่งมีชีวิตจะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและไปถึงขีดกำจัดของสิ่งมีชีวิตนั่นๆ มันมีดินแดนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตแบบนี้อยู่แค่แห่งเดียวในจักรวาล และมันก็คือที่นี่ มันเป็นดินแดนของฟีนิกซ์ มันไม่มีที่อื่นในจักรวาลอีกแล้วที่เหมือนกับที่นี่” ฟีนิกซ์พูดด้วยท่าทางภาคภูมิใจ


 


ขณะที่ฟีนิกซ์พูด ต้นกระบองเพชรที่หานเซิ่นปลูกก็เติบโตขึ้นจนมีขนาดเท่ากับถังบาร์เรล และมันยังคงเติบโตขึ้นอีก หานเซิ่นรู้สึกตกใจอย่างมาก


 


“ดินแดนทั้งหมดนี้มีพลังที่เหมือนกับที่ข้ากำลังเห็นที่นี่อย่างนั้นหรอ?”

หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่ฟีนิกซ์ด้วยความสงสัย นี่ดูเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ มันดูเป็นสิ่งที่ฝ่าฝืนกฎของธรรมชาติ


 


“ใช่แล้ว” ฟีนิกซ์พูดพร้อมกับพยักหน้า


 


หานเซิ่นอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เขาดีใจที่ได้ยินว่าเขาอาจจะได้รับอนุญาตให้มาตั้งถิ่นฐานในซีโน่เจเนอิคสเปชที่สุดยอดแบบนี้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของมนุษย์อย่างมาก


 


แถมเขายังมีฟีนิกซ์ขั้นทรูก็อตคอยช่วยปกป้องเผ่าพันธุ์อีก มนุษย์จะปลอดภัยในจักรวาลนี้ และนอกจากสามเผ่าพันธุ์สูงสุดแล้ว มันก็จะไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนกล้าบุกเข้ามาในดินแดนที่ถูกปกป้องโดยฟีนิกซ์ระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อต ตอนนี้หานเซิ่นเริ่มคำนึงถึงเรื่องที่เขาจะพาตัวนกแดงน้อยมามอบให้กับเทพฟีนิกซ์


 


“พี่ฟีนิกซ์ไม่ต้องกังวล ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาเขาและพาเขามาที่นี่” หานเซิ่นเลียริมฝีปากขณะที่เขาพูด


 


ฟีนิกซ์พึงพอใจกับหานเซิ่นอย่างมาก และมันไม่ได้รั้งหานเซิ่นเอาไว้อีก มันแค่บอกว่าในตอนที่หานเซิ่นหาฟีนิกซ์ตัวนั้นได้แล้ว เขาก็แค่จำเป็นต้องกลับมาและสั่นระฆังเหล็กสีดำ หลังจากนั้นเทพฟีนิกซ์ก็จะมารับตัวเขา


 


หานเซิ่นบอกลาเทพฟีนิกซ์และเดินทางออกจากเนอร์วานา เขารู้สึกอยากจะทำตามข้อเสนอของเทพฟีนิกซ์ เขาคิดกับตัวเอง

‘น่าเสียดายที่นกแดงน้อยเป็นลูกผสม ถ้าเทพฟีนิกซ์ไม่ชอบใจในเรื่องนั้น สถานการณ์ก็อาจจะเลวร้ายขึ้นมา เราไม่ควรจะเสี่ยง’ สุดท้ายแล้วหานเซิ่นก็ตัดสินใจว่าจะไม่พานกแดงน้อยมาที่นี่


 


หลังจากที่เดินทางออกจากซีโน่เจเนอิคสเปช หานเซิ่นก็เริ่มคิดว่าจะไปทำอะไรต่อไปดี

“เผ่าเวรี่ไฮคงจะยังไม่รู้ว่าเราหนีออกมาแล้ว ด้วยเหตุนั้นเราไม่ควรกลับไปที่ปราสาทนภา ถึงที่สุดแล้วเผ่าเวรี่ไฮจะรู้ความจริงเข้า เราก็ควรจะชะลอข่าวนี้ให้นานที่สุด”


 


หานเซิ่นคิดอยู่สักพักและตัดสินใจกลับเข้าไปในก็อตแอเรียเพื่อล่าซีโน่เจเนอิค แบบนั้นเขาก็จะสามารถเก็บยีนระดับเทพเจ้าให้เต็มได้


 


แต่หานเซิ่นไม่กล้าจะอยู่ใกล้กับฟีนิกซ์เนอร์วานา ดังนั้นเขาจึงติดต่อไปหาเซี่ยชิงและมีแผนที่จะไปอยู่กับเซี่ยชิงสักพักหนึ่ง


 


เซี่ยชิงตอบตกลงกับคำขอของหานเซิ่นในทันที เขาถามที่อยู่ของหานเซิ่นเพื่อที่เขาจะได้ส่งยานอวกาศไปรับตัวหานเซิ่น


 


“ไม่จำเป็นต้องมารับฉัน ฉันแค่อยากรู้ว่าที่ที่นายอยู่นั้นปลอดภัยหรือเปล่า ฉันกำลังมีปัญหาและตัวตนของฉันจะถูกเปิดเผยไม่ได้” หานเซิ่นพูด


 


เซี่ยชิงกำลังสูบซิการ์อันใหญ่ด้วยใบหน้าที่ดูรื่นรมย์

“ไม่นานมานี้ ฉันเพิ่งจะซื้อระบบจักรวาลที่เป็นส่วนหนึ่งของสกายมิวสิคแอเรีย มันมีดวงดาวสองดวงที่เหมาะสำหรับอยู่อาศัย ฉันซื้อพวกมันเพื่อใช้เป็นสถานที่พักร้อน นายไปอาศัยอยู่ที่นั่นได้ สกายมิวสิคแอเรียนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเทาซันด์เทรเชอร์ พวกเขาเป็นคนที่รับผิดชอบเรื่องการป้องกันความปลอดภัย นอกซะจากว่ามันจะมีสงครามจักรวาลเกิดขึ้น ฉันไม่คิดว่าจะใครกล้าเสี่ยงพยายามจะฝ่าการป้องกันเข้าไป”


 


“นี่นายได้รับเงินจากการเขียนหนังสือมากขนาดไหนกันเนี่ย?”

ดวงตาของหานเซิ่นเบิกกว้าง เซี่ยชิงมีเงินซื้อระบบจักรวาลทั้งระบบเพื่อเป็นสถานที่สำหรับพักร้อน มันเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ


 


“เรียกฉันว่าอาจารย์เซี่ย ฉันคือนักเขียนที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ หนังสือของฉันมีแฟนนับไม่ถ้วน ทั่วทุกเผ่าพันธุ์นับล้านในจักรวาลแห่ง…” เซี่ยชิงพูดอย่างเฉื่อยชาขณะที่โบกซิการ์


 


“อาจารย์เซี่ย นี่สำนักงานหนังสือการ์ตูนของนายต้องการผู้ช่วยไหม?” หานเซิ่นแทบจะน้ำลายไหล มันฟังดูเป็นงานที่รายได้ดีมากๆ


 


“นั่นก็ใช่ แต่พวกเราไม่ต้องการคนอย่างนายที่ขาดจินตนาการ และยังมีความจริงที่นายเป็นคนที่ตระหนี่มากๆ” เซี่ยชิงพูด


 


เมื่อได้ยินแบบนั้นหานเซิ่นก็พูดอะไรไม่ออก บุคลิกภาพของเขามีรากฐานอยู่ในความเป็นจริง แต่เขาไม่ได้ขาดจินตนาการ


 


ถึงแบบนั้นหานเซิ่นก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้รู้อะไรในเรื่องศิลปะ เขาส่ายหัวและทำข้อตกลงกับเซี่ยชิงเพื่อไปอยู่บนดวงดาวสำหรับพักร้อนของชายคนนั้น

 

 

 


ตอนที่ 2776

 

ถึงแม้หานเซิ่นจะรู้ว่าเซี่ยชิงนั้นร่ำรวยมากๆ แต่หลังจากที่ได้เห็นระบบจักรวาลที่ชายคนนั้นซื้อ หานเซิ่นก็ตกตะลึงอย่างแท้จริง


 


นั่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เขาเห็นเซี่ยชิงขับยานรบZT27มารับเขา มันก็ทำให้หานเซิ่นสงสัยขึ้นมาว่าเซี่ยชิงได้ทั้งหมดนี่มาจากแค่การขายหนังสือการ์ตูนแน่หรอ


 


ยานรบที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเอ็กซ์ตรีมคิง มันเป็นชนิดของยานรบที่มีแค่คนของราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถใช้ได้ โดยปกติแล้วมีแค่องค์ชาย องค์หญิงและคนในราชวงศ์เท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ใช้ยานรบที่ทรงพลังแบบนั้น ถึงแม้มันจะเป็นยานรบที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับยานรบของเผ่าพันธุ์อื่น แต่อุปกรณ์ เครื่องมือและอาวุธบนเครื่องนั้นถือว่าดีที่สุดในจักรวาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันของมัน มันสามารถทนต่อการโจมตีของระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟได้โดยที่ไม่เกิดรอยขีดข่วน ยานรบนี่ไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะหาซื้อได้ทั่วไป


 


“องค์ชายคริสแมนของเอ็กซ์ตรีมคิงเป็นแฟนตัวยงของฉัน นี่คือของขวัญที่เขาส่งมาให้กับฉันเพื่อแลกเปลี่ยนกับหนังสือการ์ตูนฉบับล่าสุด”

เซี่ยชิงดูภาคภูมิใจอย่างมากในตอนที่เขาเห็นความตกตะลึงของหานเซิ่น


 


หานเซิ่นต้องยกนิ้วให้กับเซี่ยชิง เขารู้สึกชื่นชมในความสำเร็จของเพื่อนคนนี้อย่างมาก


 


มันมีมนุษย์ สปิริตและมอนสเตอร์ที่ออกมาจากก็อตแซงชัวรี่มากมายในช่วงที่ผ่านมา แต่เขามั่นใจว่าเซี่ยชิงคือคนที่ประสบความสำเร็จที่สุด และเขาก็มาถึงจุดนี้ด้วยตัวเขาเอง เขาไม่ได้พึ่งพาใคร หานเซิ่นรู้สึกนับถือเซี่ยชิงในเรื่องนั้น


ก้อนหิมะที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆเซี่ยชิงในตอนนี้ก็ได้รับการแปลงโฉมอย่างสมบูรณ์ มันสวมใส่สิ่งของที่ดูหรูหรามากมายหลายอย่าง แม้แต่ด็อกแท็กบนคอของมันก็เป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงในจักรวาล หมวกขนาดเล็กบนหัวของมันก็เป็นสมบัติชั้นสูงเช่นเดียวกัน


 


นอกจากคำว่า“รวย”แล้ว หานเซิ่นไม่รู้จะเอาคำไหนมาบรรยายทั้งคู่อีก


 


“หานเซิ่น นายเคยคิดเกี่ยวกับการสร้างภูเขาของตัวเองไหม?”

เซี่ยชิงยื่นแขนข้างหนึ่งมาเพื่อโอบไหล่หานเซิ่นและส่งซิการ์ให้กับเขา


 


“ภูเขาแบบไหน? พวกเราไม่ใช่ชนเผ่า” หานเซิ่นกรอกตา


 


สายตาของเซี่ยชิงดูจริงจัง “นายรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร ถึงแม้งานของฉันจะเป็นไปได้สวย แต่ยิ่งฉันทำงานมากเท่าไหร่ ฉันก็รู้สึกว่างเปล่ามากเท่านั้น ในจักรวาลนี้ไม่มีสถานที่ที่เรียกว่าบ้าน ฉันไม่มีดินแดนของตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นถูกควบคุมโดยคนอื่น และถ้าเกิดฉันไปละเมิดผู้มีอำนาจเข้า พวกเขาก็จะเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของฉันไปอย่างง่ายดาย นั่นเป็นอะไรที่แย่ที่สุด”


 


“นายร่ำรวยไม่ใช่หรอ? นายไม่ไปซื้อระบบจักรวาลที่ถูกทิ้งร้างและตั้งหลักปักฐานที่นั่นล่ะ?” หานเซิ่นพูด


 


เซี่ยชิงสูดซิการ์และพ่นควันออกมา หลังจากนั้นเขาก็กัดฟันและพูด

“นั่นไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าไม่มีพลังที่เพียงพอคอยสนับสนุน การมีดินแดนนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรจากการไม่มีดินแดน”


 


“ถ้าอย่างนั้นนายต้องการจะทำอะไร?”

จริงๆแล้วหานเซิ่นเองก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว เป้าหมายที่เขาตั้งเอาไว้ตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็คือการมีดินแดนของตัวเองภายในจักรวาลจีโน


 


แต่การจะทำแบบนั้นมีปัญหาหลายอย่าง ถึงแม้พวกเขาจะเข้ายึดครองซีโน่เจเนอิคสเปชหนึ่งได้ พวกเขาก็อาจจะไม่สามารถปกป้องมันได้


 


เซี่ยชิงดูเหมือนจะเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว เขาเปิดเครื่องโฮโลแกรมและเผยที่ของจักรวาลจีโน เขาชี้ไปที่ส่วนหนึ่งของแผนที่และพูด

“นายอยากจะร่วมมือกับฉันในการเดิมพันครั้งใหญ่ไหม? ถ้าพวกเราชนะ สถานที่แห่งนี้ก็จะตกเป็นของพวกเรา”


 


“และถ้าพวกเราแพ้ล่ะ?” หานเซิ่นถาม


 


“พวกเราก็แค่ล้มละลายและต้องเริ่มกันใหม่ตั้งแต่ต้น” เซี่ยชิงพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา


 


“บอกแผนการของนายมา” ดวงตาของหานเซิ่นจ้องไปที่แผนที่


 


มันมีคำสองคำที่อ่านได้ว่า “สเปชการ์เด้น” มันคือซีโน่เจเนอิคสเปชในจักรวาลที่เป็นของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อต ฟลาวเวอร์ก็อตนั้นไม่ใช่เผ่าพันธุ์ชั้นสูง และสเปชการ์เด้นก็เป็นแค่ซีโน่เจเนอิคสเปชขนาดกลางเท่านั้น


 


ส่วนในเรื่องของความสามารถ เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตนั้นไม่ได้มีพลังหรือทรัพยากรที่เผ่าพันธุ์ชั้นสูงมี ผู้คนของฟลาวเวอร์ก็อตนั้นแค่เชี่ยวชาญเรื่องการทำจีโนฟลูอิดเท่านั้น จีโนฟลูอิดที่พวกเขาทำเป็นอะไรที่พิเศษ แม้แต่เผ่าพันธุ์ชั้นสูงก็ไม่สามารถลอกเลียนแบบจีโนฟลูอิดที่พวกเขาผลิตได้


 


แต่มันก็ไม่ใช่ว่าวิชาในการทำจีโนฟลูอิดของพวกเขาเหนือกว่าของเผ่าพันธุ์ชั้นสูง เพียงแต่ว่าสเปชการ์เด้นนั้นมีทรัพยากรที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย ทรัพยากรที่พวกเขาใช้นั้นสามารถหาได้ในสเปชการ์เด้นเท่านั้น


 


สเปชการ์เด้นนั้นไม่ได้ใหญ่อะไรมาก แต่มันมีกฎพิเศษอยู่ ตราบใดที่ฟลาวเวอร์ก็อตอยู่ในสเปชการ์เด้นและไม่ออกมา แม้แต่เผ่าพันธุ์สูงสุดทั้งสามก็ไม่สามารถเข้าไปที่นั่นได้


 


ขณะที่ฟลาวเวอร์ก็อตผลิตจีโนฟลูอิดที่มหัศจรรย์มากมาย พลังในการต่อสู้ของพวกเขาก็ค่อนข้างต่ำ พวกเขาพยายามอย่างหนักที่จะพัฒนาตัวเองเป็นเวลาหลายปี และจนถึงตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาผลิตและกินจีโนฟลูอิดไปมากแค่ไหนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่มีคนที่เป็นระดับเทพเจ้าในหมู่พวกเขา พวกเขาไม่มีพลังที่จะกลายเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ชั้นสูง


 


แต่มันจะไปโทษในความอ่อนแอของฟลาวเวอร์ก็อตก็ไม่ได้ ยีนของพวกเขาไม่ได้ถูกพัฒนาสำหรับการต่อสู้ ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะกินจีโนฟลูอิดไปมากเท่าไหร่ มันก็ไม่มีระดับเทพเจ้าเกิดขึ้นในหมู่พวกเขา


 


นอกจากนั้นมันยังมีหลากหลายฝ่ายที่กดขี่พวกเขา พวกเขาถูกหยุดจากการพยายามกลายเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ชั้นสูงซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


เนื่องจากฟลาวเวอร์ก็อตรู้ว่าไม่สามารถทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามที่จะใช้พลังจากภายนอกมาเสริมพลังของตัวเอง


 


โดยปกติแล้วถ้าเผ่าพันธุ์หนึ่งเริ่มสงครามเพื่อจุดดวงไฟในจีโนฮอลล์ นักสู้ทุกคนของพวกเขาจะต้องมีสายเลือดเดียวกัน และถ้าคนนอกเข้าร่วมการต่อสู้ ถึงแม้พวกเขาจะเอาชนะเผ่าพันธุ์ชั้นสูงได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจุดดวงไฟตะเกียงในจีโนฮอลล์ได้


 


แต่ไม่นานมานี้ฟลาวเวอร์ก็อตได้พัฒนาจีโนฟลูอิดที่น่าสนใจตัวหนึ่งขึ้นมา ถ้าคนๆหนึ่งใช้จีโนฟลูอิดนั่น พวกเขาก็สามารถมีเลือดของฟลาวเวอร์ก็อตได้ชั่วคราว


 


ถ้ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าใช้จีโนฟลูอิดนั่น พวกเขาก็จะกลายเป็นหนึ่งในเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตและช่วยฟลาวเวอร์ก็อตต่อสู้เพื่อจุดดวงไฟในจีโนฮอลล์ได้


 


แต่จีโนฮอลล์ที่สุดยอดขนาดนั้นถูกใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเนื่องจากทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ แม้แต่เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตก็ไม่สามารถผลิตอะไรแบบนั้นขึ้นมาเป็นจำนวนมากได้ ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงต้องหายอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่ยินดีช่วยให้พวกเขาได้กลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง


 


ผู้คนนั้นชั่วร้าย แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่เป็นมิตรกับฟลาวเวอร์ก็อตก็ไม่สามารเชื่อใจได้อีกแล้วในตอนนี้ ด้วยเหตุนั้นเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตจึงลังเลที่จะทำการตัดสินใจ พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนไหนที่พวกเขาควรเชื่อใจ


 


การเดิมพันที่เซี่ยชิงพูดถึงนั้นเกี่ยวกับสเปชการ์เด้นที่ว่านี้ เขาอยากจะได้สเปชการ์เด้นมาเป็นของตัวเอง นั่นคือแผนการของเซี่ยชิง


 


ถ้าเขาสามารถยึดครองสเปชการ์เด้นได้ ถึงแม้สามเผ่าพันธุ์สูงสุดจะมาล่าตัวเขา มันก็จะเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ ตราบใดที่สเปชการ์เด้นอยู่ในกำมือของพวกเขา มันก็ไม่มีคนนอกคนไหนเข้าไปข้างในได้


 


“ถ้าแม้แต่เผ่าพันธุ์สูงสุดทั้งสามยังเข้ายึดครองสเปชการ์เด้นไม่ได้ แบบนั้นพวกเราจะเข้ายึดครองมันได้ยังไง?” หานเซิ่นมองไปที่เซี่ยชิงและถาม


 


“ฟลาวเวอร์ก็อตไม่ใช่นักสู้ที่มีพรสวรรค์ พวกเขาครอบครองสเปชการ์เด้นซึ่งเป็นสถานที่ที่ดี พวกเขายังมีเทคโนโลยีที่ช่วยพวกเขาผลิตจีโนฟลูอิดที่พิเศษ หลายเผ่าพันธุ์ชั้นสูงต่างก็ต้องการมัน พวกเขาต้องการจะเป็นเจ้าของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อต แต่น่าเศร้าที่สเปชการ์เด้นมีกฎพิเศษอยู่ จนถึงตอนนี้มันก็ไม่มีเผ่าพันธุ์ชั้นสูงไหนที่หาหนทางที่จะบุกเข้าไปข้างในได้”


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เซี่ยชิงก็พูดต่อ

“เนื่องจากเผ่าพันธุ์ต่างๆเข้าไปในสเปชการ์เด้นไม่ได้ พวกเขาจึงไม่ต้องการจะให้ฟลาวเวอร์ก็อตกลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง พวกเขากลัวว่าถ้าความแข็งแกร่งของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตเพิ่มขึ้น พวกเขาจะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่ากลัว ดังนั้นหลายๆเผ่าพันธุ์จึงพยายามกดขี่ฟลาวเวอร์ก็อตในทุกวิถีทาง ถึงแม้ฟลาวเวอร์ก็อตมีศักยภาพที่จะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง พวกเขาก็ถูกบังคงให้เป็นแค่เผ่าพันธุ์ชั้นต่ำ”


 


“นั่นหมายความว่าถ้าฟลาวเวอร์ก็อตต้องการจะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง พวกเขาจำเป็นต้องเอาชนะเผ่าพันธุ์ชั้นสูงมากกว่าเผ่าหนึ่ง?” หานเซิ่นพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


“นายพูดถูก ไม่อย่างนั้นการมองหาระดับเทพเจ้าก็คงจะไม่ใช้เวลานานขนาดนี้ การจะมองหาระดับเทพเจ้าที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาเป็นเรื่องที่ยาก เพราะถ้าระดับเทพเจ้าคนนั้นอ่อนแอเกินไป คนๆนั้นก็จะมีพลังไม่พอที่จะช่วยให้พวกเขาได้กลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง แต่ถ้าระดับเทพเจ้าคนนั้นแข็งแกร่งเกินไป ฟลาวเวอร์ก็อตก็จะไม่รู้สึกปลอดภัย ด้วยเหตุนั้นพวกเขาถึงยังเลือกระดับเทพเจ้าที่จะมาช่วยเหลือไม่ได้ ในตอนนี้ตัวเลือกของฟลาวเวอร์ก็อตนั้นมีน้อยมาก แต่พวกเขาได้เสนอว่าจะแบ่งสเปชการ์เด้นให้กับพันธมิตรใหม่” เซี่ยชิงชี้ไปที่แผนที่ด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น

 

 

 


ตอนที่ 2777

 

“คนที่พวกเราจำเป็นต้องไปคุยด้วยนั้นมีชื่อว่าไวโอเล็ต เขาคือตัวแทนของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อต ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าจากเผ่าพันธุ์ต่างๆนั้นพยายามจะติดต่อไปหาเขาเพื่อจะได้รับครึ่งหนึ่งของสเปชการ์เด้น”

เซี่ยชิงพูดพร้อมกับแสดงรูปภาพของฟลาวเวอร์ก็อตคนหนึ่ง


 


“เขาคือผู้ชายหรือผู้หญิง?” หานเซิ่นมองไปที่ฟลาวเวอร์ก็อตในภาพที่เซี่ยชิงแสดงให้ดู ฟลาวเวอร์ก็อตคนนั้นดูเหมือนกับมนุษย์ที่งดงามมากๆ แต่บนหัวของเขามีดอกไวโอเล็ตอยู่


 


“เขาคือผู้ชาย ในเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็ดูงดงามมากๆ แต่อย่าได้คิดว่าไวโอเล็ตนั้นเป็นคนบอบบางเพราะความงามของเขา จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งและไม่ถูกหว่านล้อมได้ง่ายๆ ฉันเคยติดต่อเขาไปก่อนหน้านี้ เขาเป็นผู้ชายที่เจรจาด้วยได้ยากมากๆ” เซี่ยชิงพูด


 


“ถ้าเขาถูกหว่านล้อมได้ง่ายๆ ฉันก็ไม่คิดว่าเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตจะส่งเขามาจัดการเรื่องที่สำคัญแบบนี้ เพราะยังไงซะการตัดสินใจครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญต่อเผ่าฟลาวเวอร์ก็อต ถ้าพวกเขาตัดสินใจผิดพลาด เผ่าพันธุ์ของพวกเขาก็อาจจะล่มสลายได้เลย พวกเขาจำเป็นต้องระมัดระวังในเรื่องที่สำคัญแบบนี้”

หานเซิ่นหยุดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นว่า “เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตคิดจะเข้าไปแทนที่เผ่าพันธุ์ไหนกัน?”


 


“ฉันไม่รู้ ทางฟลาวเวอร์ก็อตนั้นระมัดระวังมากๆ แต่จากการคาดเดาของคนอื่น พวกเขาน่าจะเข้าไปแทนที่เผ่าทรีเมนที่อยู่ติดกับพวกเขา เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตและเผ่าทรีเมนนั้นมีความขัดแย้งกันมาเป็นเวลานาน ดังนั้นพวกเขาเป็นศัตรูกันอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงนี้เผ่าทรีเมนกำลังย่ำแย่ มันเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่พวกเขาไม่มีระดับเทพเจ้าคนใหม่ พวกเขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่ทรงพลังอะไร พวกเขาเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่โค่นล้มได้ง่ายที่สุด แต่มันก็ยังมีเป้าหมายอื่นอีกเช่นกัน…” เซี่ยชิงนำข้อมูลที่เขามีทั้งหมดออกมาให้หานเซิ่นดู


 


“เผ่าพันธุ์ชั้นสูงพวกนี้ไม่มีพันธมิตรเลยหรือยังไง?” หานเซิ่นถามขณะที่แตะริมฝีปากของตัวเองอย่างครุ่นคิด


 


“พวกเขามีพันธมิตรอยู่ แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก ฝ่ายอำนาจต่างๆจึงไม่ได้สนใจอะไรพวกเขา แถมฟลาวเวอร์ก็อตก็มีความสัมพันธ์กับแอนเชี่ยนท์ก็อต ถ้าพวกต้องการจะต่อสู้ มันก็ไม่น่าจะมีคนอื่นเข้ามาแทรกแซง”

หลังจากนั้นเซี่ยชิงก็ชี้ไปที่รูปภาพของชายคนนั้นและพูด “ตอนนี้เขาคือกุญแจสำคัญในแผนการของพวกเรา พวกเราจำเป็นต้องหว่านล้อมเขาให้ได้ หลังจากนั้นพวกเราก็จะได้เป็นพันธมิตรกับฟลาวเวอร์ก็อตและได้ครึ่งหนึ่งของสเปชการ์เด้น”


 


เซี่ยชิงยิ้มให้กับหานเซิ่นและพูดต่อไปว่า “คริสตัลไลเซอร์นั้นไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่ง ฉันไม่คิดว่าฟลาวเวอร์ก็อตจะกังวลว่านายอาจจะเข้ายึดครองพวกเขา ทั้งหมดที่นายจำเป็นต้องทำทำให้ไวโอเล็ตประทับใจ”


 


“ทำไมนายถึงไม่ทำมันด้วยตัวเองล่ะ?” หานเซิ่นพูด


 


“ฉันก็อยากจะทำมันด้วยตัวเอง แต่ฉันยังไม่ถึงระดับเทพเจ้า” เซี่ยชิงสารภาพออกมาตรงๆ


 


“มันมีสิ่งที่นายทำด้วยตัวเองไม่ได้ด้วยหรือเนี่ย?” หานเซิ่นหัวเราะ


 


เซี่ยชิงจ้องกลับไปที่หานเซิ่นและพูด “มันไม่ใช่ว่าฉันทำมันไม่ได้ ฉันแค่ยังจะไม่ทำมัน”


 


หานเซิ่นอยู่บนดาวของเซี่ยชิงเป็นเวลาหลายวัน สภาพแวดล้อมของที่นั่นดีมากๆ มันเกือบจะเหมือนกับสรวงสวรรค์ ถ้ามันเป็นช่วงเวลาที่สงบสุข มันก็ไม่ได้เป็นตัวเลือกที่แย่ที่จะเกษียณที่นี่


 


ทุกวันหานเซิ่นจะใช้ลูกบาศก์สี่แกะเพื่อไปที่ฟาร์มของพระเจ้า เขาหวังว่ากู่หว่านเอ๋อและมีดเทพจะกลับมาอีกครั้ง แต่ถึงแม้มันจะผ่านมานานพอสมควรแล้ว หานเซิ่นก็ยังไม่เห็นกู่หว่านเอ๋ออีกครั้ง


 


มันเป็นอะไรที่น่าแปลก ในตอนแรกหานเซิ่นกังวลว่าถ้าเขาใช้ลูกบาศก์สี่แกะ เขาจะถูกส่งกลับไปที่เผ่าเวรี่ไฮ แต่ความจริงแล้วเขาถูกส่งกลับมายังสถานที่ที่เขาใช้ลูกบาศก์ครั้งล่าสุด


 


ด้วยเหตุนั้นมันก็หมายความว่ามันไม่มีหนทางที่เขาจะกลับเข้าไปสู่โลกในขวดอีก ถ้าทางเผ่าเวรี่ไฮส่งคนเข้าไปเยี่ยมเขา พวกเขาก็จะรู้ว่าหานเซิ่นหนีออกมาแล้ว


 


ความจริงแล้วเผ่าเวรี่ไฮรู้ถึงการหนีไปของหานเซิ่นเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสของเวรี่ไฮคนหนึ่งมีแผนที่จะเข้าไปเพื่อตรวจเช็คร่างกายของหานเซิ่นอีกครั้ง แต่ในตอนที่เขาเข้าไปยังโลกในขวด เขาก็หาหานเซิ่นไม่เจอ


 


นี่ทำให้ทางเผ่าเวรี่ไฮประหลาดใจอย่างมาก หานเซิ่นหนีออกจากห้องโถงของอัลฟ่าโดยที่ไม่มีใครสังเกต ตามความเห็นของพวกเขานี่เป็นอะไรที่เลวร้ายมากๆ


 


ในตอนนี้เผ่าเวรี่ไฮเชื่อว่าต้องมีใครบางคนช่วยเหลือหานเซิ่น ไม่อย่างนั้นเขาจะหนีออกมาได้ยังไง เอ็กซ์ควิสิทเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง เนื่องจากเธอเคยพยายามที่จะทำแบบนั้นมาก่อน แต่หลังจากที่สืบสวนอย่างละเอียด พวกเขาก็รู้สึกตัวว่ามันไม่มีทางเป็นเอ็กซ์ควิสิทไปได้


 


หลังจากที่ยืนยันได้ว่าไม่ใช่เอ็กซ์ควิสิทที่เป็นคนช่วยหานเซิ่นหนีออกมา เรื่องนี้ก็กลายเป็นอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม พวกเขาเชื่อว่ามันมีคนทรยศในเผ่าเวรี่ไฮ


 


“เขาหนีไปได้จริงๆ” เอ็กซ์ควิสิทตกใจยิ่งกว่าเวรี่ไฮคนอื่น เธอไม่เชื่อหานเซิ่นในตอนที่เขายืนกรานว่าเขาจะออกมาด้วยตัวเอง แต่ไม่นานหลังจากนั้นหานเซิ่นก็ทำตามคำพูดได้จริง นี่เป็นอะไรที่ค่อนข้างไม่น่าเชื่อ


 


หานเซิ่นถูกขังโดยเวรี่ไฮที่เผ่าพันธุ์อันดับหนึ่งในจักรวาล แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตก็ไม่สามารถหนีออกมาจากห้องโถงของอัลผ่าเผ่าเวรี่ไฮได้ ดังนั้นเธอไม่สามารถจินตนาการได้ว่าหานเซิ่นหนีออกไปได้ยังไง


 


เผ่าเวรี่ไฮพยายามใช้วิชาจีโนพิเศษเพื่อค้นหาว่าหานเซิ่นหายไปไหนกันแน่ แต่พวกเขาไม่สามารถตรวจจับร่องรอยอะไรได้เลย ซึ่งนั่นทำให้เผ่าเวรี่ไฮมั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่ามันมีคนทรยศอยู่ในหมู่พวกเขา พวกเขาเชื่อว่าถ้าไม่มีคนทรยศอยู่ หานเซิ่นก็คงจะถูกตามตัวจนพบแล้วในตอนนี้


 


ขณะเดียวกันหานเซิ่นก็เพิ่งจะถูกแนะนำตัวกับไวโอเล็ตของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อต ชายคนนั้นดูเหมือนกับที่เขาได้เห็นในภาพโฮโลแกรม ชายคนนั้นดูงดงามขนาดที่จะทำให้ประเทศหนึ่งล่มสลายได้เลย


 


แต่ใบหน้าอันงดงามแบบนั้นไม่ได้ส่งอิทธิพลอะไรต่อหานเซิ่น เขารู้สึกว่าไวโอเล็ตนั้นบอบบางเกินไป มันทำให้เขารู้สึกว่าจริงๆแล้วชายคนนั้นเป็นงูพิษที่ภายนอกดูบอบบางแต่ภายในเต็มไปด้วยพิษที่ชั่วร้าย


 


‘ยิ่งงูงดงามมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีพิษร้ายมากเท่านั้น อยากรู้จริงๆว่าไวโอเล็ตคนนี้จะอันตรายขนาดไหน?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


“นายบอกว่าไวโอเล็ตจะจัดงานเลี้ยงและเชิญยอดฝีมือระดับเทพเจ้าจากเผ่าพันธุ์ต่างๆมาร่วมงานอย่างนั้นหรอ? นั่นหมายความยังไง?” หานเซิ่นลดเสียงเพื่อถามเซี่ยชิงที่อยู่ข้างๆ


 


“ฉันไม่รู้” เซี่ยชิงเงียบไป หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า

“บางทีเขาอาจจะเปิดการประมูลและให้ยอดฝีมือระดับเทพเจ้ามาแข่งขันกัน”


 


“ไม่มีทาง นั่นมันบ้าบอสิ้นดี นี่เป็นการตัดสินใจที่ส่งผลต่อชะตากรรมของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตทั้งเผ่าพันธุ์ พวกเขาจะใช้การประมูลตัดสินเรื่องที่สำคัญแบบนี้ไม่ได้ นอกซะจากคนที่รับผิดชอบเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตนั้นจะบ้าไปแล้ว” หานเซิ่นส่ายหัวของเขา


 


“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่รู้ นอกจากเรื่องนั้นแล้ว ฉันไม่รู้เหตุผลอื่นที่พวกเขาจะเชิญระดับเทพเจ้ามามากมายขนาดนี้ การติดต่อเป็นการส่วนตัวดูจะเป็นอะไรที่สะดวกมากกว่า” เซี่ยชิงไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองมากนัก


 


หานเซิ่นมองไปรอบๆและเห็นว่ามีคนหลายคนที่เขารู้จักมาร่วมงานครั้งนี้ด้วย มันมีดราก้อนวันจากเผ่าดราก้อน เดียร็อบเบอร์จากเผ่าเดสทรอยเยอร์ ไป๋ว่านเจี้ยจากเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง แม้แต่ไผ่เดียวดายก็อยู่ที่นี่ด้วย และมันยังมียอดฝีมือระดับเทพเจ้าอีกมากมายที่หานเซิ่นไม่รู้จัก


 


“มันมีคู่แข่งเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนว่าสเปชการ์เด้นนั้นจะเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจทุกเผ่าพันธุ์” หานเซิ่นพูด


 


“เผ่าพันธุ์ขนาดใหญ่นั้นเหมือนกับหมาป่า ซึ่งทางฟลาวเวอร์ก็อตอาจจะไม่อยากร่วมมือกับพวกเขา พวกเรายังมีโอกาสอยู่”

ถึงแม้เซี่ยชิงจะพูดแบบนั้น แต่เมื่อเห็นผู้คนที่มารวมตัวกัน เขาก็รู้ทันทีว่าสเปชการ์เด้นนั้นสำคัญกับทุกคนขนาดไหน มันอยู่เหนือความคาดหมายของเขา

 

 

 


ตอนที่ 2778

 

“ข้าต้องกล่าวขออภัยทุกท่านที่มาในวันนี้ ข้าเสียใจที่ต้องแจ้งให้ทุกท่านทราบว่าแผนการของพวกเราถูกเปลี่ยนแปลง เพื่อหลีกเลี่ยงทุกคนจากการคิดว่าเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตนั้นเชื่อถือไม่ได้ พวกเราจะขอให้ทุกท่านมากับพวกเราเพื่อที่พวกเราจะได้อธิบายให้ทุกท่านได้เห็นกับตาตัวเอง” คำพูดของไวโอเล็ตทำให้ทุกคนที่มารู้สึกแปลกใจ


 


“เกิดอะไรขึ้นกับเผ่าฟลาวเวอร์ก็อต? ข้าพอจะช่วยเหลืออะไรได้บ้างไหม?” องค์ชายไป๋ว่านเจี้ยของเอ็กซ์ตรีมคิงรีบพูดขึ้นมา


 


เขาเพิ่งจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าเมื่อไม่นานมานี้ เขาจึงเป็นแค่ระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟเท่านั้น ดังนั้นเขาไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในที่แห่งนี้ แต่ในฐานะรัชทายาทของเอ็กซ์ตรีมคิง เขาคือหนึ่งคนที่คู่ควรจะเป็นตัวแทนของคนที่มาเข้าร่วมงานในครั้งนี้


 


“ขอบคุณองค์ชายมากที่เป็นห่วง เผ่าของพวกเราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ ข้าจึงอยากเชิญทุกท่านเข้าไปในสเปชการ์เด้นด้วยกัน”

ความเงียบเข้าปกคลุมงานเลี้ยง


 


เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตนั้นไม่เคยเชิญให้คนนอกเข้าไปในสเปชการ์เด้น ผู้คนภายนอกรู้แค่ว่าสเปชการ์เด้นนั้นเต็มไปด้วยทรัพยากรสำหรับจีโนฟลูอิดระดับสูง ส่วนข้างในเป็นยังไงนั้นแทบไม่มีใครคนอื่นนอกจากคนของฟลาวเวอร์ก็อตที่เคยได้เห็นมัน


 


ตลอดประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน มีคนนอกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสเปชการ์เด้น และพวกเขาก็เป็นคนที่ใกล้ชิดกับเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตมากๆ แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่มารวมตัวกันที่นี่นั้นแทบจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆกับเผ่าฟลาวเวอร์ก็อต ถึงแม้พวกเขาจะเรียกได้ว่าเป็นคนแปลกหน้า แต่เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตก็เชิญพวกเขาเข้าไปในสเปชการ์เด้นอยู่ดี สถานการณ์ทั้งหมดนี่เป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลก


 


ไวโอเล็ตดูเหมือนจะรู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่ เขารีบพูดขึ้นมา

“พรสวรรค์ไม่ใช่แค่เหตุผลเดียวที่ทำให้พวกเราสร้างจีโนฟลูอิดที่พิเศษขึ้นมาได้ ความจริงแล้วเหตุผลหลักคือสเปชการ์เด้นนั้นมอบทรัพยากรที่พิเศษให้กับพวกเรา ด้วยเหตุนั้นมันจึงไม่มีใครลอกเลียนแบบจีโนฟลูอิดที่พวกเราสร้างขึ้นมาได้”


 


“เจ้ากำลังจะบอกว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับทรัพยากรที่ใช้สร้างจีโนฟลูอิดอย่างนั้นหรอ?” ดราก้อนวันถามไวโอเล็ต


 


หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็คิดว่าที่ดราก้อนวันพูดนั้นฟังดูสมเหตุสมผล ถ้ามันไม่มีปัญหาอะไรกับทรัพยากรของสเปชการ์เด้น ไวโอเล็ตก็คงจะไม่ยอมเปิดเผยความลับของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตแบบนั้น


 


ไวโอเล็ตพยักหน้าและพูด “มันมีปัญหาที่ร้ายแรงมากๆ และถ้าพวกเราไม่แก้ไขมัน ข้ากลัวว่าฟลาวเวอร์ก็อตจะสร้างจีโนฟลูอิดแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว”


 


“ปัญหาคืออะไร? เจ้าบอกกับพวกเรามา มันมียอดฝีมืออยู่ที่นี่มากมาย และแม้แต่รัชทายาทของเอ็กซ์ตรีมคิงก็อยู่ด้วย พวกเราจะช่วยเหลือพวกเจ้า” เดียร็อบเบอร์พูด


 


“ใช่แล้ว พวกเราจะหาทางช่วยพวกเจ้าร่วมกัน พวกเราจะไม่ปล่อยให้จีโนฟลูอิดของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตต้องสูญสิ้น นั่นจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของทั้งจักรวาล” ทุกคนต่างก็แสดงการสนับสนุน


 


แต่เหนือสิ่งอื่นใดพวกเขาแค่อยากจะรู้ความลับของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อต พวกเขาแค่เสนอความช่วยเหลือเพราะผลประโยชน์ของตัวเอง มันไม่มีใครที่จะช่วยเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตโดยไม่มีเหตุผล


 


ไวโอเล็ตถอนหายใจและพูด “ข้าอยากจะบอกเรื่องทั้งหมดกับทุกท่านเพื่อที่พวกเราจะได้แก้ไขปัญหานี้อย่างรวดเร็ว แต่ข้อมูลนี้ถือเป็นความลับสุดยอดของฟลาวเวอร์ก็อต ท่านผู้นำสั่งห้ามไม่ให้พวกเราบอกมันกับใคร ไม่อย่างนั้นพวกเราจะถูกเนรเทศ”


 


“ไวโอเล็ต นั่นมันหมายความว่ายังไง? เจ้าขอให้พวกเรามาที่นี่ แต่ตอนนี้เจ้าไม่คิดจะบอกอะไรกับพวกเรา แบบนั้นพวกเราจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้ยังไง?” ระดับเทพเจ้าที่อารมณ์ร้อนพูดขึ้นมา


 


ใบหน้าของไวโอเล็ตดูหม่นหมอง เขาถอนหายใจและพูด

“เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตต้องการให้ทุกท่านมาที่สเปชการ์เด้นเพื่อช่วยพวกเรา แต่ก่อนที่จะเข้าไปในสเปชการ์เด้น ข้าบอกทุกท่านไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในนั้น ข้ารู้ว่านี่เป็นอะไรที่เสียมารยาท แต่พวกเราไม่มีทางเลือก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอะไรที่สำคัญสำหรับพวกเรา ดังนั้นพวกเราจะเสี่ยงแพร่งพรายความลับออกไปไม่ได้”


 


“เจ้าไม่บอกอะไรพวกเรา และเจ้ายังต้องการให้ความช่วยเหลือของพวกเรา? พวกเราจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเราจะช่วยได้หรือไม่?” ไป๋ว่านเจี้ยพูด


 


“พวกเรารู้ว่านี่เป็นอะไรที่น่าอึดอัดสำหรับทุกท่าน ดังนั้นถ้าท่านไหนไม่ต้องการจะเข้าไป พวกเราจะไม่บังคับท่าน พวกเรายอมปล่อยให้ทรัพยากรของพวกเราถูกทำลายดีกว่าปล่อยให้ความลับแพร่งพรายออกไป” ไวโอเล็ตพูด


 


“สิ่งที่เจ้าพูดไม่สมเหตุสมผล ถึงแม้พวกเราจะไม่รู้ในตอนนี้ แต่พวกเราก็จะรู้ความลับของพวกเจ้าอยู่ดีหลังจากที่พวกเราเข้าไปข้างใน”


 


“ใช่แล้ว เจ้าควรบอกพวกเราในตอนนี้ แบบนั้นในตอนที่พวกเราเข้าไป พวกเราจะได้มีหนทางแก้ปัญหาเตรียมพร้อมไว้”


 


ไม่สำคัญว่าคนอื่นนั้นจะพูดยังไง ไวโอเล็ตก็ยังคงยืนกรานที่จะไม่บอกรายละเอียดอะไร


 


“มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดคุยต่อไป ถ้าท่านไหนต้องการช่วยพวกเรา พวกเราจะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณ ถ้าท่านไหนไม่ยินดีจะช่วย นั่นก็ไม่เป็นอะไร แต่สถานการณ์ในตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วน ข้าจำเป็นต้องกลับไปในสเปชการ์เด้นเดี๋ยวนี้ ท่านไหนยินดีจะช่วยพวกเรา ขอให้เดินทางเข้าไปในสเปชการ์เด้นร่วมกับข้าในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงจะต้องแยกทางกันที่นี่และหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเราจะได้พบกันอีกครั้ง”


 


ทุกคนเริ่มปรึกษากันว่าควรจะทำยังไงกันดี พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


 


แต่ไม่นานก็มีใครบางคนพูดขึ้นมาว่าเขาตกลงจะช่วยเผ่าฟลาวเวอร์ก็อต คนๆนั้นเดินไปเข้าร่วมกับไวโอเล็ต


 


หานเซิ่นและเซี่ยชิงมองหน้ากัน ดูเหมือนพวกเขาจะรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ ทุกคนที่มานั้นสนใจความลับของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อต ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงจะไม่มาที่นี่ตั้งแต่แรก ตอนนี้มันมีโอกาสที่ได้เห็นความลับของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตกับตาตัวเอง ดังนั้นไม่มีใครที่อยากจะพลาดโอกาสแบบนี้ไป


 


ถึงแม้มันจะมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล แต่เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตก็เป็นเพียงแค่เผ่าเล็กๆ พวกเขาไม่ได้มีระดับเทพเจ้า ดังนั้นพวกเขาไม่ได้กลัวอะไรที่เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตอาจจะทำ


 


ถึงแม้เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตจะวางแผนการร้ายบางอย่างเอาไว้ เหล่ายอดฝีมือก็เชื่อมั่นในพลังของตัวเอง


 


“พวกเราจะไปไหม?” หานเซิ่นถามเซี่ยชิง


 


“ไหนๆพวกเราก็มาถึงที่นี่แล้ว พวกเราไม่ควรกลับไปมือเปล่า พวกเราควรจะเข้าไปดูว่าดินแดนในอนาคตของพวกเราดูเป็นยังไง” เซี่ยชิงยักไหล่ขณะที่พูด


 


“นายพูดถูก” หานเซิ่นพยักหน้า เขามาที่นี่ในฐานะลูกน้องของเซี่ยชิง เขาไม่สามารถพูดขัดได้ ดังนั้นเขาปล่อยให้เซี่ยชิงเป็นคนตัดสินใจ


 


ไวโอเล็ตไม่ได้ปฏิเสธใคร เขายินดีรับทุกคนที่อาสาจะเข้าไปช่วยในสเปชการ์เด้น ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นระดับราชันหรือระดับเทพเจ้า


 


ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง ไวโอเล็ตก็บอกกับพวกเขาว่าการเดินทางนี้เป็นการเดินทางที่อันตราย และพวกเขาจำเป็นต้องไตร่ตรองให้ดี


 


แต่ที่สุดแล้วยอดฝีมือทุกคนที่มาร่วมงานก็ตัดสินใจตามไวโอเล็ตไป พวกเขาทุกคนขึ้นยานรบของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตและเดินทางออกจากดวงดาวที่เป็นของเทาซันด์เทรเชอร์


 


หานเซิ่นและเซี่ยชิงเองก็ขึ้นยานรบไปเช่นกัน เนื่องจากมันมีเผ่าพันธุ์ต่างๆมากมาย ทั้งเผ่าชั้นสูงและเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำปะปนกันอยู่บนยานรบ เซี่ยชิงและหานเซิ่นจึงไม่โดดเด่นมากจนเกินไป


 


ขณะที่หานเซิ่นและเซี่ยชิงกำลังกินอาหารอยู่ในยานรบ จู่ๆเดียร็อบเบอร์ก็เดินเข้ามา เขาดูตื่นเต้นที่ได้เห็นเซี่ยชิง

“ท่านคือผู้แต่งรักของท่านประธานผู้เอาแต่ใจ อาจารย์เซี่ยใช่ไหม?”


 


“ข้าคือเซี่ยชิง” เซี่ยชิงเคยชินกับเหตุการณ์แบบนี้แล้ว เขายิ้มอย่างเป็นมิตรขณะที่พูด


 


“ใช่อาจารย์เซี่ยจริงๆ! นี่มันเยี่ยมไปเลย ในที่สุดข้าก็ได้พบกับอาจารย์เซี่ย ข้าเป็นแฟนตัวยงของอาจารย์…” เดียร็อบเบอร์จับมือของเซี่ยชิงอย่างหลงไหล


 


หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ เดียร็อบเบอร์นั้นเป็นอนาคตของเผ่าเดสทรอยเยอร์ เขาคือคนที่สามารถฆ่าผู้คนด้วยการโบกมือ แต่เขาเป็นแฟนตัวยงของเซี่ยชิง มันเป็นอะไรที่หานเซิ่นไม่อาจจะเข้าใจได้


 


“นี่เขาพูดจริงงั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย เขาไม่เคยคิดว่าคนอย่างเดียร็อบเบอร์จะชอบอ่านอะไรแบบนั้นด้วย เขาคิดว่าเผ่าเดสทรอยเยอร์คงจะหาข้ออ้างเพื่อเข้าใกล้เซี่ยชิงมากกว่า


 


“อาจารย์เซี่ย ข้าขอลายเซ็นของอาจารย์หน่อยได้ไหม?” เดียร็อบเบอร์ถามขณะที่นำเอากระดาษและปากกาออกมา


 


“ได้อยู่แล้ว” เซี่ยชิงพูดด้วยโทนเสียงที่เป็นมิตร เขาจับปากกาและเริ่มเขียนลายเซ็นของตัวเอง เขาเขียนชื่อของเขาเหมือนกับมังกรและฟีนิกซ์ที่บินไปด้วยกัน


 


‘ทำไมลายเซ็นของเขาถึงได้ดูเหมือนกับมังกรและฟีนิกซ์ที่กำลังเต้นระบำ?’

หานเซิ่นไม่สามารถบอกได้ว่าคำเหล่านั้นหมายความว่าอะไร หรือบางทีพวกมันอาจจะไม่ใช่ตัวอักษรด้วยซ้ำ พวกมันดูยุ่งเหยิงและน่าสบสัน หานเซิ่นเดิมพันว่าไม่มีใครสามารถอ่านสิ่งที่เซี่ยชิงเขียนลงไปได้


 


เดียร็อบเบอร์ดูเหมือนว่าเขาได้พบสมบัติที่ล้ำค่า เขารับมันไปอย่างระมัดระวังและเก็บซ่อนมันเอาไว้ในเสื้อผ้า

 

 

 


ตอนที่ 2779

 

 


“อาจารย์เซี่ย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ข้าขอแนะนำอาจารย์ว่าอย่าไปที่เผ่าฟลาวเวอร์ก็อต” จู่ๆเดียร็อบเบอร์ก็กระซิบบอกเซี่ยชิง


“ทำไมกัน?” เซี่ยชิงถามขณะที่มองไปที่เดียร็อบเบอร์


 


“เนื่องจากพลังในการต่อสู้ของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตนั้นต่ำมากๆ พวกเขาจึงระมัดระวังไม่ให้คนนอกเข้าไปในสเปชการ์เด้น ตั้งแต่ที่เผ่าพันธุ์ของพวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นมา มีคนนอกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เข้าไปในสเปชการ์เด้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะปล่อยให้ทุกคนเข้าไป อาจารย์ไม่คิดว่านั่นน่าสงสัยหรอกหรอ?” เดียร็อบเบอร์พูดขณะที่นั่งลง


 


“มันก็เป็นอะไรที่น่าสงสัยจริงๆนั่นแหละ เจ้าพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นไหม?” เซี่ยชิงถาม


 


เดียร็อบเบอร์ส่ายหัว “ข้าไม่รู้อะไร แต่จากประสบการณ์ในอดีต ข้าเชื่อว่าการเดินทางในครั้งนี้จะเป็นอะไรที่อันตรายมากๆ อาจารย์เซี่ยเป็นบุคคลที่มากด้วยความรู้ มันไม่มีความจำเป็นที่อาจารย์ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง”


 


“ไม่เป็นอะไร มันมีบางสถานที่ที่ข้าไม่กล้าไป แต่ด้วยการที่มีเขาคอยปกป้อง การไปที่เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตก็ควรจะไม่เป็นอะไร” เซี่ยชิงพูดขณะที่ชี้ไปที่หานเซิ่น


 


เดียร็อบเบอร์เห็นถึงความมั่นใจของเซี่ยชิงที่มีต่อผู้คุ้มกันของเขา ด้วยเหตุนั้นเดียร็อบเบอร์จึงมองไปที่หานเซิ่นและถาม

“ข้าไม่เคยพบกับเจ้ามาก่อน เจ้าเป็นใครอย่างนั้นหรอ?”


 


“นี่คือผู้คุ้มกันของข้า ซานมู่ เขาเป็นนักสู้ฝีมือดีที่ต่อสู้กับระดับเทพเจ้าสองถึงสามคนได้พร้อมๆกัน” เซี่ยชิงพูด


 


“ซานมู่ ถ้าเจ้าได้รับคำชื่นชมจากอาจารย์เซี่ยถึงขนาดนี้ เจ้าก็คงจะต้องเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งมากๆ เจ้ามาจากที่ไหนอย่างนั้นหรอ?”

เดียร็อบเบอร์ไม่ได้ใช้วิชาจีโนเพื่อวิเคราะห์หานเซิ่น แต่เขาสังเกตได้ว่าไม่สามารถสัมผัสอะไรเกี่ยวกับหานเซิ่นได้เลย นั่นทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก


 


“ข้าแค่มาจากเผ่าพันธุ์ที่ไร้ชื่อ ดังนั้นมันไม่สำคัญว่าข้าจะบอกเจ้าหรือไม่” หานเซิ่นพูดอย่างไม่สนใจไยดี


 


เซี่ยชิงมองไปที่เดียร็อบเบอร์และหัวเราะ “อย่าได้ใส่ใจที่เขาพูด เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน ข้ากลัวว่าเขาจะเป็นแบบนี้กับทุกคน แม้แต่กับเจ้านายของเขา ข้าก็ทำอะไรเกี่ยวกับมันไม่ได้”


 


“นั่นไม่เป็นอะไร อาจารย์เซี่ยพูดถูกแล้ว ถ้าซานมู่คนนี้เอาชนะศัตรูระดับเทพเจ้าสามคนได้พร้อมๆกัน มันก็พอเข้าใจได้ที่เขาจะเป็นคนผลุนผลันเล็กน้อย” เดียร็อบเบอร์หัวเราะออกมา


 


“ถึงแม้เจ้าจะบอกว่าเขาเก่งเรื่องการต่อสู้ แต่ข้าคิดว่าเขาแค่เก่งเรื่องการทำตัวเป็นคนถ่อยมากกว่า” เสียงยั่วยุดังขึ้นมาจากด้านหลัง


 


ทั้งสามคนมองไปทางที่เสียงดังขึ้นมา และพวกเขาก็พบว่าเสียงนั้นดังมาจากอีกโต๊ะหนึ่ง โต๊ะนั้นมีเอ็กซ์ตรีมคิงสองคนนั่งอยู่ หนึ่งในพวกเขาคือรัชทายาทไป๋ว่านเจี้ย


 


ส่วนอีกคนคือเด็กสาวคนหนึ่ง เธอมีออร่าที่ทรงพลังและน่าสนใจ แต่เมื่อดูจากอายุของเธอแล้ว เธอคงจะยังไม่ได้เป็นระดับเทพเจ้าด้วยซ้ำ ซึ่งเธอคือคนที่พูดขึ้นมา


 


หานเซิ่นและอีกสองคนมีประสบการณ์มากมายในชีวิต พวกเขาไม่ได้ถูกยั่วยุง่ายๆเหมือนกับคนหนุ่มสาวทั่วไป พวกเขาไม่คิดจะโต้เถียงกับเด็กสาวคนหนึ่ง พวกเขาจึงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและพูดคุยกันต่อ


 


เมื่อเด็กสาวเห็นว่าคำกล่าวของเธอไม่ได้รับการตอบสนอง เธอก็รู้สึกเบื่อที่จะยั่วยุพวกเขาและหยุดไปเอง


 


เนื่องจากว่าไวโอเล็ตให้ทุกคนเข้ามาอัดกันในยานรบลำเดียว มันจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่จะมีการโต้เถียงกันเกิดขึ้น โชคดีที่ทุกคนมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน มันจึงไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นมาจนกระทั่งพวกเขาไปถึงที่สเปชการ์เด้น


 


หานเซิ่นพยายามจดจำเส้นทางไปสู่สเปชการ์เด้นเอาไว้ แต่ยานรบนั้นเคลื่อนที่รวดเร็วเกินไป หลังจากการทำวาร์ปหลายครั้ง หานเซิ่นก็จดจำเส้นทางไม่ได้อีกต่อไป


 


เมื่อพวกเขาเข้าไปในซีโน่เจเนอิคสเปชของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อต ในที่สุดหานเซิ่นก็เข้าใจว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงถูกเรียกว่าสเปชการ์เด้น สิ่งที่หานเซิ่นเห็นคือทุ่งดอกไม้ที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทุ่งดอกไม้นี้ดูเหมือนกับบันไดที่นำขึ้นไปสู่ท้องฟ้า มันมีดอกไม้ประหลาดมากมายกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกมันทั้งหมดเป็นพืชซีโน่เจเนอิค มันเป็นภาพที่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ


 


ยานรบลงจอดบนถนนถัดไปจากทุ่งดอกไม้ หลังจากนั้นไวโอเล็ตก็บอกให้พวกเขาลงจากยาน


 


หลังจากที่พวกเขาลงมาแล้ว สิ่งแรกที่หานเซิ่นสัมผัสได้คือกลิ่นของดอกไม้นาๆชนิด ขณะที่กลิ่นหอมของดอกไม้นั้นเป็นอะไรที่รุนแรง แต่มันก็ไม่ได้มากจนเกินไป


 


“นี่คือดอกพุทธรักษาอย่างนั้นหรอ?” จู่ๆเดียร็อบเบอร์ก็ถามขึ้นมาขณะที่มองไปที่ดอกไม้ดอกหนึ่ง


 


หานเซิ่นและเซี่ยชิงมองตามสายตาของเดียร็อบเบอร์และเห็นเถาวัลย์ดอกไม้ที่มีความยาวหนึ่งเมตร มันมีดอกไม้หลายดอกงอกออกมาจากเถาวัลย์นั้น ซึ่งแต่ละดอกที่บานออกมาดูเหมือนกับเด็กผู้หญิงกำลังฝึกเต้นบัลเลต์ พวกมันดูงดงามมากๆ


 


“ใช่แล้ว นั่นคือดอกพุทธรักษา เจ้ามีสายตาที่ดี” ไวโอเล็ตยกนิ้วให้กับเดียร็อบเบอร์


 


แต่เดียร็อบเบอร์ดูเหมือนไม่ได้ดีใจเกี่ยวกับการค้นพบ ความจริงแล้วเขาดูค่อนข้างหม่นหมอง


 


หลังจากที่ทุกคนหันความสนใจไปจากเดียร็อบเบอร์ หานเซิ่นก็เดินเข้าไปด้านข้างเขาและถาม “มันมีอะไรอย่างนั้นหรอ?”


 


เดียร็อบเบอร์ขมวดคิ้วและพูด “จากที่ข้ารู้ ดอกพุทธรักษาควรจะเป็นพืชระดับเทพเจ้า พวกมันจะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่พิเศษมากๆ และพลังของพวกมันก็ไม่ควรด้อยไปกว่าซีโน่เจนอิคระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟ แต่เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตกลับปลูกพวกมันข้างถนน นั่นไม่แปลกเกินไปหน่อยหรอ?”


 


“มันน่าประหลาดใจที่ได้รู้ว่าเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตปลูกพืชระดับเทพเจ้าได้ง่ายๆแบบนี้” เซี่ยชิงพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


ไวโอเล็ตเริ่มเดินผ่านดอกไม้ไป มันมีดอกไม้และพืชอยู่หลากหลายชนิด และหานเซิ่นก็รู้จักพวกมันแค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น แต่เมื่อดูจากพลังชีวิตของพืชทั้งหมดแล้ว เขาสัมผัสได้ว่าพวกมันไม่ใช่พืชปกติ พวกมันทั้งหมดเป็นพืชซีโน่เจเนอิค


 


“ไม่มีพืชชนิดไหนในที่นี้ที่เป็นพืชธรรมดา ไม่แปลกใจเลยที่เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตสร้างจีโนฟลูอิดได้มากมายนัก”

หานเซิ่นมองไปรอบๆ เขาไม่รู้ว่าดอกไม้และพืชส่วนใหญ่นั้นมีชื่อว่าอะไร แต่เขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของพวกมันและบอกได้ว่าพวกมันเป็นของดี


 


“นี่เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ถ้าพวกเรายึดครองที่นี่ได้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับทรัพยากรอีกต่อไป” เซี่ยชิงกระซิบกระซาบกับหานเซิ่น


 


แต่หานเซิ่นกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ เขาไม่ได้สนใจสิ่งที่เซี่ยชิงพูด


 


“พืชซีโน่เจเนอิคจะออกผลเป็นครั้งคราว ตราบใดที่เมล็ดของพวกมันไม่เสียหาย ถ้าเรานำพวกมันไปปลูกในดินแดนของฟีนิกซ์ แต่เราไม่รู้ว่านั่นจะลดเวลาการเติบโตของพวกมันได้มากแค่ไหน”

หานเซิ่นไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเขาจะได้รับประโยชน์มากขนาดไหน ถ้าเขาเร่งความเร็วในการเจริญเติบโตของพืชพวกนี้ ถ้าเขานำเมล็ดติดตัวกลับไปเยอะๆ เขาก็จะได้รับผลไม้ซีโน่เจเนอิคจำนวนมากในเวลาอันสั้น หลังจากนั้นเขาก็จะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยอย่างแน่นอน


 


“พวกเราเข้าใกล้สถานที่เกิดเหตุแล้ว ทุกท่านโปรดระวังตัว” ไวโอเล็ตเริ่มก้าวขาช้าลง


 


“พวกเราไม่จำเป็นต้องไปพบกับผู้นำของเจ้าก่อนหรอ?” ดราก้อนวันถามขึ้นมาด้วยความสงสัย


 


“ท่านผู้นำและคนอื่นๆรออยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว” ไวโอเล็ตพูด

 

 

 


ตอนที่ 2780

 

“มีบางสิ่งผิดปกติ มันเป็นไปได้ยังไงที่พวกเราเดินทางมาถึงขนาดนี้ แต่พวกเรากลับไม่เจอฟลาวเวอร์ก็อตคนอื่นเลยสักคน?” เซี่ยชิงขมวดคิ้วและลดเสียงเพื่อพูดกับหานเซิ่น


 


หานเซิ่นก็เอะใจในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ไวโอเล็ตเป็นเพียงฟลาวเวอร์ก็อตคนเดียวที่พวกเขาเห็นตลอดการเดินทาง ตั้งแต่ที่เข้ามาในสเปชการ์เด้น พวกเขายังไม่เห็นฟลาวเวอร์ก็อตคนอื่นเลยสักคน นี่คือที่อยู่อาศัยของฟลาวเวอร์ก็อต ดังนั้นถึงมันจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น พวกเขาก็ควรจะได้พบกับสมาชิกคนอื่นของเผ่าพันธุ์ฟลาวเวอร์ก็อตบ้าง


 


คนอื่นก็ดูเหมือนจะคิดแบบเดียวกัน พวกเขาตามไวโอเล็ตไปอย่างระมัดระวัง ขณะที่พวกเขาบินลึกเข้าไปในสเปชการ์เด้น แต่พวกเขาไม่เจออันตรายใดๆที่อยู่รอบๆ


 


มันไม่ได้ร่องรอยการต่อสู้เช่นกัน ดูเหมือนกับว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น


 


แต่ในตอนที่พวกเขาไปถึงทุ่งดอกไม้ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา สิ่งที่พวกเขาได้เห็นก็ทำให้พวกเขาอึ้งไป


 


พวกเขาเห็นผู้ชายและผู้หญิงมากมายจมอยู่ในพื้นดิน มีเพียงแค่หัวของพวกเขาครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่โผล่ขึ้นมาจากพื้น พวกเขาแต่ละคนมีดอกไม้อยู่บนหัวของตัวเอง บางคนเป็นดอกโบตั๋น ขณะที่บางคนเป็นดอกเบญจมาศ ดอกไม้ของแต่ละคนเป็นเอกลักษณ์ และพวกมันทั้งหมดดูเหมือนกับว่ากำลังเบิกบาน


 


เห็นได้ชัดว่าพวกคนที่จมอยู่ในดินนั้นคือสมาชิกของเผ่าฟลาวเวอร์ก็อต


 


“ไวโอเล็ต นี่คืออะไร?” ไป๋ว่านเจี้ยถามไวโอเล็ต


 


เหล่าฟลาวเวอร์ก็อตที่จมดินอยู่นั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาถูกฝังดินราวกับพืชผัก นอกจากนั้นพลังชีวิตของพวกเขาดูเหมือนจะอ่อนลงไปเรื่อยๆ


 


“ข้าจะไม่โกหกต่อองค์ชาย ฟลาวเวอร์ก็อตทั้งหมดยกเว้นข้าอยู่ที่นี่”

ไวโอเล็ตพูดขณะที่ชี้ไปที่หัวของเหล่าฟลาวเวอร์ก็อตที่โผล่มาจากพื้นครึ่งหนึ่ง


 


ไป๋ว่านเจี้ยไม่ได้ถามว่าเหล่าฟลาวเวอร์ก็อตตกอยู่ในสถานการณ์ที่ประหลาดแบบนั้นได้ยังไง แต่เขาถามอย่างอื่นแทน

“ก่อนที่เจ้าจะออกไปจากสเปชการ์เด้น พวกเขาก็ถูกฝังเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”


 


“องค์ชายเป็นคนฉลาด” ไวโอเล็ตพยักหน้าและยอมรับว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ


 


“ถ้าอย่างนั้นในตอนที่เจ้าบอกว่าเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตต้องการจะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง มันเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นสินะ? ที่เจ้าทำทั้งหมดก็เพื่อล่อพวกเรามาที่นี่ใช่หรือไม่?” ไป๋ว่านเจี้ยถามขณะที่จ้องไปที่ไวโอเล็ต


 


“ใช่” ไวโอเล็ตพยักหน้าอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดจะบิดบังอะไรอีกต่อไป


 


ไวโอเล็ตและไป๋ว่านเจี้ยจ้องหน้ากัน ไวโลเอ็ตพูดขึ้นมา

“ถึงแม้ข้าจะโกหกเกี่ยวกับเรื่องที่บอกว่าเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตต้องการจะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง แต่ข้าตั้งใจจะมอบรางวัลที่ให้สัญญาอย่างแท้จริง ถ้าใครช่วยผู้คนของข้าได้ พวกเรายินดีจะมอบครึ่งหนึ่งของสเปชการ์เด้นให้กับคนๆนั้น”


 


“นั่นเป็นความจริงใช่ไหม?” ดวงตาของทุกคนเป็นประกายขึ้นมา


 


“พวกเจ้าได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเผ่าฟลาวเวอร์ก็อตแล้ว พวกเจ้าคิดว่าพวกเราจะผิดสัญญาที่ให้เอาไว้ได้อย่างนั้นหรอ?” ไวโอเล็ตพูด


 


“เกิดอะไรขึ้นกับฟลาวเวอร์ก็อตคนอื่น? ตอนนี้เจ้าควรอธิบายให้พวกเราฟังได้แล้ว”

ไป๋ว่านเจี้ยพูดขณะที่มองไปที่หัวของเหล่าฟลาวเวอร์ก็อตที่โผล่ขึ้นมาจากทุ่งดอกไม้


 


สถานการณ์ที่พวกเขาได้เห็นเป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจ เหล่าฟลาวเวอร์ก็อตถูกฝังอยู่ในพื้นดินเป็นล้านคน ดอกไม้ขนาดเล็กที่งอกขึ้นมาจากหัวแต่ละหัวทำให้มันดูเหมือนกับทุ่งดอกไม้ที่งดงาม


 


แต่ไม่สำคัญว่ามันจะงดงามสักแค่ไหน พวกเขาก็ถูกฝังอยู่ในดินจนเกือบจะมิดหัว ซึ่งทำให้มันเป็นภาพที่น่าวิตกกังวล


 


ไวโอเล็ตไม่ได้ปกปิดข้อมูลอีกต่อไป เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ทุกคนได้ฟังไวโอเล็ตอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด


 


เผ่าฟลาวเวอร์ก็อตนั้นถนัดเรื่องการทำสวน และพวกเขาก็ค้นพบสเปชการ์เด้นเมื่อนานมาแล้ว มันเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการปลูกพืชซีโน่เจเนอิคนาๆชนิด พวกเขาคิดว่าตัวเองโชคดีที่ค้นพบสถานที่ที่วิเศษแบบนี้ แต่ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็พบว่ามันมีบางสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับซีโน่เจเนอิคสเปชนี้


 


อยู่มาวันหนึ่งผู้นำของฟลาวเวอร์ก็อตก็ฝังตัวเองในทุ่งดอกไม้เหมือนอย่างที่หานเซิ่นและคนอื่นกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้


 


เหล่าฟลาวเวอร์ก็อตไม่รู้ว่าทำไมผู้นำของพวกเขาถึงทำอะไรแบบนั้น แต่ที่สุดแล้วพวกเขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาพบว่าจำเป็นต้องตอบสนองต่อความต้องการของสเปชการ์เด้นนี้ เป็นครั้งคราวพวกเขาต้องนำเครื่องสังเวยมาให้กับสเปชการ์เด้น แบบนั้นสเปชการ์เด้นก็จะไม่ครอบงำจิตใจของพวกเขา ตราบใดที่ความต้องการของสเปชการ์เด้นได้รับการตอบสนอง มันก็จะบังคับให้คนของฟลาวเวอร์ก็อตฝังตัวเอง


 


แต่ยิ่งเวลาผ่านไป สเปชการ์เด้นก็ดูเหมือนจะหิวกระหายมากขึ้นเรื่อยๆ สองเดือนก่อนเครื่องสังเวยที่พวกเราฝังลงในทุ่งดอกไม้นั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการของมัน ซึ่งทำให้จู่ๆผู้นำของฟลาวเวอร์ก็อตคนปัจจุบันและคนอื่นๆขุดรูลงไปในพื้นดินและฝังตัวเอง


 


นอกจากไวโอเล็ตแล้ว ตอนนี้ฟลาวเวอร์ก็อตทุกคนถูกฝังอยู่ที่นี่


 


“ทำไมเจ้าถึงไม่ฝังตัวเองเหมือนกับคนอื่นๆ?”

ระดับเทพเจ้าจากเผ่าพันธุ์เล็กๆถามขึ้นมาขณะที่มองไปที่ไวโอเล็ตด้วยความสงสัย เขาไม่เชื่อเรื่องราวที่ไวโอเล็ตเล่า


 


“ข้าไม่รู้ว่าทำไมถึงมีเพียงแค่ข้าคนเดียวที่ไม่เป็นอะไร ข้าไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ และข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าขอให้พวกเจ้าช่วย พวกเราจะไม่มีวันกลับคำพูดของตัวเอง” ไวโอเล็ตพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง


 


“เจ้าลองพยายามขุดพวกเขาขึ้นมาหรือยังไง?” ระดับราชันคนหนึ่งถาม


 


นั่นเป็นคำถามที่ดูไร้ประโยชน์ เหล่าฟลาวเวอร์ก็อตถูกฝังอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ไวโอเล็ตคงจะพยายามทุกวิถีทาง และที่ไวโอเล็ตติดต่อขอความช่วยเหลือจากระดับเทพเจ้าจากภายนอก นั่นก็คงเป็นเพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว


 


“ข้าขุดพวกเขาขึ้นมาไม่ได้ ดินนี่อาจจะดูเหมือนดินปกติทั่วไป แต่มันแข็งอย่างไม่น่าเชื่อ” ไวโอเล็ตตอบ


 


เมื่อได้ยินแบบนั้นยอดฝีมือหลายคนที่มาก็ก้มลงไปเพื่อคว้าดินขึ้นมาจากพื้น แต่ไม่นานดวงตาของทุกคนก็เบิกกว้าง ทั้งระดับราชันและแม้แต่ระดับเทพเจ้าก็ไม่สามารถขุดดินขึ้นมาได้


 


“นี่มันเป็นดินแบบไหนกัน? ทำไมมันถึงได้แข็งขนาดนี้?” ระดับราชันคนหนึ่งถามด้วยความตกใจ


 


“ข้าไม่รู้ ในตอนที่พวกเขาขุดรูเพื่อฝังตัวเอง มันดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ในตอนที่ข้าพยายามจะขุดพวกเขาขึ้นมา ข้าขุดแม้แต่เศษเสี้ยวของดินขึ้นมาจากพื้นไม่ได้ด้วยซ้ำ…” ไวโอเล็ตอธิบาย


 


เหล่ายอดฝีมือลองทดสอบอีกหลายครั้ง แต่ความพยามแต่ละครั้งจบลงด้วยความล้มเหลว พวกเขาไม่สามารถขุดเอาดินขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ


 


เหล่ายอดฝีมือพยายามคิดวิธีต่างๆเพื่อขุดเหล่าฟลาวเวอร์ก็อตขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ไม่ได้ผล


 


หนึ่งในยอดฝีมือระดับเทพเจ้าลองพยายามจะดึงหัวของฟลาวเวอร์ก็อตคนหนึ่ง แต่ถึงเขาจะดึงแรงจนคอของฟลาวเวอร์ก็อตคนนั้นขาด ฟลาวเวอร์ก็อตคนนั้นก็ยังไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว


 


เหล่ายอดฝีมือนั้นมาที่นี่เพื่อช่วยเหล่าฟลาวเวอร์ก็อต ดังนั้นยอดฝีมือคนนั้นจึงหยุดพยายามดึงหัวของฟลาวเวอร์ก็อตขึ้นมา


 


“ซานมู่ เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้?” เซี่ยชิงหันมาถามหานเซิ่น เขาไม่รู้ว่าควรจะคิดยังไงกับสถานการณ์นี้


 


“ถ้าจะให้พูด มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าขนลุก” หานเซิ่นหลี่ตาลงเล็กน้อยขณะที่พูด เขากำลังมองไปที่เหล่าฟลาวเวอร์ก็อตที่ถูกฝังอยู่ในพื้นดิน ดูเหมือนเขาจะสังเกตได้ถึงบางสิ่ง


 


“แปลกจริงๆ มันเกือบจะเหมือนกับว่าทั้งสเปชการ์เด้นปลดปล่อยพลังชีวิตออกมา… หรือว่าจริงๆแล้วสเปชการ์เด้นคือสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์”

ในตอนที่หานเซิ่นนึกเรื่องนั้นขึ้นมาได้ มันก็เป็นบางสิ่งที่แม้แต่เขาก็ไม่อยากจะเชื่อ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)